กว่าจะสัมมาทิฏฐิ ตอน ๓
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์

ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก จ.ศรีสะเกษ
เมื่อวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕ งานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ


เริ่มต้นกันตั้งแต่แรกเลย ไม่ต้องมีอะไรมาแซมตอนต้นละ ลองทบทวนกันดูซิ ใครจำได้แล้วมั่ง ๑๐ ข้อ มีอะไรบ้าง ทินนัง ยิฏฐัง หุฏตัง สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก อันนี้ เราจำได้แค่ว่า กัมมานังก็พอ กัมมานัง ก็ คือกรรม สุกตทุกกฏานัง กัมมานัง ต่อไปข้างท้ายก็ได้ กัมมานัง ผลัง วิปาโก ผลวิบากของกรรม

แล้วก็ อยัง โลโก, ปโร โลโก, ตัวนี้ เราจะได้พูดกัน สำคัญเรื่อง ปโร โลโก เพราะว่า ความเข้าใจ ยังไม่ถึง ไม่ใช่ผิด แต่ไม่ผิด แต่ยังไม่ถึงๆ คำว่าปรโลกของพระพุทธเจ้านี่ ยังไม่ถึงกัน ถ้าเข้าใจ คำว่า ปรโลก ของพระพุทธเจ้าไม่ถึงไม่ถูกทาง หรือว่าไม่ถึงทาง ไม่ถึงจุด ไม่ถึงความหมาย ไม่ถึงความจริงของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงหมายแล้ว ก็เราจะไม่มีทาง รู้จักโลกหน้า หรือโลกอื่น หรือโลกต่างจาก อยัง หรือโลกว่าอิทธโลก หรือ โลกอย่างปุถุชน หรือโลกอย่างโลกีย์ กันเป็นอันขาดเลย ก็เพราะว่า ถ้าไม่เข้าใจโลกนั้น ก็เข้าสู่ โลกนั้นก็ไม่ถูก เราจะไปปรโลกกัน ตั้งแต่บัดนี้ ขณะนี้ ผู้ใดสู่ปรโลกแล้ว ผู้นั้นก็ได้อยู่ปรโลกแล้ว ไม่ต้องไปอยู่กับโลกเดิม อยัง โลโก ไอ้โลกเก่าๆ เดิมๆ ใครๆก็อยู่มาเก่า เราจะ ไปสู่โลกใหม่ ปรโลก นี่คือโลกใหม่ ยังงี้เป็นต้น

และก็ มาตา ปิตา สัตตา โอปปาติกา สุดท้ายก็สมณพราหมณา เอาแค่นั้น ก็ได้นะ สุดท้ายข้อที่ ๑๐ สมณพราหมณ์

ทินนัง ทานที่ให้แล้ว ยิฏฐัง ยัญพิธีที่บูชาแล้ว หุฏตัง การสังเวยที่บวงสรวงแล้ว กัมมานัง ผลัง วิปาโก ก็ กรรมและผลวิบากของกรรม หรือว่ากรรมที่ได้ทำแล้วทั้งดีทั้งชั่ว ผลวิบากที่ทำดี ทำชั่วแล้วต่างๆ แล้วก็โลกนี้ โลกหน้า พูดกันติดปากกันว่าโลกหน้า อาตมาไม่อยาก ให้เรียก โลกหน้า เรียกโลกใหม่ โลกนี้ โลกใหม่ หรือว่าโลกว่า โลกอื่นอีก ต่างหากจากโลกนี้ มันมีอีก โลกหนึ่ง เรียกว่า โลกโลกุตระ พูดกันชัดๆ โลกใหม่ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ นี่คือ โลกโลกุตระ ที่พาคนเข้าอยู่ หรือพาชีวิตของแต่ละคนเข้าไปเป็นมนุษย์โลกใหม่ เป็นมนุษย์โลกุตระให้ได้ มาตา แม่ ปิตาก็พ่อ โอปปาติกา ก็สัตว์ โอปปาติกะๆ ก็มีทั้งผีทั้งมาร มีทั้งวิญญาณเทวดา มีทั้งวิญญาณแท้ อยู่ในนั้นเสร็จ นะ เสร็จแล้ว ก็สมณพราหมณ์

ทบทวน ลองทบทวนให้ได้ ถ้าผู้ใดเห็นว่าไม่มี ตั้งแต่ การทำทานให้แล้วไม่มีผล ไปจนกระทั่ง ถึงสุดนั่นแหละ ไม่พบ หรือไม่เห็นหรือไม่มี คนใดตัดความรู้ ความเข้าใจใน ๑๐ ข้อนี้แหละ อยู่ในหลักเกณฑ์ ของทิฏฐิที่พระพุทธเจ้าท่านเอามาใช้ เอามาเป็นหลักยึด หลักยืนยัน ให้คนเรา ได้ศึกษา ไม่ใช่ว่าทิฏฐิไม่มีหลัก เข้าใจแต่ว่า เป็นความเห็น ความเข้าใจ ความรู้ ความแจ้ง อะไร ด้วยปัญญา ด้วยความที่เราจะมีความเข้าใจในตัวคน มีความรู้ มีความเห็น มีความเข้าใจได้ ยังไงๆ จะเริ่มต้นไปจนกระทั่ง ลึกสุด ถ้าเป็นทิฏฐิ ที่ลึกสุดก็เลื่อนขึ้นเป็นญาณ หรือ เป็นปัญญา นะ ที่จริงมันก็อันเดียวกัน แต่ว่ามันค่อยๆ ไล่เริ่มต้นมา ตั้งแต่ความเห็น ความเข้าใจ เปลือกๆ ผิวๆ เป็นความรู้ ที่รู้เริ่มต้นเท่านั้น ก็เรียกว่าทิฏฐิได้ แต่มันไม่สมบูรณ์หรอก มันก็จะค่อยๆ มีเพิ่มๆ ขึ้น เพิ่มขึ้น ทิฏฐิก็จะเพิ่มขึ้น ด้วยหลักเกณฑ์ที่ อาตมาได้ลองพยายาม อธิบายโดย ไม่มีกระดานดำเขียน จำเรื่องของทิฏฐิเอาไว้ให้ดีว่า สัมมาทิฏฐินั้น ประกอบไปด้วยองค์ ๖ จำอันนี้อีก จะได้สำคัญในเรื่อง สัมมาทิฏฐิให้ดี

สัมมาทิฏฐิของพระอริยะ อันเป็นยอดและจะสมบูรณ์ด้วยองค์ ๖ ที่เป็นอนาสวะด้วย ที่จะสิ้น อาสวะเลยทีเดียว ถ้าจะเป็นทิฏฐิที่สมบูรณ์ เป็นสัมมาทิฏฐิของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระแท้ๆ นั่นน่ะ จะต้องประกอบไปด้วยปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล หรือ ปัญญาพละ ปัญญา ปัญญิทรีย์ ปัญญาพละ นี่ ต่างกันนะ มีน้ำหนัก น้ำเนื้อต่างกันว่า ปัญญา มันยิ่งขึ้น มันเจริญขึ้น มันมีกำลัง มันมีความเป็นใหญ่ มันมีอำนาจขึ้นมาเรื่อยๆ จนกระทั่งสุด ปัญญาพละ นี่เป็นตัวสูงสุด เป็นตัวมีกำลัง เป็นตัวมีอำนาจ เป็นใหญ่ยิ่งสุด ปัญญาถึงขั้นสูงสุด ปัญญาผล หรือปัญญาพละสุดท้าย แล้วก็หมายความว่า เป็นญาณทัสสนวิเศษ ที่เป็น วิมุตติญาณทัสสนะเลย เป็นญาณทัสสนวิเศษที่มีวิมุติของตนแล้ว แล้วก็แจ้งชัดในวิมุติตน แล้วก็แจ้งอาสวะ จริง จบสุดเลย ปัญญานี่ตามหลักแรก

