ความลึกของธรรมในธรรม
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๖

ผมเอง ผมทำงานมาก็รู้ว่ามันเป็นปีที่ขยาย เป็นปีที่มีงานหนักเพิ่มขึ้น มีงานมากเพิ่มขึ้น งานที่กล่าวนี้ก็คือกิจกรรม กิจการที่แม้แต่พวกเราที่เป็นสมณะ ก็จะต้องเอาภาระ ส่วนผู้ใด ที่ไม่รู้สึกรู้สารู้สมอะไร ไม่สังเกตหรือว่าตัวเองก็ไม่พยายาม ที่จะพากเพียรตนเองออกมา เพื่อที่จะมารับรู้ หรือมาร่วมช่วยเหลือกิจกรรมกิจการ ของหมู่ เพราะว่าเราทั้งหมู่ ต้องร่วมทำกัน ตามที่พระพุทธเจ้าท่านก็ได้สอนเอา ไว้แล้วในคำสอนต่างๆ เช่นคำสอนใน นาถกรณธรรม เป็นต้น ที่ว่าเราจะต้องพยายามมีความพากเพียร ในการที่จะกระทำงาน ร่วมช่วยเหลือการงานของหมู่ นอกจากที่จะเป็นการงาน อันเป็นความพากเพียร ในการปฏิบัติธรรมของตนๆ ซึ่งใน นาถกรณธรรมมีทั้ง ๒ ประเด็น ในความเพียร ที่จะเอาภาระ ของหมู่ด้วย แล้วก็ในความเพียรปฏิบัติธรรมเพื่อตนด้วย

ซึ่งผมก็เคยหยิบขึ้นมาพูด หรือแม้แต่สูตรที่พระพุทธเจ้าบอกว่า การปฏิบัติธรรมก็คือ การต้องทำงานทั้ง ๒ อย่าง เหมือนกับแม่โคที่เลี้ยงลูกไปพลาง แล้วก็เล็มหญ้าให้แก่ ตัวเอง ไปพลาง แล้วก็ต้องเลี้ยงดูลูกๆ ไปพลาง ฉันใดก็ฉันนั้น การปฏิบัติธรรม ก็ต้องอย่างนั้น

ซึ่งปีที่ผ่านมานี้ผมก็ได้พยายามที่จะทำความเข้าใจ เอาทั้งหลักฐาน พระไตรปิฎก ที่มีข้อ คำตรัสคำสอนของพระพุทธเจ้า เอามาอธิบาย มาขยายความ มาเป็นหลักฐาน ในการยืนยันว่า พระพุทธเจ้าสอนลูกศิษย์ของท่านนั้น สอนมีนัยที่ลึกซึ้ง ละเอียด ซับซ้อน เมื่อปฏิบัติถูกตรงแล้ว จะเป็นอย่างไร ซึ่งล้วนแล้วแต่มันจะเป็นหนึ่งเดียวลงไปหา โพธิปักขิยธรรม หรือปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ที่มีตัวโพชฌงค์ ๗ เป็นตัวหลัก ที่ว่าหลักก็คือ มีสติ มีธัมมวิจัย มีวิริยะ คำว่าสติก็เป็นสติสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่สติแค่สติปุถุชน หรือแค่ สติกัลยาณชน ดังกล่าวแล้ว ที่ได้เคยอธิบายมา เป็นสติที่จะต้องรู้ตัวทั่วพร้อม พร้อมขณะ ที่รู้จักองค์ประชุม เรียกว่ากาย แล้วก็ต้องมีการเรียนรู้ ที่จะเข้าไปจับเวทนา และพิจารณา อ่านรู้ฝึกตน ให้อ่านรู้ลึกซึ้งและเท่าทัน เวทนาในเวทนา เข้าไปในจิต เราจึงเกิด เจโตปริยญาณ เกิดจิตที่ได้พัฒนาขึ้นมาตลอดเวลา จากรู้จักกิเลส ซึ่งเป็นกิเลสราคะ โทสะ โมหะ หรือกำลังลดละจางคลาย ทำการลด การปฏิบัติในราคะ โทสะ โมหะลงไป เรื่อยๆ

แม้จะได้แค่สังขิตตะ วิขิตตะยิ่งขึ้นไปเป็นมหัคคตะขึ้นไปเป็นสอุตระ อนุตระเป็นที่สุด ที่สุดแห่งที่สุดแห่งอนุตระก็เป็น สมาหิตะ เป็นวิมุติ ซึ่งเป็นความเจริญของจิตที่เรียกว่า มีเจโตปริยะ มีญาณหยั่งรู้ ในเจโตปริยะจนถ้วนรอบ แล้วก็ทำจิตของตนเองสู่ อนุตรจิต ที่ครบพร้อมด้วยสมาหิตะ พร้อมด้วยวิมุตจิตอย่างสมบูรณ์ ก็เพราะว่า เราสามารถรู้กาย รู้เวทนา มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์เป็นตัวปฏิบัติ

ถ้าผู้ใดไม่มีทิฐิ ไม่มีความเห็น ไม่ใช่ทิฐิความเห็นที่เห็นเฉพาะ ความเข้าใจ เป็นตรรกเท่านั้น แต่เกิดความรู้ ความเห็นที่เป็นองค์ธรรมแห่งปรมัตถ์ เป็นความรู้ความเห็นที่จะเกิด องค์ธรรม ที่มีปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผลเกิด ปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผลเกิด เพราะธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ เพราะปฏิบัติมัคคังคะ มรรคองค์ ๘ มรรคองค์ ๗ เพราะได้ สั่งสม สัมมาทิฐิขึ้นตลอดเวลา ถ้าเข้าใจองค์ทั้ง ๖ ของ สัมมาทิฐิ สัมมาทิฐินี้ เวลาปฏิบัติแล้ว จะเกิดองค์ ๖ ปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฐิ มัคคังคะ

ผู้ที่ได้ร่ำเรียนมาแล้ว จะต้องรู้หลักองค์ธรรม ๖ ประการนี้ของพระพุทธเจ้า รู้ภาษาเท่านั้น ก็คือรู้ภาษา แต่ถ้าผู้ที่รู้ภาษาแล้วก็รู้สภาวะว่า อาการ ลิงคะ นิมิต อย่างไรที่เรียกว่า ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ อย่างไรเรียกว่า สัมมาทิฐิ ซึ่งเป็นสภาวธรรมที่เป็นอาการ เป็นนิมิต ให้เรารู้ในใจของเราว่า เกิดสัมมาทิฐิอันเจริญ

สัมมาทิฐิเมื่อรู้ รู้ด้วยความหมาย ซึ่งเป็นบัญญัติมาก่อน จากอุเทศที่ได้อธิบาย ที่ผมอธิบาย อยู่เสมอ หรือแม้แต่คุณจะอ่านเอง ก็เกิดจากการรู้ จากบัญญัติ จากอุเทศ จะเป็นผู้ใดบรรยายไว้ ก็แล้วแต่ในบรรยาย หรือแม้แต่ไปอ่าน ไปฟังจากผู้บรรยาย ที่เป็นอาจารย์อื่นๆ หรือผู้ที่ท่านรู้อื่นๆ แล้วเราก็ได้รับซับซาบอันนั้นขึ้นมาเป็นลำดับ แล้วเราไปปฏิบัติ จนมีตัวธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ แล้ว มีสติสัมโพชฌงค์ เป็นตัวนำ หรือมีสติปัฏฐาน มีสัมมาสติเป็นตัวห้อมล้อมในการปฏิบัติ โดยเรามีทิฐิ เป็นประธาน มีความเข้าใจ มีความเห็นแล้ว รู้แล้วเข้าใจแล้วเป็นตัวประธาน มีสติ มีสัมมาวายามะ หรือมีวิริยะพากเพียรปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ กับสัมมาทิฐิ ที่เป็นประธานโดยบัญญัติก็ดี เมื่อปฏิบัติมัคคังคะ ปฏิบัติด้วยองค์ธรรม โดยเฉพาะ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ตัวมัคคังคะ ตัวปฏิบัติก็คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ทั้ง ๔ นี่เองเป็นตัวปฏิบัติ เป็นตัวที่ฝึกฝนอบรมไปตลอด ที่เราจะรู้เท่าทัน สังกัปปะ รู้ตักะ วิตักกะ สังกัปปะ รู้อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา รู้จักวจีสังขารา หรือรู้จัก สังขารโดยเฉพาะสังขารจิต สังขารจิตทีเดียว

