คนไม่มีแก่มีแต่อายุยาว
พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๓๗
ณ พุทธสถาน สันติอโศก


เจริญธรรม ญาติโยมผู้ใฝ่ธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่ทั้งหลาย อาตมาเห็นบทความๆหนึ่ง ซึ่งเขาเอา มาจาก หนังสือพิมพ์ สยามโพสต์ เป็นบทความที่พูดถึงด้านวิทยาศาสตร์ เขาได้พยายามวิจัย แล้วก็พิสูจน์ออกมา พิสูจน์ความจริงอีกอันหนึ่งออกมาว่า คนเรา จริงๆแล้ว ความแก่ของคนไม่มี มันมีแต่ความยาว ของอายุเท่านั้นเอง เพราะว่า อาตมานี่ รู้สึกมานานและพวกเราก็คงจะได้เห็น ได้ยิน ได้ฟังมาแล้ว อาตมาว่า อาตมา ไม่แก่น่ะ อาตมาไม่ได้พูดเล่นน่ะ อาตมาว่าอาตมาไม่แก่น่ะ นับวัน อาตมา ยิ่งรู้สึก เป็นหนุ่มขึ้น ไม่ใช่อาตมาแก่ เพราะฉะนั้น การที่รู้จักสัจจะที่ดีแล้วนี่ คนนี่มี จิตวิญญาณ เป็นประธาน สิ่งทั้งปวง โดยเฉพาะความเป็นคนตัวร่างกายของคน ตัวความเป็นคน แต่ละคนนี่ มีจิตวิญญาณเป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา พระพุทธเจ้าก็ทรง ยืนยันตรัสไว้ชัดเจน คนนี่มีจิตวิญญาณเป็นประธาน เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณนี่แหละ จะเป็นตัวรู้ และเป็นตัวยึด เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเรารู้ผิด เราก็เข้าใจว่า แหม!คนเรานี่แก่ ความเห็นเป็นทิฏฐิ แก่พอความรู้สึกว่าเราแก่ จิตนะตรงนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับกายน่ะ ความรู้สึก ว่าเราแก่ คุณแก่แล้ว ยิ่งคุณเองคุณไป สร้างองค์ประกอบ ไอ้โน่นไอ้นี่ไป โอ๊ย! เจ็บโน่น ปวดนี่ แม้ทำงานนี่ฉันแก่แล้ว ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ จะทำอย่างนี้ ฉันแก่แล้ว มันก็แก่ไปเลย เพราะฉะนั้น บางทีนี่ ผู้หญิงนี่แต่งงาน มีลูกคนสองคน ฉันแก่แล้ว อายุ ๓๕ ฉันแก่แล้ว พ่อบ้านก็บอกว่า เออ! อีแก่ (ผู้ฟังหัวเราะ) แก่จริงๆ ทั้งๆที่สังขารร่างกายอายุยังไม่แก่ มันยังอายุยังไม่ยาว

เมื่อกี้อาตมาใช้คำว่า ความแก่กับความยาวของอายุ ทั้งๆที่ความยาวของอายุยังไม่มี ยังไม่มาก แต่ตัวเองว่าตัวเองแก่แล้ว คนนี้เลยแก่เลยนะ สังเกตสิลองสังเกต เพราะคนๆนี้ จะไม่ active คนเหมือนกับคนแก่ จะเซื่องๆ ช้าๆ จะอ่อนแอ จะตายเอา เดี๋ยวไม่ช้าไม่นาน เดี๋ยวจะตายเอา เพราะว่าแก่แล้ว ก็เดินไปหาทางตายใช่ไหม คนเรานะ แต่ถ้าจิตใจ ความแก่ไม่มี คนนี้ไม่มีแก่ มีแต่ความยาวของอายุ เอา!ทีนี้อาตมาจะขยายความให้ฟัง ในนี้ ในบทความอันนี้นี่ โดยเฉพาะ อเมริกานี่ เขาได้ตั้งสถาบัน ทำวิจัยเลยน่ะ เป็นสถาบัน แห่งชาติด้วย ค้นคว้า สถาบันแห่งชาติ ต้านความชรา เขาตั้งอย่างนั้นเลย และก็มี ด็อกเตอร์ต่างๆ ได้พิสูจน์ยืนยันมาแล้วก็เอามาแถลง เอามาอธิบายแล้ว เอามาชี้ให้เห็น ตัวอย่างต่างๆนานา ยืนยันหลักฐานให้เห็น เราจะเห็นได้ ในนี้เขายกตัวอย่างเช่นว่า

คนทางเอเชียนี่ เป็นคนที่ยอมรับว่าตัวเองแก่เกินวัย แล้วก็จะมีคนคอยประคบประหงม มีคนคอยอุ้ม คอยชู คอยช่วยคอยเหลือ ซึ่งโดยกิริยาโดยพฤติกรรมแล้ว ดูน่าเอ็นดูดี ว่ามีความช่วยเหลือกัน แต่โดยจิตวิทยาชั้นสูงแล้ว มันเป็นความอ่อนแอ มันเป็นการ เหมือนกับ การสร้างความอ่อนแอ ชนิดหนึ่งให้แก่ทางจิต ทั้งๆที่ทางกายนั้น ยังไม่อ่อนแอ เลย แต่ทางจิตนำก่อนแล้ว นำแล้วอ่อนแอแล้ว พอจะลุกจะนั่งอะไรก็มีคนคอย ช่วยประคอง ทั้งๆที่ลุกได้แข็งแรงอะไรได้ช่วยประคอง ช่วยอะไร แต่อาการนี่น่าเอ็นดู เพราะว่า เหมือนน้ำใจน่ะ ความช่วยเหลือเกื้อกูล เอื้อเฟื้อเจือจานดูดี ดูภาพดี แต่ลึกๆ ทางจิตวิทยาแล้ว มันเป็นการสร้างความอ่อนแอให้กับคนที่ได้รับความช่วยเหลือนะ

ทีนี้ทางด้านเอเชียนี่ เรามีทางพวกนี้เยอะน่ะ เอเชียเราทั้งนั้นแหละ จะเป็นประเทศไหน ก็แล้วแต่ วัฒนธรรมเอเชียมันไม่เหมือนตะวันตก ไม่เหมือนอเมริกา ทางด้านอเมริกา ไม่ค่อยมีเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น เขาเลี้ยงเด็กของเขา ทางอเมริกานี่ กับคนไทยเลี้ยงเด็กน่ะ เลิกเลย คนละเรื่องเลย คนอเมริกาเลี้ยงเด็ก นี่เขาปล่อยให้เด็กมันหกคะเมนตีลังกา มันจะคว่ำ มันจะหงาย มันจะเจ็บเนื้อเจ็บตัว อเมริกา เขาปล่อยๆ เด็กเลย เจ็บ เอาเด็ก มาคอยดูแล คอยไอ้โน่นไอ้ นี่บ้าง ไม่มานั่ง โอ๋ย! คนไทยเลี้ยงลูกนี่ แหม! อุ้มชู ประคบ ประหงมไม่ให้อะไร ต้องช่วย จนกระทั่งอายุ ๔๐ แล้วก็ยังโอ๋ๆ อยู่เลยนะ พ่อแม่โอ๋ลูกน่ะ ทางด้าน ตะวันออกเรานี่ เมืองไทยก็แล้ว เอาเมืองไทยนี่แหละ ไม่ต้องไปว่าประเทศอื่น เขาละน่ะ มันกลายเป็นอย่างนั้นไปเลย เพราะฉะนั้น คนไม่แก่ก็เลยต้องแก่ไว คนไทย หรือคนทางเอเชีย แต่ทางโน้น เขายิ่งไม่มีปัญหาเลย

ความยาวของอายุ สรีระมันก็อาจจะโรยไปจริงๆ แต่จะเห็นได้เลยว่า อย่างคนอย่างฝรั่ง โอ๊! บางที มาเที่ยวเมืองไทยนี่ สรีระมันแก่แล้ว แต่เขาก็ช่วยตัวเขาเอง บางทีมีคนเดียว บางทีมา คู่ผัวตัวเมียมา เดินกะโผลกกะเผลก แต่เขาช่วยตัวเองมาตลอด แข็งแรงบางคน อายุ ๗๐,๘๐,๙๐ เดี๋ยวนี้อเมริกานี่นะ เขาค้นคว้าทางนี้ชัดขึ้น อายุเฉลี่ยของเขานี่ ผู้ชาย ๗๒ อายุเฉลี่ยผู้หญิง ๗๘ เฉลี่ยความยาวของอายุนี่ ๗๘ ตายผู้หญิง ผู้ชาย ๗๒ เขาเฉลี่ย เขาอย่างนั้นน่ะ ของไทยนี่ทางตะวันออกทั้งหมดนะ อายุไม่ยืน เท่าเขา อายุไม่ยืน เท่าทางอเมริกา ทางตะวันตก อันนี้เกิดจากจิต จริงๆแล้วทางด้านนี่นะ ทางตะวันออก หรือทางอะไรพวกนี่นะ ญี่ปุ่นไม่เหมือนๆเอเชียทีเดียว ญี่ปุ่นก็อายุยืน คนญี่ปุ่นก็ อายุยืนนะ และเขาก็ไม่เหมือนทางเอเชียเรา ที่โอ๋เด็กหรือว่า โอ๋กันหรือว่า แม้ไม่ใช่เด็กหรอก โตแล้วก็ตาม อายุชักอะไรมากหน่อยเอาแล้ว ช่วยกันหมดแล้ว ทางด้านอเมริกันเขานี่น่ะ พอลูกโตก็ไป เขาไม่มาดูแลพ่อแม่ๆทิ้งๆ จริงๆ ถ้าดูทางด้านวัฒนธรรมแบบนั้น อาตมาเอง ก็ไม่ชอบเหมือนกันน่ะ มันดูไม่อบอุ่นเลย โอ๋! มันๆยังไงนะ มันโดดเดี่ยว มันอ้างว้าง อาตมาก็ว่าไม่ดีน่ะ

แต่ทีนี้ต้องดูจุดดีของแต่ละอย่าง แต่ละอันมาประกอบ มาประยุกต์ใช้ ให้มันสมบูรณ์ ของเรามีรากฐาน ทางเอเชีย มีรากฐานทางแบบนั้น คือทั้งอุปาทานของจิตนี่ อุปาทาน ไปเลยว่า คนเรานี่แก่ๆๆ อย่างที่กล่าวแต่ต้น เพราะฉะนั้น พวกเราถ้าใจไม่แก่ ไม่คิดว่า มันจะแก่ อายุมันจะยาวไปก็ช่าง มัน ถึงวาระมันจะตาย มันตายโดยความสดชื่น แข็งแรงเลย ไม่ต้องไปอ่อนแอ อันนี้ทางจิตวิทยา ช่วยมากที่สุดเลย ฟังไว้นะชาวอโศก ความแก่ไม่มีๆ มีแต่ความยาวของอายุ ฟังความนี้ให้ชัดๆ ความแก่ไม่มี มีแต่ความยาว ของอายุ เพราะฉะนั้น เราจะสดชื่นเสมอ เราจะเบิกบาน

อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาอายุ ๑๖ ตอนนี้แต่ระวังกิริยาไม่ให้มันซิ่งเหมือนเด็ก ๑๖ เท่านั้น อาตมา เพิ่งมาเจอบทความทีหลัง อาตมารู้สึกเองมาก่อนแล้วน่ะ ก็พวกคุณก็คงได้ยิน มาแล้ว ก่อนจะมาพูด ถึงบทความนี้ ก็บทความนี่ก็เพิ่งลงเมื่อวันที่ ๒๒ พ.ค.๓๗ นี่เองนะ เพิ่งผ่านมา ไม่นานนี้เอง บทความนี้ อาตมาก็เพิ่งเจอ ซึ่งก็ไม่ได้ข่าวคราวเขาหรอก สถาบันต้านความชรา อะไรนี่ อาตมาก็ไม่รู้เรื่องหรอก ไม่เคยรู้เรื่องนะและเขาก็วิจัยมา แล้วมีผลอะไร เขาก็ออกอะไรกันมาก็ไม่รู้เรื่อง นี่ก็เพิ่งได้อ่านรายงาน เขาออกมา อย่างนี้ เพราะฉะนั้น อยากจะให้พวกเรานี่ตั้งจิตไว้ให้ตรงให้ถูก อย่าตั้งจิตไว้ผิด ถ้าเราตั้งจิต ไว้ผิดแล้ว ไปหมดเลย ความรู้สึกของคนนี่ ทางจิตวิญญาณ มันเป็นจริงๆ เลยนะ และนำพามากเลย ที่เขาเรียกกันด้วยภาษาทางแพทย์ว่า เป็น พวก neurosis หรือ psychosis อะไรนี่ พวกโรคทางจิตนำนี่ทางจิต มันเป็นทางจิตเท่านั้นก่อน ไม่เป็นไม่มีเชื้อโรค ไม่มีอะไร แต่จิตมันเป็น มันจะเจ็บ มันจะปวด มันจะเป็นนั่น มันจะเป็นนี่ มันเป็นทางจิตโรค ทางจิตนี่น่ะ แล้วมันเป็นจริงๆ เพราะฉะนั้น เห็นได้ว่า อำนาจทางจิตนี่ มันมีสูงมากเลย แม้แต่ในวงการแพทย์ ก็ยอมรับว่า คนเรานี่ เจ็บป่วยนี่นะ ผสมในทางจิตนี่ครึ่งหนึ่ง สรีระครึ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใด จิตไม่อ่อนแอ รักษาโรคสบาย ง่าย เพราะมันช่วย ไปแล้ว ตั้งครึ่งหนึ่ง เพราะรักษาโรคอีกครึ่งเดียว หายง่าย

