ใหญ่...ไม่เสร็จ
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๓๔
ณ พุทธสถานปฐมอโศก

วันนี้อาตมาก็อยากจะพูดถึงเรื่องของกิเลส ส่วนในที่เป็นอัตตามานะอีก ถ้าเผื่อว่า เราทำลาย อัตตา มานะ ได้อย่างจริงๆเลยนะ ที่ในหลวงท่านได้ตรัสในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ปีนี้ว่า ต้องพยายาม ให้มีความรักสามัคคี จงรักสามัคคี จงรัก สามัคคีนี่ มันจะสมบูรณ์ได้ทันทีเลย ความรักสามัคคี ความรักที่สามัคคีนี่ไม่ใช่ความรักแบบโลกๆ ไม่ใช่ความรักเชิงกาม ไม่ใช่เป็น ความรัก ที่ไร้สาระ ความรักผลาญพร่า ความรักทำลาย ความรักเห็นแก่ตัว จะไม่เป็นเช่นนั้นเลย จะไม่เป็น ความรัก ชนิดเห็นแก่ตัว ความรักสามัคคี จะเป็นความรักที่สูงส่ง มันจะสูงส่งได้จริงๆ

เพราะเราลด อัตตามานะ ลดกิเลส โดยเฉพาะกามเป็นเบื้องต้นแหละ กามเป็นเบื้องต้น เหตุเพราะเรามีกาม กามมันเรื่องของความเห็นแก่ตัว เป็นความรักส่วนตัวส่วนตน เป็นความต้องการ ได้รสได้ชาติ ได้สิ่งที่เสพสมสุข กามนี่ สิ่งที่จะเสพสมสุข ซึ่งเป็นอัสสาทะ เป็นรสอร่อย ของโลกีย์ที่ชัดที่สุด เป็นโลกีย์ที่.. นั่นแหละ ตรงเป้าเลยก็ว่ากิเลสแท้ๆ ก็คือตัวนี้แหละ ตัวที่อยากได้ใคร่เสพ อยากได้มา ใคร่เสพ แล้วก็มีปฏิกิริยากับตัวเอง จะเป็นสมที่ได้สมใจในทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส หรือว่าสมใจในเรื่องสมมุติ สมมุติอย่างนั้นอย่างนี้ อย่างนี้อย่างนั้น สมมุติอย่างไหน ที่ตัวเองได้สมใจ ว่าอย่างนี้น่ะ มันถูกใจเราเองเหลือเกิน ตั้งแต่เป็นวัตถุรูปข้างนอก จนกระทั่งถึง สมมุติอยู่ในภพ สมมุติอยู่ในความนึกคิด ปั้นลม ปั้นแล้งเอาไว้ ก็สมมุติเอาตามอำเภอใจ อะไรที่ตัวเองอยากเป็น อย่างนั้น อยากเป็นอยากนี้ อยากได้อย่างโน้นอย่างนี้ ให้สมใจตนเอง อยู่ในใจ

สิริรวมแล้วก็คือกาม คือความอยากได้ใคร่เสพ ถ้าผู้ใดลดได้เท่าใด เท่าใดๆ ก็หมดตัวตน หมดภาระ บรรลุธรรม ลดอย่างนั้นได้จริงๆ ล้างกิเลสตัวนั้นได้อย่างชัดแจ้ง จนกระทั่ง ถอนอนุสัยอาสวะได้ ก็คือนิพพาน ไปแต่ละตัว วิมุติไปแต่ละตัวไปเลยทีเดียว เหตุปัจจัยอะไร ที่เรารู้แจ้ง รู้ชัดแล้วก็... สุดท้าย แม้แต่จะมีจะเป็นจะใช้จะสัมผัสสัมพันธ์อยู่ แต่เราก็ไม่เสพ ไม่ติด รู้สาระตามสาระ รู้คุณค่า ตามคุณค่า รู้การอาศัย แล้วเราจะอาศัยมัน ตามฐานะของมัน

ที่ดิน ที่อยู่ ก็อาศัยมันตามฐานะของมัน มันไม่ใช่เรา มันไม่ใช่ของเรา อาศัยมันได้ก็ได้ ไม่มีสิทธิหน้าที่ เรามีสิทธิ ทุกวันนี้มันมีสภาพของการครอบครองสิทธิ คนในโลกทุกวันนี้ มีการครอบครองถือสิทธิ เรามี... สมมุติว่า ครอบครองถือสิทธิ เราก็ครอบครอง จะเป็นชั่วคราว หรือจะเป็นถาวรก็ตามใจ อย่างอาตมา อยู่ที่นี่นี่ ไม่ถาวรนะ อาตมาไม่ได้ครอบครองสิทธิ ที่อยู่ปฐมอโศก อย่างถาวรหรอก อย่างผิวเผิน ถ้าคนที่ครอบครองชัดที่สุดก็คือ มูลนิธิธรรมสันติ เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ครอบครอง สถานที่ พื้นดินพวกนี้มากที่สุด มูลนิธิธรรมสันติเป็นเจ้าของ เข้าครอบครองมากที่สุด ส่วนอาตมานั้น เป็นผู้อาศัย เท่านั้น ไม่ได้ไปครอบครองยืนยาวอะไร ถ้าเจ้าของเขาบอกว่าไป ว่าอย่างนั้นนะ ไป อาตมาไป สองขาก้าวย่างเดินทางออกไป สบายใจ เราหวงแหน ใจเราติดยึดมั้ย ก็อยู่ที่เรา ถ้าเราไม่มีใจ หวงแหน ไม่มีใจติดยึด ไม่มีใจถือ ใจถือว่า นี่เป็นเราเป็นของเรา ไม่มีใจถือจริงๆเลยนะ เราก็ไม่มีถือ เราก็ไม่มีเรา ของเราจริงๆ ก็ไปได้สบาย แต่ถ้าเผื่อว่า เราติดยึดอยู่ อาลัยอาวรณ์อยู่ พอเขาบอกว่าไป แหม ไล่ฉันไปทำไมล่ะ ก็ขออยู่นี่ ทำประโยชน์ให้ไม่ได้เหรอ มันหวงแหน มันอยากอยู่ มันถึงแม้ว่า เราจะออกโดยไม่พูด แต่ใจของเรา เราจะรู้ใจของเราว่า เอ๊ เรายังติดอยู่นะนี่ ยังหวงแหน ยังอาลัย อาวรณ์ ยังถือเป็นเรา เป็นของเราอะไรอยู่นะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เรานั่นแหละ จะรู้ตัวเราเองดี เมื่อมันเกิด เป็นจริงขึ้นมาเมื่อใด

ทีนี้ถ้าเผื่อว่าไม่เกิดเหตุการณ์อย่างนั้นก็ตาม เราก็ต้องเรียนรู้ในการที่จะพิสูจน์ว่า เราพราก เราจาก เราปล่อย เราวางอะไรต่ออะไรนี่ มันจะเป็นแบบฝึกหัดให้เรารู้ว่า อย่าว่าแต่ที่ดินเลย ของที่มันมีคุณค่า ที่เรารัก เราหวง เราแหนยิ่งกว่า ยิ่งกว่า ที่พักที่นอนที่อาศัย และเรายิ่ง เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนพัก อาศัย อยู่ไหนก็สบาย นอนดินนอนหญ้านอนพื้นนอนสนาม นอนที่อ่อนที่แข็ง เราก็นอนได้ นั่งได้อยู่ ไม่ติดที่ ไม่ติด ไม่ไปยึด ไม่ไปหลงใหลได้ปลื้ม กับไอ้สิ่ง เหล่านั้น เราก็ยิ่งจะรู้ตัวเรายิ่งง่ายว่า โอ๊ย อย่างนี้ เราไม่มีปัญหาหรอก

และมันมีอีกอันหนึ่ง ที่มั่นใจในตัวเราก็คือว่า เรานี่มั่นใจว่า ตัวเราเป็นคนดี เดี๋ยวจะขยาย ตัวดีตัวนี้ ไอ้ตัวดีตัวนี้น่ะ เป็นตัวร้ายด้วย ตัวดีตัวนี้น่ะตัวร้ายด้วย เรียกมานะ เดี๋ยวจะขยาย แต่ตอนนี้ขอบอกกว้างๆก่อน เรามั่นใจว่าเราเป็นคนดี เป็นคนมีความขยัน มีความ อุตสาหะ มีความสามารถ มีความเสียสละ สร้างสรร เรามั่นใจในตัวนี้ เราก็จะไม่แคร์เลยว่า สมบัติอะไรๆ นี่ไม่ต้องมี เราไปที่ไหน เราก็ใช้ ความสามารถ ใช้ความรู้ความดีงามของเรานี่แหละ กอบก่อ ประโยชน์ ไปได้ทุกที่ และเรายิ่งรู้ตัวว่า ตัวนี้ล่ะวิเศษ ยิ่งรู้ตัวว่า เราเป็นคนอ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนยอม เป็นคนไม่มีตัวตน เป็นคนไม่มีอัตตามานะ ยิ่งวิเศษใหญ่เลย

เพราะฉะนั้น จะไปเป็นขี้ข้าใคร จะไปเป็นคนรับใช้ใคร จะไปเป็นอะไรที่ไหน แล้วเราก็เป็น คนขยัน หมั่นเพียร มีความสามารถด้วย ไปสมัครงานที่ไหน ใครจะรับมั้ย รับมั้ย เขาจะมาหาม เอาไปโน่น เขาจะมาหามเอาไปเลย เราจะไปเป็นคนรับใช้อย่างดีขยันหมั่นเพียร ไม่ถึอเนื้อ ถือตัวเลย เป็นคนรับใช้ จริงๆ แล้วขยันด้วย แล้วเป็นคนมีความสามารถด้วยนะ มีความรู้ด้วย รู้กับเจ้าของ รู้กับเจ้านายด้วย ไปรับใช้อย่างเต็มที่เลย เขาจะมาหามเอาไปเลย ถ้าเป็นคน ที่มีปัญญา เขาก็จะกราบ ขอร้อง อ้อนวอน ให้ไปอยู่กับเขา แล้วเขาก็จะไม่ลบหลู่ด้วย จะบูชาด้วย เพราะเรามีคุณค่า เรามีคุณค่า