แต่ไม่ได้หมายความว่า เราไปรู้ กายสังขาร ไปรู้วจีสังขาร ไม่ใช่ วจีสังขารที่เป็นเรื่องราว หรือจนเป็นคำพูด เป็นบัญญัติ วจีสังขารก็คือสังขารบัญญัติ บัญญัติเป็นของคำพูด บัญญัติเป็นกายกรรม ถ้าเป็นปรมัตถ์ของวจีสังขาร ก็หมายถึงว่า เป็นสิ่งที่สั่งการ สมบูรณ์แล้ว สั่งการ สมบูรณ์ออกเป็นภาษาพูด เป็นวาจา หรือเป็นกายกรรม พร้อมที่จะเป็น กายกรรม พร้อมที่จะเป็นวจีกรรมออกมา แต่สั่งการไว้แล้วในใจ ปรมัตถ์ เป็นวจีสังขาร ปรุงแต่งไว้ออกเป็นวจี ออกเป็นเรื่อง วจีแปลว่าเรื่อง ออกเป็นเรื่อง ที่สมบูรณ์แล้ว อยู่ในใจ เรียกว่าปรมัตถ์ ยังไม่ออกมาเป็นภาษา วาจา คำพูด ยังไม่ออกมา เป็นกายกรรม

ถ้าผู้ใดมีตัวมุทุภูตธาตุที่เร็วที่แววไว ไม่ใช่เห็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ มันจะเข้าใจอาการ พวกนี้ แล้วก็จะเข้าใจ จนกระทั่งมันปรุงมาเป็นสังขาร เมื่อเป็นสังขารแล้วพร้อมที่จะพูด ออกมา หรือพร้อมที่จะแสดงออกมาทางกาย แต่เราเร็วจนกระทั่ง สามารถมีอำนาจ ความแข็งแรง อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ซึ่งเป็น ตัวจิตที่ได้ฝึกแข็งแรงตัวนั้น เราจะตัด เราจะให้ออกมาหรือไม่ให้ออกมา เราจะตัด หรือเราจะสร้างออกมา จะระงับ หรือว่าจะปล่อยออกมา จะมีความเร็ว ความไวที่จะใช้ที่จะทำ เพราะฉะนั้น ในตัวสังกัปปะ หรือจิตเป็นประธานสิ่งทั้งปวง คือ มโนปุพพังคมา ธัมมา ที่ใจเป็นตัวก่อน มโนปุพพัง ปุพพะ จิตเกิดก่อน ใจเกิดก่อน มโนปุพพะ ปุพพะก็คือก่อน ใจเกิดก่อนจะมาเป็น คมา ก็เชื่อการเป็น ป จึงมาเป็น คมา ไปมา จะมาเป็นธัมมาทั้งหลายที่จะออกมาเป็นกุศล-อกุศลใดๆ ทั้งสิ้น

จะเป็นกายกรรม วจีกรรม ก็มาจากมโนปุพพัง มโนเป็นประธาน เพราะฉะนั้น จะดีจะชั่ว อย่างไร ก็อยู่ที่ความสามารถ ความรอบรู้ หรือสรุปง่ายๆ ก็คือผู้ที่ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลส หรือไม่ ถ้าเป็นพระอรหันต์ถือว่าเป็นผู้ที่รู้จักกิเลสจริงๆ สามารถระงับกิเลสได้ ไม่มีพิษ ไม่มีอำนาจจริงๆ เพราะฉะนั้น ในการจะออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือในใจในจิต มีความรู้เท่าใด มีความสะอาดบริสุทธิ์เท่าใด ผู้เป็นพระอรหันต์ถือว่าเป็นผู้สะอาดแล้ว เพราะฉะนั้น ในจิตที่จะออกมาเป็น มโนปุพพังคมา ธัมมา จะออกมาเป็นธรรมะใดๆ กายกรรม วจีกรรมออกมาจากจิต จิตเป็นตัวประธานที่จะให้ออกมาเป็นกายกรรม วจีกรรม

ถ้าเป็นพระอรหันต์ต้องถือว่าเป็นผู้ที่มีกุศลจิตทุกๆ ตัว เมื่อมีกุศลจิตทุกตัว กายกรรม วจีกรรม ที่จะออกมาก็เป็นกุศลทั้งสิ้น หรือถือว่าไม่บาป โดยปรมัตถสัจจะแล้ว เมื่อผู้ใด ที่เป็นพระอรหันต์จริง จะไม่มีอกุศลเจตนา แต่จะบกพร่องได้ที่ท่านรู้ไม่เท่าทันเท่านั้นเอง รู้ไม่เท่าทันก็คือสมมติ พระอรหันต์จะผิด ผิดที่สมมติ ไม่ได้ผิดที่ปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น จึงไม่ถือว่าเป็นบาป อาบัติ จะเป็นบาปก็เป็นบาปสัจจะที่ท่านรู้ไม่เท่าทันจริงๆ ไม่รู้ว่า สมมตินี้ มันควรหรือไม่ควร แต่ในเรื่องของกิเลสนั้น พระอรหันต์ถือว่าไม่มีกิเลส ไม่มีตัว ที่จะทำ เพื่อบำเรออัตตา กิเลสที่ว่านี้ คือ ไม่มีอัตตาที่เป็นอนัตตา จิตไม่ได้ทำบำเรอตน ไม่ได้สนองความโลภ ไม่ได้สนองความโกรธ และถือว่าไม่ได้หลงผิดแล้ว ไม่ได้หลงเหลือ เลย โมหะ ไม่มีหลงเหลือส่วนอนุสัยอาสวะใดๆ เพราะฉะนั้น จิตที่พระอรหันต์จะปรุง อะไรออกมา จะสร้างอะไรออกมา จึงไม่ได้บำเรออัตตา ไม่ได้เป็นจิตที่ทำเพื่อตัว เพื่อตน ที่มีส่วนของอนุสัย หรืออาสวะใดๆ ที่เป็นความบริสุทธิ์นั้นๆ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดปฏิบัติ รู้จักเวทนา รู้จักธรรมะที่ประกอบไปด้วยนิวรณ์ นิวรณ์หยาบ กลาง ละเอียด ทั้งนั้นแหละ โดยกิเลส ก็ไม่มีอื่น