ทีนี้ สามหลักนี่แหละ มันจะเกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ผลนี่ ก็จะต้องมี ตัวธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ หรือความเห็นขอบ แล้วก็มัคคังคะ หรือองค์แห่งมรรค ๓ อันนี้เป็นตัวที่จะประพฤติ ปฏิบัติ เริ่มต้นมีทิฏฐิ ก็เราจะต้องปฏิบัติ แล้วถึงเริ่มจะเกิดปัญญา ปฏิบัติด้วยจะต้องมี องค์แห่งสภาพ เกิดธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ คือวิจัย มีตัววิจัยวิจารณ์ มีตัววิเคราะห์ มีตัวรู้มิจฉา รู้สัมมา รู้กิเลส รู้การลดกิเลสได้ รู้สภาพจริง เวลาปฏิบัตินี่ จะต้องรู้สภาพจริง ลดกิเลสได้ กิเลสจางลง อารมณ์ของกิเลสจางลง จะเป็นอารมณ์อย่างไรในจิต ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ จะเป็นตัววิจัยๆ แล้วจึงจะเติมให้เกิดสัมมาทิฏฐิ ตัวต่อมาธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ ดูในหนังสือนั่นน่ะ มี ๖ ตัวอยู่ในนั้น ในหนังสือนี้ มี ๖ ตัว เห็นชัดๆ เลย ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ

สัมมาทิฏฐิ ตัวนี้ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิตัวแรก ที่เราเริ่มเข้าใจด้วยปริยัติ ด้วยการศึกษา ด้วยการฟัง ไม่ใช่ เป็นตัวที่จะเกิดตามหลังของธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ โตขึ้นแล้ว มีความเห็นที่ลึกขึ้น เจริญขึ้น มีความลึกขึ้นเจริญขึ้น มันจะซ้อนกันไปเรื่อยๆ สัมมาทิฏฐิ ที่มันทำงานขึ้นไปเรื่อยๆ

เอายังงี้ก็ได้ เอาคำว่าปัญญา ใครเคยได้ยิน ปัญญานี่มี ๓ ปัญญา สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา แล้วก็ภาวนามยปัญญาอีกนะ คุณฟังอาตมาเทศน์นี่ เป็นสุตะ คือฟังๆไป ก็เกิดปัญญา แบบฟัง นั่นแหละทิฏฐิตัวแรก สัมมาทิฏฐิตัวแรก ฟังไปเข้าใจตรง และดี เออ เราเข้าใจแล้ว จะเป็นสัมมาทิฏฐิตัวแรกเป็นสุตมยปัญญา คุณก็ไปวิจัยอีก ไปวิเคราะห์ ไปทบทวน จินตามยปัญญา เข้าไปจินตมยปัญญา คือ เข้าไปนึก ไปคิด ไปทบทวนเพิ่มเติม ความรู้อีก จะนึกคิดทบทวน อ่านทวน หรืแม้แต่จะเริ่มปฏิบัติ เริ่มปฏิบัติขึ้นมา มันยังไม่เกิด ผลอะไร มันก็เกิดเห็น มันก็เกิดรู้ขึ้นมา ไปในทางจิต จินตมยปัญญาขึ้นมาเรื่อยๆ เกิดธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ เกิดสัมมาทิฏฐิสูงขึ้นๆ ปัญญาหรือทิฏฐินั่น โตขึ้นๆ นั่นเรื่อยๆ ปฏิบัติมัคคังคะ คือ องค์แห่งมรรค

การปฏิบัติก็บอกแล้ว มีหลักวิธีของหลักองค์มรรคองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นตัวประธาน มีสัมมาวายามะ สัมมาสติ มันจะเป็นมิจฉา หรือเป็นสัมมาก็ตัวทิฏฐิเป็นตัวนำ ถ้าทิฏฐิเป็นมิจฉา วายามะก็เป็นมิจฉา สติก็เป็นมิจฉา ถ้าทิฏฐิเป็นสัมมา วายามะก็เป็นสัมมา สติก็เป็นสัมมา

เพราะฉะนั้น สำคัญ ตัวสัมมาทิฏฐิ หรือมิจฉาทิฏฐิ ตัวทิฏฐินี่ สำคัญมาก เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเอง คุณเข้าใจทิฏฐิของคุณไม่สัมมา ทิฏฐิของคุณไม่เป็นสัมมา ทิฏฐิของคุณเป็นมิจฉา ถ้าคุณเอง คุณเข้าใจ เช่นยกตัวอย่าง ว่าคุณเข้าใจ แหม การได้เงินมามากๆ จะได้มาโดย วิธีใด ก็แล้วแต่เถอะ ได้มามากๆ คนอื่นสู้เราไม่ได้ เราสามารถ ที่จะทำให้เขายอมเอาเงินมา ทะลัก ทะเล ให้เราได้ๆ ด้วยกลยุทธวิธีใดก็แล้วแต่ เราได้ยังงี้ โดยไม่ต้องถูกจับ ไม่ต้องถูกฟ้อง ถือว่า เราสุจริต แต่เราฉลาดๆ ที่จะมีวิธีการอะไรก็แล้วแต่ ที่จะเอาเงินมาให้เรามากๆ นี่เป็นวิธีที่ดี และเป็นวิธีที่ ควรจะทำ คุณก็พยายามทำ แล้วคุณก็ทำจริงๆ มีสติ คนเรานี่ ใช้สติ สัมปชัญญะ ปัญญา ทำ และคนก็ทำอยู่อย่างนั้น เราก็เลยทำ และเราเก่ง เท่านั้น เราเลยได้เท่านั้น คนที่เขาเก่งมากๆ เขาจะได้มากขึ้นกว่านั้นเลย ร่ำรวยเป็นพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้านเลย มีอยู่ในโลกนี้ และเขาก็นึกว่า เขาประสบผลสำเร็จในชีวิต และคนนับถือกันทั่วโลกนะ แต่ในกรรมวิธีนั้น ซับซ้อน ฉ้อฉล เอาเปรียบเอารัดอยู่ในนั้นตั้งมากมายก่ายกอง นี่เขาถือว่า เขาสัมมาทิฏฐิ

โดยสัจจะแล้ว อาตมาถือว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะเป็นทิศทาง โลภโมโทสัน เอาเปรียบเอารัด และก็กอบโกย เอามาเป็นของตัวของตน ไม่รู้จักหยุด จักพอ และเขาจะมีมากไปจน กระทั่งตาย และ ต้องการแบ่งให้คนนั้นคนนี้ ให้ลูกให้หลาน ให้ลูกให้เต้า อาจจะแบ่งทำบุญให้มั่ง ก็ให้นิด ให้หน่อย รับรองไม่แบ่งทำบุญกันมากกว่าที่จะให้ลูกให้หลานหรอก อาตมาถือว่า อย่างนี้เป็น มิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น ความพยายามของอาตมา จะไม่พยายามหาวิธีที่จะฉลาด จะยังไง ก็ไม่ใช้ความฉลาด กอบโกยมาให้ตัวเอง แล้วก็สะสม ยิ่งเดี๋ยวนี้ จะไม่เอา ไม่เป็นเด็ดขาดเลย ทิฏฐิของอาตมา จะไม่เป็นเช่นนั้นเลย เพราะฉะนั้น ความพยายามของอาตมา สติของอาตมา เมื่อใดอาตมาจะพยายาม จะตั้ง ความพยายามของอาตมา มันจะไม่เข้าทางที่จะไปเที่ยวโลภ กอบโกยมาใหัตัวเองเลย

