เฉยอาริยะ หรือ เฉยปุถุชน
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๖
ณ พุทธสถานสันติอโศก


เรายังมีชีวิต อยู่ทุกลมเข้า นี่ก็คือความเกิด เราก็เกิดอยู่ตลอดเวลา นะ หายใจเถิด ยังมีชีวิตอยู่ ถ้าหายใจเข้าไม่ออก ตาย หายใจเข้าออกได้น่ะ ก็เรียก ว่ามันยังหมุนเวียน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นสังสารวัฏเป็นชีวิต ถ้าหายใจเข้าแล้วไม่ออกตาย หรือว่าหายใจออก แล้วไม่เข้าอีก จบ มันก็ตายอีก เป็นช่วงหนึ่งๆ เพราะฉะนั้น ตราบใดที่เรายังมีชีวิต ที่วนเวียนอยู่ มันก็ซ้ำซาก เหมือนหายใจเข้า เหมือนหายใจออก นั่นอาตมาสรุปให้ฟัง สั้นที่สุดแล้ว การหายใจเข้าหายใจออกแล้ว มันก็สะดวก หายใจเข้าหายใจออกเป็นปกติ หายใจเข้าหายใจออกไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนอะไร นั่นแสดงว่าชีวิตปกติ ชีวิตสมบูรณ์ และชีวิต ก็ซ้ำซากอยู่อย่างนั้นแหละ ผู้ที่ซ้ำซากได้สูงสุดแล้วก็ปกติสมบูรณ์ ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อนอะไร ผู้นั้นก็สบาย ผู้ที่ซ้ำซากหมุนเวียนอยู่ได้อย่างนั้นและสบายแล้ว

ชีวิตจริงๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านสอนเรา ท่านให้รู้ว่าชีวิตกับไม่มีชีวิต ไม่มีชีวิต ท่านก็ว่า ไม่มีชีวิต ก็คล้ายกับปรินิพพาน มีชีวิตอยู่ก็อยู่ให้เจริญ เมื่อมันยังมีสังสารวัฏ ก็เป็น สังสารวัฏ ที่หมุนเวียนอยู่ มีเกิดก็เกิดให้เจริญ เพราะฉะนั้น หายใจเข้า ก็ต้องพยายาม เป็นผู้ที่หายใจเข้าอย่างมีประโยชน์ อย่างมีความเจริญ ประโยชน์ตน ประโยชน์ตนจริงๆ และอาตมาก็ย่นย่อให้ฟังแล้ว ประโยชน์จริงๆ มันก็คือประโยชน์ผู้อื่น จะเป็นอันเดียวกัน เมื่อเราละตัวตนได้หมด เพราะฉะนั้น จะมีชีวิต ก็คือกลไก เราเหมือน เครื่องกลวิเศษ อยู่ตรงที่ว่าเรามีปัญญา เป็นผู้ขับเคลื่อน ปัญญาตัวนี้เป็นปัญญาอันสูงสุด ปัญญา ปราศจากตัวตน ปัญญาของตัวญาณ วิมุตติญาณทัสสนะ เป็นญาณสุดยอดแล้ว ผู้มีวิชชา ๙ แล้ว เป็นวิชชาหรือเป็นญาณ หรือเป็นความรู้ แล้วมีชีวิตอยู่อย่างรู้ๆ สิ่งแวดล้อมพร้อม เรียกว่ากาโย รู้องค์ประกอบ เรียกว่ากาย กาโย รู้องค์ประชุม ทั้งนอก ประชุมกันอยู่ทั้งนอกและใน และเราก็ได้ ฝึกมาแล้ว เป็นผู้รู้จักความรู้สึกของตนเอง จนฆ่ากิเลส ในความรู้สึกของตนเอง คือ ในเวทนา วิเคราะห์วิจัยจากเวทนา ตั้งแต่เวทนา ๒ เวทนา ๓ เวทนา ๕ เวทนา ๖ เวทนา ๑๘ เวทนา ๓๖ เวทนา ๑๐๘ วิจัยวิเคราะห์ จนรู้กิเลส ตัณหา อุปาทาน จนหมดอุปาทาน

มีชีวิตอยู่อย่างสมาทาน รู้จักจิตใจ โดยเฉพาะจิตใจ ของตนเอง นี่ รู้รอบ รู้แจ้งในจิตใจ หรือ จิตวิญญาณแล้วว่า มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ใช่ ตัวตน อะไร มันเป็นองค์ประกอบด้วย เหตุปัจจัย มีชีวิตอยู่ ก็มีแต่จะเครื่องกล แล้วก็ใช้ญาณ หรือ วิชชาที่วิเศษนั้น สั่งการ ให้มันอยู่กับสังคมเขา โดยรับใช้ หรือโดยมีประโยชน์คุณค่า ไม่ เพื่อตัวเพื่อตนอะไรอีกเลย เป็นพระอาริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า รู้จักกาย รู้จักเวทนา รู้จักจิตตนเองดีแล้ว จิตตนเอง มีกิเลสอะไรอย่างไร ก็เข้าใจจนกระทั่ง อาสวักขยญาณ รู้จักอนุตรจิต จิตเป็นสมาหิตจิต จิตเป็นวิมุติจิต จิตเป็นจิตอยู่เหนือ โลก โลกุตรจิต โลกุตรจิตก็เป็นจิต อนุตรจิต เป็นจิตที่เป็น สมาหิตจิต เป็นจิตที่เป็น วิมุติจิต เป็นจิตที่มั่นคง ตั้งมั่น มั่นคงชนิดที่ว่า เป็นจิตที่แข็งแรง เป็นจิตที่ทำประโยชน์คุณค่า ตามสถานภาพของพระอรหันต์ แต่ละองค์ๆ แล้วจิต ก็วิมุติหลุดพ้นอยู่ ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ท่านเอง ท่านใช้จิตนี่ให้ยึดเป็นสมาทาน ให้รู้จักกาละ รู้จัก ความพอเหมาะพอดี ความควร ทำให้พอเหมาะพอดี นิวรณ์นั่นไม่มีแล้ว อายตนะก็ยังเหลืออยู่ ขันธ์ ๕ ยังเหลืออยู่ อายตนะยังเหลืออยู่ ก็รู้จักขันธ์ ๕ สักแต่ว่าขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มันก็ทำหน้าที่ขันธ์ ๕ ของมัน ไม่มีอุปาทานในขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ก็สักว่าอายตนะ ๖ มันสัมผัส มีอายตนะก็มีเหมือนคนทุกๆ คน มีอายตนะนอก อายตนะใน มีวิญญาณอยู่ มีผัสสะอยู่ มีเวทนาอยู่ ก็เป็นขันธ์ธรรมดา เป็นเวทนาก็รู้แล้ว เป็นขันธ์

แม้ที่สุดท่านจะใช้สัญญาอย่างมากคือการกำหนดรู้ แล้วก็การกำหนดในปัจจุบัน การกำหนดรู้ ไปถึงอดีตเท่าไหร่ก็แล้วแต่ จะมีญาณ อนาคตังสญาณกำหนดรู้ไป ในอนาคต ก็เป็นเรื่องของท่านที่จะรู้ มีญาณรู้ ก็ใช้การกำหนดสัญญานี่แหละเป็นหลัก ความรู้สึกของท่านก็รู้สึกของท่าน มีฐานอุเบกขา เป็นตัวอาศัย อุเบกขาเวทนา และ ไม่ใช่อุเบกขาเวทนา อย่างเคหสิตอุเบกขาด้วย เมื่อวานนี้เห็นท่าน สรณีโย อธิบาย เคหสิตอุเบกขา มันยังไม่ครบ เคหสิตอุเบกขานั้น เป็นอุเบกขา คือการวางเฉยชนิดที่ มันเฉยโดยไม่มีญาณ เฉยอย่างปุถุชน เฉยอย่างไม่มีญาณเฉพาะอย่างไม่มีปัญญานะ เฉยอย่างไม่รู้ ไม่รู้ตัว ไม่รู้เรื่อง มันเป็นอัตโนมัติ มันเป็นธรรมดาของปุถุชน มันมีวาระที่เฉย อุเบกขาของ ปุถุชน หรือ เคหสิตะ คือมันไม่มีองค์ประกอบของมรรค เป็นอุเบกขาที่มันเฉย โดยไม่มี ตัวภาวะของ มีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ หรือว่า ไม่มีองค์ประกอบของ โพธิปักขิยธรรม ๔ หลักแรกนะ ไม่มีสติปัฏฐาน ๔ ไม่มีสัมมัปปธาน หรือ ไม่มีอิทธิบาท ๔ มันปล่อยปละ ละเลยไป

