โง่ไม่เสร็จตอน ๒
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน สันติอโศก


 

เรามาพูดถึงเรื่องของอัตตามานะกันอีก ก็จะต้องพูดกันอีกนาน จะต้องพูดกันอีกมาก เพราะว่า อัตตามานะ มันมีไปถึงฐานสังโยชน์เบื้องสูง ในระดับพระอนาคามี ก็ยังมีอัตตามานะกันอยู่ ในฐานเบื้องต้น ไม่ต้องห่วงเลย แล้วมันจะต้องเกิดได้ง่ายมาก เกิดโดยที่เรียกว่า ถ้าเราไม่มี ญาณปัญญา ที่ไปรู้เท่าทันแล้ว มันเกิดเหมือนกิเลสธรรมดา อย่างคนปุถุชน ไม่รู้จักกิเลส กิเลสมันเกิดทุกเวลา เกิดตลอดเกือบจะทุกวินาที มันจะเกิด ตลอดเสมอๆ โดยที่ตัวเอง ไม่รู้จักมัน ปล่อยให้มันแพร่ ให้มันล้น ให้มันโต ให้มันทำปฏิกิริยา ให้มันอ้วน มันพี ให้กิเลส ให้เหยื่อ ให้อาหารมันไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ ฉันใด ก็ฉันนั้น กิเลสอัตตามานะ ก็เหมือนกัน

ถ้าเราไม่รู้จัก อาการ ลิงคะ นิมิต ไม่รู้จักคุม ไม่รู้จักลักษณะ ไม่รู้จักสัญลักษณ์ ไม่รู้จักลักษณะ ต่างๆของมัน ว่าอย่างนี้ เรียกว่า อัตตา อาการของมานะ แล้วเราก็ ป้องกัน แล้วเราก็อย่าให้ มันเกิด หรือว่าเลิกล้างทำลายมันซะ ถ้าเราไม่รู้มัน เราก็ทำลายไม่เป็น หรือไม่คิดจะทำลายมัน ปล่อยมันเกิด มันก็เกิดจริงๆ ในพวกเรา ที่มาอยู่ในวัดก็ดี มาเสียสละมาสร้างสรร มาอะไร ต่ออะไรก็ตาม ที่เป็นอยู่ แล้วเราก็สังเกตดูซิ สังเกตตัวเองนั่นแหละ สังเกตตัวเองหรือสังเกต หมู่ฝูงได้ ที่เป็นอยู่ มันโรคเดียวกัน มากหรือน้อยเท่านั้นเอง โรคเดียวกัน ไล่ไปตั้งแต่สมณะ ไปเลย ไม่ใช่ว่า ตั้งแต่ว่าฆราวาสเท่านั้นแหละนะ บอกแล้วว่า ฐานนี้ มันอนาคามีภูมินั่นนะ ไล่ไป ตั้งแต่สมณะได้เลยทุกคน ถ้าไม่รู้มันจริง แล้วก็ไม่เอาจริงกับมันแล้วละก็ มันโตแน่ มันเกิดแน่ แล้วมันก็ทำทุกข์ให้กับเรา

อาตมาไม่แปลกใจเลย ที่พวกเราบอกว่า จิตตก จิตตก แล้วก็ถดถอยหนี ออกจากวัดไป กลับออกไป หรือแม้แต่สมณะก็สึก หรือสมณะก็เฉื่อยก็เซ็ง อาตมาไม่แปลกใจเลย เพราะว่า มันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ที่เราจะต้องเรียนรู้ให้ยิ่งขึ้น มีปัญญาญาณ หรืออธิปัญญายิ่งๆขึ้น ที่จะรู้ สิ่งที่ลึกซึ้งพวกนี้ขึ้นไป ตามๆมันให้ได้ ถ้าไม่รู้ลึกซึ้งขึ้นไปตามมันแล้วไซร้ มันโตแน่ มันเป็นแน่ มันเป็นแน่ ในโลกเขาไม่รู้เลย ในปุถุชนในโลกธรรมดา เขาไม่รู้เลยว่า อัตตามานะ มันจะขึ้นซ้อน ซ้อนกับกิเลสโลกๆ แม้เรามาอยู่ในวัดก็ฟังดู แม้อยู่อย่างโลกๆ นี่นะ คนโลกๆ เขาได้ทรัพย์ ศฤงคาร ได้ลาภมากขึ้นมา โดยเฉพาะ ยิ่งเป็นลาภแบบโกงด้วยนะ แบบทุจริต ด้วยนะ เขาก็ดีใจภูมิใจใช่ไหม การดีใจภูมิใจนั่นแหละคือ อัตตามานะ คือความหลงดี หลงว่าดี ทั้งๆที่การโลภมาได้สมโลภ แล้วแถมยิ่งไปทุจริตโกงเขามา ได้เปรียบ ด้วยซ้ำไป แล้วเขาก็นึกว่า เขาเก่ง เขาภาคภูมิที่เขาสามารถโลภมาได้ กอบโกยมาได้มาก มีความเฉลียวฉลาด ที่ไปเที่ยว ได้ทำให้คนอื่น เขารู้ไม่เท่ารู้ ไม่ทัน ตัวเองชนะ หลงภาคภูมิในความดี นึกว่าตัวเองดี ที่จริง ไม่ใช่ความดีหรอก ความสามารถเหมือนกัน ความสามารถที่เลวนะ ความสามารถทุจริต สามารถโกง สามารถเอาเปรียบ เขาก็หลง ภาคภูมิในตัวเอง นั่นแหละคือ อัตตามานะ อย่างโลกียะ แท้ๆเลย โตขึ้นทุกวันนะ มันก็โตขึ้น อย่างของเขา

หรือแม้แต่ไปได้เปรียบในเชิงกาม หรือว่า ได้เสพสมกาม มีกำไรเป็นของวิเศษ แล้วก็ได้เสพสม สุขสม ไปได้มากมายอะไรก็แล้วแต่ หรือมีความสุขทางกามมากๆๆ แล้วมันก็คือ การเสพติด ใช่ไหม เสพทางกามได้สุขมากๆ ก็เป็นการเสพติด ฟังธรรมดีๆ เสพได้มากๆ อร่อยมากๆ ก็ติดมากๆ เหมือนคุณไปติดอะไรก็แล้วแต่ ตั้งแต่กับกามหยาบๆ มาจนกระทั่งที่แม้แต่กินข้าว กินอาหาร กินโน่น กินนี่ แม้ไปกินอาหารร้านนี้มันอร่อย เลยติด อ้าว ติดร้านนั้นเข้าไปแล้ว ติดอาหารอย่างหนึ่งเข้าไปแล้ว อะไรเหมือนกันนั่นแหละ มันก็คือโรค คือกิเลสแต่หลงตัวเอง อู๊! เราเอง มีความสุขเหลือเกิน ได้ความสุขเสพกามได้สมใจ ได้รสชื่นใจมากๆ ก็หลงย้ำตัวเอง เข้าไปนั่นแหละ เป็นอัตตามานะ ซ้อนจากกาม กามเป็นเหตุแล้วทำให้ตัวเกิดอัตตามานะ เกิดอัตตาตัวตน เกิดความติดความยึด ความเป็นตัวกูของกู กูจะต้องได้ กูจะต้องมี กูจะต้องเป็น เป็นอุปาทาน ยึดเข้าไปเลย แล้วมันก็จะตามมาด้วยตัณหา กิเลสที่มันมีออกไป มันเป็นกิเลส เพิ่มขึ้น เป็นอุปาทานขึ้น ที่หนาแน่นยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้น ในกาม กับอัตตามานะ มันจะเนื่องกันอยู่ เรื่อยๆเลย

เพราะฉะนั้น เรื่องของคนที่กามกิเลสเป็นตัวเบื้องต้นนี่ ถ้าไม่ล้างกามกิเลสเบื้องต้นนี้ ให้หมดนะ ไม่มีทางเลย อัตตามานะที่จะลดได้ จะเป็นกามชนิดหยาบ กลาง ละเอียดขนาดไหนก็ตาม ถ้าเรายังจะไปเลี้ยงขุนมันอยู่ ชะลอมันไว้เพื่อนั่นเพื่อนี่ กามไม่มีทางที่จะเลี้ยงไว้ก่อนเลย ต้องทำลายมัน ก่อนอัตตามานะด้วย เพราะฉะนั้น กามมันยิ่งจัด กามก็ยิ่งแรง อัตตามานะ มันจึงยิ่งขึ้น มันจึงยิ่งใหญ่ยิ่งโต ยิ่งอะไร จะะเห็นได้ว่า คนที่มีอัตตามานะเสริมทุกวันนี้ ที่ใหญ่ๆ คับบ้าน คับเมืองอยู่นี่ เพราะฉะนั้น คนพวกนี้จะสังเกตได้ว่า ยิ่งติดในกามมาก นอกจากว่า ตัวเอง จะชักจะชินชา มันเฟ้อ มันอะไร แต่ว่าอัตตามานะจะเบ้งๆอยู่ อย่างนี้ทั้งนั้นแหละ ต้องเอาสมใจ ต้องการอย่างโน้นอย่างนี้ ฯลฯ.. มันซ้อนเชิง มันยิ่งจัดจ้าน ถ้ามีกำลังวังชา ถ้ามีอะไรต่ออะไร ที่เป็นไปอยู่นะ มันไม่ถด ไม่ถอย ไม่มีถด ไม่มีถอย มันจะยิ่งซ้ำซ้อนๆ อัตตามานะ จะเสริมเข้าไปสร้างกาม กามยิ่งสร้างอัตตามานะ มากยิ่งๆ ขึ้น

