อัตตาของปริญญา กับ ป. ๔
โดย สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๓๐
ณ พุทธสถานสันติอโศก

ขอพูดถึงเรื่องของอัตตา ของเรื่องการหลงอัตตา หลงมานะ หลงอุปาทาน อะไรต่ออะไรกันอีกบ้าง ซึ่งเป็นเรื่องที่เรายังยึดติดกันไม่เข้าเรื่อง เป็นเรื่องโง่ๆน่ะ เป็นเรื่องอวิชชาน่ะ หลายคนไม่ได้ลงศาลา ซึ่งอาตมาอยากจะให้ได้ฟัง โดยเฉพาะเป็นพระหลายรูปไม่มีเวลา อาตมาไม่มีเวลานะ ที่จริงมันก็ ไม่สมควร จะเทศน์ตอนนี้เสียทีเดียว แต่ว่ามันจำเป็นจะต้องเทศน์ เพราะไม่มีเวลาเลย จะต้องบรรยาย ให้ฟังกัน ก็อาจจะกว้างๆ หน่อย ไม่จำเพาะเจาะจงลงไปนัก เพราะว่าไม่ได้ระบุตัวตน หรือว่า เป็นเรื่องพูดเฉพาะกลุ่ม เฉพาะบุคคล แต่นี่มันพูดกว้าง เพราะฉะนั้น ก็บรรยายกว้างๆ ผู้ใดรู้ตัวว่า นี่ล่ะเป็นลักษณะของเราแล้ว ก็ต้องรู้ตัวนะ เรื่องที่ว่านี่ก็คือ เรื่องของศักดินา หรือศักดิ์ศรีอะไร แบบโลกๆ นะ เป็นความโง่ชนิดที่ เรามาปฏิบัติธรรมแล้ว มันไม่น่าโง่น่ะ คือ บางคนมาอยู่ที่นี่ แล้วน้อยใจ ว่าเราเองนี่ โอ๊ เป็นคนจนมาอยู่ที่นี่ แล้วก็คนร่ำรวยรู้สึกว่า เขาได้รับเกียรติ ได้รับการยกย่อง นับถือ มีคนเอาอกเอาใจ หรือมีคนเกรงใจมากกว่า เพราะเราจน เขารวยมา เราจนมาแต่เดิม ไม่มีอะไร หรือบางคนก็เรียนน้อย เรียน ป.๔ เรียนมัธยม ไม่จบปริญญา บางคนเขาก็มีการศึกษาสูง ปริญญาตรี ปริญญาโท หรือว่าทำงานมี ซี ๖ ซี ๕ ซี ๔ อะไรมา ก็รู้สึกได้รับการเคารพนับถือกว่ากัน การเอาอกเอาใจ การยกย่องเชิดชู เป็นเชิงศักดินา เป็นเชิงหลงค่าในวัตถุโลก เป็นแบบโลกๆ หลงค่าทางเงินทอง วัตถุ เงินทอง ก็ตาม หลงค่าในการศึกษามาแบบโลกๆ ทางโลก เป็นเครื่องประกันมาก็ตาม

ผู้ที่น้อยใจนั้น โง่กว่าผู้ที่หลงใหล เพราะว่าธรรมดาสามัญนั้นมันสอดคล้องน่ะ ธรรมดาสามัญ มันสอดคล้อง มองในมุมกลับ มองในมุมของทางศาสนาแล้ว เราก็ควรรู้ว่า ไม่นั่นมันง่ายๆน่ะ เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องเงินทอง ร่ำรวย นั่น เราก็มองง่ายๆอยู่แล้วว่า นั่นมันโลกีย์ แต่มาปฏิบัติธรรมแล้ว แล้วก็ยังไม่เข้าใจว่า เอ๊ะ ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราจะไม่มีเงินทอง ร่ำรวยมาแต่เดิม เราก็ไม่น่าจะน้อยใจอะไร ก็เพราะเราไม่มี เราไม่ได้เรียนสูงมา ก็จะไปน้อยใจทำไม ก็เพราะเราไม่มี เข้าใจไหม นี่มันโง่ซ้อนโง่นะ ไปน้อยใจ แหม เขาแบ่งพรรคแบ่งพวก พวกปริญญาพวกนี้ พวกนี้ พวกไม่มีปริญญา แล้วก็แบ่งพรรค แบ่งพวกกัน แล้วพวกไม่มีปริญญาก็น้อยใจน่ะ ตั้งก๊ก ตั้งหมู่ ก็คนที่มันมีปริญญา มันจะบ้า ก็ให้มันบ้าไปซี ก็มันซวยอยู่แล้ว ก็มันหลงศักดินา มันหลงตัวหลงตน หลงโลกีย์ มันบ้าไปแล้ว ซวยไปแล้ว ให้มันซวยติดเครื่องไปเลย ซวยติดเจ๊ตไปเลย ก็มันบ้า ให้มันบ้าไปสิ แล้วเราก็โง่ไปริษยาเขา ไปเบ่งข่มเขา ไปข่มมันทำไมเล่า ก็เขาจบปริญญา เขารวยมา เขาเกิดพ่อแม่รวยก็ตาม หาเงินได้มาเอง มากๆมายๆ มาก่อนเขา ก็ตาม ก็เรามันไม่มีจริงๆ เหมือนเขาน่ะ เราก็อยู่ของเราก็แล้วกัน ก็มันจะบ้า ก็ให้มันบ้าเพริดไปเลย ก็มันซวยแล้ว คนหลงบ้า เป็นกิเลส หลงใหลได้ปลื้มของตัวเองอย่างนั้น ก็มันบ้าแล้ว ที่จริงมันก็น่าจะสมน้ำหน้า หรือมันน่าจะสมเพช เราก็กลับไปริษยาเขา ก็เรามันเบ่งไม่ขึ้น เราไม่รวย เราไม่ได้จบปริญญา เราไม่ได้เรียนสูงอะไรมา รวย เราก็ไม่ได้รวย จะไปรวยอีกไม่ได้แล้ว มาเรียนธรรมะนี่ มาอยู่ทางอโศกนี่ และจะไปติดปริญญาทางโน้นอีก ก็ไม่ได้แล้วนะ แล้วก็ไม่จำนน แล้วก็ไม่รู้ตัว แล้วมานั่งทุบหัวตัวเอง จะไปเบ่งทับเขาอีก ไปเบ่งขี้แตกเปล่าๆนะซี