นี่อาตมาอธิบายแล้วนะว่า เป็นคนหมดอัตตามานะด้วยนะ เป็นคนไม่มีอัตตามานะ จะเป็น อย่างนั้น แม้อาตมาอธิบายแล้วว่า แม้จะไปอยู่กับคนที่มีกิเลส แล้วเราก็ยอม เป็นคนรับใช้ด้วย เขาก็จะมาหาม เอาไป แม้จะไม่กราบก็ตาม มาหามเอาไปเลย แต่ถ้ายิ่ง เขาเป็นคนมีปัญญา มีคุณค่า มีความดีงาม มีปัญญา รู้ที่ต่ำที่สูง รู้ที่ดีที่งาม มีกตัญญูกตเวที เขาจะกราบเคารพบูชา เชิดชูเราด้วย เพราะเราเป็นคน มีคุณค่า มีความรู้ มีความสามารถ เป็นคนสร้างสรร เป็นคน มีประโยชน์ ให้แก่เขาได้อาศัย ได้เรียนรู้ด้วย เขาก็จะกราบเคารพบูชา ด้วยซ้ำ

เอ้า ทีนี้อาตมาว่าทิ้งไว้เมื่อกี้ว่า ไอ้ตัวดีนี่แหละคือตัวร้าย ฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง เป็นผู้ที่ได้ ลดละ ปละปล่อย ไอ้เรื่องอบายมุข เราก็ไม่ติดไม่ยึด ไม่เอร็ดอร่อยแล้ว ในพวกเรา มันยกตัวอย่างได้ชัด พวกเรานี่ อบายมุขเราละ เราลดมาจริงๆ เราไม่ไปเที่ยวเตร่ สำมะเล เทเมาอะไรละ จะไปเสพการพนัน เราก็ไม่มี อยู่เต็มบ้านเต็มเมืองเดี๋ยวนี้ การพนันก็มีอยู่ครื้นเครง การพนันอย่างย่อย อย่างหยาบ อย่างกลาง อย่างละเอียด อย่างบรรจุซอง มีทุกขนาดมีทุกอย่าง เต็มบ้านเต็มเมือง ในโทรทัศน์ โทรเทิ้ดนี่ ออกมานี่ การพนันก็เยอะแยะ ออกมาโดยรูปของ การพนันแฝง ในโทรทศน์ ทุกวันน่ะ นึกออกมั้ย เชิงการพนันน่ะ เสี่ยงทายการพนัน อะไรอยู่ใน โทรทัศน์ ก็เยอะแยะไป รัฐบาลก็ขาย ล็อตเตอรี่ การพนันเสี่ยงทาย การพนัน อย่างหยาบ กลางอะไรมีทั้งนั้น ยิ่งการพนันหยาบๆ ไปเล่นไพ่ เล่นโป เล่นอะไรต่ออะไร ไม่ต้อง ไปพูดถึงเลย พนันมวย พนันม้า พนันหวย พนันกีฬา พนันกอล์ฟ พนันอะไร เต็มไปหมดเลย การพนัน เยอะแยะมากมาย จนกระทั่ง ติดปาก ว่าจะทำอะไรที่นี่ ถ้าใครอวดดีกัน ก็บอกพนันกันมั้ยล่ะ อื้อ ติดปาก ใช่มั้ย ติดปาก ไอ้พนันนี่ พอจะทำอะไรขึ้นมา หรือว่า จะทำอันนั้นได้หรือไม่ได้ พนันกันมั้ยล่ะ แน่ะ ติดปากแล้ว อื้อ ยอดนักพนันเลยในโลกนี้ (พ่อท่านหัวเราะ) จะจริง หรือไม่จริง ก็แล้วแต่เถอะ ใช่มั้ย จะพนันจริงหรือไม่จริง ก็ตามแต่เถอะ พนันกันมั้ยล่ะ อื้อ ตั้งแต่เด็กแล้ว หัดใช้คำว่าพนันนี้มา ตั้งแต่ตัวเล็กๆแล้ว นี่ไปดูได้เลย จะว่ามา ตั้งแต่อนุบาล แล้วมั้ง อย่าว่าแต่ชั้นประถมไปเลย เห็นมั้ย ตั้งแต่อนุบาลเห็นมั้ย พนันกันมั้ยล่ะ มาแล้ว ทั้งๆ ที่พนันเป็นรึเปล่าก็ไม่รู้ แต่เป็นนะ อนุบาลมันก็พนันเป็น พนันเขกเข่ากันมั้ย (พ่อท่านหัวเราะ) พนันมา ตั้งแต่เล็กแต่น้อยแล้ว โตมาพนัน

ทีนี้เราก็ไม่ต้องพนันกันแล้ว ทิ้งการพนัน ทิ้งสิ่งเสพติด สิ่งเสพติดก็สารพัดจริงๆเลย สิ่งเสพติด ทั้งนั้นแหละ ในโลกนี้ละสิ่งเสพติดตัวเดียว เสพติด อะไรก็เสพติดทั้งนั้นแหละ มันติดแล้ว มันก็เสพอยู่ เป็นรส รสอร่อย รสหลงดี หลงติดยึด เสพติดทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เสพสิ่งเสพติด หยาบๆ พวกเราก็รู้ไปเลย ตั้งแต่เสพติดหยาบๆ อะไรนั่น ฝิ่น เฮโรอีน อะไรมาจนกระทั่ง เหล้ายา ปลาปิ้ง มาจนกระทั่ง เสพติดอาหาร เสพติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพติดความสวย ความงาม เสพติด สมบัติพัสถาน เสพติดอารมณ์อะไรก็แล้วแต่ อารมณ์กระดุ๊กกระดิ๊ก กระด๊อก กระแด๊ก อย่างโน้น อย่างนี้ อะไรก็ตามใจเถอะ เสพติดแม้กระทั่งมานั่ง โอ้โห ติดฌาน ฌานฤาษีนะ นั่งสงบ โอ้ฮู เอาวิมาน สวรรค์อะไรมาแลกก็ไม่เอา อู๊ย เบาว่าง นี่ไม่กินข้าว ไปวันหนึ่ง ถ้านั่งหลับอย่างนี้ได้ทั้งคืน ข้ามคืนข้ามวัน สองวันสองคืน ห้าวันก็เอา มันอร่อย มันสงบ อู๊ย มันก็ไม่มีตัวตน เสพติด เสพติดอะไร ก็แล้วแต่ แม้แต่ที่สุดเสพติดคุณงามความดี เราก็เสพมัน ติดมัน

คุณงามความดี เราทำดีน่ะดีแล้ว แต่เราไปเสพติดมัน ถ้าไม่หลงมันก็ติดมัน ถ้ามันหลงแล้ว มันจะเป็นอย่างไร มันก็ถือดี พอเสพติดดีแล้ว ก็ถือดีว่าเรามีดี เรามีดีนี่แหละ ขณะนี้กำลังเป็น สงคราม ในชาวอโศกเราโดยไม่รู้ตัว ไม่รู้อัตตามานะตัวนี้ ว่าเรามีดี พอมาอโศกอย่างน้อยที่สุด ก็มาปฏิบัติตน ลดละอบายมุข ก็ว่าเราได้ดีหน่อยแล้วนะ เพราะเราลดอบายมุข จะได้ถาวร หรือ ไม่ถาวร ก็แล้วแต่เถอะ มานี่มันก็ไม่ได้เสพไม่ได้ติด ไม่ได้ไปคลุกคลีเกี่ยวข้องใช่มั้ย ในเรื่องอบายมุข พอมานี่ ก็นึกว่าตนดีแล้ว เราไม่มีอบายมุข เราก็มานึกว่าเราดีแล้ว แหม แอ๊คแล้ว แน่ะ แต่ก่อน เราก็มีการเล่นการพนัน เดี๋ยวนี้ก็มาอยู่กับหมู่นี่ ก็ไม่ได้เล่นการพนัน แต่ก่อนกินเหล้า สูบยา เราก็ไม่ได้ กินเหล้าสูบยา ผู้หญิงแต่ก่อนอยู่ข้างนอก ก็แต่งเนื้อแต่งตัว ทาตา ทาหน้า ทาคิ้ว ทาคาง ทำโน่นทำนี่ เสพติดอะไร ของอย่างผู้หญิงน่ะ น้ำหมน้ำหอม น้ำเหม็นอะไรก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่ได้ใช้

มาอยู่ที่นี่ก็ โอ๊ ก็นึกว่าตัวเอง ลดละปละปล่อย ถือดี จะถาวรหรือไม่ถาวร ไม่รู้ละนะ แต่มาอยู่ ในที่นี้ ก็เรียกว่า เราก็เหมือนกับคนบรรลุละนะ เหมือนกับคนวางปล่อยได้ มันก็ดูดีนะ มันก็เป็น ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ทีนี้ถ้าไม่เรียนรู้ ด้วยปัญญาญาณ เจโตจะต้องละกิเลสอันนี้ อย่างปัญญา แทงทะลุ ถอนอาสวะ จริงๆนะ เดี๋ยวกลับไปก็ไปลิ้มไปเล็มอีก จะเห็นได้หลายผู้หลายคน มาอยู่อโศกนี่ เป็นปีล่ะนะ กลับออกไป อ้าว ไอ้ที่ว่าละได้ กลับไปคลุกคลีอย่างเก่า กลับไปเอา อย่างเก่า บางคนนี้อย่างผู้ชาย ก็ไปสูบบุหรี่อย่างนั้นน่ะ ยังไปกินเหล้าอยู่อย่างเดิม ผู้หญิงก็ยัง ไปแต่งหน้า แต่งตา ทาเนื้อทาตัว ทาน้ำหมน้ำหอม กินใช้อะไรต่างๆนานาอย่างโลกๆอยู่ แต่อยู่ในนี้น่ะ มาแล้วเราทำได้ ชั่วคราวก็ตาม เราจะเห็นว่าเราได้ดี มันก็ถือดีตัวนี้ พอถือดีตัวนี้ เราก็จะถือว่า เราได้สละ ยิ่งอยู่นานปี ก็เหมือนกับเราได้เสียสละจริงๆเลยนะ แล้วเราก็มาทำงาน สร้างสรร เออ นี่เราก็ไม่รับของแลกเปลี่ยน อย่างน้อย สละไอ้ที่เรารัก เราชอบมา รสอร่อยอันนั้น เราก็ทิ้งมา แล้วเราก็ไม่ไปคลุกคลีเกี่ยวข้อง ไม่ไปเสพใส่ ให้แก่ตัวเอง ไม่ไปบำเรอตนแล้ว เราก็เอาเวลา เอาแรงงาน ดีไม่ดี เอาทุนรอนด้วย เงินทองอะไรมา ช่วยเหลือเฟือฟายที่นี่ ให้ที่นี่ได้สร้างสรร เราก็เอาแรงงานเราด้วย เอาความรู้ของเรา ความสามารถ ของเรา เอามาทำ เอามาให้ที่นี่ บางทีก็ลงทุน เอ้า มีเงินมีทอง ก็ใส่เข้าไปให้ด้วย ทำไปด้วย มันก็เลย ยิ่งรู้สึกว่า ตัวเองมีดี ฮ่ะ มันชักดีเยอะขึ้นมา ยิ่งเยอะมันไม่ค่อยรู้ตัวนะ