ดังนั้นชาวอโศกเราไปรับการรักษาโรงพยาบาลนี่ จะได้รับคำชมเสมอ ว่า ชาวอโศกนี่ เร็ว ง่าย หายก็ไว ไปผ่าตัดนี่ พึบเดียวประเดี๋ยวแผลหายแล้ว แห้งแล้ว คนอื่นนี่ โอ้โฮ! ต้องล้าง ต้องเช็ดแผลอะไร อยู่ตั้งนาน แต่พวกเราชาวอโศกนี่ ไว เพราะอะไรเพราะไม่มีจิตที่จะเข้าไป เพราะว่า พวกเราฝึกทางจิต เราเรียนรู้ทางจิต และมันก็ไม่ห่วงทางนี้ เราทิ้งไม่ถือสา ไม่ทับถมเข้าไป แข็งแรงเบิกบาน ไม่ไปโอ๋มันนะ ไอ้โอ๋นี่มันเป็นเรื่องของอัตตามานะ ตัวกูของกู โอ๋ย มันจะต้องมีอำนาจต่อรอง หรือว่ามีข้อเรียกร้อง จะต้องเห็นใจกู จะต้องโอ๋กู จะต้องช่วยกูนะ คนอื่นจะต้องมาเอาใจกู คนอื่นจะต้องมาเห็นใจกูนี่แหละ แต่ทางเรา พวกเรานี่ ศึกษาฝึกฝนเรื่องนี่ แล้วถอดตัวตน ถอดตัวกูของกูออกไปเยอะ นอกนั้น ก็ไม่มีผลทางทางโรคจิต โรคทางจิตไม่มีเข้าไปรุกราน ก็เลยรักษาโรคจริงๆ ทางกาย เท่านั้นเอง มันก็เลยสบายง่าย มีผลดีเร็วนะ จนเป็นที่สังเกตเลย หมอนี่สังเกตเลย เห็นได้ชัด เป็นที่สะดุดตา มันไวกว่ากัน

อาตมานำมากล่าวนี่อยากให้พวกเราได้รับความรู้จะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ไม่รู้นะ พวกคุณ จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ตาม แต่อาตมาว่าอาตมาเห็นจริงอย่างนี้ แล้วก็มีอันนี้มา ก็เลยยิ่ง สนับสนุน ในทางด้านวิทยาศาสตร์ เขาก็ใช้ข้อมูลทานด้านรูปธรรมหรือ วัตถุธรรม เข้ามา เป็นข้ออ้างอิงพิสูจน์ อาตมาก็พิสูจน์ทางด้านจิต ส่วนใหญ่และก็มีความรู้ทางด้านจิต ก็เอามาประกอบกัน เมื่ออย่างทั้งสองทางด้านวิทยาศาสตร์ และทางจิต สอดคล้องกัน ตรงกัน อาตมาก็ถือว่าอันนี้จริงขึ้น จริงยิ่งกว่าแล้วละก็ อยากจะเอาอันนี้ มายืนยัน กับพวกเราทุกคนนี่ อย่าไปคิดไปในทางผิดโดยที่เรียกว่า เราอายุไปเท่านี้แล้ว อย่างนี้แล้วแก่ ไม่ต้องกลัว ถ้าเผื่อว่าเราเองเราไม่คิดแก่ ภูมิคุ้มกันจะสูงนะ แล้วก็สรีระ จะแข็งแรงกว่าที่ควร อาตมาว่า เราลองพิสูจน์กันดู มันไม่ขาดทุนอะไรนี่นะ ที่เราจะรู้สึกว่า เราไม่แก่

แต่ทีนี้มันมีวัฒนธรรม ชอบที่จะมองกันไปว่า โอ๋ย! ถ้าเป็นผู้ใหญ่ อายุมากน่ะ ก็คือแก่ นั่นเอง เขาไม่ได้เข้าใจว่า ความแก่ไม่ใช่ความยาวของอายุ เขาไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ เขาเข้าใจว่า ให้มันแก่เถอะ ถ้ารู้สึกว่าคนอื่นรับว่า เราแก่นี่ มันจะเป็นความยอมรับนับถือ หรือให้ค่าอีกอันหนึ่ง ถ้าเป็นคนแก่นี่ก็ อย่างน้อยก็วัยวุฒินะ ถ้ายิ่งได้รับฐานะอันโน้นอันนี้ หน่อยแล้ว เป็นครูก็ต้องคนแก่ ถ้ายิ่งครูแก่ๆ ก็ยิ่งได้รับนับถือหรือยิ่งพระ เป็นพระแก่ๆ โอ!ยิ่งได้ยอมรับนับถือดี เพราะฉะนั้น รีบแก่ มีความเข้าใจ ที่หลวมๆ เข้าใจอย่างผิดๆนะ ก็เลยกลายเป็นแก่ รวมไปหมดเลย และตัวเองจะต้องอะไร ให้เหมือน คนแก่ ไปเลยนะ จะเดิน จะเหินจะไปจะมาจะท่าทีลีลาอะไร ก็เหมือนคนแก่ๆ มันไม่ดีนะ อาตมาว่า คนแก่ ก็คือคนที่อายุยาว แล้วก็สรีระร่างกาย ก็ชักจะป้อแป้ อ่อนแอไปตามจริงใช่ไหม ก็เลยทำ เป็นคนเหมือนไม่คล่องไม่แคล่ว ไม่กระปรี้กระเปร่าไม่เร็วไม่แข็งแรง แก่ก็ต้องแข็งแรง อะไรอย่างนี้นะ แล้วก็เลยมีความรู้สึกไม่ทันสมัย ไม่อะไรต่ออะไร เป็นคนเฉยๆ เชยๆ อะไรไปอย่างนั้น รวมอีกมากมาย ด้านเท่าที่ความรู้สึก กลายเป็นคนที่เรียกว่าเสื่อม เป็นคนเสื่อม สรุปแล้วเสื่อม เสื่อมทั้งการพัฒนา สร้างสรร การอะไรก็แล้วแต่ เสื่อมไปหมด มันก็เสีย ถ้าความรู้สึกอย่างนี้

จริงๆแล้วโดยสัจธรรมของมัน สรีระของเรานี่จะต้องเสื่อมลงแน่ๆ อายุยาวไปๆ มันต้อง เสื่อมลงไปแน่ๆ แล้วเราทำไมจะต้องไปให้จิตใจมันเสื่อม โดยเฉพาะเสื่อมก่อนด้วย อย่างที่ว่าแล้ว พอแต่งงาน อย่างผู้หญิงนี่นะ อย่างชนบทนี่นะ พอแต่งงานชาวบ้านนอก มีลูก คนหนึ่งสองคน อย่างที่ว่า เป็นอีแก่แล้ว แล้วตัวเองก็ยอมรับว่าเป็นไอ้แก่ โอย! มันก็แก่ไวนั่นซิ ไปกันใหญ่เลยน่ะ ไม่ดีแน่ๆนะหรือ แม้แต่เราจะไปรับตำแหน่งหน้าที่อะไร ขึ้นมา ก็ชักอยากจะเป็นคนแก่ขึ้นมา และ มีอลังการอันหนึ่ง เอามาให้แก่ตนเอง อลังการ อันนี้ก็เครื่องประดับว่า ฉันเป็นคนอายุมากแล้ว ผ่านวันผ่านเดือน ผ่านปีมานาน เป็นคนแก่ สรุปง่ายๆ เป็นคนแก่นี่นะ จะได้เพิ่มความยอมรับนับถือ จะได้ความยอมรับ นับถือ อีกอันหนึ่ง ขึ้นมาเป็นวัฒนธรรม เป็นความเข้าใจของวัฒนธรรม จะทั่วโลกหรือเปล่า ในทางเอเชีย นี่เราเป็นกัน ใช่ไหม รู้สึกว่า แหม!เป็นคนแก่นี่ เป็นคนนี้ที่ผ่านวัน ผ่านเดือน ผ่านปี ผ่านอะไรมามากนี่ อย่างน้อยก็มีคำพังเพยว่า อาบน้ำร้อนมาก่อนอะไรอย่างนี้นะ คำพังเพย อะไรพวกนี้ ก็เป็นคนผ่านมาก่อน ก็เป็นคนรู้กว่า เป็นคนมีอะไรที่มีสิ่งที่อ้างอิง เอ็งจะต้องเชื่อข้า จะต้องนับถือข้านะ แก่กว่า นี้ข้าจะต้องถูกกว่า อะไรอย่างนี้นี่นะ มันมีลักษณะอันนี้ อาตมาว่ามันเป็นสิ่งไม่พัฒนานะ เป็นสิ่งไม่พัฒนา มันเป็นประเด็น ละเอียดอยู่นะ อาตมาว่าที่พูดให้ฟังดีๆ มันเป็นความละเอียดๆ ซ้อนๆอยู่ เพราะแม้แต่ ความแก่กับความยาวของอายุ นี่ มันมีนัยซ้อน แต่จริงๆแล้วมันเป็น คนละเรื่อง เดียวกัน ความจริง มันเป็นคนละเรื่องเดียวกัน ความแก่กับความยาวของอายุ

ความจริงมันเรื่องเดียวกัน แต่มันเป็น คนละเรื่องอยู่ มีประเด็นที่ต่างกันอยู่แต่ มันก็คือ ความยาวนาน แต่ความรู้สึกว่าคนแก่นี่ มันไม่ใช่ความยาวของอายุ เพราะฉะนั้น เราอย่าไปทำความรู้สึกว่าเราแก่นะ แต่ก็ไม่ใช่ดื้อด้าน จนกระทั่งว่าสังขาร ความยาว ของอายุมันมาก สังขารมันก็ต้องโรยไป ต้องเสื่อมไป ตามความจริงแล้ว ก็ไม่ยอมแก่ จริงๆเลย ไม่ยอมจนกระทั่งกลายเป็นฝืนเกินไป ดื้อดึงเกินไป เกินความเป็นจริง เราต้องรู้จัก ความเป็นจริงต่อของความเป็นจริงให้ชัด ศาสนาพุทธยืนยันเหลือเกิน ว่า ความเป็นจริง ปัญญาคือ การรู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริง ปัญญานี่นะ คือ ความเฉลียวฉลาด ที่แท้ ไม่ใช่เฉโกคือความเฉลียวฉลาดเหมือนกัน แต่เฉลียวฉลาดที่เพี้ยน เฉลียวฉลาดที่โกง เฉกะหรือเฉโกแต่ปัญญานี่เป็นความฉลาด ที่ตรงถูกสัจธรรมนะ เพราะฉะนั้น คำว่าปัญญาจึงเป็น ความรู้ความจริง ตามความเป็นจริง เรียกว่าปัญญา การรู้ความจริง ตามความเป็นจริงที่ถูกต้องนี่ เรียกว่าปัญญา ไม่ผิดเพี้ยน ไม่ผิดเพี้ยนเท่า ใดก็เป็นปัญญา หรือความรู้อันนั้นถูกต้องยิ่งเท่านั้นๆ ถูกต้องเท่านั้นนะ เพราะฉะนั้น นัยที่ละเอียดอันนี้ พยายามขยายให้พวกเราฟังนี่ เมื่อรับทราบ พวกนี้แล้ว ไปทำความรู้สึก ใหม่ ไปทำตนเองใหม่

อาตมาบอกเชิงแล้วนะ ว่าอย่ากลายเป็นคนที่ว่า ไม่ยอมแก่ชนิดที่ดื้อด้าน ชนิดที่ไม่อ่าน ความจริง บางทีเราก็อายุมากแล้ว ไม่ทำอย่างนั้นอย่างนี้หลายๆอย่าง ก็ไม่สมควรแล้ว มันมากไปหนักไป ยากไปอะไรก็แล้วแต่ ก็ไม่ควรจะไปทำน่ะ โดยเฉพาะยิ่งวัฒนธรรม บางอย่างนี้ อายุหรือว่า สังขาร มันเป็นอย่างนี้แล้ว อย่างน้อยก็หัวหงอกแล้ว อย่าไป เป็นเฒ่าหัวงูอะไร อย่างนี้เป็นต้น อย่าไปเป็นอะไร นี่เป็นวัฒนธรรมอยู่เหมือนกัน มันไม่สมควรแล้ว อย่างนั้นแล้ว อย่าทำเป็นเฒ่าหัวงูเลย มาเรียนกับ อโศกนี่ ถ้าเป็นเรื่องกาม เรื่องผู้หญิงผู้ชายนี่ โอ๋ย!คุณรีบ รีบแก่ ยิ่งเรื่องผู้หญิงผู้ชายนี่คุณรีบแก่ ตั้งแต่อายุ ๑๕ แก่ไปเลย คือไม่ต้องมีกามให้ได้ ตั้งแต่บัดนั้นไปเลย ถ้ามาเรียน ทางด้านอโศก ต้องเข้าใจ เห็นไหม นี่เป็นสัจจะย้อนสภาพ มีความจริงที่มันกลับกันไป กลับกันมา

ถ้าเราเรียนรู้แล้วลดละกิเลสกามราคะอะไรได้ และลดละได้จริง โอ๋! เป็นอนาคามี เป็นอรหันต์ หมดกามราคะ อนาคามีหมดกามราคสังโยชน์ ตั้ง แต่อายุยัง ๑๕ อายุ ๗, ๘ ขวบ ก็ได้ถ้าเรียนได้ แต่บารมีคนในยุคนี้จะมีหรือ ถ้าไม่มีก็ศึกษาฝึกฝนได้ หนุ่มเท่าไหร่ สาวเท่าไหร่ ก็หมดกามราคะได้ ถือว่าแก่ ใช่ไหม คนแก่นี่ มันควรหมดแล้ว กามราคะ จะมาอะไรกันเล่า แหม! นี่เรียกว่า ตัณหากลับ อะไรนี่ ไปว่าคนแก่ตัณหากลับนี่ ก็รู้ๆกันอยู่ ไม่ควรแล้ว ไอ้อย่างนี้ก็เข้าใจกันอยู่ แต่ทางด้านตะวันตก อเมริกา เขาไม่เรียนรู้ เรื่องเหล่านี้ เขายังภาคภูมิใจเลย มีรายงานบทความนี่ยังมีเลย โอ๋ย!เขาดีใจ คนอเมริกานี่อายุ ๗๐-๘๐ ยังแต่งงานใหม่ อยู่เลยนี่เห็นไหม มีอายุ ๗๐-๘๐ แต่งงานกันใหม่ มากขึ้นเรื่อยๆ นักวิทยาศาสตร์ พ่อค้า ครูบาอาจารย์มีอายุเกิน ๘๐ ขึ้นไป แต่ยังทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไปทำงาน หามรุ่งหามค่ำไม่ว่า ยังแข็งแรงไม่ว่า อันนี้เป็นความเจริญแน่นอน อายุ ๘๐ ขึ้นไป เขายังทำงาน ได้หามรุ่งหามค่ำ แหม! กระปรี้กระเปร่าแข็งแรงอันนี้ ไม่ว่า แต่ ๗๐ ๘๐ ไปแล้ว แล้วก็แต่งงานกันใหม่มากขึ้นเรื่อยๆนี่ แหม!อาตมาว่าแน่ อันนี้ย้อนแย้งๆกับพวกเรานะ ย้อนแย้งกับ พวกเรา เพราะเราเห็นว่าไร้ค่า ทุกวันนี้มันไม่ทันสมัย คุณไม่แต่งงานเลยนี่ ลดกามได้จริง ถูกต้อง ตามธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วนำสมัยล้ำสมัย อเมริกามันยังไม่ทัน ตื่นตัวเลยในเรื่องนี้

