สร้างโรงเรียนโลกุตระ เพื่อกอบกู้มนุษยชาติ
โดย
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ
ทำวัตรเช้า วันที่ ๒๗ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๔๕

*******

เรื่องของมนุษยชาติ อาตมาก็ยิ่งมามองเห็นว่า คนนี่เกิดมามันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ นะ ถ้าเข้าใจโลกียะ โลกียะก็เท่านั้นแหละคนเรา หลงสุขโลกีย์ แล้วก็ทุกข์อยู่อย่างนั้นแหละ สุขมันคู่กับทุกข์ ถ้ามีสุขมันก็คู่กับทุกข์ มันแยกไม่ได้หรอก มีสุขก็มีทุกข์ ที่เรายอมรับ คำว่าสุข เรียนคำว่าสุขทางโลกุตระน่ะ มันไม่มีสุขหรอก มันอทุกขมสุข หรืออุเบกขา มันอทุกขมสุข มันไม่มีสุขมันไม่มีทุกข์แล้ว

แต่ภาษาคนจะสื่อให้คนรู้ก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรดี ท่านก็จำนนเรียกว่าสุขไปเท่านั้นเอง ความจริง มันไม่ใช่สุข โลกียะน่ะมันเป็นสุขเป็นทุกข์ แต่พอมาถึงโลกุตระนี่ มาดับเหตุ แห่งทุกข์ พอดับเหตุแห่งทุกข์แล้วสุขมันก็หายไปด้วย ทุกข์มันก็หายไปด้วย มันอุเบกขา มันอากาสา มันว่าง ๆ ว่าง ๆ มันไม่มีรส มันไม่มีอัสสาทะ ไม่มีรสอร่อย รสสุข รสเพลิดเพลิน รสสนุกสนาน มันไม่ใช่ มันไม่เหมือนกัน รสที่มีกิเลส แล้วก็บำเรอกิเลสสมใจในกิเลส ต้องการเป็นอย่างไร เชิงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เชิงมี สมใจในกามสุข ในเชิงอัตตถสุข มันไม่มี มันไม่มีทั้งอัตตถ มันไม่มีทั้งกามะ มันไม่มีทั้งสองด้าน มันไม่ได้ตกไปหา กามสุขาลิกานุโยค ไม่ออกไปทางอัตตกิลมถานุโยค มันไม่มีทั้งสองด้าน มันหมด

ถ้าเราเข้าใจแล้วเราเรียนรู้อัสสาทะให้ดี ๆ ว่ามันมีรสชาดเป็นอย่างไร ก็เรียนไปตั้งแต่ เล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ ติดบุหรี่รสชาดอร่อยในบุหรี่ มันเป็นอย่างไร ติดเหล้ารสชาดในเหล้า มันเป็นสุข มันกรึ่ม ๆ อย่างไร ก็อ่านดูอาการอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันมีอยู่ ล้างจนกระทั่ง หัวสมุทัย ต้นเหตุ ของมัน ล้างหมดแล้วจริง หรือว่าค่อย ๆ หมด ค่อย ๆ หมด จนกระทั่ง มันหมดแล้ว มันไม่มีแล้ว มันก็จะเห็นว่า อาการสุขทุกข์ แต่ก่อนนี้เราเป็นสุข มีสุขจึงมีทุกข์ มีทุกข์ ก็มีสุข ตอนนี้มันไม่มีแล้ว มันเป็นอย่างไร เราก็อ่านดูเป็นตัวอย่าง ผู้หญิงไม่ได้ติดเหล้า ติดบุหรี่ อะไร รสอะไรล่ะ รสความสุขในแฟชั่น รสความสุขที่เราติด ในของกิน ของใช้ อะไรต่าง ๆ นานา นี่ โภชเนมัตตัญญุตานี่ พวกสิ่งที่เราบริโภค ทั้งอุปโภคบริโภค มันก็เป็นสุข เป็นทุกข์ หัดเรียนรู้เลยว่า ใจเรามันไปสร้างสุขสร้างทุกข์ เป็นอุปาทาน ตามที่เขาหลอก มอมเมามา

มนุษย์มนานี่หลอกกันมามากมาย แล้วเราก็เรียนรู้ลดลง ๆ ๆ ก็จะเข้าใจว่า อ้ออุเบกขา มันเป็นอย่างนี้ อากาสามันเป็นอย่างนี้ มันไม่มีเลย หมดแม้กระทั่ง สัญญา ถึงขั้น สัญญาเวทยิตนิโรธ อย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟังแล้ว จนเป็นนิโรธที่ชัดเจน ว่าดับสนิท จนสามารถ แม้แต่ปฏินิสสัคคะ ในสภาพปฏินิสสัคคะนี่เป็นสภาพอยู่หลังนิโรธ นิโรธนี่ แปลว่าดับ ปฏินิสสัคคะนี่หมายความว่า ดับเหมือนกัน ดับในขั้นสัจจะย้อนสภาพ ดับในขั้น สลัดกลับคืนไปได้ มีก็ไม่มี แต่ก่อนนี้จะต้องไม่มีกิเลส พอกลับไปมีกับเหตุ ที่มันเคยเป็นกิเลส มันก็ไม่มีกิเลสอยู่นั่นเอง มันทั้งมีทั้งไม่มีอยู่ในตัว มันเป็นสัจจะ ย้อนสภาพ มันเป็นสภาพสลัดคืนที่สูงสุด เพราะฉะนั้น ปฏินิสสัคคะนี่ เป็นตัวคำตอบ ที่สมบูรณ์ว่า เราอยู่เหนือเป็นโลกุตระ ลักษณะอยู่เหนือสิ่งนี้โดยไม่เกิดกิเลส สิ่งนี้ จะมีฤทธิ์ กับมนุษย์ที่อ่อนแอ มนุษย์ที่เป็นโลกีย์ เขาก็จะเกิดกิเลส ตกเป็นทาส มาก หรือน้อย ก็แล้วแต่ เป็นความจริง เขาจะตกเป็นทาส

แต่ในฐานะของพระพุทธเจ้าสอนนี่ หมดมาเลย ตั้งแต่อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี นี่อยู่หลังนิโรธ อยู่หลังนิโรธ ดับ ปฏินิสสัคคานุปัสสีนี่ ก็มีดับ ดับได้ชนิดที่เรียกว่า แม้สลัดคืน แม้ย้อนกลับไปมี ไปเหมือน กับเด็ก เหมือนกับคนโลก ๆ เหมือนกับอย่างโลกีย์ แต่ก็ไม่มีสิ่งเกิด ไม่มีกิเลสเกิด อย่างชัดเจน ไม่หลอกใคร แต่คนหลอกได้นะ หลอกคนอื่น แหมนี่ฉันกลับไปนี่ ฉันเสพกาม ด้วยจิตว่าง ฉันดื่มเบียร์ด้วยจิตว่าง ฉันก็สูบฝิ่นด้วยจิตว่าง ฉันก็กินหมากด้วยจิตว่าง สูบบุหรี่ด้วยจิตว่าง อะไรไปเลอะเทอะ ซึ่งมันไม่มีประโยชน์อะไร มันไม่ใช่เรื่องที่ จะต้อง ไปทำ แต่ก็กินข้าวมันมีรส มันมีรสอยู่ เอาแกงมากิน กินกับกินแกง มีรสมีอะไรก็ อันนั้น กินด้วยจิตว่างได้ แล้วมันก็ไม่ใช่ถึงขนาดว่าจะต้อง หลีกลี้หนีอะไร เกินการ แล้วยังได้ ของมอมเมา เปลืองของ เป็นอย่างนี้ ยากินยาดูด ไอ้อะไรเล่น ๆ พวกนี้ มันก็ไม่ต้องไปติด มันก็ไม่ต้องไปทำนี่ มันเรื่องเลิกได้

ไม่ต้องไปเป็นไปมี ให้คนมาทักมาท้วงหรอก แต่อาหารการกิน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานา นี่ก็ว่าไป หรือแม้บางสิ่ง บางอย่างเราก็จะละเว้นบ้าง อาหารนี้ปรุงมากไป เราบอก ไม่เอาหรอก เพื่อเป็นตัวอย่างก็ได้ นี่อย่างอาตมานี่ เดี๋ยวนี้เอาไอศกรีม มาให้อาตมากินนี่ จริง ๆ มันไม่ใช่สุขว่าทุกข์ มันเย็นฟัน โอ้ไอสกรีมนี่มันน้ำแข็ง มันเย็นฟัน ยิ่งน้ำแข็งเปล่า ก็เหมือนกัน เอาน้ำเย็น แหมชงน้ำแข็งมาให้ซด วู้… มันเย็นฟัน ซดไม่ได้ ดื่มไม่ได้ ถ้าน้ำร้อน มันยังพอดื่มได้ น้ำเย็น ๆ มันดื่มไม่ได้หรอก

แต่ก่อนนี้อาตมาเป็นฆารวาส ไม่ดื่มนะน้ำไม่มีน้ำแข็ง ไม่มีน้ำแข็งก็ต้องออกจากตู้เย็น มาเย็น ๆ ไม่อย่างนั้น ก็ต้องมีน้ำแข็งแช่มา ดื่มน้ำเปล่า ๆ ไม่มีน้ำแข็งไม่ดื่มหรอก ตั้งแต่สมัย ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรม

แต่เดี๋ยวนี้ดื่มไม่ได้จริง ๆ ไม่ใช่ดัดจริต ไอศกรีมก็จะให้ทนกินก็กินได้ กินทีละคำเล็ก ๆ กินเข้าไป มันก็กินได้แหละ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่กินดีกว่า เอามาให้ก็ไม่กิน ไอศกรีมนี่ไม่กินหรอก แต่นาน ๆ บางทีก็กินกับเขาเหมือนกัน นะ กินคำสองคำอะไรแล้วแต่ แต่ถ้าไม่จำเป็น ก็ไม่กินหรอก ไอศกรีม เพราะฉะนั้น เราจะไม่กิน เราจะไม่รับ เราจะไม่ฉลองศรัทธา ในบางสิ่ง บางอย่าง ของใช้ก็ตาม ของกินก็ตาม เราปฏิเสธซะ ได้ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ห้ามหรอก สิ่งนี้จะปฏิเสธซะก็ได้ นะ นิสัยสี่นี่ท่านก็สอนไปเลย อย่างนี้ต้องปฏิเสธ ผ้าเสื้อสวย เอามาให้ เครื่องนุ่งห่มสวยงาม อะไร จะปฏิเสธเสียก็ได้ ยารักษาโรค ที่มันรู้สึก หรูหรา ฟู่ฟ่าอะไรมากไปเป็นยารักษาโรค เราจะปฏิเสธเสียก็ได้ บ้านช่อง เรือนชาน เอามาให้ มันสวย มันงาม มันใหญ่เกินไป ปฏิเสธเสียก็ได้ นิสัยสี่สร้าง มีปัจจัยสี่ ต่าง ๆ อะไรพวกนี้ก็ตามแต่ นิสัยสี่ เราจะนอนโคนไม้ให้ได้ ยารักษาโรคนี่ ฉันน้ำมูตรเน่า ให้ได้ โดยสิ่งที่มันวิเศษ

วิจิตรพิสดารกว่านี้มาจะปฏิเสธเสียก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น ท่านก็สอนอย่างนั้น แล้วก็ทำให้ได้ จริง อย่างอาตมานี่ อาตมามั่นใจว่าไม่มีที่ให้นอน อาตมากางนอน ตามหญ้า ตามโคนไม้ อะไรนี่ รู้สึกมันไม่ได้ทุกข์อะไร ไม่ทุกข์จริง ๆ ก็นอนได้สะบาย จะให้นอนฟูก นอนหมอน นอนฟูก หน้าขนาดนี้ก็นอนได้ บางทีก็แหม ไปในที่รองรับนะ เหมือนกับโรงแรม บางที โรงแรมบางทีอะไรนี่ บ้านช่องเรือนชาน

โอ้โฮ .. ฟูกขนาดนี้ เราก็เอา.. เดี๋ยวก็วุ่นวายมากไป ดัดจริตมากไป ก็เอ้านอน บางที ก็ไม่นอนมัน มีที่จะนอน นอน นอนมันข้างล่างดีกว่า มันมีที่พอนอนได้ ก็นอนข้างล่างดีกว่า มันนอนบางทีหมอนฟูกขนาดนี้ จริง ๆ นี่นอนฟูกใหญ่ ๆ นี่ เสียสรีระนะ พวกหมอกระดูกนี่ เขาบอกเลย คนนอนฟูกมาก ๆ นี่สู้นอนที่แข็งไม่ได้ อาตมายังจำได้เลย หมอรุ่งธรรม ลัดพลี เขาเป็นหมอกระดูก บอกเลยว่า คนนี่นอนที่นอน ถ้าที่นอนธรรมดา นอนเสื่อ นอนกระดาน สามัญนี่ นั่นแหละมันจะเป็นธรรมชาติ แล้วก็กระดูกกระเดี้ยวอะไรจะดี แต่ถ้าไปนอนฟูก นี่นะ คนมันชอบอย่างไร มันก็ทำอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ตรงไหนมันจะดัน ตรงไหน มันจะชอบ มันก็จะคดจะเคี้ยวไปตามนิสัยที่ชอบ เพราะฉะนั้น กระดูกมันก็จะถูกดัดไปได้ ตามที่นอน มันจะมีน้ำหนักถ่วงตรงนี้ แต่ถ้าเผื่อว่าตรงนี้มันดัดไม่ลงล่ะ มันยังไง มันจะต้อง โครงกระดูก กระดูกสันหลังอะไรต่ออะไรต่าง ๆ มันก็จะได้ระดับดี มันจะไม่เป็น โรคกระดูก แล้วคนเราก็ไม่รู้ เอาไปตามชอบ ว่ากันไปใหญ่ ดีไม่ดีมีดัดด้วยนะ มีเก้าอี้ ดัดตรงนั้น ดัดตรงนี้ โค้งตรงนั้น โค้งตรงนี้ เอ้อ..อย่างนี้สะบายดี โค้งตรงนี้มาก ตรงนี้น้อย เออสะบาย มันก็ไปตามเรื่องนะ