นี่อาตมา เอาอาตมาเป็นหลักอธิบายสู่ฟัง ส่วนคนที่เขาไม่เข้าใจอย่างอาตมา อย่างที่ยกตัวอย่าง แล้วว่าเขา เข้าใจตรงกันข้ามกับอาตมา เขาก็จะพยายามอย่างนั้นเสมอ เพราะเขาเชื่อว่า นั่นเป็น ทิฏฐิที่ถูก เขามีสติสัมปชัญญะเท่าไหร่ เขาก็จะใช้สติ คนเราจะใช้ของเราเต็มที่ สติมันจะเสีย มันก็จะเป็น คนใช้สติอย่างที่เสียๆนั่นแหละ ถ้าคนมีสติดีๆ ก็ใช้สติของตนอย่างดี มีสติแล้วก็มี สัมปชัญญะ และก็มีปัญญา หรือมีความเฉลียวฉลาดของเขา เป็นองค์ประกอบร่วมตาม และ ทำงานเต็มที่ ตามสติของเขา ตามปัญญาของเขา ตามความพยายามของเขา ผลที่ได้ออกมา ก็เป็น กัมมานัง ผลัง วิปาโก มีผล แต่คนที่โลภโมโทสัน กอบโกยได้มากๆ มาร่ำรวยเยอะแยะเลย และก็ยิ่งคิด และยิ่งมีวิธีการในโลก เป็นวิธีการบาป เป็นวิธีการฉ้อฉลทั้งนั้น เกือบจะหมดเลย นอกจาก ผู้ศึกษาธรรมะ และก็หัดละลดจริงๆ เพราะฉะนั้น เขาก็จะกอบโกยโลภ เพราะคน เข้าใจ อย่างนี้ในโลกนี้ เข้าใจอย่างนี้ จะหาวิธีที่ จะฉลาด ฉลาดที่จะได้เปรียบ และเขาก็ เปลี่ยนมาทั้งนั้น ดิ้นรนที่จะเอาเปรียบ หรือได้เปรียบ ไปตลอดตาย ตั้งแต่เกิดจนตาย เขาก่อบาป ทั้งนั้น

อาตมาเห็นว่าเป็นการบาป เมื่อเห็นบาป อาตมาก็ไม่พยายามทำบาปนั้น ส่วนผู้ไม่เห็นบาป ก็เห็นว่าเป็นบุญ บุญนะ ประสบความสำเร็จนะ เป็นของมนุษย์อย่างยิ่ง เข้าก็ก่อบาป นั่นโดยไม่รู้ เพราะทิฏฐิเป็นประธาน อาตมาเห็นอย่างนี้ถึงเห็นว่า โอ มันน่าสงสารเขา เขาไม่รู้เรื่อง เขาไม่รู้จริงๆ เลย ซื่อบริสุทธิ์ อาตมว่ามันไม่ใช่ซื่อหรอก มันเซ่อบริสุทธิ์ ซื่อจริงๆ ซื่อบริสุทธิ์ เซ่อบริสุทธิ์ แต่โลกเขาเรียกว่าฉลาดบริสุทธิ์ อย่างนี้แหละ เป็นเรื่องที่คนละโลกแล้ว พูดกัน คนละทางเลย ของเขา เขาถือว่าเขาเป็นสัมมาทิฏฐิ เราถือว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ มันคนละเรื่องเลย อย่างนี้เป็นต้น

ทีนี้ มาขยายความ ๖ อันนี่ เป็นหลักนี่ให้สำคัญนิดหนึ่ง เราจะได้อธิบายอะไรไป มันจะได้สำคัญ มากขึ้น จำได้นะ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ยังไม่ได้ เข้าหาปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ อะไรนะ แค่อธิบายซ้อน ฟังให้ดี แล้วสัมมาทิฏฐิ จะเกิดซ้อนขึ้นมาแล้ว ตอนแรกนี่ พอ สุตมยปัญญา มีปัญญาฟังมาเข้าใจ มีจินตา ไปคิดอีกก็ได้ แต่มันยังไม่ได้เกิดผล จากการปฏิบัติ มัคคังคะ เป็นองค์ปฏิบัติ เมื่อเราปฏิบัติตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน สัมมาวายามะ เป็นประธาน สัมมาสติเป็นองค์อ้อมล้อม ห้อมล้อมแล้วปฏิบัติอะไร ๓ ตัว นี่แหละเป็นตัว ปฏิบัติ เป็นตัวกลไก เดินเรื่อง เดินเครื่อง สัมมาทิฏฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ เดินเครื่อง เสร็จปฏิบัติ ตัวปฏิบัติอยู่ที่ไหน สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ นั่นเป็นตัวปฏิบัติ ของมนุษย์ นั่นแหละคือ ปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น ปฏิบัติธรรม ไปนั่งอมตุ่ย หลับตาอยู่ มันไม่ใช่หลัก มรรคองค์ ๘

หลักมรรคองค์ ๘ นั่น ปฏิบัติให้สังวร ให้สำรวม โดยการใช้ความพยายาม และสติของเรานี้ รู้จักการตั้งแต่ เริ่มมีอะไรปั๊บขึ้นมาในความคิด เรียกว่า ดำริปั๊บขึ้นมา จะดำริหรืออะไร ในความคิด มันมีอะไรล่ะ ตั้งแต่ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เริ่มขึ้นมา เกิดขึ้น โตขึ้นมาแล้วๆ วิจัยๆ ธัมมวิจัย เป็นตัวที่จะต้องทำงาน อย่างสำคัญ ธัมมวิจัย วิจัย ตักกะ วิจัย วิตักกะ วิจัย สังกัปปะ วิจัย อะไรเป็นมิจฉา อะไรเป็นสัมมา ตัวมันกำลังดำรินี่ มันมีกิเลสผสมไหม ต้องอ่านกิเลสออก เลยนี่ ผสมความโลภ ผสมความโกรธ ผสมความโลภ ทั้งก้อนเบ้อเร่อนะ ผสมความโกรธ ตั้งก้อนเบ้อเหอะเลยนะ ต้องอ่านให้ออกเลย อาตมาพูดก้อนเบ้อเร่อ ก้อนเบ้อเร่อเทอะ มันไม่มีตัวตนหรอก นามธรรมไม่มีรูป ไม่มีตัว ไม่มีแขน ไม่มีขา ไม่มีหนวดด้วย มันไม่มีหรอก แต่มันต้องรู้ รู้ด้วยอาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ

อุเทศ คือหัวข้อต่างๆ อาตมาเอามาอธิบายขยายสู่ฟังขึ้นมา แสดง สู่ฟังนี่เรียกว่า อุเทศ คุณก็พยายามฟัง ความเข้าใจนี่ก็ตาม จับอาการมัน นิมิตของมัน เครื่องหมายของมันให้รู้ คุณก็ตามจับมันให้ดี จับมันอ่านด้วยญาณของเรานี่แหละ อยู่ไหนก็แล้วเถอะ ตัวเรานี่ ญาณอ่าน คุณจะเห็น อ้อ ความแตกต่างของกิเลส นี่คือกิเลส นี่คือจิตวิญญาณ นี่คือธาตุรู้ ธาตุรู้กับกิเลส นี่มันอยู่ด้วยกัน เหมือนหนึ่งเดียวกันมาแต่ไหนๆ อ่านให้ออก นี่คืออาการกิเลส ฆ่าให้ถูกกิเลส ยิ่งกิเลสฆ่าให้ออกได้เท่าไหร่ จิตวิญญาณยิ่งโปร่ง ยิ่งใส ยิ่งฉลาด ไม่ใช่ฉลาด ขี้โกงแล้วตอนนี้ ฉลาดบริสุทธิ์จริงๆทีนี้ จะอาการที่กิเลสมันลดลงไปนี่ มันจะอาการ แต่คุณจะต้องรู้ อาการอย่างนี้ด้วยธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เมื่อคุณทำตัวธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ ตัวนี้แหละ เยี่ยมยอดที่สุด ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์นี่ วิจัยอย่างเป็นองค์อย่างขององค์ตรัสรู้ โพชฌงค์แปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้

เพราะถ้าคุณวิจัยเป็น ไม่ใช่ไปนั่งเป็นวิจัยอยู่ในห้องทำงานกองวิชาการ ไหนๆ และได้เงิน ได้ทอง ไม่ใช่ ต้องวิจัยปรมัตถ์ วิจัยจิต เจตสิก รูป นิพพาน วิจัยอาการของกิเลส วิจัยอาการของ จิตวิญญาณ นี่ วิจัยให้ออก วิจัยได้เท่าไหร่ๆ คุณก็ปฏิบัติไปด้วย ลดในทางความคิด สังกัปปะ ในการพูด พูดก็จะมีตัวจิตนี่แหละเป็นประธาน สังกัปปะจะเป็นต้นตอ สังกัปปะนี่จะดำริดี หรือไม่ดี จะวิจัยตรงนี้ออกหรือไม่ออก ถ้าวิจัยตรงสังกัปปะ บอกแล้ว องค์แห่งสังกัปปะ มีกี่องค์ องค์ของสังกัปปะ มี ๗ องค์ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขารา มันจะอ่านตัวพวกนี้ออก สังกัปปะนี่ วิจัยให้ออก ว่า ตัวนี้เป็นตักกะ ตัวนี้สังกัปปะ ตัวนี้ดำริขึ้นมา โตจนวิตักกะแล้วนะ โตมาจนเป็นสังกัปปะแล้วนะ แล้วมันมีกิเลสในนั้นไหม มันมีโลภ โกรธ หลง ในนั้นไหม มันมีตัวมิจฉา เราจะต้องฆ่า ต้องรบ ต้องลด ต้องละด้วยวิธี ภาวนา

