กว่าจะสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ตอน ๕

โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
เนื่องในงานปลุกเสกฯครั้งที่ ๑๖ ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก


เรากำลังขึ้นภาคกรรม สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีหรือไม่มี ใครมีความเห็นหรือมีความเชื่อ ความเห็นความเชื่อนี่ลึกๆ อยู่ในใจนั่นล่ะ ทิฏฐิ คือสิ่งลึกๆ อยู่ในใจ ไม่ใช่สามัญธรรมดาง่ายๆ สามัญก็ด้วย ข้างนอกนี่ก็ด้วย บางทีขัดแย้งกัน ข้างนอกนี่ เราไม่รู้สึกว่าสามัญสำนึกธรรมดา ข้างนอกๆนี่ดูเหมือน เรารู้สึกว่าไม่ไม่ชอบ แต่ข้าง ในลึกๆน่ะ มันชอบมันเป็นได้

เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายามให้มันสอดคล้องกันให้ได้ทั้งหมด บางทีข้างนอกนี่ไม่ชอบ แต่ข้างในชอบ หรือบางทีข้างนอกชอบ ข้างในไม่ชอบ เพราะฉะนั้น ต้องให้มันสอดคล้อง แล้วให้มันถูกต้องด้วย จะชอบหรือไม่ชอบดี ทำให้มันถูกต้องด้วย ควรชอบหรือไม่ควรชอบ ให้ถูกต้อง ต้องมีญาณปัญญา ตัววินิจฉัย ตัวธัมมวิจัย ตัวเหตุผลที่จะวิจัยเป็น ความเฉลียวฉลาด เป็นญาณที่จะประกอบไปด้วย แล้วญาณมันถึงจะขึ้นเป็นลำดับๆเสมอ ทิฏฐิที่จะเป็นสัมมา หรือเป็นมิจฉา มันจะมีญาณ ไตร่ตรองวินิจฉัยไปเรื่อยๆ ถ้าสิ่งที่ไม่ดี มันก็วินิจฉัยไปได้ว่าไม่ดี แล้วไปหลงชอบไม่ดี หลงไปได้นานเหมือนกัน จนกระทั่งไปถึงรอบว่า มันจะเห็นว่า โอ๊ มันผิด ถึงจะหักกลับก็มี เลิกอันนั้น แหม เสียเวลาจริงๆน่ะ อย่างนี้เคยมี มากมาย เสียเวลาจริงๆ มันไม่ได้เรื่อง

เรื่องของกรรม ศาสนาพุทธเราเป็นศาสนากรรมนิยม หรือกรรมสัจจะ หมายความว่า ถือกรรม เป็นสัจจะ ถือกรรมเป็นเรื่องเที่ยงแท้ เป็นเรื่องจริง เรื่องเที่ยงแท้ เป็นสัจจะ เป็นของจริงของแท้ นิยมะ แปลว่าแท้ สัจจะแปลว่าจริง ไม่รู้ แท้กับจริง มันต่างกันที่ตรงไหนก็ไม่รู้ สัจจะแปลว่าจริง นิยมะแปลว่าแท้ หรือนิยม นิยมะแปลว่าแท้ เรื่องกรรมเป็นเรื่องแท้ เป็นเรื่องที่มันต้องเอาจริง เอาจังด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิแล้ว จะเข้าใจกรรม แล้วก็จะพยายามที่จะต้องพัฒนา กรรมของตน คือการกระทำ ศาสนาย่นย่อเข้ามา ไม่ได้ทำอะไรหรอก ศาสนาสอนให้เรา พัฒนากรรม การกระทำทางกาย ทางวาจา ทางใจ โดยเฉพาะใจเป็นประธาน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสยืนยันว่า ใจเป็นประธานสิ่งทั้งปวง มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ใจเป็น ตัวประธานสิ่งทั้งปวง

เพราะฉะนั้น เราจะต้องพยายามพัฒนาใจ ให้มันเปลี่ยนแปลงไปสู่ความเป็น หรือเกิดให้ได้ ให้เกิด เกิดจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ เป็นอย่างเจริญ เป็นอย่างแข็งแรง มันจะดีไปในทางทิศไหน อำนาจของใจ ทั้งความเห็นทิฏฐินั่นแหละ จนกระทั่งถึงอำนาจของเจโตจริงๆ หมายความว่า ตัวจิต จริงๆเลย จะมีพลัง จะมีความเข้มแข็ง จะมีความเป็นไปได้ แรงกล้าเท่าไหร่ก็ มันเป็น ส่วนดี สิ่งดี สภาพที่ดี จะต้องเป็นให้ได้ อย่างแข็งแรงที่สุด มากที่สุดที่จะทำได้ เราได้อ่าน ได้นำความ มาจากหนังสือ ที่ตัดส่วนมาจากสมาธิพุทธนะ อธิบายมา อธิบายสรุปเอาไว้ อาตมาก็เอามาอ่านไปเรื่อยๆ แล้วก็จะได้อธิบายเสริมซ้อน เรื่องกรรมจะไม่อธิบายมาก เกินไปนักตอนนี้ เพราะว่าเราได้ฟังเรื่องกรรม มาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะเลย โดยเฉพาะ เน้นมาก ว่าเป็นทรัพย์แท้ของมนุษย์ เป็นกรรมที่สั่งสมลงไป ซอยย่อยลงไป เป็นลักษณะศรัทธา ศีล ศรัทธา จาคะ ปัญญา หรือเอาทั้ง ๗ ก็มีหิริ มีโอตตัปปะ มีพาหุสัจจะ พหุสูตด้วย เราก็ได้เน้น กันมามากแล้ว เพราะฉะนั้น เราฟังอันนี้ไปก่อน

สัจจะแห่งกรรม พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน เมืองสาวัตถี ได้ทรงตอบปัญหา ของสุภมานพ ที่ทูลถามว่า ทำไมคนที่เกิดมาในโลกนี้แล้ว จึงมีสภาพไม่เหมือนกัน พระองค์ทรงตอบปัญหานี้ พอสรุปเป็นคู่ได้ ๗ คู่คือ

๑.คนมักทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด หมกมุ่นในการประหัตประหาร ไม่เอ็นดูในเหล่าสัตว์มีชีวิต ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะมีอายุสั้น ทุคติ ท ทหาร สระอุ แล้วก็ ค ควาย ต เต่า สระอิ อ่าน ว่าทุคติ สุคติ ส เสือ มันตรงข้ามกัน สุคติ ส เสือ สระอุ แล้วก็ ค ควาย ต เต่า สระอิ เหมือนกัน สุคติ บางทีเราก็ อ่านกล้ำ มาเป็นสุค สุคติน่ะ แล้วก็พวกเราบางคนเพี้ยน แปลเพี้ยน หรือว่าอ่านเพี้ยน สุคติ หรือสุขคติ แล้วก็เลยไปแปลว่า เป็นไปเพื่อสุข ก็มีส่วนถูกนะ ถูกจิ๊ดหนึ่ง สุขนั่น มันอาจจะ สุขแบบโลกียก์ก็ได้ ที่จริง แล้วสุคติ หรือสุขคตินี่ มันไม่ได้เป็นไปเพื่อสุข แปลว่า ดำเนินไปดี สิกขมาตุรินฟ้า แปล สีเลนสุคติงยันติ แปลว่า ศีลจะทำให้เป็นสุข ไม่ใช่ มันก็ใช่เหมือนกันล่ะ สุคติ มันก็ต้องเป็นสุขล่ะ แต่ว่าสุขมันลึกซึ้งกว่านั้น แล้วไม่ได้แปลแค่ ตรงแค่ สุขนะ ศีลไม่ได้ เป็นแค่เพียงสุขเท่านั้น ศีลนำพาไปสู่การดำเนินไปดี เจริญไปเรื่อยๆ ดำเนินไปเรื่อยๆ คติแปลว่า ดำเนินไป เป็นไป มันก็เดินไปเรื่อยๆแหละ เหมือนกับเวลาที่ ไปเรื่อยๆ เราก็ไปเรื่อย