คนเรานี่อยู่ด้วยการศึกษา ศึกษาอะไรก็แล้วแต่ ศึกษาทั้งสรีระ ศึกษาทั้งทางกิน ทางอยู่ ทั้งทางมีชีวิต เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้เราก็จะไปติด ที่เรียกว่ากิเลส ที่อาตมาบอกแล้วว่า สิ่งที่เขาบอกมา พูดมา กิระดั่งได้ยินมา เพราะสิ่งที่ได้ยินมาเราก็ไม่รู้ เราก็ไปเชื่อตามเขา พอเชื่อตามเขาไปมาก ๆ เขามอมเมา จิตมันก็คล้อยตามเขาไป ก็ติด พอติดเข้า ก็กลาย เป็นอุปาทานแล้ว พอกลายเป็นอุปาทาน ก็ฝังติดอยู่ใต้ก้นบึ้ง อุปาทานอยู่กับอนุสัย อยู่กับจิตเบื้องลึก อยู่กับ unconcious หรือ subconcious อยู่กับจิตด้านล่าง พอมันขึ้นมาเป็น concious เป็นสำนึกสามัญ ทำงานขึ้นมา เรียกมันว่า ตัณหา ถ้ามันยังไม่ขึ้นมาทำงาน มันก็เฉย ๆ เออตอนนี้ยังไม่อยาก ตอนนี้ยังไม่เป็น อาการอะไร แต่ว่าไม่ใช่มันหายไปนะ กิเลส มันอยู่ ตอนนี้เอออยากแล้ว เกิดขึ้นมาแล้ว เป็นตัวปฏิบัติ

อยากขึ้นมาเมื่อไร เมื่อนั้น เรียกมันว่าตัณหา ถ้ามันยังไม่อยาก เรียกมันว่า อุปาทาน มันก็จะกองอยู่ตรงนั้นแหละ เพราะฉะนั้น จะต้องถอนอุปาทาน ล้างอุปาทาน ให้เกลี้ยง สิ่งที่รับมานี่ ไปรับมาหมด ก็เรียกมันเต็ม ๆ ทั้งตัณหา ทั้งอุปาทาน ก็เรียกรวมว่า กิเลส ถ้าไม่โง่รับมา เรียนรู้แล้วทั้งพระอริยะ เป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านก็รู้หมดแล้ว ไอ้นี่มันก็ อย่างนั้นแหละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอะไรในโลก มันก็รู้.. ท่านก็รู้ เท่าทันหมดแล้ว ท่านก็ไม่ไปได้ติดไปยึด ท่านก็ไม่ได้ไปฝังลงไปในจิตใจ กลายเป็น อุปาทานอีก ไม่แล้ว รู้จักอุปาทาน ล้างอุปาทานหมดเป็น ก็ไม่เหลือแล้ว อุปาทานไม่มี แม้แต่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งปราศจากกิเลสแล้ว ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ สัมผัสอะไร ก็ปราศจากกิเลสแล้ว สัมผัสอะไรรับรู้ ตาก็เป็นรูป เป็นรส เป็นกลิ่น เป็นเสียง ก็ไม่มีกิเลสแล้ว สัญญา เวทนา ก็ไม่มีกิเลสอะไรแล้ว ไม่สังขาร ที่เป็นโลก ๆ เขาแล้ว ขนาดมันสะอาดแล้วนี่ เวทนา สัญญา สังขาร มันปรุง มันไม่ปรุง มันไม่ติด มันไม่มีกิเลส มันเป็นเวทนาสะอาด สัญญาสะอาด สังขารสะอาด วิญญาณสะอาดแล้ว ก็อย่ายึดว่าเป็น มมัง อย่าไปยึดว่า เป็นเรา เป็นของเรา อันนี้อย่าไปหลงผิดว่าเป็นเรา เป็นของเรานะ เราจะต้องเกิดอีก จะต้องมีอันนี้ อันนี้ ๆๆ

ถ้ายัง สัญญาผิด ยังยึดติดอยู่ คุณก็ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ ยังมีร่างมีกาย แต่พระอรหันต์ จะเรียนรู้ตามลำดับมาว่า ไม่ยึดมาตั้งแต่อัตตาชนิด โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา มาจน กระทั่งถึง อรูปอัตตา แม้แต่อรูป แม้แต่สิ่งที่เป็นอะไรต่ออะไร สุดท้าย พระอรหันต์ ยังไม่ตาย ก็ยังมีรูปนามขันธ์ห้า มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ยังมีอยู่ แต่ท่าน ก็ไม่ยึด สิ่งเหล่านี้เป็นเรา ในสุดท้าย ไม่เป็นมะมัง น มัญญติ ไม่ติดยึด ไม่กำหนด ไม่สัญญา ไม่กำหนดลงว่าเป็นเรา ภาษาบาลี ท่านเรียก น มัญญติ ไม่ยึด ไม่กำหนด เป็นมะมัง เป็นมะมะ เป็นเรา จนสุดท้าย นี่พุทธศาสนานี่ละเอียดสุดปานฉะนั้นจริง ๆ แล้วทำให้ได้ ทำให้ถูกต้อง แล้วมันก็ ผู้ที่ทำถึง รู้แล้วก็ทำได้จริง ก็จบ อรหัตผล เพราะฉะนั้น คนที่จะมา เรียนรู้ว่า โอ้ย…อย่าไปยึดนี่นี่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือมายึดว่า แหม ผม ขน ฟัน หนัง อะไร อย่าไปยึดว่าเป็นเรา..ปัดโธ่..ไอ้ เล็บ ผม ขน ฟัน หนัง น่ะ กิเลสหยาบ ๆ ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา ยังไม่ทิ้งเลย

นี่ก็กุฏิของเรา นี่ก็ทรัพย์ของเรา ไปบิณฑบาตรมาก็กองอยู่ ยังจะมานั่งเพ่งอยู่ เออ.. ผมไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา เล็บไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา พุดโธ่ ไอ้กระป๋อง กระแป๋ง ก็ยัง ของเราอยู่เลย ใครมาหยิบไปก็ไม่ได้ เอ.. ไปวางไอ้นี่ เล็บไม่ใช่เรา เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา มันตัดขั้นตอน มันลัดขั้นตอน สอนไม่ได้ระดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย วุ่นไปหมด นา สอนให้พิจารณา เล็บไม่ใช่เรา เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา อะไรไม่รู้ .. ไม่ใช่เรา แต่อะไร โอฬาริกอัตตาก็ไม่รู้ มโนมยอัตตา ก็ไม่รู้ อรูปอัตตาก็ไม่รู้ ใครมาลบหลู่ ไม่ได้ ใครมาแตะมาต้องไม่ได้หรอก ศักดิ์ศรี ฉันเป็นพระนะ มาว่านิดว่าหน่อย โกรธ อะไรก็ไม่รู้ ยังไม่รู้แม้แต่กิเลส ที่ตัวเองติดยึดอยู่ นี่หยาบ ๆ อัตตาหยาบต่าง ๆ ไม่เรียนรู้ เป็นขั้นตอน ตั้งแต่ สักกายะอัตตา จนกระทั่ง ถึงอาสวะอะไรนี่ ไม่รู้จักขั้นตอนของตัวตน ในระดับหยาบ กลาง ละเอียด สักกายะนี่หยาบ อัตตาก็ทั่วไปกลาง ๆ อาสวะก็สุดท้าย ตัวตนสุดท้าย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น มาเรียนรู้สิ่งเหล่านี้แล้ว มาเรียนรู้โลกียะ แล้วก็มาเรียนรู้ จนกระทั่ง เกิดโลกุตระ

สภาพโลกุตระก็คือสภาพที่ลดกิเลสลงไปได้เรื่อย ๆ อย่างรู้ถูกต้อง มีวิชชา มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น แล้วก็สัมมาทุกอย่าง สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ เป็นสัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ทุกวันนี้นี่ ไปกันใหญ่ สัมมาไม่มี แม้แต่สมาธิ ก็ไม่สัมมา สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ไม่ต้องพูดถึง มันไม่เข้าล่องเข้ารอย มันไม่รู้จัก มรรคองค์แปด ปฏิบัติอะไรก็ไม่เป็น ปฏิบัติอย่างไร สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อย่างไร ในรายละเอียด ของสังกัปปะ มันมีมิจฉาสังกัปปะสาม เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มิจฉาวาจาสี่ เป็นอย่างไรก็ไม่รู้ มิจฉากัมมันตะสาม อย่างไรก็ไม่รู้ มิจฉาอาชีวะห้าก็ไม่รู้

อาตมาเกิดมาชาตินี้ ไม่ได้ยินเลยนะ ไม่ได้ยินการสอน ในสำนักไหน ใด ๆ ว่าให้เรียนรู้ มิจฉาต่าง ๆ พวกนี้ อย่างชัดเจน เราเรียน เราจะเห็นชัดว่า อ้อ..สังกัปปะ มันเป็นดำริ ทางกามวิตก พยาบาทวิตก วิหิงสาวิตก เอ้อ..มันเป็นอย่างนี้ แล้วลดละมัน ก็เคยได้ยินแต่ วาจา มิจฉาวาจาสี่ เป็นพูดมุสา เป็นพูดสุปิณวาจา เป็นอะไรพวกนี้ วาจาสี่ แต่เป็น มิจฉาวาจา เออ..เข้าท่า ไม่ใช่เข้าท่าหรอก มันก็เป็นมา ก็เพิ่งได้ยินบ้าง

ส่วนมิจฉากัมมันตะสาม ก็ไม่เคยได้ยินนะ แต่มันอยู่ในศีล ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มันอยู่ในศีล แต่ก็ไม่มาบอกว่านี่เป็นกัมมันตะสาม มิจฉากัมมันตะ ๓ ก็ไม่เคยได้เรียน ไม่ได้เรียนกัน ถ้าไม่มีพระไตรปิฎกนี่ โอ..อาตมาก็คง พูดไปไม่มีภาษา พวกนี้ก็ นี่มีพระไตรปิฎกก็เลยโอ้..ชัดเจน เอามาสอนพวกเรา พวกเราก็ได้รับรู้ ทั้งปริยัติ แล้วเอาไปปฏิบัติ ยิ่งมิจฉาอาชีวะ ๕นี่เลิกเลย เขาไม่พูดถึงเลย เพราะฉะนั้น ใครจะค้า จะขาย ใครจะหาเงินหาทองได้ อย่างไร หาเงินมาเลย ฉันต้องการเงิน ได้เงินมาทำบุญ ทำทาน เท่าไรก็เอา ไม่รู้เงินนี่มาจากมิจฉาวณิชชา มาจากมิจฉาอาชีวขนาดไหนอย่างไร จะเป็นกุหนา ลปนา เนมิตกตา ขนาดไหนไม่รู้ละ แล้วจะเห็นได้ว่า ลึกซึ้งถึงขั้น ลาเภน ลาภัง นิชิคิงสนตา ในระดับถึงโอโฮ..คนเรานี่ ขนาดทำงานนี่ ยังต้องรับค่าตัว ยังมีลาภ แลกลาภ นี่ มันเป็นมิจฉาอาชีพนี่นะ โอ้โฮ .เป็นมิจฉาชีพ

วิเศษขนาดไหนนะ มันจะมีลัทธิไหน ที่จะสอนถึงขนาดนี้หนอ ละเอียดละออถึงขนาดนี้ พุทธนี่ ยอดเยี่ยมจริง ๆ เลย แล้วพวกเราก็มาพิสูจน์กันได้ คนก็ยังไม่เชื่อ ขนาดเมื่อวานนี้ เห็นไหม หมอปากหมายังบอกว่า ยัง เออยังไม่ได้พูดดีแล้ว ไปพุทธาภิเษก จะได้ยืนยัน มีคนเยอะ ๆ ด้วย ยืนยันต่อหน้าหมอเลย บอกว่า ไม่เชื่อหรอก คนกินมื้อเดียวได้ ไม่เชื่อหรอก เอาถ้าคนกินมื้อเดียวได้จริง ๆ เขาจะเผาตำราทิ้งเลย บอกว่าไม่ต้องเผาหรอก ตำราน่ะ เอาไว้ศึกษาก็แล้วกัน แต่ยอมรับ ก็แล้วกันว่ามันมีจริง คนเขากินมื้อเดียวนี่ มันมีจริง ไม่ได้กินเล่นด้วย กินจริง ๆ กินจริง ๆ กินไปจนตาย พอกินมื้อเดียวได้ดีแล้ว จะไปกินอะไรกันมากมาย กินเล่นกินหัวด้วย ยืนยันได้ อย่าว่าแต่เป็นสมณะบวชแล้วเลย เป็นฆราวาส พวกเราก็มี กินมื้อเดียวกันอย่างสะบาย ๆ ทำได้อย่างลงตัวแล้ว มีเยอะแยะไป ในพวกเราใช่ไหม ยืนยันกับหมอแกหน่อย เขาไม่เชื่อหรอก

โลกนี้มันหลอกกัน จนมันไม่น่าเชื่อ ว่าเราทำได้ มาทำงานไม่เอาเงินเอาทอง มีที่ไหน มาทำงานฟรี ทำงานเป็นทาสรับใช้เฉย ๆ โง่ตาย ถูกหลอกตาย ทำงานไม่เอาเงิน ถูกเขาหลอกใช้น่ะซี ...ใช่ไหม…หา .. เอ้าไม่ใช่อย่างไร ก็เห็นผงกหน้ารับน่ะ มาทำงานฟรี มาทำงานไม่ได้เงินได้ทอง ก็ถูกหลอกใช้ฟรี ๆ น่ะซี…หา.. ใช่ไหมเล่า .. เอ้าทำไมไม่ใช่ ก็ทำงานฟรี ไม่ได้เงินได้ทอง มันก็ถูกหลอกใช้ฟรีน่ะ มันไม่มีนายทุน มันไม่มีเจ้านาย มันไม่มีทาส มันไม่มีใคร เป็นคนนี้เป็นคนได้เปรียบ เป็นคนนี้เป็นคนรับ เป็นคนให้ มันไม่มี มันเป็นลักษณะ ทำงานฟรีจริง แต่ไม่ได้ไปทำงานอย่างโลกเขา ทำงานฟรีของโลก ใช่ คุณไปทำงาน เป็นคนรับใช้ คนนี้ ๆ เป็นนายทุน เป็นผู้ได้เปรียบ เป็นผู้ได้ส่วนได้ของคุณ เขาก็ได้เปรียบ ของเขา ส่วนเราก็เป็นคนขาดทุน ไอ้นี่มันไม่ได้ขาดทุนกำไร ดีไม่ดีนี่ มันยิ่งเป็นกุศลด้วย ยิ่งไม่เอานี่แหละ ยิ่งได้กุศลละ

เห็นไหม มันกลับกัน มันมีนัยละเอียดที่ลึกซึ้งซับซ้อน อาตมาพูดกับพวกคุณนี่ง่าย เพราะมันรู้ เรียนมาแล้วพูดกัน เอามาทบทวน เอามาย้ำยืนยัน ก็เข้าใจ มันไม่ได้มีเถียง มีแย้งอะไร มันจริง มันไม่ได้รู้ว่าตัวเองโง่ถูกหลอกด้วยซ้ำไป มันชัด พุธโธ่.. เราฉลาด เกินกว่าโง่ .จริง ๆ ไม่ใช่อาตมาหลอกซ้อนอีกนะ.. (หัวเราะ).. ไม่ใช่อาตมา หลอกซ้อนอีก มันฉลาดเกินกว่าโง่นี่จริง ๆ ไม่รู้ละ เขาจะว่าอย่างไร เราเข้าใจแล้ว มันเป็นเรื่องที่ใจของเรา เป็นไปได้จริง เราเสียสละ สร้างสรร เกื้อกูล มันก็เป็นเรื่องเสียสละให้แก่คนอื่น มันเป็น เรื่องเลวตรงไหนนะ