แหม ดีแล้วมันก็ผยอง ทีนี้ใครจะติจะเตียนบ้างก็ชักมองแล้ว หน้าอ่อนๆ หน้าใหม่ๆมา แกพึ่งมา (พ่อท่านหัวเราะ) อย่าแอ๊ค ฉันน่ะมาเก่า ทิ้งมาก่อน แล้วฉันก็ยังมีดี เสียสละแรงงาน เสียสละ ความรู้ ความสามารถมาก่อน มีดีกว่า มันไม่รู้ตัวง่ายๆหรอก มันแอ๊ค แทนที่จะประสานกัน เห็นน้องเห็นนุ่ง ก็ เออ...อย่าไปข่มไป...มันลักษณะข่มมันจะเกิดเลย อย่าไปข่มเขา มันไม่นึก แล้ว มันจะข่ม ไอ้ตัวดีนี่ มันทำให้ตัวเองไม่รู้ตัวหรอก ไม่รู้ตัว มันชักจะ...ฉันคนมาก่อนนะ ฉันสละมาก่อน ฉันทำแต้มมาก่อน จะดีอย่างไร ก็ต้องวิ่งตามฉัน จะอย่างไรก็แล้วแต่

หรือบางคนมาถึงก็มาแสดง... พอคนมาทีหลัง ก็มาแสดงความเสียสละ มีเงินก็แสดง สละเงินมากๆ มีความไม่ขยันก็แสดงความขยันให้มากๆ จนเด่น จนมากอะไรต่ออะไร คนที่มีดีเก่าก็ชัก เอ๊ะ ไอ้นี่มันกำลังกวด กวดอย่างเร็วเลยนะนี่ มันมาเสียสละ อย่างเร็วเลย แล้วมันก็ไม่รู้ตัวว่า ตัวเองตั้งตัวแข่งขันแล้ว ชักมองเขม่นแล้ว ชักจับคู่แล้ว อื้อ ไอ้นี่มันมาแรง แล้ว มันมา...แทนที่จะญาติดีอนุโมทนา ไม่ละ ตั้งหน้าตั้งตาเป็นคู่ต่อสู้ ไม่ค่อยรู้ตัว มันไม่ทำแรงนะ มันไม่ออกมาแรงๆว่าจะสู้เลย มันไม่เอาอย่างนั้น แต่ในใจลึกๆ มันเอาแล้ว มันเอาแล้ว อัตตามาะตัวนี้เอาแล้ว มันสู้ พอเขาชักจะดีเกินหน้าจริงๆขึ้นมา ชักจะมีคนเข้าไป ยินดี ปรีดา ชักจะมีคนสนับสนุนส่งเสริม แต่เรามันคนเก่าใช่มั้ย ไอ้คนส่งเสริม มันก็ชักจะออก ไปส่งเสริม ทางโน้นเข้า เอ๊ ไอ้นี่ชักเอาพวกกูไปหมด ชักจะไปมีบริวารแล้ว กูชักจะไม่มีหมู่ มีพวกแล้วนะ เอาละซิตานี้ มานะก็ขึ้นมากกว่าเก่าแล้ว เอาละทีนี้ชักจะไม่ค่อยพอใจ ชักไม่ยินดีแล้ว ชักเป็นคู่แข่งตัว จัดจ้าน ขึ้นมาเรื่อยๆเลย สุดท้ายก็เลย อะไรก็มองไม่ชอบใจแล้ว ก็เป็นคู่อาฆาตกันแล้ว มองอย่างไร มันก็ไม่คอยชอบใจแล้ว มันชักเพ่งโทษ ชักมองมุม มองเหลี่ยม ที่มันจะต้องเอาหาทางให้เขาเป็นคนเลว ทำแต้มเขา ให้เขาเสีย ว่าบ้าง หาเรื่องติ เรื่องเตียนบ้าง อย่างโน้นอย่างนี้บ้าง

อาตมาล่ะก็เมื่อย เมื่อย เมื่อยกับสงครามพวกนี้ ว่าความกัน ไม่ค่อยจะเสร็จ มีกันอยู่เรื่อย แล้วมันมีมากด้วย อาตมาเอง ดูไม่ถ้วนถึงหรอก มันเยอะพวกเรา เป็นอย่างนี้ เล็กน้อยก็ตาม มากบ้างน้อยบ้าง อะไรขนาดนั้น ขนาดนี้ ก็ตามเยอะ เพราะมันไม่รู้ตัวง่ายๆ ขอย้ำยืนยันว่า มันไม่รู้ตัวง่ายๆ

ขอให้พวกเราสังวรสำนึกให้ดีๆ ตรวจจริงๆเลย ตรวจจริงๆ เสร็จแล้วบางคน กามยังไม่หมด กามก็ยัง ไม่หมด ทีนี้ก็สองขั้วเลย มีทั้งอัตตามานะ กามก็เป็นตัวลิ่วล้อ สนับสนุนอยู่ เสร็จแล้ว ก็พอไม่ชอบอันนี้ ก็ไป ...กามมันก็ออกฤทธิ์ ซิ ก็หาคนชอบ ที่จะชอบแบบกามทีนี้ มันมีฤทธิ์กาม มันมีฤทธิ์แรงของกาม เพื่อที่จะให้ผูกพัน ให้มีเพื่อนที่ผูกพัน ให้มีมิตรสหาย มิตรสหายประเภท กามนี่ จะผูกพัน ขนาดไหนก็คือกาม ได้คนนี้มาเป็นเพื่อนเรา ได้คนนี้มาร่วมร่วมสุข ร่วมทุกข์ ร่วมอะไร มากเข้า เท่าไหร่ก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของกิเลสที่หยาบเข้าไปเท่านั้น ฟังให้ชัดๆ ฟังดีๆ ร่วมได้มากเท่าไหร่ มากเรื่อง มากเหตุ มากปัจจัยเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นกามจัดจ้านมากเท่านั้น ก็หาพวก เสร็จแล้วก็ได้พวก ได้อะไร หนุนเข้าไป

ทีนี้พวกเรานี่มันจะว่าโง่ก็ไม่โง่ จะว่าฉลาดก็ยังไม่ฉลาด จะว่าไม่รู้ก็รู้ จะว่ารู้ก็เหมือนคนไม่รู้ พอไปเรื่อง กามมากๆ ก็ชักรู้ตัว เฮ๊ย เราชักไม่เข้าท่า มันกะยึกกะยัก ฟังดีๆนะ อาตมา พยายามอธิบาย เป็นภาษาคน ให้เข้าใจ มันชักคะยึกคะยัก จะไปทำผลีผลาม ไปทำแรงก็ไม่ได้ แต่ใจลึกๆๆ มันบอก เฮ๊ย ต้องหาพวก ต้องหาพวก มันก็จะเข้าไปผูกพัน ไปมีพวก ลึกๆ อย่างที่อาตมาว่านี่แหละ เพราะฉะนั้น ยิ่งผู้ใดมีมารยาอะไรมากๆ มันก็จะออกเยอะ ซ้อนเชิง เยอะเลย มารยาพวกนี้ซ้อนเชิง ไอ้ที่สำนึกว่า มันรู้ว่าดีเหมือนกัน บอกแล้วว่ารู้ บางทีจะว่าไม่รู้ มันก็รู้เหมือนกันว่า มันก็ไม่ดี แต่มันก็ต้องพราง ก็พรางซับซ้อนซิตานี้ ฉันคบกันอย่างเพื่อน แหม.. .เพื่อนจะรัก สามัคคีนะ แต่ลึกๆ มันไม่ใช่รักสามัคคี มันรักกาม ตัวเองก็พรางๆๆ พยายาม ที่จะเสนอบอกให้เขาเห็นว่าตัวจริงน่ะ ฉันทำดี แต่ตัวลึกมันก็ดำเนินการอยู่เพื่อที่จะต้องทำตัวนี้ ปฏิกิริยานี้ เพื่อที่จะเอามาแข่งขันอีกอันหนึ่ง หาพรรคหาพวก หาเพื่อนหาฝูง

ถ้าคนที่มีเพื่อนเยอะๆ เข้ากับคนได้มากๆ คนนั้นไม่ค่อยแรงหรอก คนไหนที่ ไม่ค่อยมีเพื่อน ไอ้ที่อาตมากำลังเล่านี่จะแรงจะชัด คนที่ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่ค่อยมีใคร เป็นเพื่อน มันก็ต้อง หาเพื่อน แล้วก็เข้ากับเพื่อนก็ไม่ค่อยได้ ก็ต้องหาเพื่อนคนที่เข้าได้ ก็เลยผูกพัน กับเพื่อนที่เรา เข้าได้นี่ มาก มาก แม้เป็นเพศเดียวกันก็จะมาก หนักเข้าจะวิตถารไปเลย ถ้าต่างเพศ ทีนี่ก็ยิ่ง ทีนี้ล่ะซ้อนเลยทีนี้ เพราะว่าในที่นี้เราระวังกันอยู่แล้ว ใช่มั้ย เป็นเพื่อนต่างเพศไปสนิทสนม กันมากเข้า ไอ้โน่นไอ้นี่เข้ามากๆ ก็ท้วงกันซิ ทักกันซิ ก็ว่ากัน ก็ห้ามก็ปรามกันซิ พวกเรามีอยู่แล้ว รูปแบบ มันก็ต้องระมัดระวัง วินัยอะไรต่ออะไรต่างๆนานา เรามีศีลมีธรรม ท้วงก็ยิ่งเท่ากับ ไปเอาไฟ ไปราดน้ำมัน เขาเอาอะไร เขาเอาน้ำมันไปราดไฟ (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่ใช่เอาไฟไปราด เอาไฟไปจุด ถ้าจะเอาไฟ ต้องเอาไฟจุดน้ำมัน นี่เอาน้ำมันไปราดไฟ มันก็ยิ่งเอาชนะคะคาน มันก็ยิ่งแรง ยิ่งซับซ้อน ยิ่งทับถมซับซ้อนเข้าไปเป็น ภาวะซับซ้อนที่ผู้ไม่มีปัญญาจะไม่รู้ตัว แล้วก็ทำอะไร ที่ยิ่งดึงดัน ยิ่งรุนแรง จัดจ้าน