ถ้าผู้ใดมีสติ แล้วก็ได้สังวรตน สังวรไปเรื่อยๆ เราก็จะได้ปรับตัวเอง มีการรู้ตัวว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เรากำลังกระทำอะไร อย่างไร ในขณะหนึ่ง ยิ่งเร็ว ยิ่งถี่เท่าไหร่ แล้วเราก็ ควบคุมได้ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพียรที่จะทำให้มันได้สังวรระวัง ประหาร หรือลดละ ไอ้สิ่งที่ มันไม่ดี เปลี่ยนแปลงเป็นดีไปเรื่อยๆๆๆ ก็ดำเนินไปนั่นแหละ จะเจริญไปดี สุคติ จะเดินไปเรื่อยๆ ต่อยิ่งกว่าวินาที ต่อวินาที ดำเนินไปเรื่อยๆ มันไม่มีอะไรหยุดยั้ง ไม่มีอะไร อยู่กับที่ มันจะดำเนิน ไปเรื่อยนั่นแหละ ถ้ายิ่งมีสติ แล้วก็สามารถ สติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์ วิริยะสัมโพชฌงค์ พากเพียร หรือสัมมาวายามะ สัมมาสติ พยายามกระทำ อยู่เรื่อยๆ ปฏิบัติตน สังวรอยู่เรื่อยๆ มี สังวรปธาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน มีตัวสังวร แล้วก็ฆ่า สิ่งที่ควรฆ่า ทำลายสิ่งที่ควรทำลาย เลิกสิ่งที่ไม่เหมาะไม่สม ไม่ดีไม่งาม ปรับปรุงอยู่เรื่อย ไม่ว่า กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ท่าที ท่าทาง กิริยา การพูดทุกอย่าง การกระทำอะไร มีตัววิจัยอยู่ ในนั้น ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิจัยอย่างขนาดเข้าเขต ของโลกุตระ วิจัยถูกว่า อันนี้เป็นชั่ว ที่เป็นไปลึกซึ้ง ถึงขั้นจิตวิญญาณที่เป็นกิเลส เป็นตัวสำคัญ แล้วก็ลดกิเลส ละกิเลส ทำให้มันเจริญ มันดียิ่งๆขึ้น แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ นั่นล่ะ สุคติตัวแท้ เดี๋ยวนี้ก็สู่สุคติอยู่ ใครทำเดี๋ยวนี้ ได้เดี๋ยวนี้ สุคติก็เดินไปเดี๋ยวนี้ ใครทำไม่ถูก ผิดพลาด ทุคติก็เป็นอยู่เดี๋ยวนี้ ทุกวินาที มีทุคติทุกวินาที มีทุคติ ทุกวินาที

มีสุคติ วิจัยรู้จักสุคติคืออะไร ทุคติคืออะไร ถ้าวิจัยรู้ มีญาณปัญญารู้ วินาทีนี้ก็กำลังเดินอยู่ กำลังเป็นไปอยู่ สุคติหรือสู่สุคติ หรือสู่ทุคติ แต่ละคนนี่นั่งอยู่ด้วยกัน เห็นหน้ากันหลัดๆ นั่งอยู่นี่นะ ไม่รู้กำลังเดิน เดินนะ นั่งๆอยู่นี่ เดิน แต่ไม่รู้กำลังเดินไปสู่สุคติ หรือกำลังเดินไป สู่ทุคติ ฟังไป ไปนั่งแช่งอาตมาอยู่ทุคติแน่เลย ก็ว่าไปแรงๆหน่อยๆ อาจจะไม่มีสักคนก็ได้หรอก แต่แม้ว่าเราคิด ในขณะนี้จิตของเรา มันเป็นทุคติ แหม ตอนนี้นึกถึง ความพยาบาท อ่านแล้ว ทุคติแล้ว จิ๊ดหนึ่ง ก็ทุคติจิ๊ดหนึ่ง นั่นแหละ ถ้าต่อเนื่อง ไปยาวๆด้วย ยิ่งเข้มข้นขึ้น เข้มข้นขึ้น แหม หลุมลึกขึ้นเลย ทุคติ นรก วินิบาต เห็นความจริงอันนี้ให้ได้ว่า นี่คือของจริง นี่คือสัจจะ นี่คือนิยมะ นี่คือของแท้ เห็นจริงน่ะ นี่แหละ เรียกว่าทุคติ

นี่ อาตมาเจอคำว่า ทุคติ วินิบาต ก็เลยเอาทุคติแค่นี้มาอธิบายเลยชัก จะออกนอก ไอ้นี่อ่านนี่ สักหน่อยแล้ว แต่ก็ซอยลึกให้ฟัง คนมักทำชีวิตให้ตกล่วง เป็นคนเหี้ยมโหด ก็หมายความว่า ศีลข้อ ๑ นั่นแหละ ให้ระวัง อย่าฆ่าสัตว์ แต่นี่ก็ฆ่าสัตว์ เป็นคนที่ทำลายผู้อื่น ผู้นี้ย่อมมีนรก วินิบาต อายุสั้น

ส่วนคนที่ละปาณาติบาตแล้ว เป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตรา มีความละอาย ถึงความเอ็นดู อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลใน สรรพสัตว์ และภูตะอยู่ ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นคนจะมีอายุยืน

ก็ตรงกันข้ามกัน ที่บอกว่าฆ่าสัตว์ อาตมาก็เคยอธิบายปาณาติบาต หรือว่าศีลข้อ ๑ นี้ ได้ขยายความมา ใครเคยได้อ่าน ขยายจนถึงอรหันต์โน่นแหละ ทำลายชีวะ ภูตะ ปาณะ นี่ท่านพูดถึงแค่ภูตะ อนุเคราะห์ความเกื้อกูลสรรพสัตว์และภูตะอยู่ อาตมาอธิบายไปถึงปาณะ

ชีวะ ภูตะ ปาณะ หมายถึงเยื่อชีวิต ใยชีวิต คือเกี่ยวเนื่องไปถึงวิญญาณชีวิต วิบากที่ เป็นวิบาก ทางที่เราคิดว่าเป็นวิบากทางวิญญาณนั่นแหละ เรียกว่าวิบากที่มีความละเอียด ลึกซึ้งเข้าไป จนกระทั่งถึงเยื่อใยเชื่อมต่อโยง ชีวะหยาบหน่อย ภูตะก็เป็นวิญญาณที่ลึกซึ้งเข้าไปอีก เป็นวิญญาณภายในที่ใครรู้ใครเห็น ใครสามารถเรียนรู้ แล้วก็จับอาการ จับตัวจับตน ทั้งๆที่มัน ไม่มีตัว ไม่มีตนนี่แหละ แต่เราจับอาการ จับนิมิต อาการ ลิงคะ นิมิต จับได้ วิญญาณเรา สัมผัสได้ จับได้เอง นั่นเป็นผู้ที่มีตาทิพย์ จับอ่านอาการของจิต เจตสิกต่างๆ พวกนี้ มันเป็น ปรมัตถสัจจะ เป็นสัจจะชนิดหนึ่ง เป็นปรมัตถสัจจะ เป็นสัจจะที่เราจะต้องรู้สภาพอย่างนั้น ในตัวเรา ศึกษาที่ตัวเรา ร่างกายแท่งนี้ กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ในการกำหนดรู้จิตใจ จิตวิญญาณเรา มันมีจริงรู้ได้ว่า อาการอย่างไร เรียกว่าดี เรียกว่าไม่ดี เรียกว่ามีกิเลสปน มีกิเลสโลภ โกรธ หลงเป็นอาการผสมอยู่ วิเคราะห์ในจิตออกมาได้เลย อย่างนี้เป็น โทสมูลอย่างแก่ อย่างนี้เป็นโทสมูลอย่างกลาง อย่างนี้เป็นโทสมูลอย่างละเอียด อย่างนี้โทสมูล อย่างธุลีละออง อย่างนี้โทสมูลอย่างเหลือนิดน้อยเท่าไหร่ เราก็ยิ่งมีญาณ ละเอียด เราก็จะได้รู้มันได้ว่า โอ๊ มันยังเหลือนะ มีส่วนพริ้วๆพรายๆ นิดๆหน่อยๆ อะไรก็ เราก็จะอ่านออก ด้วยญาณของเรา ฝึกปรือศึกษาได้ของตนๆ คนอื่นมารู้กับเราไม่ได้หรอก ของเรา เรารู้ของเรานั่นแหละรู้ของจริง ไปรู้ของคนอื่นนี่ มันคนละเรื่องคนละใย ขนาดไฟฟ้า เขายังเอาสายมาต่อเข้า มันถึงเดินได้ ไอ้นี่คนแท้ๆ จิตวิญญาณคนละอัน ละเอียดยิบยับ สายไม่ได้ต่อกัน สักหน่อย รู้ของเขาได้ง่ายๆที่ไหน นี่ศีลข้อ ๑ เป็นคู่หนึ่ง