แม้แต่พวกเรา นักปฏิบัติธรรมนี่ มันก็มีวาระ ที่จะลืม วาระที่จะทำให้ตัวเองปล่อย มันอุเบกขา เคหสิตะ นั่นแหละ ในช่วงที่ไม่มีโพชฌงค์ ๗ ประกอบ ร่วมกับเวลามีชีวิตอยู่ ธรรมดานี่ ไม่มีโพชฌงค์ ๗ เมื่อไม่มี โพชฌงค์ ๗ มันก็มีการคิด มีการพูด มีการงาน มีการทำอาชีพอะไรอยู่มันก็มี แต่ว่าสติมันไม่เป็น สัมมาสติ หรือไม่เป็นสติสัมโพชฌงค์ ความพยายาม มันไม่เป็นสัมมาวายามะ หรือมันไม่เป็น วิริยสัมโพชฌงค์ ทิฐิแม้จะเป็น สัมมาทิฐิ แต่มันไม่มีกำลังที่ห้อมล้อม สติไม่เป็นสัมมาสติ วายามะ ไม่เป็นสัมมาวายามะ หรือสติ คุณสามารถทำให้เป็นสติแห่งการตรัสรู้ได้แล้ว แต่ในขณะนั้น คุณเผลอไป สติของคุณ ไม่ได้ตั้งอยู่ในลักษณะของ สติสัมโพชฌงค์ สติไม่มีการรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่มีการปฏิบัติ ที่มีโพชฌงค์เข้าไปประกอบ หรือไม่มีโพธิปักขิยธรรม ๔ หลัก ๔ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ มันไม่มีพร้อม มันไม่เกิดวงจรจักรกล ของการปฏิบัติธรรม ในระดับ สัมมาอริยมรรค คือกลไกที่มันจะขัดเกลา กลไกที่เดิน ในมรรค

เดินในมรรค หมายความว่า มันมีโพชฌงค์เข้าไปร่วมกับมรรค คิดก็รู้ตัวได้วิจัย พูดก็รู้ตัวได้วิจัย ทำงานทำการกระทำกายกรรม ทำอะไรอยู่ทั้งหมด กรรมทุกกรรม เราได้วิจัย งานทุกงาน อาชีพทุกอาชีพ ที่เรากำลังทำ ในปัจจุบันนั้นๆ วิปัสสนานี่ มีเงื่อนไขหลักอันหนึ่งก็คือ ในขณะปัจจุบันนั้น เรามี องค์ประกอบของโพชฌงค์ หรือ มีองค์ประกอบของโพธิปักขิยธรรม มีเดินบทอยู่ ติดเครื่องอยู่ ไม่ใช่ว่า ลืมไป เครื่องดับ หรือว่า มันตกหล่นไป เผลอไปเป็นแบบปุถุชน เป็นโมฆบุรุษชั่วคราว ไม่ได้สังวร ไม่ได้ปหาน ไม่ได้ต่อสู้กิเลส ไม่ได้รู้กิเลส ปล่อยให้กิเลสทำงานชั่วขณะ ถ้าคุณรู้ตัว มีสติสัมโพชฌงค์ รู้ตัวในขณะนั่นนะ แล้วก็ได้วิจัย มีมุทุภูตธาตุ ทำงานอย่างรู้นอกรู้ใน รู้อายตนะนอก รู้อายนะใน มีวิญญาณ มีผัสสะ จับเวทนารู้ ขยาย รู้องค์ประกอบ นอกในขยายรู้ เอามาวิจัยหมดแหละ มันสมควร หรือไม่สมควร กิเลสเกิดอาการ เกิดกิเลส ประกอบอยู่ในเวทนานั้นอย่างไร แล้วก็ต่อสู้ แม้คุณกำลัง จะต่อสู้ แพ้มัน คุณก็ยังเป็น ผู้ที่กำลังเดินโพชฌงค์อยู่ แต่ว่าแพ้ แพ้ได้ กิเลสมันเก่งกว่า ก็รู้ตัวว่า เราเองเราแพ้ ก็ต้องพยายามต่อสู้ พยายามใช้ทั้งสมถภาวนา ทั้งวิปัสสนาภาวนา พยายามจริงๆ คุณได้สู้ เป็นนักรบในขณะที่คุณเป็นนักรบอยู่นั่นแหละ คุณกำลังเดินทาง อาจจะถอยหลัง เดินหน้าๆ แต่อยู่ในมรรค กำลังเป็นนักรบต่อสู้เลย

ถ้าคุณยิ่งชนะกิเลส รบชนะ กิเลสลดลง จางคลายได้ เดินหน้า มรรคก็ก้าวหน้าขึ้นไป อยู่ในทาง เดินหน้าไปเรื่อยๆ นั่นก็ยิ่งได้ประโยชน์ได้ผลของเรา ก็คือเดินมรรค ไปเรื่อยๆ จนกว่า จะถึงแต่ละรอบๆ หรือแต่ละสถานี คล้ายๆอย่างนั้น แต่ละรอบๆ กำลังก็ทดไป เรื่อยๆ จะมีกำลังทดไปเรื่อยๆ ได้กำลัง ได้ซับซ้อน เดินหน้าถอยหลังซับซ้อน จนกระทั่ง เดินหน้าขึ้นไปเรื่อยๆ ไปได้ขีดจะเป็นรอบๆ คือปริมาณ ของคุณภาพ ของธรรมะ ปริมาณ ของเนื้อหา ของธรรมะที่เราได้ มันก็เหมือนกันกับนักช่างกล นักคิด ช่างกลเขาคิดเครื่องกล มันได้รอบของมันๆ ไปเรื่อยๆ เขาจะรู้ว่า รอบการทดนี้มันจะ ทดเป็นรอบๆ ไป และมันจะมี พลังเสริม มันก็คือการเสริมความตั้งมั่น ความยั่งยืน ความแข็งแรง มันเป็นธรรมชาติ ของพลัง ซึ่งทางด้านช่างกลนักวิทยาศาสตร์อะไร พวกนี้ เขาก็จะรู้ดี พวกเราก็คงพอมี ความรู้ มันมีรอบของมันอย่างนั้นจริงๆ เพราะผู้ใดปฏิบัติ อยู่ในหลัก โพธิปักขิยธรรม ในหลักโพชฌงค์ ทุกเวลาปฏิบัติมรรคองค์ ๘ บอกแล้วว่า ตัวสำคัญก็คือ เรียนรู้ทิฐิ เรียนรู้ความเข้าใจ เรียนรู้ จนกระทั่ง เราเห็นแล้ว ว่า เออ อย่างนี้แหละ เป็นความเห็น ที่ถูกต้อง

เสร็จแล้วเราก็พากเพียรปฏิบัติเรื่อยไป มีวายามะ มีสติประกอบ เป็นตัวประกอบกัน ปฏิบัติ สั่งสมลงไป ตัวปฏิบัติก็อยู่ที่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะนี่แหละ บทปฏิบัติ สั่งสมลงเป็นสัมมาสมาธิ ก็คือ รอบที่ได้ไปเรื่อยๆ สั่งสมความตั้งมั่นแข็งแรง เป็นสัมมาสมาธิ รอบที่มันยังไม่เป็นสมาธิ มันก็สั่งสม พลังอินทรีย์พละๆ ไปเรื่อยๆ จนได้รอบ แต่ละรอบๆๆ มันก็เป็นสมาธิไปเรื่อยๆ สมาธิก็แก่กล้าขึ้นมา เรื่อยๆ เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโส อภิโรปนา ไป รอบแล้วรอบเล่า เรื่องแล้วเรื่องเล่า เหตุปัจจัยแล้ว เหตุปัจจัยเล่า ได้สั่งสมไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในช่วงที่อาตมาว่า ช่วงใดที่เราเผลอ ช่วงที่เผลอ ดังที่อธิบายไปนั่นแหละ เป็นช่วงที่เราขาดทุน ช่วงที่เราฝึกเพียร ให้มันมี องค์แห่งมรรค ให้มันมี บทแห่งโพชฌงค์ เดินโพชฌงค์แห่งการเดินไปสู่นิพพาน ไปสู่ปรินิพพาน สู่จุดหมายปลายทาง ไปสู่การถอนอาสวะ ไปสู่ความสมบูรณ์ของ ความเป็นมนุษย์ โพชฌงค์จึงเป็นตัวเดินแท้เลย ถ้าปฏิบัติ ถูกต้อง มีองค์ประกอบของ โพชฌงค์ ๓ ได้โพชฌงค์ ๔ โพชฌงค์ ๕ โพชฌงค์ ๖ สั่งสมลงเป็น โพชฌงค์ ๗ มันซ้อนใน สัมโพชฌงค์ สมาธิสัมโพชฌงค์ แล้วลึกเข้าไปใน สมาธิสัมโพชฌงค์นั้น สั่งสมลงเป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นฐานนิพพาน

ที่อาตมาว่าเป็นฐานนิพพาน อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็น เนกขัมมสิตอุเบกขา จนถึงเนกขัมมสิตโสมนัส คือคุณปฏิบัติได้ผล ในขณะที่คุณปฏิบัติมันยังไม่ได้ผล เป็นเนกขัมมสิตโทมนัส ยังสู้อยู่ บางทีมันแพ้ มันก็โทมนัส แต่เนกขัมมะในขณะนั้น คุณกำลังปฏิบัติเนกขัมมะ สู้อยู่เป็นพระโยคาวจร มีญาณปัญญา รู้ว่าเราสู้ แพ้กิเลส ก็แล้วแต่ ถอยหลังบ้าง เดินหน้าบ้าง สู้ๆ บางทีทุกข์ร้อน บาดเจ็บ เลยนี่แน่ะ อธิบาย อย่างหนังกำลังภายใน บางทีบาดเจ็บ แต่คุณรู้ตัวว่า ปฏิบัติถูกทางอยู่ เป็น เนกขัมมสิตโทมนัส ไม่ใช่เคหสิตโทมนัส ต้องรู้ความต่าง ลิงคะ ของเคหสิตโทมนัส นั่นมันไม่รู้เรื่อง มันอยากได้ จะไปบำเรอใจตัวเอง แต่มันไม่ได้สมใจตัวเองที่จะบำเรอ และมันก็โทมนัส เคหสิตโทมนัส ต่างกันกับเนกขัมมสิตโทมนัส