จริงถ้าคุณไปสละปืนให้ไอ้โจรมันก็เลวละ โง่ ๆ ไปสละปืนให้ไอ้โจร ไอ้โจรมันก็ แหม หวานเลย ติดเขี้ยว ติดปีก เอาปืนมาให้ไอ้โจร ไอ้อย่างนั้นมันก็ทำบุญทำทาน หรือว่า ให้กันอย่างผิด ให้อย่างบาป แบบนั้นทำบุญได้บาป ทำทานได้บาป อย่างนี้เป็นต้น ทำทานปืนให้ไอ้โจร โอ้โฮ..แจ๋วเลย .. ไอ้โจรก็ติดปีกเลย ยิ่งเอาอาวุธหนัก ๆ อาวุธอย่างดี ๆ ให้ไอ้โจรไปอีก โอ้ย..แจ๋วเลย ไอ้โจรมันก็ยิ่งเขี้ยวสูง มันทำการ ให้บ้านเมือง แม้แต่มอมเมา สังคม เอาอบายมุขมาให้แก่สังคม นี่ทุกวันนี้ยัดเยียด ไม่ใช่ยัดเยียดหรอก ไม่ยัดเยียด มันก็เอา ประชาชน เอาอบายมุขมานี่ ก็จะตั้งคาสิโนนี่ ตั้งบ่อนคาสิโนอีกแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น

อาตมาว่าเหมือนกับทำอะไร หาทางออกให้เขาเป็นสุข หาทางออกให้เขาอยู่ให้สังคมอยู่สุข มันจนแต้มจริง ๆ หรือ ไม่มีความสามารถถึงขนาดนั้นเลยหรือ จะต้องสะพัดเงิน จะต้อง ทำให้คน เอาอันนี้ลงไปมันจะเป็นไปได้ มันจะอยู่ดี มันจะเกิดคุณค่ามากกว่าอะไรนี่ ยังมีคนคิด อย่างนี้อยู่หรือ อาตมาก็โอ…มันจนแต้มจริง ๆ เพราะฉะนั้น เราจะต้อง ยืนหยัด ยืนยัน ในสังคมของพวกเราไม่มีอบายมุข

นี่ทุกวันนี้นี่ พวกเรา คนอื่นเขาก็ชักจะจำนนบ้าง ยอมรับว่า ชุมชนนี้มันไม่มี ยาเสพติดเลย เดี๋ยวนี้ มันหาไม่ได้แล้วนะ ชุมชนที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นชุมชนในระดับ ไฮโซ คนระดับสูง ยาบ้า ก็ไปถึง คนระดับกลางยาบ้าก็ไปถึง คนระดับต่ำยิ่ง โอ้โฮ..นัวเนียเลย คนระดับต่ำ อยู่ในสลัม อยู่ในหมู่คนพวกนี้ มันยิ่งเละเลย ไปหมด อบายมุขไม่ต้องพูดถึงเลย กินเหล้า เมายา เล่นการพนัน เดี๋ยวนี้ยิ่งพนันเข้าไปถึงที่นอน นอนอยู่ในห้องนอนก็มีการพนัน นะนี่ ไม่มีใครพนัน ก็พนันเองก็แล้วกัน กองนี้กับกองนี้ กองนี้ทีมนี้ มันก็ดูถ่ายทอด แข่งบอล หนอ เอ้า..กองนี้ทีมนี้ กองนี้ทีมนี้ พอเวลามันทำคะแนนขึ้นมา เฮ้ย..ต่อรอง เอากองนี้ ใส่กองนี้ แหมมันเหมือนกันนะ เล่นกันบ้าอยู่บนที่นอนนั่นแหละ มันไปได้ทั้งนั้นแหละ มันเล่นกัน มันติด แล้วมันก็บ้า ๆ บอ ๆ เล่นกันไป ไม่มีอะไรมันก็ติดกันไป

ถ้าเพื่อว่าสังคมใด ชุมชนใด ไม่มีอบายมุข ปลอดพ้นจากอบายมุขกันจริง ๆ นี่ มันเป็น สิ่งที่ประหลาด ในโลกนี้สังคมเป็นสิ่งประหลาด ซึ่งแน่นอน ประหลาดนี้ ไม่ใช่ ประหลาดเลว แต่เป็นประหลาดดี เป็นสิ่งประหลาดที่ดี ใช่ไหม .. เพราะฉะนั้น ทำให้มัน เป็นรูปธรรม ทำให้มันเป็นสังคมที่แข็งแกร่ง แข็งแรงด้วยสภาพพวกนี้ อาตมาว่า ไม่ต้องพิสูจน์อะไรนาน ยั่งยืนโดยที่เรียกว่า อบายมุขเข้าไม่ได้ เขาจะเอาเข้ามาแพร่เชื้อนี้ ที่นี่ไม่รับเลย ที่นี่นี่ กลายเป็นลักษณะของจิตวิญญาณระดับแข็งแรง ระดับจิตวิญญาณ นี่แข็งแรง เรียกเป็นภาษาทางวิทยาศาสตร์ เป็นภาษาทางวัตถุก็คือ จิตวิญญาณ อยู่ใน ระดับสะเทิน สะเทิน อะไรเข้ามาก็ สลายมาเป็นสะเทินหมด บวกเข้ามาก็สลาย ลบเข้ามา ก็สลาย พลังงานบวก พลังงานลบอะไรมา สะเทิน ถูกปรับเป็นสะเทินหมดเลย หมดฤทธิ์

ต้องให้แข็งแรงอย่างนั้น ใครเข้ามาอยู่ที่นี่ ถ้าตัวเองจะยืนยันอยู่นี่ เดี๋ยวก็ค่อย ๆ ถูกสะกัด ออก ตัวเรานี่ พลังงานของสนามแม่เหล็กแห่งนี้ สกัดอันนี้ออก มันไม่เอาไว้หรอก แม้แต่ ในรูปธรรม ในวัตถุธรรม มันก็มีลักษณะพวกนี้ มันเป็นพลังงานชนิดหนึ่ง และพลังงาน พวกนี้ มันเกิดจากจิตวิญญาณพวกเรานี่ แข็งแรงแล้วมันจะเป็น บางคนก็จะหยาบ ๆ หน่อย ไอ้นี่หมั่นไส้นัก มันทำชั่ว ทำเลว อยู่นี่ เดี๋ยวเล่นมันสักหน่อยซี มันเล่น ปากแหลม ซัดด้วยหอกปากไปเรื่อย ๆ หนักเข้ามันทนไม่ได้ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ มันด้านมาก ๆ อย่าว่า แต่ปากเลย เดี๋ยวเถอะโดนสักป๊าบสองป๊าบอะไรนี่ เป็นได้เหมือนกันนะ คนมันสุดทน อะไรอย่างนี้ มันก็มีลักษณะของมันจะอยู่ในนี้ แต่เราก็จะไม่ถึงขั้นขับไล่หรือว่า ขจัดเขา ออกไป ถึงขนาดต้องลงมือลงไม้นะ

แค่ปากหอกแค่หอกไปจากตา แหมสายตา แหลมเปี๊ยบ ทิ่ม แหม สายตาทนไม่ได้ มาก ๆ เข้าทนไม่ได้ แค่สายตานี่หลาย ๆ สายตานี่ คนมันมีความรู้สึกนะ จิตวิญญาณนี่ มันร้ายกาจนะ จริงไหม สายตาคนนี้ มันเป็นตัวประหลาดอยู่ในนี้ พอเจอสายตาใคร ก็ทิ่มป๊าบ สายตาก็ บางทีห้าหกสายตาป๊าบ มันรู้สึกนะ มันไม่รู้สึกได้อย่างไร มันทน ไม่ได้หรอก วันหนึ่งมันก็ต้องไป อยู่ไม่ได้ หอกปาก หอกตา สองอย่างเท่านั้น มันก็ไปแล้ว ยังมีลีลาด้วยนะ กิริยาต่าง ๆ แสดงกิริยาหอกได้นะ กิริยานี่ เห็นไหม มันละเอียดนะ มันลึกซึ้ง มนุษยชาตินี่ เพราะฉะนั้น พวกนี้เราเห็นจริงเลย เป็นจริง แล้วจะเกิดจริง สังคมพวกเราถึงพยายาม อย่าว่าแต่เฉพาะอบายมุขเลย

แม้แต่โลกของการโลภในลาภ วิญญาณของพวกเรานี่ ดูซิว่าในกลุ่มชุมชนไหน ที่จะละเอียด ละออ จนกระทั่ง..โอ้โฮ..มีลักษณะลีลา มีวัฒนธรรม ลาภ ลักษณะหยาบ ในการติดลาภ โลภในลาภ แต่ลีลาของคนกลุ่มนี้พวกนี้นี่ อยู่กัน ร้อยคน อยู่กันพันคน ลีลาไม่ติดในลาภ ไม่ขี้เหนียวในลาภ ไม่โลภในลาภ มันก็จะมี ความจริง เกิดจากใจ เป็นประธาน ออกมาทางกายทางวาจา มันจะเกิดจริง ร้อยคน มันก็จะแสดงลีลานั้นออก พันคน มันก็จะแสดงลีลานั้นออก ฟังเข้าใจนะ พวกนี้ของจริง มันไม่ได้มาเสแสร้งหรอก มันเป็นจริง ดัดจริต เสแสร้ง กลบเกลื่อนมันก็เป็นเหมือนกันนะ เป็นมันก็จะเป็น ลักษณะหนึ่ง ในเมือง ในกรุงอะไรพวกนี้ มารยาเยอะ โอ้ย..ไม่โลภ ไม่โลภขี้หมาอะไร มันเสแสร้ง มันมีวิธีการใช้ทานใช้บริจาคนี่ เป็นวิธีการที่จะโลภมากกว่าเก่า

แต่คนสุจริตใจ ทานที่บริจาคอย่างสุจริตใจนี่ มันก็ต่างกัน พลังงานพวกนี้ มันจะละเอียด ลึกซึ้ง ความจริงกับความลวงนี่มันจะมีอยู่อย่างนี้ซับซ้อน เพราะฉะนั้น เราสร้างมนุษยชาติ ให้เป็นมนุษยชาติ ดังที่อาตมากล่าวนี่ ให้จริง ลองดูเถอะ สิบปี ยี่สิบปี ห้าร้อยปี อาตมา กำหนดเอาไว้ห้าร้อยปีนี่เป็นสูงสุด ห้าร้อยปีนี่อันนี้จะสมบูรณ์ แต่ถ้าตั้งใจสร้างกัน ไม่ถึงหรอก รูปร่างพวกนี้ ลักษณะพวกนี้ สังคมมนุษยชาติพวกนี้จะเป็นจริง ไม่ต้องถึง ห้าร้อยปีหรอก สามร้อยปี สองร้อยปี แหมยี่สิบปีก็ดีนะ อาตมาก็อาจจะพยายาม กระเสือก กระสนอยู่ อีกยี่สิบปีให้ได้ ตอนนี้มันก็แก่ขนาดนี้ อยู่สักอีกยี่สิบปีให้ได้นี่ ถ้ายี่สิบปีนี่ ก็ปาเข้าไปเกือบ ๆ เก้าสิบแล้ว ถ้าอยู่ยี่สิบปีนี่ก็เกือบเก้าสิบ แปดสิบแปดปีนะ ถ้าอยู่อีก สักยี่สิบปี ก็แปดสิบแปด เกือบเก้าสิบแล้วนี่ ถ้าอยู่ได้ก็คงจะได้เห็นอะไรบ้าง ย่นย่อ จากห้าร้อยปี มาเหลือยี่สิบให้ดูหน่อยซิ ..(หัวเราะ)..

โอ้โฮอยากดูนะ .หา.. มันต้องไปตามจังหวะ ที่ได้สัดส่วน เราจะอยากมาดู มันก็ลัดอันอื่น ขณะนี้นี่เอ้า.. ถ้าอาตมา มาอยู่ที่นี่เสียแล้ว แล้วจะไปดูแล..ทางปฐมก็ยังไม่ลงตัว ทางราชธานี ก็ยังไม่ลงตัว แม้แต่สันติเอง แม้แต่ศาลี สีมา อะไรก็แล้วแต่ มันก็ต้องดู ถ้ามาอยู่ที่นี่ มันก็จะได้ประโยชน์อย่างหนึ่ง แต่มันก็จะขาดอะไร มันก็ต้องดูว่า ความเหมาะสม อะไรที่อะไร มันควรจะเป็นจะไปอยู่ อาตมาก็คิดว่ามาตอนนี้ มันยังไม่ได้หรอก ถึงเวลา มันก็คงจะมา

ถ้าจะมานั่งเขียนหนังสือนี่ อาตมาว่า จะเขียนหนังสือศาสนาพุทธ ไว้ให้มันเหมือน คัมภีร์ กุรอาน ไว้เลยสักเล่ม เขียน จะใช้เวลาอย่างน้อยก็คงสักห้าปี เขียนศาสนาพุทธ ไว้ให้มันสมบูรณ์ เดี๋ยวนี้ไม่รู้แล้วศาสนาพุทธ แค่เป็นเทวะนิยม หรือ อเทวนิยม ก็ไม่รู้แล้ว อเทวะนิยม นั่นคือ เป็นเทวะเป็นอำนาจพลังอะไรอันหนึ่ง ที่ไปหลงว่า อยู่ข้างนอกตัว แล้วเป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะขอได้ บันดาลเราได้ นั่นคือ เทวะนิยม ลองคิดดูซิ ชาวพุทธนี่ บันดาลไหม แม้แต่พวกคุณก็เถอะ ยังมีเชื้อเทวะนิยมพวกนี้อยู่ไหม มีใช่ไหม นั่นน่ะ อยากจะให้ บันดลบันดาน

ศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนาที่เกิดท่ามกลางเทวะนิยม ของพระพุทธเจ้าเป็นอเทวะนิยม ไม่มีสิ่งบันดลบันดาน ไม่มีสิ่งอะไรมาเนรมิตมาให้เรา นอกจากตัวเราเท่านั้น อัตตา หิ อัตโน นาโถ เราพึ่งตน ตนพึ่งกรรมของตน กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นของเรา กัมมัสสโกมหิ กัมมสกตา กรรมเป็นของตน อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าเพื่อว่าเราเอง เราไม่เข้าใจลักษณะนี้ เราก็ยังไม่อยู่ในร่องในรอยของพุทธ ลองคิดดูซิ นี่ทั่วไปเป็นอย่างไร โอ้โฮบูชา นี่.. บูชาราหูวัดอะไรนะ โอ้โฮ..ครึกครื้นกันใหญ่เลย บูชา มันนอกรีดไปหมด อาตมาถึงได้ตอบคำถามที่ออกไอทีวี ดัง ไอทีวีมาถึงนี่ก็ถาม โอ้… ท่าน ท่านออกไอทีวี ออกมันหนเดียวนะ โอโฮมันดัง เราออกในรายการตามหาแก่นธรรม เวทีชาวบ้านอะไร ออกไปตั้งเยอะตั้งแยะ ไม่มีคนรู้จักเลยหนอ ไอทีวีนี่ฤทธิ์แรงหนอ ออกไอทีวี ครั้งเดียวนะ โอ้..นี่เห็นท่านจากไอทีวี เราออกช่องสิบเอ็ด ช่องเก้าไม่กล้าออก อัดไปหลายเที่ยวแล้ว ไม่กล้าออก โพธิรักษ์ นี่แสลงมาก ไม่กล้าออก ช่องเก้ายังไม่กล้า ทั้ง ๆ ที่ช่องเก้านี่ เป็นช่องที่อาตมาอยู่มาแต่เดิม ช่องอาตมาทำงานมาแท้ ๆ เลย ช่องเก้า ไม่กล้า ไม่กล้าเอาออก ช่องสิบเอ็ดนี่กล้า เอาออกไป แม้แต่ประวัติอาตมา เวทีชาวบ้าน เอาอาตมา ออกทั้งดุ้นเลย อาตมาคนเดียวเลยนะ สุขุมเขาสัมภาษณ์ไปทั้งนั่นเลย เป็นชั่วโมง ออก กล้าเอาออกได้ หมดเลย โอ้ย.. ช่องสิบเอ็ดนี่เก่ง ทั้ง ๆ ที่เป็นของรัฐบาล นะ ..หัวเราะ..