อย่าประมาทเป็นอันขาด ฐานกามนี่ จะต้องลดลงไปก่อน เราจึงจะเอาไว้ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เอา ผู้ลดกามจากโลกๆหยาบๆ ลดกามจากโลกๆ หยาบๆนั่น ทีนี้แถมลดได้ด้วย แล้วเรามี ทิฐิใหม่ด้วยนะ ทิฐิรู้จักผลของความดี แต่ก่อนนี้เราไม่รู้หรอก เราได้กามมากๆ ได้ลาภ ได้ยศ เอาเปรียบเขามาได้มากๆ เรานึกว่า มันดี ตอนหลังมาเข้าใจ โอ๊ ไม่ดีหรอก ไปเอาเปรียบ เอารัดมา มันไม่ดีหรอก เราลดละดีกว่า เราลดละ เราลดละการเอาเปรียบได้ ชักเป็นความดี ขึ้นมาแล้ว เห็นความดีนี้ เกิดอัตตามานะอีกแหละ นี่ลดกามนะ ลดความใคร่อยากโลกีย์นะ อัตตามานะ ก็ขึ้น ได้ลด แต่ก่อนนี้เพิ่มก็หลงผิด ก็อัตตามานะขึ้น ตอนนี้ลดอัตตามานะ เพราะทิฐิ เปลี่ยนเป็น สัมมาทิฐิ แล้วว่าลดดี ลดกามก็ดี ลดลาภ ลดยศก็ดี ถ้าเราลดได้ ปล่อยได้ วางได้ก็ดี ถ้าเราลดได้ จริงๆ เราก็ฟูใจ เราก็เกิดมานะอัตตา ว่าเราได้ดี ตามทิศทางใหม่ ตามสัมมาทิฏฐิ แต่ก่อนนี้มิจฉาทิฏฐิ ตอนนี้ สัมมาทิฏฐิเข้าทาง แต่ก็ยังจะรู้อัตตามานะ ไม่ได้ง่ายๆ ไม่ได้ทันก่อน มันจึงจะเสริมให้เกิดว่า เรามาปฏิบัติธรรม เราลดอบายมุข ลดความใคร่อยาก แบบโลกีย์ ลดกามจากโลกีย์ ลดความปรารถนาอยากใคร่ในลาภ ยศ สรรเสริญ จากโลกีย์มาได้ เราก็มาได้ดี พอมาได้ดี ก็มาหลงฟูใจ เกิดอัตตามมานะว่า ข้าได้ดี เป็นอัตตามานะ ซ้อนอยู่ในทางธรรมนี่

ผู้เข้าวัดมาก็ดี ปฏิบัติธรรมได้มรรคได้ผลมาบ้างแล้วก็ดี ลดอบายมุข ลดกามกิเลส ลดโลกีย์ มาได้ ไม่จัดไม่จ้านขึ้นมา แต่ก็ไม่ได้เรียนรู้ ลักษณะของแกนอัตตามานะ และก็ไม่อ่าน ให้ชัด ให้เจน เมื่อไม่รู้ลักษณะของมัน ไม่เข้าใจอาการ ลิงคะ นิมิต ของมัน แล้วเราก็ยิ่งไม่เข้าใจ ความหมายด้วย ปล่อยให้มันเกิด เพราะมันเป็นนามธรรม ไม่มีตัวตน แต่มันก็เกิดอยู่เรื่อย มันก็เกิดจริง ตามความเป็นจริง เมื่อเราไม่รู้ มันก็จะโต เมื่อโตได้ขนาด มันก็ถึงได้ใหญ่เบ้ง ใครก็แตะไม่ได้ ใครก็ต้องไม่ได้ ใครมาว่า ใครมากล่าว ใครมาอะไร ยิ่งตัวเอง มันยิ่งสลับเชิงนะ ก็เรามาทางนี้ แล้วมาวัดแล้วนี่ เราไม่ได้มาเอาลาภ เอายศ แล้ว เอ๊ะ! เราก็มาเสียสละเต็มที่แล้วนี่ มันมานะมันใหญ่ ใครมาแตะ ใครมาต้อง ใครมาดูถูก ยิ่งเรายิ่งมีความสามารถ คนยิ่งรับรองเรา ยิ่งมากขึ้นด้วย อยู่ในนี้ อู๊ย! คนดีนะ คนนี้เก่งนะ คนนี้สามารถนะ เสียสละได้ดีนะ อะไรขึ้นไปอีก ซ้อนเชิงขึ้นไปเรื่อย ก็ยิ่งมีอัตตามานะฟูใจ ซ้อนๆๆๆๆโดยไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้เท่าทัน และเราก็เลย เมื่อเกิดอัตตามานะจริง ก็เลยหลง ใครแตะไม่ได้ ใครต้องไม่ได้ ใครมาว่านิดว่าหน่อย ก็เกิด อัตตามานะ มันก็มีปฏิกิริยาโต้ตอบ ไม่ชอบใจ ไม่ชอบใจ

แม้ว่า เราจะรู้ว่าอาการของไม่ชอบใจนี้ เป็นภาษาตื้นๆ ที่นักปฏิบัติธรรมพวกเรานี้รู้ก็ลด ลดความชอบใจ ไม่ชอบใจลด แต่ถึงจะลดอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ได้ลดถูกตัวตนของเหตุแท้ คือตัวกิเลส ตัวอัตตามานะแท้ๆ มันก็มาลดแต่เปลือกๆ ผิวๆ ความว่าไม่ชอบ ใจทำคลายๆ ไม่ชอบใจนั่น เราก็พยายามลด ความไม่ชอบใจลงบ้างนะ ผิวๆเผินๆ ความไม่ชอบใจ แต่ตัวรากเหง้า ของอัตตามานะจริงๆ ตัวที่ยึดที่ติดความดีของตน ความหลงตน อะไรพวกนี้ มันไม่ได้หยั่งลึกเข้าไปทำลาย ตัวสมุทัยตัวนี้ มันก็เลยกลายเป็นกดๆๆๆ พอคลาย คลายไอ้ตัวเปลือก แต่แท้จริงกดดันตัวแท้ คลายตัวผิว แต่แท้จริงนั้น ไม่ได้คลายหรอก ทำให้ตัวจริง มันกดลงไป หนักแน่นเข้าไปให้แน่น ยิ่งขึ้นๆ เข้าไป เลยเหมือนกับไม่มี เหมือนกับไม่มี แท้จริงมันยิ่งกดหนัก มันจึงเห็นว่า คล้ายๆกับมันไม่มี แท้จริงยิ่งกด ยิ่งจะทำให้ เห็นตัวเองนั่นแหละ กดของตัวเอง ตัวเองนั่นแหละ ทำลืมเลือนของตัวเอง แต่ตัวเอง ยิ่งฝังแน่น ลึกเข้าไป เป็นอนุสัย ฝังลงไปเป็นอนุสัย เป็นตัวที่นอนนิ่ง นอนลึก นอนเนื่อง แล้วมันก็ไม่ขึ้นมา แสดงตัว นึกว่าตัวเองหมด เปล่า มันยิ่งแน่น ยิ่งหนัก แต่ถ้ามันยิ่งเป็นตัวมัน มันยิ่งเกิดบทบาท มันยังเกิดรับอยู่นี่ มันไม่ได้สูญไปอย่างที่กล่าวแล้ว มันยังเจริญอยู่ หนักเข้าๆ โตเข้า ๆ ก็ทำให้ฤทธิ์แรง มันออกมาว่า เราก็ชักจะเบื่อ ชักจะเซ็ง ชักจะไม่ค่อยจะเอาถ่านแล้ว กลายเป็น คนที่ไม่เบิกบาน ร่าเริง ไม่ฉันทะ ไม่ยินดี เบื่อหน่าย

เสร็จแล้วก็ทั้งๆที่รู้ว่า หมู่นี้ดี มันก็ยังไม่ทนอยู่ กับหมู่นี้ได้ เพราะอัตตามันใหญ่ อัตตามันใหญ่ ฟังดีๆ ถ้าออกไปเพราะกิเลสกามกิเลสตื้นๆ อะไร ก็ยังพอทำเนาหรอก แต่ที่อออกไปด้วย อัตตามานะ มันจะเป็นลักษณะอย่างนี้ อาตมาว่า ร้ายกาจกว่าออกไปด้วย กิเลสกามด้วยซ้ำไป เพราะว่าออกไปอย่างมืด ถ้าออกไป อย่างกิเลสกาม นี่ ทนกิเลสกามไม่ได้ละก็ อายเพื่อนฝูง แล้วก็ออกไป เออ ตัวเองยังยอมรับว่าตัวเองนี่นะ มีสิ่งที่ไม่ดี ไม่งาม ที่ชัดแจ้งว่า ไม่เข้ากับหมู่เขา แต่นี่ไม่ละ จะโทษหมู่ว่าหมู่นี้ ไม่รู้จักกู นี่ว่ากูใหญ่นะนี่นะ กูเองกูมีความดีนะ กูเบ้งนะ เสร็จแล้ว เอ็งไม่รู้จักค่าของกู กูไปก็ได้วะ ไปนี่นะ ร้ายกาจกว่าคนที่ อย่างที่ว่า ตัวเองยอมรับว่า ตัวเองมีกาม มีความไม่ดี ไม่งาม เออ เราออกไปจากหมู่เถอะ เพราะว่าเราเอง เรามันต่ำมันต้อย มันไม่ดีไม่งามนะ แปดเปื้อนหมู่เขา ไอ้นี่มันไม่นะ บอกเอ็งไม่รู้จักข้า ข้าใหญ่นะ เอ็งไม่รู้จักข้า เอ็งนะทำเป็นไม่รู้จัก ไม่รู้จักเลี้ยงดู ไม่รู้จักประคบประหงม ไม่รู้จักสิ่งที่มีค่า ข้าไปของข้าก็ได้ เหอะ เอ็งไม่รู้จักข้า ตามืดตาบอด คนที่มีอัตตามานะอย่างนี้ ออกไปนี่นี้ อาตมาว่าร้ายแรงกว่า ฟังดูดีๆ ร้ายแรงกว่า อาตมาไม่อยาก ให้เกิดสิ่งเหล่านี้นะ ที่กล่าวๆ ที่วิเคราะห์วิจัยให้ฟัง ไม่อยากให้เกิด