คนที่มาทักมาท้วงแต่ก่อนเคยสนิทสนมยิ่งพาลเกลียด เกลียดเข้าไปอีกเลย ก็เลยยิ่งไม่มีพวก ใหญ่เลย แล้วยิ่งถือดี ไอ้ตัวลึกๆของตัวเอง ถือดีแล้วว่า ข้ามาเสียสละ ข้ามามีความสามารถ ยิ่งรู้สึกว่ามีมาก จริงเท่าไหร่ๆ นั่นแหละยิ่งแรงมากเท่านั้นๆ ยิ่งแรงมากเท่านั้น ยิ่งถือดีถือตัว แล้วก็ยิ่งมีความจริงด้วย ว่าตัวเองดี ตัวเองขยัน ตัวเองพากเพียร ตัวเองอุตสาหะ ตัวเองเสียสละ ได้เยอะ มีความสามารถมาก ยิ่งไม่รู้ตัว ยิ่งถือดี มันยิ่งเป็นแรงสนับสนุนให้ตัวเอง ให้คนๆนั้น แรงยิ่งขึ้นเลย ยิ่งมีกามเข้าร่วม อย่างที่กล่าวแล้ว มีกามร่วมด้วยก็เลย แล้วก็...มันถือดีมาก นั่นเอง มันจึงเข้ากับหมู่ไม่ค่อยได้ มานะอัตตา มันมากเอง มันจึงเข้ากับหมู่ไม่ค่อยได้

ถ้าไม่ลดอัตตามานะแล้ว จะสมานสามัคคี จะมีสมานัตตตาไม่ได้ ไม่ลดอัตตา แล้วไม่รู้ตัว ไม่ยอมรับ แม้บางทีรู้แต่ไม่ยอมรับ เมื่อไม่ยอมรับก็ไม่แก้ไขซิคนน่ะ ต้องยอมรับจริงๆ เลยนะว่า โอ เรามีอัตตามานะ ถ้าเราแค่ที่ เรารู้สึกว่า โอ้ เรามีอัตตามานะนะตัวนี้ เราจะรู้สึก ได้เลยว่า ... แต่ละคนลองดูซิ ใจจริงของเรายอมรับว่า โอ้ เรามีอัตตามานะ มันจะอ่อนตัว ลักษณะอ่อนน้อม ถ่อมตน อปจายนมัยจะเกิด บุญกิริยาวัตถุความอ่อนน้อมถ่อมตนอันนี้จะเกิด ตัวเป็นผู้ยอม เป็นพวก คารโว นิวาโต เป็นผู้ที่จะเคารพนบน้อม อ่อนน้อม นิวาโต เป็นผู้อ่อนน้อม จะอ่อน ตัวเองจะอ่อนลง ตัวเองจะไม่ถือดี ตัวเองจะไม่เบ่งไม่ข่ม ตัวเองจะไม่หลงตัวเองมาก เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ไม่มี ผู้นั้นจะอยู่กับหมู่ยิ่งยากขึ้นๆๆ หนักเข้าก็อยู่กับหมู่ไม่ได้ หนักเข้า ก็อยู่กับหมู่ ไม่ได้จริงๆ กระเด็นออก

การทำความดี ถ้าไม่รู้เท่าทันมันแล้ว มันทำให้ เรากระด้าง มันทำให้เราไม่มีพวก ไม่มีเพื่อน หนักเข้าก็เลยต้องทำงานคนเดียว สมน้ำหน้า เพราะใครมาก็วาก ใครมาก็ข้าแน่ ใครมาก็ข้า เป็นหัวเรือใหญ่ ข้าเป็นอะไร เบ่งข่มเขาไปหมด แล้วใครมันจะไปทนไหวเล่า เขาถึงทนไหว เขาก็ไม่ทนแล้ว บอก ปล่อยให้เอ็งบ้าไปคนเดียว ให้เข็ด ทำคนเดียวเถอะ มันเป็นธรรมชาติ ชนิดหนึ่งมันอย่างนั้น ก็ยิ่งหนักใหญ่เลยนะ มันก็ยิ่งไม่ได้เรื่อง ตัวเองก็ยิ่งหนัก เข้ากันไม่ได้ เสร็จแล้วมันซ้อนอีก โดยยิ่งได้ทำคนเดียว มันได้ดูว่า ข้าทำอยู่คนเดียว ไม่มีใครเท่าข้า เห็นมั้ยนี่ ก็งานไม่มีใครมาทำเลย ข้าคนเดียว เห็นมั้ยนี่ ที่นี่ข้าเลี้ยงไว้ทั้งหมดเลย มันยิ่งใหญ่ ใหญ่เลย ทีนี้ มันยิ่ง โอ๋ เจ้าประคุณเอ๊ย ทีนี้ล่ะ อื้อฮือ ค้างฟ้าเลยอีงวดนี้ ใครจะเอาชื่อนี้บ้าง ค้างฟ้าเลยงวดนี้ (พ่อท่านหัวเราะ) งวดนี้ (พ่อท่านหัวเราะ) ค้างฟ้าเลย ใหญ่เลยทีนี้

ยิ่งเห็นแล้ว มันสมพร้อมด้วยนะ เพราะว่าตัวเอง รับเละเลย คนอื่นก็เขาไม่มาเอาล่ะ เขาปล่อย เราแล้ว เขาไม่มาช่วยแล้ว เพราะว่าเอ็ง อยากเบ่งนัก เอ็งอยากถือดีนัก เขาก็ให้ทำซะให้เข็ด ก็ทำใหญ่เลย แล้วก็มองตัวเองบอก โอ้โห กูคนเดียวหรือนี่ แหม เลยต้องหนัก แบกใหญ่เลย ต้องทำ แล้วเราก็ยิ่งมีมานะยิ่งใหญ่ว่า ฉันจะต้อง เอาให้เสร็จ ฉันจะต้องเอาให้ได้ดี เอ็งไม่ช่วย ข้าจะแสดงฝีมือยิ่งใหญ่เลย ก็ยิ่งเห็น เด่นชัดเลยว่า ตัวเองยิ่งทำ แล้วตัวเองยิ่งเก่ง ตัวเองยิ่ง สามารถ ตัวเองยิ่งทำได้นะ ยิ่งได้ก็ยิ่งบอกว่า ข้าเห็นมั้ย ฝีมือข้า เอ็งไม่ทำก็ข้านี่แหละ โอ้โฮ ทีนี้มันใหญ่ไม่หยุดเลย ทีนี้ใหญ่ไม่เสร็จเลย แบบนี้สอยไม่ลง สอยไม่ลง จริงๆเลย ค้างฟ้าเลย ไม่รู้จะสอยถึงหรือเปล่าด้วย ไม่รู้จะเอาอะไรสอย (พ่อท่านหัวเราะ) ค้างฟ้าเลย อีงวดนี้ อาตมาละ กลัวจริงเชียว ไม่รู้ คือกลัวตรงไหนรู้มั้ย กลัวที่จะช่วยเขาไม่ได้ ไม่รู้จะเอา อะไรสอย ไม่มีอะไรสอย เราก็แค่นี้ ตัวเราก็เท่านี้ ไม่รู้จะไปเอื้อมสอยเขาอย่างไรลงมาได้ มันก็ค้างฟ้า อยู่นั่นก็ขี้รดเราอยู่นั่นแน่ะ ยากนะ

เสร็จแล้วทีนี้ไม่มีใครไปสอยก็ตกเองนะ ทีนี้เจ็บ ทีนี้ตกเอง ที่นี้เจ็บ มันสูงน่ะ มันอยู่สูง ไม่มีใครสอย สอยไม่ติด ตกเอง ตกเอง (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่รู้เจ็บ บอกใคร...ไม่ต้องบอกใคร เจ็บไม่บอกใครเลย อีงวดนี้ เพราะบอกไม่ไหว มันอธิบายความเจ็บไม่ถูก (พ่อท่านหัวเราะ) บอกไม่ไหว นี่อธิบายเป็น รูปธรรม ให้ฟัง ฟังดีๆ มันซับซ้อนมาก

ทีนี้พวกเรามันมีลักษณะนี้เหมือนกัน แล้วก็มีลักษณะอีกลักษณะซ้อนอีก เหมือนกันว่า พวกเรานี่ทำ คนไหนที่อ่อนน้อมถ่อมตน ก็ไม่ว่าใครหรอกนะ ก็ช่วยกันทำ ใครมาทำก็ว่า... ไม่ว่าอะไร ทำไม่ว่า แต่ว่า เราไม่มีแรงงาน ก็เลยทำอยู่คนเดียว แล้วระวังละ ทำคนเดียว อย่าหลงตัวเอง ว่าตัวเอง นี่เพราะข้าคนเดียว ใหญ่อยู่คนเดียว ระวังจะค้างฟ้า อย่างที่กล่าว ก็ไม่ค้างฟ้า นี้สมมุติว่า เขาไม่เป็นผู้หลงใหลอะไรหรอก ก็ไม่ติดไม่มีอัตตามานะ แต่พวกเรา มันมีเหมือนกัน เห็นได้บางจุดบางแห่ง ทำอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่เบ่งอะไร ถ้าใครไปช่วย ก็ยินดีไม่อะไร แต่ว่ามันไม่มีเวลาไม่มีแรงงานพอ งานเรามันเยอะ มันก็ไปได้ มันก็รักสามัคคี กันอยู่ ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่อะไรกันหรอก แล้วก็เป็นสุข ข้อสำคัญ ก็คือเป็นสุข คนไปสัมผัส คนไปใกล้ ไปช่วยเหลือเฟือฟายอะไรก็เป็นสุข แต่ถ้าพวกที่ค้างฟ้านี่ เข้าไปใกล้ เข้าไปช่วยเหลือ มันไม่เป็นสุข มันไม่ใช่รักสามัคคี เข้าไปใกล้ไม่ได้ นี่คุณลักษณะ หรือว่าโทษลักษณะมันมี ให้ฟังอย่างนี้ชัดๆ เพราะฉะนั้น มันมีโทษลักษณะ แล้วมันก็เข้ากันไม่ได้ สามัคคีไม่ได้ มันมีโอกาส นี่มีเวลาในช่วงที่เราจะไปสามัคคีใช่มั้ย