เคหสิตโสมนัสก็บำเรอ พอได้สมใจก็เป็นเคหสิตโสมนัสไป ก็ต้องรู้ ก็ต่างกันกับเคหสิตะ ต่างกันกับ เนกขัมมสิตะโสมนัส ก็ต่างกัน ต่างกันอย่างไร ต้องรู้อาการในจิตใจ

แม้แต่อุเบกขาที่อาตมาหยิบเอามาอธิบายก่อน โอ ตอนนั้นเผลอไปเป็นฝ่ายค้าน ตอนที่ อุเบกขานี่ คือตัวเผลอตัว ไม่ค่อยรู้ตัว มาปฏิบัติแล้ว มาเป็นนักปฏิบัติธรรมแล้วจะรู้ มันมาเฉยแล้วเหมือนกับว่าง ที่อาตมาว่าว่างนี้แหละ ไม่ใช่ว่างอาริยะ มาถึงขั้น เคหสิตอุเบกขาแล้วนี่ ที่ท่านว่า อาตมายกตัวอย่าง ที่พุทธทาสเอามาอธิบาย ว่าแล้วก็ไป ตีขลุมว่า เราคนเรามันไม่ได้ทุกข์ตลอดกาล มันไม่ได้มีกิเลส ตลอดกาลหรอก เพราะฉะนั้น ตอนที่ไม่มีกิเลส กาลนั่นแหละ คือนิพพานชั่วคราว ตอนที่ไม่มีกิเลส นั่นแหละ ตอนจิตว่างๆ นั่นแหละ นิพพานชั่วคราว อาตมาว่านี่แหละ ท่านอธิบายตรงนี้แหละ ไม่ละเอียดพอ แล้วนี้ลึกไม่พอ เพราะท่านไม่ได้อ่านพวกจิต เจตสิกอย่างอภิธรรมนี่เท่าไหร่ ท่านก็เลย ไปเข้าใจเอาว่า ไอ้ช่วงที่ว่างๆ นั่นแหละจิตว่าง จิตไม่มีกิเลส จริงมันว่างเหมือนว่าง แต่มัน ว่างอันธพาล มันว่างเคหสิตอุเบกขา จิตมันวางเฉย จิตมันว่าง ประเด็นอย่างนี้ละเอียด ลึกซึ้ง ฟังดีๆ เรามีกันทุกคน จะต้องรู้ให้ชัด

ถ้าไม่รู้ชัดแล้วคุณจะกลายไปเป็นอย่างที่ท่านพุทธทาสที่ไปพูดอย่างนั้น เลยไปเข้าใจ อย่างท่าน พุทธทาส ตอนนั้นมันว่างอยู่แล้วนี่ หนักเข้าก็ทำให้จิตว่างนี่ประเภทแบบฤาษี ลืมๆ มันไปเลย ไอ้นี่ มันมาใช้คาถา อย่าไปยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างไม่เที่ยง ใช้ตรรกะ ทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตน ว่างสบายแล้ว เป็น synthomatic treatment เป็นการบำบัดอาการ เท่านั้น ปวดท้อง กินยาแก้ปวดเฉยๆ แต่ไม่สาวไปหาเหตุ ไม่ไล่จับตัวที่เป็นเหตุแท้ๆ นี้ให้ทัน จับได้ไล่ทัน จับตัวนั้นให้ได้ สาวไปหา radical treatment ไปหาต้นเหตุ ของตัวที่จะบำบัด คือการแก้ปัญหา คือปวดท้องนี้มันเกิดจากอะไร นี้ตามไปเหตุนี้ อ๋อตะปูเข้าไปในท้อง ๗ ตัว ต้องเอาตะปูออกให้ได้ ปวดท้องเพราะว่า กินอาหารเป็นพิษ ก็แก้อาหารเป็นพิษนั้น ปวดท้อง เพราะ เป็นแผลในลำไส้ ก็แก้รักษาแผลที่ลำไส้ ปวดท้องเพราะตัวเองนั่นแหละ ยึดมั่นถือมั่น จนกระทั่ง อัตตามากนักจนเครียดๆ แล้วก็ไปกดดันประสาท ปวดท้องเป็น psychosis เป็นโรคทางจิต ไม่ได้มีอะไร สักหน่อย จิตตัวเองทำให้ตัวเองปวดท้อง ก็ไปแก้จิต ทำไมถึงเครียด เครียดเพราะเรื่องอะไร เพราะยึดมั่น ถือมั่นมาก เครียดเพราะไม่รู้จัก ความผ่อนหนักผ่อนเบา ความควรวางควรลดนั่นๆ นี่ๆ ให้รู้จักขนาดที่พอเหมาะ พอดีอะไร ก็แล้วแต่ สาวไปหาเหตุ แล้วแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่ว่าอะไรก็ไม่เที่ยง นั่นเป็นตรรกะ เพราะฉะนั้น จะเห็นเป็นตรรกะเท่านั้น ตัวนั้นแหละเป็นฤาษีกรุง ที่ได้ คาถามาใช้เท่านั้น

ฤาษีกรุงที่ได้คาถามาใช้อย่างนี้ ไม่ทางที่จะเป็นอรหันต์หรอก อนัตตาแบบตรรกศาสตร์ มาแก้ อะไร ก็ไม่ใช่ตัวตน อะไรก็ไม่เที่ยง เป็นไตรลักษณ์อย่างตรรกศาสตร์ เป็นคาถาแก้ จริง มันแก้ได้ชั่วคราว และมันก็ใช้ได้ด้วย และเราก็ใช้ คนไหนเข้าใจ ก็ต้องใช้บ้าง เท่านั้นแหละ ชั่วคราว แต่อย่านึกว่านี้ มันถาวร มันเป็นเรื่องถึงขั้นปรมัตถ์ จับมั่นคั้นตาย ในจิตเจตสิก ไล่เลียง จับเนื้อตัวกิเลสได้ให้ชัด แล้วจนกระทั่งสามารถที่จะทำให้กิเลส ลดจาง ด้วยปัญญา ด้วยวิปัสสนาญาณ เป็นญาณที่ เห็นเหตุเห็นผล เห็นหลักฐาน ความจริงเลยว่า เอ๊ย ไปยึดมันเข้า ไปจริงจังกับมันเข้า ไปเห็นมันเป็น ตัวฤทธิ์ ตัวเดช ให้มันมามีตัวแรงอะไร อยู่ในชีวิตเรา อยู่ในจิตวิญญาณเรา เราโง่ตายเลย เห็นด้วยญาณ แล้วว่า โอ๊ ว่ามันไม่จริงจัง มันไม่ใช่ของจริงหรอก ไม่ใช่ตัวใช่ตนอะไรหรอกกิเลส เห็นมัน จนกระทั่ง ว่ามันไม่มีตัวตน มันไม่มีฤทธิ์เดช มันไม่มีอาการ มันไม่มีแรงที่จะมาทำ ปฏิกิริยา ในจิต อะไรกับเรา จนมันไม่เกิดอาการอย่างนี้ เพราะเหตุจะเหตุนอกเหตุในอะไร ก็แล้วแต่ ที่มันกระทบสัมผัส กับเรา เหตุเป็นวัตถุ เหตุเป็นกิริยาของมนุษย์ เหตุเป็นตัวคน เหตุเป็นกระแส อย่างบางทางนามธรรม มันมากระทบเราแล้วเราก็รู้เท่าทัน

แม้กระแสของสังคม กระแสของกริยามนุษย์แต่ละคน กระแสของหลายๆ คนรวมกัน กระแสความชอบ ความไม่ชอบเป็นต้น แล้วเราก็เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นองค์ประกอบ ในการวินิจฉัยเหตุผล วินิจฉัย ความพอเหมาะพอสมทุกอย่าง เสร็จแล้วเราก็ไม่ได้ เกิดจิตกิเลส จิตของเราก็ยังวางเฉย เป็นอุเบกขา ชนิดที่มีญาณปัญญาประกอบรู้เลย ว่าอุเบกขานี่ วางเฉย และแล้วเราก็หยิบเอาทุกอย่างนี้มา ไม่ปฏิเสธ ไม่ดูถูก ดูแคลนอะไร หยิบมาใช้การสังเคราะห์ มาบวกลบคูณหาร มาพิจารณาร่วม เป็นเหตุผล ครบครัน เป็นข้อมูล เหมือนคอมพิวเตอร์ที่รับข้อมูลทุกอย่าง ด้วยใจไม่ผลักไส ไม่ชังไม่ชอบ ข้อมูลเหตุ เหล่านั้น ก็มีเหตุผลทุกอย่าง ไม่ลำเอียง ไม่ผลักอันหนึ่ง ไม่ดูดอันหนึ่ง รับมา เป็นบวกลบคูณหารมา มา solve มาร่วมสังเกตการณ์บวกลบ คูณหาร มาร่วมทำเป็นข้อมูล ที่จะให้เราวินิจฉัย มันก็จะได้ค่า ที่ไม่ลำเอียง เป็นค่าที่ สมบูรณ์ครบครัน มีข้อมูลมากเท่าไร ก็ยิ่งดี จนสุดท้าย เราก็ทำงานโดยจะบวกลบ คูณหารอะไรก็ได้ แต่จิตใจก็อุเบกขา สังขารได้ จิตอุเบกขาคือปรุงร่วม ร่วมรู้ร่วมคิดร่วมเห็น ร่วมทำ ร่วมวินิจฉัยอะไร ทุกอย่าง สังขารทำงานได้เป็นวิสังขาร เป็นการปรุงอย่างวิเศษยิ่ง จิตนี้เป็น ตัวพิเศษ เป็นตัววิเศษ โดยไม่มีกิเลส ไม่มีตัวตนของกิเลส เป็นการปรุงอย่างอนัตตา