สอง ละสมถภาวนา หรือวิปัสสนาภาวนา รู้ด้วยเหตุผล หรือว่ากดข่มมัน ทิ้งมันไม่ให้มัน มีฤทธิ์มีเดช ไม่ให้มันมีแรงตาม ไม่รู้ละ คุณจะมีวิธีการในตัวคุณยังไง คุณก็ทำจริงๆ ทำแล้ว สิ่งเหล่านั้นลดลง ลดลงแล้วจิตจะมั่นคง เรียกว่า อัปปนา พยับปนา นั่นคือ การสร้างฌาน สร้างสมาธิ จิตตัวที่มันละกิเลสได้เรื่อยๆ จิตของเราจะแข็งแรงมั่นคง อำนาจของกิเลส มันจะทำให้เรา นี่แปรปรวนหวั่นไหวไม่ได้ง่ายขึ้น เรียกว่าแน่นอนมั่นคง อัปปนา แน่วแน่ พยับปนา แนบแน่น เจตโส อภินิโรปนา จิตปักมั่นเลย เป็นยอดไม่คลอนแคลนๆเลย และ การที่จะไปคิดไปนึก จะตักกะ วิตักกะ จะสังกัปปะ จะคิดนึก ใช้สังขาร ใช้ปรุงแต่ง ใช้เจตนา ใช้ความปรารถนา ใช้ความตั้งใจ ใช้สังขารอย่างไรๆ อีก ถ้าได้ล้างกิเลสออก จนกระทั่งเกิด อัปปนา จนเป็นพยัปปนา จนเป็นเจตโส อภินิโรปนา ปักมั่นแล้วนะ คุณจะสังขารอย่างไร ก็ไม่มีแกว่ง ไม่มีเคลื่อนคลอนเลย

เหมือนแกนหลักของเครื่องยนต์เหวี่ยงได้เต็มที่ และ ถ้าเหวี่ยงได้อย่างเรียบร้อยด้วย มันยิ่ง จะนิ่งสนิทเลย จิตยิ่งจะนิ่งสงบเลย เพราะฉะนั้น สังกัปปะ จะเป็นตัวพิสูจน์เลยว่า สมาธิ ของคุณจะเกิด อัปปนา พยัปปนา ที่เขาเรียก อัปปนาสมาธิ สมาธิที่แนบแน่น แน่วแน่ แค่อัปปนา มันยังไม่พอหรอก ต้องเจตโส อภินิโรปนา สมาธิในระดับโน่นเลยถึงจะยิ่งใหญ่ อัปปนา พยัปปนา แนบแน่น ถึงจะมั่นคงที่สุด และปรุงได้เป็น วจีสังขาร ปรุงได้จนกระทั่ง มันเป็นคำพูดในใจแล้ว สังขารอยู่ในวจีสังขาร เป็นคำพูดในใจแล้ว จะพูดออกมาหรือไม่ มันจะมี ปัญญาญาณของเราที่เร็วไวเลย เรียกว่า มุทุภูตธาตุ มุทุภูเต กัมมนิเย เพราะฉะนั้น คุณจะทำงานอะไรอยู่ คุณจะพูดออกมาในงานนั้นหรือ คุณจะคิด หรือคุณจะพูด จะทำออกไป เป็นกัมมันตะ เป็นการกระทำทุกอย่าง ทุกอาการนี่ คุณก็ทำออกไปในขณะนั้นๆนะ

มันก็จะอยู่จากต้นรากของจิตที่ดำริ ที่คิด ที่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยับปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขารา นี่แหละ วจีสังขารออกเป็นภาษาพูดก็ได้ ออกเป็นการกระทำทางกาย การกระทำ ทั้งหมดได้ มาจาก มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา มาจากตัวนี้แหละ ออกไป ออกก่อเกิด กาย วาจา ใจ คือไปทำอาชีพอะไรทั้งหมด นี่มันสำคัญอย่างนี้
เพราะฉะนั้น มัคคังคะก็คือ การปฏิบัติองค์มรรคนี่แหละ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีพ นี่แหละคือ การปฏิบัติธรรม สั่งสมลงเป็นอะไร เป็นสัมมาสมาธิของพระอริยะ

องค์ทั้ง ๗ นี่ มี ๓ ตัวนั่นห้อมล้อม แล้วก็ปฏิบัติกับไอ้เจ้า ๔ นี่ เจ้าสังกัปปะ กัมมันตะ อาชีวะนี่ ๔ นี่ องค์ทั้ง ๗ นี่ ประพฤติไปซิ เกิดสั่งสมลง เป็นสัมมาสมาธิของพระอริยะ พร้อมกันนั้น สัมมาญาณ ก็จะเกิดตามเรื่อยๆ ก็คือองค์ ๗ ของปัญญา ปัญญินทรีย์ ญาณก็คือปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละนี่แหละ ญาณ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ เป็นผลสองเกิดตาม จากมรรค ๘ พอปฏิบัติไป เป็นสัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค ปฏิบัติองค์แห่งมรรค และสัมมาทิฏฐิ สอดซ้อนขึ้น ก็เกิด ภาวนามยปัญญา เกิดปัญญาในระดับผลมรรค ภาวนาแปลว่าผล แปลว่า การเกิดผล ภาวนามยปัญญา ของการเห็นแจ้งในผลการว่าเห็นกิเลสลดๆ มีผลมีวิมุติ มีอะไร ต่ออะไร ขึ้นมาเรื่อยๆ สัมมาทิฏฐิตัวนี้ก็เติมขึ้นมาเป็นภาวนามยปัญญา หรือเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ไล่เข้ามาเรื่อยๆ

ถ้าทิฏฐิตัวแรกถือว่าปัญญา มันก็สัมมาทิฏฐิตัวนี้ก็จะโตขึ้น เป็นปัญญินทรีย์ เป็นปัญญาที่เจริญ มีอำนาจ มีแรง มีความจริงของปัญญาลึกขึ้นๆ จึงไม่ได้ หยุดนิ่งเลย ความเจริญของปัญญา เจริญขึ้น มีแรง มีอำนาจ ปัญญินทรีย์ดี ศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ก็ดี เพราะว่า เราศรัทธา เราเชื่อถือ ปัญญาที่เกิดจริงเป็นจริง ไม่ใช่ว่าศรัทธางมงาย ศรัทธาโง่เง่า ศรัทธามีของจริงปรากฏด้วย เราปฏิบัติได้เห็นจริงเลย กิเลสลดมันเป็นยังไง กิเลสลด และทำ ให้ตัวเรา คิดยังไง ดำริยังไง ให้เราพูดยังไง ให้เรากระทำกรรมยังไง กัมมันตะ ให้เรามีอาชีพยังไง มันจะเห็นจริง เกิดขึ้นมา อย่างนั้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น องค์ ๖ ของทิฏฐิ มันจะเดินบทของมัน ซ้อนๆ จนกระทั่ง เป็นปัญญินทรีย์ แล้วมันก็จะมามีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีฐานของปัญญินทรีย์ นี่เป็นตัวปัญญา เป็นตัวลึกเก่งอีก สัมมาทิฏฐิซ้อนขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐิตัวที่รอบซ้อนขึ้นไปอีก เป็นตัวสัมมาทิฏฐิ ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวแรกๆที่พึงรู้ เพราะฉะนั้น นักรู้ที่ไม่เคยปฏิบัติเลย ให้เรียนให้ตาย ก็มี สัมมาทิฏฐิ ตัวต้น อย่างเก่งเขาเรียก แค่ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละจะไม่เกิดตาม เพราะเขาจะไม่เห็น ของจริง ธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ เขาปฏิบัติยิ่งไม่เข้าร่องเข้ารอย มัคคังคะ ไม่มีฐานแท้ ที่เขาจะมีรองรับ ความจริง ที่เขาจะเห็นความจริง ตามความเป็นจริง โดยเฉพาะ นามธรรม จิต เจตสิก ต่างๆ เขาจะไม่เห็น เดาตะพึด