แต่พระพุทธเจ้าสอนมา สองพันห้าร้อยกว่าปีแล้ว ให้ลดละได้ดี เพราะทุกวันนี้ไม่ต้องทำ ความสมสู่ ไม่ต้องสร้างพลเมืองเพิ่มแล้ว พลเมืองมันล้นโลกแล้ว กว่าห้าพันล้านแล้ว ในโลกทรัพยากร จะกินจะใช้ อะไรก็ลำบากลำบนหมดแล้ว โลกพร่อง อยู่กันอย่าง กระเบียด กระเสียนแย่งชิงนี่ โลกที่สามารถขึ้นประเทศไหน ที่เขาแผ่อำ นาจ แผ่เดช แผ่ฤทธิ์ อะไรได้ก็เอา ประเทศที่มันไม่ค่อย จะฉลาด หรือไม่ค่อยทันสมัยอะไร หรือไม่ค่อย จะเจริญอะไรก็ เอามาเป็นโลกที่สาม เอาเป็นแหล่ง ที่พวกนั้น จะกดขี่ข่มเหงเบียดเบียน แย่งชิงเอาไป ก็เพราะว่าประเทศเขาก็ร่อยหรอลงไป ก็ไปรุกราน ประเทศอื่นต่อ เพราะฉะนั้น การแย่งชิงมันเต็มไปหมดทั้งโลกแล้ว สรุปแล้วก็คือ คนไม่ควรเกิดมา แล้วรู้กันทั้งนั้น คุมกำเนิดกันไปหมด ในประเทศเองก็แย่ หรือแม้แต่ในบางประเทศ ที่เขายังไม่ตื่นตัว อะไรก็ตามเถอะ เพราะคนเขายังไม่มากจริง เขาก็แย่

อย่างอินเดียนี่ พลเมืองก็มากมาย แต่ว่ายังไม่เหมือนเมืองจีน เมืองจีนต้องคุมกันแล้ว เมืองจีน กับอินเดีย นี่ใกล้กัน พลเมืองใกล้ กัน ๘๐๐-๙๐๐ ล้าน เมืองจีนก็พันกว่าล้าน แต่เมืองจีน เขาคุมกำเนิด กันมาตั้งนานแล้ว สุดท้ายแม้แต่ให้มีลูกได้คนหนึ่งสองคน จนกระทั่ง ไม่มีเสียเลยได้ ก็ยิ่งดี แต่อินเดียยังไม่เลย โอ๋ย! กระจองอแง ยิ่งอยู่ชนบท อยู่ต่างจังหวัด ออกไปงมงาย ยิ่งไม่ค่อย รู้เรื่องอะไร โอ๊! ก็เลยกลายเป็นคนยิ่งจน ยิ่งเดือดร้อน ยิ่งเบียดเบียน ยิ่งแย่งชิง แต่อินเดียมันมี วัฒนธรรมดึกดำบรรพ์ ทางจิต วิญญาณมาในส่วนหนึ่ง พอไปได้ ก็เลยไม่เหมือนเมืองจีน คือ มันซื่อบื้อหน่อย กับเมือง อินเดีย และก็ไม่กระเหี้ยนกระหือรือเหมือนจีน ก็เลยอาตมาอธิบายละเอียด มากๆไม่ดี เพราะว่ามันไปกล่าวถึง จุดด้อยของต่างประเทศเขา ถ้าว่าไปเปรียบเทียบเข้าไปสอง ประเทศ ประเดี๋ยวก็ไปว่าปากเขามากมายเกินไปไม่ดี ก็เข้าใจโดยปัญญาไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน

ทีนี้อาตมานำสิ่งนี่มา อธิบายนี่ก็เพื่อที่จะให้พวกเราได้รับทราบ แล้วเอาไปฝึก อีกอันหนึ่ง เพื่อความเจริญ ของชีวิตและสังคม ชีวิตของเราก็จะเจริญ เจริญตรงที่ว่า อย่าไปเข้าใจว่า ตัวเราเองแก่ เราเองประปรี้กระเปร่า ความแก่คือ จิตใจมันสดชื่นกับโลกเขา อย่างคือ สดชื่นของเด็กๆนี่นะ หรือหนุ่มสาวนี่ เราดูความภาวะสดชื่นมันต่างกันกับคนแก่ไหม ต่างกัน ความสดชื่นต่างกันน่ะ เด็กๆ หนุ่มๆสาวๆนี่น่ะ กับความสดชื่นของคนแก่ คนแก่สดอย่างไร สดเอาน้ำพรมๆ แต่เด็กหนุ่มเด็กสาวนี่ ไม่ต้องน้ำพรมหรอก มันสด ชนิดที่เรียกว่า มันสลัดน้ำออกจากตัว ให้คนอื่นอีกด้วย ใช่ไหม หนุ่มๆสาวๆ ฟังอาตมา ใช้ภาษาสื่อให้คุณก็คงไม่ใช่ เป็นอย่างที่ว่าเป็นภาษาสื่อ ไปไหนก็เปียก คนอื่นสลัดน้ำ ก็ไม่ใช่น้ำจริงๆหรอกนะ ฟังภาษาธรรมะให้เป็นก็แล้วกัน ภาษาคนภาษาธรรม ให้มันเข้าใจ เป็นนามธรรม สดชื่นมันจะเหมือนมีพลังที่จะทำให้คนอื่นนี่ชุ่มชื่นไปด้วย กิริยาท่าที มีอะไรต่างๆ นานา ก็แล้วแต่มันจะเป็นความสดชื่น คำไทย คำว่า สดชื่นอย่างเดียวกับ เบิกบาน ร่าเริง active กระปรี้กระเปร่า ตื่นตัว

ข้อสำคัญอย่าเอาไปเต้นไม่เข้าเรื่องเข้าราวก็แล้วกัน เอาพลังซ่าเอาพลังไปดิ้น ไม่เข้าเรื่อง เอาพลังนั้น มาสร้างสรร เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อเราปรับเอาพลังที่มันมาออกกำลังไปอะไร ต่างๆ นานา ปรับจาก ที่มันไม่ได้เรื่อง เอาพลังไปดิ้นเสียๆหายๆ ดิ้นเปลืองเปล่า ดิ้นผลาญพร่า อะไรพวกนี้ เอาพลังเหล่านั้น มาเป็นพลังสร้างสรร แม้อายุจะยาวๆ ยาวๆ ไปก็ไม่ได้แก่ ยังมีพลังสร้างสรรคงที่ ดีไม่ดี ชำนาญ ก็ยังมีสร้างสรร ยังมีความแข็งแรง ยังมีความตื่นตัว มีความกระตือรือร้นขวนขวายดีอย่างนี้ คิดดูซิ คนคนนั้น จะมีประสิทธิภาพ มีคุณค่ามีประโยชน์ เพิ่มขึ้นอีกเท่าไหร่ สังคมมีความเข้าใจอย่างนี้ แล้วก็เป็นคนอย่างนี้ อีกมากเท่าไหร่

ทีนี้คนที่ได้ออกกำลังกาย แต่ทำงานกระปรี้กระเปร่า active นี่แหละ มันทำให้สรีระนี่สดชื่น สรีระ นี่หมุนเวียน สรีระนี่ได้ถูกสุขลักษณะอนามัยได้ดี ทนทานยืนยาว ก็เพราะว่า มันจะเกิดความขับเคลื่อน ปรับเปลี่ยนสังเคราะห์ในร่างกาย นี่ขึ้นมา พวกธาตุก็จะ เปลี่ยนแปลงธาตุ จะเกิดการทดแทน เกิดการสังเคราะห์ ธาตุต่างๆจะสดใส จะเปลี่ยน ได้วาระ ได้เวลาอย่างแข็งแรงเต็มที่ เพราะฉะนั้น อย่านึกว่าร่างกายมนุษย์นี่ เป็นสิ่งที่ เที่ยงแท้ เพราะเกิดมาแล้ว ธาตุที่เป็นกระดูกก็กระดูกตัวเก่า ธาตุที่เป็นเซลล์ต่างๆ ก็เป็นเซลล์ตัวเก่า เปล่าเลย มันเปลี่ยนทดแทนมันเปลี่ยนแปลงไปทุกเมื่อ เพราะฉะนั้น เรากินอาหาร มาเป็นเซลล์มันเป็นธาตุใหม่ๆเข้ามา มันสังเคราะห์ได้ดี ร่างกายคุณ ก็จะได้รับ การเปลี่ยนแปลงได้สัดส่วนดี ดีๆๆสดไปเรื่อยๆๆๆ เพราะฉะนั้น ความยาว ของอายุ ก็จะยาวต่อไปอีก เพราะเราไม่ยอมแก่ เพราะเราเองเป็นคนตื่นตัว เพราะไม่ยอม รับความแก่ง่าย คุณได้ออกกำลังกาย คุณได้ทำงานตื่นตัว คุณได้ทำอะไรต่ออะไรอยู่ พออายุไม่เท่าไหร่ ก็อย่างว่า ยอมรับความแก่ไว มันจะไม่เป็น มันจะสอดคล้องกับ ความเป็นจริง ที่อาตมาอธิบายคร่าวๆนี่ สรีระจะมีธาตุต่างๆ ที่เรากินเข้าไป เปลี่ยนแปลง ทางหลักวิชาทางแพทย์ทางอะไรก็เขาก็ยอมรับว่า ๗ ปี ร่างกาย ของเรา เปลี่ยนของเก่า ออกไป ของใหม่เข้ามาทดแทน นี่ในเซลล์ ๗ ปีหมุนเวียน กัน ๗ ปี ถ้าเราเองเราเป็นหนุ่ม อยู่เสมอ ไม่ถึง ๗ ปีมั้ง มันจะทดแทนเปลี่ยนแปลง มันจะสดอยู่เรื่อย มันจะใหม่ อยู่เรื่อย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัวเลย อายุจะยาวอยู่เรื่อย อายุก็จะยาวยืนไปอีก เพราะเราไม่มี ความแก่ แต่นั่นแหละโดยหลักความจริงมันก็มีอยู่ด้วย ว่ามันจะต้องไม่ทนทานเป็นนิรันดร์ อะไรได้หรอก มันไม่ทนทาน ยาวนานเกินเหตุอะไรหรอก แต่มันก็จะต้องมีอันนี้ช่วย ถ้าใคร ฟังอันนี้ เข้าใจแล้ว ก็ไปฝึกฝนอันนี้เอาไปพิสูจน์จริงกันนะ เราจะเห็นว่า คนที่เข้าใจ ถูกต้องอย่างนี้แล้ว แล้วก็ปรับปรุง ตัวอย่างนี้จริงๆเลยน่ะ อายุจะยืนยาว

อ้าว!เดี๋ยวโยมลุงนี่ เอาไปไม่แก่ ระวังน่ะ ที่จริงอายุมันยาวแล้วนะ ๙๑ แล้วมันยาวแล้ว ก็อย่าไปทำ ไอ้สิ่งที่พูดแล้ว บางทีมันก็เกินไป ของตัวเองทำไม่ได้ เพราะสรีระมันไม่ให้ แต่ว่าปรับใจตัวนี่ แต่ใจตัว นี่บอกแล้ว มโนปุพพังคมา ธัมมา อย่างพระพุทธเจ้าท่านว่า ใจเป็นประธาน ชีวิตร่างกาย เพราะฉะนั้น เอาเถอะจิตใจของเราทำในสิ่งที่หมุนเวียน สุดขีด ยิ่งลุงเป็นหมอนี่ โอ! รู้แล้วชีววิทยาสังเคราะห์ร่างกาย อะไรนี่ สำคัญคือ อาหาร กับ ออกกำลังกาย ตัวนี้เป็นหลักใหญ่ในจิตๆมนุษย์ อีกอันหนึ่งก็คือ อารมณ์ สำคัญเหมือนกัน แต่ว่าอารมณ์นี่นะ เราพูดถึง ๕ อ ๖ อ ๑.อาหาร ๒.อากาศ ๓.อารมณ์ ๔.อิริบาบถ อาตมา ไม่อยากใช้คำว่า ออกกำลังกาย

ในอิริยาบถนี่มันมีทั้งทำงานทำการ มีทั้งได้ออกกำลังกายต่างๆนานา รวมอยู่ในอิริยาบถท อ ตัวนี้ เอาอิริยาบถ อย่าไปเอา อ ออกกำลังกายเลย มันก็กลายไปเป็นออกกำลังกาย เดี๋ยวมันก็จะไปเตะ ฟุตบอล เสร็จแล้วมันจะไปเป็นดาราแข่งกับ มาราโดน่า อะไรอย่างนี้ มันจะไปเอาแต่อย่างนั้นไม่เอา ออกกำลังกายคำเดียวนี้มันแคบ มันไม่ครบ อิริยาบถ แล้วค่อยมาอธิบาย ในอิริยาบถก็คือ ทางกาย นี่แหละ อิริยาบถทางกายนี่แหละ เป็นหลัก ได้ทำงานทำการ ได้มีการใช้ร่างกายที่มันเกิดหมุนเวียน หรือว่าเกิดสูบฉีด เกิดได้ ขยับเขยื้อน ได้ทำอะไรก็แล้วแต่ จนเป็นประโยชน์คุณค่าด้วย ได้สูบฉีด เปลี่ยนแปลง ทำอะไรต่ออะไร ที่ส่งเสริมขึ้นไป อาหาร อากาศ อารมณ์ อิริยาบถ อิทธิบาท อุจจาระ นี่เป็นผลของสิ่งพวกนี่ ที่จริงมันไม่น่าจะเอามาใช้ได้ อุจจาระนี่ไม่เอามาใช้ เพราะมันดู เฟ้อๆเปล่าๆ อุจจาระนี่เป็นเครื่องทดสอบเท่านั้นเอง ถ้าเผื่อว่าอาหารไม่ดี อุจจาระก็ไม่ดี อากาศไม่ดี อุจจาระก็ไม่ดี อารมณ์ก็ไม่ดี อุจจาระก็ไม่ดี อิริยาบถไม่ดีอุจจาระก็ไม่ดี อีกอันหนึ่ง คืออิทธิบาท อ อิทธิบาท ๕ ตัว เท่านี้ก็พอน่ะ อาหาร อากาศ อารมณ์ อิริยาบถ อิทธิบาท ๕ อ นี่ก็พอสำคัญ แต่สำคัญมากๆก็คือ อิริยาบถ กับอาหาร นี่อารมณ์ เราเรียนอยู่แล้ว ทางธรรมะ เพราะฉะนั้น เรามาทำความเข้าใจกับอาหาร กับอิริยาบถ ให้มาก อากาศก็เป็นอาหาร ต้องอยู่ในสถานที่ๆมีอากาศที่บริสุทธ์ ทุกวันนี้กรุงเทพฯ เป็นเมือง ที่อากาศเน่าที่สุด อากาศเป็นพิษที่สุด ไม่มีสีไม่มีกลิ่นเท่าไหร่หรอก แต่พิษ ร้ายกาจมาก กรุงเทพฯ