กำหนดรู้ ก็ยิ่งเก่ง สัญญาก็ยิ่งเป็นปัญญาที่ยิ่งเก่งๆ เรื่อยๆ การกำหนดรู้ ความจำก็จะดี เอาเหตุผล จากอดีต หยั่งรู้อดีตไปเรื่อยๆ ไปเป็นความรู้อย่างอดีตไปมากขึ้น เป็นบุพเพนิวาสานุสติญาณ ลึกขึ้น ยิ่งทำก็ยิ่งลึกขึ้นเรื่อยๆ จึงมีอภิญญาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พระอรหันต์เจ้า ยังทำงานอยู่เมื่อไหร่ ก็มีอภิญญา เสริม พระโพธิสัตว์เสริม อภิญญา เสริมขึ้นมา โดยสัจจะไม่มีใครไปแกล้ง ไม่มีอะไรมายัดเยียด เพราะเราฝึก เราปรือ ทุกอย่างเจริญยิ่งขึ้น เวทนาก็ยิ่งเก่ง อุเบกขาก็แข็งแรง โสมนัสก็โดยสักแต่ว่า โสมนัส ที่เคยอธิบายแล้วว่า มันเป็นมุทิตาจิต เป็นการเข้าถึงอนุโมทนาในระดับบุญชั้นสูง บุญของ อริยะ เป็นปัตตานุโมทนามัยของอริยะ เป็นการเข้าถึงความยินดี ปัตตานุโมทนามัย ยินดีที่ได้ดี ที่เห็นความเป็นเทวดาชั้นสูง จิตของเรานี้แหละ เจริญ เป็นเทวดาชั้นสูงขึ้นไปเรื่อยๆ หรือยินดีในบุญ เมื่อท่านละกิเลสของท่านหมด ท่านก็มีแต่ จะไปขัดเกลา

บุญนี่คือการขัดเกลา ขัดเกลาให้ผู้อื่น ท่านก็ยิ่งรู้ว่าทำอย่างนี้ช่วยผู้อื่นได้ ขัดเกลา รื้อขนสัตว์ได้ ช่วยผู้อื่น เจริญขึ้นได้ ทำให้ผู้อื่น เป็นเทวดาที่แท้จริง เป็นอุบัติเทพขึ้นไปได้ จนเป็นวิสุทธิเทพ ช่วยผู้อื่น เป็นอุบัติเทพ ช่วยผู้อื่นเป็นวิสุทธิเทพขึ้นได้ ก็รู้ว่าดี ยินดีที่เขา ได้ดี มุทิตาจิตเกิด หรือเข้าถึง ปัตตานุโมทนามัยของพระอริยะ หรือเป็นพระอรหันต์ โน่นแหละ จิตก็ยิ่งเจริญ จิตก็เจริญได้ตลอดไป สั่งสมสัพพัญญุตญาณก็ได้ เจริญขึ้นไป เรื่อยๆ มีแต่ประโยชน์ท่าน และมันก็เจริญไปตามภาวะจริงๆ เจริญไปตามที่ท่านยังมี การเกิดอยู่ ยังไม่ยอมปรินิพพาน เพราะฉะนั้น ก็ใช้ขันธ์ ๕ รู้จักขันธ์ ๕ รู้จัก อายตนะดี โพชฌงค์ก็เป็น ตัวเดินตัวก้าวไป ถ้าเราก้าวไปสู่ความเป็นอริยะแค่โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ก็ก้าวไปถึงอรหันต์

ถ้าคุณเป็นอรหันต์แล้ว คุณก้าวไปสู่สัมมาสัมพุทธะ ก้าวไปอย่างนั้นจริงๆ ก้าวเดินอยู่ โพชฌงค์นี่ ก็ยิ่งเจริญ เป็นตัวก้าวไปสู่สัมมาสัมพุทธะโน่นแหละ ก็อยู่ในลักษณะมรรคองค์ ๘ ไม่ออกเหนือไปจาก สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ตรงไหน หากเพียรประโยชน์ตน จนเป็นพระอรหันต์ จะมีแต่ ประโยชน์ท่าน จนเป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อยู่ที่สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ อยู่กับมนุษยชาติ อยู่กับกรรม ๓ อยู่กับการงาน อยู่กับอาชีพของมนุษย์ มนุษย์ไม่มีอาชีพไม่ได้ อาชีพที่จริงมันก็แปลว่าชีวิต เท่านั้นแหละ ชีพก็คือชีวิต ชีวะ ชีพะ พ.พาน กับว.แหวนนี่ ก็ตัวเดียวกัน แทนกัน ชีวะหรือชีพะ ชีพ ชีวะ อาชีวะ ก็คือชีวิต เป็นชีวิตวิศษ อาตัวนี้นี่ ย้อนไปย้อนมา อุปสรรคตัวนี้นี่ ที่นำหน้าชีวะนี่ เป็นชีวิตที่วิเศษ เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่มีชีวิตยังไม่วิเศษ ทำอะไรอยู่ในโลก เป็นอาชีพ อย่างปุถุชน อาชีพมันก็ มีแต่บาป มีแต่เวรมีแต่ภัย มีแต่ทุกข์มีแต่ร้อน ยิ่งไม่รู้เอาหนักๆ โง่หนักๆ โง่ก็คือ อวิชชาหนักๆ ก็ยิ่งมีแต่เวรแต่ภัยแต่บาป เขาสอนว่าให้รู้จักบุญบ้างเถอะ สั่งสมไป ก็ไม่แน่ ไม่ชัด จนมาพบศาสนาพุทธ รู้ชัดว่าอย่างนี้แหละละล้าง นี่เป็นตัวเวรตัวหมุนเวียน ตัวที่ไม่รู้จักจบ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณรู้ว่าอย่างนี้เป็นแย่แล้วนะนี่ การหมุนเวียนที่ต่ำที่สุด คือ อบายมุข หรือโลกอบาย โลกนรกอย่างนี้ ฌานเหล่านี้มันลึก

อาตมาเคยเมาเหล้าถึงขนาดอาเจียน เดินก็นึกว่า เราเดินตรงนะ ตอนเมานี่นึกว่า เราเดินตรง ทั้งนั้นแหละ ไอ้จะตรงหรือไม่ตรง ไม่รู้ละขับรถได้ ขนาดขับมอเตอร์ไซค์ นี่เมา กินมาด้วยกันกับเพื่อนนี้ สมจินต์ ธรรมทัต นี่นั่งหวดด้วยกันนี่ Hennessy หนึ่งขวด โซดา ขวดเดียวๆ ไม่เติมโซดาอีก ตบตูดกัน อย่างธรรมดา มาเน้นน้อยก็ค่อยๆ ล้างคอด้วย โซดา Hennessy ขวดหนึ่งหมดสองคน สั่งแม่โขงมาอีก ครึ่งขวด โซดาขวดเดียวนั่นแหละ ตบตูด คิดดูซิ มันจะไม่เมาทนไหวหรือ สองคนน่ะ Hennessy หนึ่งขวดกับแม่โขงอีกครึ่งขวด ขับมอเตอร์ไซค์อยู่ตอนนั้น อาตมาก็เอาสมจินต์ใส่ท้ายรถ ไปส่งบ้านเขา สมจินต์ฟุบ อยู่หลังท้ายรถ ไม่ตกลงรถก็บุญแล้ว ซ้อนรถไปก็เอาไปส่งขึ้นบ้าน ต้องหามกันขึ้นบ้าน เมียก็ลงมารับ ก็หามกันขึ้นบ้านให้เขาเสร็จ อาตมาก็ขับมอเตอร์ไซค์กลับบ้าน เคยเมา ขนาดหนักไหนๆ อาตมาก็เคยเมา

คนอื่นเขาก็เมาจนไม่รู้ตัวหมดสติ คือคุมสติทำอะไรไม่ได้ อาตมาก็ยังขับมอเตอร์ไซค์ได้ ขับรถยนต์นี่ สี่ล้อนะคุณ ขับมอเตอร์ไซค์นี่สองล้อ ตั้งแต่ไหนๆมา แม้แต่ไปเล่นไสยศาสตร์ ทรงเจ้า เข้าผีอะไร กะเขานี่นะ มันไม่หมดสติ มันยังมีสติรู้ตัวอยู่ว่าเรา เราคือเรา เราคือเรา เรายังเป็นเราอยู่นะ เรายังเป็น ตัวเราอยู่ ยังมีสติเหลือ ยังไม่เคยขาดสติจนกระทั่ง ดับไม่รู้เรื่อง ไม่เป็นเราเลย ไม่เคยเลย เมาก็ไม่เคย หมดสติ ไปเข้าทรงก็ไม่เคยหมดสติ ไปถามซิ คนเข้าทรงนี่ เขาไม่รู้ตัวหรอก ไม่รู้เรื่องเลย แสดงว่า มันเข้ามาสิงมาสู่หมดเลย ไม่รู้เรื่อง ไอ้เราก็อยากเป็นอย่างนั้นตอนเข้าทรงนี่ อยากจะหมดไม่รู้เรื่องเลย แต่มันก็ ไม่หมด มันก็ยังมีนิดๆ ลำๆ เลืองๆ ลึกๆที่ตัวเรา เราก็รู้ตัวเราอยู่ แต่ก็ไปกับมันนะ ไปตาม บทบาทของมัน เป็นยังไงไป มีพลังอะไรที่มันจะไปอย่างโลกๆ ไปกับมันอยู่ทุกอย่างได้ แต่มันก็ยังรู้ว่า มีเรา นี่มันก็เป็นบารมีอาตมา