พระพุทธเจ้ายืนยันว่าธรรมะของเรานี้ คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา ไม่เป็นไป เพื่อความด้นเดา อตักกาวจรา มาเดา มาคะเน จะมาคาดคะเน จะมานึกคิดเอาเอง ไม่เป็นไปตามนั่น อตักกาวจรา มันประณีต มันสงบ ไม่เหมือนสงัด สันตา แปลว่าสงบ นี่แหละ ของท่านสงบ ประณีต ไม่เหมือน ถึงเดาก็ไม่ออกหรอก เดาไม่ออก มันสงบ แต่มันวิ่งจี๋เลย วิ่งจี๋เลย รวดเร็วเลย พวกคุณนี่ไม่ถือสาอาตมามากขึ้น เพราะอาตมาเอง อาตมาสงบ แต่อาตมา ล่อกแล่กยิ่งขึ้น หวือหวาล่อกแล่ก แต่คุณไม่ถือสา

สงบคืออะไร สงบคือมันหยุดกิเลส หยุดโกรธ หยุดโลภ หยุดเบียดเบียน แต่สร้างสรรเก่ง สร้างสรร เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่สร้างสรรเพื่อตัว ตัวเองยิ่งปลอดภัย ตัวเองยิ่งอุดมสมบูรณ์ ตัวเองยิ่งไม่มี ยิ่งรวย ยิ่งไม่มี ยิ่ง โอ้โฮ แทบ ว่าปรารถนาอะไร แทบได้เลย ต้องการอะไรก็ได้เลย ถ้าสิ่งนั้นสมควรนะ ถ้าอาตมาต้องการบุหรี่สักมวนซิ เขาก็ไม่ให้อาตมา คุณก็ไม่ให้ แต่คนโง่ๆ อาจจะเอามาให้ แต่ถ้าอาตมาปรารถนาสิ่งที่สมควรนะ คุณรีบให้ ถ้าหากว่ามันไม่เกินกว่าที่คุณ จะช่วยเหลือ คุณอยากช่วยเหลือด้วย บางทีตัวเองยังไม่เอาเลย ตัวเองยังไม่กล้าซื้อให้ตัวเอง แต่กล้าซื้อให้อาตมา เอ้อ เห็นไหม มันเป็นไปได้นะ เห็นไหม มันยิ่งใหญ่ไปอย่างนั้นจริงๆ

นี่ อาตมาไม่พูดเล่นนะ พูดจริงๆ แต่อาตมาว่าเป็นอย่างนั้นจริงๆด้วย แต่ไม่ทุกคนหรอกนะ ไม่ทุกคน ไม่กล้าให้อาตมาทุกคนอย่างนั้น ที่พูดนี่ไม่ได้มานั่งเกี้ยวพาราสีคุณ ไม่ใช่บอกให้คุณ เอาอะไรมาให้อาตมานะ แต่ฟังแล้ว ก็คงเข้าใจ ว่า มันเป็นบุญ เป็นบารมี หรือเป็นอะไร อย่างนั้น จริงๆ ขอให้จริงเถอะ มีสัจจะ จริง อย่างนี้มันจะเป็นเอง มันจะเป็นไปตามอย่างนี้นะ

สัมมาทิฏฐิจึงจะต้องเข้าใจให้ลึกซึ้งว่า องค์แห่ง ๖ ของสัมมาทิฏฐินี้ สำคัญด้วย ฟังดีๆ งานนี้ ปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯปีนี้นะ อาตมาจะอธิบายให้สัมมาทิฏฐิ ให้เข้าใจซ้อนลึก ให้เข้าใจชัด ให้เข้าใจมากๆ จะสาธยายได้เท่าที่อาตมาจะสื่อให้ ยังไงก็ให้รู้เป็น สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา กันไปให้พอ เสร็จแล้ว คุณมี ภาวนามัยของคุณอยู่บ้างแล้ว มีผลของคุณ อยู่บ้างแล้ว เสร็จแล้ว คุณก็มาฟังอันนี้ คุณก็จะเข้าใจชัดขึ้น ยิ่งคุณไปปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีก มีภาวนามยปัญญา ตามมาอีกๆๆๆ มันจะเกิดเป็นปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ สอดซ้อน ขึ้นมาอีก เป็นรอบๆๆ เห็นไหม ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ และมัคคังคะ หรือองค์แห่ง มรรค อีก ๓ ตัวนี้มา ก็จะสอดซ้อน เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน เข้าใจไหม

อันแรกเกิดปัญญา อันที่สอง ก็จะธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เกิดสัมมาทิฏฐิ และมัคคังคะ ที่ปฏิบัติ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ สั่งสมลงไปเป็น สัมมาสมาธิสูงขึ้น ก็เกิดญาณ หรือเกิด ปัญญินทรีย์ สัมมาญาณ หรือปัญญินทรีย์ ยิ่งวิมุติ เป็นสัมมาวิมุติเข้าไปอีก ก็เกิดปัญญินทรีย์ สูงขึ้นๆๆ คุณก็ปฏิบัติธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ ได้รอบลึก รอบที่ ๓ ขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐิของคุณ ก็สูงขึ้นเป็น สัมมาทิฏฐิรอบที่ ๓ ได้อีก ภาวนามัยปฏิบัติเพิ่มเติมขึ้นอีก สัมมาทิฏฐิองค์แห่งมรรค สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ปฏิบัติ กรรมกิริยาต่างๆเหล่านี้ เห็นของจริง เกิดของจริง ลดละของจริง มีสัมผัสเป็นปัจจัยอยู่กับสังคม อยู่กับมนุษยชาติของจริง สู้กับกิเลสได้ สู้กับองค์ประกอบ เรียกว่ากาโยได้ มีเวทนา ลดสุขลดทุกข์เวทนาเป็น อุเบกขาเวทนา ได้ยิ่งๆขึ้น จิตมีเจโตปริยญาณ ๑๖ สูงขึ้น

ขออภัยนะคนใหม่ อาตมาร่ายเวท พูดภาษาธรรมะเป็นภาษา technical term ธรรมะกันยกใหญ่ นะ เจโตปริยญาณ ๑๖ ก็รู้จักรากเหง้าเค้ามูลของโทสะ โลภะ หรือราคะ โมหะ รู้จักว่า อะ มันเป็นยังไง อโทสะ อโลภะ อโมหะ เป็นยังไง รู้ไม่ใช่รู้ฟัง ไม่ใช่รู้คิด ปฏิบัติไปก็รู้ของจริง ตามความเป็นจริง ยิ่งขึ้นๆๆ มันได้ดี เจริญขึ้น สูงกว่า สังขิตตะ วิกขิตตะ สูงกว่าเป็นมหัคคตะ สูงกว่าสอุตตระ สอุตตรังจิตตัง สูงขึ้นกว่าอนุตตรังจิตตัง มีสมาหิตังพร้อม มีวิมุติพร้อม ประกอบเป็นอนุตตรจิต หรือ อนุตตรังจิตตัง นี่เจโตปริยญาณ ๑๖ พูดไปนี่ลัดๆ จบแล้ว

มีตาทิพย์ มีการหยั่งรู้ จิตใจสะอาด บริบูรณ์จริงๆ มีอภิญญาอย่างนี้ มีวิชชา ข้อเจโตปริยญาณ อย่างนี้จริงๆ เลย จนกระทั่ง เกิดปัญญาผล หรือปัญญาพละ เป็นญาณทัสสนวิเศษสูงที่สุด สมาธิก็เป็น สมาธิสมบูรณ์ เป็นสัมมาสมาธิของพระอริยะ เกิดสัมมาญาณ ญาณอันนี้ ถึงขั้น วิมุตติญาณทัสสนะ เกิดวิมุติ เกิดญาณที่เห็นแจ้งวิมุติจริงๆ รู้อารมณ์ รู้อะไร เคล้าเคลียเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ มีสัญญาเคล้าเคลีย ดูอารมณ์แห่งนิโรธที่ชัดเจนหมดทุกอย่างเลย สุดยอดปัญญาพละนี้ สัมมาทิฏฐิตัวที่ไล่มาเรื่อยๆ จึงไม่ได้เป็นตัวเก่า เจริญขึ้นเรื่อยๆ