มีนิวรณ์ ๕ เท่านั้นแหละ ที่เป็นอาหารของอวิชชาทั้งหลาย ฉะนั้น เมื่อเราเรียนรู้แล้ว เราเข้าใจ อายตนะทั้งหลาย เข้าใจขันธ์ ๕ จนกระทั่ง สมบูรณ์สุด ขันธ์ ๕ ที่ว่านี้มีอุปาทาน ร่วมอยู่ด้วย อุปาทานในเวทนา ซึ่งเราจะต้องรู้เวทนาแท้ๆ ว่าเวทนาที่เป็นตัวรู้ ตัวรู้สึก สุข ทุกข์ เข้าใจหมด แม้แต่เวทนา ๑๐๘ ก็ได้อธิบายกันแล้ว ก็อาจจะรู้กันยังไม่ทั่วถ้วน ก็อาจจะเข้าใจยังไม่ละเอียด แม้แต่ที่สุด เวทนาไปถึงระดับ ตัวที่สำคัญที่สุดก็คือเป็น เคหสิตโทมนัส หรือ เคหสิตโสมนัส เคหสิตอุเบกขา หรือว่าเป็นเนกขัมมะ เข้าใจชัดเลยว่า นี่เป็นเนกขัมมสิตโทมนัส ดูมันยังตั้งตนอยู่บนความลำบาก แต่เราก็พากเพียรที่จะปฏิบัติ เพื่อการออกจาก หรือละเว้นให้หลุดพ้นออกมาจากกิเลสตัณหา อุปาทานทั้งปวง แม้ว่า เนกขัมมะ มันลำบากอยู่โทมนัส จนกระทั่งทำได้ แม้ทำได้แล้วก็ ยังมีอุปกิเลส

ซึ่งอุปกิเลสในตัวที่แรงๆ ก็คือปีติพวกนี้เป็นต้น ยังมีความชื่นใจ ยินดีสูง จนเหลือโสมนัส ก็เป็นความยินดี แต่ความเป็นโสมนัสนั้นเบาบางเหลือในภายใน เป็นอุปกิเลสที่เหลือ มันจะเกิดมา ที่ท่านใช้คำว่าระงับโสมนัสก่อนได้ ซึ่งเป็นภาษาใน ฌาน ถ้าใครได้อ่าน พระไตรปิฎก สำนวนพวกนี้ ท่านแปลไว้ก็คือว่า มันจะมีตัวอาการ ของความยินดีที่เหลือ เศษส่วนอยู่ แล้วเราก็อ่านรู้เท่าทันจนระงับมัน ไม่มีโสมนัส เป็นอุเบกขาสุดท้าย เพราะฉะนั้น ตัวที่จะเป็นตัวสุดท้ายที่จะถึงอุเบกขาฐาน ฐานจิต ที่มันวางได้ละเอียด ไม่มีธุลีละออง ไม่มีความหลงอุปกิเลสที่มีรสของความยินดีได้ ก็คือ โสมนัสสุดท้าย นี่แหละ ระงับโสมนัสก่อนได้ ได้สมบูรณ์จริง หมดอุปาทาน เพราะฉะนั้น อุปาทานนขันธ์ ๕ อุปาทานในเวทนา ความรู้สึกอุปาทาน ในสัญญา คุณกำหนดรู้สัญญา วิเคราะห์สัญญา ออกเลยว่า แม้แต่ที่สุด เราก็เป็นผู้ที่มีสัญญาเวทยิตนิโรธ รู้จักอากิญจัญญายตนะ รู้จัก เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาการกำหนด อย่างที่เรียกว่า ไม่มีคำที่ว่าไม่รู้ แต่ว่า รู้บ้างไม่รู้บ้าง มันยังครึ่งๆ กลางๆ ยังลังเลสงสัย หมดสัญญานั้นเป็นสัญญาที่กำหนดรู้ อย่างชัด อย่างตรง อย่างเที่ยง เป็น สัญญายนิจจานิ สัญญาที่กำหนดรู้อย่างเที่ยง อย่างแท้ อย่างมั่น อย่างคง อย่างเด็ดเดี่ยวสมบูรณ์ ในการกำหนดรู้ถึงขั้นได้เป็น เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา ไม่เป็นการกำหนดรู้ ที่จะรู้ก็ไม่ใช่ ไม่รู้ก็ไม่เชิง ไม่มีตัว สัญญาที่กำหนดรู้แค่นั้น แต่เป็นตัวสัญญาที่กำหนดรู้ อย่างรอบถ้วน

เป็นสัญญาที่ กำหนดรู้ ทุกอารมณ์ ทุกอาการของจิต เจตสิก เรียกว่า สัญญาเวทยิตัง และ ดับสนิท นิโรธัง โหติ เกิดความดับอย่างแท้จริง รู้จักความดับ รู้จักสัญญา กำหนดรู้ อารมณ์เวทนา รู้อารมณ์ของสัญญา รู้อารมณ์ของสังขาร คือเจตสิก ๓ ซึ่งเป็นเจตสิก สุดท้าย รู้นี้เป็นสังขารหรือไม่ใช่สังขาร สังขารนี้เป็นกุศล สังขารนี้เพื่อตัวตน หรือไม่ใช่ ตัวตน สังขารนี้ปราศจากตัวตน สังขารนี้ปราศจากอัตตา สังขารนี้ปราศจากอัตนียา สังขารนี้ปราศจาากความเป็นของตน สังขารนี้ปราศจากความเป็นตน เป็นปุญญาภิสังขาร หรือเป็น วิสังขาร เป็นสังขารที่พิเศษ วินี่แปลว่าพิเศษ มันเป็นสังขารที่พิเศษจริงๆ มีความกำหนดรู้ ตามที่ผมอธิบายนี้โดยบัญญัติ

แต่ผมอ่านจากสภาวะมาบรรยายขณะนี้ ผู้ใดยังไม่สามารถรู้ถึงสภาวะ ยังไม่เข้าใจถึง ก็จงรู้เถิดว่า เรายังไม่มีภูมิถึง ฟังภาษานี้ก็ยังไม่เข้าใจ นั่นแสดงว่ายังไม่มีภูมิความรู้ ภูมิความเห็น หรือภูมิของทิฐิ ภูมิของตักกะเท่านั้นก็ยังไม่ถึง ถ้าผู้ใดมีภูมิแม้แต่แค่ตักกะ ภูมิแค่ทิฐินี้ ฟังนี้เข้าใจ เข้าใจในความหมาย อย่างไรก็เข้าใจดี ผู้นั้นมีภูมิที่ฟังธรรมะนี้ได้ เรียกว่าเป็น อุปสัมปันในส่วนหนึ่ง ส่วนผู้ใดฟังนี้เข้าใจดี มีสภาวะรองรับด้วย ผู้นั้นเป็น อุปสัมบันแท้ เป็นอุปสัมบันจริง ฟังที่ผมพูดถึงนี่ พูดถึงปรมัตถสัจจะ เป็นเรื่องของจิต เจตสิก และมีสภาวะแท้รองรับด้วย ฟังไปเข้าใจไป ถึงแม้เราจะมีบทฝึกหัดที่ไม่มากนัก ก็ยังเข้าใจ และก็ยังมีตัวอาการสภาวะที่เคยผ่านเคยพบ ก็เป็นจิต เป็นเจตสิก ดังกล่าว ที่ผมกำลังกล่าวนี้ชัด เข้าใจได้นั้นเป็นอุปสัมบันแท้