อาตมาไม่รู้ แต่ก่อนไม่รู้ แต่ก่อนนี่นึกน้อยใจว่า เอ๊ เราทำไมเราไม่หมดความรู้ตัว ทำไมเราไม่หมด ความเป็นเราเลย แต่ตอนนั้นเราไม่ได้เรียนธรรมะ ไม่ได้รู้ความเป็นเรา ความไม่เป็นเรา อะไรหรอก ไม่รู้เรื่อง ทำไมเราจึงไม่เหมือนเขา เขาบอกว่าเขาเข้าทรงสนิท เทพเข้าสิงสนิท เทวดาเข้าสิงสนิทหมด ไม่มีเหลือเรา เพราะไม่รู้ตัวเลย เราเอ๊ ทำไม เรายังรู้ตัว ว้า นึกว่าเราไม่เก่งอีกนะ เดี๋ยวนี้ถึงรู้ตัวว่า พวกนั้นมันไม่เป็นตัวของตัวเอง มันโมหะ ไอ้เรามันหมดโมหะแล้ว มันก็มีเรา มันก็มีอะไรที่แข็งแรง อยู่อย่างนั้น เหมือนอย่าง สิกขมาตจินดาว่า โอ๋ย เราก็น้อยใจนะ ไปนั่งเจโตสมถะกับธรรมกายเขา ทำไมน่ะ เราไม่เห็น ไอ้ดวงแก้วสักที นั่ง แหม น้อยใจ เราไม่เห็นดวงแก้ว เสร็จแล้วก็มาที่นี่ ก็มา ปฏิบัติธรรม ไปก็ดีแล้วล่ะ ก็ดีแล้วละ คุณไม่ถูกเขามอมเมาได้ เขาครอบงำคุณไม่ติด นั่งไม่เห็น ดวงแก้วก็ดีแล้ว ถ้าเห็นดวงแก้วป่านนี้ไม่ได้มาที่นี่ แล้ว ถูกเขาครอบงำ ไปทางโน้นแล้วนี่ เห็นโสดาในดวงแก้ว เห็นสกิทาในดวงแก้ว เห็นธรรมกาย ป่านนี้เป็น พระอรหันต์ไปแล้วมั้ง เห็นธรรมกายในดวงแก้วเป็นอรหันต์ นี่ธรรมกายของโสดา ธรรมกายของสกิทา ธรรมกายของอนาคา ธรรมกายของอรหันต์ ก็จบแล้วนี่ พอเห็น ธรรมกาย ในอรหันต์ ดวงแก้วมันก็เป็นพระอรหันต์ไปแล้ว ก็เป็นพระอรหันต์กันไป ดีแล้วละ ไม่ได้อรหันต์ในดวงแก้ว ไอ้นี่ก็เป็นทางจิตวิญญาณ

อาตมาพูดไปใครเข้าใจก็เข้าใจไปก่อน ใครยังไม่เข้าใจก็อย่าเพิ่งเอาไปพูดเล่น อย่าไปคิด เทียบค่าโน่น ค่านี่ มันจะกลับไปกลับมาหัวหกก้นขวิดอยู่ ไม่ใช่เรื่องเล่น มันเรื่องลึกซึ้ง พูดเล่าสู่ฟัง

เอาทีนี้กลับมาถึงตัวเมื่อกี้นี้ พูดถึงอุเบกขาที่ขึ้นต้นว่าอุเบกขา อย่างเคหสิตะนั่นน่ะ มันเป็นอุเบกขา ของโลกีย์ที่มันวางเฉยชนิดที่คุณต้องรู้เลยว่า ในขณะนั้นเฉยนั่น มันไม่ใช่ เฉยธรรมดา มันต่างกันกับ เนกขัมมสิตอุเบกขา วางเฉยที่ตั้งแต่เป็นโทมนัส เนกขัมมสิตโทมนัส จนกระทั่ง เนกขัมมสิตโสมนัส ปฏิบัติได้แล้วเป็น ปีตีสัมโพชฌงค์ เนกขัมมสิตโสมนัส เป็นปีติสัมโพชฌงค์นั่นเอง ปฏิบัติได้ มีโพชฌงค์ ๓ ปฏิบัติได้ผลก็เป็น ปีติ มันได้ดี ซึ่งอาตมาแปลปีติตัวนี้ว่าได้ดี ถ้าใครฟังธรรมะอาตมา มาแต่ไหนๆ คงจำได้ เป็นองค์ฌาน ฌาน ๒ ปีติมันชัด มันได้ดี แต่คุณก็ต้องมีฟูใจ แต่แรกๆ ที่คุณยังไม่เก่ง คุณจะมีฟูใจ มันเป็นอุปกิเลสซ้อนให้ลดอุปกิเลสนั้น แต่ไม่ใช่ไปลดตัวได้ดี ได้ดีพยายาม สั่งสมเข้าไป ให้มันเป็นสมาธิ ให้เป็นความตั้งมั่นให้ได้คุณภาพ คุณธรรมอะไรที่ดี คุณต้อง เอาตัวดีไว้ วิเคราะห์ซ้อนไปอีก และอุปกิเลสเป็นอาการอย่างไร ดีใจ ฟูใจ หลงในความดีใจ ที่ได้ดี แต่ตัวได้ดี คือคุณภาพอย่างไร พลังงานจิตที่รู้จักเจโตปริยญาณ ในการรู้จักกิเลส รู้จักเข้าใจ วิจัยอาการของจิต สัญญาเป็นอย่างไร สังขารเป็นอย่างไร เวทนาเป็นอย่างไร เจตสิกต่างๆ เป็นอย่างไร อ่านอาการ ให้ละเอียดลออ อุปกิเลสเป็นอย่างไร วิจัยอุปกิเลส ออกมา ฆ่า ไม่ให้มันฟูใจตัวนั้น

ถ้าปีติลดอีกก็ปัสสัทธิ เป็นความสงบระงับ ปีติปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ พอสงบระงับนั้น ก็ลึกซึ้งลงไปอีก แม้แต่จะสงบระงับนั้น มันก็เหมือนอุเบกขานั่นแหละ แต่อุเบกขาขั้นนี้ ยังไม่แข็งแรงหรอก มันเป็น ความสงบระงับ เป็นความวางเฉยได้ อย่าไปติดความวางเฉย ขนาดนี้ก่อน ซ้อนลงไปอีก สั่งสมลงไป ให้แน่นหนา ให้มั่นคง เป็นสมาธิให้มันแข็งแรง นี้เป็นอุเบกขาลำลอง ปัสสัทธิตัวนี้ คุณอ่านอาการให้ได้ ฟูใจกับไม่ฟูใจเป็นอย่างไร วางเฉย แต่เจตสิกทำงานได้ดีนะ เวทนา สัญญา สังขาร ทำงานได้ดีขึ้น เรื่อยๆ คุณก็จะเก่ง เป็นอินทรีย์พละที่รู้จักเวทนา รู้จักสัญญา รู้จักใช้สัญญา จนกระทั่งรู้จักใช้สังขาร วิสังขาร หรือเป็น ปุญญาภิสังขาร ปรุงเป็น ปรุงขัดเกลาตัวเองก็เก่ง จนขัดเกลาได้ จนกระทั่ง เป็นปัสสัทธิได้

ปัสสัทธิคือจิตที่เรา อาศัยสงบระงับ แต่เป็นธาตุรู้ สงบระงับคืออะไร กิเลสนะระงับ แต่จิตเป็นธาตุรู้ มันรู้ มันยิ่งแคล่วคล่อง สังขารได้เก่งด้วยซ้ำ สัญญาก็เก่ง รู้สึกก็ได้ชัด ความจริง ตามความเป็นจริง ไม่มีกิเลส ไม่มีอุปกิเลสเข้าไปสังขารร่วมกับเวทนาเลย เพราะ เราจะเก่ง เวทนาไปจนถึง ๑๐๘ เวทนาในเวทนานี้ จะสังเกตได้ว่า สัญญา ท่านก็ไม่ได้ วิเคราะห์ซอยลึกเข้าไปถึง ๑๐๘ แต่สังขาร ไม่ต้องไปนับมันหรอก สังขารนั่น มันสังขารอะไรก็ได้ เพราะสังขารมันปรุงแต่ง เป็นโลกียะไป ๑๐๘ เลย มันนับไม่ถ้วน สังขาร มันปรุง แต่ทีนี้สังขารอย่างไรล่ะ สังขารอย่างวิสังขาร สังขารอย่างโลกียะ อย่าง เคหสิตะ สังขารอย่างโลกุตระ หรือสังขารอย่างเนกขัมมะ ทั้งสังขารอย่างพระอริยะ สังขารอย่างไร อย่างนี้เป็นต้น เราก็ปรุง สังขารอย่างโลกุตระ หรือสังขารอย่างเนกขัมมะ นี้คือสังขารอย่างแข็งแรง อย่างไม่ปรุงกิเลสเข้ามาปรุงบำเรอตนแล้ว ไม่ให้กิเลสเข้า มาร่วมสังขาร แต่ปรุง เหมือนกับแม่ครัวนี่ ปรุงอาหาร นี่เราไม่ได้เอาความชอบของ เราไปปรุงเลย