แต่ไอทีวีออกนี่มีฤทธิ์มาก อาตมาถึงตอบที่กิตติเขาถามนะ ..ที่บอกว่า ธรรมกายนี่ เป็นอย่างไร ท่านคิดอย่างไร ธรรมกาย อาตมาก็ตอบตัดเชือกเลย ก็ธรรมกายนี่ นิพพาน เป็นอัตตานั่นนะ นิพพานเป็นปรมาตมัน เป็นอัตตานะ มันเป็นเทวะนิยม เพราะฉะนั้น นอกรีตแล้ว ธรรมกายนอกรีตเรียบร้อย เชื่อมั่นอย่างนั้นจริง ๆ เลยว่า สิ่งสูงสุดคือ “ปรมาตมัน“ สิ่งสูงสุดคืออาตมัน คืออัตตา ถ้าใช้ศัพท์ของพุทธก็คือ ใช้อัตตา สิ่งสูงสุด คือ อัตตา อ้าว.. ก็เป็นเทวะนิยมสุดยอดซี ไปแล้ว ธรรมกายจะเป็นพุทธได้อย่างไร ก็ไปเป็น อัตตาแล้ว สิ่งสูงสุดยอดเป็นอัตตา เป็นอาตมัน เป็นปรมาตมัน แค่นี้ก็เป็นเครื่องตัดสิน ได้แล้วว่า มันไม่ใช่พุทธ มันนอกรีตไปแล้ว คนก็บอกว่า อาตมาตอบชัด บางคนเข้าใจ เทวนิยม อเทวนิยม นี่เข้าใจ

ผู้ที่ศึกษามีความรู้เล็กน้อยก็รู้แล้ว เขาบอกโอ..อันนี้ชัด อันนี้เป็นสิ่งที่ยืนยันชัด ไม่วก ไม่วน พูดง่าย ๆ อาตมาว่าพวกตอบพวกนี้ อาตมาตอบหลายปัญหา เขาเข้าใจง่าย เขาว่าโอ.. องค์นี้ ตอบชัด อาตมาก็ว่าเอ.. อาตมาไม่ได้ตอบเก่ง อะไรหนา ทำไมเขาชัดได้ไม่รู้หนอ มันเป็นจังหวะ มันเป็นจังหวะอะไรพวกนี้ เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธเรานี่ อาตมาว่า อย่างไร ๆ เราก็ช่วยกันพิสูจน์ ช่วยกันปฏิบัติ มันไม่ใช่ว่าเราพิสูจน์นี่ เพื่อพิสูจน์ไปได้ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไรหรอก พิสูจน์เพื่อยืนยันสัจจะ เมื่อพิสูจน์แล้วเราก็เป็นคนได้ เรานี่ได้สิ่งดี สิ่งประเสริฐ สิ่งที่มนุษย์ควรได้ ควรเป็น

อาตมาว่าเกิดมาเป็นคนแล้วนี่มาศึกษาเอาของพระพุทธเจ้าที่ท่านเอาแล้วนี่ ท่านตัดสิน เอาแล้ว มาไม่รู้กี่กัปกี่กัลป์ ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติ กี่แสนชาติ ล้านชาติ ล้าน ๆๆๆๆ ชาติ ก็ศึกษา สั่งสมมาจนขนาดนี้ สุดท้ายท่านก็เอาอันนี้แหละ แล้วก็นำพากัน มาบอกทุก ๆ คน มาเรียนรู้แบบนี้ แล้วก็มาเอาอันนี้กัน ท่านก็ค้นคว้าหาสิ่งที่ประเสริฐสุด จนกว่าจะ ปรินิพพานไป ท่านก็ได้แล้ว เกิดมาเป็นคนนี่จะเอาอะไรสุดยอด เอาอันนี้ ได้อันนี้ เป็นอรหันต์แล้ว ก็ได้สุดยอดแล้ว

แต่เป็นอรหันต์แล้วอยากจะอยู่หรือไม่อยู่ ก็เรื่องอีกเรื่องหนึ่ง ที่อาตมาบอกแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว อยากจะมาช่วยโลกอยู่อีก อยากจะกตัญญูกตเวทีต่อศาสนาก็ว่าไป จะวนเวียนเกิดอีก ก็ไม่มีปัญหา มีหลักประกันอยู่แล้ว แต่ก็รับวิบากไปอีกด้วย เพราะยัง วนเวียนเกิดอยู่นี่ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้ มันก็ต้องเจอ โดยเฉพาะวิปากทุกข์ แต่วิปากทุกข์ ก็ลดได้ดี แม้ทุกอย่างนะ ไม่ว่าจะเป็นพยาธิทุกข์ จะเป็นทุกข์อะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ที่เป็นเครื่อง เป็นคุณค่า เป็นคุณธรรมที่ต้องแสวงหา แสวงหาคุณงามความดี แสวงหาสิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า แสวงหาอาหารมาให้แก่ตนเอง มันเป็นทุกข์เหมือนกัน มันเหน็ดเหนื่อย มันก็ต้องพยายาม ใช้ความพยายามกัน แต่อาหาร ก็ต้องเลี้ยงขันธ์ งานการ แสวงหาหน้าที่งานการ แสวงหาประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ต่อโลกต่อมนุษย์ ไม่ต้องมาบำเรอตนหรอก แต่มันก็เหนื่อย มันก็ต้องมีอุปสรรค มันต้องต่อสู้ มันเป็นทุกข์เหมือนกัน เป็นอุปสรรคก็ทุกข์ แต่มันก็เป็นประโยชน์

เมื่อเข้าใจแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะฉะนั้น บางคนก็บอกว่า อู้ย..เป็นอรหันต์แล้ว หมดทุกข์แล้ว จะมาทำให้มันเมื่อยทำไม ก็คิดอย่างคนเห็นแก่ตัวอยู่นะ เห็นรอยไหม เห็นรอยความเห็นแก่ตัวไหม คนที่พูดอย่างนี้ ก็บรรลุแล้วเหมือนกับอย่างมาร มานิมนต์ พระพุทธเจ้า พอตรัสรู้เสร็จบอก อ้อ..ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรือ ตายเสียซี มารนิมนต์ให้ตาย ก็ในตำนาน ในประวัติ ในพระไตรปิฏก ท่านตรัส เล่าแล้ว พอตรัสรู้เสร็จ มารก็มานิมนต์ให้ตาย พระพุทธเจ้าบอกเฮ้ย..เรายังไม่ตายหรอก เราจะต้องสร้าง พุทธบริษัทสี่ ให้แข็งแรง ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ทั้งภิกษุ ภิกษุณี ให้ครบ แต่ละบริษัท ก็ต้องให้ อะไรล่ะ ต้องให้เป็นผู้ที่ฉลาดจำ โอ้ย. อาตมาก็ไม่ได้ท่อง ภาษาพวกนี้ ทั้งอาจหาญ แกล้วกล้า ทั้งปรัปวาท ทั้งอะไรต่ออะไรก่อน เราถึงจะตาย มาร แน่ะ แสดงว่า มีกิเลสนะ ยังอยากสร้างศาสนาอยู่ ยังอยากให้คนอย่างโน้นอย่างนี้อยู่ แล้วมันง่าย ที่ไหนล่ะ มันเหนื่อยนะ มันไม่ใช่ธรรมดานะ ไม่ง่าย แต่ท่านก็ต้องทำว่าเป็น อาหารปริเยฏฐิทุกข์ เป็นทุกข์ที่จะต้องแสวงหา จะต้องพยายามอุตสาหะวิริยะ มันเพื่อประโยชน์ต่อโลก มันเป็นโลกานุกัมปา มันเป็นการเกื้อกูลโลก อนุเคราะห์โลก ถ้าไม่ทำซะ แล้วใครทำล่ะ

พระพุทธเจ้าถึงบอก พอตรัสรู้เสร็จ สหัมบดีพรหมก็มาอาราธนา อย่าว่าแต่มารเลย พรหมยังมาอาราธนาเลย บอกอาราธนา แต่อาราธนาดี พอมาปริวิตกแวบเดียวว่า โอ้มนุษย์ มันเต็มไปด้วยกาม เต็มไปด้วยอัตตามานะถือตัวอย่างนี้นี่ มันจะสอนได้หรือ สูญเปล่ามั้ง แว็บเดียวปริวิตก สหัมบดีพรหมก็มาอาราธนา ไม่ได้นะพระเจ้าข้า ฉิบหาย ใหญ่เลยนา เป็นพระพุทธเจ้าแล้วไม่สอนมนุษย์นี่ จริง ๆ ก็รวม เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สหัมบดี บดียิ่งใหญ่ สหัมบดีพรหม พรหมที่ยิ่งใหญ่ สภาพที่รวมความยิ่งใหญ่ ของความมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั้น รวมให้ท่านรู้สึกว่า โอ้ไม่ได้ ก็เท่ากับ พูดเป็น บุคลาธิษฐาน ก็มีสหัมบดีพรหมมา แหม วาดรูปมานั่ง ชันเข่า ยกมือ ..(หัวเราะ ).. เขาวาดรูป สหัมบดีพรหม มีสี่หน้าด้วยหนอ อาราธนาพระพุทธเจ้าบอก ไม่ได้นะ ฉิบหายใหญ่แล้ว ถ้าไม่สอน ความจริงก็คือนามธรรม หรืออรูปธรรม

นามธรรมก็คือ พระพุทธเจ้าท่านสำนึกท่านเองนั่นแหละ ท่านปริวิตกพั้บ เร็วเท่าชั่ว เหยียดแขนออก คู้แขนเข้า ลัดนิ้วมือเดียว ท่านรู้สึกตัว ไปปริวิตก เอ้อ ไปคิดอย่างนี้ ไปดำริอย่างนี้ ไปคิดว่า ไม่สอนมนุษย์นี่มันจะใช้ได้อย่างไร เสียพระพุทธเจ้าหมด ท่านก็สำนึกของท่าน เป็นสหัมบดีพรหมต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา อันยิ่งใหญ่ เป็นสหัมบดีพรหม สหัมบดีน่ะ สห = รวม บดี=ยิ่งใหญ่

พรหมทุกพรหมก็ต้องมารวมกันอยู่ในนี้ ต้องมีความเป็นพรหมวิหาร อัปปมัญญา ต้องมี ความเป็นจริง ที่จะต้องเกื้อกูลช่วยเหลือโลกมนุษย์ ถ้าไม่ช่วยมันก็ผิด เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ก็ต้องมีอย่างนี้ทุกองค์ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย เรียนรู้ไปแล้ว แค่โพธิสัตว์ ก็ยังต้องมี ต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องมีอัปปมัญญา

พวกเรานะ มีแล้วดีไหม ถ้าพวกเรามีพรหมวิหารสี่ ดีไหม ?…..(ดีคะ).. มีให้จริงก็แล้วกัน มันเป็นความดีของโลก มันไม่ดีได้อย่างไร มันเป็นคุณธรรมอันวิเศษของจิตวิญญาณ ต้องทำ ให้เป็นให้ได้ แล้วเราก็จะช่วยสังคมโลกมนุษย์ไป พวกเราก็พยายามนี่ เป็นเมือง สวรรค์ เป็นเมืองพรหม เป็นเมืองที่จะต้องมีคนจิตใจแบบนี้ จิตใจที่จะสร้างสรร แล้วก็เกื้อกูล เสียสละ ไม่มีหละความโหดร้ายทารุนวุ่นวาย เมื่อโลกมันห้ามไม่ได้ เราก็ต้องสร้าง อาตมาถึงบอกว่าจำนนในโลกนี้ เขาบอกว่าจะต้องไปแก้ไข ไปช่วยโลก ไปช่วยอย่างโน้นอย่างนี้ บอกโอ้โฮ.. ไปช่วยมันไม่ไหวหรอก มันอื้อฮือ.. มันร้ายแรงนะ มันก็ มันไม่ไว้หน้าเราทุกอย่าง แล้วมันหยาบคายได้ด้วยนะ มันฆ่าเราตายได้ด้วย มันทำหยาบ ทำกรรม ทำอะไรต้าน โต้ต้าน มันมีทุกอย่าง มันต้านเราไม่ให้ทำอะไร ไม่ให้กระดุกกระดิก อะไรได้เลย เพราะฉะนั้น เราทำงานร่วมกับเขาไม่ได้ ทำงานอยู่ในสนาม อยู่ในวงจร ของเขาไม่ได้ ต้องหลุดออกจากวงจร อาตมาถึงต้องลาออกจากเถรสมาคม