เอาละ อากาศทิ้งไว้ก่อน อาหารนี่ เรารู้จักธาตุอาหาร ยิ่งปรุงแต่งมากเท่าใด สรีระ ยิ่งทำงานมากเท่านั้น สังเคราะห์ยากมากขึ้นเท่านั้น แล้วก็ที่สังเคราะห์ด้วยรสด้วยกลิ่น ด้วยสีด้วยอะไรต่างๆนานานั่นแหละ หลายอย่าง เป็นพิษแก่กันและกัน ถ้าเผื่อว่า ได้ไปกิน อาหารสดๆ อาหารที่เป็นธรรมชาติแท้ๆได้เท่าใด ไม่ต้องพูดนะ อาหารที่มีสารพิษ ไม่ต้องพูดนะ เป็นอาหารที่ไร้สารพิษ แม้อาหารที่ไร้สารพิษแล้วก็ตาม ถ้ามาปรุงมาแต่ง มาอะไรมากๆนี่ยิ่งยาก สรีระก็ต้องเสียแคลอรี่ซ้อนซับซ้อน จะต้องใช้แคลอรี่ ทั้งเวลาย่อย ดีไม่ดีเป็นพิษ การทำงานของอวัยวะ บางทีมันไปสู้กับไอ้ตัวปรุงของคุณไม่ได้ คุณปรุง อาหารนี่ไป ไอ้เจ้านั่น ทำงานจะเป็นน้ำย่อยก็ดี จะเป็นอะไรตามใจ จะเป็นความร้อน จะเป็นอะไร ก็แล้วแต่ บางทีมันสู้ไม่ได้ นี่มันร้อนกว่า อาหารที่กินเข้าไป มันจัดกว่า ร้อนกว่า มันแรงกว่า มันอะไร ก็แล้วแต่ มันมีธาตุของมันเหมือนกัน มันมีฤทธิ์มีอะไรเสีย เพราะฉะนั้น เหมือนๆกับเรากินอาหาร บางอย่าง คุณปรุงแต่งอย่างนี้ สมมุติว่า มันกลายเป็น กรด ที่เป็นกรดอีกชนิดหนึ่ง ที่มีปฏิกิริยาอะไร ของมัน ก็แล้วแต่ จะเป็นสมรรถภาพ ของกรด ชนิดนั้น พอเข้าไปในนี้ เอ้า ! พวกน้ำย่อย ก็เป็นพวกกรด พวกน้ำย่อยอะไร มันก็ไปปะทะกัน อย่างนี้เป็นต้น มันก็เกิดการสูญเสียแล้ว อย่างนี้เป็นต้น

แต่คนที่กินนี่ โอ๊ย!รสอย่างนี้อร่อย ที่จริงเป็นกรดแล้วน่ะ แต่อันนี้ถูกปาก โอโฮ! รสอย่างนี้ propaganda โฆษณารสอย่างนี้อร่อยมาก ทางด้านเอเชียเรานี่ ปรุงเก่งจะตายน่ะ โดยเฉพาะ เมืองไทยนี่ ปรุงเก่ง ที่สุดเลย บ้าๆบอๆ น่ะและเราก็ติดรสติดรูป ติดกลิ่น ติดอะไรเข้าไป กินเข้าไป ร่างกายของคุณ ก็นั่นแหละ ที่อธิบายให้ฟังแล้วเมื่อกี้นี้ เจ้าหน้าที่ ที่ทำงานข้างในสรีระของเรา เจ้าหน้าที่ทั้งหลาย เหล่านี้ ปะทะกับพวกนี่แล้วนะ เพราะฉะนั้น การกินนี่ ตามที่เรามาเรียนตามที่พุทธเจ้าสอนเรานี่ อาตมาว่าอาตมาเข้าใจ แล้วพาพวกเรารับประทานอาหาร ก็ให้มันทั้งมีธาตุที่ดีแล้ว ก็รสปรุงแต่ง จนกระทั่ง ตัดกิเลส ลดกิเลสลงไป อย่าไปติดในรูปรสกลิ่นเสียง สัมผัสอะไรกันนักหนามากมายนัก มันยิ่งเข้าไปในทางสนับสนุน ส่งเสริมให้พวกเรา มีความยาวของอายุไปได้อีกไกลแสนไกล

อาตมาเคยพูดก่อนแล้วนะว่า ชาวอโศกจะอายุยืน แล้วเราก็ค่อยๆ เรียนรู้ ค่อยๆ เฉลียว ฉลาด ค่อยๆ อาตมามีข้อมูลอันนี้มาเพิ่มเติมนี่ มันทำให้อาตมาได้รับอะไร รู้อะไรได้ เพิ่มเติมขึ้นอีก เอามาสอดคล้อง สนับสนุน อธิบายเพิ่มเติมให้พวกเราได้รับทราบ และพวกเรา จะได้ไปปรับตัวปรับตน

ถ้าเราเองเรารู้ว่า เราจะทำใจของเราอย่างไร และแล้วเราก็ทำใจของเราเช่นนั้น มันมีภาวะ ซับซ้อน อย่างที่ได้อธิบายไปแล้ว พูดไปแล้วว่า ถ้าเรายิ่งว่า เราเองเราหนุ่มเราสาว แล้วก็ไปยืนยัน เอาประเด็นว่า เราไม่รู้จักแก่ แม้อายุ ๗๐,๘๐ แล้วก็แต่งงาน ก็คือเรื่อง ของเพศ เรื่องของเมถุน เรื่องของการสมสู่ ถ้าเราไปมุ่นอยู่เรื่องนั้นโดยไม่มีปัญญา หรือ ไปเข้าใจเรื่องนั้น ผิด อาตมาว่า นั่นก็สูญเสียซ้อนลงไปด้วย แต่ถ้าเราเข้าใจอย่าง ของพุทธเจ้าเลย นะ ลดปัญหากามราคะ แล้วเราก็ไม่ต้องไปสูญเสียแคลอรี่ ในเรื่องเหล่านี้ เลยไม่ต้องไปจ่ายในเรื่องเหล่านี้เลย แคลอรี่เหล่านั้นเหลือจริงๆนะ ไม่ต้องไปจ่าย ในเรื่องกามราคะในเชิงไหนก็แล้วแต่ ตั้งแต่เชิงไปเที่ยวได้ป้อ แหม!จะไปจีบ เสียเวลาไปๆมาๆ นี่มันเสียแล้ว แคลอรี่ ยิ่งไปมี climax ไป โอ๋ย!ยิ่งจ่าย เยอะแยะเลย สมใจ ไม่สมใจอะไรเกินการ จ่ายแคลอรี่ มันสปาร์ค ในตัวของมันทั้งนั้น สูญเสียมาก เพราะฉะนั้น แม้การที่ไม่จ่ายแคลอรี่ ไปฟรีพวกนี้ เราก็ผลักเบนมาเป็น ความสดชื่น แข็งแรง มันกำลังงาน นี่มันก็คือกำลังงานโดยตรง เอามาสร้างสรร เอามาเป็นหนุ่ม เอามาเป็นสาว และอายุมากไป มันก็ยังมีไอ้พวกนี้มาทดแทนเป็นหนุ่ม เป็นสาวได้มากด้วย โดยไม่เอาไปสูญเสียไปทางของเพศ

แต่ก็เอามาเป็นตัว แข็งแรงกระปรี้กระเปร่า เป็นหนุ่ม เป็นสาว แม้อายุจะมากขึ้น เห็นไหม นี่มันซ้อนอยู่ เพราะฉะนั้น เราเข้าใจแล้ว ก็ลดเหตุเสียว่า เราไปติดยึดในรสอร่อย ในสัญชาตญาณ มันเป็น สัญชาตญาณลึก ไอ้เรื่องสมสู่นี่ แม้ตั้งแต่เดรัจฉาน สะสมมา ตั้งแต่วัฏสงสาร สมัยเป็นเดรัจฉานมา ก็เป็นจริงเป็นจังมา สั่งสมมาตั้งเท่าไหร่แล้ว เป็นวิบาก ทางจิตวิญญาณ แม้จะมาเปลี่ยนสรีระ เป็นมนุษย์แล้วก็ตาม มันก็มี สัญชาตญาณ พวกนี้มาด้วย เอาละ มันไกลมันลึกก็ตาม แต่เชื่อไหมว่า พระพุทธเจ้า พาให้เราหยุด ในเรื่องกิเลส เรื่องกามราคะนี้ได้ เชื่อไหมละ เชื่อ จะเชื่อ จริงๆ ก็ต้องมา ปฏิบัติจนเห็นจริงเลยว่า เออ!มันหมดได้ ลดได้จริงๆ อย่างน้อยพวก เราปฏิบัติแล้วนี่ แม้มันจะยัง ไม่หมดสิ้น มันก็จางคลายลงได้ ที่เราได้ปฏิบัติไปแล้วนี้ จริงไหม มันลดได้ จริงๆ มันจางคลาย มันไม่แรงเหมือนก่อนเหมือนเก่า มันลดจางคลายลงไปจริง

นั่นก็เห็นผลแล้วว่า มันเป็นไปได้ และพระพุทธเจ้าไม่ได้ยืนยันแต่แค่ว่า แค่ลดจางคลาย ดับสนิท ได้ด้วย ดับกามราคะได้ด้วย และท่านก็ไม่ได้บอกว่า ต้องอายุ ๘๐ ขึ้นไป ถึงจะหมด ท่านก็ไม่ได้กำหนด ต้องอายุ ๕๐ ขึ้นไปถึงจะหมดได้ กามราคะนี่ ถ้ายังไม่หมด ถ้ายังไม่ถึง อายุ ๕๐ แล้วยังลดไม่ได้ ท่านก็ไม่เคยกล่าว หมดได้ตั้งแต่อายุเท่าไหร่ก็ได้ ถ้าใครสามารถ

ถ้าเผื่อว่ายิ่งพระพุทธเจ้ายืนยันว่าเป็นอรหันต์ได้ตั้งแต่ อายุ ๗ ขวบ มันหมดตั้งแต่อายุ ๗ ขวบแล้ว ๑๐ ขวบหมดได้ ๒๐ ขวบหมดได้ แม้โรงงานจะมี โรงงานต่อมท่ออะไรๆของสรีระ ซึ่งจะต้องสร้างฮอร์โมน ซึ่งจะต้องสร้างอะไรมา เป็นเรื่องของอุปกรณ์ในเรื่องของเพศ ในเรื่องของกาม จะมีก็ตาม แต่จิตวิญญาณ อยู่เหนือโดยหมดรส อาตมาเคยบรรยาย แล้วเรื่องนี้ บรรยายแม้จนกระทั่งว่า และยังไงละ ไข่ของคนสาวเป็นอรหันต์แล้วนี่ ไข่มันก็ยัง เป็นอยู่ มันก็ยังมีเม็น มันก็ยังไหลออก และผู้ชายล่ะ หมดน้ำเชื้อหรือ ไม่หมด มันก็เหมือนกับโรงงาน ไอ้นี่โรงงานปั่นเชื้อ เชื้อสองเชื้อๆ ไข่กับเชื้อสเปิร์ม ก็เป็น ๒ เชื้อ ที่จะต้องมาผสมพันธุ์ คนที่เป็นอรหันต์แล้วหมดไหม ไม่หมด ผู้หญิง ก็ไม่ได้หมดเม็น ไม่ได้หมดไข่ ถ้าอายุยังไม่หมดๆ อายุยังเป็นหนุ่มเป็นสาว อายุยังวัยยังมีผลิตไข่ ผลิตอะไรอยู่ มันก็ยังมีไข่ก็ผลิตมา แล้วไหลออกมาเป็นเม็นนะ ผู้ชาย เชื้อสเปิร์มก็ยังผลิต โรงงาน เราไม่ได้ผ่าตัดโรงงานทิ้งนี่ ทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิงใช่ไหม และไม่ได้ไปผ่าตัดทิ้ง มันยังสร้างอยู่ แต่มันก็จะมี การไหลออกมาเองนะ

เช่นว่านอนไหลออกมา นอนหลับไหลออกมา แต่อาการไหลเหล่านั้น มันไม่ได้ควบคุม จิตมันไม่ได้ ควบคุม มันก็ไหล มันไหล แต่ไม่มีการไหลแบบตั้งใจ หรือไหลแบบเจตนา ไหลแบบ ทำให้มันออกมา โดยเจตนาให้ออก มันออกมาโดยมันไม่ต้องเจตนา และมัน จะไม่มีรส ข้อสำคัญคือจิตลึกๆนี่ ไหลออกมาไม่มีรส แต่มันออก มันยังมีโรงงาน มันก็ต้อง มีออก เพราะมันคั่งเต็ม มันก็ไหลออกมา ล้นออกมา เป็นธรรมชาติ ผู้หญิงนั่นเขามีอยู่แล้ว แต่ละเดือนๆเขาก็ไหลออกของเขา ส่วนผู้ชายนั่น ก็บางคนก็เดือน บางทีมากกว่าเดือน เดือนหนึ่ง มากกว่าครั้งก็ได้ หรือสองเดือนสามเดือนก็แล้วแต่ ใครลดน้อยลง มันก็ลด น้อยลงได้ ๕ เดือน ๘ เดือนไหลออกก็ได้เหมือนกัน ไหลออกอย่างนี้ เป็นต้น อาตมาเคย อธิบายแล้ว เพราะฉะนั้น ในความเข้าใจของคนที่ไม่เข้าใจละเอียดลออพวกนี้ โดยเข้าไป ศึกษาทางจิต เขาจะไม่รู้ จริงๆแล้วก็ไหลเป็นธรรมดาธรรมชาติของสรีระ หรือของรูปธรรม แต่จิตวิญญาณนั้น ไม่ได้มีกาม ไม่ได้มีราคะ ไม่ได้มีอัสสาทะ ไม่มีรสอร่อย ในเรื่องเหล่านี้ นี่ก็ขยายความ อะไรต่ออะไร ผสมผเสเข้าไปอีกมา เพราะฉะนั้น แม้ผู้นั้นจะบรรลุ ว่าเป็นผู้ที่ วิญญาณ หมดกิเลส หมดอนุสัยอันนั้นแล้ว