อาตมาได้ฟังข่าวว่า พวกเราไปลงแขกงวดสุดท้าย ไปช่วยเกี่ยวข้าว แม้แต่เด็กๆเล็กๆก็ สนุกสนาน กันใหญ่ เห็นมั้ยละว่าการลงแขก ร่วมไม้ร่วมมือกัน รวมกันมากๆ คนได้ขนาดนี้ มันสนุก งานมันหนัก มันก็ยังสนุกเลยที่จริงน่ะ แล้วมันก็มีอะไรต่ออะไร ถ้ายิ่งเราไม่มีตัวกิเลส ที่มันถือดีมานะ อิจฉาริษยา หรือว่าไอ้โน่นไอ้นี่กันนี่นะ อู๊ย มันสนุก แล้วมันก็เป็นพลังรวมที่แรง เป็นพลังรวมที่แรง รับรองว่า แบกช้างได้ทั้งตัวเลยแหละ เอาคนนี่ล่ะ พวกเรานี่ช่วยกันแบก

อาตมาเคยเห็นมด มันขนสัตว์ที่ฆ่าแล้วมันตายนะ มดง่ามนี่มดเล็กๆยิ่งตัวเล็กๆ มันช่วยกันลาก หามขึ้นมา โอ้โห มันลากได้นะ มันไม่น่าเชื่อ มันไม่รู้กี่พันเท่าของมัน ใครเคยเห็นมั้ย ไอ้มดเล็กๆนี่ มดแดงก็ตาม มดง่ามก็ตาม ยิ่งมดง่ามมันตัวน้อย มันตัวนิดหนึ่ง มันหาม มันช่วยกันลาก โอ้โห! ลาก เคลื่อน บอก โอ๊ย เจ้าประคุณ มันลากได้ แต่ตัวมันนิดหนึ่ง ไอ้ที่มันลากนี่มันไม่รู้กี่ร้อย กี่พันเท่า ตัวมันนิดหนึ่ง มันลากได้ มันช่วยกัน คนก็เหมือนกัน คนยิ่งฉลาดกว่าสัตว์พวก นั้นด้วยซ้ำไป

ทุกวันนี้เราพิสูจน์อันนี้อยู่ ว่าพวกเราได้ร่วมแรงกัน ร่วมมือร่วมใจกัน คนละเล็ก คนละน้อย มีอะไร ก็เอาออกมา มีอะไรก็เป็นสมบัติเป็นแรงงาน เป็นเรี่ยวเป็นแรงความรู้ค วามสามารถ เป็นความขยัน เป็นความอดทนอะไรก็แล้วแต่ พวกนี้เป็นอาการนาม เป็นลักษณะนาม เป็นอรูป อยู่ในตัวคนนี่น่ะ มีความอดทน มีความขยัน มีความเมตตา มีความเกื้อกูล มีกตัญญูกตเวที มีความเสียสละ อะไรก็แล้วแต่ เราเอาออกมาพวกนี้ อันนี้แหละสร้างพวกเราได้มากกว่าเงิน กว่าทองเลย คุณมีความเสียสละ เงินทอง มันก็มาตามแล้วใช่มั้ย คุณมีเงินมีทอง ไม่มีความ เสียสละ คุณให้มีให้ตายอย่างไร มันก็ไม่ออกมา ใช่มั้ย มันไม่ออกมาหรอก

แต่ถ้าคุณมี ความเสียสละ มีกตัญญูกตเวที มีปัญญา รู้ว่า อันนี้ควรไม่ควร มันก็สละออกมาเอง ที่พวกเรา นี่ไม่ต้องไปรีดนาทาเร้นอะไรกัน ก็เพราะมีปัญญา แล้วก็มีคุณธรรมพวกนี้เป็นอรูป เป็นนามธรรม ในตัวเรา เพราะเราสร้างหมู่กลุ่มชุมชน พวกเรา ด้วยคุณธรรมพวกนี้เป็นสมบัติ อาตมาไม่ได้ เคยสอนให้พวกคุณไปล่า เอาเปรียบเอารัด ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น พวกคุณไม่ได้ไป กำรี้กำไร แบบโลกนะ ไม่ได้ไปเอาเปรียบ ไม่ได้ไปได้เปรียบจากโลก มากหรอก คุณจะไปค้าไปขาย คุณจะไป ทำมาหากิน ไปรับจ้าง คุณก็ไปเอาราคาถูก ไปเอางินเดือนถูก ค่าแรงงานถูก คุณไม่ได้ มามากหรอก ก็ได้มาอาศัยกินอาศัยใช้ มันก็จะเหลือบ้างเล็กๆน้อยๆ ถ้าจะเอา มารวมทุนในที่นี้ มันก็ได้มาน้อยๆทั้งนั้นแน่ะ มันไม่ซับซ้อนแบบจิตวิทยาทางโลกนะ เขาสอนให้ พวกคุณ ไปโลภโมโทสันมาแล้วคุณจะได้มากๆ คุณจะได้เอามาให้ทางเรามากๆ ไปเลย ไปแย่งกับเขา ไปเอาเปรียบเขาเลย ไม่เคยสอนในวิธีทฤษฎีบุญนิยม ไปสอนทฤษฎีทุนนิยม ธรรมดาไปเลย ไปเอาเปรียบ เขามามากๆ แล้วคุณก็รอรับเละ เขาก็ได้มากซิ เขาได้เงินมากๆ เขาก็สร้างอะไรที่ เขาจะสร้าง ด้วยลักษณะนั้น แต่อาตมาไม่ได้สร้างด้วยลักษณะนั้นนะ นี่สร้างอะไรต่ออะไรขึ้น เกิดมานี่ ในลักษณะบุญนิยม ซึ่งมันซ้อน

ฟังตามอาตมาดีๆ อาตมาไม่ได้แนะให้พวกคุณไปโลภโมโทสันมา ไม่ได้ไปเอาเปรียบเอารัดมา ไม่ได้ให้ ไปขูดรีดใครเอามา ให้ไปเสียสละ ข้างนอกก็ให้ไปเสียสละด้วยซ้ำไป แล้วคุณจะได้มา อะไร มากมายเล่า บางคนไปมาก็กลับมาก็มือเปล่าอยู่อย่างเก่า ก็มาเถอะ ชีวิตไม่ตายก็มา ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใช่มั้ย ไม่เป็นปัญหาอะไร แต่มาก็มาก็รวมแรง อย่างน้อยคุณมา ก็เอาแรงมา บางคน ไม่เอาแรงมาหรอก เอาป่วยมาด้วย เอามาก็รักษากัน เอาป่วยมา (พ่อท่านหัวเราะ) ก็มารักษา ก็ไม่แปลกอะไร (พ่อท่านหัวเราะ) ก็มา ก็เคยดูแลช่วยเหลือเฟือฟายกัน ก็มาก็มา ไปที่อื่น ไปไหนๆ มาก็ไม่รู้ไปเอาโรคมาจากไหน มานี่ ก็มารักษา

แต่อย่าไปเอาโรคเอดส์มาล่ะ แหม อาตมาล่ะกลัวจริง มันเดี๋ยวนี้ กำลังระบาดนักหนาเลย โรคเอดส์ แล้วโรคเอดส์นี่ มันแพร่ได้ทางง่ายๆ ก็ทางมีคู่ กับสิ่งเสพย์ติด ใช้เข็มฉีดยา ระวังเถอะ สองทวาร สองทางใหญ่นี่ เข็มฉีดยา ทางเลือดที่จะออกมาแตะ มาติดมารับ ถ้าเลือดเฉยๆ มาถูกกับผิวหนังเฉยๆ มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามีแผลเข้าเลย มีรูมีร่อง มีถลอกเถลิก อะไรที่มันจะ เข้าไปจากผิวหนังด้านนอก เข้าไปถึงเซลล์ข้างในได้ ปั๊บน่ะมันเข้า เลือดที่มีเชื้อ กับทางเชื้อ ทางกาม เชื้อทางเพศสัมพันธ์ เพราะฉะนั้น ให้พวกเราลดกิเลสกำหนัด ไม่ให้มี เพศสัมพันธ์ เลยได้นี่ ป้องกันชนิดสำคัญ

อาตมายังไม่รู้ในอนาคตมันจะมีโรคที่พิสดารกว่าเอดส์อย่างไร ไอ้เอดส์นี่ อาตมาเห็นแล้วว่า อ๋อ เป็นโรค ที่เขาป้องกันคนให้เห็นชัดเจนเลยว่า คนในทางธรรมกับคนในทางโลกนี่ ชัดนะ ไอ้เอดส์นี่ คนในโลกกับทางธรรมชัดนะ เพราะฉะนั้น ใครไปมั่วทางโลกอยู่น่ะนะ ยากที่จะไม่ติดเชื้อนี้ ลำบากมาก อีกหน่อยต่อไป มันจะระบาดกันไปน่าดูเลยล่ะ มันจะมาง่าย ไปง่ายกันจริงๆเลย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม่อยู่ในหมู่กลุ่ม ไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ไม่อยู่ในด้าย สายสิญจน์ คล้ายๆ อย่างนั้นนะ อยู่ในวงแวดวงพวกไอ้นั่นจริงแล้ว มันติดแน่ๆเลย ขนาดนั้น มันยังจะกระเส็นกระสาย มาอย่างไร ไม่รู้นะ โอ้ ยาก ไม่รู้โรคอะไรที่มันจะชัดกว่าเอดส์นี่อีก ให้แบ่งแยกเห็นว่า คนธรรมะ กับคนโลกๆ เพราะฉะนั้น คนมาธรรมะถึงจะรอดเอดส์นี่นะ