พวกเรานี่ ทำงานอยู่ด้วยกัน หลายคนไม่รู้จักตัวเอง เสร็จแล้ว อ้างอิงเหตุผลต่างๆนานา ตัวเอง จะวางมือ ตัวเองจะเลิกแล้ว ตัวเองจะพักแล้ว ตัวเองจะอะไรแล้ว แต่แท้จริง คือ อัตตามานะ ของตัวเอง ที่ตัวเองชักเหนื่อยเฉื่อย ท้อแท้ แล้วมันซับซ้อนลึกซึ้ง มันคือ อัตตามานะ เอ๊ะ! กูทำดีขนาดนี้ ทำไมคนถึงได้ไม่เชื่อกู ทำไมกูไม่มีฤทธิ์บ้างก็ตาม ทำไมคนมีแต่มาติ มาเตียนกู ทำไมคนจะมาว่า มาอะไรกู มันก็ท้อแท้ มันก็เฉื่อย ก็เนือย แม้ต่อให้คุณเป็นคนขยัน ไม่ขี้เกียจด้วย ก็ต้องท้อแท้ได้ ถ้าเผื่อคุณไม่รู้จักความจริง มันก็ไม่สู้ มันก็จะถอย มันก็จะถอย ยิ่งทีนี้ ยิ่งเป็นคนที่มีโรคขี้เกียจเสริมด้วย ง่าย ทีนี้ง่าย ไอ้ท้อแท้ ก็อ่อนแอ ยังไม่พอ แถมตัวเอง ยิ่งขี้เกียจด้วยก็ไวซิ สองมิตรสหาย ขี้เกียจๆ ผสมด้วย แล้วก็เห็นว่า ท้อแท้มีมานะ อัตตาใหญ่ด้วย ไปเลย ยิ่งไม่ช้ายิ่งเร็ว คนพรรค์นี้ยิ่งเร็ว ยิ่งมีกิเลสหลายๆแง่ มีกิเลส หลายเหลี่ยม แต่เป็นกิเลสที่ร่วมมือกันนะ กิเลสพวกนี้ร่วมมือกัน กอดคอกัน ที่จะฉุดกันลงต่ำ มันก็ยิ่งต่ำเร็วยิ่งไปไว

อาตมาพูดแล้วเมื่อกี้ว่าต่อให้คุณเป็นคนไม่ขี้เกียจเสียด้วยซ้ำ มีแง่แต่แง่ว่า มีตัวมานะอัตตา ไม่ใช่กิเลสตัวขี้เกียจด้วยซ้ำ ให้เป็นคนขยันด้วยซ้ำ ก็ยังท้อแท้เลย ท้อแท้ได้ ถ้าเราไม่รู้แจ้ง รู้ชัด และก็ไม่สู้กับมันจริงๆ มันเล่นเรา แล้วเราไม่รู้มัน มันเล่นเรา เราก็แพ้มัน แพ้ก็คือ นั่นแหละ เราก็คือ ผู้พ่ายแพ้ อาตมาเคยถามพวกเราหลายคน ที่จะถดถอย ออกไปจากหมู่ อาตมาถาม จริงๆเถอะ หมู่อโศกนี้ ไม่ดีจริงๆนะเหรอ ดี ยอมรับดี แต่ผมมันไม่ดีเอง พออาตมาทักกว่านี้ ก็ว่าตัวเองว่าไม่ดี แล้วตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองไม่ดีอะไร ไม่ได้ออกไปด้วยเหตุของกาม อย่างที่ อาตมาว่า ไม่ได้ออกไปเพราะเหตุนั้น มันก็อัตตามานะว่าทำไมละ ก็ทำไม ไม่เรียนรู้อัตตามานะ ข้างนอกนั่นน่ะ มันไปข้างนอก มันยิ่งอัตตามานะโต เพราะไม่มีใครจะมาเรียนรู้ อัตตามานะ ได้ลึกซึ้ง เหมือนอย่างอยู่ในหมู่กลุ่มนี้หรอก ข้างนอกนะ เขาไม่เรียนรู้ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจ อะไรหรอก เราก็ยิ่งย่ามใจ เพราะข้างนอกนั่นน่ะ มันย่ามใจได้ง่าย แล้วมันก็หลงผิด อย่างที่ อาตมา อธิบายตอนต้นแล้ว อย่าว่าแต่อัตตามานะ จะได้ทำความดีเลย ในกามยังไม่รู้ตัวเลย ในอบายมุข มันยังไม่รู้ตัว ว่าเป็นอัตตามานะ แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไรละ

ในทางโลก สังคมโลกๆ ใครจะมาช่วยคุณ ใครจะมาติงมาเตือน ใครจะมาชี้คุณ ไม่มี มีแต่เขาจะเยินยอคุณ เพราะคุณ มีความรู้ลึกซึ้งกว่านั้น ลึกซึ้งกว่าเขา มีแต่เขาจะมายกย่อง สรรเสริญ แล้วคุณเป็นไง ก็ยิ่งโอ้โฮ ! จะยิ่งมหาใหญ่เลย อภิบรมมหาใหญ่เลย มีแต่จะเจริญ ในอัตตามานะไปอีก ไม่มีทางจะลดได้เลย ไม่มี ขอยืนยัน ยากมาก ยากมากที่จะได้ลด ได้ละ

พวกที่ไปด้วยอัตตามานะ ส่วนมากไม่ค่อยกลับ พวกกาม จะทุกข์จัด พอออกไปทางกามแล้ว ส่วนมากจะกลับ ไม่ใช่ส่วนมากหรอก จะกลับพวกกามบางคน บางทีก็ไม่กลับ อย่างที่ว่า แต่ว่ากามนี่ พวกที่ออกไปด้วยกาม อำนาจของกิเลสกามนี่ จะกลับมามากกว่าคนที่ออกไป ด้วยอำนาจ ของอัตตามานะ ออกไปจากหมู่นี่ จะมีกลับเข้ามาได้มากกว่า ผู้ที่มีอัตตามานะ นอกจากที่ออกไปแล้ว ก็เอาละ อัตตามานะก็มีน้อยหรือว่า ก็ยังวนเวียน มาศึกษา เพิ่มเติม อยู่บ้าง ก็เอาไปเอามาก็เห็นทุกข์ ส่วนกามออกไปแน่ๆเลย ว่ามันเห็นทุกข์ชัด แล้วเราเรียนรู้กัน พอสมควรอยู่แล้ว ฐานกามเป็นฐานเบื้องต้น มันก็จะเห็นทุกข์ เห็นอะไร เพราะฉะนั้น เห็นอะไร มันก็จะทุกข์ สุดท้ายก็ไปๆมาๆ โอ๊ ไม่ไหวละ จะได้เห็นว่า พวกเราไป สุดท้าย ก็กระล่องกระแล่ง ทำเป็นมีอัตตามานะไม่มากนัก ก็มาง่าย ถ้ายังแถมมีกามออกไปด้วย แล้วก็อัตตามานะมากด้วย ฮึ! ฮึ! หมดหวัง ไอ้หวังตายแน่จริงๆ ไม่มีหวัง ซวยไปเลยนะ หมดท่าไปเลยนะ

ในหมู่พวกเรานี่ อาตมาก็อยากจะเตือนหมด ตั้งแต่สมณะไปเลยทีเดียว ตรวจตรานะ สมณะ สิกขมาต กรัก นาค ปะ อะไรก็แล้วแต่ ไล่ไปจนถึงฆราวาสทุกคน เรื่องอัตตามานะ นี่ลึกซึ้ง ลึกซึ้ง ซับซ้อนมาก เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเรา ได้พยายามตรวจ อ่านความเป็นจริง ตามความเป็นจริง ว่านี่มันเกิดนะ อาการมันซับซ้อนอย่างนี้

ถ้าผู้ใด รู้ตัวว่าเรารู้สึกเฉื่อยเนือยเมื่อไหร่นั่นแหละ ธรรมดาแล้ว ผู้บรรลุธรรม มันจะเบิกบาน ร่าเริง กระปรี้กระเปร่า active ไม่ใช่ว่าเฉื่อยเนือย เซ็งจืดชืดไม่ใช่ ร่าเริงเบิกบาน สดชื่นนะ สดชื่น ร่าเริง เบิกบาน นะ เราอย่าเข้าใจผิดนะว่าการสงบ หรือความสงบนี้คือความนิ่ง จืด เฉื่อย ไอ้นั่น มันคนจะหมดลาน คนเซ็งเสียแล้ว คนจะหมดลาน หรือคนไปหลงผิดเข้าใจในภพที่ผิด เข้าใจในลักษณะ ไม่ใช่คุณ อาตมาไม่เรียกคุณนะ ไม่ใช่คุณลักษณะ เข้าในลักษณะของ ความสงบ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ จริงในความเรียบร้อย ในความสุภาพ เรียบร้อยนั้นดี ในความสุภาพ เรียบร้อยนั้นถูก จะเป็นคนที่คล่องแคล่ว แต่มีความสุภาพ เรียบร้อยในตัวได้ ได้ซ้อนมาคิดดูให้ดี ฟังให้ดีๆ คนที่สุภาพเรียบร้อยนั่น นะถูก ลีลาการอะไรต่ออะไร มันลีลาอาการมันสุภาพ เรียบร้อย แต่เร็วนะ เร็วก็ได้ เร็วขึ้นด้วย เร็วขึ้นแต่สุภาพเรียบร้อย คล่องแคล่วขึ้น ปราดเปรียวขึ้นได้ สงบ สุภาพ เรียบร้อย