ถ้าเผื่อว่าอาตมาเปิดชั้นเรียนจริงๆ สอนต่อไปแล้ว ก็จะต้องสอน อาตมาไม่อยากจะสอน อย่างนั้น ทันที เพราะอะไร อาตมาทำได้ เคยเขียนชอล์คเขียนกระดานที่เป็นสื่อ เกิดเข้าใจ ง่ายกว่านี้ แต่อาตมายังไม่อยากทำ เพราะทำอย่างนั้น คุณเข้าใจ และคุณก็เขียนตาม แล้วคุณ ก็ได้ตามง่าย จดใส่ไปในสมุด วาด pattern วาดเส้นสายตาม โอย ง่าย เสร็จแล้วคุณก็เอาไปสอบ แล้วคุณก็ไปสอนหากิน เขียนตำราหากินกันก็เยอะ มันก็จะเป็นอย่างเก่า มีนักวิชาการเยอะ แต่นักปฏิบัติ ไม่เยอะหรอก นักรู้ที่ตั้งใจฟัง และหยั่งเข้าหาปรมัตถ์ เข้าไปหาความจริง สภาวจิต ไม่เยอะหรอก

เพราะฉะนั้น ฟังอาตมาอย่างนี้ อย่างเก่งก็ชี้โบ๊ชี้เบ้ มีอุปกรณ์การสอนเอานิ้ว แค่นี้ พวกคุณ จะนึกได้ลึกกว่า ถ้าอาตมายิ่งเขียนกระดาน เขียนตัวหนังสือ pattern อย่างง่ายเลย เขียนยิ่งง่าย เลยนะ จริง สื่อกันง่าย เรียนกันได้มาก แต่ไม่ลึก เสร็จแล้ว ผลิตนักวิชาการออกมาได้เยอะ แล้วก็มากวน เป็นนักวิชากวน ได้มาก แล้วก็เอาไปค้าขายได้นะ เอาไปค้าขายได้ เอาไปอวดรู้ เอาไปค้ารวย ค้าความรู้นี่รวย เป็นนักวิชาการแบบนี้เยอะ อาตมาก็เลยว่าเอาไปอย่างนี้ก่อน

อาตมารู้ อาตมาเข้าใจ อาตมาเคยเป็นครู เข้าใจวิธีสื่อ แต่ยังไม่ถึงเวลานั้น รอให้ค่อยมีคนก่อน มันจะถึง เวลานั้นเหมือนกัน แต่เอาเถอะเวลานี้ ก็ตีกันไปก่อนๆ อย่าไปเป็นนักวิชาการแบบนั้น นะ ตีออกไปก่อน แล้วก็สร้างผู้ปฏิบัติจริงไปก่อน จนกระทั่งไปถึงเวลาโน้น มีนักวิชาการ อันโน้นขึ้น และก็มีความเป็นจริงเข้าประกอบไปด้วย มันก็ดี ไอ้นี่วิชาการ ไม่มีความเป็นจริง ทุกวันนี้มันก็เลย มีแต่นักวิชาการเก่งแจ๋ว รู้ละเอียดนะ เพราะ pattern มันง่าย มีการขีด การเขียน การแยก การวิเคราะห์ โอย ง่าย ไม่เหมือนอาตมาหรอก อาตมาพูดนี่ วนไปวนมา โอย ไม่ใช่อาตมาวนนะ พวกคุณมันไม่ทัน อ้าว จริงๆ เพราะว่าไม่ได้ไปทำให้คุณจำได้ง่าย เป็นรูป เป็น pattern เป็นเส้นสาย เป็นอะไร เป็นรูปร่างใช่ไหม

คุณตามอาตมาไม่ทันต่างหาก ไม่ใช่ อาตมาวนน่ะ เพราะฉะนั้น คุณจะต้องเก่ง ต้องเพ่ง ต้องศึกษา ต้องอะไรจริงๆ และต้องพยายาม เอ๊ เราไม่ได้ ไม่มีของจริงรองรับ คุณก็ไปพยายาม พากเพียร ให้มันมีของจริงมารองรับอาตมา คุณมีของจริงมารองรับ เออ ง่าย เข้าใจขึ้นง่ายๆๆ คุณก็เจริญ ไอ้นี่ไม่ต้องไปเอาของจริงอะไร อ่านดูชอล์คขีดๆกระดาน ดูตัวหนังสือเขียน มีวงกลม มีโน้น มีนี่กำกับ โอย ง่าย เข้าใจง่าย คุณไม่ต้องไปพากเพียรอะไรมาก ของกล้วยๆ มันก็เสีย อย่างหนึ่ง แต่มันก็ดีอย่างหนึ่ง เพราะยังงั้น อาตมาทำอย่างนี้ก่อน ทั้งๆที่อาตมาสอนมานาน พูดมานาน ก็ว่ากันไปนาน ว่าไปยังงี้ ค่อยๆเพิ่มเติมขึ้น

เอานะ คุณค่อยเข้าใจ คุณแห่งองค์ ๖ ของสัมมาทิฏฐิ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่น้อยแล้วนะ ใครตั้งใจฟัง ใครมึนๆ เคๆ ก็คงจะรู้ยากแหละ ถ้าตั้งใจฟังดีๆ พวกนี่นั่งชั้นบ็อกซ์ นี่ ค่อยยังชั่วนี่ โอ้โฮ มันเข้าในหู เลยนะนี่ ตกนี่ปุ๊บมันเข้าหูเลย นะนี่ ทางหางโน่นหน่อย ก็ยากหน่อยแหละ คุณก็ตั้งใจมากๆ ก็แล้วกัน ไม่มาจองที่ตีหนึ่งตามเขานี่ เขามาจองที่ตี ๑ เขาก็ได้ใกล้หน่อย

ทีนี้ เข้าใจให้ดีๆ และภาษาก็จำมันบ้างนะ ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาผล ปัญญาพละ และก็มี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ มัคคังคะ หรือองค์ของมรรคทั้งหมดนี่ องค์ทั้ง ๗ ทั้ง ๘ ก็ปฏิบัติองค์ทั้ง ๗ นี่แหละ อย่างที่อ่านมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านตรัสแล้วว่า เป็น เอกัคคตารมณ์ จิตเป็นหนึ่ง รวมเป็นหนึ่งได้ ก็เพราะว่าเป็นสมบูรณ์

สมาธิที่อธิบายไปแล้วเมื่อกี้นี้ มันขัดเกลาเป็นสมาธิยิ่งๆขึ้น ยิ่งแข็งแรงขึ้น ยิ่งสมบูรณ์ขึ้น ก็เพราะว่า ได้ละได้ล้าง จนกระทั่งเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา อย่างที่ว่านี่ แหม ยิ่งเป็นตัวจิต เจตสิก ที่แนบแน่น แน่วแน่ แล้วก็มีสังขารจนเป็นวจีสังขารให้เร็วขนาดไหนก็ได้ แววไว มุทุภูเต แววไวแล้วก็ปรับได้ ดัดได้ ฆ่าแกงกิเลสได้ มีธัมมวิจัยที่เชี่ยวชาญ วิจัยออก จับฝุ่น จับกิเลส จับละอองธุลีอะไรได้ชัดได้เร็ว ได้ถูกตัว แล้วก็ฆ่าเป็น มีวรยุทธ์ ฆ่ากิเลสได้จริงๆด้วย ให้เร็วเท่าไหร่ ก็จับทัน จึงจะคล่องแคล่วชำนาญ