นี่เป็นเรื่องของปรมัตถสัจจะที่เป็น อุตริมนุสธรรม เป็นธรรมะที่แท้ ที่สูงส่ง เป็นเรื่องของจิต เจตสิก ผู้ใดปฏิบัติแล้ว สามารถหยั่งรู้ธรรมะที่ว่านี้ รู้จักนิวรณ์ รู้จักอุปาทานในขันธ์ ๕ รูปสิ่งที่ถูกรู้ ถ้าเป็น มหาธรรม รูปที่เนื่องเข้าไปถึงนามธรรมถึงปรมัตถ์ เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ไปถึงรูป รูปราคะ อรูปราคะที่ถูกรู้ หรือเป็นเจตสิกที่ถูกรู้ เรียกว่า เรารู้นามธรรม รู้จิต เจตสิก ของเรา วิเคราะห์ราคะ โทสะ โมหะออก วิเคราะห์อ่านอาการของราคะ โทสะ โมหะ อ่านอาการของจิต ที่เมื่อแยกแล้วระงับส่วนที่ควรระงับ คือ ราคะ โทสะ โมหะ เมื่อระงับ ได้แล้ว จิตจะเป็นอย่างไร จิตจะยิ่งเจริญ จิตจะยิ่งผุดผ่อง จะยิ่งมีพลัง จะยิ่งแข็งแรง จะยิ่งบริสุทธิ์ สะอาดอะไรพวกนี้ เราจะเห็น เราจะรู้ เราจะเข้าใจสภาพของความเป็นจริงๆ พวกนี้เกิดเอง มันยิ่งหมดอุปาทานที่ขันธ์ทั้งหลาย ในเวทนาก็ดี สิ่งที่ถูกรู้ก็รวม รวมทั้งกิเลส และรวมทั้งจิต เรียกว่าสิ่งที่ถูกรู้เป็นนามธรรม แล้วรวมๆ ว่ารูปนาม

ก็เมื่อวิเคราะห์ออกได้ลึกเข้าไปในจิตเป็นเวทนา และ ในเวทนาก็ไม่มีอุปาทาน หรือไม่มี นิวรณ์ ไม่มีอาการแม้แต่เป็นอุปกิเลส รู้กิเลส รู้อุปกิเลส เป็นเวทนาบริสุทธิ์ขึ้น เป็นสัญญา บริสุทธิ์ขึ้น เป็นสังขารบริสุทธิ์ขึ้น นี่เป็น เจตสิก ๓ รวมแล้วเป็นวิญญาณ หรือเป็นจิต ที่บริสุทธิ์จากที่เราได้ละล้างเนกขัมมะ และปฏิบัติออกมาเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น อุปาทานขันธ์ ๕ เราก็เข้าใจอายตนะ ๖ รู้อายตนะนอก อายตนะใน รู้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อายตนะนอก เมื่อรับกระทบสัมผัสแล้วมันก็เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ถูกรู้โดยตา เรียกโดยภาษา มันซ้ำกันว่ารูป ซ้ำกันกับคำว่ารูปคือภาพ หรือ ภาวะ ถ้าเรียกกันเป็นอีกคำหนึ่ง ก็เรียกว่า ภาพ หรือภาวะ เป็นภาวะหรือเป็นสภาวะ นั่นแหละ เป็นสภาวะที่เกิดจากทวารตา เป็นสภาวะ ที่เกิดจากทวารหู เป็นสภาวะที่เกิดจากทวารจมูก ทวารลิ้น ทวารกาย หรือ ทวารใจของมันเอง

สภาวะหรือรูปคือ สิ่งที่ถูกรู้นั้นๆ มันเกิดสภาวะ เมื่อเราไปเรียกโดยภาษาไทยอีกว่ารูป ซ้ำทางตา หรือ สภาวะนั่นแหละ หรือรูปทางเสียงก็คือรูป ก็คือสภาวะทางเสียง มันคือ อย่างไร ก็อย่างนั้นแหละ สภาวะทางกลิ่น สภาวะทางรสในลิ้น สภาวะในกายสัมผัส โผฏฐัพพารมณ์ สภาวะในใจ มันก็เป็นสภาวะหรือรูป หรือสิ่งที่ถูกรู้โดยเรา จะถูกรู้ ทางเสียง จะถูกรู้ทางกลิ่น จะถูกรู้ทางรส ทางลิ้น อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราสามารถหยั่งรู้ โดยญาณ โดยธาตุรู้ โดยปัญญา โดยธาตุรู้ของจริงตามความเป็นจริง ไม่ใช่ตักกะ ไม่ใช่การคิดนึก ผกผันความคิด แต่เป็นของรู้ที่มีสภาวะเกิดแล้ว เรารู้สิ่งที่เกิด ที่เป็น ที่อยู่นั้น ด้วยญาณ ด้วยปัญญา ด้วยธาตุรู้ตัวที่เรารู้ตามความเป็นจริง ขึ้นไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น อายตนะ เราก็จะรู้จากการปฏิบัติมากำหนดรู้นิวรณ์ กำหนดรู้อุปาทาน นิวรณ์ก็คือกิเลส หรือตัณหา อุปาทานก็คือตัวที่ยึดติดอยู่ มีกิเลส มีตัณหาติดอยู่ คืออาการ เราวางไม่ขาด จะตัดไม่ขาด เราล้างไม่สะอาด จนกระทั่งล้างสะอาดเหลืออายตนะ บริสุทธิ์ ตากระทบรูป มันก็ต้องเห็นรูป หูได้ยินเสียงมันก็เสียง

ทีนี้เรารู้จักนิวรณ์ รู้จักกิเลสแล้ว อุปาทานไม่มีแล้ว ขันธ์ ๕ บริสุทธิ์ อายตนะนอกใน ก็ทำงาน ธรรมดาด้วยโพชฌงค์ ๗ ด้วยมรรค ๘ ที่เป็นธรรมในธรรม ทั้งหมดที่เราปฏิบัติ ก็ปฏิบัติได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็จะรู้ของเรา ปฏิบัติได้อย่างไม่บริสุทธิ์บริบูรณ์ เราก็จะรู้ ของเราจริง เพราะฉะนั้น ธรรมในธรรมก็มีเท่านี้ ฉะนั้นเราก็ปฏิบัติกาย เวทนา ด้วยการ สร้างจิต มีเจโตปริยะ เกิดญาณรู้ จนกระทั่งถึงอาสวักขยญาณ รู้จักองค์ประกอบของ สมาหิตะ หรือ อสมาหิตะ หรือตัววิมุติ สมาหิตะคือจิตที่มีการงาน มีบทบาท มีคติ มีความเป็นไป มีอวจร มีตัวที่ยังดำเนินไปสู่สุคติ อวจรที่เป็นปรารถนาดี เป็นกุศลเจตนา คือทำงาน สมาหิตะคือเป็นจิตที่ตั้งมั่น แข็งแรง เป็นสมาธินี่แหละ รวมไปแปลเป็นภาษา บาลีซ้อน บาลีก็แปล สมาหิตะว่าสมาธิ ท่านสมาธิมาเป็นไทย ไทยมันไม่มีภาษา ก็มีแต่ ความตั้งมั่น แปลเมื่อไรก็สมาธิก็แปลว่าตั้งมั่น สมาหิตะก็แปลว่า ตั้งมั่น สมาทหะก็แปลว่า ตั้งมั่น เป็นความตั้งมั่นขั้นสมาหิตะ ที่จะมีจิตที่เป็นตัวตน เรียกว่าสมาทหัง สมาทหะ ท่านก็แปลว่า สมาธิ สมาทหะหมายความว่า จิตที่เป็นตัวที่หนุ่ม สด แข็งแรง สมาทหะ สมาหิตะเป็นจิตที่ตั้งมั่น แข็งแรง ที่เป็นบทบาทการงาน มีประโยชน์คุณค่า