๒. คนมีปกติเบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือ ศาสตรา ตายไปย่อม เข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคนจะมีโรคมาก

เบียดเบียนเขาด้วยฝ่ามือ เมื่อกี้นี้ เบียดเบียนเขาด้วยเหี้ยมโหด มีมือเปื้อนเลือด ทำลายหรือว่า ฆ่าแกง ประหัตประหาร ตอนนี้เบียดเบียนเขาด้วยฝ่ามือใครล่ะ ฝ่ามือ มันจะอรหันต์รึ ฝ่ามือมาร หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือ ศาสตราตายเข้า มีลักษระคล้ายกันนะ ก็หมายความว่า ทำร้ายผู้อื่น จะมีอะไร นัยะต่างกันบ้าง ละเอียดลงไปบ้าง ก็ขยายความในตัวมันเอง อย่างนี้แหละนะ

ส่วนคนมีปกติไม่เบียดเบียนสัตว์ด้วยฝ่ามือ หรือก้อนดิน หรือท่อนไม้ หรือศาสตรา ตายไปย่อม เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ถ้าไปเกิดเป็นคนจะมีโรคน้อย

๓.คนมักโกรธ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กน้อย ก็ขัดใจ โกรธเคือง พยาบาทมาดร้าย ทำความโกรธ ความร้าย และขึ้งเคียดให้ปรากฏ ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะมีผิวพรรณทราม

ระวังนะ ข้อนี้ระวังยากนะ มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่าเล็กว่าน้อย ก็เอาแล้ว ขัดใจแล้ว โกรธเคืองแล้ว พยาบาทแล้ว พยาบาทมาดร้าย มีมาดร้าย เขาว่าเล็กว่าน้อยก็ แน่ะมาดร้าย แยกเขี้ยว ยิงฟัน ว้ากไปเลย เขาว่านิดว่าหน่อยก็ แหม แตะไม่ได้ ต้องไม่ได้เลย โอ๊ย มันไวนะ ใครเคยเป็นมาบ้างแล้วล่ะ อาตมาว่าเกือบทุกคนละมั้ง แล้วเราทำมามากมาน้อยแค่ไหน ไวแค่ไหน ยิ่งซักซ้อม ยิ่งยึดติดเก่งๆ ยิ่งตัวกูของกู กูใหญ่ กูถูก กูนี่แหละ ใครอย่ามาแตะ เป็นอันขาดเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นเด็กๆ หรือผู้ใหญ่ หรือแก่แล้วก็ตาม

นี่ มันละเอียด ฟังดีๆ อ่านดีๆ แล้วก็มาเปรียบมาวัด มาเทียบว่า เอ๊ กรรมกิริยาอย่างนี้ ลักษณะอย่างนี้ มันเป็นยังไง ตัวเรานี่แหละ เป็นคนอื่นเขาก็เป็นให้เห็น มีตัวอย่างให้ดูเยอะแยะ มากมาย แล้วคนที่ไม่ได้เรียน ไม่รู้ ไม่ได้ศึกษาธรรมะ เขาจะไประมัดระวังอะไร เขาก็เป็นของเขา ซักซ้อมไป ยิ่งแก่ยิ่งเก่งขึ้นทุกวันๆๆทุกวัน ยิ่งแก่ยิ่งแย่เลย เพราะซักซ้อมมาตั้งแต่เด็ก จนกระทั่ง แก่ แล้วไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ตัวว่านี่เป็นความเลวสู่สุคติแน่ๆ เขาก็สร้างนรกให้ตัวเอง นี่แหละนรก รู้นรก รู้สวรรค์ ให้ชัดๆเถอะ อย่างนี้แหละ มาก่อความโกรธ ก่อความโลภ ก่อราคะ อะไรอย่างนี้ นี่แหละนรก มันไม่ใช่เรื่องลึกลับอะไร ศึกษาดีๆ

ผู้นี้ ท่านจะบอกแต่แค่ ถ้าเกิดมาแล้ว ย่อมผิวพรรณทราม ที่จริงนี่นะ ผิวพรรณ แปลมาจาก คำว่า วรรณะ วรรณะมันไม่ได้แปลว่าผิวอย่างเดียว มันแปลถึงศักดิ์ ฐานะด้วย มีวรรณะสูง มีวรรณะต่ำ มีวรรณะทราม มีวรรณะสูง มีวรรณะดี มันไม่ได้แปลว่า ผิวอย่างเดียว แต่แปลว่า ผิวก็ไม่ผิด แต่เอาแต่ผิวนี้ มันเปลือกเต็มที ขนาดผิวอาตมาตกกระ ยังเป็นคน มีวรรณะดีเลย นี่ผิวตกกระแล้ว สมัยโบราณเขาว่า คนมีผิวตกกระจะอายุยืน แต่หมอหลวง บอกว่า นี่แหละ ส่อถึงความเสื่อม มันกระ ส่อถึงความเสื่อม ตอนนี้ล่ะ ชักจะไม่ค่อยดีแล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีกระ เยอะๆนี่น่ะ ทางหมอหลวงว่าไม่ค่อยดี จะต้องบำรุง จะต้องมีอะไร ต่ออะไร พยายาม ที่จะบำรุงสังขารร่างกาย มันส่อให้เห็นว่า เป็นความเสื่อมแล้ว เดี๋ยวอายุ จะไม่ยืนนาน เดี๋ยวจะเกิดโรคเกิดภัย ส่วนธรรมดาสามัญบอกว่า มีกระมากๆ คนนี้อายุยืน เอาละ เอาทั้ง ๒ อย่าง อาตมาเอาทั้ง ๒ อย่าง อายุยืนก็เอา มีกระเขาว่าเป็นเครื่องแสดง ถึงความเสื่อม ของชีวิตเราแล้ว ก็เอา ให้เขาบำรุง เอาทั้ง ๒ อย่าง

ส่วนคนไม่มักโกรธ ไม่มากด้วยความแค้นเคือง ถูกเขาว่ามาก ก็ไม่ขัดใจ ไม่โกรธเคือง ไม่พยาบาท ไม่มาดร้าย ไม่ทำความโกรธ ความร้าย และความขึ้งเคียดให้ปรากฏ ตายไป ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นคน จะเป็นผู้น่าเลื่อมใส ตอนนี้ ไม่เหมือนกันกับ ผิวพรรณแล้ว ถ้าไปแปลผิวพรรณ กับผู้น่าเลื่อมใส มันคนละเรื่องแล้ว ผิวพรรณก็หมายถึง หนัง ผิวพรรณผู้น่าเลื่อมใส ไม่ใช่ แล้วตอนนี้ ถ้าจะแปลก็แปลว่าผิวใส นี่ผู้น่าเลื่อมใส มันหมายถึง คุณธรรมไปแล้วน่ะ

๔. คนผู้มีใจริษยา ย่อมริษยามุ่งร้าย ผูกใจริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น ตายไป ย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะมีศักดาน้อย

ส่วนคนมีใจไม่ริษยา ย่อมไม่ริษยา ไม่มุ่งร้าย ไม่ผูกใจริษยาในลาภสักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และการบูชาของคนอื่น ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิด เป็นคน จะมีศักดามาก