แต่ความเป็นไป ก็เป็นอย่างนั้นได้หมด หมดกามตั้งแต่อายุยังน้อยได้ แต่ไม่ได้หมายความ ว่าแก่นะ เพราะฉะนั้น ประเด็นในการอธิบายของตะวันตก กับประเด็นของศาสนาของ พระพุทธเจ้า ไม่เหมือนกัน ในเรื่องนี้ ไม่เหมือนกัน จริงๆ จะเหมือนกันก็ได้ แก่แล้วต้องลด ใช่ไหม โดยค่านิยม ทั่วไปของโลก แก่แล้วต้องลด ใช่ไหม เรื่องกาม ก็เรียกว่าแก่จนลด จริงๆเลิกเลย หมดกิเสลทางนี้ ก็หยุดเลย เรื่องกามเรื่องเมถุน เรื่องผู้หญิงผู้ชายนะ ถ้าจะว่าแล้ว เหมือนพูดกลับไปกลับมา ฉันแก่แล้ว ในเรื่องกาม แต่ฉันเป็นหนุ่มเป็นสาว ที่จะ แหม! กระปรี้กระเปร่าสดชื่น สร้างสรรทำประโยชน์คุณค่า ไอ้เรื่องนี้ไม่ต้องไปจ่าย แคลอรี่กับมันเลย จบ แก่แล้วจนตายแล้วก็ได้ ตายแล้วในเรื่องกามราคะ อย่าว่า แต่แก่เลย ตายแล้วในเรื่องกามราคะ ตายแล้วนี่แหละจบ เพราะฉะนั้น ในโรงงานนี่ สร้างแคลอรี่ สร้างพลัง อะไรขึ้นมาก็เอามา ใช้ประโยชน์ สดชื่นแข็งแรง เบิกบานร่าเริง

อาตมาพูดมาก็ซ้ำๆซากๆวนๆเวียนๆ พอเข้าใจกันได้แค่ไหนนี่ จะทำอย่างไร จะทำในใจ ยังไง เข้าใจแล้ว ไปฝึกดู เพราะฉะนั้น สังคมของพวกเรานี่นะ ที่ได้รับฟังความรู้อะไรพวกนี้ อาตมาคิดว่า จะเป็นสังคมที่มีคนแก่น้อย แต่จะมีคนอายุยาวมาก คือไม่ยอมตายง่ายๆ อายุยาว คนนี้อายุ ๑๑๐ คนนี้อายุ ๑๒๐ ก็ยังหนุ่มอยู่เลย ยังไม่แก่ คนแก่ไม่ใคร่มีล่ะ แต่อายุยาวน่ะ อายุยาวมาก ได้สร้างงาน เยอะ และก็ไม่เป็นทุกข์ แล้วยิ่งเป็นคนที่ไม่ต้อง ไปออดอ้อน ขี้อ้อน คนนั้นก็คอยช่วย คนนี้ก็คอยช่วย อะไร ยิ่งเวลาให้คนนั้นคนนี้ คอยช่วย ก็เสียแรงงานแล้ว มันต้องมาคอยช่วยคอยเหลือ และอาตมา บอกแล้วว่า มันดูเป็น กรรมกิริยา พฤติกรรมที่น่าเอ็นดูเหมือนกันว่า แหม!มันเหมือนกับการช่วยเหลือ เกื้อกูล มีน้ำใจ เป็นความรัก ความเอ็นดู ความดูแลความเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ความช่วยเหลือ อุ้มชูกันและกัน โดยรูปธรรมชัดๆ มันก็ดูดีนะแต่ไอ้นั่น มันก็ดูถ้าเผื่อว่าเข้าใจด้วยปัญญา สูงๆแล้ว มันก็เพียงกรรมกิริยาชนิดหนึ่ง ดูง่าย แต่โดยความลึกซึ้งแล้ว เราไม่ต้องถึง ขั้นนั้นก็ได้นี่ เรามีน้ำใจ มีการช่วยเหลือ แต่ไม่จำเป็นที่จะต้องช่วยเหลือ แค่นั้นแหละ เราช่วยเหลืออยู่จริงๆ ช่วยเหลือในการ สร้างสรร ดูแลอะไรบกพร่อง อะไรเป็นทุกข์ อะไรลำบาก ก็ช่วยกันอย่างนั้น

อย่างอาตมา ไม่จำเป็นจะต้องไปอุ้มคนนั้น ไม่ต้องไปอุ้มคนนี้ อาตมานี่ช่วยพวกคุณ ไหมละ ไม่ต้อง ไปคอยประคอง ไม่ต้องไปคอย แหม!อะไรอย่างนี้ มันได้ช่วยไหมล่ะ เอาละ กรรมกิริยาประคอง คอยช่วยคอยแบก คอยหามอะไร ก็เป็นกิริยาดูช่วยชัด บอกแล้วว่า มันหยาบๆ แต่การที่ช่วยโดย ไม่ต้องทำ กิริยาอย่างนั้น มีพฤติกรรม มีการกระทำ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไรที่เป็นเรื่องเป็นราว ช่วยเหลือเฟือฟาย ด้วยกรรมต่างๆ กิริยาต่างๆ การกระทำต่างๆ ที่มันมีผลสูง มีประสิทธิภาพสูง แก่กันและกัน มันมีได้มากกว่านั้น ไอ้นั่น มันจิบจ้อย เล็กน้อยนิดเดียว กรรมกิริยาที่ดูชัดก็จริง แต่มันเล็กน้อยเหลือเกินนะ อาตมาว่า ความยิ่งใหญ่มันมีกว่านั้น ในคำว่าการช่วยเหลือเกื้อกูล ใช่ไหม ในพฤติกรรม ของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ในความช่วยเหลือ ที่มากกว่านั้น

เพราะมันจะเกิดพฤติกรรมอย่างที่ว่านี่แหละ เพราะจะดูว่าชาวอโศกนี่ ดูแข็งๆ ดูมัน ไม่ค่อยโอ๋ ไม่ค่อยเล่น เหมือนอย่างคนข้างนอกนะ ท่าทีลีลา โอ๋ย! เธอจ๊ะ เธอจ๋า แหม! อย่างโน้น อย่างนี้ กอดรัด ฟัดเหวี่ยงอะไรไม่ค่อยมีในชาวอโศกนั่นน่ะ แต่อโศกช่วยเหลือ กันไหม อาตมาว่าการจะช่วยเหลือ กันจริงๆ นี่น่ะ อาตมาว่า ชาวอโศกไม่ได้น้อยหน้าใคร การจะช่วยเหลือกันจริงด้วยกรรม กิริยาที่เป็น สาระ เป็นโล้เป็นพาย เป็นเนื้อหามากๆ อโศกไม่ได้น้อยกว่าใคร แต่ในกรรมกิริยาช่วยเหลืออย่างประเภท แหม!ไอ้รูปผักชีโรยหน้า ง่ายๆอย่างนั้น แหละน่ะ ทำเป็นคอยไปหาไปใกล้ไปชิด ไปเฝ้ากันอยู่ โอ๋ๆ กอดรัด ฟัดเหวี่ยงท่าที กิริยา ประเภทอย่างนั้นแหละนะ ไม่ค่อยมี

เลยดูว่า เอ๊! พวกนี้ ไม่เหมือนค่านิยมของที่อื่นนะ ดูเหมือนไม่ค่อยสนิทสนมกัน แต่ในความ ลึกซึ้ง มีอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น คนจึงเข้าใจอโศกไม่ได้ พวกนี้มันแข็งๆ มันอ่อนหวาน จริงๆ มันไม่แก่หวาน เหมือนคนอื่น ฟังภาษาให้ออกนะ ที่นี่นะ อ่อนหวาน คือ หวานไม่มาก ไม่หวาน อ่อนหวานนี่ หวานมันน้อยนะ อ่อนหวานจริงๆ พวกอโศกนี่ ไม่แก่หวานเหมือน ที่อื่น ที่อื่นมัน แก่หวานเหลือเกิน ที่อื่นมันเยิ้มเลย โอ๋ย!หวานจังเลย หวานทั้งคารมคำคม งามงอน หวานทั้งกิริยา กายกรรม โอ๊!ป้อยอฉอเลาะ โอบลูบหน้าลูบหลังลูบไหล่ แหม! กอดรัดฟัดเหวี่ยง ไอ้โน้นไอ้นี่ ดูแล้ว แหม! เห็นไหมว่า วัฒนธรรมต่างกันไปแล้ว เข้าใจ ให้ชัดนะว่า อย่านึกว่าเราด้อย เราไม่มีกิริยา กอดรัด ฟัดเหวี่ยง โอ๋ๆ!พะเน้าพะนอ ลูบหน้า ลูบหลัง ประจบประแจงประจ๋อประแจ๋ เราไม่มีกิริยาเหล่านั้น อย่านึกว่าเราด้อย เปลืองแคลอรี่เปล่าๆ ดีไม่ดี หนุ่มๆ สาวๆ spark ง่ายนะ ถึงแม้จะมีวัฒนธรรม ก็เหมือน อย่างพวก อเมริกันนี่ ไม่ว่าหนุ่มว่าสาวอะไร มันก็กอดกันง่ายๆนะ ผู้หญิงผู้ชายจูบกัน ดมกันไปเป็นวัฒนธรรมอย่างไม่ได้ถือสา ว่าเป็นกาม แต่นั่นแหละมันง่าย ช่องทางมันง่าย แฝงง่าย ใช่ไหม มันแฝงง่าย เพราะฉะนั้น ไม่น่าไว้ใจ เป็นทางมาแห่งธุลี ใช้สำนวน พระพุทธเจ้า เป็นทางมา แห่งธุลี

เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราอย่าไปกลัวใครบอกว่าพวกนี้มันแข็งๆ โด๊กกระเด๊ก มันไม่ มีกิริยาอ่อนหวาน กิริยา แหม! ท่าทางประจี๋ประจ๋อลูบไล้อย่างโน้นอย่างนี้ มันไม่มี บางที มันก็อย่างนี้มาเห็นเข้า ก็แต่ละคนเข้า ก็ระวังด้วยนะ ถูกตัวอะไรกันอย่างนี้ โอ๋!พวกนี้ มันอะไรกันละ มันเป็นโรคผิวหนังหรือไง เป็นโรคติดต่อจนกระทั่ง เฉียดกันก็ระวัง กันแจเลย ผู้หญิงผู้ชายหรืออะไรนี่ ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้อง ไปถือว่าเป็นปมด้อย ใครเขา จะท้วงจะติง ไอ้พวกนี้มัน แหม! ทำไมมันเกินไปอะไรมัน ไม่ดู มันไม่สนิทสนม ดูไม่อะไร แต่ในความสนิทสนม เรามีเนื้อหาของเรา ในความสนิทสนม ความเป็น น้ำหนึ่ง ใจเดียวอันดี เป็นมิตร กัลยาณสหาโย เป็น มิตรอันดี กัลยาณมิตโต หมายความทางจิต อาตมาบอกแล้ว วิเคราะห์คำ ๓ คำนี้ให้ฟัง มิตโต สหาโย และสัมปวังโก กัลยาณมิตโต กัลยาณสหาโย กัลยาณสัมปวังโก มิตโตนี่มันหมายถึงจิตวิญญาณ ที่มีความสัมพันธ์ อันสนิท เป็นความเกื้อกูล เป็นประโยชน์แก่กันและกันทางใจ

สหาโยนี่ร่วมประโยชน์ทางวัตถุ หรือทางรอบนอกในรูปหยาบเพิ่มเติมขึ้น ร่วมประโยชน์ สหายะ ร่วม สหะแปลว่าร่วม อายะ ประโยชน์ เป็นประโยชน์เป็นคุณค่าประโยชน์ ทางวัตถุธรรม ทางอะไรก็แล้วแต่ ทางงานการทาง อะไร เพื่อร่วมประโยชน์กันดีๆ ถ้ามีใจ เป็นหลัก มิตตะเป็นหลัก โอ๋!ไปกันได้ดี

สัมปวังโกนี่ รวมหมดเลยองค์ประกอบทั้งหมดสิ่งแวดล้อมทั้งหมด ทุกอย่างมันร่วมรวมกัน เป็นหนึ่งเดียว สมัครสมานสามัคคี ประสานกันหมด สัมปวังโก เป็นองค์รวม

เพราะฉะนั้น ถ้ามีมิตโต มีสหาโยนี่ ทุกวันนี้พวกเรานี่ มิตโตพอได้ แต่สหาโย ยังขัดกันใหญ่ เพราะจิตมันยังไม่สมบูรณ์ จิตมันยังมีความถือตัวถือดี มีอัตตา มีมานะ เพราะฉะนั้น ทำงาน ร่วมกันอยู่แท้ๆ แล้วมันก็ขัดประโยชน์กันน่ะ มันถือดีกัน บางทีก็ข้าดีข้าถูก ข้าจะเอาหน้า แล้วแต่กิเลส ใครมากใครน้อยแหละน่ะ ไอ้โน่นไอ้นี่อะไรหวงแหนอะไร ก็แล้วแต่ ถ้ายิ่งหยาบไปจนถึงขนาด แหม!ทำแล้วก็กลัวคนอื่นดีเกินหน้าฉัน ฉันจะต้อง เอาหน้าเอาตา ฉันจะใหญ่ ฉันจะยิ่ง มีริษยา มีการกลัวคนอื่นได้ดี มีมักขะ ปลาสะ อิสสา มัจฉริยะ มีข่มคนอื่น มีการตีตนเทียบเท่า มีการริษยา มีการตระหนี่ หวงแหนจะต้องเป็น ของกู คนอื่นมาละลาบละล้วงไม่ได้ ไม่แบ่งไม่แจกใคร แม้แต่ความดีงาม อย่าว่าแต่ วัตถุเลย ให้วัตถุไปได้ แต่ความดีงามต้องเป็นของข้าน่ะ อะไรอย่างนี้ มันกลัวจะหมด มันกลัวจะเปลือง มันขี้เหนียวเป็นของของกู