ถ้าประโยชน์ตนหมด พระอรหันต์ประโยชน์ตนก็ไม่มีเพื่อตนอะไรจริงๆ มีแต่ ประโยชน์ เพื่อท่าน เพื่อผู้อื่น เพราะฉะนั้น สมาหิตะ ประโยชน์เกื้อกูล ก็มีแต่ประโยชน์เพื่อผู้อื่น ไปทั้งหมด เป็นหิตประโยชน์นั่นแหละ ส่วนสมาทหะนั้นเป็นของเรา จิตที่อาศัย จิตที่หนุ่ม ที่สุด ที่เบิกบาน ที่ร่าเริง หนุ่มสดหรือว่าหนุ่มแข็งแรงนี่ เป็นวัยที่ สด เป็นวัยที่อธิบาย โดยวัย เป็นวัยที่แข็งแรง เป็นวัยที่มีทุกอย่างครบพร้อม มีทั้งกำลัง มีทั้งความเบิกบาน ร่าเริง มีทั้งความกระปรี้กระเปร่า ก็เรานึกถึงสภาพของความเป็นหนุ่ม ที่เป็นหนุ่มเต็มตัว เป็นหนุ่มที่เบิกบานร่าเริง เป็นหนุ่มที่มีความแววไว อยากรู้อยากเห็น เป็นหนุ่มที่อยาก จะสร้างสรร อยากจะมีอะไรต่ออะไรที่เท่าที่โลกเขาเป็น ที่เราเรียกเป็นวัยที่สมบูรณ์ที่สุด เป็นวัยที่เจริญ เป็นวัยที่ครบพร้อมที่สุด ทั้งความแข็งแรงที่มีประโยชน์คุณค่า ความเบิกบาน ร่าเริงที่เป็นสุขที่สุด นั่นแหละเป็นจิตที่สงบ สมะนี่สงบ สมาทหัง เป็นจิตที่สงบ แต่ว่าสงบในคุณลักษณะของเจโต สมาทหะนี่เป็นของเรา

ส่วนสมาหิตะนั่นเป็นของทั้งหมดทั้งมวล เป็นของโลก เป็นคุณค่าที่เป็นเพื่อผู้อื่น แต่สมาทหะ นั้นเราอาศัย เป็นจิตที่เราอาศัย และเป็นคุณลักษณะประจำตัว เป็นคุณ ลักษณะ สรุปง่ายๆ ก็คือแข็งแรงเบิกบาน แข็งแรงหนุ่มนี่แข็งแรง และแข็งแรงอย่าง สดชื่นเบิกบาน ไม่มีเหี่ยว ไม่มีเฉา ไม่มีหดหู่ มีแต่แจ่มใส เป็นจิตลักษณะนั้น คุณเอา ไปสังเกต แม้แต่รูปง่ายๆ รูปนอกๆ เป็นความเบิกบาน คนพวกนี้เบิกบาน ไม่มีเศร้า ไม่มีหมอง ไม่มีขรึม ไม่มีเคร่ง มันไม่เคร่งดอก มันคลาย ผ่อนคลายหมดแล้ว มันมี แต่เบิกบาน ดูรูปนอกก็ได้ ถ้าคุณดูรูปนอกก็คือสภาพหยาบ จนกระทั่งเข้าไปใน จิตใจ ก็เป็นฉันเดียวกัน เบิกบานร่าเริงแข็งแรง ไม่เหยาะแหยะ ไม่ท้อแท้ ไม่หย่อน เป็นนักสู้น่ะ อย่างสมาทหัง นี่เป็นนักสู้ คุณลักษณะไม่ถดถอย ไม่ท้อแท้ สู้ แต่ไม่ใช่พวกบ้าระห่ำนะ ที่ที่ว่านี่ ไม่ใช่ตัวคนพาลที่ไร้ปัญญา ที่ไร้กำหนดกฎเกณฑ์ไม่ใช่ เป็นคนที่มี กำหนด กฎเกณฑ์ รู้ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น จะมีคุณลักษณะของจิตสมบูรณ์พวกนี้ จิตสมาหิตะ กับวิมุติ วิมุติก็เป็นจิตอาศัย วิมุติเป็นจิตที่หลุดพ้น เป็นจิตที่รู้รอบ เป็นจิตที่เป็นตัว เจตสิกของเรา วิมุติก็คือตัวอาศัย ตัวสมบูรณ์ ตัวที่ไม่มีกิเลสแล้ว เกลี้ยงแล้ว สมาหิตะ เป็นตัวการงาน เหมือนมีความอยาก มีความต้องการ ไม่นิ่ง ไม่หยุด เพราะฉะนั้น สมาหิตะ มันจึงไม่ได้เป็นความหมายที่ตื้นๆ เขินๆ เหมือนที่เขาเข้าใจว่าสมาหิตะ คือผู้สงบ ผู้มีสมาธิ คือผู้สงบ แปลหยาบๆ แล้วก็เลยแปลสงบว่า "นิ่งเฉย"

ที่จริง "สงบ" มันมีในนั้น คือจิตมันสงบจิตสงบอย่างไม่มีกิเลส ไม่มีการเกิดอีก ไม่มีกิเลสเกิด กิเลสไม่มี มันสงบ เกลี้ยง สะอาดแล้ว ไม่มีกิเลสอะไรเกิดมาอีกเลย มันสงบ ตลอดเวลา แต่ที่มันปรุง ไอ้ที่มันสร้าง ไอ้ที่มันทำงานไว้ ที่จริงมันเป็นบทบาทนั้นน่ะ มันเป็น คุณลักษณะของจิตวิญญาณที่มีประสิทธิภาพสูง ไม่ได้เพื่อตัวเพื่อตน ไม่ได้กิเลส เป็นตัวการ ไม่ได้มาบำเรอตนอะไร มันเป็นการสร้างสรร มันเป็นจิตพระเจ้า มันเป็นจิต พระผู้สร้าง ผู้ประทาน ผู้สร้างเพื่อให้ สร้างเพื่อให้ผู้อื่นได้รับประโยชน์คุณค่านั้น มันเป็น จิตพระเจ้าที่วิเศษ มันเป็นจิตสงบ มันเป็นจิตบริสุทธิ์ ฟังความ ฟังภาษาไว้ แล้วจึงสร้าง จิตนี้ ให้เกิดที่เรา อันนี้เป็นหลักวิชาที่แถมให้พร้อมกันทุกรูป ใครจะบอกว่าไม่ได้ฟัง ใครนั่งหลับ ใครนั่งเบลอ ใครฟังไม่ได้ หรือ ใครฟังไม่ออก ก็เป็นฐานของแต่ละคน โอกาสนี้ เป็นโอกาส พร้อมทุกคนแล้ว