เราเอาแต่ว่า เออปรุง ตอนนี้ทำกับข้าวให้คนนี้ก่อน เรารู้จักปุคคลปโรปรัญญุตา เรารู้จักคน คนนี้ เพราะเขาชอบรสนี้ แต่ทีนี้เราปรุงกับข้าว ให้หลายคนกิน อ๋อ หลายๆ คนนี่ เขารส กลางๆ อย่างนี้ เราก็ปรุงรสกลางๆ ไม่ใช่เฉพาะบุคคล แต่ปรุงรสเหล่านั้น เราเองอุเบกขา เราเอง ไม่ติดรสเหล่านั้นแล้ว กินก็ได้ ไม่กินก็ได้รสนั้นน่ะ รสที่เราปรุงน่ะ เราปรุงให้คนอื่น เราไม่ได้เป็นเรา เราไม่ได้เอาเราเป็นหลัก เราไม่ได้เอาว่าเราชอบ และก็ไม่เอาว่าเราชัง ชังก็ ไม่มี ชอบก็ไม่มี แต่เราปรุงเพื่อเขา ปรุงเพื่อผู้อื่น อย่างนี้เป็นต้น เพราะสังขารนี้ เป็นสังขาร ที่เราใช้เผื่อผู้อื่น ฝึกไปเรื่อยๆ ปรุงเท่านี้ เราเป๋เหมือนกันแฮะ แอบเสพหน่อยๆ ก็ต้องอ่าน เหลือสิ่งที่แซมเสพ ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ คุณจะรู้ตัว นี่เราแอบเสพ มีภาวะ อยู่นิดหน่อย คุณจะต้อง มีญาณตรวจไปเรื่อยๆ อย่าเผลอไผล อย่าไปหลงว่าตัวเองกิเลสเกลี้ยงไวนัก อ่านปัสสัทธิ อ่านจิต สงบ หรืออุเบกขาช่วงนี้ไป สั่งสมลงเป็นสมาธิๆ จนมีภาคปฏิบัติ ที่มีปัจจัย มีสัมผัสเป็นปัจจัย มีอายตนะ ๖ มีองค์ประกอบยิ่งแข็งแรงๆ โจทย์ยิ่งหนักๆ โจทย์ยิ่งแรง คุณก็มี ประโยชน์ต่อผู้อื่นเรื่อยไป สั่งสมความเป็นประโยชน์สมาหิตจิต ก็จะแข็งแรงเรื่อยๆ

สมาธิตัวนี้สั่งสมขึ้นมาเป็นสมาหิตจิตเรื่อยๆๆ มันก็ซ้อนใน เป็น อุเบกขาสัมโพชฌงค์ๆ ๆ ตัวเพ่งๆ ขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นอุเบกขาสัมโพชฌงค์ เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา เป็นอุเบกขา ที่วางเฉย ยิ่งเฉยๆ ยิ่งแข็งแรง ยิ่งตั้งมั่น ยิ่งโลกวิทู ยิ่งรู้เท่าทันโลก ยิ่งกระทบสัมผัส ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ ยิ่งสัมผัส กับโลกธรรมที่จัดจ้าน โลกธรรม ที่นรกลึก สวรรค์จัดจ้าน เราก็สามารถเป็นพระมาลัย ลงไป โปรดสัตว์ได้ แข็งแรงได้ นรกร้อนเท่าไหร่ ก็สามารถเข้าไปช่วยมนุษย์ที่ในโลก หรือ โลกียะต่ำๆๆ เท่าไหร่ก็ได้ เพราะมีอิทธิวิธี มโนมยิทธิเก่ง อิทธิวิธีเก่ง กิเลสกองเท่าภูเขา ก็เดินทะลุ เหมือนเดิน ในที่ว่าง อุเบกขา กิเลสของโลกหนาขนาดไหนก็เดินเหมือนทะลุ กำแพง เดินเหมือนทะลุ ภูเขาได้เก่ง ภูเขาโตยิ่งขึ้นๆๆ ยิ่งเป็นผู้มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชยิ่งขึ้น เข้าไปช่วยคนอื่นได้ มากขึ้น จึงเป็นผู้รื้อขนสัตว์

นี่อาตมาอธิบาย เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ พวกคุณยังไม่ถึงโพธิสัตว์ คุณก็ฟังไว้ เป็นเหตุผลที่ชัดเจน อิทธิวิธีก็จะเป็นอย่างนั้น ลงไปในแดนโลกียะนั่นเอง หรือนรกจริงๆ นั่นแหละ นรกก็อยู่ในโลกียะ นี่แหละ เข้าไปช่วยคนตกนรกได้มากขึ้น รื้อขนสัตว์ได้มากขึ้น เพราะเราแข็งแรง คุณก็สั่งสมตัวคุณได้ โสดา สกิทา อนาคา ซ้อนไป อาตมาก็ไม่ได้พาคุณ ออกหน้าไปทีเดียวหรอก อาตมาก็พาคุณทำ โดยเฉพาะ หมู่เรานี่นะ ทุกวันนี้เราก็เป็นกลุ่ม เป็นก้อนขึ้นมา และก็พวกเรากันเองนี่แหละ เป็นตัวโจทย์ ให้พวกเรากันเอง ตราบใด ที่คุณไม่เลิกกัดกัน ใช้สำนวนหยาบๆ หน่อย กระทบสัมผัสกันแล้ว ก็ถือสา กันอยู่ บางคนนี่ ยังไม่มองหน้ากัน บางคนนี่ เฮ้ย เหม็นขี้หน้ามัน คุณมาชังกันทำไม พี่น้องกันทั้งนั้น ภราดรภาพ ก็อยู่ที่จิตเรานี่แหละ มีกิเลส เราจะชังจะชอบก็อยู่ที่เรา ประชดกันแดกดันกัน มันก็เป็น บทฝึกหัดทั้งนั้นแหละ เป็นโจทย์ทั้งนั้นแหละ โจทย์ของการปฏิบัติธรรมนี่ มากมาย กระแทกกัน อย่างแรงบ้าง กระแทกกันอย่างเบาบ้าง

พวกเราไม่เหมือนชาวโลก หยาบๆ เขาหรอก ชังกันก็ด่ากันหยาบๆ เหมือนปากตลาด ดีไม่ดีก็ทุบกัน ข่วนกัน เราไม่หรอก ลีลาเหลือร้ายละ พูดเหน็บพูดแนมกับปากหอก ประชดกัน บางทีก็สอนกัน แหละนะ แล้วแต่ใครจะมีลีลา สอนอย่างไร บางคนก็สอนอย่าง หยาบๆ หยาบของหยาบ อย่างพวกเรา ด้วยนะ มันก็ไม่เหมือนปากตลาดว่ากันประชดกัน อย่างโน้น อย่างนี้กันนะ มันยังมีอารมณ์ชังๆ อยู่นี่ มันจะรู้ตัวเลยว่ามันหยาบชนิดนั้น ชนิดนี้ รู้สึกตัวเมื่อไหร่ ไม่เป็นการหลุดหลง โพชฌงค์ไม่หลุดไป จากตัว เมื่อนั้นก็ ถ้าจะสอนเขา ก็ชักดีหน่อย เผลอตัวเมื่อไหร่ กิเลสเข้าไปปรุงร่วมในการที่จะสอนเขา ผีเข้า เพราะฉะนั้น การสอนเขาด้วยท่าที ลีลา จะเป็นกายกรรม วจีกรรม หรือแม้สายหูสายตา ก็ตาม มันไม่ค่อยรู้ตัว แต่คนอื่น เห็น ไอ้นี่จะด่าคนนี่ดูมันด่าอย่างนั้นนะ ไอ้นี่จะว่าคนนี่ พวกเรานี่แหละ ถ้าคนอื่นเข้ามามีสติดี โอ๊ เสร็จแล้วยอมเขา แล้วพวกเราไม่ยอมกัน อย่างนี้ เป็นต้น มันก็ซัดกันไป ซัดกันมา

พวกเรานี่แหละ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี อยู่ร่วมกันสหายนี่ สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีโจทย์ ของพวกเรากันเองนี่แหละจะลึกซึ้ง แนบเนียนขึ้น ผู้ดีขึ้น จะไปเอาคนข้างนอก มาเป็นโจทย์ให้เรา ก็มีเหมือนกัน แต่โจทย์อีกอย่างหนึ่งซับซ้อนเหมือนกัน บางทีทำให้เรา เป็นผู้ดี ได้เหมือนกันข้างนอกนะ เพราะเขาถือสามาก บางทีนี่เราต้องทำเป็นผู้ดีมากๆ บางคน ถือจัดมาเห็นเรา ตัวเขาเองนั่น มันไม่ได้ เป็นผู้ดีเลยนะ เขาถือของเขา เพราะเขาตั้งค่าของเรามาสูง เพราะเราต้องผู้ดีเปี๊ยะ อย่างนี้เลยนะ เพราะเราจะหยาบนิด หยาบหน่อย นี่ไม่ได้หรอก โอ้โฮ อโศกนี่ มันร้าย ทั้งๆ ที่บางทีไม่ได้ร้ายแรงอะไร เท่าไหร่เลย นี่คนตั้งค่า มาอย่างนี้ก็มี บางคนนี่มาเจอ พวกเราบางคนก็หยาบจริงๆ มันหยาบซ้อน บางคน มองในเรื่องของวัตถุ ธรรมดาบ้านเขานี่ บ้านเขาสะอาดนะ พอเข้ามาที่นี่โอ๋ ดูซิ ที่นี่มันรก มันไม่สะอาด ฝุ่นก็มาก แค่ฝุ่นมันก็ผู้ดี พวกอริยะอะไรฝุ่นก็มี เฮอะ บางที เขาเข้าส้วมพวกเรา ดูซิส้วมมันก็ไม่สะอาดเลย บางทีเขาไม่เข้าด้วยซ้ำ นั่งอยู่ข้างนอก นี่แหละ พวกนี้ ปฏิบัติธรรมอย่างไร เปิดน้ำแรง ก็จริงอีก พวกเราบางคนนี่ฟุ่มเฟือย อีกหน่อยนี่ น้ำจะต้องจำกัดการใช้กันแล้ว