ถ้าอาตมาไม่ลา อยู่ในนั้น ถูกอำนาจ กฎระเบียบ อำนาจอะไรต่ออะไรทุกอย่าง เขากั้นไว้ หมดเลย เขามีอำนาจด้วย สั่งให้ไม่ให้ทำ ต้องไม่ทำ ไปทำไปฝืนได้อย่างไร เขาก็ลงโทษ เขาก็อะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานา ไม่อย่างนั้นก็ต้องสึกออกมา ทีนี้อาตมาจะทำงานโดยเป็น ฆารวาส มันไม่ได้ มันก็ต้องเป็นสมณะ เป็นพระภิกษุนี่แหละ แล้วลาออกมา ซึ่งอาตมา ก็ลาออกมาถูกต้อง ตามหลักนานาสังวาสหมดแล้ว แต่เขาไม่ยอมรับ เขาก็ว่าของเขาไป เขาเป็นอาบัติของเขาเอง แต่เขาเอง เขาไม่ยอมรับก็เรื่องของเขา สัจจะก็คือสัจจะ จริง ๆ เขาอาบัติ เขาอาบัติ ถ้าเขารู้สึกตัวแล้วเขาปลงอาบัติของเขา เขาก็สำนึกว่า เออ เขาก็ผิดพลาด ที่เขามาทำกับอาตมาผิดพลาด เขาก็ดีไป ถ้าใครเขาไม่สำนึก เขาไม่อะไร ผิดอะไรวะ ไม่มีผิด อ้าวก็เรื่องของเขา สัจจะก็เป็นสัจจะ เขาก็ไม่ปลงอาบัติ เขาก็มีบาป มีเวรของเขาไปอย่างนั้นแหละ บาปเวรก็เป็นไปตามบาปเวร ทำกับใครไม่ทำ ทำกับ พระโพธิสัตว์ ก็แล้วแต่นะ เขาก็ทำของเขา เขาไม่รู้ตัวก็เรื่องของเขา หรือรู้ แต่เขา ไม่ยอมเชื่อ เขาไม่เห็นด้วยหรอก เขาก็เป็นของเขา

มันก็ยิ่งซับซ้อนนะ พวกนี้มันก็ยิ่งซับซ้อน เพราะฉะนั้น เราพยายามพิสูจน์ดูซิ พิสูจน์สัจจะ ที่พระพุทธเจ้าท่านได้ค้นพบ เอามาทำขึ้นไปเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเมืองคนที่มีอาริยธรรม มีศรีอาริยะ คนที่มี เมืองที่มีศรีอาริยะ เมตตา เมตไตรนั่นแหละ มีศรีอาริยเมตเตยยะ คุณลักษณะพวกนี้น่ะ เป็นนามธรรม อาตมาไม่ได้พูดว่าอาตมาเป็นพระศรีอารยะ อย่าไปเข้าใจผิดนะ แต่เป็นคุณธรรมของศรีอาริยะเมตเตยยะ เป็นคุณลักษณะของศรีก็ดี เมตเตยยะ ก็เกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่น

ทุกวันนี้เรามีลักษณะนั้น ขึ้นมาบ้างหรือยัง มีหรือยัง ..(มีคะ).. โธ่เอย..จิ๊ดเดียว ..ทำคุย อา..มีบ้าง มีบ้าง น้อย ๆ ยังไม่มากไม่มายนะ แต่เอาละ มีรูปมีร่างจริง ๆ มันเกิดจาก ความจริง ที่เราเป็น ๑. เราพึ่งตนได้ ๒. เราขยันหมั่นเพียร ๓. เรามีสมรรถนะ ความสามารถ มีทักษะ ๔. เราก็ไม่หวงแหน เราก็สร้างสรรเป็นคนที่ตัวเองไม่กิน ไม่ใช้มากมาย พึ่งตนเองได้ ขยันหมั่นเพียร มี efficiency มีสมรรถนะ มี skill มีทักษะ มีความขยัน อะไร ความขยัน active active อะไรขยัน ภาษาอังกฤษคุณเอย active ขยัน มันก็ดี มีความกระตื อรือร้น มีการสร้างสรร active นะ มีการสร้างสรร มีความเสียสละ เสียสละอย่าง มีความรู้ มีปัญญา มีความเข้าใจว่า สละทำทานต้องมีปัญญา ถ้าทำทาน ไม่มีปัญญาก็ได้บาป ทำทานไม่มีปัญญา ก็เป็นพิษเป็นภัยซ้อนย้อนย้ำ ย้อนศร ไม่ดีเหมือนกัน ทำทาน ที่มีปัญญา ก็จะเกิดการสร้างสรร เกิดการเกื้อกูล เกิดการพัฒนาขึ้นไป ทั้งตน และท่าน ทั้งสังคม มันจะพัฒนาทั้งสังคม ซึ่งเป็นความลึกซึ้งทีเดียว

อาตมาก็ว่าพยายามดูแลพวกเรา ดูแลว่าพวกเราจะทำกิจกรรมกิจการ มีสัมมาอาชีพ มีการงาน มีอะไรต่ออะไรอย่างไร ๆ ซึ่งต้องยืนหยัดยืนยันทำอาชีพกสิกรรม มันมีใหญ่ ๆ อาชีพใหญ่คือ อุตสาหกรรมกับกสิกรรม ในโลก อาชีพใหญ่นี่ อุตสาหกรรมกับกสิกรรม ซึ่งมนุษย์ต้องใช้อาศัย ส่วนอาชีพอื่นนี่จะเป็นอาชีพหมอ อาชีพอะไรก็แล้วแต่ต่าง ๆ นานา อาชีพต่าง ๆ มันก็เป็นอาชีพ แต่ว่ามันไม่ใช่อาชีพใหญ่ อาชีพอันนี้เป็นอาชีพที่คนต้อง อาศัย อุปโภค บริโภคนี่ อาชีพใหญ่ อุตสาหกรรมกับกสิกรรม ดินแดนไทยเป็นเมืองอยู่ในโซนอุ่น โซนร้อน คือมีแดดได้เต็มที่ ตะวันตกยุโรปเขาน่ะมันไม่มีแดดเต็มที่ มันต้องสร้าง อุตสาหกรรม มันก็ใช่ของเขา แต่โซนเอเชียนี่มันต้องกสิกรรม ต้องกสิกรรม แล้วมันก็จะเผื่อแผ่

แต่เราจะมีความรู้ทางอุตสาหกรรมบ้างก็ทำไปเถอะ พอช่วยตัวเองได้ แต่ไม่ต้องเอา เป็นเอกหรอก เอากสิกรรมเป็นเอก เขาไม่หยุดหรอก อุตสาหกรรมก็ไม่หยุด จะสร้าง วิศวกรรม จะสร้างอะไร วิทยาศาสตร์อะไรก็ว่ากันไปเถอะ ไม่มีปัญหาอะไร เราก็เรียนรู้ พอสมควร เป็นรองไง อันหนึ่งเป็น major อันหนึ่งเป็น miner เราต้องเอากสิกรรมเป็น major อุตสาหกรรมเป็น miner เราจะต้องติดดิน เราจะต้องขายของราคาถูก เราจะต้องสร้าง กสิกรรมนี่ให้ได้คุณภาพที่ดี แล้วขายราคาถูก แล้วให้ได้ปริมาณมาก และเราเป็น มหาอำนาจ ในทางของกินของใช้ที่เป็นอุตสาหกรรมบ้าง แต่มีกสิกรรมนี่เป็นเอก เป็นหลัก เราไปหลงอุตสาหกรรม ไปหลงวิทยาศาสตร์ ไปหลงวิศวะ ไปหลงเครื่องกล กันพอสมควร ที่หลงเพราะอะไร เพราะทรัพยากรวัตถุดิบของโลกมันร่อยหรอ พอร่อยหรอ มันก็ต้อง มาคิดวิทยาศาสตร์ มาคิดวิศวะอะไรเพิ่มเติมขึ้นมา ก็เลยดูว่าเก่ง มันมาทดแทน เสร็จแล้ว มันก็กลายเป็นความซับซ้อน

เหมือนหมอที่อธิบายเมื่อวานนี้ มันไปคิดโน่นคิดนี่ มาทดแทน ที่แท้จริง มันก็โถมันแย่ กว่าเก่า มาขายเอาราคาแพง มาโน่นมานี่ นึกว่ามันเก่ง ที่แท้ ใส่เข้าไป รับเข้าไป กลายเป็น ส่วนพิษส่วนภัย ส่วนเกิน กลับยอกย้อนไปอีก อย่างหมอพฤกษ์อธิบายเมื่อวานนี้ เป็นยา ที่แท้ เป็นยาพิษไปในตัวด้วย ก็ไม่รู้ หมอก็หลอกเอาเงินไปอย่างเดียว สังเคราะห์สกัด มาแค่ ทุนสามบาทขายมันห้าร้อย อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เป็นเรื่องที่จะต้อง เรารู้เท่าทัน เราศึกษา เข้าใจแล้ว เราก็ต้องพยายามมาเรียนรู้อันนี้ ต้องเอาความเป็นจริงอันนี้ กลับคืนมา เพราะคนมันไปหลงอุตสาหกรรม มันไปหลงวิศวะ มันไปหลงวิทยาศาสตร์ ใช่ไหม ก็เอาคืนมา เราอาจจะไม่เก่ง ไม่เป็นไรหรอก ไม่เก่งวิศวะ ไม่เก่งวิทยาศาสตร์ แต่รู้ทันมันบ้างแค่นั้นแหละ อย่าให้มันมาหลอกเรา รู้ทันมันบ้าง ถ้าเราผลิตได้ก็ผลิต เราก็ไม่ได้ปฏิเสธทีเดียว อันเหมาะสมก็ทำได้ทำไป ก็จะเจริญไป คุณจะเจริญ เท่าเทียม เขาก็ได้ ถ้าคุณสามารถน่ะ แต่ไม่ต้องไปเน้นนะ เน้นไอ้นี่ มีกินมีใช้ไว้ก่อน กสิกรรมนี่ มีใช้ไว้ก่อน เพราะฉะนั้น เราต้องพิสูจน์กันไปนาน เป็นร้อย ๆ ปี

เขามันผิดเพี้ยนมานี่ มันหลายนานไม่ใช่เป็นร้อย ๆ ปี เท่านั้น มันหลายพัน หลายหมื่นปี มันเป็นพัน เป็นหมื่นปี ที่เขาบ้าเลือดมาน่ะ มันถึงกลบกลืน จนกระทั่ง คนเข้าใจผิด มันใช้เวลาตั้งนาน เพราะฉะนั้น เราจะแก้กลับนี่ จะใช้เวลาอันสั้น มันจะเก่งมากไปมั้ง เรามาใช้ เวลาขนาดนี้ อาตมาว่ามันไม่นานนะ ห้าร้อยปีนี่ จะไม่นานหรอก อาตมาคิดว่า ห้าร้อยปีนี่ เราจะพิสูจน์กลับมาให้ได้ว่า คุณจะต้องซูฮกกับกสิกรรม อย่าไปซูฮก อุตสาหกรรม อุตสาหกรรมไม่ใช่ธรรมชาติโลก กสิกรรมต่างหาก ธรรมชาติโลก อุตสาหกรรม มันเป็นเรื่องของการปรุงแต่ง เรื่องของการฝีมือ เรื่องของการเอาชนะ ธรรมชาติ มันเป็นเรื่องเกินธรรมชาติ มันเป็นเรื่อง จริงอาจจะเก่งกว่าธรรมชาติ แต่มัน ไม่ใช่ธรรมชาติ อุตสาหกรรมนั้นน่ะ หรือวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ นั้น มีกากเศษ แต่ถ้าเป็น กสิกรรมที่สมดุล ไม่มีกากเศษ ไม่มีพิษ ไม่มีพิษซ้อน ไม่มีอะไรเกิน พิษซ้อนเกิน ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ไม่เกิน ไม่มีแกสพิษ ไม่มีน้ำพิษ ไม่มีสารพิษ ไม่มีอะไรเป็นพิษ มันจะไม่เกิน ฟังพอเข้าใจนะ มันจะเรียนรู้ มันจะทำของมัน และโดยธรรมชาติ มันจะจัดสรรของมัน โดยสมดุล

คำว่าสมดุลนี่แหละไม่เกิน แล้วมันก็จะเป็นของมัน มันก็จะเกื้อกูลกันไป มันก็จะหมุน เวียนกันไปตามธรรมชาติ แต่วิศวะ วิทยาศาสตร์นี่ มันมาทำเกิน ..โอ้โฮ.. เราเอามา สังเคราะห์ให้หัวเคี่ยวข้นเลย เป็นยาพิษเป็นไอ้โน่น เป็นไอ้นี่ เป็นอะไร แม้แต่พลังงาน ทางความร้อน แสง เสียง ก็เอามาเกิน ๆๆๆๆๆ หมดเลย เพราะฉะนั้น มันก็เลยเป็นพิษ หมดเลย เพราะว่าพวกนี้มันทำเกินกว่า ธรรมชาติมันจะต้องใช้เวลา จะต้องใช้อะไร ต่ออะไรต่าง ๆ นานา เข้าไปถึงขนาดนั้นขนาดนี้นี่ มันทุกอย่าง มันมีตัวผ่อนคลายในตัว ละลายมัน เป็นตัว dilute มันมีตัวอะไรต่ออะไร มันก็เกิดความเข้ม ความข้น ความจัดจ้าน แต่เจ้าวิทยาศาสตร์ วิศวะ มันมีความจัดจ้าน มันก็เลยกลายเป็นพิษแรงไปมากไป แก๊สก็แรงไป น้ำที่ผสมส่วนนั้นก็แรงไป ดินอย่างนั้นผสมส่วนก็แรงไป จะเป็นแรงดัน ความร้อน แสง เสียง อะไรก็ตามแต่ มันก็จัดไป

แสงก็ทำให้ทำลาย ทำลายทั้งสรีระ ทำลายทั้งสายตา ทำลายทั้งเสียงก็ทำลาย แสงก็ทำลาย ความร้อนก็ทำลาย ทำลาย หมดเลย เป็นฟิสิกส์ก็ทำลาย เป็นเคมีก็ทำลาย เพราะมันเอามาเกินธรรมชาติ ที่มัน จะควรจะเป็น นี่พวกนี้นี่เป็นเรื่องที่ความไม่เข้าใจ ถึงเรื่องของความสมดุล ต้องการเอาชนะ และคือความขี้โลภ ต้องการเร็ว ต้องการมาก ต้องการจัด ๆ แรง ๆ หรืออะไรอย่างนี้ มันก็เลยเพี้ยนไปหมด เพราะฉะนั้น เรากลับมาสู่ สภาพที่เป็นธรรมชาติ เป็นสภาพที่สมดุล เป็นสภาพที่เป็นไปตามอายุเวลา ตามสามารถ ของมัน อาตมาก็ไม่รู้จะพูดภาษาอะไร ก็อธิบายอย่างนี้ไป ฟัง ๆ ดู ก็เข้าใจก็แล้วกัน