ผมได้พูดแล้ว ผมได้กล่าวแล้วต่อหน้าทุกท่าน ใครจะบอกว่าไม่มีโอกาส ไร้โอกาสไม่ได้ ถ้าคุณจะกล่าวอย่างนอบน้อม คุณก็กล่าวได้ว่า เป็นบุญของเราหนอ ที่ได้ฟังอันนี้แล้ว ถ้าจะกล่าวโดยผมก็บอกว่า นี่เป็นโอกาสอันดีหนอของพวกคุณที่ได้ฟังอันนี้แล้ว ที่เจาะ ปรมัตถ์ สำหรับปีนี้ สำหรับวันนี้ก็ได้กล่าว แม้แต่คราวที่ได้บรรยายมาตลอดทั้งปี ไปเจอ พระสูตร จูฬวิยูหสูตร สูตรที่กล่าวถึงสัจจะ กล่าวถึงสัญญาสุดท้าย ผมก็ยังไม่เจออะไรที่ จะลึกไปกว่านี้อีก ในพระไตรปิฎก ที่เป็นคำกล่าว มีอยู่ตัวเดียวนี่แหละ ในพระไตรปิฎกทั้ง ๔๕ เล่ม คำตรัสที่เจาะลึก เพราะว่าเป็นตัวที่เจาะลึกที่สุดแล้ว เพราะว่าเจาะถึงขั้น สัญญา และผมก็เข้าใจสัญญานี้ว่า สัญญานี้เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ อันเป็นตัวสัญญา ที่เป็น อาการของ สัญญายนิจจานิ ซึ่งผมเข้าใจบัญญัติทั้ง ๒ ตัวนี้ รวมความแล้วทั้งหมด ในพยัญชนะ ในคำตรัสสูตรนั้น ผมว่าผมเข้าใจทั้งหมดนี้ แล้วก็หยิบมาบรรยาย เท่าที่ผม สามารถได้บรรยายไป ซึ่งจะต้องบรรยายอีก บรรยายไปจนตายแหละ นี่สูตรพวกนี้ แล้วหยิบมาบรรยายไว้ก่อน เพราะฉะนั้น การบรรยายนี้เป็นเรื่องของการยึดสูงมากล่าว แล้วก็จะค่อยๆ ขยายละเอียดยิบ ขยายหยาบไปในอนาคต เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีภูมิธรรมสูง ก็จะรับได้ก่อน ผู้ที่มีภูมิธรรมยังไม่สูงก็ยังรับได้บ้าง ไม่ได้บ้างไปตามลำดับ

ที่ผมทำเช่นนี้ ผมก็ทำมาแต่ต้น คือทำจากสูงไปหาต่ำ โดยเฉพาะในขณะนี้ก็คือ อยู่ในสงฆ์ ไม่ได้กล่าว อยู่นอกสงฆ์อะไร ถึงแม้ว่าอยู่นอกสงฆ์ ผมก็กล่าวไปเรื่อยๆ เมื่อกาละ ที่ควรกล่าว เช่น ทำวัตรในพวกเราก็ดี ศึกษาเล่าเรียน ไม่มีผู้ที่เพ่งโทษแล้ว เป็นอุปสัมบัน หรือ อุปสัมบันโดยบัญญัติ อยู่ในวัด ไม่ได้ไปกล่าวผิดที่ผิดถิ่นที่ไหน ถึงแม้ว่าจะเป็น โอกาสข้างนอกครั้งคราว ผมจะไปกล่าวบ้าง ผมก็ประมาณของผม แต่ก็ยังไม่ได้ไป กล่าวสูตร เหล่านี้ หรืออะไร อธิบายเหล่านี้ยังไม่ได้ไปกล่าวนอกวัด โดยเฉพาะที่ผม เทศน์อยู่ ทุกวันนี้ ไม่ได้ไปเทศน์นอกวัดเลย ผมไม่ได้ออกไปเทศน์นอกวัดทุกวันนี้ นอก จากงานบางงาน อย่างงานไปฉันที่โรงชมร. ไปเทศน์ชมร. จะเป็นส่วนในเรา ผมก็ไม่ได้ เทศน์ ถึงอย่างนี้ ก็เทศน์กล่าวในตัวเรื่องราวอะไรต่ออะไรไปขนาดนั้น เพราะฉะนั้น จะบอกว่า อาบัติ ที่กล่าวนอก เป็นการผิดปาจิตตีย์ ที่กล่าวอุปสัมบัน อนุสัมบันนั้นน่ะ ผมว่าเมื่อเอากันละเอียดแล้ว มันไม่ได้ผิดได้พลาดอะไร แต่จะให้เสมอสมานกันนั้นไม่ได้ เพราะว่า ทุกวันนี้คนมันมีฐานะที่ต่างกันมาก ผู้ไม่รู้ ไม่รู้เอามากๆ ผู้รู้ก็รู้อย่างต่างกันอยู่ หลายระดับชั้น แม้แต่พวกเรา ไอ้นี่เป็นปรมัตถ์ ที่ผมได้สาธยายลงไปสำหรับวันนี้ ทีนี้เรื่องของกรรม การงาน และอาชีพที่ผมก็บอกซ้ำอีกว่า ผมจำเป็นที่จะต้องนำพา ท่านทั้งหลาย ก็จะต้องศึกษาเล่าเรียนตาม ผู้ใดที่ติดยึดแบบฤาษี ติดยึดในตัวสงบ ที่ไม่ค่อย อยากจะมาทำการงาน

บรรดาฤาษีมันไม่อยากทำงานดอก หรือทำงานก็ทำงานเบา ทำงานเบานี่ก็คือ ทำงาน สังกัปปะ กับ วาจา ซึ่งเป็นฤาษีกรุง ฤาษีกรุงนี่จะลงมือ จะแบก จะหาม จะเอาหลังเข้าสู้ จะเอาบ่า เข้าแบกนั้นน้อย พวกฤาษีกรุง หรือว่าพวกใช้ชอบแบบปัญญา ชอบใช้แต่วาจา มีสังกัปปะกับวาจา ส่วนกัมมันตะที่ทำครบพร้อม ผมบอกแล้วว่า กัมมันตะเขารวมทั้ง สังกัปปะ รวมทั้งวาจา กายกรรมด้วย กัมมันตะนี่ลงมือทำงาน ลงมือมีกิจกรรมการงาน ทุกกรรม ทั้งกาย วาจา ใจ เรียกว่ากัมมันตะอาชีวะนั่นน่ะ กำหนดเรื่องของงานเลยทีเดียว อาชีวะ กำหนดเรื่องของงาน งานใดก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีจริตไปในข้างที่ไม่อยาก จะลงไป ทำงานหนัก ถึงขั้นกัมมันตะ อาชีวะนั้นน่ะ นี่มันเป็นอย่างนี้ โลกก็มี ธรรมก็มี ที่ไหนก็มีทั้งนั้นแหละ เห็นทั้งนั้นแหละคน คนละจริตที่ชอบเป็น เขาถือว่าเป็นปัญญาชน ใช้แต่ปัญญากับคำพูด นักวิชาการสอน เป็นครูเขา ชอบเป็นหัวหน้า ชอบไปเที่ยวได้ชี้ใช้ บอกกล่าว คิดนึก ฉลาดเฉลียวรู้ แต่ไม่ทำ ลงมือไม่ลงมือ