ก็พวกเรานี่แหละ จะเป็นโจทย์แก่กันและกัน อย่างจริง ให้เรียนรู้ให้ละเอียดลออเถอะ พวกเรานี่ มีบุญคุณต่อกัน ไม่ได้เป็นพี่น้องกันแต่ชาตินี้หรอกนะ มันเป็นพี่น้องกัน ก็คือ เป็นคู่ต่อสู้ กันมานั่นแหละ ก็มาเป็นพี่น้อง มันซัดกันมาไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว จนกระทั่ง ซัดกัน มาเป็นพี่น้องนี่แหละซัดกัน ซัดกันตามอย่างพี่น้องนี่แหละ จวกกันไป จวกกันมา ซัดกันไป ซัดกันมา เพราะฉะนั้น ตั้งจิตไว้ให้ดี ตั้งจิตไว้ให้ตรง มนสิการไว้ให้ดี ถ้าตั้งจิตไว้ชอบ เราก็จะเออแข็งแรงต่อกัน พวกกันเองนี่ทะเลาะกันเอง จนเราจะตกล่วงนี่ เราโง่ตายเลย พวกเรากันเองแท้ๆ พี่น้องกันเองแท้ๆ แล้วก็ชังกันเหมือนกะครอบครัว ข้างนอก มีพี่น้องกันแล้วก็ชังกัน ไม่ดูดำดูดีกัน กลายเป็นเงินคนละกระเป๋ากัน กลายเป็น คนละชีวิต กลายไปเป็นคนเหมือนไม่ใช่ญาติกัน ไม่เผาผีกันอะไรกันนี่ คิดดูซิ มันร้ายแรงไหม ลูกพ่อเดียว แม่เดียวกันโกรธกัน หรือว่า ลูกไม่เผาผีพ่อแม่ พ่อแม่ไม่เผา ผีลูก อะไรนี่ มันคล้ายๆ อย่างนั้น มันเลวร้ายนะ พวกเราก็เหมือนพี่น้องกัน ไม่ใช่เหมือนน่ะ มันเป็นพี่น้องกันมา แต่อาตมาไม่อยากจะพูด อะไร มันเรื่องอจินไตยให้มันวุ่นวาย มันมาอยู่ ร่วมกันได้อย่างนี้ มันเป็นพี่เป็นน้อง แล้วระดับโลกุตระ เรามาเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน พยายามตั้งใจดีๆ พวกนี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่เรานะ เออ เขาอย่างนี้ จัดตั้งใจพิจารณา ให้ดีๆ นะ เออ อย่างนี้ เขาให้ประโยชน์แก่เรา

เราก็เหมือนกัน บางทีผีเข้าเราก็ให้ประโยชน์แก่คนอื่น เป็นโจทย์ให้คนอื่น เขาผีเข้าบ้าง เขาก็เป็นโจทย์ ให้แก่เรา บางคนไม่ผีเข้าหรอก ตั้งใจเลย เจตนาเรารู้ใจเขา เขาเจตนา จะทำโจทย์ให้แก่เราอย่างนี้ เหมือนอย่าง อาตมานี่ คุณรู้หรือว่า อาตมาตั้งใจ จะให้โจทย์ แก่คุณอย่างนี้ ทำไมนะ ทีกับเราดุจังเลย ทีกะคนนั้นทำไมเอาใจจังเลย จริงๆ แล้วคนที่ เอาใจด้วยมากๆ นั้นนะ ไม่ดีเท่าไหร่หรอก คนโดนดุมากๆ นั่นน่ะเหมือนกระทบแข็งแรงนะ อาตมานี่จะหยาบก็หยาบขนาดหนึ่ง หยาบเกินนั้น อาตมา หยาบด้วยไม่ได้แล้วก็พอ เด็กดื้อ ก็ต้องหยาบมาก ก็เป็นได้ มันนัยคล้ายๆ กัน ซ้อนกัน เด็กดื้อที่สุด ก็ต้องหยาบ ขนาดนี้ คนที่จิตแข็งแรงสูงส่งก็ต้องหยาบอย่างนี้บ้างด้วยเหมือนกัน นี่มันซ้อน แล้วคุณ จะรู้ได้อย่างไง คุณเป็นคนต่ำหรือเป็นคนสูง อาตมาหยาบอย่างนี้อย่างเดียวนี่ คุณเป็น ผู้ที่ต้อง ทดสอบคนนี้ บรรลุแล้วละ แต่หนักกว่านี้จะสู้ไหวไหม หรือคุณเองคนหยาบ มันก็คนหนาจริงๆ ก็ต้องหยาบอย่างนี้เหมือนกัน แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไร สมมุติหยาบ เป็นผู้ดีแล้วกันนะ แต่ถ้าสมมุติ หยาบเป็นผู้ดีนะ เราจะอ่านชนิดหนึ่ง อ่านจิตละเอียด ไม่ใช่อ่านจิตต่ำ เพราะฉะนั้น ต้องอ่าน ทั้งสองด้าน เออเรา เรายังไม่รู้ว่า ท่านแรงกะเรา อย่างนี้ เอ๊ เราหยาบอย่างชนิดดื้อด้าน หรือว่าหยาบ ชนิดที่ท่านทดสอบ ลองแรง เราจะขึ้นไหม

ถ้าจิตของคุณเป็นจริงนะ คุณจะขึ้นไม่ขึ้นอย่างที่จะเป็นอริยะ มันก็จะว่าขึ้นอย่างอริยะ ถ้า จิตของคุณ เป็นปุถุชนหรือว่าเป็นอริยะต่ำชั้นต่ำ ด้านยังดื้อด้านอย่างนี้ก็โดนโจทย์แรงๆ อย่างนี้ คุณก็อ่านดู กิเลสเราจะเป็นอย่างไร เราจะอ่านออกความจริงตรงกิเลสของ เราจริงๆ จะเป็นลักษณะอย่างไรนี่ ลิงคะความแตกต่างของกิเลส ก็จะซับซ้อน เราจะรู้เลย อ้อ กิเลสของเรา ยังมีพลิ้วพราย หรือกิเลส ของเรานี่ โอ้โฮ นี่กิเลสแท้ ยังไม่ได้ล้าง ก็จะรู้ว่า อ้อ นี่ของเราในระดับยังไม่ได้ล้าง แต่กิเลสโดนกระแทก แล้วยังไหวๆ ซึ่งมันต่างกันกับ กิเลสอนุสัยอาสวะ กับกิเลสที่มันกระทบแล้วผิวแผ่ว ไหวกับกิเลส ที่มีความหนา ของอนุสัยสวะ หรืออนุสัยสวะด้วยซ้ำ ก้อนเบ้อเร่อแน่ะ ปริยุฏฐานกิเลส ไม่ใช่อนุสัยกิเลส โอ้โฮ หน้าตายังเต็มตัวเลย คุณจะมีญาณที่จะอ่านรู้ว่า มันต่างกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า โดนบ่อยๆ นี่นะ มันจะรู้เลย ข้อสำคัญก็คือโดนบ่อยนี่หลายทีๆ ถ้ากิเลสพลิ้วแผ่วนี่นะ กิเลส..

ที่จริงเราเคยแน่นมาแล้ว แต่มันก็ยังไหวพลิ้วแผ่วน่ะ กัมปติไหวได้ สั่งสมมาเรื่อย จนกระทั่ง ผุฏฐัสสะ โลกะธัมเมหิ ไหวกับที่เราจะเจอว่ามันไม่ใช่ไหว มันยังไม่ได้ล้าง ก้อน เบ้อเร่อ หรือเหลือก้อนที่เป็น อนุสัยอาสวะ เพราะฉะนั้น ตัวจิตที่อยู่กับตัวจิตที่มันเกิดไหม่ ไหว นี่คือตัวเกิดใหม่นะ ตัวจิตที่ยังไม่ได้ ล้างเกลี้ยงนี่ จิตที่ยังอยู่กะเราก่อน เพราะฉะนั้น ลักษณะ มันจะต่างกัน หลายครั้งเข้า คุณจะรู้เองว่า อ๋อ จิตตัวนี้เป็นจิตตัวไหน จิตตัวนี้ เป็นจิตที่ยังไม่ได้ล้างออก หรือว่าจิตตัวนี้เป็นภาวะที่ยังไม่แข็งแรง ยังไม่สมาธิที่มั่นคง ยังไม่ใช่อกุปปา เจโตวิมุติ เจตสิกยังไม่ใช่จิตตัวนี้ จิตตัวที่ วิมุติอย่างไม่มีหวั่นไหว อีกแล้ว อกุปปา เจโตวิมุติ ยังไม่ใช่จิตตัวนี้ คุณก็จะเข้าไปรู้ ละเอียดลออในจิต เจตสิก รูป นิพพาน รู้ปรมัตถ์ของคุณเองจริงๆ เพราะเราพิสูจน์กัน ผู้ดีกระทบเราก็รู้ว่าผู้ดีกระทบกระแทกเรา ด้วยโจทย์ อย่างนี้ คนชั้นต่ำกระทบเรา เราก็จะรู้ว่าคนชั้นต่ำกระทบเรา ลักษณะ จะต่างกัน อย่างไรก็จะมีนัย ที่ต่างกัน อีกเหมือนกัน