เพราะฉะนั้น ทุกอย่างจึงเหมาะกับการงาน หรือการกระทำ จะกระทำอย่างเร็ว อยากจะกระทำ อยู่ในนรก กระทำอยู่ท่ามกลางกองกิเลส เท่ากองภูเขา ก็เหมือนเดินในที่ว่าง มีอิทธิวิธี ปานฉะนั้น ทำได้อย่างปาฏิหาริย์ ประเภทที่ โอ้โฮ เดินบนน้ำเหมือนกับเดินบนดิน ปาฏิหาริย์ กลับกับโลกเขาเลย ถ้าเป็นคนโลกๆ ไปเดินอย่างนั้นเหรอ อยู่กองกิเลส ไม่ได้ปาฏิหาริย์เหมือน เดินบนน้ำ เหมือนเดินบนดินหรอก เดินบนน้ำ ก็ตกจ๋อมเป็นธรรมดา มุดลงไปในดิน ดำได้ เหมือนดำลงไปในน้ำ โอ๊ย ดำลงไปซิ เดี๋ยวหัวแตกตาย ธรรมดาสามัญก็แค่นั้น

แต่ผู้ที่มีปาฏิหาริย์แล้วนี่ โอ มุดลงไปในดิน เหมือนดำลงไปในน้ำได้ สบาย ว่ายเหมือนปลา ในดินเลย เดินบนน้ำก็เหมือนเดินบนดินแข็งๆได้ ทะลุภูเขา ทะลุกำแพง กองกิเลสจะแข็ง เท่ากำแพง กองเท่าภูเขา เดินๆ เหมือนเดินในที่ว่าง สบาย ลูบหัวล้านพระอาทิตย์ พระจันทร์ได้ สบายใจ ไม่ร้อน ลูบโดยฝ่ามือ ก็ไม่ร้อน ไม่ไหม้ เพราะฉะนั้น แตะต้องสิ่งที่โลกเขาแตะต้องไม่ได้ แต่แตะต้องได้ ไม่ทำลายเรา เหมือนจับ พระอาทิตย์ ลูบพระอาทิตย์ จับได้นี่คืออิทธิวิธีทั้งหมด เป็นไปได้อย่างนั้นจริงๆ

แต่ต้องเข้าใจเป็นนามธรรม เข้าใจเป็นธรรมาธิษฐานนะ ไม่ใช่จะไปตามลูบหัวพระอาทิตย์เล่น ยื่นมือ ยืดยาวไปลูบพระอาทิตย์ ลูบพระจันทร์ พาซื่ออย่างนั้น ไอ้อย่างนั้น อาตมาก็ยังไม่เคย เห็นพระพุทธเจ้า ไปลูบหัวพระอาทิตย์สักทีเลย ท่านก็มีอภิญญาแน่ เราเชื่อใช่ไหม ไม่เคยเห็น เดินทะลุกำแพง ก็ไม่เคยเห็น ไม่มีในพระไตรปิฎก ท่านเดินทะลุกำแพงที่ไหน แต่ท่านมีอภิญญา คือท่านใช้อภิญญาพวกนี้ อยู่ตลอดเวลา เราเห็น เรารู้ อาตมามีตาทิพย์ นี่อวดอุตริมนุสธรรม ให้คุณฟังจริงๆนี่นะ มีตาทิพย์ รู้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสใน พระไตรปิฎก ท่านแสดงอิทธิวิธี ท่านแสดงปาฏิหาริย์ อยู่ตลอดเวลา ท่านรู้ ท่านแจ้ง ท่านเห็นกองกิเลส ยังโน้นยังงี้ และท่าน ก็เป็นอย่างนั้น ท่านลุยอยู่ในกองกิเลสเท่าภูเขา เท่ากำแพงอะไรอยู่ ท่านปาฏิหาริย์ ของท่าน เดินน้ำ ดำดินอยู่ตลอดเวลาเลย ชัดเจน ถ้าเราเข้าใจเห็นชัด เราเห็นเลยว่า นั่นแหละพฤติกรรม ของท่าน เห็นอิทธิวิธีอย่างนั้นจริงๆ พฤติกรรมของเรา ก็เป็นอิทธิวิธีอย่างนั้นจริงๆ

นี่เป็นเรื่องต้องศึกษาดีๆ แล้วมาพิสูจน์ มาประพฤติ แล้วเราจะได้สิ่งเหล่านี้ เป็นอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่อง อย่างนี้เป็นแต่พระพุทธเจ้า คนอื่นทำไม่ได้ ไม่ใช่ เราต้องได้อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านได้ แม้จะได้ยังไม่เยี่ยมยอดอย่างพระพุทธเจ้า ก็เป็นครรลองเดียวกัน เป็นลักษณะเดียวกัน ต้องได้อย่างนั้น นี่คือ สัมมาทิฏฐิของพระอริยะ ที่อาตมาเสริมเติม

เมื่อวานนี้ ได้อ่าน ทานไปแล้วนะ ได้อธิบายทานไปบ้างแล้ว จะเริ่มต้น ทานไปอีก

ทาน คือการให้ และอาตมาก็ได้ย้อนได้ย้ำแล้ว เมื่อวานนี้ด้วยว่า ไม่มีอะไรหรอก เกิดมาเป็นคน มีแต่จะมาเป็นผู้ให้ ทีนี้คุณจะเป็นผู้ให้ได้นี่ คุณก็ต้องเป็นเศรษฐีให้ได้ เศรษฐีเงินถัง สตังค์ไม่มี นี่แหละยิ่งใหญ่

กระฏุมพี ที่มีมากๆ นั่นนี่ยิ่งย่อย ยิ่งแย่ กระฏุมพียิ่งมีมากๆ จนยิ่งแย่ เศรษฐีเงินถัง สตังค์ไม่มี นั่นน่ะยิ่งใหญ่ ไม่เชื่ออย่าเชื่อ ไม่จ้างให้เชื่อ ไม่ง้อให้เชื่อด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะแจกผู้อื่นได้ ผู้จะให้คนอื่นได้ ผู้นั้นต้องมี คุณจะมีอะไรก็แล้วแต่ คุณจะมีเพชร มีพลอย มีทอง มีเงิน มีอะไร มากมายก่ายกอง ขนาด ไหน ก็ไม่วิเศษเท่ามีธรรมะ เสร็จแล้ว สุดท้ายมีธรรมะนี่แหละแจก

มีธรรมทาน ยิ่งใหญ่กว่าอามิสทาน ยิ่งใหญ่มหาศาล กว่าอามิสทาน และเวลาทานก็ ทานอย่าง สังฆทาน แน่กว่าปาฏิปุคลิกทาน, ปาฏิปุคลิกทานนั่นไม่มีอานิสงส์สูงหรอก ปาฏิกบุคลิกทาน เป็นทานที่ เจาะจงบุคคล ไม่แน่ ไม่ดี แม้แต่สังฆทานก็สังฆทานใหญ่ วิเศษกว่าอีก เข้าใจแล้ว ใช่ไหมว่า สังฆทานใหญ่เป็นยังไงๆ มัวเลือกบุคคล ก็สังฆทานน้อยนั่นแล้ว สังฆทานใหญ่ นั้นก็คือ ไม่กำหนดบุคคล ไม่กำหนดของด้วยว่า เราจะให้อันนี้ เราดูตามความจริงว่า ท่านขาด อะไรๆ อะไรสมควรจะให้ แม้แต่เล็กน้อย จนกระทั่งถึงใหญ่ก็ตาม เอา อันนี้จะสำคัญ อันนี้พอสมควร จะต้องทานแหละ ท่านขาดอันนี้แหละ กระทำอันนี้ลงไป ร่วมมือให้ ให้อันนี้ ไม่ใช่ว่า เรากำหนดว่า ฉันจะให้ ไม่รู้ละฉันจะให้เข็มท่าเดียว ไปเจอใคร ฉันก็จะให้เข็มนี่แหละ เอาละ ฉันไม่กำหนดคนละ เจอพระรูปไหน ก็แจกเข็มๆ นี่กำหนดของ หรือสังฆทาน ที่ทำกันมากๆ ก็คือ ใส่อาหาร ใส่ปิ่นโตให้แล้ว เจอองค์ไหน เอาปิ่นโตไป เอาจ่ายปิ่นโตไป อาหารอยู่ในนั้น กำหนดของเท่านั้น หรือไม่ก็จะแจกแต่จีวร แจกแต่สังฆทาน คือจะให้แต่ผ้า ไปไหนก็ เจอองค์นี้ก็ให้แต่ผ้า องค์นี้ให้แต่ผ้า องค์นี้ผ้าเต็มตู้ให้แต่ผ้าอยู่อย่างนี้น่ะ ไม่รู้ว่า ท่านขาดแคลนอะไร ท่านต้องการอะไร จำเป็นอะไร ท่านสมควร และสำคัญอะไรที่จะให้ท่าน ไม่ได้เคยติดตาม ไม่ได้เคยสอดส่อง ไม่ได้เคยรู้ อย่างนี้ก็อานิสงส์น้อยๆกว่าอยู่ แต่ถ้ายิ่งเข้าใจ ติดตามสอดส่อง ผู้นี้คอยช่วยเหลือ จะให้ทานผู้นี้ๆ ท่านเป็นพระอริยะ