เอาละเราพยายามที่จะมารวม ไม่ได้รวมโดยที่เรียกว่าไปโกย ๆ ไปเกณฑ์ ๆ ไปเที่ยวได้ เรียกร้อง ไปป่าวประกาศหาสมุน หาบริวาร หาอะไร ๆ มา ไม่ใช่ มันจะมารวมกัน โดยสัจธรรม เรียนรู้ แต่ละคนรู้ คนนั้นรู้ คนนี้รู้ เข้าใจ แล้วก็ปรับตัวเองมาให้เป็นตัวจริง มันก็จะค่อย ๆ มารวมกัน จะเกิดเป็นระบบ อย่างที่อาตมาอธิบายเมื่อวานนี้ มันจะค่อย ๆ เข้าระเบียบระบบ เป็นระบอบระแบบไปเรื่อย ๆ แล้วมันก็จะเป็นสภาพที่ยืนยัน ยืนหยัด พิสูจน์ความจริงว่า มนุษย์ควรจะเป็นเช่นนี้ มนุษย์เช่นนี้แหละมีสุข มนุษย์เช่นนี้แหละ เป็นบุคคล ที่น่าบูชาเคารพ มนุษย์เช่นนี้แหละเป็นคนมีประโยชน์คุณค่าต่อมวลมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น อโศกเพื่อมวลมนุษยชาตินั้น มันต้องพิสูจน์

มาทุกวันนี้ก็พิสูจน์กันขึ้นมา ก็จะเห็นได้ว่า เขาเข้าใจนะ ส่วนนั้นส่วนนี้ เขาก็พอยอมรับ อะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานา แต่ก่อนนี้ไม่ต้องไปพูดถึงระดับผู้ว่าหรอก แค่นายอำเภอ ก็ไม่เล่นกับเรา แต่ก่อนนี้จริง ๆ แค่นายอำเภอก็ไม่เล่นกับเรา ผู้ใหญ่บ้าน ยังไม่เล่น กับเราเลย แต่ก่อนนี้ ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน ก็ไม่เอา แต่เดี๋ยวนี้นี่ เออ..ชักผู้ว่า ฯ มาแล้ว ระดับผู้ว่ามาแล้ว รัฐมนตรีก็มาบ้าง นิด ๆ น้อย ๆ กรีดๆ กราย ๆ แม้แต่รัฐมนตรีก็กรีด ๆ กราย ๆ มาบ้าง เราก็ไม่ไปเรียกร้องหรอก จนกว่าเขาอยากจะมา อยากจะเป็นอะไร ของเขาเอง ไม่ใช่ว่าเราเองไปเที่ยวได้แหมไปหว่านล้อม ไปอ้อนวอนขอร้อง ไปใช้กลวิธี ดึงเอาเขามา อะไรต่ออะไร มันไม่จริง เอาให้มันเป็นของจริงเลย จะมาคุณก็เข้าใจ คุณมา คุณยินดี เต็มใจ เห็นดีนะ แล้วคุณก็มากัน เพราะฉะนั้น ยิ่งนายกไม่ต้องพูดเลย อยากมา ก็มาเอง แต่เขาก็พยายามดึงกันมาบ้าง มันก็เป็นไปตามธรรม อาตมาก็ว่าไป เท่าที่มัน เป็นไปได้ แต่ถึงขนาดนั้น มันก็ยังเป็นไปได้ เอปี ๔๔,๔๕ นี่ ขนาดอดีตนายกก็มา นายก ปัจจุบันก็มา อะไรอย่างนี้

เอออโศกนี่ประหลาดหนอมาได้ มายกมือไหว้โพธิรักษ์ได้ ขนาดอดีตนายก ขนาดนายกนะ นายกปัจจุบัน อย่างชวลิตอย่างนี้เป็นต้น นายกทักษิณ อย่างนี้ มาได้ รัฐมนตรีมา ทั้ง ๆ ที่อาตมานี่กลายเป็นตัวสะกั้ง ไม่ใช่กลายหรอก เขาถือว่า เป็นตัวสะกั้งของสังคม เป็นตัว เอ..ภาคเหนือนี่เขาเรียกอะไร อีสานเขาเรียก ขลัม คลำ เป็นของขลัม เป็นตัวขลัม .. หือ… อะไรนะ.. ตัวขลืดหรือ ..ขลืด..เออ..เป็นของแสลงนะ เป็นตัวแสลงของสังคม เป็นของ แสลง ของอะไรก็ไม่รู้ ..ตัวขลัม ..เป็นของขลัม..ขลืด หรือ อ๋อ..เหนือนี่เรียกขลืดหรือ อ้อ.. อีสานเรียกขลำ อาตมานี่เป็นตัว ขลำ เป็นตัวขลืดของสังคม เป็นตัวแสลงของสังคม เป็นตัวสกั้งของสังคม อาตมาไม่เรียกภาษาไทย มีศัพท์ภาษาไทย ที่มันแสลงเหมือนกัน อาตมาไม่เรียก อาตมาเอาของฝรั่งมา แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่า เออสะกั้ง ก็กลิ่นน้อยลงแล้ว อา.. สะกั้ง ก็กลิ่นน้อยลง เขาว่ามันตัวเหม็น อาตมาก็ไม่เคยเห็นนะ ของฝรั่ง ของทางโน้นเขา ตัวมันมีกลิ่นแรง เหม็นอะไร มันเป็นตัวหน้าเกลียด ใครเอามาแล้วโอ้ย ถือเป็นตัว เสนียด จัญไร ไม่ดี แต่เดี๋ยวนี้ก็รู้สึกว่าเออพอเข้าใจ พอรับได้บ้าง นิด ๆ นะ พอรับได้บ้างนิด ๆ

เราก็พิสูจน์ตัวเราไป มีทั้งองค์ประกอบของมนุษยชาติที่พึงมี อย่างน้อยอย่างที่มัน เข้ากับ สังคม สังคมนี้คือ ต้องพึ่งตนเอง อย่างในหลวงทรงพระปรีชานะ ในหลวงนี่ ต้องให้มี ชุมชนพึ่งตนเอง พอเพียง ไม่ใช่ว่าเอามากเอาเกิน โลภโมโทสัน

นี่ท่านก็ตรัสมาเป็นหลักของสังคม เขาก็ยังไม่เข้าใจ พอเข้าใจบ้างบางคน แต่เขาก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร เข้าใจอยู่แต่จะทำอย่างไรให้เป็นอย่างที่ในหลวง ตรัสออกมาได้ ก็ยังไม่รู้ แต่ว่า เราทำแล้วนะ เป็นสังคมที่พึ่งตนเอง เป็นสังคมพึ่งพากันได้ สังคมพึ่งพา ก็หมายความว่า สังคมที่พึ่งพากันและกัน พึ่งตนเองก็หมายความว่า เราไม่ไปรบกวน คนอื่น ตัวเรานี่สร้าง กิน ใช้ อาศัย พอเพียง พึ่งพาพึ่งตน แล้วเกื้อกูลคนอื่น เป็นแหล่งที่ เป็น ประโยชน์ต่อคนอื่น ถ้าไปมีแนวคิดอย่างทุนนิยม ไม่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น เราผลิตได้ดี ของดี แต่ขายราคาแพง ขายในลักษณะทุนนิยม ของเราดีเขาก็ต้องอยากได้ เราก็ขูดรีดตั้งราคา เขาก็ต้องซื้อ เราก็ได้เปรียบ เราแนวคิดบุญนิยมนี่เราไม่เอา ไม่ทำ เพราะอะไร เพราะว่าเราไม่ต้องมาก เราก็อยู่รอดแล้วนะ ไม่ต้องขาย แจกยังได้เลย เพราะฉะนั้น จะไปเอามาเกินทำไม แจกยังได้เลย

ถ้าไม่แจกก็แลกคืนมาบ้าง เพราะเราจะต้องใช้วัตถุดิบหมุนเวียน ใช้ข้าวของ ใช้เครื่องกล หลาย ๆ อย่าง เราสร้างเองไม่ได้ เราก็ต้องใช้ เครื่องกลเราก็ต้องใช้ ใช้เงินเหล่านี้ เพื่อที่จะต้อง ใช้ในการซื้อหา แลกเปลี่ยนอะไรกลับมา ใช้ให้มันเกิดการสร้าง เป็นประโยชน์สูง ประหยัดสุด เราก็อยู่ในลักษณะของหลักเกณฑ์ อัตราส่วนที่จัดวัด ด้านคณิตศาสตร์ ด้านพาณิชย์ ด้านเศรษฐศาสตร์ อะไรก็ตามแต่ เราไม่ได้เอาเปรียบ เราอย่างไรพิสูจน์กันได้ว่า วิธีขาย วิธีการค้าของเรานี่ คุณคิดให้ละเอียดเลย เรายังขาดทุน ให้คุณ เสียสละให้คุณ ไม่ใช่เราไปเอากำไรหรือเอาเปรียบแน่ ๆ พิสูจน์ยืนยันความจริง อันนี้ให้ได้ คนเขายังงง ๆ เขายังไม่เชื่อ

อาตมาว่า ด๊อกเตอร์ยุค คนหนึ่งไม่เชื่อ เขารู้ว่าแนวคิดของเราเป็นอย่างนี้ เพราะแกเรียน Globalization มา แกเรียนทางโลกาภิวัตน์ เรียนรู้เรื่องของสังคมโลกมา แกรู้ว่าแนวคิด ของเรา เป็นอย่างไร แต่แกไม่เชื่อว่ามันเป็นไปได้ เป็นได้กลุ่มเล็ก ๆ เป็นได้แต่จะเอามา ขยาย ให้มวลชนนี่ ให้เป็นมหภาค ไม่ได้ แกไม่เชื่อ อาตมาก็ว่าไม่เป็นปัญหาหรอก ทุกวันนี้ เรากำลังสร้างจุลภาค สร้างจุลภาคไปเรื่อย ๆ ให้มันมีจุลภาคมาก ๆ ให้ในประเทศไทย นี่มีจุลภาค สักพันกลุ่ม ชุมชนเกิดพันชุมชนแบบนี้ขึ้นมานี่ คุณไม่เรียกมหภาค ก็ช่าง หัวคุณเถอะ อ้าว จริง ๆ นา ให้เกิดจุลภาคแบบนี้ ชุมชนแบบนี้ มีชุมชนละพันคน พันคน เท่านั้นแหละ จริง ๆ หมู่บ้านหนึ่งไม่ถึงห้าร้อยก็มี เยอะแยะ หมู่บ้านละสองร้อย สามร้อย เยอะแยะไป ในหมู่บ้านตั้งเท่าไร หมื่นหมู่บ้านนี่ ในประเทศไทยนี่ นะ แล้วเขาก็เกิด สภาพอย่างนั้นแหละ มีลักษณะอย่างบุญนิยม อย่างสังคมพวกเรานี่แหละ ชาวอโศก นี่แหละ ให้เกิดซี ค่อย ๆ เกิดไป

ทุกวันนี้มันก็เกิดไป เป็นรูปเป็นร่าง ไปเรื่อย ๆ แล้ว ถ้าว่าจริง ๆ แล้วเป็นสังคมที่ อาตมาว่า จะยืนหยัดยืนยันได้ ก็ยังไม่กี่สังคมนะ ไม่กี่ชุมชนนะ ภูผาฟ้าน้ำนี่จะยืนตัวรอดไหมนี่ ..เสียงเบา ๆ ยืนหยัดยืนยันอย่างลักษณะอโศกนี่แหละนะ จะยืนหยัดรอดไหม … (รอด คะ ครับ).. ตอนนี้ตั้งหลักก็เลยดัง ๆ หน่อย ดังเข้าไว้ขู่เขา จะรอดไม่รอดยังไม่แน่หรอก เอาให้รอด นี่อาตมาดูถูกเอาไว้ ให้มีมานะ ให้มีอุตสาหะ… นา เอาให้รอด… นา ขณะนี้นี่ ดูๆไปแล้ว อาตมาว่า อย่างศีรษะอโศก แม้สันติอโศกเป็นคนเมือง เป็นกรุงก็ตาม อาตมา ก็ว่าอยู่รอด ปฐมอโศกนี่ อย่างนี้อยู่รอด แม้แต่ศาลีอโศกก็เถอะ อาตมาก็ว่าอยู่รอด

ที่ๆมีพุทธสถานนี่นา ที่นี่มีพุทธสถานแล้วนา ชื่อว่ามีพุทธสถานแล้วนา อย่าให้เสียหน้า อาตมานา ที่มีพุทธสถานแล้วนี่คิดว่าอยู่รอด ราชธานีก็เป็นพุทธสถานแล้ว คิดว่าจะอยู่รอด นะ ให้มันเป็นเลย เป็นวัฒนธรรม เป็นจารีดประเพณี มีกิจกรรม มีพฤติกรรม มีพิธีกรรม ของเรา แล้วก็พยายามรังสรรไป ให้เกิดการพัฒนาบูรณาการขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ให้แหม ! ก่อนอาตมาตายนี่ มันจะเป็นตัวที่ดูชัดเจนนะ มันจะเป็นดูชัดเจนนี่ มันจะได้ไหมนะ ก่อนอาตมาตายนี่นะ อย่างว่านี่สักยี่สิบปี ถ้าพวกคุณอุตสาหะพากเพียรกันก่อรูป ก่อร่าง ขยัน หมั่นเพียรอุตสาหะกันจริง ๆ อาตมาว่าคงพอได้ดู แหม ! อาตมาอยากดูนะ พวกคุณ อยากให้อาตมาได้ดูไหมนี่ ..(อยากให้ได้ดูคะ).. อุตสาหะเข้านะ พากเพียรเข้า ไม่ได้พูดเล่นหรอก อาตมาไม่พูดเล่น มันน่าจะโชว์นะ ของนี้มันน่าโชว์นะ

แต่เราไม่ต้องไปอวดไปอ้างหรอก ทำถ่อมตนนี่เห็นไหม สภาพของธรรมในศาสนาพุทธนี่ มันน่าโชว์ แต่อย่าอวดอย่าอ้าง มันซับซ้อน เราไม่อวดไม่อ้างนี่แหละ แต่มันจะรู้สึกน่าโชว์ ก็คิดดูซิ ขนาดนี้ เราเป็นได้แค่นี้อาตมามองว่า พวกเราเป็นได้แค่นี้นี่นะ มันยังไม่ดี เท่าไรหรอก แต่มันก็ดี แต่มันยังไม่ดีขนาดนี้ คนที่มีดวงตา คนที่มีความเข้าใจ เขายัง อุตสาหะ พยายามมาดู ที่นี่จะมาดูกันยาก เพราะมันไกล ต้องถ่อขึ้นมาดูนะนี่ ภูผาฟ้าน้ำนี่ เพราะฉะนั้น คุณต้องดีพอที่คุณจะต้องแลก แหม ! มันต้องยากนะ กว่าจะได้มาดู ตรงนี้ มันเหนื่อย มาก็ไกล โหยว.. มันดีขนาดไหนว้า ที่จะลงทุน ถ้ามันไม่ดีพอ เขาก็ไม่ลงทุนมาดู