เหมือนกับเราบอกว่า เออพวกเรานี่นะ ถ้าพวกเรามาว่าอย่างนี้เราถือสา แต่คนข้างนอกว่า ไม่ถือสา นั่นก็นัยจริง เห็นพวกเรามันเป็นอย่างนี้ ไม่ได้ ก็คนอื่นหยาบกว่าเราแท้ๆ คุณยัง ทนได้เฉยๆ เขาอย่าง เพราะคุณวางเขาใช่ไหม แต่นี่ คุณยึดเป็นพวกเราเป็นผู้ดี เป็นคน ของเรา

มันมีนัยน่าขำอันหนึ่ง นี่เป็นครูบาอาจารย์เรา หรือเป็นสมณะแล้ว ก็เป็นสมณะแล้ว น่าจะเป็นอย่างนี้ ทำไมมันไม่ดีเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้หรอก มันถือ คุณก็คันหัวใจ ก็ท่านเป็น อย่างนั้นของท่าน ก็ท่าน ได้แค่นั้น คุณวัดเป็นไหมว่าท่านสูงกว่าคุณ หรือว่าคุณสูงกว่าท่าน นัยนี้ หรือเหตุปัจจัยนี้ ท่านอาจ จะต่ำกว่าคุณ แต่นัยอื่น ท่านจะสูงกว่าคุณ คุณละเอียด ลออ อย่างนั้นพอหรือยัง ยังไม่พอคุณก็ อย่าเพิ่งไปเดา อย่างน้อยสมมุติของท่าน ก็เป็นอย่างนั้น วางไว้ก่อน คุณก็มีญาณพอรู้ ไปเรื่อยๆ หรือวางไว้ก่อน ก็วางไว้ก่อน ถ้าวางไว้ก่อนเราก็ได้ประโยชน์ เพราะสมมุติของท่านเป็นอย่างนี้แล้ว เราก็รู้จักฐานะ สมมุติ เป็นสัจจะชนิดหนึ่ง เราก็ง่าย แต่คนที่มันไม่รู้จักสัจจะ มันถือนะ มันไม่ต้องห่วง มี คนนั้น จะเป็นประโยชน์อยู่นั่นแหละ ถือ เป็นสมณะแล้วไม่น่าทำอย่างนี้ เขาก็ถืออยู่ อย่างนั้นแหละ

ถึงแม้ในนี้หมดทุกคนไม่ถือ เดี๋ยวหน้าใหม่มาไม่รู้ตัว มาถืออีกแหละ ไม่รู้ตัวคนมันมีเข้าๆ ออกๆ เยอะแยะ คุณไม่กลัวว่าจะไม่มีโจทย์ ถ้าเราไม่เป็นโจทย์เสียแล้วเราใครเล่าจะ เป็นโจทย์นั่นแน่ะ เอาเลย คุณจะเป็นถาวรก็เอาเลย ตามแต่ยึดกันไป อีกกี่ชาติก็ตามใจ มันต้องเรานี่แหละขัดเกลาผู้นี้ เอาเลย ได้คู่แล้ว ชิงชนะเลิศกันไปนะกี่ชาติ ผูกยึดกัน เอาไว้ ต้องขัดเกลาให้คนนี้ ไม่ขัดเกลาแล้วจะเป็นใคร ถ้าไม่ใช่เรา จองไว้เลย คู่ก็ขัดเกลาไป อีกคู่ต่อสู้กันไป ฮ่าๆ ซัดกันไปกี่ชาติก็เอา ถ้าคุณไม่วาง ของคุณก่อน คุณก็ยึดไปซิ แต่ถ้าเราฉลาดประโยชน์ตน วางก่อนก็ดี อันนี้ท่านนี่แหม ท่านก็อุตส่าห์ ถือตัว ไม่ใช่ถือตัวถือสมมุติ ยึดสมมุติ เอาสมมุติเป็นผู้ใหญ่แล้ว ต้องใหญ่ให้ได้ โง่เอง ก็แล้วไป วาง เราเป็นฆราวาสนี่ เราก็คือฆราวาส มันต้องฉลาด

เป็นสิกขมาตแล้ว หนอยสิกขมาตนี่จะตกนรกหกคะเมนอย่างไรก็ช่างเถอะ ก็อยากได้ สมมุติ เป็นสิกขมาตนี่ เราวางเราก่อน ไม่งั้นใหญ่ สิกขมาตก็ต้องขัดเกลา เรื่องอะไร ต้องขัดเกลาคนนี้ ยิ่ง แหม ไม่ต้องกับโฉลกเลย จิตกิเลสนี้น่ะ ต้องเป็นคู่ต่อสู้ ขัดเกลา จองเวรจองกรรม เป็นคู่ต่อสู้ ขัดให้ได้ จะขัด คุณจองเวรกันไว้อีกหลายชาติ กี่ชาติก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่รู้ตัว สิกขมาตุรูปนั้นไม่รู้ตัว สิกขมาตุ คนนั้นไม่วาง จนกระทั่ง ล้างของตัวเองได้ จนกระทั่งรู้ว่าตัวเอง อ้อ คนนี้มาทำให้เราได้ประโยชน์ เราจะรู้ว่า คนนี้ให้ประโยชน์แก่เรา สุดท้ายวางแล้วก็ขอบคุณ แก้กลับ จนคนนั้นเขาจะต้องรู้ตัว มีญาณ รู้ตัว ถ้ามีญาณรู้ตัว ทั้งๆ ที่ท่านเป็นอรหันต์แล้ว คุณก็ยังไปขัดท่าน คุณก็ขัดฟรี นะซิ คนนั้นก็โง่อยู่ จนกระทั่งอรหันต์ก็จะต้องช่วยคนนั้น เออ เราเป็นอรหันต์แล้ว เราจะช่วยคนนี้ได้ยังไง จนกระทั่ง คนนั้นรู้ตัว แล้วก็ยอมรับ หมดอัตตามานะ หมดถือดี ยอมรับนับถือ อ๋อ เป็นอรหันต์จริงแล้ว จึงเกิด ญาณรู้อรหันต์จริง โน่นแหละ ถึงจะวางกัน พูดไปก็ฟังดีๆ ไม่ใช่เบานะ นาน แต่จะจองเวรแต่ละคู่ๆๆ นี้นาน เพราะฉะนั้น เราจะเอา ประโยชน์ตน มีคู่ต่อสู้เยอะนะ วางบ้าง ที่คัดเลือกมาไว้ในนี้แล้วนะ ไอ้ข้างนอกก็วางได้ แต่ในนี้แหละก็ มีคู่ต่อสู้เสียหมด ก็คุณไม่ทุกข์จะทนไหวหรือ

มันจะมีวิบาก เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง ขนาดอาตมาถ้าบอกพวกคุณนี่ คุณก็ต้องไป เตรียมตัว เออ นี่วางเถอะ คนนี้ๆ วางเถอะ ก็ยังมีบางคนว่าจะวาง แต่มันวางไม่ลงหรอก วิบากมันมีกัน อจินไตยนี่นะ ไอ้ คนนี้เราว่าวางแล้ว ทำไมมันยังถืออยู่นะ คนนี้ ๆ เราว่า จะวางนะ มันก็ยังถือไอ้คนนี้ ไอ้คนนี้ ที่จริงคุณดูดีๆ เถอะ คนนั้นหยาบกว่าคนนี้ด้วยซ้ำไป แต่คุณก็ไม่ถือสาเขา ไอ้คนนี้มันไม่หยาบ เท่าไหร่หรอก จริงๆ ไม่หยาบเท่าคนนั้นหรอก แต่มันก็วางไม่ได้ คนนี้น่ะ นั่นแหละมันผูกยึดกันมา เป็นคู่เวรคู่กรรมกันมา ทั้งรักทั้งชัง ทั้งหวานและขมขื่น ๑๖ ปีแห่งความหลัง มันหลังมาไม่รู้กี่ชาติ ทั้งรักทั้งชังทั้งขมทั้งขื่น มันเป็นคู่เวร คู่กรรม คู่รักคู่ชังกันมากันตั้งเท่าไหร่ อจินไตยมันอีกมากมาย เหลือเกิน เอา จบอจินไตยนี้ไว้ ไม่อยากให้คุณคิดมาก ให้รู้ปัจจุบันว่าเรายึดติดกันอยู่ จะจองเวร ด้วยรัก หรือจองเวรด้วยชังก็ตามแต่ กิเลสนี่ต้องละ ทั้งรอบชังรอบรัก ทุกประตู


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๗ พ.ค. ๓๗
ตรวจทาน ๑ สม.ปราณี ๙ มิ.ย. ๓๗
พิมพ์โดย ทองแก้ว ทองแก้ว
ตรวจทาน ๒ โครงงานถอดเท็ปฯ ๒๙ มิ.ย. ๓๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

ADD3.TAP