แต่คนที่ไม่สงบ ไม่สงบ ต่อให้คุณนิ่งยังไงๆนะ ช้าต่อให้ ช้ายังไงๆ นิ่งยังไงๆ ก็แล้วแต่เถอะ อย่างนั้น ไม่ใช่ตัวสุภาพหรอก เพราะจิตไม่สงบ ให้นิ่ง ให้เป็นคนนิ่งๆ เป็นคนช้าๆด้วย ไม่ใช่ความสุภาพหรอก เป็นความเฉื่อย เป็นความติด เป็นความหยุดที่เฉโก หยุดที่มิจฉาทิฏฐิ หยุดที่ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ความฉลาดเฉลียวที่ถูกต้อง ไม่ใช่ความรู้ที่ถูกต้อง เราจะหยุด สมควรจะหยุด จะพักเราก็พัก เราก็หยุดก็พัก เราก็รู้ว่าหยุด ก็พัก เราสมควรจะผ่อน เราก็รู้ว่า จะผ่อน สมควรจะช้าลง สมควรจะผ่อนลง ในกาละที่ควรผ่อน ควรช้า แต่ธรรมดาสามัญแล้ว เราก็จะมี มันมีบทบาทอิริยาบถ หรือกิริยา มันก็มี จะมีกิริยาที่เร็ว เชี่ยวชาญ ชำนาญคล่อง ก็จะมีกิริยาอิริยาบถ ที่ชำนาญ คล่องแคล่ว เร็วด้วย แต่ไม่ร้อน

แหม ภาษานี่มันซ้อนนะ ธรรมดาสามัญแล้ว เร็วจะร้อน โดยรูปธรรม จะเป็นอย่างนั้น แต่จิตใจ ที่เร็ว ที่เป็นความสงบนะเร็ว จิตใจที่เร็ว เป็นความสงบจะไม่ร้อน และก็จะเรียบร้อยด้วย จะเรียบร้อย จิตที่เร็วไม่สับสน ไม่ขัดแย้ง ไม่ปะทะ ไม่กระแทกหรือว่าไม่ทำลายจริงๆ ก็ไม่ทำลาย มันจะต้องมี ความแคล่วคล่องชำนาญ มีความรู้รอบอย่างแท้จริงนะ ที่มันจะสอดร้อย สัมผัสสัมพันธ์ เข้าไปในนั้นอย่างดีด้วย เพราะฉะนั้น ความขัดแย้ง หรือว่าความที่ไม่ลงตัว ลงสภาพกันนี่ ที่อาตมาค่อยๆวิเคราะห์ให้ฟังว่า ความช้าหรือความหยุด ไม่ได้หมายความว่า เป็นความสุภาพทีเดียว นี่ฟังยากนะ คนในโลกนี้เขาบอก อะไรคนช้าๆ คนหยุดๆอย่างนี้สุภาพซิ มีแต่คน กะเปิ้บกะปาบ ปู๊ดปร๊าดอะไรอย่างนี้ซิเป็นคนไม่สุภาพ ไม่จริงหรอก คนคล่องแคล่ว สุภาพได้ เร็วๆๆมากๆก็ได้ แต่คล่องแคล่วสุภาพเรียบร้อย ไม่มีอะไรเสียหาย ถูกร่อง ถูกช่อง ถูกจังหวะ ถูกเส้นโคจร ถูกวงโคจร ถูกทางถูกอะไรๆ ไม่ปะทะ ไม่ไปชน ไม่ไปเกะ ไม่ไปกะอะไร คล่อง ลื่นเรียบงาม เร็ว มันจึงไม่ร้อน มันจึงไม่เเกิดเสียหาย ฟังภาษาไทยที่อาตมา พยายาม วิเคราะห์นี้ให้ฟัง

คนที่จะได้สภาพที่สุภาพที่ดีสมบูรณ์แบบจริงๆ จึงต้องอาศัยความฝึกปรือ ความรู้ มีทั้งความรู้ มีทั้งความฝึกปรือที่ชัดเจน และได้สัดได้ส่วน คุณลักษณะสูงๆ วิเศษๆพวกนี้นี่ ไม่ได้เป็นได้ง่ายๆ เป็นได้ยาก แต่คนนั่นแหละเป็นได้

ในระยะแรกๆที่เราเองยังทำไม่ถูกร่องถูกช่อง เราถึงต้องภาคปฏิบัติ ในฐานหนึ่ง เราจะต้อง ช้าเสียก่อน ช้า สุขุม ใช่ไหม เราจะต้อง ช้า สุขุม และก็หาคุณลักษณะของ ความอ่อนโยน เบิกบาน อะไรต่ออะไร มาไว้ประกอบ ความอ่อนโยนเบิกบานนั้น ก็จะมาใช้ประกอบ ในกรรม กิริยาของเรา ให้มันสอดคล้อง และโดยเฉพาะสัมมาทิฐิ ในความเห็นที่ถูกต้อง และก็ปฏิบัติทั้ง สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ หรือกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่ประกอบไป อยู่ด้วยการงาน อันสัมผัสสัมพันธ์ การอยู่กับกลุ่ม เราจะต้องอ่านซอกแซก รู้กาโย องค์ประชุม องค์ประชุม มีทั้งวัตถุ มีทั้งบุคคล มีทั้งพฤติกรรม มีทั้งจิตวิญญาณ ร่วมอยู่ในนั้นเสร็จ ต้องอ่าน ต้องมีญาณปัญญา ที่จะซอกแซก วิจัยวิจัยออกมา ให้รู้ละเอียดลออในนั้น แล้วเราก็ปรับ ปรับตัวเรา ของคนอื่นจะเป็นกระจกเงาให้แก่เรา เป็นกระจกฉายให้แก่เรา เราจะเห็นของคนอื่น อ๋อ ของเขาเป็นอย่างนี้ แล้วมันจะรู้ง่าย เพราะว่าเราเอง มองตัวเอง มันมองต้องใช้สำนึกมอง

เราจะรู้สึกตัว เราก็ต้องมองตัวเอง มีสติสัมปชัญญะ รู้ว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของเรา มันออกมา ท่าที ลีลา อะไร เราก็ยังใช้สำนึก แต่ข้างนอกนี่ เราใช้ดวงตาได้ เห็นครับ มีตา มีเสียง มีอะไรต่ออะไร ออกไปข้างนอก มันก็เกินชัด เราจะมองเข้ามาย้อนเข้ามาข้างใน เอาสำนึก มามองกับเรานี่ มันยากกว่ามองไปข้างนอกนี่ มันเห็นง่ายกว่าใช่ไหม ก็เป็นเหมือนกระจกเงา ฉายให้แก่เรารู้ ใครจะมีข้อบกพร่อง ตามที่เรามีความรู้ รู้แล้ว ตามทฤษฎี ตามหลักการ อะไรว่าอย่างนี้ไม่ดี อย่างนี้เป็นมิจฉา อย่างนี้เป็นทุจริตอกุศลอะไร เราก็เข้าใจ อย่างนี้เป็นกุศล อย่างนี้เป็นสุจริต อย่างนี้เป็นความถูกต้องอะไร หรือเป็นสัมมาอะไร เราก็รู้ให้ชัด รู้ชัดคือ อาตมาก็ได้เตือนแล้วว่า รู้ความจริงตามความเป็นจริง อย่าไปลบหลู่ อย่าไปดูถูก อย่าไปเพ่งโทษ อย่าไปข่มขี่ผู้อื่นเขา เขาเป็นก็เป็นของเขา แต่อาการที่มองว่า ไปข่มขี่เขา ไปดูถูกดูแคลน ไม่เพ่งโทษ อาตมาเลยขยายความ ลักษณะเพ่งโทษ อย่าไปเพ่งโทษ เป็นแต่เพียงมองให้รู้ อ่านให้รู้ หรือสัมผัสแล้ว เราก็ได้รู้ รู้ว่า อันนี้มันไม่ถูกมันไม่ดี แล้วก็รีบตรวจตัวเอง รีบหัน ย้อนกลับมาตรวจตัวเอง แล้วอย่างนี้ เราเป็นหรือเปล่า เป็นขนาดนี้ไหม หรือเป็นน้อยกว่านี้ มันเป็นกระจกฉาย เป็นกระจกเงา ที่จะให้ประโยชน์แก่เรา เราได้กระจกฉาย กระจกเงา ที่เราจะต้อง เมื่อได้รับการสะท้อนภาพนั้นแล้ว เราก็รีบมาอ่านย้อนดูตัว ย้อนดูตัวเรา ก็จะได้ปรับปรุงที่ตัว

ไม่ใช่ว่าเราจะเอาคนอื่นเป็นกระจกฉาย เป็นกระจกเงา เสร็จแล้ว เราก็ไปทุบกระจก หรือไปฆ่าเขา จริง ด้วยความเมตตาเกื้อกูล เราก็จะช่วยเขา เมื่อเห็นเขาไม่ดี เราก็จะช่วยเขาเหมือนกันนะ ผู้ที่เมตตา กับผู้เพ่งโทษจึงไม่เหมือนกัน ผู้ที่เมตตาก็เห็นเขาไม่ดี เราก็ได้รู้ ได้รู้จักเขาเป็น กระจกเงา แล้วเราก็เมตตา คือ เขาก็ไม่ค่อยดีนะ เราก็อยากจะช่วยเขา จิตใจที่อยากจะช่วยเขา เป็นเมตตาที่แท้จริง อย่างบริสุทธิ์ใจ เราก็จะช่วยเขา แต่ไม่ใช่ เพราะโกรธเพราะชัง เพราะไปข่ม ไปขี่อะไร ไม่ใช่นะ คนชังกับเขา จะไม่อยากช่วยหรอก เห็นเขาชัง เราก็มีหนำใจ เออ ดี เอ็งชั่วได้ชั่วไป ข้าดีกว่าเอ็ง ก็ริษยา แต่ถ้าเผื่อเราเห็นเขาชั่ว เขาไม่ดีไม่งามอะไรแล้วนี่นะ เราจะไม่เกิดอาการ ที่อยากให้เขาชั่วต่อ และเราก็จะไม่คันหัวใจ เราก็จะไม่เจ็บหัวใจ เราไม่ทุกข์นั่นเอง