ก็ซอยละเอียดเข้าไปในสายโกรธ อธิบายมาตั้งแต่ข้อ ๑ มาจนถึงข้อ ๔ ขณะนี้ สายโทสมูลจิต ทั้งนั้นเลย ขยายความมาเรื่อย ตั้งแต่เหี้ยมโหดมาจนกระทั่ง จัดการเขาด้วยฝ่ามือ ก้อนดิน ท่อนไม้ ศาสตรา มาจนกระทั่ง มากด้วยความโกรธ แค้นเคือง แล้วก็ตอนนี้ริษยา นี่เป็นลักษณะ ของโทสมูลทั้งนั้นเลย จะมีลักษณะอย่างไร จะแก่จะอ่อนอย่างไร ก็ต้องรู้อาการ ลิงค หมายความว่า ความแตกต่าง ถ้าโทสมูลกับโลภมูล แน่นอน คนละตระกูล นี่มันจะต้อง แตกต่างกัน ลิงคะ แปลว่า ความแตกต่าง เราอ่านหน้าตามันออกเลย อาการอย่างนี้ มันเกิดที่เรา ไอ้นี่เจ้านี่ พวกตระกูลโลภะ ไอ้นี่มันเกิดมา ไอ้นี่มันตระกูลโทสะ แยกความต่างออก อย่างนี้ เขาเรียกว่าลิงคะ มากหรือน้อย ตระกูลเดียวกันนี่แหละ โลภตระกูลเดียวกันนี่แหละ แต่อย่างนี้ เรียกมันว่าไอ้หน้าใหญ่ ไอ้โลภใหญ่ อย่างนี้ว่าไอ้โลภกลาง อย่างนี้เรียกว่าไอ้โลภเล็ก อย่างนี้เรียกว่า ไอ้โลภละเอียด ไอ้โลภซอยธุลีละออง เราก็รู้ความต่างของความมาก ความน้อย จนกระทั่ง ถึงความมีอยู่ หรือหมดสนิทก็ต่างกัน รู้ความต่างไป ละเอียดได้อย่างนี้ ยิ่งคนละ ตระกูล ยิ่งน่าจะรู้ง่าย แต่ตระกูลเดียวกัน แล้วมีมากหรือน้อยก็ต้องรู้ได้ ความเหลืออยู่น้อย กับหมดสนิทนี่ แหม มันใกล้กันเหลือเกิน เป็นลิงคะ เป็นเพศ ตัวที่ต่างกัน ความต่างกัน ที่จับได้ยาก อ่านได้ยาก เหลือน้อยที่สุด กับหมดสนิทนี่ ยาก ยิ่งเหลือน้อยลงไปเท่าไหร่ มันก็ยิ่งรู้ว่า มันจะหมดหรือไม่หมด ยากเท่านั้นน่ะ ลิงคะหมายความต่าง ก็ต้องรู้ความต่าง อย่างนั้นด้วย

เอาละ อาตมาไม่ขยายความต่อเท่าไหร่นะ ริษยาก็คงรู้แล้ว

๕.คนผู้ไม่ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีป แก่สมณะ หรือพราหมณ์ ตายไปย่อมถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะมีโภคะน้อย โภคะคือทรัพย์ จะมีทรัพย์ จะได้รับทรัพย์ จะได้รับลาภ ทรัพย์โภคะ ทรัพย์ศฤงคาร ทรัพย์สมบัติอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ใดไม่ทานวัตถุนั่นเอง

สรุป สรุปง่ายๆ นอกจากไม่ทานวัตถุ แล้วก็ไม่ให้ความสะดวก ไม่ให้อะไรต่ออะไร ที่จะเกิดแก่ สมณพราหมณ์ สิ่งที่สมณพราหมณ์ต้องอาศัย ก็จะได้โภคะน้อย ส่วนคนผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอนที่อยู่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะ หรือ พราหมณ์ ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นคนจะมีโภคะมาก

ทีนี้คนพาซื่อ อ่านอย่างนี้ ก็บอกว่า อ๋อ พระพุทธเจ้าสอน ต้องหัดให้ดอกไม้ หัดให้ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องประทีป แก่สมณพราหมณ์ เขาบอก นี่ไง ถวายดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ให้แก่สมณะ แก่พราหมณ์ ได้นี่ถ้าไม่ให้ เดี๋ยวจะไม่ได้มีโภคะนะ ฟังแล้ว มันจะย้อนแย้ง แล้วพระพุทธเจ้า ตรัสเองทั้ง ๒ อย่างนั่นแหละ ตรัสว่า ผู้ถือศีลสูงขึ้น ศีล ๘ ไม่ต้องเอา สมณะก็ผู้สั่ง ให้นี่ ก็คือ ฆราวาส ศีล ๘ อย่าไปให้ดอกไม้ของหอม ว่าอย่างนั้นนะ อย่าไปเล่นดอกไม้ของหอม ไม่ให้แก่สมณะ ไม่ให้แก่พราหมณ์ด้วยแหละน่ะ ไม่เล่นด้วย ก็สมณะ หรือพราหมณ์ ก็จะไปเล่นดอกไม้ เล่นของหอมอะไร ศีล ๘ เราไม่เล่นแล้ว แล้วเราจะเอาดอกไม้ เอาของหอมไปให้แก่พระ แก่สมณะ แก่พราหมณ์ทำไมเล่า ใช่ไหม

มันไม่ย้อนแย้งหรอก ถ้าเรารู้ฐานะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นผู้ไม่รู้เลย สมมุติอย่างนั้น ผู้ไม่รู้เลย ไม่ได้ถือศีล ถือธรรม ไม่ได้รู้อิโหน่อิเหน่อไรเลย เอาดอกไม้มาถวาย เออ เขาก็ไม่รู้ เอามาถวาย สมณะ ถวายพราหมณ์ด้วยนะ ถวายแล้ว เขาก็ยิ่งไปถือเลยว่า ถ้าไม่ถวายแล้ว เขาจะไม่ได้โภคะ มากนะ เขาจะต้องเอาดอกไม้ เอาของหอม เอาเครื่องลูบไล้พออกทา ดีไม่ดีเอาน้ำอบมาจาก ฝรั่งเศสโน่นแน่ะ มาถวายสมณะ แล้วจะมีโภคะมาก ก็เป็นความหลงของเขา แต่จิตใจที่ ลึกซึ้งนี่ซิ เขาจะถวายจริงๆ มันจะมีอานิสงส์ตรงนี้

แม้แต่คนที่เอาสิ่งที่มันไม่ดี ไม่งามอะไร เอาปืนมาให้พระ อย่างนี้เป็นต้น เอาเหล้ามาถวายพระ อย่างนี้เป็นต้น โดยเขาเอง เขาเข้าใจผิด เมื่อกี้บอกแล้ว คนเขาไม่รู้ เขาเข้าใจผิด เขาถึงเอา ดอกไม้ เอาของหอม เอาเครื่องลูบไล้พอกทา ดีไม่ดี ซื้อมาราคาแพงจากฝรั่งเศสอย่างที่ว่า เขาว่าของดี ของราคาแพงเชียวนะ เหมาะจะให้แก่คนที่เรานับถือ ศรัทธา เขาบริสุทธิ์ใจนะ แต่เขาไม่รู้ เขาไม่เข้าใจ เขามีความรู้แค่นั้น มีภูมิแค่นั้น เขาก็เอาแค่นี้มาให้ แต่ใจบริสุทธิ์นะ ตัวนี้จะเป็นอานิสงส์ ตัวใจบริสุทธิ์ตัวนี้ เป็นอานิสงส์ของมัน ผิดก็ผิดจริงอยู่ ทีนี้มาถวายกับ สมณะกับพราหมณ์ เอาปืนมาถวาย อาตมาไม่มีปัญหา เพราะอาตมาไม่เอาปืนไปฆ่าใครแน่ เอาไปก็เอาไปทำลายแน่นอน

อาตมาไม่เอาไปขายต่อด้วยปืนนี่ ทำลาย จะกระบอก จะแพง เท่าไหร่ เอามาถวาย รับ รับน่ะ ขนาดเด็กเล่นปืนพลาสติก เอามาถวายยังรับเลย เอาไปทำลาย ไม่เอาไปขายต่อ ไม่เอาไปให้เขาใช้ต่อ เพราะเขาคิดว่า เขาควรจะให้ เด็กแกอุตส่าห์เอาปืน มาถวาย พวกๆเรา ไปพูด บอก โอยอย่าเล่นเลยปืนนี่นะ ปืนพลาสติก มันไม่ดีหรอก อย่างโน้น อย่างนี้ อธิบายเด็กเชื่อ เอ้า ถวาย ขออาตมาได้ไหมนั่น ได้ ให้อาตมา อาตมาจะเอาไปทำลายให้ น่ะให้ เชื่อ แล้วเขาก็ถวายเหมือนกัน เขาไม่บาปหรอก เขาเองปลดปล่อยสิ่งนั้นเสียด้วยซ้ำไป

แต่ถ้าใครยังมีเข้าใจผิด สภาวะซับซ้อนนะ เข้าใจผิดว่า เราให้ของดีอันนี้ไปแก่สมณพราหมณ์ สมณพราหมณ์จะได้เอาของดีนี่ไปใช้ ดี ไปใช้เป็นประโยชน์ต่อ เช่น เอาไปล่าสัตว์กิน เมื่อเข้าป่า อะไรอย่างนี้ เป็นต้น สมมุตินะ เขาอาจจะคิดได้ ด้วยความไม่รู้จริงๆ เอาสมมุติก่อน ไม่รู้ เขาก็ มองไปในแง่ดี จิตอย่างนั้นเป็นกุศลจิต กุศลเจตนา แม้จะบอกว่า เออ ได้ปืนไปเพื่อจะไป ยิงสัตว์กินในป่า ก็เป็นกุศลจิต มองไปในแง่เป็นกุศลจิต กุศลจิต ซ้อนอยู่ แต่กรรมกิริยานั่นซิ มันไมใช่กุศลแล้ว มันเป็นอกุศลแท้ๆเลย นี่มันซ้อนเชิง ละเอียดลออ อยู่อย่างนี้