อาตมาบอกไว้ได้ก่อนเลย มาธรรมะอย่างโลกุตระ อย่างพวกเรา ถึงจะรอด มาเลย กลายเป็นผู้ที่ ผู้ใดรักษาตัวให้ดี จนกระทั่ง ไม่ต้องไปมีเพศสัมพันธ์ คุณก็ตัดประตูหนึ่ง ประตูใหญ่ มันคือ เพศสัมพันธ์ กับทางเลือด ถ่ายเลือด เลือดจะมาทางเข็มฉีดยา จะมาทางโน้นทางนี้อะไร ก็แล้วแต่ เอาละไอ้นั่น ก็ระมัดระวังเอา ทางเลือดกับทางเพศสัมพันธ์ ถ้าตัดทางเพศสัมพันธ์ จึ๊ก ไม่ต้องมี ชีวิตนี้ขึ้นคานทองมันอย่างเดียว ไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ ก็สบายไปเลยหนึ่งทวาร เชื้ออันนี้ ใช่มั้ย เขาบอกว่ามันจะติดกันมา ใกล้กันมา กินอาหารร่วมกัน น้ำลายมาติดกัน เขาบอกว่า มันมากับน้ำลายนี่น้อยมาก น้อยจนกระทั่ง ว่าจะมีปริมาณเท่าใดถึงจะติด มีปริมาณ หนึ่งขวดแม่โขง น้ำลายของผู้ที่มีเชื้อเอดส์นี่ ต้องหนึ่งขวดแม่โขง แล้วคุณกินหนึ่งขวดแม่โขง เข้าไปนั่นแหละ คุณจะติดเอดส์จากน้ำลายของผู้นั้น เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปห่วงหรอก ทางน้ำลายนี่ มันไม่ติดง่าย เพราะฉะนั้น มันติดง่ายก็เพศสัมพันธ์นี่แหละ แป๊บ แหม อาตมา ไม่เสียวนะ เพราะอาตมาแน่ใจว่าอาตมาปลอดภัย (พ่อท่านหัวเราะ) อาตมาไม่เสียว เพราะอาตมาว่า อาตมาตัดขาดเรื่องนี้ได้เด็ดขาด อาตมาไม่เสียว พูดแล้วไม่เสียว แต่อาตมา เชื่อว่าใครยัง...มันยังไม่ขาดนี่ มันยัง พอพูดแล้ว อู๊ ว้าบ (พ่อท่านหัวเราะ) เสียวว้าบ แหม...เรานะ เรา (พ่อท่านหัวเราะ) แต่ถ้าใครที่เรียกว่า มีทางเดินของเราว่า เราไม่มีปัญหาเรื่องนี้ ในชีวิตนี้ ขึ้นคานทองร้อยเปอร์เซ็นต์ แล้วเราก็สบายได้

ยังเหลือเรื่องเลือดก็ระมัดระวังเอา เพราะฉะนั้น เรื่องเลือดก็มันเป็นโรคเป็นภัยน้อย ไม่ต้องใช้ เข็มฉีดยามากนัก หรือว่าไม่มีอะไรที่จะไปเรื่องเลือดๆ พวกราระวังนะ เวลามีใครมีแผลมีเผอ มีเลือด มีอะไรต่ออะไรออกนี่ ระมัดระวังกันซะก่อน ไม่ใช่ว่าเรารังเกียจกัน แต่เราระมัดระวังไว้ดี ยิ่งข้างนอก ด้วยแล้ว ระวัง เลือดของใครๆ ข้างนอกนี่ ระวัง ขณะนี้หมอสูตินรี หมอทำคลอด เดี่ยวนี้เขาแหยง หมดแล้ว เดี๋ยวนี้ เพราะเลือดมันเยอะ แล้วเราไม่รู้เลยว่า ไอ้ที่มาคลอดคนนี้นี่ มันมีหรือไม่มี เป็นหรือไม่เป็น เราไม่รู้เลย

แล้วก็ต่อมาทางเลือด ทีนี้คนที่เป็นหมอทำคลอดนี่ก็ชักแหยงทุกวันนี้ แหยงแล้ว ทีนี้มันก็อยู่ที่ พวกเราละว่า เราจะเจ็บป่วยได้ไข้ เราจะต้องมีอะไรที่จะเป็นภาวะจะต้องมีเลือด ต้องถ่ายไป ทอดมา หรือไม่ ถ้ามันไม่มีเลือดถ่ายไปทอดมา มันไม่ต้องอะไร มันก็อีกทางหนึ่งก็ปิดอีก เพราะฉะนั้น ทางแรก ที่ปิดได้ก่อนอื่น ทางเพศ ใช่มั้ย ตัวใครก็เอาตัวรอดได้ก่อนคือปิด ทางเพศก่อน เพราะเรื่องนี้ มันแน่ๆอยู่แล้ว ของใครของมัน ทำได้จบ แต่ไอ้เรื่องเลือดนี่ไม่แน่ เราอาจจะต้องบาดเจ็บ เราจะต้อง อย่างน้อย ถูกมีดบาดก็ได้ เดินชนไอ้นั่น เตะไอ้นี้แตก ไอ้โน่น ไอ้นี่อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา หรือว่า เจ็บป่วยได้ไข้ ถึงจะต้องเขาให้เลือด ถึงจะต้องอะไร ต่ออะไร มันไม่มีทางเลือกนี่อันนี้ ใช่มั้ย มันจะต้องทำความละเอียดลออตรงนั้น อีกทีหนึ่ง เพราะเรื่อง การเกี่ยวข้องเรื่องเลือดนี่ มันก็จำเป็น ในชีวิต เราจะไปแน่ใจตรงไหนว่า เราจะต้อง ไม่มีเลือดออก หรือว่าเราเอง เราจะต้องไม่รับเลือดเข้ามา บางทีก็ต้องรับเลือดเข้ามา ถ้า...เหอ (พ่อท่านถามคนฟัง) ทำฟันนี้ก็อันตรายอยู่ นะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง สุขภาพดี ฟันมันก็ดี สุขภาพดีฟันก็ดี เมื่อฟันดี สุขภาพดี ฟันดี มันก็ไม่เกี่ยวข้อง กับเลือด มันก็เกี่ยวข้อง กันไปหมด เลยว่า เราจะต้องพยายามพัฒนาตัวเองอย่างไร ถึงจะเป็นผู้ที่ปลอดภัยเป็นสุข ปราศจาก มลภาวะ ที่จะเข้ามาติด มาต่อได้ นี่มันไม่มีทางเลือกอื่นนะ

ยิ่งฟังยิ่งบอกว่าธรรมะนี่จะสำคัญในโลกจริงๆ ธรรมะนี่จะสำคัญ สำคัญในโลก จะทำให้คน เป็นสุข ได้จริงๆเลย ทีนี้ถ้าผู้ที่มาตัดกิเลสกำหนัด ตัดกิเลสกามกิเลสอะไรพวกนี้ได้นี่นะ คุณยิ่งจะเห็น วูปสโมสุข หรือ อุปสโมสุข อุปสโมสุข สุขสงบระงับที่ไม่มีกิเลสพวกนี้ล่ะ โอ๊ มันสุขเช่นนี้นี่หรือจะลืม คุณไม่เชื่อก็อย่าเชื่อ ใครเชื่อก็ลองมาพิสูจน์ พากเพียรปฏิบัติมาให้ได้ ก็แล้วกัน คุณไม่ต้องมีอารมณ์กามนี่มัน วุ้ย สวรรค์จริงๆเลย มันสวรรค์ไม่ต้องไปเดือดร้อน ดิ้นรน ไม่ตัองไปมีอะไรเลย สงบสบาย ว่าง จะนอนจะกินจะอยู่ก็ว่าง สบาย มีใครๆ ที่ใครๆ ก็ไม่ต้อง ไปเที่ยวได้ระแวงระวังอะไร ไม่ต้องกลัวอะไร เราไว้ใจตัวเรานี่ นะได้ ไม่ต้องไปกลัวละ แต่คนอื่น จะมีมาแว้ง มาดูด มาผลักอะไรเราบ้างก็ตามนะ ไม่...เป็นกิเลสได้ใช่มั้ย

ผู้อื่นที่เขามีกิเลส เขามีกิเลสกาม กิเลสอะไรของเขาอยู่ ก็ข้างเดียว ไม่เท่าไหร่หรอก ข้อสำคัญ เราอย่าไปตบมือกับเขา เขาตบมือมาก็ตบไปเถอะ ตบเหมือนตบว่างๆ ตบไม่ไปถูกอะไร ถ้าเรา ยกมือรับก็ผัวะ เท่านั้นเองนี่ (พ่อท่านเอามือตบกัน) มันก็ แหม ...ตบสองข้างเลย มันก็ไม่ได้ เรื่องน่ะซี ต่อให้เขาตบมา มือก็ วืด วืด วืด ไม่เป็นไรหรอก เขาตบมาก็วืด ไม่มีอีกมือหนึ่งรับ ตัวเราไม่ได้รับ ตัวเราไม่ได้ไปร่วมที่จะไปไอ้นี่กับเขาอะไร ตบมือข้างเดียว มันไม่ปัญหาอะไรหรอก เพราะฉะนั้น ใครจะมีกาม มีกามกับเรา เราเองเราไม่จริงๆ เราแข็งแรง เรา...จริงๆแล้ว ยิ่งเป็น ผู้ที่มีปัญญาญาณ รู้จักสัจธรรมที่จะห้ามจะเตือนสติคนอื่นได้

หรือแม้แต่เราเอง เรามีคุณธรรม ที่คนอื่นเขายำเกรง มีคุณธรรมที่คนอื่นเขายำเกรง มันก็ไม่เกิด อะไรพวกนี้ขึ้นมาได้ ก็ยิ่งดี ยิ่งปลอดภัย แล้วอบอุ่น ไม่ใช่ไม่อบอุ่นนะ ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีเพื่อน แต่กลับเราจะมีเพื่อน ที่เป็นกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่เป็นกัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก จะมีมิตรดี สหายดี เพื่อนดี จะเป็นมิตรที่เป็นมิตรทางใจ เป็นมิตรที่สนิทใจ เป็นมิตรที่ร่วมอุดมการณ์ เป็นมิตรที่มีสัมมา มีทิฏฐิสามัญญตา มีศีลสามัญญตา มีความเห็น ที่สอดคล้องเป็น อุดมการณ์เดียวกัน เป็นมิตรที่มีความเห็นสอดคล้องกัน เพื่อที่จะเดินไปใน ทางเจริญ เป็นผู้ประเสริฐ ชนิดนี้แหละ ชนิดพระพุทธเจ้าพาเราเป็นนี่แหละ ชนิดนี้แหละ สหาโย สหายะนี่แปลว่า ผู้ร่วมประโยชน์ สห + อายะ อายะนี่แปลว่า ประโยชน์ แปลว่ากำไร ไม่ใช่กำไรโลกๆ

กำไรที่ได้เสียสละนะ กำไรก็รู้อยู่แล้วกำไรขาดทุนอารยชน ทฤษฎีนี้ มันเป็นกำไร อริยะที่แท้จริง เป็นผู้ร่วมประโยชน์ ร่วมกำไรอริยะอันนี้ด้วยกัน กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก เป็นวงเป็นหมู่ เป็นศีลห้อมล้อม มีทุกอย่างสอดซ้อนประสมประสานสัมพันธ์ เป็นสิ่งแวดล้อม หมดเลย เป็นวงศ์ว่านเครือ เป็นจักรกล เป็นสังคม เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ครบพร้อม อยู่ในนี้เลย อย่างดี กัลยาณะ นี่ดี อย่างดี