ถ้าอย่างง่าย ๆ ถ้าอยู่ข้างล่าง อย่างศีรษะอโศก สันติอโศก อะไรอย่างนี้ มันง่าย ๆ เขาก็ไปดูแหละ มันใกล้ มันไม่ต้องลงทุนมาก แต่ที่นี่ ไม่ดีจริง ๆ เขาไม่มาดูหรอกนะ เราก็ ไม่ได้อยากให้เขามาดูหรอก แต่เขามาดูก็ดีหนอ มันน่าโชว์หนอ เขามาชื่นชม มันก็ดี มันเป็น ลักษณะธรรมชาติของโลกนะ ซึ่งจะเป็นพระอรหันต์ก็ตาม ก็เข้าใจ เออนี่เขามาชื่นชม ในสิ่งที่ดี คนเรามาชื่นชมในสิ่งที่ดี มันก็ดีแล้ว ดีกว่าไปชื่นชมในสิ่งที่เขาหลอกว่าดี แล้วสิ่งที่ เขาหลอกว่าดีนี่มีเยอะ ในโลก ตื่นตูมด้วย เขาหลอกสำเร็จด้วยนะ ทั้ง ๆ ที่มัน ไม่ได้ดีจริงเลย หลอก ไอ้คนนี้ดี น่าเชิดชู น่าติดใจ น่าผูกสัมพันธ์ อย่างพวกดาราอย่างนี้ เป็นต้น พวกดาราอย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปดูถูกดาราว่าเขาไม่ดีหรอกนะ แล้วมันดีอะไรแค่ไหน มันสร้างอะไร กันนักกันหนา หาแต่เงิน ค่าตัวแพงขึ้นเรื่อย ๆ อะไรอย่างนี้ ค่าตัวไม่ถึงเท่านี้ ฉันไม่เอาหรอกนะ เราก็ได้ยินอยู่เสมอ ใช่ไหม แล้วก็จริงด้วย เขาก็อย่างนั้นแหละ

เขาก็หลง เรียกร้องเอาเงิน เอาทอง เอาลาภ เอายศ มาประมูลกัน ว่าฉันดัง เงินก็ต้องขึ้น สรรเสริญมากขึ้น เงินก็ต้องขึ้น ถ้าไปทางโลก ไปเป็นเกียรติมากขึ้น มียศมีตำแหน่งมากขึ้น ก็ขึ้นเงินเดือนมาก ๆ ขึ้นไป เป็นชั้นสูง เป็นผู้จัดการ เป็นผู้อำนวยการ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า อะไร ก็ต้องขึ้นราคากันไป มันก็เป็นธรรมชาติทางทุนนิยมนะ

ซึ่งบุญนิยม เราเห็นแล้วว่า อย่างนั้นนะ มันยิ่งเลว มันยิ่งบาป มันยิ่งเป็นหนี้ ถ้าเรายิ่งเก่ง เรายิ่งดี เราก็ยิ่งเกื้อกูล ยิ่งเสียสละให้คนได้ต่างหากเล่า มันเป็นบุญเป็นกุศล มันไม่ได้ เป็นหนี้ มันยิ่งมีทรัพย์ มันยิ่งรวย รวยธรรมะน่ะ ยิ่งรวยนี่แหละ คือ คนยิ่งไม่มี เออ พูดโดยศัพท์ ให้มันงง ๆ ยิ่งรวยนี่แหละคือคนยิ่งจน พูดภาษาไทยนะ ฟังได้ก็ฟัง ฟังไม่ได้ ก็ฟัง ก็พูดแล้วน่ะ คนยิ่งรวยนี่แหละคือคนยิ่งจน น่ะ เห็นไหม ภาษามันอย่างนี้ แล้วงงไหม ละนี่ อะไรมันจะเก่งกันปานนั้น พูดอย่างนี้ยังไม่งงเลย หา.. น่ะมันมีความจริงซ้อนอยู่ ในนั้นจริง ๆ ใช่ไหม มันแปลก มันประหลาดนะ วิชาพุทธศาสนานี่ประหลาดจริง ๆ

เราพิสูจน์ให้ได้ พิสูจน์คนจนผู้ยิ่งใหญ่ อาตมาอยากจะดู เมืองที่จน แต่อุดมสมบูรณ์ ..พูดอะไรวะ.. เมืองที่จนแต่อุดมสมบูรณ์ มันแปลกนะ เมืองที่จนแต่อุดมสมบูรณ์ มีอยู่ มีกิน แจกด้วย แต่ไม่มีหรอก ไม่สะสม ไม่กอบโกย ไม่กักตุน ของที่คนโลก ๆ เขาหลง ไม่มีเพชร ไม่มีทองคำ ไม่มีอะไรต่ออะไรเข้ามาให้ปล้นให้จี้หรอก ของราคาแพง ๆ อะไร ที่เขา หลงกันในโลก ไม่หรอก ชุดราคาแสนบาท ไปที่ข้างนอก ที่นี่ไม่มีหรอก ชุดแสนบาท คุณไปซื้อเอาข้างนอก ที่นี่ไม่จำเป็นต้องใส่หรอก ชุดละแสนบาท กระเป๋าใบละแสน เออไป ไปซื้อข้างนอก กระเป๋าใบละแสน ที่นี่มีแต่กระเป๋าใบละยี่สิบสามสิบ ห้าสิบ อะไรอย่างนี้ ใช่ไหม คนมาปล้น เขาก็ไม่อยากปล้น ปล้นไปแล้วไปขายแสนก็ไม่ได้ ปล้นไปแล้วนี่ กระเป๋า ใบละยี่สิบ ไปขายบาทเดียวเขาก็ไม่เอา ว้า..ไม่คุ้มค่าเหงื่อ เสียเหงื่อมาปล้น ปล้นไปทำไม เห็นไหมปลอดภัย เราก็ทำสร้างใช้ไปพวกนี้แหละ เราก็ไม่ได้ไปริษยา เขาใช้ ของราคาแพง brand name โอ้โฮอย่างโน้นอย่างนี้ เราก็ไม่จำเป็น

พวกนี้น่ะ มันไม่ทนทาน เท่าไหร่ ก็ไม่เป็นไร ไม่ทนทานมันพังก็สร้างขึ้นใหม่ซี แบบนี้ใช้ หมุนเวียน คนจะได้เป็นด้วย ถ้าของอะไรมันทนเกินไปนี่นะ โอ้โฮของนี้ใช้ตั้งพันปีแน่ะ คนที่สร้างนั่นน่ะตายไปตั้งไหน ๆ แล้ว ไอ้คนที่พันปีอันนี้พังแล้วทำอย่างไรวะ สร้างไม่เป็นเลย เพราะคนที่สร้างเป็น ตายไปแล้ว คนนี้เลยทำไม่เป็นเลย สอนกันไม่ได้ ไม่ทันกัน เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปเอาอย่างนั้น คนที่สร้างนี่ ยังไม่ตายสอนไว้ แล้วก็ต้อง ทำด้วยนะ ยังไม่ทำก็ไม่ได้ มันพังแล้วน๊ะ มันอายุสิบปีก็ต้องพังแล้ว ยี่สิบปีก็พังแล้ว สอนกันสร้าง มันก็สืบทอด หมุนเวียน ทุกอย่างก็หมุนเวียนเป็นวัฏจักร ทุกอย่างก็มี ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป มันก็เป็นธรรมชาติที่ดี การเรียนรู้ การเกิดความชำนาญ การเกิดวิชาความรู้ ทักษะต่าง ๆ มันก็ยังอยู่ในมนุษย์ สัตว์เดรัจฉานมันทำไม่เป็น แต่คนทำเป็น มันก็สืบทอดกันไป ก็หมุนเวียน อยู่ในนี้

ไม่จำเป็นจะต้องไปเอาคงทน เอาเที่ยงแท้ ถาวร หนาแน่น ดี แล้วคนที่สร้างนั้นน่ะ โอ้โฮ.. ต้องใช้วิชาความรู้ ตั้งมากเลย กว่าจะสร้างได้ แต่คนสร้างนั้นตายไปพันปีแล้ว คนเกิดมา คนหนึ่งก็ เอมันสร้างอย่างไรวะ ปีรามิดนี่มันสร้างอย่างไรวะ มันถึงสร้างได้ เห็นไหม แค่ปีรามิดนี่ก็ มันสร้างอย่างไรวะ นครวัด นครธม มันสร้างอย่างไรวะ มันเอาหินขึ้นไป อย่างไรวะ มันแกะกันได้อย่างไรวะ เครื่องไม้เครื่องมือ เมื่อก่อนมันก็ไม่มี มันมีวิชาความรู้ ความชำนาญอย่างไร ถึงทำได้ขนาดนี้ คนทุกวันนี้ไม่รู้แล้ว ไม่ได้รับการเสี้ยมสอนแล้ว มันมีกลเม็ด มันมี trict มี tactic อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่รู้แล้ว ทั้ง ๆ ที่ เทคโนโลยี มันก็ไม่ค่อย มีนะ มันก็ต้องใช้ฝีมือใช่ไหม แล้วมันทำอย่างไร ก็นั่งงงกันอยู่ทุกวันนี้ เพราะฉะนั้น อย่าไป ให้มันทนทานนัก เอาพอสมควร ถ้าไม่อย่างนั้น มันก็ลืมมันก็เรื้อ ใช่ไหม เอ้า ! จริง ๆ มันไม่ได้ถ่ายทอด

มนุษย์นี่แหละ มันจะทำไป หมุนเวียนไป อะไรต่ออะไรพอสมควร เพราะฉะนั้น คนที่ไปหลง ของดีเกิน ของทนเกิน มันก็ทำให้คนเรานี่เสื่อมไปได้ มันก็ไม่มีความรู้ แล้วมันก็ ทำอย่างนั้น ไม่ได้แล้ว เพราะมันไม่มีการถ่ายทอด เพราะฉะนั้น พวกเราถ่ายทอดกันไว้ แม้จะดี ทำของดี ๆ เหมือนกัน ถ่ายทอดไว้ อย่าไปอมภูมิ แหม ! ไม่ได้หรอก มันไม่มาซูฮกข้า ไม่ถ่ายทอดวิชาให้มัน อ้าวตายไปแล้ว เลยไปกับคนตายเลย มันก็ไม่ดี เพราะฉะนั้น ถ่ายทอดไป ถ้าเรามาเป็นคนไม่หวงแหน ไม่ได้เห็นแก่ได้ เห็นแก่ตัวแล้ว ไม่หลงหยิ่ง หลงไหล ในความรู้ ความอะไรแล้ว มันก็ถ่ายทอด อย่างพวกเรานี่ถ่ายทอด แล้วเราก็ ไม่โลภในลาภ ในยศ คนนั้นยิ่งไปทำเอง เมื่อทำแล้วคุณก็ได้พึ่งตนเอง คุณก็ได้ใช้ คุณก็ไม่มารบกวนเรา คุณก็ไปทำซี คุณปลูกเป็น คุณทำเป็น คุณสร้างเป็น ก็ไปทำ ต่างคนต่างทำ ขยันทำ ก็ไม่เบียดเบียนกัน ต่างคนต่างทำ ก็ สะดวก เบา ว่าง ง่าย เฉลี่ย

นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง เป็นเศรษฐศาสตร์จริง ๆ มันก็อุดมสมบูรณ์ คนไหนก็ทำ คนไหนก็ได้ ไม่ต้องเกี่ยง ไม่ต้องรบกวนกัน ไม่ต้องเป็นภาระแก่กัน ดีไหมล่ะ

นี่คือลักษณะของสัจธรรมทุกอย่าง เพราะฉะนั้น การเรียนรู้ธรรมะนั้นนี่ ถ้าเรียนรู้ของพุทธ แล้วทุกอย่างจะครบ มีนิพพานไหม นิพพานด้วย มีจิตสงบ มีสมาธิ มีการไม่ติดไม่ยึดโลกีย รู้เท่าทัน ล้างโลกียได้เกลี้ยง สนิท จิตใจไม่ติดยึดในโลกียจริง ๆ แต่รู้โลกียะ รู้โลกียะ แล้วสร้างโลกียะ ให้คนในฐานะที่เขาทำ เหมือนคุณเป็นแม่ครัว ชมร. แม่ครัวร้านอาหาร คุณไม่กินแล้วละ ปรุงแต่งขนาดนี้ แต่คุณต้องปรุงแต่งให้เขาบ้าง เพราะเขาเอง เขาต้อง ขาย เอาเงิน มาหมุนเวียนทำนั้นทำนี้อะไร ใช้สอยพอที่จะหมุนเวียนไปได้ เราก็ไม่ได้ ไปรีดนา ทาเร้น ขายแบบบุญนิยม ตอนนี้ ชมร.เชียงใหม่ขายชามละเท่าไร ยังแปดอยู่หรือ สองอย่างเก้า เอ้าแปด สองอย่างเก้า สิบ เดี๋ยวนี้มันชามละสามสิบ ยี่สิบห้า สามสิบ ไอ้รถเข็น มันยังยี่สิบห้าเลย รถเข็นมันยี่สิบห้า หาบมันยี่สิบ ยี่สิบห้าแล้ว หาบไปก็ยี่สิบ ยี่สิบห้า รถเข็นยี่สิบห้า สามสิบ พิเศษ สี่สิบ มีคำว่าพิเศษตัวเดียวนี่มันเอาสี่สิบ มันใส่อะไร เหยาะอีกนิดหนึ่ง คนที่ไม่ติดใจอะไรก็ เอาเอาเหยาะนี่แหละวะ สี่สิบก็สี่สิบ เขาก็ไม่เกี่ยง ก็หากินกันไปอย่างนั้นแหละ นา

นี่ของเราก็ตรึงราคาได้ เราก็อยู่รอด อยู่รอด มันจะเป็นความประหลาดอีกหลายอย่าง อีกหลายอย่าง ที่เราเอง เรายังไม่ถึงนะ ยังไม่ได้ไปถึงรูปนั้นน่ะนะ มาถึงวันนี้ อาตมา ก็หยิบ เอาสิ่งที่เราเกิดเราเป็นมา มาหยิบให้ฟัง มายืดให้ฟัง มายืนยันให้ฟังว่า มันจะเป็น อย่างนี้แหละ มีคนยุแหย่ให้พวกเรานี่ใช้เงินของพวกเราเองไหม ทำเงินของเราเองใช้ แล้วก็หมุนเวียนใช้อยู่ในนี้ บอกว่าไม่เอา เดี๋ยวจะเข้าข่ายกบฏ ทำเงินใช้เองอะไรเอง มันเข้าข่ายกบฏ เพราะอะไร เพราะทางรัฐเขาเสียผลประโยชน์ เพราะว่ามาทำกันเอง เราก็เลย ไม่ไปใช้เงินเขา เงินไม่หมุนเวียนมา ภาษีก็ถูกลด ลดจากในนี้ มันก็ขาด ผลประโยชน์เขา แล้วเรา มันไม่ผิดนะ สรุปแล้วก็คือว่า มันมีอะไร กุดชุม เขาทำคูปอง ของเขาขายเป็น เหมือนเขาใช้เอง แล้วมันก็เหมือนธนบัตร นี่ตอนนี้ก็ถูกระงับแล้ว ถูกเลิกแล้ว