ถ้าคนเราจิตใจที่มันว่าง มันไม่มีกิเลส มันก็จะไม่ทุกข์ แต่มันจะรู้ ถ้าอาตมา เห็นพวกคุณชั่ว พวกคุณต่ำ พวกคุณไม่ถูกต้องนี่นะ อาตมาทุกข์ อาตมาคงจะต้องตายแน่ๆเลย ตายเพราะทุกข์ เพราะว่า เห็นคุณทุกข์ เห็นคุณชั่วนี่เอง เพราะมันเยอะนะ อาตมายิ่งเห็นชัด ใช่ไหม ยิ่งเห็นมาก โอ๊ย! เห็นวันๆหนึ่งตาย ลืมตาไม่ไหวละ ลืมตานี่ตายเลย เห็นแต่คนทุกข์ เห็นแต่คนชั่ว แล้วเราก็ทุกข์ เพราะเห็นแต่คนชั่ว เห็นแต่คนไม่ถูกต้อง เห็นแต่คนไม่ดี อาตมาก็ต้อง ระเบิดแน่ๆ เลย อัดอั้นตันใจเท่าไหร่ๆ ก็ไม่ไหว เพราะฉะนั้น ต้องเข้าใจจุดนี้ให้ดีๆ อย่า ไม่ใช่ไปเห็นคนชั่ว แล้วเราก็ โอ้โฮ คันหัวใจ ทุกข์ร้อนเดือดร้อน ว่า อย่าโง่ๆ เดี๋ยว จะโง่ไม่เสร็จอีก อย่าโง่ บอกแล้ว มันต้องเมตตา อย่าไปมองด้วยความคันหัวใจ ความทุกข์ร้อน รู้ความจริง ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เมื่อรู้ความจริง ตามความเป็นจริงแล้ว จิตอาการของเมตตา คุณลักษณะของ เมตตา คือเห็นทุกข์แล้ว อยากให้เขาหายทุกข์ อยากให้เขาพ้นทุกข์ อยากให้เขาเลิกจากสิ่งที่ มันเป็นทุกข์ หรือเป็นความไม่ดีนั้นๆ ให้เขาหาย มันมีการอยากจะให้เขาเป็นอย่างนั้น จริงๆ มันเป็นความเอื้ออารี ไม่ใช่ความไปกระหน่ำย่ำยีเขา ไม่ใช่ความชิงชัง

ที่จริง ถ้าจะว่าแล้ว เป็นความสัมผัสสัมพันธ์ เป็นความรักในภาษาของศาสนาคริสต์ นั่นเขาเรียกว่า ความรัก พระเจ้าไม่ได้ไปรัก ไม่ได้ไปชังซาตานหรอก ไม่ได้ไปโปรดซาตานหรอก รักสิ่งทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลก แม้แต่ศัตรูของเราก็ให้รักอย่างที่ท่านว่า เพราะฉะนั้น จะไม่ใช่อาการ ที่จะไปชัง อาการจะรักด้วยซ้ำ บอกอยากจะให้เมตตา จะมีลักษณะอาการจะรักเขา ไม่ใช่รัก อย่างปฏิพัทธ์ อย่างมันเป็นภาระอันหนึ่งที่เกิดขึ้น อย่างพระโพธิสัตว์นี้เรียกได้เลย ว่าเป็นภาระ อันหนึ่ง เราก็จะต้องรับภาระ อันนี้จะต้องเข้าไปช่วย โพธิสัตว์จะมีเลือดมารับภาระ เอาเป็นงาน คือเพิ่มขึ้น แล้วเอามันจะเป็นกำลังอีกอันหนึ่ง ที่เราก็จะต้องเพิ่มขึ้น มันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยแหละ

ถ้าเราสามารถยิ่งขึ้นแล้วเรายิ่งทำได้มากขึ้น มันก็เป็นประโยชน์คุณค่ามากขึ้น เราก็ชำนาญ มากขึ้น จะเรียกว่า เป็นบุญเป็นกุศลของเรา ก็เป็นบุญกุศลของเราก็มากขึ้น เมื่อเราได้ทำมากขึ้น เพราะฉะนั้น ที่คนเราจะไม่เกิดอัตตามานะ ก็คือ ลักษณะที่จะต้องรู้เลยว่า จิตของเรา จะวาง จะว่างลงไปจริงๆ แม้จะกระทบสัมผัส คนที่ไม่ดี อยู่ข้างนอกนี้ อย่างที่เป็นกระจกเงา กระจกฉาย อย่างที่ว่าข้างนอก เราก็จะต้องรู้อาการของจิต อ่านใจของเราเองให้ออกว่า เราเกิดอาการชัง เกิดอาการลบหลู่ เกิดอาการเบ่งข่ม เกิดอาการไม่ใช่เมตตา ไม่ใช่ความรักชนิดเมตตา แต่กลายเป็น ความผลักความชัง ความเกลียดความข่ม ความไม่เป็นไปทางหมายดีให้แก่เขา หรือไม่ ถ้าเป็นแล้ว ก็อย่างนั้นนะแย่แล้ว แย่แล้วเป็นอัตตา เป็นตัวยกตัวยกตน ชนิดหนึ่ง เป็นมานะถือดี ถือตัวถือตน ยกตัวยกตน แล้วก็ไปข่มคนอื่น

แต่ถ้าเรารู้ว่าเขาไม่ดี แล้วเราก็รู้ว่า เราพอจะช่วยเขาได้ หรือช่วยไม่ได้ก็ตาม แต่เราก็ไม่ได้เป็น อย่างเขาเป็น เราก็รู้ความจริงว่า เราไม่ได้เป็นอย่างเขาเป็น เราดีกว่าเขา เราก็รู้ความจริง แต่ไม่ได้ไปข่มเขา ไม่ได้จะอวดอ้าง หรือว่าไปถล่มทลายเขาอะไร ก็สักแต่รู้ แล้วเราก็ประมาณ ตนว่า อย่างเรานี่ เราช่วยเขาได้ไหม ถ้าช่วยเขาไม่ได้ ก็วางมือเสียก่อน ปล่อยเขาไปก่อน ก็ช่วย ไม่ได้หนอ แม้จะเมตตา แม้จะต้องการให้เขาพ้นทุกข์พ้นชั่วพ้นเลว อะไรนั้น เราก็ไม่สามารถ ช่วยเขาได้ หรือว่าก็จะช่วยเขาได้ แต่ตอนนี้มันไม่ว่าง ไม่มีโอกาส ภาระมันเยอะ งานมันเยอะ งานมันช่วยไม่ได้หรอก ตอนนี้คนนี้เห็น ทั้งๆที่เห็นอยู่ รู้ทั้งที่รู้อยู่ว่า เขายังอยู่ในความตกต่ำนั้น แต่มันก็ช่วยไม่ได้ ยังไม่มีเวลา ไม่มีโอกาสจริงๆ ก็ต้องปล่อยเขาไปนะ

นี้เป็นความรู้ จะรู้กลางๆ รู้ตามความเป็นจริง อย่างนี้ โดยที่ตัวเอง ไม่เกิดอัตตา ไม่เกิดมานะ จริงๆ คนผู้นี้ก็มีประโยชน์คุณค่าต่อสังคม ต่อผู้ที่อยู่ร่วม มนุษยชาติทั้งหลายแหล่ ก็อยู่กันไป ก็เกิดคุณค่าอย่างจริงจัง นี่ลักษณะอัตตามานะ มันมีซับซ้อนลึกซึ้ง ถึงอย่างที่อาตมาค่อยๆ วิเคราะห์ วิจัยไป ยังจะวิเคราะห์วิจัยอีกมาก แล้วนี่ก็พูดไปเรื่อยๆ ฟังลักษณะต่างๆของมัน ฟังให้ดูดี แล้วก็เทียบกับความเป็นจริง ที่เราเคยเกิดอาการอย่างนี้ เราเกิดอาการนี้ แหมพูดนี่ เปี๊ยะเลย โอ เราระลึกได้ ตอนนั้นเกิด แหม จัดจ้านกว่านี้อีก กว่าที่อาตมาพูดนี่อีก บางคน อาจจะบอกไม่จัดจ้าน เท่าที่อาตมาพูดหรอก แต่ใช่ละ ลักษณะอย่างนี้ๆ ลีลามันอ่อน อ่อนกว่า ที่อาตมาพูด แต่ว่าอย่างนี้

เราก็จะได้เข้าใจว่ากิเลสเหล่านี้ มีอยู่ที่เรา เราเคยเกิดเคยเป็นเคยมี ยังไม่ดับมัน เพราะฉะนั้น มันเกิดเมื่อไหร่กับเราอีก เราก็จะรู้เท่าทันไวขึ้น เพราะเราได้ความเข้าใจที่อาตมาอธิบายให้ฟัง คุณก็จะไปตรวจตรา อาการ ลิงคะ นิมิตของตนเอง รูปนามของตนเอง ที่มันจะเกิดอีกเมื่อใด ก็แล้วแต่ เราก็จะได้ปฏิบัติ ตัวเราได้ปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้ลดละกกิเลสเหล่านี้ลงไปอีก