พูดแค่นี้ก็คงพอเข้าใจ มันเป็นจริต เพราะว่าผู้ใดมีจริตอย่างนี้ พากเพียรเถิด พยายาม กระทำ อย่าให้มันบกพร่อง คือออกมา ทำการกระทำทางกาย ทางการงานาอาชีพใดๆ อยู่ในขอบข่ายของวินัย ที่เราเป็นสมณะ ก็เอาเถิดตามวินัยพอสมควร อันไหนที่พออนุโลม มันไม่ถึง สังฆาทิเสสดอกในการทำการงาน การงานไม่ถึงสังฆาทิเสสดอก นอกจากคุณไป อันอื่นซี ต่อไปอีก นั่นอีกเรื่องหนึ่ง ถึงสังฆาทิเสสนั้นอีกเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะสังฆาทิเสส ที่จะเป็นจริงๆ ก็คือ บอกยากสอนยากและขี้เกียจ สังฆาทิเสสนี่ อันนั้นแหละ จะเป็น สังฆาทเสส ก็ตรงที่ไม่ทำต่างหาก บอกยากสอนยาก ไม่ทำ หรือเมื่อทำก็ให้ระวัง ที่จะไป ประจบคฤหัสถ์ นั่นก็เป็นสังฆาทิเสสเหมือนกัน เพราะฉะนั้นกิเลสมากๆ เข้าก็ไปประจบ ประแจงคฤหัสถ์ เพราะกิเลสโลภ กิเลสที่จะตะกละตะกลามอะไร หรือแม้ที่สุด ตัวที่เชิงชั้น เชิงซ้อน ประจบประแจงอาศัยคฤหัสถ์ไปแก้แค้น เป็นไม้เป็นมือ มันก็คือกิเลสโทสะมูล เข้าไป ร่วมทำงาน ก็เลยอาศัยคฤหัสถ์ ประจบประแจงใช้กำลังของทรัพย์ ใช้กำลังของ อำนาจ กรรมกริยา ที่คฤหัสถ์เขาทำได้ เราเป็นสมณะเราทำไม่ได้ แต่จะไปแก้แค้น ก็จะใช้ อาศัยเชิงฉลาดเข้าไปซ้อน ใช้คฤหัสถ์เป็นไม้เป็นมือต่อไปอีก

มันก็เป็นความลึกซึ้ง ที่เราจะต้อง รู้เท่าทันบาปเองต่างๆ ที่จะไม่พึงกระทำ นั่นก็เป็น สังฆาทิเสสได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เวลาเราทำงาน กรรมกริยาต่างๆ ที่เป็นกายกรรม วจีกรรมที่เป็นตัวบทบาทมากนี่ เราก็ต้องระมัดระวัง เรียนรู้และมีผัสสะเป็นปัจจัย ให้เราปฏิบัติสูงขึ้น มันจะเป็นการปฏิบัติ มีผัสสะที่แท้ กระทุ้งกระแทกกิเลสออกมา เพราะฉะนั้น อาสวะอนุสัยนี่ จึงไม่ใช่เรื่องธรรมดา เป็นเรื่องลึกซึ้ง ซึ่งศาสนาอื่น ศาสนา เดียรถีย์ ฤาษีไม่มีสมบูรณ์ ไม่มีมรรคองค์ ๘ ตัวที่จะไม่ได้ถูกกระแทกกระทุ้ง กระเทือน อะไร ออกมา เมื่อเราปฏิบัติธรรมจึงสมควรที่สุด ที่จะต้องมีการเรียนรู้ ให้รู้ถึงขั้น กัมมันตะ อาชีวะ และมีบทบาทพฤติกรรมต่างๆ ออกมาร่วมด้วย

ผมก็พยายามนำพาทำ ผมไม่ได้ถึงขั้นบังคับทีเดียว มีแต่พูด ผมก็ไม่ได้บังคับน่ะ ไม่ว่า รูปไหน คุณสมัครใจที่จะทำเป็นฤาษีอยู่ ระวังจะเป็นฤาษีด้านให้มันแก้ตัวให้ตัวเอง ไม่ว่า จะเป็นฤาษีป่า หรือฤาษีกรุง มันจะแก้ตัวให้ตัวเองตามจริต ฤาษีป่าเขาแก้ตัวให้ตัวเอง เป็นฤาษีจัญไร แก้ให้ตัวเองไปใหญ่ฤาษีป่า ฤาษีเมือง ฤาษีกรุงก็แก้ให้กับตัวเองไป อย่างฤาษีเมือง ตามจริต เพราะฉะนั้น เรียนรู้ดีๆ ว่าเรานี่แก้ตัวให้ตัวเองน่ะ เราเข้าใจแล้ว แต่เราเอง เราก็แก้ตัวให้กิเลส ไม่ว่าฤาษีป่า ฤาษีเมืองต่างๆ อ่านดีๆ เพราะฉะนั้น ถ้ามีผัสสะ เป็นปัจจัยจริงๆ ตามที่เราเจอมาไม่รู้กี่สูตรแล้ว ทุกขสูตรเป็นต้น หรือสูตรอื่นๆ อีก ท่านอธิบายว่า มีผัสสะอย่างไรๆ นี่แค่หยิบมานี่ผม มาอ่านสูตรบางสูตรโดยไม่ได้จำชื่อ ขยายให้เห็นว่า ผัสสะเน้นรวมไปด้วย ทั้ง อายตนะนอก อายตนะใน ว่ามีอายตนะนอก อายตนะในแล้วก็มีวิญญาณ วิญญาณก็ วิญญาณของอายตนะ ๖ นั่นแหละ วิญญาณ ทางตา ทางหู ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ รวมกันแล้วสามองค์นี่ อายตนะนอก อายตนะใน กับวิญญาณก็มาเป็นผัสสะ หรือผัสสะจะก่อเกิดรวมทั้งสามนี้ ต้องมีสภาพโดยวัตถุนอก หรือตา นี่เรียกว่านอกแท้ๆ ยิ่งวัตถุยิ่งนอกแท้ แต่วัตถุนอกถ้าไม่มีตาเข้าไปประกอบแล้ว มันไม่มีอะไรเกิดดอก วิญญาณเกิดโดยไม่มีตาไม่ได้

เพราะวิญญาณมันจะเกิด เพราะมีตาเป็นอายตนะนอก เพราะมีหู เพราะมีจมูก เพราะมีลิ้น เพราะมีกาย เป็นอายตนะนอกไปกระทบกับวัตถุ มันจึงจะเกิดรูป เกิดเสียง เกิดกลิ่น เกิดรสเป็นอายตนะใน มันเกิดอายตนะใน นั่นแหละ เราก็จับอายตนะในนั้นน่ะ เพื่อที่จะอ่านวิเคราะห์เป็นกิเลส และเป็นวิญญาณ หรือเป็นวิญญาณแท้ วิจัยตัวนั้น เรียกว่า วิญญาณ เพราะวิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เมื่อกระทบสัมผัสแล้ว จับวิญญาณได้ ถึงวิเคราะห์วิญญาณต่อไปถึงวิญญาณหรือ จิต จะต้องมีตา มีรูป และ ต้องมีนอก เพราะผัสสะก็ต้องมีนอก เอาแต่ผัสสะธรรมารมณ์ อย่างเดียว มันไม่ครบ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้สอนแหว่งๆ อย่างนั้น ท่านก็สอนอายตนะทั้ง ๖ ทุกที แต่ไปเพี้ยนเอง เอาจิตๆ อายตนะนอกก็มีจิต ถ้าเมื่อมีตากระทบรูป เมื่อมีหูกระทบเสียง มันก็ต้องเกิดอายตนะ ทั้งคู่ขึ้นแล้ว นี่มันก็ส่งผ่านไปถึงวิญญาณหรือจิต วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย หรือทางใจที่จะไม่ต้องไปกระทบไปถึงทวารนอกทั้ง ๕ ใจในใจก็ตาม เพราะฉะนั้น การศึกษาที่เราจะรู้ทุกข์ ทุกขสูตรนี่ท่านก็บอกแล้วว่ามี อายตนะนอกใน แล้วก็มีวิญญาณเป็นผัสสะ