ส. ศิวลักษณ์ ก็เคยมายุ อโศกน่าจะทำเงินใช้เอง นะ ทำคูปองใช้เอง บอก ไม่เอา คูปอง ใช้เองไม่ต้องหรอก คูปองแค่ ชมร.นี่ก็เก่งหนักหนาแล้วละ ต่อไปนี่ แม้แต่ ชมร.ก็ไม่ต้อง ใช้คูปอง ใช้เทคโนโลยีนะ เหมือนอย่างกับที่สันติอโศกทำ คุณผ่านเข้าไป คุณก็ถือจาน ชาม เข้าไป คุณจะเอาอะไรคุณก็เอา เอาเสร็จแล้วก็มาบอกเขา เขาคิดราคากดปุ๊บๆ ใบคุณก็ออกมาเลย ไม่ต้องใช้คูปอง ใช้เครื่องแล้วกดๆ แล้วก็เรียบร้อย คูปองก็ยัง เป็นปัญหา เป็นปัญหาหลายอย่าง วิธีป้องกัน วิธีที่เราจะอะไร มันยังมีรั่วมีซึมอะไรได้ ถ้าอย่างนี้ ก็ให้คนที่คุมไอ้นี่ จะรั่วจะซึมก็อยู่ที่คนคุมเครื่อง มันคุมกัน คนหนึ่งตีราคา คนหนึ่ง รับเงินเข้าเครื่อง กด แล้วมันก็ออกมา เครื่อง ถ้ามันไม่เก่ง ว่า trict เล่น trict ที่คุมเครื่องแล้ว แต่ถึงอย่างนั้น คนนับเงินก็ยังมีอีกคนหนึ่งนับ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร ใช่ไหม เพราะฉะนั้นกันไว้ เราติง พวกเราสุจริต สุจริตยิ่งสุจริตยิ่งดี คุณก็ทำไปซี ต่างคน ต่างทำ มันก็ถ่วงกัน คนไหนมันผิดมันพลาด ตรงไหนเราก็รู้ว่าโอ้ย.. มันไม่มีเจตนา มันผิดพลาดได้ ก็ว่ากันไป

วันนี้เงินมันหายไป คิดผิด ทอนผิด อะไรก็แล้วแต่ มันก็เป็นได้ ก็ไม่ว่าอะไรกัน ก็อย่าให้มัน หายบ่อย อย่าให้มันผิดบ่อยนักก็แล้วกัน ก็โดนเองแหละ ก็มาทำผิดใช่ไหม ทอนผิด ทดผิดอะไร คุณก็โดนว่ากันไป มันก็ขัดเกลากันไป ตามธรรมชาติ อย่างนี้เป็นต้น สัจจะนี่ อาตมาเห็นแล้วว่า โอ้..คนเรานี่นะ มาฝึกฝน เรียนรู้สัจจะ แล้วมันก็สะบาย ๆ แล้วมันก็ จะเกิดอะไร เป็นคุณค่าต่อโลก อย่างมหาศาล เลย นะ

นี่เราก็ค่อย ๆ สร้างกลุ่มสร้างหมู่ สร้างอะไรต่ออะไรไป นี่อาตมาก็อายุมากแล้วนะ ที่จริง พวกเรา ยังหนุ่มอยู่ ยังสาวอยู่ เคยเห็นคนอายุน้อยตายไหม ..อายุน้อยกว่าคุณนะ คุณว่า คุณหนุ่ม คุณสาวนะ คนที่เขาตาย อายุน้อยกว่าคุณน่ะ เคยเห็นไหม …(เคยครับ) ปัดโธ่ .. ประมาทได้อย่างไรล่ะ มันไม่น่าตายเห็นอยู่หลัด ๆ อ้าวมันตายแล้วหรือ ถูกสิบล้อเหยียบ ถูกสี่ล้อเหยียบ สองล้อเหยียบก็ยังตายเลย ไม่ใช่แต่สองล้อเหยียบหรอก ถูกเตะตาย ก็ยังมีเลย มันไม่ยาก มันไม่มีอะไรก็ โรคภัยไข้เจ็บ โน่น ๆ มา อะไรติดคอตาย เป็นได้ อย่าประมาท อย่าประมาทว่าเรายังหนุ่มยังสาว

พระพุทธเจ้าก็เตือน ผมเรายังดำ เนื้อหนังเรายังไม่ย่น อะไรฟันเรายังไม่หลุด อย่าไป ประมาท เจอแล้ว เพื่อนดี มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมมีดี อย่าช้านัก คุณจะรออะไร เข้าใจก็เข้าใจแล้ว จะเอาไปไว้อะไรกันนักหนา หวงอยู่นั่นแหละ หอบอยู่นั่นแหละ หา.. มันไม่ชัดหรืออย่างไรนะ สงสัยตรงไหนถามมา ที่อาตมาพูดนี่ โลกียะ กับโลกุตระนี่ สงสัย แต่ล้างยาก ก็รีบเข่นเข้าไปซี อาตมาบอกแล้วว่า ใครถ้าแหม ! เข่นกิเลสตัวเองแล้วตาย ชักดิ้นชักงอมา ก่อนตายรีบบอก บอกตายเพราะกิเลส จะได้ลง นี่จะหาแผ่นทองคำมาจริง ๆ เดี๋ยวนรินทร์มานี่ หาแผ่นทองคำมาไว้ให้สักแผ่นเถอะ จะเอาไว้จดนี่ คนนี้นี่ตายเพราะ กิเลสกาม ตายเพราะกิเลสอัตตามานะ โอ้โฮชักดิ้นชักงอภายในสิบวินาที จะได้ลงจารึก ไว้ในแผ่นทองคำว่า มันตายเพราะกิเลส ถ้าเราเอาจริง ๆ นะกิเลสจะตาย แต่เราไม่เอาจริง กลัวมันแพ้มัน แพ้กิเลสมัน กิเลสมันเลยข่มเราอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่รู้จะให้มันข่มไปอีก นานเท่าไร คน ภาระมีวิบากก็แล้วไปเถอะ แล้วหาเองน่ะนะ ไอ้วิบากภาระ อะไรพวกนี้ ก็หาเอง เอาเถอะ

ถ้าคุณพลาดพลั้งไปแล้วหาไปแล้ว ก็อย่าไปต่อวิบากใหม่ อย่าไปหา ภาระใหม่ ทำภาระเก่า ที่มันมีอยู่นี่ ให้มันพ้นให้มันหลุดให้มันเลิกกันเสียที ก็ต่อใหม่อยู่เรื่อย ๆ แล้วเมื่อไร มันจะจบเสียทีล่ะ คุณมีลูกหนึ่งคน เดี๋ยวมีหลานอีกแล้วนะ แล้วคุณจะบอก นี่หลานไม่ใช่หลานเรา เดี๋ยวเถอะมันทวงเอานะ ปู่ ย่า ไม่รักหลาน ไม่เลี้ยงหลาน เดี๋ยวมันเอาเรา มันเป็นธรรมชาติของโลกน่ะ อย่างโยมเจริญสอน อย่างนี้เป็นต้น เอ้ ..ตั้งชื่อให้เขาใหม่อะไรหนา ลูกหลานอยู่ที่นี่ นายป๋อง นายปุ๋ย ..หา..อาตมาตั้งชื่อ ให้คุณชำนาญเขาอะไร ? นามสกุลเขาเจริญสอน ชื่อเขาไม่รู้ ไอ้ลูกก็ดีจังเลย มีลูกก็ส่ง ไปให้ปู่เลี้ยง ปู่ก็เลี้ยงไปซี่รักหลาน ไม่ออกติดอยู่นั่นแหละ ไอ้ลูกก็ขยันสร้างหลาน ไปให้ปู่เลี้ยง ..(หัวเราะ).. จมอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าอาตมาพูดไปมากก็เดี๋ยวจะหาว่า อาตมายุแหย่ คุณตา คุณยาย คุณปู่ คุณย่า ไม่เลี้ยงหลาน เดี๋ยวอาตมามีข้อหา พูดมาก ก็ไม่ดีหนอ

เอาละ ! มันเป็นภาระ อย่าว่าแต่ภาระเรื่องลูกเรื่องหลาน ญาติปริวัตตัง แม้แต่โภคักขันธา ทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง เรือนชาน ที่ดิน ที่นา ที่ไร่ ของรัก ของหวง อะไรก็แล้วแต่ เรียนรู้ ให้ดีเถิด เป็นอย่างไรล่ะ มีวิธีทางวิทยาศาสตร์ ตายแล้วจะเอาไปด้วย สลายละลายมัน เข้าไปกับวิญญาณ ไปหาซี่วิธีทางวิทยาศาสตร์ จะได้เป็นของตัวของตนจริง ๆ ของนี้ ของรัก ใช้วิทยาศาสตร์ ก่อนตายก็ใช้วิธีสลายมันเข้ากับวิญญาณไปกับเรา แหม.. เพชร เม็ดนี้ ที่ดินผืนนี้ บ้านหลังนี้ อะไรล่ะ เอาไปด้วยเลยซี่ อะไรกันน่ะ ที่นี่ก็มี แล้วชีวิตก็อาศัย ใช้สอยพอสมควร พอเหมาะ พอดี ไม่ต้องมากไม่ต้องมาย พระพุทธเจ้าท่านก็สอนแล้ว อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ มักน้อย สันโดษ สงบ ระงับ สบาย ไม่ต้องมีอะไร มันก็มี อยู่แล้ว ได้กิน ได้อาศัย ได้ใช้สอย พอเพียง พิสูจน์ แหม่ ในหลวงสักหน่อยเถอะ สังคมพอเพียง สังคมพึ่งตนเองอะไรที่ท่านตรัสไว้นี่ อาตมาว่า ประเทศไทยนี่นะ มีในหลวง ทรงพระปรีชาญาณขนาดนี้นี่ ของโลกยังไม่มีใครพูดเลย ผู้เป็นใหญ่ในแต่ละประเทศ ของแต่ละประเทศ ในโลกนี้มีไม่รู้กี่ประเทศ ไม่มีใครมีพระปรีชาเหมือนในหลวงเรา ใช่ไหม

เอาน่า สนองพระราชดำรัส ดำรินี่ ไปด้วยกันเลย อาตมาก็ส่งเสริมเอาด้วย แล้วอาตมา ก็พาทำมาแล้ว เอาให้มันบริบูรณ์ เอาให้มันสมบูรณ์ เอาให้มันจนคนตาบอดเห็นได้ เอาให้จนคนตาบอดเห็นได้ คนตาดีไม่ต้องห่วง คนที่มีธรรมจักษุไม่ต้องห่วง เอาคนที่ ไม่ต้องมีธรรมจักษุละ มีขี้เหล่จักษุอะไรก็แล้วแต่ ก็เห็นได้ เอาให้มันถึงขนาดนั้น

เอาละวันนี้อาตมาก็เทศน์หลาย ๆ อย่าง บางอย่างก็ใหม่ บางอย่างก็อธิบายขยายความ ให้เข้าใจ ทั้งแนวกว้างและแนวลึกให้ฟัง ว่าเราดำเนินชีวิตกันมา ปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า มานี่ ต้องการอะไร? เพื่อจะไปได้อะไร ก็คงจะพอเข้าใจนะว่า อาตมาได้ ขยายความอธิบายมาแล้ว เพราะฉะนั้น ในหลักวิชาต่าง ๆ ที่เราจะต้องปฏิบัตินั้น หลัก โพธิปักขิยธรรมต่าง ๆ นั้นน่ะ ต้องขมีขมันปฏิบัติให้เกิด ฌาน เกิดมุทุภูเต กัมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต ให้เกิดหมุนเวียนเป็นสัมมาฌาน สัมมาสมาธิ สัมมาญาณ สัมมาวิมุติ แล้วเราจะเห็นได้ว่า คนที่มีอุปโตภาควิมุติ หรือเป็นพระอริยะ พระอรหันต์นั้น ไม่ใช่ลักษณะ อย่างที่เขาเข้าใจ ว่าเป็นคนหนีโลกไปอยู่คนเดียว ไม่เอาถ่าน ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่เป็นประโยชน์ท่าน อะไรเลย จะเรียกว่าประโยชน์ตนหรือมันเห็นแก่ตน ก็ยังไม่รู้เลย อย่างนั้นอย่างนี้ มันพิสูจน์ยืนยันว่าไม่ได้เห็นแก่ตัว เป็นประโยชน์ท่านอย่างสมบูรณ์ ตัวเองก็ไม่ได้เห็นแก่ตัว หมดตัวหมดตน ชัดเจน นี่เป็นเรื่องของพุทธแท้ ๆ

ซึ่งเขาเข้าใจยากแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะมันนานแล้ว มันฟั่นเฝือมาสองพันกว่าปี มันเหมือน กลองอานากะแล้ว เรียกแต่ชื่อว่าพุทธ เรียกแต่ชื่อว่าอานากะ แต่กลองมันไม่ได้เป็น กลองเดิมแล้ว มันถูกเปลี่ยนไปหมดแล้ว แต่ก็ไปเข้าใจกลองปลอมหรือกลองเทียม ที่มันไม่ใช่กลองเดิมนั้นเป็นพุทธ พอเราเอากลองจริงมา เอากลองพุทธไม้พุทธ หนังพุทธ มา เป็นกลองอันนี้ มาเรียกอานากะบ้างเขาบอกไม่ใช่ เขาบอกนี่กลองปลอม เห็นไหม มันเป็นอย่างนั้นน่ะ นา เอ้า ! พิสูจน์ความจริงนี้ไป ถ้าเรารักพุทธด้วย แล้วเราก็เป็น ประโยชน์ตนด้วย เป็นประโยชน์แก่โลกด้วย

ชอให้ทุกคนมีกำลังแข็งแรง มีความตั้งใจที่ดี นะ แล้วก็กระทำกันให้มีมรรคมีผลถ้วนทั่วกัน ทุกคนเทอญ ….สาธุ


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมมะฯ
ถอด-พิมพ์โดย พ.ท.นารถ กองถวิล ๔ มิถุนายน ๒๕๔๕
พิมพ์ออกโดย พ.ท.นารถ กองถวิล
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

TCT ๐๓๑๕.DOC/WINDOWSMe สร้าง ร.ร.โลกุตระ เพื่อกอบกู้มนุษยฃาติ ๑