นี่พวกเรามาอยู่ๆนี่นะ อาตมาก็พูดขึ้น แล้วก็ให้ตรวจตราดู หลายคนเซ็งๆเบื่อๆหน่ายๆ นั่นมัน ลักษณะ อัตตามานะมันโตขึ้นๆ มันเจริญงอกงามไพบูลย์ทั้งนั้นแหละ อัตตามานะ มันเจริญ งอกงามไพบูลย์ แหม ฟังแล้วก็น่าชื่นใจไหม อัตตามานะมันเจริญงอกงามไพบูลย์ น่าชื่นใจไหม ฮึ ฮึ โอมันไม่ได้น่าชื่นใจ แต่มันฟังๆภาษาแล้ว งอกงามไพบูลย์แล้ว อาตมาอ่าน พระไตรปิฎก ภาษาพวกนี้ ท่านใช้มาแล้ว ฟังดูแล้วก็บอกว่า นี่พวกอกุศลงอกงาม เจริญ งอกงามไพบูลย์ ปัดโถ ไอ้อกุศล มันไม่น่าจะมาเรียกมันว่า งอกงาม แต่มันเจริญ งอกงามไพบูลย์ ถ้าใช้ถูก ไอ้เรา มันไม่ค่อยได้ชินหนะ ฟังแล้วบอกเจริญงอกงามไพบูลย์ น่าจะมีแต่ส่วนกุศล หรือว่าส่วนที่ดี ที่ไหนได้ ไอ้ตัวอกุศล ส่วนที่ไม่ดี มันก็เจริญงอกงามไพบูลย์เหมือนกัน มันเจริญงอกงามไพบูลย์ จนกระทั่ง เราตกต่ำละ แม้จะอยู่กับหมู่กับกลุ่ม แทนที่กลายเป็นคนที่มีอิทธิบาท มีฉันทะ มีความยินดีปรีดา มีวิริยะ มีความเพียร กระปรี้กระเปร่า แหม ขยัน ขวนขวาย เป็นคนขวนขวาย เป็นคนกระปรี้กระเปร่า ขยันเพียรเห็นอยู่ ชัดๆ เป็นคนมีความยินดี เบิกบาน ไม่เศร้า ไม่หด ไม่เหี่ยว ไม่หู่ ไม่จืดไม่ชืดไม่เซ็ง เบิกบานร่าเริงอยู่อย่างนั้นแหละ

คนที่มีคุณลักษณะเอาใจใส่ กับคนที่มีคุณลักษณะเฉื่อยๆเนือยๆ นี่ต่างกัน คนที่เป็นคน มีคุณลักษณะจิตตัง ในอิทธิบาทนี่ เป็นคนมีคุณลักษณะเอาใจใส่ มันจะเห็นเลย ลักษณะ คุณฟังออกไหม คุณพอเดาออกไหม คนในลักษณะของคนที่มีจิตตัง ภาษาจิตตัง ภาษาของบาลี ภาษาของภาษาไทยชัดๆเลย คือคนมีน้ำใจ จิตก็คือน้ำใจนั่นเอง คนมีน้ำใจ คนมีจิตตัง และลักษณะที่ชัดเด่น ก็คือลักษณะเป็นคนที่ไม่เฉื่อยๆ ไม่แฉะๆ เป็นคน มีความเอาใจใส่ กระปรี้กระเปร่า คนมีน้ำใจนี่ จะเป็นคนมีความเอาใจใส่คน ความเอาใจใส่ กระปรี้กระเปร่า มีอะไรนี่ แว่ว พอได้ยินนี่ปุ๊บปั๊บๆ เป็นคนมีน้ำใจไว และกระเตื้องนะ จะต้อง กระปรี้กระเปร่าอะไร อ้อ ไปช่วยเหรอ มีน้ำใจ อ้อ ไอ้นี่บกพร่องเหรอ อ้อ อันนี้ต้องการ ความช่วยเหลือเหรอ ปุ๊ยๆๆๆ มีน้ำใจเป็นคนกระปรี้กระเปร่า คล่องแคล่ว เอาใจใส่ ต่อสภาวทุกข์ ของโลก หรือความตกต่ำของโลก เพื่อจะช่วยเหลือ หรือแม้แต่ช่วยเหลือผู้ที่ดี ให้ดียิ่งขึ้นก็ตาม โดยเฉพาะ ยิ่งผู้ที่ตกต่ำหรือผู้ที่ทุกข์เลยต้องรีบ รีบช่วยเหลือก็แน่ๆ แล้วหละ จะต้องรีบ ช่วยเหลือ คนตกต่ำ จะเป็นคนมีจิตตัง จิตตะเอาใจใส่ เป็นคนมีน้ำใจ จิตตะหรือเอาใจใส่ หรือมีน้ำใจ เป็นคนมีน้ำใจ จริงๆ คนที่มีอิทธิบาท แล้วก็จะฉลาดเฉลียวเพิ่มขึ้น เพราะมีวิมังสา ประกอบด้วย

เพราะฉะนั้น องค์สี่ของอิทธิบาท จะเห็นได้สำหรับสมณะ พระพุทธเจ้า ถึงตรัสว่าสมณะมีอะไร เป็นเครื่องแสดง สมณะเขามีความหมั่นเพียร หรือมีอิทธิบาทนี่แหละเป็นเครื่องแสดง จะเห็นรอยๆ ไรๆ หรือว่าคุณลักษณะสัญลักษณ์ของฉันทะ ยินดีเบิกบานพอใจ ไม่เป็นคน ขี้ไม่พอใจ ใครที่เป็นคนช่างขี้ไม่พอใจ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ขี้ไม่พอใจ คนนั้นห่างจาก ความเป็นสมณะ คนนั้นห่างจากความเป็นอริยะ อะไรนิด อะไรหน่อย หรือไม่ก็หน้าบึ้ง หน้าบูด หน้าจืด

พวกนั้นพวกลูกหลาน หมู ฮี ฮึ ฮึ ฮึ หน้ามู่ฮู่ หน้าจืดๆ หน้าเหนื่อยๆ เฉื่อยๆ มันตรงข้ามกับ ความเบิกบาน ร่าเริงนะ ตรงข้าม เพราะฉะนั้น คนที่มีอิทธิบาท อาตมาถึงบอกว่าลึกซึ้งนะ พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า อะไรเป็นเครื่องแสดงความเป็นสมณะ อิทธิบาท ท่านตรัสเท่านี้แหละ โอ้โฮ มันลึกซึ้งนะ อาตมาหยิบมาพูดซ้ำซาก ขยายความไปหลายนัยให้คุณฟัง คุณนึกดูดีๆเถอะ เมื่อมันเป็นเอง เป็นตถตาแล้วนะ มันเป็นเช่นนั้นเองจริงๆแล้วนะ ผู้นั้นได้เป็นตามความจริง นั่นเอง แล้วนะ จะมีคุณลักษณะอย่างนั้น มันไม่มีหรอกลักษณะเฉื่อยๆจืดๆอะไรที่ว่านั้นนะ มันไม่ใช่ ลักษณะของสมณะ มันจะไม่มี มันตรงกันข้ามไปหมดกับลักษณะฤาษี ลักษณะอะไร ต่ออะไร พวกโลกๆเขา ที่เข้าใจผิด มิจฉาทิฐิ มันจะตรงข้ามไปเรื่อยๆแหละ

เพราะคุณลักษณะ พวกนี้ ละเอียดซ้อนนะ ละเอียดซ้อน มันร่าเร่งเบิกบาน มันก็ไม่ใช่ร่าซ่าด้วย ไม่ใช่กระปี๊ดป๊าดปิ๊ว แหม รื่นเริงอยู่จนกระทั่งเหมือนเด็ก ยังกับเด็กไม่เดียงสานะ รื่นเริง เปี๊ยวป๊าว อะไร ไม่เข้าเรื่อง ไม่เข้าราว ไม่มีจังหวะจะโคน แล้วก็ไม่มีขนาดประมาณ เป็นผู้ที่รื่นเริง เกินไป ไม่รู้จังหวะจะโคน แล้วก็ไม่มีขนาด ประมาณนะ เป็นผู้ที่รื่นเริงเกินไป ไม่รู้จะอธิบาย ว่าอย่างไร มันไม่ใช่รอยไร ของความรื่นเริง ไม่ใช่สัญลักษณ์ของความเบิกบานร่าเริง ที่ได้สัดส่วน มีโอกาสมีกาละ มีประมาณ มีโอกาส มีเวลาที่ควรจะเป็น มันจะต้องได้สัดส่วนได้เกี่ยวข้องกับ กาลัญญุตา มัตตัญญุตา จะต้องประมาณได้ถูกหมดเลย ในปริสัญญุตา ในปุคคลปโรปรัญญุตา ในลักษณะของ เนื้อหาขนาดไหน อัตถัญญุตา ธัมมัญญุตา อะไรต่างๆ นานา จะประมาณ ได้สัด ได้ส่วนถูก ซึ่งไม่ตายตัว

แต่ถึงอย่างไรก็ชี้ได้ว่า เป็นอิทธิบาท มีความเบิกบาน ร่าเริงยินดี เป็นความเพียร เป็นความขมี ขมัน กระปรี้กระเปร่า ขวนขวาย วิริยะ เป็นความมีน้ำใจ เป็นความเอาใจใส่ เป็นความ คล่องแคล่ว ไม่ใช่ เป็นคนที่หนืดหนาดๆอะไร ไม่ค่อยมีน้ำใจ ไม่ค่อยจะเอาถ่าน ฟังก็เฉื่อยก็เฉย ก็อะไรนั่นนะ มันมีอัตตาของตัวเอง กูอยากจะอยู่ของกูอย่างนี้ ใครอย่ามายุ่งกับกูเลย เอ็งจะเป็นอย่างไร ก็เรื่องของเอ็ง เอ็งจะตาย เอ็งจะเป็นอย่างไร ก็เฉื่อยๆ ข้าก็ไม่คิดจะช่วย จะเหลือ จะเฟือฟาย จะคิดเกื้อกูลอะไรหรอก ไม่มีน้ำใจอะไรหรอก จืดๆชืดๆเฉยๆ อยู่กับภพของกู หรือไม่ก็กูจะทำอะไรของกู อยู่นี่ ฟังไว้แล้วก็ กูมีงานนี่หว่า อ้างแต่งานของตัวเอง อยู่นั่นแหละ อ้างแต่ภพของตัวเองที่อยู่ กูกำลังพักผ่อน กูกำลังเหนื่อยๆ กูกำลังอยากจะอยู่สงบ หรือกูกำลังทำไอ้นี้ยุ่งๆ ทั้งๆที่ไม่ค่อยเท่าไหร่ แหม ยุ่งๆ กูจะต้องรีบ ต้องเร่ง อะไรก็แล้วแต่ มันก็หาเหตุผลให้กับตัวเอง มันไม่เกิดการเปรียบเทียบ มันไม่เกิดการดูองค์ประกอบ ของสิ่งแวดล้อม ดูองค์ประกอบของอะไรต่ออะไร แล้วก็คำนวณเร็ว เอ๊ มันควรไปช่วยหรือเปล่า ก่อนอื่นนะ มันควรจะต้อง ควรไปช่วยก่อน แล้วมาดูของตัวเอง ที่ตัวเองเป็นอยู่ทำนี่ มันพอ ละได้ไหม ถ้าละได้ มันเปรียบเทียบปั๊บ มันจะไม่อยู่เลย ใจที่มีน้ำใจ มันจะไปช่วยทันที มันจะมีวิริยะ อุตสาหะทันที