สรุปแล้วมันยังยึดเป็นตัวกูของกูอยู่ แม้แต่คุณค่าความดีงาม ก็ต้องของกู คนอื่นมาแบ่ง มาแจก ไปไม่ได้ทั้งนั้น ใครมาตู่มาท้วงมาว่าไม่ได้ลบหลู่ไม่ได้ สารพัดพวกนี้ นัยมันลึกซึ้งอยู่

เพราะยิ่งเรียนไป เรายิ่งๆเห็นเลยว่า สัจธรรมที่ลึกซึ้งที่อาตมาบรรยายภาษาคนๆนี่ ภาษาไทยๆ ภาษาง่ายๆ พอเราเรียนไปเถอะ จะได้รู้นัย ลึกซึ้งอะไรต่างๆนานา มันมากมาย จนอาตมาเคยพูด ไม่ใช่พูดเล่น อายุร้อยปีนี่ พูดหมดหรือเปล่ายังไม่รู้ มันมากมันมาย เหลือเกิน หลายอย่าง ยังนึกไม่ออกเลย จะพูดอะไร แต่รู้อยู่ว่า ยังไม่ได้พูด รู้แล้วว่า ยังไม่ได้พูด แม้แต่เรื่องนี้แค่นี้แหละน่ะ อันนี้เอามาทำให้อาตมาพูดได้ เพราะมีเหตุปัจจัย เข้ามาก็แล้ว เออ! มีหลักฐานอ้างอิงเหตุปัจจัย ทำให้อาตมามารวมกันแล้ว วิเคราะห์สิ่ง เหล่านี้ ออกมาได้ละเอียดขึ้น แต่แค่คำว่าคนแก่ ความยาว ของอายุนี่เท่านั้น มีนัยต่างกัน และมีนัย เหมือนกันได้ และยังสภาวะสัจจะย้อนสภาพตีกลับอีก มันมีอย่างนั้น วันที่เรา มาพูดกัน ตั้งแต่อาตมาขึ้นต้นว่า คนไม่มีแก่ จำไว้ แล้วจะทำอย่างไร ให้เราได้มีความเข้าใจ จริงเลยว่า เอาละต่อไปนี้ ตัดความแก่ทิ้ง เราจะไม่แก่ จะมีแต่อายุยาว คนไม่มีแก่ มีแต่อายุยาว

ใครมีความรู้อย่างนี้ ทำได้ สอดคล้องดังที่กล่าวมานี่นะ โอ๊!คนเราไม่มีแก่ ถึงเวลา อายุมัน ๑๒๐ ปี ถึงเวลาจะตาย โอ๋ย!ยังสดชื่นอยู่เลย แต่ทั้งๆที่ไอ้สังขาร มันก็ไม่ แข็งแรง มันรวดเร็ว เพราะแน่นอนเลย กล้ามเนื้อส่วนนั้นส่วนนี้ของมัน มันจะไปทรงสภาพอยู่ ไม่ได้หรอก ไปค้านไตรลักษณ์ไม่ได้ มันก็ต้อง เสื่อมไป เป็นธรรมดาก็ตาม แต่จะเห็นว่า กิริยาท่าทาง ของคนที่เข้าใจแล้วว่า เราต้องทำจิตใจของเรา ให้เป็นความหนุ่ม ทหัง ทหังเป็นทหารนี่แหละ ทะหะระ นี่แปลว่าสดใหม่ หนุ่ม สมาทหัง สมาทหะ ให้หนุ่ม อยู่เสมอ สดใหม่อยู่เสมอๆ ใจเราเป็นอย่างนั้น ส่วนสรีระส่วนองค์ประกอบของธาตุ มันเป็นไป ของมันๆ จะเสื่อมไปบ้างก็ตามแต่แน่ๆ อายุ ๑๒๐ แล้ว คุณจะเหมือนหนุ่มอายุ ๑๖ จริงๆ นี่มันไม่ได้ แน่ๆ แต่จิตใจของเราเป็นอย่างนั้น แค่จิตใจเบิกบานแจ่มใส สดชื่น กระปรี้กระเปร่าอยู่ จิตใจแข็งแรง ไม่ห่อไม่เหี่ยว อะไรอยู่นี่ไปตามวัย ตามยาวของอายุ คุณเอง คุณไม่พอใจหรือ เพราะฉะนั้น จำไว้นะ รู้สึกไหมใครๆที่อายุมาก โอ๋ย! เราแก่แล้วๆ มันก็เป็นอุปาทานจริงๆนะ เราแก่แล้ว เพราะฉะนั้น หลายๆอย่าง ที่เราก็จะให้มันโซเซ ทรุดโทรม ไปตามที่คำว่า แก่ น่าเสียดาย น่าเสียดายไหม แก้ประเด็น แค่นี้ได้ อาตมาว่า โลกได้อะไรเพิ่มขึ้นไหม อย่างน้อยก็ได้พลังงานเพิ่มขึ้น

ถ้าทางจิตวิญญาณแล้ว ก็จะได้คนที่ไม่มีสภาพ ร่วงโรยห่อเหี่ยว เสื่อมทรุดไปตามที่เรา นึกว่า เราแก่ มันจะช้าลง จะเซื่องลง ใช่ไหม จะเซื่อง จะหงอย จะช้าตามความหมาย ของคำว่าแก่นี่ ฟังออกไหม มันจะเหี่ยว มันจะหด มันจะไม่มีพลัง มันจะไปตายเอา มันจะหยุด จะนิ่ง ซึ่งมันไม่ดีเลย มันเป็นภาวะ จำนน และเป็นภาวะที่ไร้คุณค่า ไร้ประสิทธิภาพ ไร้บทบาท ไร้เรี่ยวแรง ไร้พลังสร้างสรร มันก็ไม่ดี แค่ความเข้าใจ เท่านี้ ถ้าเผื่อว่า เข้าใจผิดไปแล้ว มันจะเสื่อมไปเยอะเลย

อาตมาคิดว่าจะต้องค่อยเทศน์เรื่องนี้กันไปอีก เพื่อที่จะทำให้พวกเรา มีพลังเสริมขึ้นมา ในตัวพวกเราเอง นี่คือค่าของ abstract อันหนึ่ง E=Mc2+a สูตรที่อาตมาเอาเป็นเครื่องมือ ใช้การอธิบาย เพราะฉะนั้น E=energy หรือ แรงงานจะได้ อย่าว่าแต่ E=Mc2 เลยนี่แหละ a ตัวนี้แหละ ค่าที่จะบวก เข้าไปอีก มันเป็นนามธรรม a=abstract เป็นนามธรรมนะ ถ้าเราเข้าใจ แล้วจะได้ a นี่เป็นค่าที่ขึ้นมา ก็คือ E ต้องเพิ่มแน่นอน E=Mc2+a

E ต้องเพิ่มแน่นอน ถ้า a ของคุณมีจริง คุณทำ a ขึ้นมาได้จริงจะผลิต E,a ขึ้นมาได้ไหม นี่เป็นภาษา คณิตศาสตร์หน่อยน่ะ พอเห็นท่าไหม เข้าใจแล้วไปทำขึ้นมานี่ เอาเถอะ แม้แต่ ใครจะฟังสูตรนี้ ภาษาคณิตศาสตร์ ไม่ออกก็ตาม ก็คือเราสร้างเสริมมาแล้ว เราจะเป็นคน ที่มีคุณค่า มีพลังงาน มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะตัวเราเอง ก็คือได้ สดชื่น แข็งแรง จะได้ขึ้นมาจริงๆ ไม่ใช่โมเมนะ ฟังดีๆ ไม่ใช่โมเม จากความเข้าใจวันนี้ไปเถอะ แล้วคุณก็ ตั้งใจฝึก การฝึกก็คือ ให้สัมโพชฌงค์ มีสติ สติคือ ความระลึกรู้ รู้อะไรล่ะ มีธัมมวิจัย ซ้อนเข้าไปอีก โพชฌงค์ ๓ นี่เป็นตัวหลักการ ปฏิบัติ ประพฤติเลย มนุษย์ถ้าจะมีชีวิต อยู่ด้วยโพชฌงค์ ๓ นี่ได้วิเศษแล้ว มีสติ แล้วมีธัมมวิจัย วิจัยแล้ว ลงไปใน กรรมกิริยา วิจัยลงไป ในแม้แต่ความรู้สึกในจิต กิเลสในจิตตัวความเข้าใจผิดเข้าใจถูกในจิต เพราะฉะนั้น ต้องเข้าไปในทิศทางถูกต้องในทางที่วิจัย มีวิจัยเสมอ

อันใดที่ควรอันใดที่ถูก วิจัยไปเรื่อยๆ แล้วแม้มันจะขี้เกียจ มีวิริยสัมโพชฌงค์ เพียรให้ได้ ถูกต้อง ตามที่เราเห็นเรารู้ เรามีความรู้เท่าไหร่ มีความสามารถในการวิจัยได้เท่าไหร่ สติมีการรู้ตัวทั่วพร้อมเสมอ และพร้อมที่จะปรับไปสู่กายกรรมอย่างนี้ดีกว่า วจีกรรม อย่างนี้ดีกว่า มโนกรรมที่เป็นตัวประธานหลัก ตั้งจิตไว้แล้วทำจิตให้มีพลัง อย่างนี้ ไปในทิศทางนี้ดีกว่า ทำให้ดีกว่าขึ้นไปเรื่อยๆ มีวิริยะ มีวิริยะ

อาตมาเคยบอกว่า ถ้าตัวสติ เป็นกัปตันเรือ วิริยะเป็นต้นหนใช่ไหม ต้นหนอยู่ใต้เครื่อง อยู่ในห้องเครื่อง มันเร่งเครื่องท่าเดียว เพราะฉะนั้นต้นหนนี่ พร้อมผลักดันเครื่องไปเลย ทิศทางก็ตรง เครื่องก็ดันแรงไป แหม!ลุยแหลกเลย จะมีพลังสร้างสรรมากมหาศาลเลย

ถามว่าเกี่ยวกับความคิดหรือเปล่า รวมอยู่ในธัมมวิจัยหมดแล้ว สติก็มี สติสัมปชัญญะ ปัญญา มีธัมมวิจัยเข้าช่วย วิจัยออกมาให้รู้แล้วความคิดก็ปฏิบัติอยู่แล้ว มรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ ก็ต้องรวมกับ มรรคองค์ ๘ สังกัปปะก็คือความคิดนั่นแหละ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ จนเป็นวจีสังขาร มันก็จะต้อง ร่วมวิจัยๆแล้วก็ ตัดสิน ด้วยเหตุด้วยผล ทุกอย่าง เลยว่าเอาอะไรดี แล้วก็นำพาให้มันดำเนินไป ให้มันดำเนินน่ะ ไม่ใช่ให้มันอยู่เฉยๆ รู้ได้แต่รู้ แล้วไม่มีอะไรดำเนินไป กายกรรมก็ไม่ดำเนินออกมา เป็นพฤติกรรม วจีกรรมก็ไม่ดำเนิน ออกมา ทางวจีกรรม โดยเฉพาะมโนกรรม รู้แล้วนิ่ง รู้นิ่งเฉย

หลวงอรรถ สมัยที่ลานอโศกนั่นแหละ แกเข้าใจของแกแค่นี้ หลวงอรรถน่ะ แก่มากแล้วนะ ต้องไป ลานอโศก เขาไม่ผูกเน็คไทหรอก แต่หลวงอรรถ นี่ต้องผูกเน็คไททุกที แก่แล้วก็ยัง ผูกเน็คไท ไม่ได้หรอก ต้องโก้ ต้องหรูไปทุกที ผูกเน็คไทไปทุกวัน รู้นิ่งเฉยๆๆๆ มันก็เป็น ท่อนไม้น่ะซิ รู้นิ่งเฉย รู้แล้วก็นิ่ง เฉย มันก็เหมือนท่อนไม้ ไม่ได้ทำอะไร ไม่ใช่อย่างนั้น

รู้แล้วให้ดำเนินไป ตามทิศทางที่รู้ จึงจะเกิดการสุคโต สัมมัคคโต ถึงจะได้ไปโดยดี ไปโดยชอบ ดำเนินไปโดยชอบ ดำเนินไปดี สุคโต สุคติ ดำเนินไปดี คตะคือไป สุ ก็ดี ไปในทิศทางที่ สุจริต ไม่ใช่ทุจริต ไปในทางที่ดีดำเนินไป เพราะเรายังมีการดำเนินไป เรายังไม่ได้ตาย โดยเฉพาะยังไม่ได้ ปรินิพพาน หนังสือคนคืออะไรฯ ออกมานี่ ก็มีคน ชักจะถามมาแล้ว และนิพพาน กับ ปรินิพพาน มันต่างกันอย่างไร นี่มีคนถามมาแล้ว ดี ได้เกิดการซักถาม อันนี้ขึ้นมาก็ดี ก็ต่างกัน

ปรินิพพาน ก็คือ ความจบยิ่งกว่านิพพาน นิพพานก็แค่จบหมดกิเลส เราคนไหนหมดกิเลส ก็คือ นิพพาน ถึงกิเลสเป็น สอุปาทิเสสนิพพาน ก็เป็นหมดกิเลส

ส่วนปรินิพพานนั้นน่ะ มันทั้งหมดกิเลส ทั้งตัวเองตายอย่างชนิด ดับสนิทอีก ไม่มีภพ ดับภพ ตัดภพ ตัดวัฏสงสาร จบสนิท ร่างกายก็ตายด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุด้วย สอุปาทิเสส นิพพาน เป็นผู้ที่ มีนิพพานแล้วก่อน เมื่อตายดับขันธ์เป็น อนุปาทิเสสนิพพาน ธาตุ ก็ตัดภพ ตัดวัฏสงสารให้แก่ตัวเอง อันนี้เรียกว่า ปรินิพพาน จบ ไม่มีเวียนเกิด ไม่มีอะไรเวียน อีกเลยสนิท

นี่ ปรินิพพานต่างกับนิพพาน

ถ้าตั้งจิตเป็นโพธิสัตว์ ก็ไม่ปรินิพพาน เป็นแต่เพียงว่า เป็นผู้ที่มี สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นผู้ที่มี นิพพานแล้ว แล้วก็ร่างกาย ตายไปเป็นคราวๆ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ไปแต่ละชาติๆ แต่ละวัฏฏะ ยังไม่ยอมหยุด ยังไม่ยอมปรินิพพาน อันนี้แหละในเถรวาทนี่ จะค้านแย้งน่าดูเลย ..ฯลฯ..