เพราะฉะนั้น จะเป็นความรัก จะเป็นความเกี่ยวข้อง จะเป็นความเกื้อกูล ไม่ว้าเหว่ ไม่โดดเดี่ยว ไม่เหี่ยว ไม่ห่อ เย็นอบอุ่น เอ๊ะ อะไรแน่ เอาอบอุ่นหรือเอาเย็น (พ่อท่านหัวเราะ) มันสมบูรณ์น่ะ อะไรที่มี คุณลักษณะดี มันมีหมดน่ะ เย็นก็เย็นอย่างดี ไม่ใช่เย็นอย่างปวด เย็นมากๆปวดนะ เย็นเยียบๆ เย็นอย่างดี อบอุ่นอย่างดี ไม่ร้อน อบอุ่น

คุณลักษณะพวกนี้ที่อาตมากล่าวไปแล้ว พวกเราฟัง ฟังแล้วพวกเราก็ สังเกต อ่านดูซิว่า พวกเรา เริ่มมีกันบ้างหรือยัง เมื่อเริ่มมีก็นั่นแหละพยายามช่วยกันให้มันเกิด ให้มันเป็น ให้มันมีมากขึ้นๆ เราบกพร่องอะไร ที่มันไม่เกิดความอบอุ่น เกิดความระแหง เกิดความทะเลาะเบาะแว้ง เกิดความไม่เจริญ บางที บางอย่างก็มีการขัดแย้งกันบ้าง ความขัดแย้งมันเกิดได้แน่ๆเลย เพราะว่า ทุกอย่างมันไม่เสมอกัน มันไม่ตรงกันทีเดียว เป็นไปธรรมดา จะไปบังคับไม่ได้หรอก แต่ในความขัดแย้ง ในความที่ไม่ตรงกันเหล่านั้น เราก็มาปรับกัน อนุโลมกัน ยืดหยุ่นกัน ต่างคนต่างปรับ หรือว่าจะเอาขนาดไหนดี อย่าไปยึดว่าถูก ว่าดีของเรา เราจะต้องเอาอย่าง เราหัวชนฝาลูกเดียว เราต้องรู้สมมุติ สมมุตินี่คือส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่ที่มันจะพาพัง เห็นเลยว่า ส่วนใหญ่กินเหล้าเมายาหมดเลย เพราะฉะนั้นล่ะ เออ...ปล่อยมันให้มัน เราก็ไป กินเหล้า เมายากับคนส่วนใหญ่เถอะ ไอ้อย่างนี้ก็ชัดๆน่ะนะ บอกไม่เอาล่ะอย่างนี้ เรามีปัญญา รู้ว่า ถ้าส่วนใหญ่ส่วนรวมเป็นอย่างนี้นี่นะ มันจะพาให้ทรุดให้เสื่อม แล้วเราจะกู้กลับ ไหวมั้ย ถ้าพาให้เสื่อม จนกู้กลับไม่ไหว เราก็ไม่เอาด้วย ไม่เอาด้วยจริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่า มันพาให้ เออ... เอาละ มันลดหย่อนไปบ้าง ไม่ถึงพาให้เสื่อมหรอก แล้วก็กู้กลับได้ อนุโลมยืดหยุ่นไปบ้างแล้ว กู้กลับได้ เอ้า แน่ใจอย่างนี้ ยืดหยุ่นได้ อนุโลมได้

ทีนี้วกกลับมาหาอัตตามานะ มาวกเข้ากลับมาหาพวกเรา มาเรียนรู้แล้วมาลดละ ไอ้ลดละ นี่แหละ ตัวได้ดี ตัวได้ดี แล้วระวัง สำนึกให้มากเลยว่า เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตน สิ่งที่เราดีแล้ว นี่นะ เราไม่ต้องไปจำของเรา เราไม่ต้องไปถือของเราละว่า เราจะต้องเป็นของเรา ไม่ต้องถือหรอก ทำดีแล้วมันเป็นกรรมที่เป็นอันทำ คุณทำลับ ต่อหน้าลับหลัง ทำในที่แจ้ง ในที่สว่างอะไร หรือ ทำในที่มืดไม่มีใครเห็น ก็ตาม ถ้าเป็นสิ่งที่ดี สิ่งที่มีคุณค่าแท้แล้วละก็ มันก็เป็นกรรมของคุณ สงสัยมั้ย ต่อให้คุณขุดรูทำอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่ ถ้าคุณทำสิ่งนั้น เป็นกรรมที่ดี เป็นกุศลกรรม มันก็เป็นของคุณอยู่วันยังค่ำ ไม่ต้องใครเห็น ไม่ต้องใครจำ คุณไม่ต้องจำด้วย คุณทำอยู่ในรู คนเดียว ไม่มีใครรู้ใครเห็นเลย คุณรู้คนเดียว คุณก็ไม่ต้องจำด้วย แล้วมันจะเป็นของคุณมั้ย (พ่อท่านหัวเราะ)

เออ ตอบได้เหมือนกันนะ นึกว่าจะโง่ เขายิ่งว่าคนโง่อยู่ด้วย มาถูกโพธิรักษ์หลอกกัน เหอ ให้มันมีปัญญาญาณ อย่างนี้ รู้กรรมคือกรรม วิบากคือวิบากของที่เป็นของตน คืออะไร แล้วเป็นของตน โดยเราไม่จำเป็น จะต้องไป กำหนดจำรู้ว่าเป็นของตน ทำให้จริง ก็แล้วกัน มันก็เป็นของตน คุณจะทำชั่ว ก็นัยเหมือนกัน คุณจะไปทำในที่ลับ ขุดรูทำ ไปทำในที่มืด ไม่มีใครเห็นเลย รู้อยู่คนเดียว ทำชั่ว แล้วเป็นของคุณมั้ยล่ะ เป็นมั้ย ไม่มีใครรู้ ใครเห็นเลย จริงจริ๊ง มันก็เป็นของคุณวันยังค่ำ มันจะไปไหน แล้วไม่ต้องจำด้วย แล้วส่วนมาก คนทำชั่ว ไม่ค่อยจะจำของตัวเองหรอก ไม่ค่อยจำหรอก ทำชั่วแล้วขี้มักจะลืม จำไม่ได้หรอก ไปทำชั่ว เมื่อไหร่ แต่ทำดีซี่ ทำไว้น้อยหนึ่ง จำแล้วเผลอซะด้วยนะ นึกว่าเราทำมากๆ ทำดีไว้หน่อย ขยายเองด้วยนะ มันอ้วนเองได้ (พ่อท่านหัวเราะ) ทั้งๆที่ตัวเอง ทำดีไว้หน่อยหนึ่ง แล้วนึกว่า ตัวเอง ทำดีมากด้วยนะ อ้วนเองซะ ...ได้ซะด้วยนะ ส่วนไอ้ชั่วนั่นนะ ทำชั่วตั้งม้ากมาก จำได้น้อยเดียว หรือบางที จำไม่ได้เลย เหรอ เหรอ (พ่อท่านหัวเราะ) เมื่อไหร่ ที่ไหน หน็อย ก็เขาไม่รู้ด้วย คุณทำน่ะ บางทีนะ ถึงแม้เขารู้ด้วย เขายืนยัน เขาจำได้ คุณก็จำไม่ได้เอาซะอีก แน่ะ มันขี้มัก จะเป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น เราจะทำกรรมใดๆเป็นกรรมดีหรือกรรมชั่วก็ตาม เป็นของเราแน่แท้ ที่ไหนก็ตาม ไม่จำเป็นต้องจำ ถ้าเรายิ่งไปจำแล้วไปยึดไปถือว่า เป็นเราเป็นของเราแล้ว มันจะถือดี เพราะฉะนั้น ทำดีไม่ต้องถือดี ทำดีไม่ต้องแบกดี ทำดีไม่ต้องหอบดี ทำดีไม่ต้องหลงว่าดีเป็นเรา ขอให้คุณทำให้ถูกตรงเถอะว่า มันดีจริงมั้ยล่ะ กุศลาธรรมา เป็นกุศลกรรม จริงรึเปล่า ถูกมั้ย เท่านั้นน่ะ ถ้ามันถูกต้องตรงล่ะก็ใช้ได้ มันเป็นกรรมที่ดีแล้วก็ใช้ได้แล้ว ไม่ต้องจำ ไม่ต้อง ไปนึกว่าเป็นเรา เป็นของเรา มันเป็นของมันในตัวของมันเอง

ถ้าผู้ใดทำได้อย่างนี้ไปเรื่อยๆแล้วนะ เราก็จะไม่ถือตัว ใครจะมาว่าเรา ใครจะมาข่มเราบ้าง แม้ว่าเราจะดีแล้ว คนมาข่มเรา ก็ข่มไปเถอะ ถ้าเราดีแล้วไม่มีใครมาข่มเรา ซักเท่าไหร่หรอก เพราะว่า คนเราก็ ไม่ใช่จะอยู่กับหมู่คนเลว ถ้าอยู่กับหมู่คนเลวก็แน่นอน มันก็ไปเที่ยวได้ดูถูก คนดี ไปเหยียดหยามคนดี ไปข่มคนดี แต่พวกเรารู้อยู่ มีปัญญาอยู่ แล้วอะไรล่ะไปข่มคนดี แล้วคนไปข่มคนดีมันดีเหรอ คนไปข่มคนดีมันดีเหรอ มันก็มีแต่จะยกย่อง มีแต่จะบูชาเชิดชู จะไปข่มอะไร เราเองยิ่งไม่ดีกว่าเขา แล้วจะไปข่มคนดีเขา มันถูกเหรอ