เพราะฉะนั้นคนพวกนี้ มันจึงเห็นได้ชัดเจน แล้วคนที่มีอิทธิบาท จะเป็นคนอย่างไร เห็นได้ โอ คนมีอิทธิบาทนี่ เป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนที่ขยัน กระปรี้กระเปร่า เอื้อเฟื้อเจือจาน ไม่ใช่เฉยเฉื่อย อยู่แต่ภพของตัวเอง จะช่วยไปซอกแซกๆ เหมือนคนที่พูดอย่างภาษาหยาบๆ ก็เหมือนคนเสือก เหมือนคนเสือก แต่ไม่ใช่เสือกไม่เลือกเวลา ไม่เลือกที่ ไม่เลือกกาละ ซอกแซกไป อะไรต่ออะไรไป โดยที่ว่า มีจังหวะจะโคน พอดิบพอดี รู้กาลเทศะ รู้อะไรต่ออะไร อย่างถูกสัด ถูกส่วน ซึ่งไม่ใช่ง่ายนะ ไม่ใช่ง่าย มันจะกลายเป็นเสือกง่ายๆเหมือนกัน แต่ไม่ใช่คนเสือกหรอก เป็นคนที่มีน้ำใจ และเข้าไปทำจริงๆ ศึกษาจริงๆ อบรมฝึกฝนตนจริงๆ เพราะฉะนั้น คนอย่างนี้ จึงจะมี พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ซึ่งไม่ง่าย อาตมาพูดนี่ เป็นคุณธรรม ชั้นสูงๆ จริงๆ เราก็ค่อยๆฝึกปรือไป ค่อยๆเป็นไป ถ้าเราเป็นคนมีน้ำใจ เป็นคนมีอิทธิบาทจริง ฝึกไปเรื่อยๆ แล้วมันก็จะขึ้นมา มันก็จะมีสภาพนั้นเป็นตถตา เข้ามาเป็นเช่นนั้นเอง เป็นอัตโนมัติ เป็นไปเลย เป็นได้เอง มันจะเป็นที่เราไปเรื่อยๆจริง

ถ้าคนเรามีนิสัยอย่างนี้ในสังคมหมู่กลุ่ม โอ้ ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่องหรอก ไม่มีอะไรจะลำบาก ยากเย็นเลย มีแต่คนช่วยเหลือกัน มีแต่คนอยู่กันเป็นหมู่เป็นกลุ่ม เป็นกำลัง เป็นพลังรวม ไม่ใช่อะไรก็โดดเดี่ยว ทำอะไรอยู่ต้องการแรงงาน ต้องการคนช่วย ก็ไม่มีคนช่วยเลย เอ๊ย นี่มันจำเป็นแล้ว ยังไม่ค่อยมีใครมาช่วย เรียกยังไม่ค่อยมาเลย แหม สังคมที่แย่ สังคมเรานี่ ก็พยายาม จะไม่ให้เป็นสังคมที่แย่ ประกาศเรียกร้องกันนี่ ที่จริงก็แย่พอสมควรอยู่แล้ว ประกาศ สองที ก็ยังไม่ค่อยมา ประกาศสามที ยังไม่ค่อยมานี่ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ แต่ไม่ค่อยประกาศ อะไรหรอก หรือ ประกาศบ้าง ถ้ามันอยู่ลับตา ก็ประกาศบอกกันปุ๊บเดียว หรือไม่ก็ไปเห็นเอง มีปฏิภาณ ไหวพริบรู้ว่าวันนี้นี่ เขาทำอะไรอยู่ สำเหนียก มีการสำเหนียกรู้กระแสอะไรต่ออะไร พวกนี้แหละ เป็นพลังแห่งการสร้างสรรของมนุษย์ สังคมมนุษย์เรานี่ ไม่ได้เห็นแก่ลาภ ไม่ได้เห็น แก่ยศ ไปทำๆเพื่องาน ทำเพื่อเกิดการรังสรรค์ เกิดการเจริญของงาน ไม่ใช่ทำเพื่อเอาหน้า เอาตา ไม่ใช่ทำเพื่อ เอาใจคนนั้น เอาใจคนนี้ เอาใจคนที่เราไปทำให้ก็ไม่ใช่ เพื่องาน เพื่อความเหมาะสม ของการเจริญสร้างสรร โดยแท้จริงเลย

ป่วยการไปพูดถึง ทำเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ อย่างที่โลกๆโลกีย์ ไม่ต้องไปพูดถึงหรอก ไอ้พวกนั้น ก็ชัดอยู่แล้ว มันเรื่องพื้นฐาน ที่เราก็ศึกษากัน ไม่ได้ทำเพื่อสิ่งเหล่านั้น แม้แต่บำเรอตน ก็ไม่ได้บำเรอตน ทำเพราะเห็นแจ้ง เห็นจริง ด้วยปัญญาญาณ ด้วยความรู้ชัด รู้จริงเลยว่าควร เป็นสิ่งที่ควร เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น คนเจริญงอกงาม หรือว่า คนที่ได้ศึกษา ศาสนาพุทธ ได้เป็นคนเจริญ หรือเป็นอริยะ เป็นคนประเสริฐ เป็นคนพัฒนา ขึ้นไม่ได้จริงๆ มันจะสอดร้อยเข้าใน อย่างที่อาตมาบรรยายมานี่ สังคมที่มีคนที่เป็นอริยะ ที่เรียกว่า อารยะ อริยชน หรือจะเรียกว่า อารยสังคมหรืออารยประเทศ หรือ อารยชนก็ตาม

ถ้าเป็นคนที่มีคุณลักษณะอย่างที่อาตมากล่าว คุณลองเดาๆดูก็ได้ ว่ามันจะเป็น สังคมเจริญ ขนาดไหน เจริญจริงๆนา เพราะฉะนั้น ช่วงชีวิตที่อาตมายังไม่ตาย นี่นะ อาตมาคิดว่า จะต้อง พยายามให้พวกเรา ได้อบรมฝึกฝนพัฒนา ตามที่ว่านี่ ไม่เห็นแก่ตัว และเป็นคนที่มีคุณลักษณะ อันนี้เกิดขึ้นที่จิตใจจริงๆ และเป็นคนที่เป็นจริง มีความขยัน หมั่นเพียร มีอิทธิบาท เป็นสมณะ สูงขึ้นๆ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านว่านี่แหละ มีอิทธิบาท มีความมีน้ำใจ มีความขยันหมั่นเพียร มีความเบิกบานร่าเริง มีฉันทะยินดีพอใจ ในการได้สร้างสรร ในการได้ทำงาน ในการได้ช่วยเหลือ เฟือฟายผู้อื่นนะ ได้ทำงานอะไรๆ ที่เป็นคุณค่าอยู่ ได้สร้างสรรอะไรๆ ลงให้แก่โลก ได้ช่วยเหลือมนุษยชาติ ช่วยเหลืออะไร ที่ควรจะช่วยเหลือ จัดแจงให้เป็นไปด้วยดี ชีวิตมีพลังงาน ชีวิตมีบทบาทกรรมกิริยา เราก็ประกอบกรรม ประกอบกิริยา ใช้กรรม ใช้กิริยา โดยเราเป็นเจ้าเรือน เราเป็นเจ้านาย เราเป็นผู้ใช้กรรมของเรา ใช้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เราเป็นผู้ใช้มัน โดยการกำหนดรู้ โดยปัญญา และมีเรี่ยวมีแรง มีกำลังที่จะให้มันขับเคลื่อน ไม่ให้มันมีแรงที่จะทำสิ่งนั้นๆ ขึ้นมา

เรานี่แหละเป็นนาย เรานี่แหละเป็นผู้สั่งการ เป็นผู้ให้ทำ และมันก็ทำ ทำแล้วมันก็เป็นกรรม เป็นกรรมทายาท เป็นกัมมัสสโกมหิ เป็นของๆตน แล้วตนก็รับมรดก ไอ้ กรรมเหล่านี้นี่แหละที่ดี หรือแม้ไม่มีไม่ดี มันก็เป็นกรรมของเรา กรรมเป็นกำเนิดทุกอย่าง เราทำขึ้นมาเมื่อไหร่ มันก็เกิด เมื่อนั้น และมันก็ยังเป็นตัวกรรม ของๆเรา ที่จะหนุนเนื่องให้พากำเนิดอีก ทำเมื่อไร ก็เป็นตัวกำเนิดเมื่อนั้น คุณทำดี มันก็กำเนิดดีตัวนั้น และ ตัวไหนๆก็แล้วแต่ คุณหายใจ ก็เกิดดี คุณกระพริบตาดี ก็เกิดดี เอี้ยวแขนไกวขาดีคือดี อิริยาบถทางกาย วาจา ใจใดดีๆ มันก็เป็น กรรมดี อันนั้นแหละเกิด เกิดแล้วก็สั่งสม เกิดแล้วก็ระบุได้เลยว่าเป็นของๆคนนั้น จะไประบุว่า เป็นของๆคนอื่น เราทำแล้วไประบุของคนอื่นไม่ได้ เราทำก็ต้องระบุ ว่าเป็นของเรา โดยสัจจะเป็น กัมมัสสโกมหิ เป็นของเรา แล้วเราก็จะต้องรับเป็นมรดกของเราไป ชั่วดีอะไรก็สะสมไปเรื่อยๆ