อาตมาว่าพวกเรานี่แหละ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ นี่ได้ดี หรือโพธิปักขิยธรรม นี่แหละ เป็นหลักใหญ่ ก็เป็นยอดศาสนา แล้ว มรรคองค์ ๘ ก็เป็นยอด โพชฌงค์ ๗ ก็เป็นยอดเหมือนกัน อาตมาก็เอามาขยายให้พวกคุณฟัง เท่าอาตมา แล้วก็ให้พวกคุณ พิสูจน์ ปฏิบัติตามนี่ โพธิปักขิยธรรม อย่างนี้ มรรค ๘ อย่างนี้ โพชฌงค์ ๗ อย่างนี้ พิจารณา อย่างไร ก็อธิบายเป็นนัยละเอียดเข้าไป จะมีกายะอย่างไร เวทนาอย่างไร จิตอย่างไร ธรรมะอย่างไร สัมมัปปธานอย่างไร อิทธิบาทอย่างไร เมื่อเช้าที่นี่ก็เปิด อิทธิบาทกัน อาตมาเอาอิทธิบาท มาอธิบายอีก จะให้เห็นว่า คนเราต้องมีฉันทะ อะไร พวกนี้ ก็ไปหาดู ฟังดู ขณะนี้ อาตมาก็ว่าไม่เลวนะ เราได้ขนาดนี้ ไม่น้อย มีคนช่วยเหลือ เฟือฟาย เอาใจใส่ แม้มันจะต้องทุนไม่มาก แต่แรงงาน เราต้องเอาใจใส่ มันมากนะ หน่อยก็ได้ ช่วยกันแก้ ช่วยกันไข ช่วยกันซ่อม ช่วยกันแซม พยายามมากหน่อยน่ะ ให้ประณีต เพราะว่า เราไม่มี เงินทอง ไม่ใช้สุรุ่ยสุร่าย และ นี่บกพร่องนิดหน่อย เปลี่ยนทิ้ง ใหม่ของใหม่เอี่ยม มาใช้ เอาคุณภาพ ราคาเพียงๆ โถ ของแพงๆ เงินเราถึงไหน ทุกวันนี่ ได้แต่ของถูกนะ ปริมาณก็ยังไม่มากเท่านี้ เท่าที่มันทำได้ แต่ถึงกระนั้น อาตมาก็เห็นว่า พวกเราก็พัฒนาไป แล้วมันมีอีกอันหนึ่ง ในสังคม ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด อาตมาเห็นว่า เป็นความเข้าใจผิด ที่ทำลายสังคม คือความใหญ่ ที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ อาตมาซาบซึ้ง มาก ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักใหญ่ มักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเรา ตถาคต ก็อยากใหญ่ เสียก่อนเหรอ เห็นไหม ไปคิดอยากใหญ่เมื่อไหร่พัง ไม่ต้องอยาก ใหญ่หรอก ทำอะไร โดยอยากใหญ่นี่ พังมามากแล้ว อาตมายิ่งซาบซึ้ง คำว่าธรรมใด วินัยใด เป็นไปเพื่อ ความมักใหญ่ มักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต โอ พระพุทธเจ้าตรัสไว้นี่ สวากขาโต ตรัสไว้ชอบแล้ว ตรัสไว้ดีแล้ว ดีจริงๆ

เหมือนกะบอกว่า กลุ่มพวกอโศก ก็กลุ่มกระจอก แล้วก็อยู่เล็กๆน้อยๆ เออ ดีๆ ขอให้เป็น เลือดแท้ที่ เป็นคนอยู่ในหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า เป็นคนที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนลดโลภ โกรธ หลง ออกไปจริงๆน่า เป็นคนที่มักน้อย สันโดษ เป็นคนขัดเกลาๆ ไปเรื่อยๆ ปรับปรุงพัฒนาไปเรื่อยๆ เป็นคนมีศีล เคร่ง ศีลสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เป็นคนมีอาการ ที่น่าเลื่อมใส ปาสาทิโก อาการที่น่าเลื่อมใส ก็คืออาการ อย่างพวกเรา นี่แหละ พวกนี้มัน ซื่อบื้อทื่อๆ ไม่มีมารยาท ที่จริงก็คือไม่มีมารยา พวกเรานี่ ไม่ค่อยมีมายา หรอก ดูซิ มารยาท สังคมไม่มี เราไม่ค่อยมีหรอก มารยาสังคม เรามีอะไรก็ว่ากันที่ทื่อไป ความจริงนั่นคือ เราบอก ความจริงไอ้ทื่อๆ ไปนี่ และเราไม่มีอะไรซ่อนแฝง นี่คือบอกความจริง มาคบเรา ง่ายจะตายไป ประเภทที่มีมารยา แหม ซ้อนเชิงซ่อนโอ เสียเวลาจริงเลย คบสิ่งเหล่านี้ เพราะสังคม มันเพี้ยนไป สังคม มันถูกอะไร อาบพอกไปจนกระทั่ง มันหลงในสิ่งที่ มันไม่ควรจะหลง ไปหลงเปลือก ไปหลงสิ่งอาบพอก หลงมารยาทเกินไป จริง ก็ไม่ได้ หมายความว่า ชาวอโศกไม่มีมารยาท ชาวอโศก มีมารยาทๆที่จริงใจด้วย เอาเท่านี้ๆ เราก็บอกเอาเท่านี้ แต่ไอ้ซับซ้อนมีเลห์กลเล่ห์เหลี่ยม เราไม่เอาละ เพราะฉะนั้น เขาก็บอก ว่า พวกนี้มันก็ได้อยู่แต่พวกมัน ไม่เป็นไร อยู่ในพวกเรา ก็สุขอยู่แล้ว จะไปมี ปัญหาอะไร และเราก็ไม่อยาก จะผสมส่วนกับพวกคุณด้วย เราไม่อยากจะไปผสมหรอก ไอ้อย่างนั้น น่ะ

เพราะว่าเราเอง เราก็ โถ เราก็สบายแล้ว ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ ป่วยเจ็บก็ช่วยกันดูแลรักษา ขี้หมาก็ช่วยกันกวาด ผ้าขาดก็ช่วยกันชุน บุญก็ช่วยกันพัฒนา ส่งเสริม สร้างบุญกันไป เรามีอัตตา หิ อัตตโน นาโถ เรามีที่พึ่ง เราไม่ ใช่โอ นี่ต้องพึ่งโน่นพึ่งนี่ จะต้องพึ่งรัฐบาล จะต้องพึ่งนายทุน จะต้องพึ่งนายเบิร์ด ธงไชย นี่ จะต้องพึ่งดาวพระศุกร์ มันทันสมัยทุกอย่างแหละ ทำไมอาตมารู้ทั้งนั้นแหละ แต่อาตมา ไม่เคยดู สักทีหรอกน่ะ ดาวพระศุกร์ยังไม่เคยดูสักครั้งเดียว ไม่เคยดูจริงๆ มีแต่ข่าวคราว กระแส อาตมาก็รู้ข่าว กระแสสังคมอยู่อย่างนั้นแหละ อะไรมันจะฮิต มันจะดังอะไรก็รู้ แต่มันไม่แต่รู้เนื้อหา อาตมาเป็นคนสั่งมา ให้อัดดาวพระศุกร์มา อาตมาเซ็นเซอร์ อาตมา เป็นคนสั่งเอง เด็กร้องร่ำเลย บอกโอ๋ยไม่เซ็นเซอร์ไม่ให้มี ไม่ให้อัด ไม่ให้เซ็นเซอร์ ไม่เอาล่ะ ตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว อาตมารู้เรื่องมันแล้ว อาตมาไม่ให้อัดเรื่องนี้ ไม่ต้องเปลืองเท็ป เสียเวลา ด้วย ไม่ต้องอัดมาให้เซ็นเซอร์นะ และวิจารณ์อยู่ แล้วมันฮิต ก็ฮิตไป ก็มันเน่า นี่คือ อาการบอกค่าของสังคม ให้แก่เราทราบ ไม่ใช่เรื่องแปลกน่ะ เรารู้ความจริงและเราก็ไม่ต้อง ลบหลู่ เขาหรอก ไปลบหลู่สังคม ไม่ได้ลบหลู่ประชาชน แต่ว่ามันบอกเรา

อาตมาก็อธิบายให้คุณฟัง ใจอาตมา ไม่ได้ไปลบหลู่เขา สงสาร สมเพช มันบอกค่าให้เรา แล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องดึงถ่วงของเขาไว้ ต้องช่วยเขาไว้ ต้องช่วยเขา และต้องเข้าใจ อาตมาเข้าใจ มันเป็นรสชาติอย่างไร อาตมาก็เข้าใจ มีรสชาติอย่างไร เข้าใจน่ะ มีจิตวิทยา ยังไง มันจะยั่วยวน หัวใจ คันๆ ชวนติดตาม อะไรๆนี่อาตมานี่เข้าใจไม่มีปัญหาหรอก ถ้าเราจะไปทำอย่างนั้น เราก็ทำได้ ได้เงินด้วย หาเงินแข่งกับเขาก็ได้เงิน คนชอบนิยม ได้เงินมาก แต่เราไม่ได้มีเป้าหมายมาหาเงิน มาหาทองให้แก่ตัวเองมากแล้ว ไปให้คนอื่น มอมเมา และให้คนอื่นตกอยู่ในวังน้ำเน่าอยู่อย่างนั้น ตายซิ ไม่ได้ เราต้องช่วยฉุดเขาขึ้นมา แม้มันจะมีกลุ่มน้อย ก็ต้องหลักของสังคมให้ได้ มันเหมือนเรา นี่หยิ่งผยอง น่ะ อวดดี มีดีแล้วไม่อวด มันก็โง่ตายซิ ดีกว่าอวดชั่ว ไอ้ที่เต้นๆ ดีดๆ โชว์นั่น อวดรวย กับอวดจน อันไหนดีกว่ากันๆๆ นี่พวกคุณตอบ แต่ทางโลกเขาจะบอกอวดรวย นั่นแหละดีกว่า เรื่องอะไร มาอวดจน อวดความจนมันจะไปได้เรื่องอะไร

มันต้องอวดรวยใช่ไหม นี่ เพชรนะจ๊ะ นี่ไปๆ เซ็ตมานี่ ราคาเท่านั้นนะจ๊ะ ร้านโน่นน่ะ เสื้อผ้าหน้าแพร นี่ ถ้าจะติดยี่ห้อ ที่เขาหลอกขายแพงๆ แล้วก็ไปหลงโง่ไปซื้อเขามาแพงๆ โชว์แพงน่ะนี่ ไม่ใช่ของธรรมดา นะนี่ ไม่ใช่แบกะดินนะ นี่ห้างในระดับต้องรุ่นไฮโซโน่น ถึงจะซื้อได้นะ อวดๆ บ้านช่อง เรือนชานโน่นนี่ ก็ต้องประดับประดา ตกแต่งมันใหญ่ รถอะไรนี่ไปผ่อนส่ง จะตายจะเป็น ก็ไปรถหรูๆ อวดรวยนั่นแหละ เราก็ยังมีเชื้อ ก็อย่าพูดเลย เชื้ออยากอวดรวย อย่าพูดไปหน่อยเลย ยังไม่หมดหรอก จริงหรือเปล่า หรือหมดแล้ว ยังนะ อาตมาว่ายังหรอก เอ็งอยาก อวดรวยอยู่นั่นแหละ นี่อย่างนี้เป็นต้น เรารู้อะไรๆ เรามาทำให้ตรงเถอะ เขาหาว่าเราไม่มีมารยาทเลย ดูซินี่ มันอวดจนจังเลย นี่รองเท้าก็ไม่มีใส่ เสื้อผ้าก็ มะลอกมะแลก มันอวดจังเลย ดีไหมละ มันจนมันดีกว่า อวดรวยนะ ก็ทีคุณยังอวดรวยเลย เรามา อวดจน มันจะยังไงกันเชียว อวดจนมันไปข่ม คุณหรือ คุณต่างหากอวดรวยไปข่มเราใช่ไหม ก็เราไม่ไป อวดมากอวดมายอะไรเล่า เราไม่มีทำไม่มี ไปทำอะไรล่ะ แต่ตัวเองนะอวดเอาๆๆๆ ก็ไม่ว่า แต่เขาไม่ได้ พูดภาษานี้ และ พวกนี้มันทำอะไรมันวะ และคุณทำอะไร

เราแสดงตัวของเราว่าไม่หรูหราฟูฟ่า ไม่ร่ำรวยไม่มั่งนะ ยังงี้ มันก็คือแสดงตัว หรืออวด หรือโชว์ โชว์ภาษาอังกฤษ นี่แหละคือแสดงตัว เขาก็แสดง เขาก็โชว์ และเขาโชว์หรูหรา ฟู่ฟ่าร่ำรวย ก็อันเดียวกัน นั่นแหละ และคุณก็มาว่า ทำไมต้องมาทำอย่างนี้ แล้วคุณ ทำไมถึงทำ อย่างนั้นละ เอาให้มันเลย ระวังเขาตบเอาน่ะ ไปทันที่หน้าศูนย์การค้าเข้า แล้ว ทำไมแต่งตัวอย่างนี้ และคุณทำไม แต่งอย่างนี้ เพี้ยะ! ระวังหลบไม่ทันน่ะ เดี๋ยวจะหาว่า อาตมาไม่ยุ คือคนเรานี่มันไม่รู้สึกตัวหรอก และตัวเองก็ทำอีกอย่างหนึ่ง และนั่นเขาทำ อย่างหนึ่ง ยิ่งเราเองมีฐานะกว่านี้ เราไม่ได้จน กระจอก อย่างนี้หรอก แต่เราก็พอใจแล้ว ของเรา อย่างนี้แหละดี เพื่อถ่วงดุลสังคมที่ มันฟุ้งเฟ้อหรูหรา ฟู่ฟ่า ฟุ่มเฟือย สุรุ่ยสุร่าย อะไรไป เราถ่วงสังคมเอาไว้ สังคมทุกวันนี้ มันร่ำรวยนักหรือ คนจน มากกว่าคนรวย หรือคนรวยมากกว่าคนจน และทำไม จะต้องไปสร้างค่านิยม ที่จะต้อง ให้พยายามอวด รวยๆๆ จนไม่มีจะกิน ก็ยังอุตส่าห์ไปอวดรวยออกไป เอ้า! จนที่บ้านนี่ ออกนอกบ้าน ก็พยายามน่ะ ให้ดูท่าที มันสมภูมิ มีภูมินี้ฐานอะไร ทั้งที่มันนั่นแหละ เขาว่า มารยาทสังคม มันไม่ใช่มารยาทน่ะ ไอ้นั่นมันสิ่ง เสแสร้งมอมเมาปลอมหลอกคนอื่นเขา นี่สังคม มันไม่ถูกต้องอย่างนี้