เพราะฉะนั้น เราอยู่ในหมู่คนดี อยู่ในหมู่ปราชญ์ อยู่ในหมู่ผู้มีปัญญา อยู่ในหมู่ผู้รู้จักสัจธรรม อย่างนี้ ไอ้ลักษณะที่คนดีแล้ว แม้เราไม่จำว่าตัวเราดี ไม่ถือว่าตัวเราดี คนนั้นจะอยู่ในหมู่คนดีนี่ อย่างไรๆ เขาก็ยกให้ดีเพราะอยู่ในหมู่คนดี หมู่คนดีก็ย่อมรู้คนดี รู้จักกรรมที่ดี ทำแม้จะคนไม่เห็น มันก็ไม่รอดหู รอดตาไปได้หมดหรอก เราไม่ได้ว่าจะต้องทำงาน ต่างคนต่างปิดประตู หน้าต่าง ของใครของมัน อย่าให้ใครเห็น มีที่ไหนเล่า มันก็ทำกันอยู่อย่างนี้น่ะ ร่วมมือร่วมไม้กันทำ ช่วยกันรังสรร ช่วยกันสร้างอย่างนี้ ทำกันอยู่อย่างนี้ ไม่ปกปิดอะไร ก็ทำกันรู้กัน เห็นอยู่อย่างนี้ มันก็รู้อยู่เองแหละ ใช่มั้ย ใครจะมีลักษณะอดทน เราก็รู้ ใครจะมีลักษณะขยัน เราก็รู้กันอยู่ นี่แหละ ใน...ในกับเรานี่ จะมากจะน้อยก็แล้วแต่เถอะ ใครจะมีลักษณะกตัญญูกตเวที มีน้ำใจ ก็เห็นกันอยู่นั่นแหละ คุณจะทำฝืนใจ ข้างนอก แหม ไปกรุณาปรานีเกื้อกูล ช่วยเหลือนะ แต่ใจมันฝืนๆๆ ก็ช่างเถอะ ไอ้รูปแบบข้างนอก มันก็เห็นแล้ว คุณล้างกิเลสของคุณ คุณจะไปฝืน ทำไมล่ะ คุณกำลังทำดี เกื้อกูลเอื้อเฟื้อมีน้ำใจ มันเลวตรงไหน ไปให้ใจมันต้านเอาไว้ทำไม ก็ปล่อยมันไป สนับสนุนเลย เออ เอ็งทำดีแล้วนี่ทางรูปกายกรรม วจีกรรมก็ทำดีแล้วนี่ ไปกตัญญู กตเวที เกื้อกูล มีน้ำใจก็ดีแล้ว ใจก็ดีไปเลย ไปต้านไว้ให้มันช้า ให้มันหยุด ให้มันเสียแรง ไม่ให้มันเต็มลำ ไม่ให้มันเต็มที่ทำไม ให้มันเต็มที่ไปเลย ก็มันกรรมดี แล้ว ก็ทำเข้าไป พวกเรา รู้อาการ ลิงค นิมิต รู้ลักษณะพวกนี้ให้ได้ แม้ทีนี้ก็ตบท้ายอีก ย้ำอีกทีหนึ่ง แม้ดีแล้ว เรามีดีแล้ว นี่นะ คนอื่นเขาไม่เห็นดีแล้วก็ไม่ยึดดี ไม่เอาดีอะไรกับเรา เขาไม่ได้นับกับเราเลยว่าเราดี ก็ช่างเถอะ บอกว่า กรรมมันดีแล้ว กรรมมันดีแล้ว กรรมมันได้ดีแล้ว

ถ้าเราทำดี ที่จริง คนอื่นเขาไม่ยอมเห็น ไม่ยอมรู้ ไม่ยอมอะไรก็ช่าง นอกจากไม่ยอมรู้ไม่ยอมเห็น แล้วเขากล่าวว่า เราไม่ได้ดี เราไม่ได้ทำดี ก็ไม่เป็นไร กรรมมันได้แล้ว เราอย่ามาหลงตัว หลงตน ว่ากูทำดี ทำไมไม่เห็นดีของกูบ้างเลย อย่ามาถือ อย่ามาอะไร เขาจะย่ำยีเราว่าเราไม่ได้ทำดี ก็ช่างเขา ทำอย่างไรได้ คุณอยู่กับคนตาบอด คนไม่เห็นความดีที่เราทำ คุณมีเพื่อนอย่างนี้ คุณก็ต้อง อยู่กับเพื่อนอย่างนี้ไป แต่ถ้าว่าโดยสัจจะแล้ว เราไม่ได้มีเพื่อนอย่างนี้หรอก ไม่ใช่เพื่อน ตาบอด อย่างนี้หรอก เพื่อนเขาก็รู้ว่าเราทำดี มีดีอยู่แล้ว แล้วเขาก็รู้ดี ไม่ใช่ว่าคนโง่คนเง่าอะไร เขาก็ต้องยอมให้เราดี เขาก็ยอมให้เราทำ หรือเขาก็ยกเราเอง

แต่คนที่หลงตัวเอง ทำดีไม่มากไม่มายหรือจะทำดีมากก็ตาม เขาไม่ยกไม่ย่องตัวเอง ตัวเองก็เลย อยากได้ ตัวเองก็... แหม ยึดดีนี้อยู่ แล้วเขาก็ไม่ให้ คนที่เขาเห็นเรายึดดีนี่ เขาก็อยากให้เรา ปล่อยดี เขาก็ไม่ให้ซะบ้าง เป็นการประท้วง ไม่ยกยอปอปั้น ไม่ชมเชย ไม่ยอมให้ ต้านไว้ด้วย ต้านไว้ด้วย มันเป็นเหมือนกันนะ มันเป็นการขัดเกลา นี่แหละสัลเลขธรรม เสร็จแล้วเราก็ไม่รู้ตัว เราก็เลยยิ่ง เบ่งดีใหญ่เลย เขาก็ยิ่งหมั่นไส้ใหญ่ ก็ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลยทีนี้ เอาละ หนักเข้าก็ตัวเอง เจ็บทุกข์ เจ็บปวดตัวเอง (พ่อท่านหัวเราะ)

ฐานนี้แหละ ฐานอัตตามานะนี่แหละ พวกเราจะต้องปรับให้ได้ ปรับให้ได้จริงๆ ถ้าปรับได้ เราจะเห็นพลัง พลังการสร้างสรร พลังสามัคคี พลังความอบอุ่น พลังน้ำใจ แหม...พลัง อันเป็นที่รัก ที่น่าชื่นใจจริงๆนะ มันจะเกิดจริงๆ เลย นี่อาตมาไม่ได้พูดปากเปล่านะ ขอให้ทำ ได้ถูก ได้ตรง อย่างที่อาตมาว่าเถอะ ได้จริงๆ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องพยายาม ให้เข้าหาสัจจะ ให้ได้ เมื่อผู้ใดก็ขยันหมั่นเพียร สร้างสรรกันอยู่มากเพียงพอ ต่างคนต่างสำนึก รู้ว่าอะไรควร อะไรไม่ควร สิ่งที่ดีอะไรควรทำก็เร่งไม้เร่งมือ วันเวลาผ่านไปๆ มันก็เดินทางไปสู่หลุมฝังศพ เวลาที่เราได้สั่งสมบุญ มันก็น้อยลง น้อยลง น้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ทุกกาละเวลา อย่าให้โมฆะ อย่าให้เสียขณะ อย่าให้สูญเปล่า สังวรสำนึกกันจริงๆ มีอะไรให้สร้างสรร มีอะไรให้ทำเยอะไปในพวกเรานี่ ใครก็คงคิดออก ปัดโธ่ ใครจะคิดว่า แหม ในปฐมอโศก ไม่มีงานให้เราทำเลย โอ้โห นึกไม่ออกเลยว่าจะทำงานอะไร มีมั้ยๆ อาตมาว่า ไม่มีเลย ไม่ว่าเวลาไหน นึกได้ นึกเห็นได้เสมอละ นึกได้ที่ไหนก็นึกได้ ใช่มั้ย งานมีมากมาย จะตายไป

เวลาผ่านไป ผ่านไป สำนึกเสมอว่าเรากำลังเดินไปสู่ความสูญเปล่า ความไม่ได้โอกาส มันผ่านไป นี่ มันเสียโอกาสไปเรื่อยๆๆ ถ้าเผื่อว่าในขณะในโอกาส แต่ละโอกาสนั้น เราไม่รังสรรค์กุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม และไม่พยายามที่จะสร้างบุญสร้างกุศล เราไม่พยายาม กระทำสิ่งที่ดี กระทำสิ่งที่เป็นคุณค่า เพราะฉะนั้น อะไรที่เราคิดว่าควรจะทำ ใช้ปฏิภาณตรวจไป พลิกรอบ เออ มีอะไร เราก็ไม่เมื่อย เราก็ไม่ควรพัก เราก็ควรจะกระทำ ใคร นะ...ไปช่วยใครดีนะ เอ๊อ คนนี้นี่ เราไม่ค่อยชอบหน้า เออ...ดีโว้ย ไปช่วยหน่อยก็ดี จะได้ประสานกัน จะได้เข้ากัน ลองดู เข้าให้ได้ เราอ่อนน้อมถ่อมตน ลดอัตตามานะเถอะ เราไปพยายามทำให้ดี ถ้าคุณไป ประสานกันได้ดี ยิ่งคนที่คุณเอง คุณไม่ค่อยชอบกัน เข้ากันไม่ค่อยได้ จนกระทั่งเข้ากันได้ ประสานกันได้ดี นั่นล่ะ แหม ผลสำเร็จอันนี้แหละ ประสานสอดร้อยพลังรวม อื้อหือ วิเศษ วิเศษ

ทุกวันนี้ มันมีไม่น้อย ก็มากอยู่กันน่ะ ไอ้น้อยๆละไม่ค่อยรู้ตัว นึกว่าไม่มี มันมี ไอ้คนอยู่บ่อนนั้น บ่อนนี้ บางทีนี่จะเรียกว่า เชิญไปบ่อนนั้นบ่อนนี้ อยู่ตรงๆนั้น ติดอยู่ตรงนั้นน่ะ ทั้งๆที่ตอนนั้นน่ะ ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ ปล่อยก็ได้นะ บอกว่าขอแรงหน่อยเถอะ ฉันมีงาน ก็งานมันเดินบทของมัน ได้อยู่แล้วล่ะ ตัวเองวางมือก็ได้ ไม่ไปละ อ้าง ถ้ายิ่งคนที่เรียก รายที่เรียกนั่น ไอ้นี่เหรอ จ้างก็ไม่ไปหรอก ไอ้นี้ไม่เข้าละ เลิกเลย ก็ยิ่งอ้างตัวเองอยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น คิดใหม่ ถ้ายิ่งเจ้านี้ เราไม่ค่อยชอบหน้า เราต้องพยายามเข้า พยายามที่จะไปประสานให้มันได้ ดูซิว่าจะเกิด ความรักสามัคคี ได้สมบูรณ์มั้ย ในหลวงปีนี้นี่ตรัส วิเศษมากเลย

เอาล่ะ การทำ แสดงธรรมเทศนาวันนี้ ก็พอเพียงเท่านี้

สาธุ


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๒๕ ธ.ค.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๔ ม.ค.๒๕๓๕
พิมพ์โดย อนงค์ศรี ๒๙ ม.ค.๒๕๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๓๑ ม.ค.๒๕๓๕
:2170.TAP