เราจะต้องมีทั้งโทษและคุณ มีทั้งโทษและคุณที่ซ้อนแฝงอยู่ อะไรมาก ความบริสุทธิ์ สะอาด นั่นละ มีค่าซ้อนที่มาก โทษภัยที่มากด้วย มันก็ลดค่า เอาค่าลดเท่านั้น แต่กรรมไม่ได้ลดหรอก นี่เราพูดถึงค่า คุณค่า ราคา ราคาค่าของบาป ค่าของบุญ แต่ไม่ได้หมายความว่า ลดบาป ลดบุญ เรารู้ค่าที่มันมาก มันต่าง มันดีมาก ดีน้อย มันดีมันชั่วมาก ชั่วน้อยอะไรนี่ ค่าของมัน ความหมายของค่า ของราคาของมัน มันมีของมัน ของในตัวของมัน มันบวก ลบ คูณ หาร ของมันในตัวได้

เราเรียนรู้แล้ว เราจะมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ดีๆ เราจะเปรียบเทียบ เราจะวัดค่าได้ดี ผู้ใดยิ่งมี ปัญญาญาณ ปฏิภาณละเอียด รู้จักค่าของบุญละเอียดลึกซึ้งซับซ้อน ได้สูงเท่าใดๆ ผู้นั้น ย่อมสะสมบุญ ได้ลึกซึ้งมากเท่านั้นๆ ผู้ใดพาซื่อ ไม่ฉลาดอย่างที่ว่า ดันเอาปืนมาถวายพระ แล้วบริสุทธิ์ใจเสียด้วย ซื่อบริสุทธิ์ด้วยนะว่า เผื่อท่านจะได้ประโยชน์ แล้วมันก็โง่บริสุทธิ์ อย่างนั้นด้วยนะ ไม่รู้ว่าไม่สมควร แต่มีใจบริสุทธิ์จริงๆ มองไปในแง่ดีนะ เขาก็ได้ส่วนหนึ่ง แต่เขาก็เสียส่วนหนึ่ง ที่เขาโง่ ที่เขาถ้าไปให้คนที่ไม่มีปัญญา ไม่มีภูมิธรรม เขาก็เอาไปทำชั่วต่อ แน่นอน และคุณนั่นแหละเป็นเหตุปัจจัยต่อเนื่องด้วยกันกับเขา เหมือนกับร่วมมือร่วมไม้ กันทำชั่ว มีบาป มีเวรร่วมกัน ระวังเรื่องเหล่านี้ อย่าไปสมรู้ร่วมคิดโจรอะไรที่มากมายนัก

๖. คนผู้กระด้าง เย่อหยิ่ง ย่อมไม่กราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ไม่ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ไม่ให้ อาสนะแก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ไม่ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง ไม่สักการะคนที่ควร สักการะ ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ ไม่นับถือคนที่ควรนับถือ ไม่บูชาคนที่ควรบูชา ตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะเป็นผู้มีสกุลต่ำ

คนอย่างนี้ ก็มีอยู่เยอะละนะ ยิ่งอยู่ในแวดวงที่เราเห็นนี่นะ อาตมาเป็นคนควรกราบไหม ไม่ได้พูด อย่างหยิ่งผยอง ยกย่องตนเองอะไรนะ หยิบมาเพื่อยกตัวอย่างชัดๆ ถ้าจะหยิบองค์นี้มา เป็นผู้ควรกราบไหม ก็ได้ อาตมาก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าพูดข่มหรอกนะ ถ้าว่ากันจริงๆ ถ้าอาตมามี คุณธรรม มากกว่าท่านองค์นี้ ก็น่ากราบอาตมามากกว่าแหละนะ นี่พูดถ้าไว้นะ จริงไม่จริง ก็แล้วแต่ เป็นคนที่น่ากราบน่าไหว้ น่าลุกรับ น่าให้อาสนะ น่าที่จะบอกทางให้ทาง นี่กำลัง จะตัดทาง กำลังจะเอาไปทางอีกทางหนึ่ง แล้วเอาไปกักไปขังด้วย ควรจะสักการะ แต่ก็ไม่สักการะ ควรเคารพไม่เคารพ ควรนับถือควรบูชาโน่นแน่ะ แต่ก็ไม่นับถือ ไม่บูชา ตามสัจจะ ถ้าอาตมาเป็นผู้ที่น่านับถือ น่าเคารพ น่ากราบจริงๆ แต่คนที่เขาไม่รู้เลย แล้วเขาก็ไม่ทำ นอกจากไม่ทำแล้ว ยังย่ำยีอีก

เพราะฉะนั้น ไอ้ที่ว่านรกนี่ มันจะเป็นยังไง นรกมันก็ควรจะลึกลงไปอีก แล้วยังบอกว่า จะเกิดมา เป็นคนสกุลต่ำ ถ้าเกิดมาเติมอย่างที่ว่า เมื่อกี้นี้ นอกจากไม่เคารพแล้ว ย่ำยีอีก เพราะฉะนั้น ถ้าแต่แค่ว่า ไม่เคารพ แต่ไม่ย่ำยี สกุลต่ำ มันคงจะต่ำแค่นี้ล่ะนะ นี่ไม่เคารพแล้ว แถมย่ำยีอีก สกุลเป็นยังไงอีก ต่ำลงไปอีก

ส่วนคนไม่กระด้าง ไม่เย่อหยิ่ง ย่อมกราบไหว้คนที่ควรกราบไหว้ ลุกรับคนที่ควรลุกรับ ให้อาสนะ แก่คนที่สมควรแก่อาสนะ ให้ทางแก่คนที่สมควรแก่ทาง สักการะคนที่ควรสักการะ เคารพคนที่ ควรเคารพ นับถือคนที่ควรนับถือ บูชาคนที่ควรบูชา ตายไปย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิด เป็นคน จะเป็นผู้มีสกุลสูง

เรื่องนี้นี่ ระวัง อยู่ตรงที่ว่า ใจเราเคารพ มันก็เคารพอยู่ต่อเนื่องอยู่นะ แวบหนึ่ง ไม่เคารพ ระวังนะ ตอนนี้เคารพ พอโกรธขึ้นมา พอผีเข้าแวบ ฮึ ไม่เคารพหรอก ไม่นับถือ ไม่อยากกราบแล้ว ระวัง พอพูดหยาบๆ ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เราเคารพอาตมาอยู่หรอก แต่มีนะ ผีเข้าแล้ว ไม่เคารพตอนไหนบ้าง อยากกัดมั่ง อยากกัดให้เสียเลยน่ะ มีบ้างไหมเล่า ไม่มีเลยหรือ ไม่มีเลย ดี มีกี่แวบ กี่ว้าบล่ะ บางคนไม่แว้บไม่ว้าบทั้งวันเลย วันนี้โกรธจังเลย แหม ชังน้ำหน้า พ่อท่านจังเลย ทำให้เราเจ็บแสบนัก กว่าจะคลาย เล่นเอาไปหลายวัน เห็นไหม แบบนี้ก็เป็นเหตุ เป็นปัจจัย เป็นทรัพย์เหมือนกัน แต่ทรัพย์อะไรล่ะ ทรัพย์พาไปนรก ทรัพย์พาไปนรกน่ะ

นี่ ไม่ใช่พูดเพื่อป้องกันตัวเองนะ ไม่ใช่พูดขู่คุณ ว่าอย่ามาโกรธอาตมา ขืนโกรธอาตมา ระวัง ลงนรกนะ ก็ไม่ใช่พูดขู่อย่างนั้นหรอก แต่อธิบายให้ฟังว่า มันก็เป็นจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ควรหรือควร ที่จริงมันก็ไม่ควรทั้งนั้นแหละ ไม่ควรที่จะมีจิตใจไปโกรธ หรือ ลบหลู่ แม้แต่ศัตรู หรือผู้ที่เลว ผู้ที่ชั่ว ผู้ที่ทำผิด ไม่ควรไปโกรธหรือลบหลู่ ถ้าคุณจะไม่โกรธเลย แล้วก็ ไม่ต้องลบหลู่ใครเลย เขาจะชั่วก็ของเขา เขาจะทำผิดก็ของเขา แล้วเรา ใจเรานี่ไม่โกรธ ไม่ลบหลู่ ไม่ย่ำยีใครเลย ทั้งๆที่เขาทำผิดจริง เขาชั่วจริง ชั่วมากๆด้วย แล้วเราจะเลวไหม เลวไหม นี่แหละ คือจุดที่ต้องการ