เมื่อเป็นผัสสะแล้ว เราก็มารู้ผัสสะ มารู้ เวทนาจากผัสสะ ผัสสะจึงเป็นเวทนา เมื่อเวทนานี่ วิเคราะห์ออกมาเป็นตัณหา เป็นอุปาทาน คุณก็ล้างตัณหา ล้างอุปาทานไป เพราะฉะนั้น เวทนา จึงเป็นประตูที่สำคัญที่ต้องเรียนรู้เวทนาถึง ๑๐๘ แต่ถ้าเก่งเวทนา ๓๖ แล้ว ก็ไม่มีปัญหา อดีต ปัจจุบัน คุณก็ต้องใช้อยู่ตลอดเวลา นี่มันก็เกี่ยวเนื่องไปถึงอนาคต อดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็น เวทนา ๑๐๘ ก็เอาอดีต ปัจจุบัน อนาคต ของ ๓๖ นี่แหละมาใช้ เมื่อ ๓๖ แบ่งออกเป็นอดีต แบ่งออกเป็นปัจจุบัน แบ่งออกเป็นอนาคต มันก็ ๑๐๘ เพราะเรารู้ เวทนาในเวทนา อย่างจริงเลย คุณก็สร้างจิตเป็นอนุตรจิต ที่ประกอบไปด้วยสมาหิตะ ประกอบไปด้วยวิมุติได้ เพราะเวทนาก็เป็นตัวเจตสิก เป็นตัวละเอียดต่อออกไปจากจิต นี่เป็น โพธิปักขิยธรรม หรือเป็นทฤษฎีหลักของพระพุทธเจ้า

ทีนี้เมื่อประกอบกรรม ประกอบอาชีพที่ผมพาทำอยู่ เราจะได้สร้างพุทธบริษัท โดยอุบาสก อุบาสิกา นำพาทำกันไปอยู่นี่ ซึ่งผมก็รับผิดชอบอยู่ทั้งหมดนั่นแหละ ไม่ว่าอาชีพไหนๆ แล้วพวกคุณ ก็เรียนรู้ตาม แล้วพวกคุณก็ช่วยผมได้ ประพฤติปฏิบัติ ได้ช่วยสอน ช่วยอบรม ช่วยกันทำกับทุกๆ คนต่อไป เราจะต้องประสบ หรือจะต้องพบกับการงาน พบกับอาชีพพวกนี้หนักหน้าขึ้น ผมจึงจำเป็นที่จะต้องหยิบมาอธิบายกับพวกเรา ให้เข้าใจ อธิบายอย่างผู้รู้ พูดกับผู้รู้ เพราะปีต่อไปอาชีพการงาน การกระทำพวกนี้ จะหนักหน้า ขึ้นไปอีก

ทุกวันนี้นี่แม้แต่กัมมันตะหรืออาชีวะ การกระทำการงานต่างๆ หรือเป็นอาชีพ ฆราวาส พวกเรานี่ ชาวอโศกนี่จะรู้จะเข้าใจเพิ่มขึ้นแล้ว จริงเขาอาจจะไม่แววไว หรือบางคน เขาแววไวกว่า อย่านึกว่าฆราวาสบางคนไม่มีบารมี บางคนมีบารมี ขอบอกได้เลยว่า บางคนบารมี เหนือกว่าพวกคุณที่เป็นสมณะบางรูป เขามีบารมี ที่จะเรียนรู้ธรรมะ หรือจริงๆ แล้วเขาเป็นอจินไตยน่ะ จริงๆแล้วเขาเป็นคนสูงกว่าพวกคุณ แต่สมมติคุณ สูงกว่าเขาเท่านั้นเอง แต่จริงๆ แล้วเขาสูงกว่าพวกคุณ ภูมิธรรมเขาสูงกว่าพวกคุณ คุณรู้ได้ ใครก็สูงกว่าคุณ คุณอย่านึกว่าคุณได้บวชเป็นสมณะแล้ว นี่คุณสูงกว่าใคร ทั้งหมดในโลก สูงกว่าฆราวาสทั้งหมด อย่าทำเป็นแอ๊คไปเลย ฆราวาสเขาบางคน เขามีภูมิธรรม มีบารมีเขาสูงกว่าคุณได้ แต่ในฐานะตามวิบาก เขาจะต้องไปสร้างสรร อย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูกคนเขานัก โดยสมมติ แล้วก็ให้เขาเคารพที่เป็น สมมติสัจจะหนึ่ง เป็นรูป เป็นแบบก็เป็นไป เพราะฉะนั้น พวกที่เขารับช่วงไปแล้วก็รับไป เพราะการงาน ในหน้าที่ของฆราวาสเขารับ แล้วเขาก็ทำต่อช่วงไปแล้วเขาก็เบิก ทำอะไร ต่ออะไรไป รังสรรไป บางคนจะต้องทำไปทั้งชาติ เป็นฆราวาสทั้งชาติ แต่ฆราวาสคนนั้น บางคนน่ะ เขาไม่ได้ต่ำกว่าคุณเลยนะ ชาตินี้ทั้งชาติคุณยังไม่ได้สูงกว่าเขาดอก แต่เขา ต้องเคารพคุณโดยรูป แต่ภูมิธรรมเขาสูงกว่าคุณ

ถ้าผู้ใดอ่านออก ผู้นั้นคุณจะคารวะเขาในใจได้ แล้วคุณจะยอมเขาเอง คุณจะรู้สึก ต้องเชื่อฟัง ต้องเคารพ เคารพในใจ ต้องนับถือจริงๆ เพราะฉะนั้น ต้องพยายามสังเกต เรียนรู้ อย่าไปถือตัวถือตน มีอัตตา มานะมากเกินไป เราต้องรังสรรค์ศาสนานี้ มันจะต้อง ครบพร้อมไปด้วยอาชีพ ไปด้วยการงาน เพราะชีวิตมนุษย์นั้นน่ะ มันจบอยู่ที่การงาน จบอยู่ที่อาชีพ สุดท้าย พระอรหันต์ก็ทำการงาน ทำอาชีพ หยุดติด หมดปัญหา เพราะฉะนั้น ไม่มีตัวตน จะมีแต่บทบาทการงาน มีพักมีเพียร เท่านั้นเอง

ในเรื่องของมนุษย์ก็มีแต่พักกับเพียร ก็ไม่มีอื่นอะไร ไม่ใช่มีแต่พักกับพัก หนี หลบ เป็นลัทธิฤาษี ลัทธิเดียรถีย์ที่ออกป่า เข้าถ้ำ หลบไปไม่เอาอะไร ไม่เอาอะไรมันสุดโต่ง เป็นนัตถิกทิฐิ หรือพวกอกิริยาทิฐิ เป็นพวกไม่มีอะไร พวกสูญสุดโต่ง

เพราะศาสนาพุทธเราเป็นศาสนาแห่งมนุษยชาติ เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ เป็นศาสนาที่สอนคนให้มาอนุเคราะห์โลก ไม่ใช่สอนคนให้ตัดช่องน้อย แต่พอตัว หนีไปสุดๆ เดี่ยวๆ ไปอย่างนั้น

ฉะนั้นทุกวันนี้จริตของบางคน จะเป็นฤาษีป่าหรือฤาษีกรุง นี่เข้าใจให้ ดีๆ ผมก็ไม่รู้จะแก้ จะอธิบายไม่รู้กี่ภาษาปฏิภาณอย่างไร ก็พยายามใช้ในพวกคุณเข้าใจให้ได้ แล้วไปศึกษา สภาวะ แล้วพยายามทำตนให้หลุดพ้น ทำตนให้ละเอียดลออให้ได้ แล้วเราจะดำเนินต่อไป


จัดทำโดย โครงงานถอดเท็ปธรรมะออกพิมพ์ให้ท่วมโลก
ถอด โดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๑๒ พ.ค. ๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี
พิมพ์ โดย ทองแก้ว ทองแก้ว
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๒ มิ.ย. ๓๗
ADD1_TAP