อาตมาหยิบมาอธิบาย ฟังดีๆ ฟังธรรมให้ดีๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง เรามีฐานะ แต่เราจะ พยายามถ่วงดุลเขาไว้ เราก็ไม่ไปแสดงอวดข่มเขา ในทางรวย เรามีฐานะรวย อยู่บ้าง เราก็เอามา ทางจนนี่ดีกว่า ไม่ต้องไปทางรวยหรอก ถ้ายิ่งให้ดีก็เลยนอกจาก มาทางจนแล้ว ก็เราทำตัวให้จน และมีอะไรก็แจกจ่ายเจือจานเกื้อกูลคนอื่น ลงได้อีก และอยู่ให้ได้ แม้กระทั่งว่า เราจนจริงๆ เราไม่มี เราไม่ได้สะสม อปจยะ เป็นมนุษย์พัฒนา ในระดับที่ ๙ ที่ ๘ อปัจยะ ก่อนวิริยารัมภะ ระดับที่ ๘ โน่นแน่ะ ไม่ต้องสะสมได้เลยจริงๆ น่ะแหละอยู่รอดไหม ไม่ต้องมีเงินสักบาท เพชร นิลจินดาอะไรก็ไม่มี ทรัพย์สินอะไรก็ไม่มี บ้านช่องเรือนชาน ที่ดงที่ดินอะไรหมดไม่เหลือ ไม่ต้องมีทรัพย์อะไรอยู่ได้ไหม อยู่ได้ด้วย พลังงานความสามารถของเรา อยู่ได้ด้วยหมู่ฝูงของเรา เป็นที่พึ่งได้ มีวัฒนธรรมของเรา ในหมู่ในกลุ่ม หรือ อยู่ได้เพราะบุญเก่าที่เราทำมา คุณงามความดีที่เราได้ช่วยเหลือ เฟือฟาย สร้างสรร อะไรเก่าๆมาแล้ว เราก็สละไปแล้ว หมดแล้ว

หรือบุพเพกตบุญตา ตั้งแต่ โบราณ ตั้งแต่ชาติปางก่อน ตั้งแต่กี่ชาติ และเรามีพึงมีที่เรามี แม้ไม่ต้อง ไปนับ เราพูดกัน ไม่รู้เรื่องของชาติแต่ปางก่อน มีบุญเก่าแต่ปางก่อน มันไม่ได้ บุญใหม่ชาตินี้แหละ คุณทำไว้ โดยไม่ต้องจำ ไม่ต้องไปจดจำบุญของเรา แต่ถ้าเราทำ อยู่นี่หมู่ฝูงก็รู้ ใครขยันหมั่นเพียร ใครเอาใจใส่ ใครเสียสละสร้างสรรอะไร ทำไมเราจะ ไม่เห็นกัน ไม่รู้กัน ไม่ต้องจำกัน มันก็รู้อยู่ดีละ ไม่ถึงขนาดไปต้องจดต้องจำ ท่องไว้ ไม่ต้องหรอก ก็รู้กันอยู่ดีละ ใครมีมาก มีน้อย หรือแม้แต่ท่าที ลีลา ซ่อนแฝง ซ่อนเชิง ทำเป็นผักชีโรยหน้า อวดอ้างทำดี แต่ที่แท้ หลบเลี่ยงมากกว่า ดีไม่ดีก็เสพมากกว่า แบ่งกินแบ่งใช้ได้มากกว่า แต่ตัวเองทำน้อยๆ มันก็ รู้อยู่ในหมู่ คบคุ้นกันไปนานๆ มันก็รู้ทุกอย่างกัน รวมแล้ว เราก็มีสิ่งที่รองรับ มีทั้งหมู่ฝูงที่มั่นใจ ก็ตาม พึ่งสมรรถภาพ ของตนเอง เป็นคนไม่ขี้เกียจ เป็นคนขยัน หมั่นเพียร มีสมรรถภาพ มีกะจิตกะใจขวนขวาย สร้างสรรอยู่ เสียสละอยู่

หรือที่สุดแม้แต่บุญเก่า ที่เราได้ทำมา เราได้พึ่งจริงๆน่ะ อยู่รอด โดยไม่ต้องสะสมเลย ใคร ไม่เชื่อว่า เป็นไปได้ ใจเรายังไม่ถึงเท่านั้นแหละใช่ไหม คนที่ใจถึงแล้วมา สุดท้ายแล้วก็มาๆ ร่อนจ้อนอย่างนี้เลย ถือว่าร่อนจ้อนแล้วนี่ ญาติปริวัฏฏังปหายะ โภคักขันธาปหายะ ทรัพย์ศฤงคาร ปหายะ ก็คือหมด แล้วก็คือไม่มี ทรัพย์ศฤงคารไม่มี บ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์ศฤงคารไม่มี โภคักขันธาปหายะ ญาติปริวัฎฎังปหายะ ไม่มีพี่น้องจะมาเลี้ยงแล้ว ญาติปริวัฏฏังปหายะ หรือพี่น้องไม่ต้องมาเลี้ยงแล้ว มีคนมาเลี้ยงแล้ว ถ้าไม่เลวกว่านี่นะ อาตมาว่าท่านทั้งหลายอยู่นี่ พวกคุณจะเลี้ยงไว้ไหม ถ้าไม่เลวก่อนอีก อย่างนี้ ต่อไปนี้ ถ้าอยู่อย่างนี้ จะเลี้ยงไว้ไหม เลี้ยง มันเป็นวัฒนธรรมที่ พระพุทธเจ้า ก็วางรูปแบบไว้ วางระบบไว้ วางจารีตประเพณี หรือว่าหลักฐาน หรือว่าธรรมวินัย ทั้งธรรมทั้งวินัย ไว้อย่างนี่แหละ ไม่กลัวจริงๆนะ อาตมาไม่กลัว ถ้าอาตมาไม่ชั่วกว่านี่ๆนะ อาตมาจะอยู่ไป แก่กว่านี้ อาตมาก็เชื่อว่าอาตมาอยู่รอด พวกคุณต้องดูแน่ จริงๆ

เราพิสูจน์แม้กระทั่งว่าฆราวาสมาอยู่ที่นี่ เราพิสูจน์ไปยิ่งกว่านั้นทุกวันนี้ เอาเด็กมาเลี้ยง เห็นไหม มาโรงร่ำโรงเรียนนี่ เงินก็ไม่เก็บสักบาท พ่อแม่พี่น้องเอาเด็กมาทิ้งไว้นี่ ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องเอาเงิน มาไว้ด้วยก็ได้ แต่ที่จริง ก็ควรทำบุญเข้ากองบุญการศึกษาบ้าง เพราะใช้จ่าย นะ นี่ไม่ได้ทวงนะ พูดโดยสัจจะนะ ก็ควรจะมีมั่ง เหมือนกันกับเราหาเลี้ยง ขยายโตไม่ได้นี่ โรงเรียน เด็กก็เพิ่มขึ้นๆ เราก็ตั้งใจดูแลเลี้ยงดู ทำไมเราไม่เอาเงินมา อย่างพ่อแม่ คนที่ ฐานะร่ำรวย เอาลูกมาไว้ เขาเอาเงิน มาไว้ให้ใช้มาก เด็กไปใช้มาก และมันก็ใช้อยู่ด้วยกัน นี่นะ มันมีการเปรียบเทียบกัน มันมีการข่มขี่ กันในทีอะไรกัน เราไม่อยากให้เกิดสภาพนั้น ในสังคม เราก็เลยไม่เอาละ พ่อแม่ใครมีเงินมีทองก็ไม่ต้อง เอามาไว้ ฝากไว้คนนั้นคนนี้ แล้วให้เด็กไปเบิกเอามาใช้ ของส่วนตัวของเขา ของพ่อแม่เขา คนมีมาก มันก็ได้มีเปรียบ ก็แสดงท่าที แสดงความเป็นนายทุนมากกว่า อีกคนที่จนมันก็ไม่แสดงเป็นนายทุน และ มันเหลื่อมล้ำ เราก็ไม่อยากให้เกิดความรู้สึกอย่างนี้จากเด็ก ให้เด็กเสมอภาค ใครจะกิน จะใช้เงิน ก็ไปเบิกเอากองกลาง อันนี้สำคัญ หัดไม่ให้สุรุ่ยสุร่าย ไม่ฟุ่มเฟือยตามใจด้วย คนรวยมักเลี้ยงลูก spoil ใช่ไหม มันเลี้ยงลูกเลี้ยงเต้าแล้วมันก็ง่าย เอาไปเลย ปล่อยกิน ใช้อะไรไปต่างๆนานา เด็กมันก็ยิ่ง ได้ใจใหญ่ มันก็ติดนี่แหละ อัตตามานะมันก็ขึ้น

เราต้องการให้เด็กฝึกปรือ อัตตามานะก็ไม่เอา อยู่ด้วยกันเหมือนกัน ระดับเดียวกัน เหมือนกัน จะคนจนคนรวยก็เป็นนักเรียนเหมือนกัน อะไรสำคัญอะไรจำเป็นไปแจ้งแก่ครู มีครูดูแลอยู่แล้ว กองกลางมีเบิก อันไหนที่ควรจะใช้เงิน ที่จะต้องเบิก เขาก็ให้ แต่จะไป สุรุ่ยสุร่าย ไม่มีประโยชน์คุณค่าก็ ฝึกหัดกันไป ไม่ตามใจเหมือนอยู่บ้านอยู่ช่อง พ่อแม่ ไม่มีระเบียบแบบนั้นก็ไม่เอา เราก็ใช้เข้ามา ระเบียบแบบนี้ อย่างนี้เป็นต้น ทำ เดี๋ยวนี้ก็ ขยายไป จนกระทั่ง อย่าว่าแต่เลี้ยงคนในวัดเลย และ คนงานเราก็เลี้ยง ตั้งโรงเรียนอีก เลี้ยงเด็กอีก มันก็ยังอยู่รอด ทั้งที่เราไม่ได้สอน ให้ไปโลภ โมโทสัน เอามานะ เอาคณะนี้ บริษัทนี้ บริษัทพลังบุญก็รีบกอบโกย ชมร.ก็รีบไปขูดรีด เอาจากประชาชนมา ส่งหน่วยหน้า ออกไปสร้างบริษัท ไปรวบขูดรีดมา เปล่าเลย

แม้แต่พวกคุณส่วนตัว อาตมาก็ไม่ได้เคยสอนว่า คุณไปขูดรีดเอาเปรียบเขามานะ มีแต่ ให้คุณไปลดละ สร้างสรรให้มากเข้า ขายให้ต่ำกว่าทุน มีแต่หลักเกณฑ์ทฤษฎีอย่างนี้ทั้งนั้น ให้คุณลดละ มีน้อย กินน้อยใช้น้อยๆ แล้วก็ให้อยู่ได้ ไม่ทรมานตนเองอยู่รอดไหม มีแต่แบบนี้ ใช่ไหม แล้วเราจะมาร่ำ มารวยอะไรกันละ พวกเราไม่ร่ำไม่รวยอะไรแน่ แต่มันก็ อุดมสมบูรณ์พอสมควร ขยายงานได้อยู่เรื่อยๆ อย่าว่าเลี้ยงคนในวัดเลย เอาเด็กมา เลี้ยงอีก เพิ่มเติมขึ้นไปอีกก็ยังได้ และโรงเรียนนี่ ก็จะเพิ่มเติม ขึ้นไปอีก นักเรียนมากขึ้น นี่แหละ เป็นการ เป็นอยู่ของสังคมน่ะ พวกชาวอโศกเรา ก็จะเป็นอย่างนี้ ระยะนี้ก็ทศวรรษ ที่สอง พอเริ่มทศวรรษที่ ๓ อาตมาก็คิดว่า เรามาช่วยศึกษาและก็พัฒนาแก่พวกเรา อาศัย แรงคนนี่แหละ ที่พัฒนาขึ้นมาได้ก็มารวมหมู่ รวมกลุ่มกันไปตามระบบ มันเป็นระบบของ พระพุทธเจ้านี่ ระบบธรรมแบบนี้ ซึ่งมันก็เป็นสุข แม้มีน้อยเราก็เป็นสุข เราได้เกื้อกูล และสมรรถภาพ เราก็สูง เพราะฉะนั้น ไม่เหมือนฤาษี

ศาสนาพุทธไม่ได้ไปนั่งหลับหูหลับตา แหม! นั่งสะกดจิตเป็นสมาธิ ไม่ใช่ สัมมาสมาธิ ของพุทธเจ้า ไม่ใช่เช่นนั้น ที่อาตมาก็พูดซ้ำพูดซากมามากแล้ว มีสมรรถภาพ มีสมรรถนะ มีความเจริญ มีแรง สร้างสรร ประชาธิปไตยไม่พูดเลย ในพุทธศาสนานี่ เหนือชั้นกว่า ประชาธิปไตยนัก ประชาธิปไตย ก็มีธรรมาธิปไตย อยู่ในนั้นด้วยอย่างสมบูรณ์ สูงส่งกว่า ความหมายที่เขาพูดกัน ประชาธิปไตย ประเทศไทย เป็นๆอยู่นี่ โอ๊ย! ไม่ไหวหรอก ขนาด ฉลาด คนชื่อว่าฉลาดเขายังไม่รับเลย แค่ชื่อว่าฉลาด เขายังไม่รับว่าเป็นประชาธิปไตย เขาก็จะให้เป็นประชาธิปไตยกว่านี้ ซึ่งก็เถียงเขาไม่ออก แต่เสร็จแล้ว ก็มีอำนาจซะ ก็เลยเผด็จการ เอา ตามข้าแล้วก็ยืนหยัดอยู่ทั้งนั้น เอา! เมื่อไหร่มันจะก้าวหน้าได้ไม่รู้ เมืองไทย

เอา ! เอวังดีกว่า


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๒๓ ก.ค.๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๒๘ ก.ค.๓๒
พิมพ์โดย สม.มาบรรจบ ๒๖ ส.ค.๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป
เข้าปกโดย โดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย โดย พุทธศิลป์

FILE:4199A-b TAP