เรายิ่งฝึก แหม ฝึก หน่อยก็ชิง หน่อยก็ชัง นิดก็ชัง มันก็เติมวัน มันก็เติม ไอ้อาหาร แบบนี้ไป เรื่อยๆ เป็นสัจจะนะ เพราะฉะนั้น ต้องสังวรรู้ตัวอย่าให้จิตเรามีอาการอย่างนี้ ไม่ควร ไม่มีเลย ไม่ต้องพิจารณาให้ยาวความเลย ให้รู้ให้ได้ว่า อาการอย่างนี้ คืออาการอย่างนี้ อาการชิง อาการชัง อาการไม่ชอบ อาการไปลบหลู่ อาการไปย่ำยี ไปดูถูก ไม่ต้องเลย ไม่ต้องพิจารณา อะไรอื่นเลย รู้อาการมันมีเกิดในใจเมื่อไหร่ kick it out เอามันออกให้เร็วไวที่สุด รู้ด้วยปัญญา ให้ได้ว่า มันเป็นตัวร้าย ตัวไม่มีเหตุผล ที่จะให้มันมี ในอาการของจิตเลย ให้จิตเราใสบริสุทธิ์ จะไม่มีเรื่องนี้

ก็บอกแล้วว่า สายโทสมูล ไม่ว่าหยาบ กลาง ละเอียด บรรจุซองขนาดละอองธุลี หรืออะไร ก็ไม่ เอาทั้งนั้น ไม่มีเลยได้ ดีที่สุด ไม่ว่าขณะใด เมื่อใด ไม่ทำให้เราตกต่ำเลย แม้แต่เท่าธุลีละออง มีแต่จะสูงกับสูงอย่างเดียว ถ้ามันไม่มีในจิตใจ จำใส่ใจแดงๆเอาไว้ อย่าทำให้ใจดำๆนัก มันไม่ค่อยรู้เรื่อง จำไว้แล้วก็พยายามฝึกหัดจริงๆ ให้เรียนรู้อารมณ์ เกิดเมื่อใด รู้ตัวเมื่อใด ขจัดออก พวกเรา ถ้าปราศจากโทสมูลในระดับริษยา ความชิงชัง ความโกรธ ความแค้น ความเคือง ได้เท่าใดๆ โอ้โห คุณลองนึกดูซิ คนพันคนนี่ โกรธไม่เป็นเลย ไม่เคืองไม่ขึ้ง ไม่ชังใคร กันเลยนี่นะ ไอ้ความไม่ชอบใจไม่มีเลย สัมผัสแตะต้องกัน คนนี้เขาจะมาทุบหัวบ้าง คนนี้เขา จะว้าก จะเพ้ยอะไรบ้าง ก็เย็นเฉย สบาย ไม่มีกิริยา เหมือนคนเซ่อๆ ล่ะนะ มันเหมือนคนเซ่อๆ นะ เขาด่าให้ก็เฉย เงียบ

แต่รู้นะ ไม่ใช่คนเซ่อ รู้ว่าเขาด่า เข้าใจเขาได้ดีด้วยว่า อ๋อ คนนี้ด่าเป็น ด่าเก่ง นี่ด่าขนาดท่าเตียน นี่ด่าขนาดปากคลองตลาด นี่ด่าขนาดตลาดบางกะปิ รู้ขนาด เขาเลยว่า เขาหยาบขนาดไหน ไม่หยาบขนาดไหน รู้ มีโลกวิทู รู้ด้วยว่า คนต่ำก็คือคนต่ำ คนสูงก็คือคนสูง ไม่ใช่โง่เง่าเต่าตุ่น จนไม่รู้ว่า เขาเลวก็ไม่รู้ว่าเขาเลว เขาชั่วก็ไม่รู้ว่าเขาชั่ว เขาหยาบขนาดไหนก็ไม่รู้ว่าเขาหยาบ ขนาดไหน กลับไปแปลกใจ ตื่นเต้นยินดีเสียอีก ไม่ใช่อย่างนั้น รู้ ไม่น่ายินดี อย่างนี้ก็รู้

แต่เราไม่ต้อง มีอาการไม่ยินดีในใจ เรารู้ว่าความไม่น่ายินดี เป็นเช่นนี้ แต่ใจเราไม่มีอาการไม่ยินดี ไม่มี แม้แต่อรติ คือความไม่ยินดีก็ไม่เกิด ในใจไม่เกิด สาธุ ขอให้ได้ทุกๆคน แหม อยากได้จังเลย อยากให้ทุกคนได้อย่างนี้จังเลย แล้วสาธุเอานี่ ได้หรือยัง หือ ได้แล้วเหรอยัง ยัง อาตมาสาธุ เอานี่ ก็ยังไม่ได้นะ ต้องไปฝึกรู้ตัวทั่วพร้อม ต้องฝึก อยู่ที่ไหนก็ฝึก อยู่ที่ไหนๆๆๆๆ ขณะไหน ก็ทำขณะให้ถี่ แล้วมีสติรู้ ฝึก นี่ทางเจริญ ทางวิเศษ ทางสวรรค์ ฝึกจริงๆ เดี๋ยวพุทธาภิเษก มาเจอกันอีก ดูซิว่า บรรยากาศ จะดีขึ้นกว่านี้ไหม

ขณะนี้ พวกเรานี่มีความแค้นเคือง มีความโกรธ มีความอะไรต่ออะไร มีความชัง มีความโง่ มีความ จิตเจโตของเราไม่แข็งแรง แว่บ ถือสาแล้ว แว่บ วาบ โกรธแล้ว ไม่ชอบใจ ว้ากออกมา ทางกิริยากรรม แล้วไม่รู้ตัวเลยนะ ว้ากออกมานี่ โอ้โห ถ้าวาดรูปเป็นยักษ์ นี่ ยักษ์เกิดแล้ว ก็ยังไม่รู้ตัว อย่างนี้เป็นต้น จะยักษ์อย่างพ่อยักษ์ หรือว่าอย่างลูกยักษ์ก็ตามเถอะ มันเป็นเรา อย่างนี้เป็นต้น เราต้องพยายามเรียนรู้ตัวเองแล้วเลิกละ

๗. คนไม่เข้าไปหาสมณะ หรือพราหมณ์ แล้วสอบถามว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน หรือว่าอะไร เมื่อทำย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน ตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ถ้ามาเกิดเป็นคน จะมีปัญญาทราม เพราะไม่ศึกษา ไม่เข้าหาสมณะ หรือสัตบุรุษ ไม่เข้าหาผู้รู้ผู้เจริญ

ทีนี้ พออย่างนั้นก็บอกว่า เอ้า รู้แล้วละว่า พ่อท่านเป็นสมณะ เป็นผู้เจริญ เป็นผู้ควรเข้าหา แต่เข้าไม่ถึง หลายคนอาจจะนึกในใจว่า ตั้งแต่มาอยู่นี่ ๑๐ ปีแล้ว ยังไม่ได้เคยเข้ามาหา เข้ามาถามเลย อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรเป็นไปเพื่อเกื้อกูล ไม่เพื่อเกื้อกูล ไม่เคยเข้า มาหาเลย ถึงแม้ไม่เข้ามา อาตมาก็ออกไปหาทุกคนนั่นแหละ บางคนน่ะ ออกไปหาแล้ว ไม่รู้ว่า อาตมาออกไปหา เพราะนั่งหลับ ขณะนี้กำลังออกไปหาทุกคนเลย ตึกข้างโน้นน่ะ ออกไปทาง ไมโครโฟน แล้วก็ออกไปทางสายนี่ ออกไป ตอนนี้กำลังออกไปหาทุกคน แม้ไม่เข้ามา อาตมาก็ ออกไปหาอยู่อย่างนี้ แม้ไม่ถามก็บอก อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรดีไม่ดี ทำแล้วเป็นไป เพื่อความเกื้อกูล หรือไม่เกื้อกูล อะไรเป็นโทษ อะไรไม่เป็นโทษ อะไรเป็นกุศล ไม่เป็นกุศล บอกๆๆไป หา นอกจากจะหลบเท่านั้นแหละ จนปากจะฉีกอยู่แล้ว อย่างนี้ ก็เรียกว่าเข้าไปหา ฟังธรรมน่ะ รับฟัง ไม่ใช่ว่า ไม่ฟัง ไม่รับฟัง จะเอารูปหยาบ แต่แค่ว่า ไม่ได้เข้ามานั่งโจ้โก้ อยู่ข้างหน้านี่เท่านั้นเอง บางคนมานั่งโจ้โก้อยู่ข้างหน้านี่ ไม่ได้เข้ามาหาหรอก เข้ามาหลับ หรือขนาดนั่งเข้ามา อุตส่าห์ไปจองที่ตรงนี้เลยมานั่ง คนที่นั่งอยู่ห่าง บางทีเขายังเข้ามาหา มากกว่าเลย