อย่างที่อาตมาบอกแล้วว่า วิธีการทาน เรียนถามท่านเลยก็ได้ ไม่มีปัญหา เรียนถามท่านก็ได้ แต่ท่าน ก็จะตอบอย่างเหนียมๆ หน่อย ท่านจะไม่ตอบพาซื่อหรอกนะ อาตมาขาดไอ้นั่น ไอ้นี่ก็ ท่านจะตอบเหนียมหน่อย แต่ตอบตรงก็ได้ แต่ท่านเอง ท่านไม่มีปัญหาอะไร ถ้าสนิทสนมกันดี ถ้าไม่สนิทสนมกัน เรื่องอะไรท่านจะมาเปิดปาก จะบอกขออะไรง่ายๆ พระอริยะยิ่งไม่บอก ของ่ายๆ พูดได้ แต่ผู้ปวารณา ผู้สนิท หรือผู้ที่เป็นญาติเลยจริงๆ ปวารณา

ผู้เป็นญาติแท้ๆ ไม่ต้องปวารณาก็ได้ อะไรยังงี้ ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เปิดปากแน่ คนใหม่ๆ ยังไม่ค่อยสนิท ท่านจะไม่เปิดปากง่ายๆ ท่านขาดอะไรอยู่ ก็ โยม ไม่มีอะไรมากหรอกโยม แต่ไม่มีอะไรขาด ก็ขาดอยู่นั่นแหละ ขอปวารณาไว้ เมื่อปวารณา ทีหลังท่านก็บอกได้ ถึงแม้ปวารณานี่นะ สมณะที่ดีท่านก็ ปวารณาต้องดูคน พึ่งมาปวารณาใหม่ คนปวารณาใหม่ กับคนปวารณาเก่า หรือว่าคนที่สนิทสนมกว่ากัน คนที่ได้เกื้อกูลมากน้อยกว่ากันนี่ ถึงจะปวารณากัน เดียวกันพร้อมกัน ก็ยังต่างกันอยู่ นัยพวกนี้ ก็เป็น ธรรมดานะ

ถ้าให้ก็ให้แก่ผู้ ๑. ผู้ยากจนหรือมีน้อยกว่าเรา ๒. มีความจำเป็น หรือว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ ได้มากกว่า หรือว่าให้ผู้นั้น เป็นผู้มีความโลภน้อย ที่สามารถสร้างสรร เสียสละ ให้ส่วนรวม ได้มากๆ เราก็พิจารณาไปว่า ผู้นี้ถ้าสมควร โดยสรุปก็คือ เป็นพระอริยะ ที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปนั่นแหละ ถ้าเข้าใจจริง แล้ว ท่านกับผู้อย่างนี้แหละเหมาะสม

สรุปแล้วนี่ ทานกับอาตมานี่ดีที่สุด เอ้า ไม่ได้พูดอย่างเล่นนะ พูดอย่างจริงนะนี่ คุณเชื่อไหมล่ะ คือ เราจะต้องตรวจตรา แล้วก็จะต้องสอดส่อง จนเชื่อมั่น จนเห็นเข้าใจจริงๆ อาตมาจนกว่าคุณ จริงๆนะ อาตมาจำเป็นนะ จำเป็นจริงๆนะ แต่ในหลายๆ อย่างนี่ อาตมาเอง อาตมาแม้จะ จำเป็น ก็ไม่ เพราะอาตมาไม่ใช่นักขาย ถ้าอาตมาเป็นนักขาย คุณเอ๋ย คุณเอาอะไรมาให้อาตมา อาตมา รับหมดเลย ขายเละเลย และอาตมาจะเอาเงินมาทำงาน ทำยังงี้ ยังโง้น โอ๋ย ไม่ต้อง ไปพูดมากหรอก วิหารนี่สำเร็จไม่ช้าหรอก แต่ว่า เราไม่ใช่นักค้านักขาย อะไรมาก เอาอะไรมาให้ ก็ต้องเอา อันนี้สะดวกหน่อย อันนี้ยังไม่สะดวก รับมาก็ยุ่ง อย่าพึ่งรับเลย มันก็ต้องพิจารณา ไปตามแต่อาตมาจะพิจารณา หรือผู้รู้ผู้เป็นอริยะแต่ละท่าน ก็ยังงั้นแหละ และก็ทำประโยชน์ อะไรได้ มากแน่ อาตมาว่าอาตมาทำประโยชน์ได้ คุณจะให้ทุน ให้รอน ให้วัตถุ ให้เงินอันนี้มา เราก็รับได้ แต่ไม่ได้รับมาเป็นของเราหรอกจริงๆ รับมา เราจะเป็นผู้เอาไปสร้างสรร และ สร้างสรร อย่างเสียสละ สู่ส่วนรวม สู่ผู้ที่จะกว้างขึ้นได้มากขึ้น เป็นประโยชน์ซับซ้อน ต้องมีปัญญา ที่จะรู้ว่า เราจะทำอย่างนี้จริงๆ นี่ก็เป็นทาน หลักการทาน คนที่ควรทานให้ เป็นคนอย่างใดๆ ๕ ลักษณะ นี้ อาตมาก็บอกไปแล้ว เมื่อวานนี้บ้างนิดหน่อย

ทีนี้ ก็มีคนถามปัญหามา เมื่อวานนี้ ก็เอามาตอบวันนี้ต่อ ก็เป็นการขยายความเพิ่มเติม

การให้แล้วหวังคืน เหมือนขว้างบูมเมอแรง หรือเปล่าคะ

ใช่ การให้ๆไป เหมือนขว้างบูมเมอแรงออกไป บูมเมอแรง คือเครื่องมือชนิดหนึ่ง ขว้างออกไป ถ้ามันถูกสัตว์แล้ว มันก็จะทำลายสัตว์ แต่ถ้าไม่ถูกสัตว์ ขว้างไปมันไม่ถูกสัตว์ มันก็จะหมุนวน กลับมาเจ้าของ เจ้าของก็รับกลับ อาวุธนี้มันจะวนกลับมาหาเจ้าของตามเดิม นี่คือ บูมเมอแรง ของคนป่า ที่ในออสเตรเลีย เขามีนะ เพราะฉะนั้น ของที่ให้ไปแล้ว เสร็จแล้ว ตัวเองก็ยังเป็น บูมเมอแรงอยู่ จะให้วนคืนมาหาตัวเอง ถ้าคนที่ฉลาดมากๆ ฉลาดเฉโกนะ ไม่ใช่ฉลาดปัญญา ก็ยิ่งจะทำให้คนอื่นเขาไม่รู้ว่าตัวเองนี่ ให้ไปให้นะจ๊ะ แล้วไปโค้งไกล คนไม่เห็นเส้นเลย ว่ามันไปยังไง มายังไง

แต่เสร็จแล้วมาวน มาหาตัวเอง โดยที่คนพวกนี้ ไม่รู้เรื่องหรอก แต่มันรอรับเอามา คือให้อย่าง หวังตอบแทนอยู่ โค้งคืนมาให้แก่ตัวๆ เรียกให้อย่างบูมเมอแรง เพราะฉะนั้น ใครที่บริสุทธิ์ใจ แล้ว ให้ก็คือให้ อย่าไปอยากได้อะไรคืนมา นั่นแหละดีที่สุด มีอานิสงส์สูงที่สุด ทำให้สนิท และไม่ต้องกลัว กรรมก็คือกรรม ให้ก็คือบุญอยู่แล้ว มันเป็นของเรา มันก็เป็นเราแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านก็บอกแล้ว เป็นกัมมทายาโท เป็นทายาทของกรรมของเรา ถ้ากรรมให้

อ่านต่อหน้าถัดไป