มันเป็นกำเนิด ทั้งในตัวปัจจุบัน ทั้งเป็นอดีต ที่เป็นวิบากกรรม เป็นกำเนิด และกรรมก็เป็น วิบากด้วย เป็นวิบาก เป็นผลที่สั่งสม กรรมโยนิ กรรมพันธุ สั่งสมลงไปเป็น พันธุกรรม สั่งสมเป็น พันธุกรรม ซึ่งจะเป็นกรรมพันธุ์ของคุณเอง เพราะคุณไม่เอาของใครมาเกิดหรอก กรรมพันธุ์ ทางนามธรรม กรรมพันธุ์ทางอัตตาทางตัวตน ของตนนี่ เป็นกรรมพันธุ์ของตนเอง ตนเองสั่งสม ได้อย่างไร แก้ไขอย่างไร ปรับปรุงอย่างไร ได้เท่าไหร่อย่างไร มันก็เป็นกรรมของตัวเอง เป็นพันธุ์ ของตนเอง แล้วเราก็ไปลอกเลียน ไปเรียนมาจากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ามีพันธุ์อย่างนี้ เราก็มาพยายาม ปรับปรุงตัวเรา ให้มันเป็นพันธุ์ที่ไม่เหมือนๆ คล้ายๆ หรือเป็นหนึ่งเดียว กันกับของท่าน แม้ไม่ใช่สายเลือด แต่เราสายวิญญาณหรือสายกรรม สายวิญญาณหรือ สายกรรม เรียกว่าเราทำ เราให้มันเป็น จนกระทั่งจิตวิญญาณลงตัว เกิดใหม่ เป็นจิตวิญญาณ ที่เป็นประธาน ทั้งสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง และมีพลังมาจากจิตเป็นใหญ่ จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฎฐา มโนมยา ขึ้นเป็นตัวเอง ขึ้นไปเลย

และก็เหมือนจนกระทั่ง เป็นหนึ่งเดียวกับที่พระพุทธเจ้าพาเป็น ให้มากขึ้นๆ เท่ากับ พระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งเป็นก็เอาซิ ถ้าสามารถบำเพ็ญอบรมฝึกฝนได้ก็เอา อาตมาก็พยายาม จะอบรม ฝึกฝนอยู่นี่แหละ ยังไม่ได้เท่าพระพุทธเจ้า ถ้าบำเพ็ญฝึกฝนต่อไป เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ด้วยกรรม ด้วยเราทำเอาเอง ไม่มีใครมาบันดาลให้เรา แล้วเราก็ได้อาศัย หมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ที่ยังไม่จบสิ้น สังสารวัฏ นี่ยังจะหมุนเวียนไป เกิดแล้วเกิดอีก ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย ตั้งขึ้น เกิดแล้วก็ตั้งอยู่ เกิดขึ้นมาก็ตั้งอยู่ ปรับปรุงกันไป หมุนเวียนไปอีกนานเท่านาน ที่เรายัง ไม่ปรินิพพาน เราก็ได้อาศัยกรรมที่ดี หรือมันชั่วนี่แหละ มาเป็นสิ่งที่เราได้อาศัย

นี่ความจริงของศาสนา ความจริงของพุทธเรา พระพุทธเจ้าท่านค้นพบอย่างนี้ แล้วก็นำมาสอน นำมาพิสูจน์ อาตมาก็นำมาให้พวกเราพิสูจน์ เอามาถ่ายทอดให้พวกเราฟัง ให้พวกเรา อบรม ฝึกฝน ให้เข้าหลักเข้าเกณฑ์ อย่างที่ว่านี่ให้ได้ จริงๆ เราก็ยังเป็นคนได้ลดได้ละ แล้วก็ได้เจริญ ส่วนที่ลดละได้ นั่นคือสิ่งดี คือสิ่งที่เป็นบาป คือที่เป็นตัวฉุด ตัวถ่วง ตัวชั่ว ตัวไม่พาเจริญ อะไรหรอก เราเองก็ไม่เป็นสุข คนอื่นก็ไม่เป็นสุข มาเราเอาสิ่งที่พาให้คนเป็นสุข สุขที่แท้ ยิ่งละโลกียสุขได้เท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นสุขที่เป็นวูปสโมสุขเท่านั้นๆ ขึ้นมาได้จริงๆ

ก่อนจะจบ ก็ขอย้ำนะว่าพวกเราขอให้ตรวจตรา สำเหนียกสังวร ในเรื่องอัตตามานะ ซึ่งมันเนื่อง เกี่ยวกับกามด้วย เนื่องเกี่ยวกับอัตตามานะเองด้วย เนื่องเกี่ยวเป็นเหตุเป็นปัจจัย แก่กันและกัน และรู้เท่ารู้ทัน อาการ ลิงคะ นิมิต ของอัตตามานะให้ดีๆ อย่าให้มันเกิดได้อาหาร ได้เหยื่อ แล้วก็โตขึ้นๆ จนกลายเป็นทำให้เราเอง กลายเป็นคนเซ็ง คนเบื่อ คนเฉื่อย คนเนือย คนจิตตก คนที่จะถดถอย หนีออกไปจากสิ่งแวดล้อมที่ดี จากอะไรที่ดีๆ กลายเป็นเรื่องเหลวใหล กลายเป็น เรื่องตัวเองตกต่ำไประวัง อาตมาไม่ปรารถนาจะให้เป็นนะ แต่อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะฉะนั้น มีคนมาถามว่า คนนั้นสึกไป คนนี้ออกไป เสียดายบ้างไหม อาตมาพูดโดยบัญญัติ มันก็เสียดาย พูดโดยบัญญัติโดยภาษา แต่จิตใจ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะอาตมา รู้ความจริงอยู่แล้วว่า เขาเป็นอย่างนั้น เขามาเขาก็มาของเขาเอง เขาไปเขาก็ไปของเขาเอง ทั้งนั้นแหละ เราจะไปบังคับกันได้อย่างไร อิสรเสรีภาพ เขาจะมา เขาจะไป ก็เรื่องของเขา เราก็เจตนาดี ปรารถนาดี อยากจะให้เขาอยู่ด้วยกัน หรืออยากจะให้เขาอบรม ฝึกฝนต่อไป แต่เขาไม่เอาแล้ว บังคับกันยาก เพราะที่นี่เราไม่ได้จ้าง ไม่ได้วาน เขาก็ไม่ได้มา เสียสตางค์ บังคับเรา เราก็ไม่ได้เสียสตางค์ตัวเขาไว้ ไม่ได้เสียสตางค์ ไม่ได้เอาทรัพย์ศฤงคาร ไปจ้างวาน ใครไว้ได้ มันเป็นเรื่องอิสรเสรีภาพที่แท้จริง

เพราะฉะนั้น ใครจะออกไปอย่างไร ก็ถามว่าอาตมาเสียดายไหม อาตมาก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร จะบอกว่า ไม่เสียดายจริงๆ โดยบัญญัติมันก็เสียดาย มันไม่น่าจะออกไปจากหมู่ ไม่น่าจะจากกันไป แต่ถ้าโดยจิตลึกๆแล้ วก็มันก็เป็นไปตามกรรมตามวาระ ตามแต่ละคน จะไปเสียดายอยู่ เราก็แย่ของเราเปล่าๆ เราได้แต่เสียดาย ก็เป็นทุกข์เหมือนกัน การเสียดาย ก็เป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น เราจะไปเสียดายอยู่มันก็ไม่ได้ มันเป็นจริงอย่างนั้น ก็รู้ความจริง ตามอย่างนั้น เสียให้ชัดเจน แล้วเราก็รังสรรกันใหม่ มีอะไรต่ออะไร จะปรับปรุงแก้ไข มีอันนั้น เป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เราได้รับความรู้ เพิ่มเติมอีกก็ดี แล้วก็เอามาใช้ เอามาฝึกฝนอบรม กันไป

อาตมาว่าพวกเราก็ดีขึ้น แต่มันก็จะต้องดีขึ้นอีก ระวังถ้าเผื่อว่าเราเอง ไม่รู้ทันสิ่งเหล่านี้ มันกลายเป็น สังคมของพวกเราเหมือนเสื่อมลง เหมือนเสื่อมลง มีอัตตามานะมากขึ้น แล้วมันก็เหมือนเสื่อมลง มันเป็นอลัชชี มันเป็นอะไรที่กล่าวมาแล้ว แล้วมันซ้อนๆอยู่ในนี้ มันจะทำให้เสื่อมลงได้ ระวัง ถ้าเผื่อเรารู้เท่าทัน ไว้แก้ไขปรับปรุงจริงๆแล้ว ความเจริญ ก็ต้อง เจริญขึ้นแน่นอน ความเสื่อมมันก็มีบ้าง แต่ว่ามันก็คงไม่มากกว่าความเจริญ ถ้าความเจริญ มากกว่าความเสื่อม มันก็คือความเจริญ แต่ถ้าความเสื่อม มันมากกว่าความเจริญ มันก็คือความเสื่อม เท่านั้นเองแหละ

เอา เอาละ สำหรับวันนี้ พอสมควรแก่เวลา


ถอดโดย แผ้วฟ้า อินทะสุข ๒ ธ.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๗ ธ.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๙ ธ.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ปฯ ๑๐ ธ.ค.๒๕๓๔
เข้าปกโดย สุริยา รุ่งเรือง คมกล้า อโศกตระกูล
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
:2043.TAP