ฟังสำนวนออกแล้วนะ ฟังความหมายของคำว่า เป็นสัจจะว่ามาหานี่คืออะไร เอาอย่างนี้ อธิบายเพิ่มเติม ไอ้หยาบๆ ตื้นๆ ก็ไม่ต้องไปพูดกันหรอก อธิบายให้ลึกซึ้งขึ้น เพราะฉะนั้น ประเดี๋ยว จะหาว่าโอ๊ มาอยู่ที่นี่ตั้ง ๑๐ ปีแล้ว ไม่เคยเข้ามาหาเลย เราก็ไม่เจริญซี โถ ให้เข้ามาหา ถ้ายิ่งรับเป็น โอย อย่างนี้ท่านมาหาเรา ท่านบอกเรา อะไรควรเสพ ไม่ควรเสพ อะไรกุศล อกุศล อะไรเป็นประโยชน์ ไม่เป็นประโยชน์ ท่านเข้ามาหาเรา บางคนั่งฟังไปนี่ โอ๊ย นี่ท่านสอนเรา ส่วนตัวเรา สอนเป็นส่วนตัว ท่านสอนเป็นส่วนตัว เป๊ะ ตรงเหลือเกิน เป๊ะๆเลย สอนเราส่วนตัว เหมือนกับไม่มีใครเลย เหมือนกับอาตมาสอนอยู่สองส่วนตัว รู้สึกอย่างนี้ยังได้เลย แล้วก็มีคน รู้สึกอย่างนี้ กันเยอะอยู่เหมือนกันใช่ไหม อย่างนี้ไม่เข้าหาได้ยังไง เอาละ เข้าใจอันนี้ขึ้นเพิ่มนะ

ส่วนคนผู้เข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์ แล้วสอบถามว่า อะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพอะไรไม่ควรเสพ อะไรเมื่อทำไปย่อมเป็นไปเพื่อ ไม่เกื้อกูล เพื่อทุกข์กาลนาน หรือว่าอะไรเมื่อทำ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขสิ้นกาลนาน ตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ถ้ามาเกิดเป็นคนจะมีปัญญามาก

เอาละ อาตมายังไม่ขยายต่อมากมาย สัจจะแห่งกรรม นี่ก็พระพุทธเจ้าตรัสไว้ นี่มานี่ก็รู้แล้ว ขึ้นต้นก็ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน นั่นขึ้นต้นเรื่อง แล้วท่านก็ตรัสดังนี้ นี่ก็เรื่อง รายละเอียด ภาษา พระพุทธเจ้าก็อย่างนี้ แต่ภาษาอาตมาก็อธิบายขยายความให้ฟังแล้ว มากกว่านี้ ก็จะเข้าใจได้ สมัยโน้นพระพุทธเจ้าสอนแค่นี้ บรรลุเป็นพระอรหันต์จนนับไม่ถ้วน สมัยนี้ อาตมาขยายความรายละเอียดเพิ่มขึ้น เติมขึ้นไปแล้ว ยังอรหดอยู่ยังไม่ถ้วน แล้วกัน ไปรอให้อาตมาเป็นพระพุทธเจ้าก่อน แล้วคุณถึงจะตรัสรู้ คุณถึงจะบรรลุ อย่างนั้นหรือ ว้า อย่างนั้น เลิกไปพอดี เลิกดีกว่าถ้าอย่างนั้น ยังไม่เป็นถึงพระพุทธเจ้า ถ้าอย่างนั้นเลิก เอ้า ตอนนี้ มันควรจะบ้างซี อย่าเลย เดี๋ยวนี้ก็เป็นพระอรหันต์ได้น่ะ แหม พูดให้อาตมาท้อแท้จัง ต้องเป็น ไปได้ เป็นพระอรหันต์ แม้ขณะนี้ แม้ยุคนี้ กาลนี้ ก็ต้องให้ได้ น่ะ

เอ้า ทีนี้ ก่อนจะไปถึงภาคที่ ๕ เรื่องโลกนี้ อยัง โลโก ก็ขอขยายความเรื่องกรรมอีกนิดหนึ่ง สรุป หรือว่าเน้น ก่อนจะไปนิดหนึ่งว่า เรื่องของกรรมนี้ แม้จะเอาสัจจะแห่งกรรมมาอ่าน ก็เป็นเพียง เสี้ยวหนึ่ง ส่วนหนึ่งของเรื่องของ กรรมที่ทำแล้ว กรรมที่ทำแล้ว กัมมานัง ผลวิบาก เป็นผล เป็นวิบาก ดีหรือชั่ว สุกฏทุกกฏานัง จะดีหรือชั่ว ทำแล้วมีผลจริงๆ

ผู้ใดไม่เชื่อกรรมว่ามี ผลวิบาก คนเหล่านั้นแหละ ทำร้ายอยู่ในโลก คนไม่เชื่อว่ามีหรอกกรรม ผลวิบาก จะเกิดไป ชาติหน้า ชาติโน้น ยิ่งเป็นอุจเฉททิฏฐิด้วยนะ ไม่มีชาติหน้าไม่มีหรอก คนพวกนี้ กล้าทำชั่ว เพราะทำแล้ว ตายแล้วก็เลิกกัน จบแล้ว ไม่มีปัญหาอะไร ก็อยู่ชาตินี้ มันอยากสุข ก็สุขมันให้เต็มที่ เลี่ยงทุกข์ ก็เลี่ยงได้เท่าไหร่ก็เลี่ยงมัน อย่างนี้เรียกว่าทุกข์ อย่างนี้เรียกว่าลำบาก อย่างนี้เรียกว่าไม่สนุก ไม่อร่อย ไม่ควรจะได้รับสัมผัส ไม่ควรจะได้เป็น ได้มี เขาก็เลี่ยงไอ้สิ่งนั้น แล้วเขาก็เอาไอ้สิ่งที่ควรกระทำ ได้ตบหน้าคน มันดี อร่อยดี ก็ทำ อย่าให้เกิด เขามาตบคืน หรือว่าเขาเอาไปเข้าคุก หรือว่าอะไรก็แล้วแต่ ก็จะทำ เลี่ยงได้ ก็จะทำ จนสุดสามารถ ไอ้คนนี้ มัน แหม เกลียดชังมันนัก ฆ่ามันตายเสียเถอะ พยายามที่จะฆ่าเขาตาย โดยที่เลี่ยงกฎหมาย ไม่ให้ใครรู้ จะได้ไม่ต้องทุกข์ เลี่ยงเอาสุดที่ ทำตามอำเภอใจ

สมัยนี้มีมากขึ้น เด็กหนุ่มสาวสมัยนี้ ไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบาก ไม่เชื่อชาตินี้ ไม่เชื่อชาติหน้า เพราะฉะนั้น คะนองๆ ทำได้ อะไรต่ออะไร จะชั่วจะเลวยังไง ถ้าเผื่อว่าพยายามหลบเลี่ยงได้ ถึงที่สุด มั่นใจในตัวเอง เชื่อมือ เชื่อหัวไอ้เรืองเถอะ ข้าทำไม่มีใครจับได้หรอก ข้าทำ ใครจะมาทำ อะไรได้ ยิ่งมีอำนาจบาตรใหญ่อยู่ในสังคม เหนือกฎหมาย ทำอะไรต้อง เป็นเจ้าพ่อ ทำอะไร ก็ข้าผิดกฎหมาย ก็ยังไม่มีใครมาทำอะไรข้าได้เลย ข้าจะทำละ ได้แต่สั่งฆ่าคน อยากจะทำอะไร ให้เจ็บอก เจ็บใจ มา ข้าจะทำให้สมใจ สมอกสมใจอะไรก็ทำได้ พวกนี้ไม่รู้จักบาปจักบุญ ไม่เชื่อบาป ไม่เชื่อบุญ ทำได้จริงๆ ทำได้อย่างไม่ต้องคิดเลย เอากิเลสเป็นหลัก มันจะสมใจกิเลส ตัวเองอย่างไร จะสมโกรธ สมโลภอย่างไร ทำ ไม่นึกถึงบาปถึงบุญ สังคมเดือดร้อนจริงๆ แม้แต่ ในปัจจุบันนี้ ด้วยเหตุผล คุณฟังก็รู้ว่า สังคมเดือดร้อนไม่เป็นอยู่สุข

แม้แต่ปัจจุบัน ไม่ต้องไปพูดถึงว่ามันมีอะไรต่อไปข้างหน้าหรือไม่ พิสูจน์ได้ แม้เดี๋ยวนี้ มันก็ไม่ดี ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เรื่องกรรม คนจะเชื่อกรรม จะเชื่อวิบาก ก็ต้องเชื่อว่า มีสิ่งที่ต่อไปชาติหน้า แม้คุณจะไม่รู้ คุณก็ประเมิน ประมาณเอาเถอะ ในปัจจุบันนี้ มันมีผลที่อธิบายไปแล้ว เมื่อกี้ว่า ถ้าเราไม่รู้ว่า มันชั่วมันดีเป็นอะไรๆ ละเอียดลออแล้ว เดี๋ยวนี้ เราก็กล้าทำสิ่งที่ชั่วนั้น เป็นแต่เพียง แลกเปลี่ยนสิ่งที่เราชอบเท่านั้น มันก็ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราวอะไร

เอ้า ทีนี้ ต่อไปถึงภาคโลกนี้ อยัง โลโก โลกนี้ เราจะต้องรู้จักโลกนี้ พยายามเข้าใจคำว่าโลกนี้ เป็นคำรวม ที่เป็นบัญญัติหนึ่ง แล้วก็จะต่างกับคำว่าโลกหน้า หรือโลกอื่น ปร แปลว่าอื่นก็ได้ แปลว่าหน้าก็ได้ แต่ว่ามันต่างหากจากอีกอันหนึ่ง ปร มันต่างหากจากอีกอันหนึ่ง อันนี้ เออ ไอ้ที่ไม่ใช่อันนี้ นั่นคืออันนั้น อยังคืออันนี้ ปรคืออีกอันหนึ่ง ที่ไม่ใช่อันนี้

ทีนี้ ของพระพุทธเจ้า อันไม่ใช่อันนี้ก็จริง แล้วเป็นอันที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ปรโลกของ พระพุทธเจ้านี่ เพราะฉะนั้น ปรโลกเขาอธิบายว่า ปรโลก คือโลกที่ตายจากโลกนี้ แล้วไปสู่ โลกหน้า เป็นความหมายอย่างนั้น อย่างนั้นก็ถูก ก็เป็นปรโลกอันหนึ่ง ศาสนาต่างๆ เยอะแยะ อธิบายกัน มามาก พระพุทธเจ้าก็เข้าใจด้วย เราก็เข้าใจด้วย ตายจากโลกนี้แล้ว สู่ปรโลก ไปโลกโน้น เราก็พูดด้วย เราก็เข้าใจว่า หมายเอาอย่างนี้ เหมือนคำว่าสมาธิ สมาธิทั่วไป เขาหมายถึงอย่างนั้น นั่งหลับตาเอา แล้วก็สะกดจิต เราก็รู้ คนอื่นเขาก็หมายเอาอันนั้น อย่างนั้น เราก็เข้าใจด้วย จะพูดด้วยก็พูดได้ เพราะถ้าเรามีความรู้เรื่องสมาธิแบบนั้น พูดด้วยได้ ทำด้วย ก็ได้ ทำเป็นด้วย ถ้าเราฝึกก็เป็น แต่สัมมาสมาธิที่เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้านี่ อีกอันหนึ่ง อันอื่น ต่างหากจากอันนั้นๆๆๆๆๆ ต่าง อันนี้ของท่าน ปรโลกของพระพุทธเจ้าก็คือ ปรโลกเฉพาะของ พระพุทธเจ้า ที่เราจะหมายกันให้รู้ว่า ไอ้โลกหน้าหรือโลกอื่น หรือโลกปรโลกที่พระพุทธเจ้า ท่านหมาย คืออย่างนี้ คือโลกุตระ คือโลกลูกนี้ โลกลักษณะนี้ โลกเป็นอย่างนี้ นี่เราจะต้องมา เน้นกันให้ชัด และโลกทั่วไป โลกที่เขาเข้าใจ อยัง โลโก โลกนี้ ที่ว่านี่ ที่เราเข้าใจทั่วไป เราก็เคย เป็นมา เราก็เคยอยู่ แล้วเราก็เป็นอย่างโลกนี้นี่แหละมาแต่เดิม แล้วเรากำลัง จะออกจากโลกนี้ ไปสู่โลกใหม่ เรียกว่าโลกใหม่ก็ได้ ปรโลก โลกใหม่จากที่เกิดก่อนเคยอยู่น่ะ

เอ้า ลองฟังโลกนี้ก่อน นี่ อาตมาอธิบายนำไว้ก่อน เราจะต้องรู้จักโลกนี้ให้สำคัญ เพราะเราจะรู้ โลกหน้าได้ ก็เพราะเราสัมผัสโลกนี้ คำว่าโลก ในพระพุทธศาสนา มีความหมายกว้างขวาง ลึกซึ้ง หลายระดับ พระพุทธองค์ทรง ย่นย่อโลกวัตถุเข้ามาเป็นชั้นๆ จนเข้ามาถึงกายยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ คือตัวตน ร่างกาย และจิตใจของแต่ละคน นี้คือโลก นี่โลกลูกหนึ่ง จะเรียกว่าลูกโลก หรือลูกดวงดาว ดวงหนึ่งก็ได้ มีดาวร้ายดาวดีอยู่เยอะ โคจรไป ตามคตินั่นเอง โคจรไปตามที่มีจิตวิญญาณเป็นตัวเกิด มีวิบากเป็นตัวนำ พร้อมสัญญากับใจ คือ ตัวตนร่างกายและจิตใจของแต่ละคน นี่คือโลกที่พุทธบริษัท ต้องเรียนให้ชัด เพราะเป็นโลก ที่เรียนได้ รู้ได้ พิสูจน์ได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องอาศัยประมวลความคิดด้นเดานอกตัวตน โลกของ ตัวเรานี้ มีสังสารวัฏ มีกาย วาจา ใจ ใจเป็นส่วนที่ย่นย่อลงไปเป็นที่สุด

แม้แต่เราย่นย่อเข้าไป อธิบายกันถึงแต่แค่ใจ ใจก็มีโลกของมันวนๆอยู่ในใจ ต้องพยายาม ทำความเข้าใจให้ได้ว่า แม้ในที่สุด ในร่างกายเรา เรารวมหมดว่าเราเป็นโลก มันจะพาสุคติ มันจะพา ไปทำวิบาก เป็นกรรมกิริยาอะไรไป แม้แต่จิตเอง มันไม่ไปไหน มันอยู่ในตัวเรา หรือว่า มันก็ไปกับตัวเราด้วย มันก็มีโลกของมันอยู่ในนั้น ขาเดินไปอย่างนี้ แต่ใจไปโน่นก็ได้ ใช่ไหม ขาเดินไปนี่ ใจไปโน่น มันแยกกันยังได้เลย ขามันพาเดินไปนี่ แต่ใจผ่าไปโน่น มันโลก มันอย่างนี้โลก เพราะฉะนั้น ย่อเข้าไปหาโลกของใจ ก็ควบคุมใจเท่านั้นเอง การพิจารณาใจ ต้องพิจารณา ให้เห็นสังสาร สังสาระก็หมายความว่า มันยังมีวัฏฏะของมัน ยังมีความวน ของมัน สังสาระ ยังมีความวน ยังมีความเกิดความเป็นอะไร ของมันอยู่ วนอยู่อย่างนั้นแหละ มันยังเกิด ยังตั้งอยู่ ยังต้องดับไปอยู่ ให้เห็นในเนื้อหาสาระที่เราประกอบอยู่เอง ประกอบด้วย กาย ก็เป็นสาระ ประกอบด้วยวาจาก็เป็นสาระ สาระของกายและวาจาย่อมมาจาก การประกอบ ของใจ นั่นเอง ใจยังเป็นตัวประธานอยู่ เรียกว่า สังสาระของใจ

ถึงขั้นนี้ จึงสรุปได้ว่า สังสาระคือสิ่งที่เราเรียกกว้างๆว่าโลกของเรา เมื่อใจเป็นตัวที่มีสังสาระ

อ่านต่อหน้าถัดไป

:2312H.TAP