นี่เรียกว่ามันโง่มาก อาตมาถือว่าโง่มากกว่าน่ะ เขกหัวตัวเองมากกว่า โง่มากกว่า คนอย่างนี้นี่นะ มันน่าสมเพชยิ่งกว่า ก็คนที่เขาเบ่งอย่างนั้น ก็น่าสมเพชอยู่แล้ว ทำไมเราต้องไปทำตัวให้สมเพช น่าสมเพชยิ่งกว่า มันน่าจะ เออ เราไม่ต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอะไรมากนัก เพราะเราก็ต่ำอยู่แล้ว เราก็น้อยอยู่แล้ว มันก็ดี สมสัดสมส่วนอยู่แล้วนะ คนที่มันสูงซิ หัวสูง คอสูง ฉันรวยนะ ฐานะเคยกินสูง เคยใช้สูง เคยมีเงินทองมามาก ฉันสูงนะนี่ ฉันจบปริญญา เคยแอ๊คอาร์ต เบ่ง แอ๊คๆ มาสูงๆ ก็มันติดสูงมาแล้ว มันจะมาลดตัวลง มันค้อมหัวลง แล้วอ่อนน้อมลงน่ะ มันยาก อย่างนั้น มันน่าเห็นใจเสียด้วยซ้ำ ถ้าจะว่าไปแล้ว น่าสมเพช น่าสงสาร เพราะว่า เออ เขาเป็นอย่างนั้น แต่ถ้าเขาจะมาเบ่งข่มไปอีก นั่นก็เรื่องความบ้าของเขา เราก็น่าจะเห็นชัดเจน มันน่าจะเห็นง่ายๆด้วย แล้วเราก็กลับไม่รู้นะ กลับอวิชชา กลับงมงายไปต่อสู้กันกับคนที่เขาบ้าๆ แล้วเราก็จะทำวิธีบ้าๆ เหมือนเขา ไปเบ่งแอ๊คๆ จนไปแข่ง ไปขัน ไปข่ม ไปขี่ อะไรกันอีก อาตมาล่ะ เมื่อยจริงๆเลย ทำไมนะ มันถึงได้มีกิเลสอะไรๆกัน ไม่เข้าท่า ไม่เข้าทางพวกนี้

ขอบอกให้รู้ตัวด้วยว่า ผู้ใดมาที่นี่ ก็มากันอย่างที่เรียกว่า คนลดมา อาตมาก็ยังยินดีนะ เออ เรียนจบ ปริญญามาแล้ว ก็มาลดตัว ลดตนลงมา มาอยู่กับพวกเรา ก็เสมอสมานกัน ที่นี่ไม่ได้มีค่าของปริญญา ที่นี่ไม่มีค่าของคนรวย มาเศรษฐี ก็มา ให้นั่งมันตรงนี้ล่ะ พื้นๆด้วยกันนี่ล่ะ ไม่ต้องเศรษฐีจะต้อง มานั่งที่สูงกว่า คนรวยมาจะต้องมานั่ง ที่สูงกว่า ก็ไม่ จะทำโน่น นี่ ก็พยายามให้ไปทำเหมือนกัน จะทำการปัด การกวาด การเช็ด จะทำการงานอะไร ที่มันว่าเป็นการงานขนดงขนดิน แบกไม้ ทำไร่ ทำนา พับกระดาษ จบปริญญามาก็มาพับกระดาษ เขาต้องลดลงมา นะ เขาจบปริญญามา ก็ต้องมาทำพับกระดาษนี่ อาตมาก็อนุโมทนา เห็นอยู่ว่าทำได้ แล้วทำได้ มาหลงซ้อนตัวเองเข้าไปอีก แล้วจะมาเบ่งมาทับอะไรอยู่ มันก็น่าเห็นใจว่า เขามี มันติดปริญญา ติดตัวมา จะว่าไม่ ก็มันเอามาแล้ว มันได้มาแล้ว จะว่ามันติดความรวย มาจากที่เราเคยเป็นเก่า มันมีมา มันก็ มันมีมาแล้ว เออ มันก็ต้องรู้ว่า สถานภาพของเขา เขาติดมาก่อน มันก็ต้องมาล้าง มาลด เราไม่ได้ติดนี่ซี เราไม่ได้รวย แล้วเราก็ไม่ได้มีศักดิ์ มีศรีอะไร แล้วยังแถมจะไปบ้าๆ ไปเหิ่ม ไปห่าม ไปแอ๊คอาร์ต เบ่งขึ้นไปอีก

ฟังให้ดีนะ อาตมากำลังพูดว่า อะไรมันน่าสมเพชกว่ากัน แต่มันน่าสมเพชทั้งคู่นั่นแหละ เบ่งแอ๊คๆ ก็น่าสมเพช เห่อเหิมเข้าไป จะไปแข่ง ไปทะเลาะเบาะแว้งกันกับคนเขามี ก็น่าสมเพชด้วยกัน แล้วก็น่าสมเพชกว่าด้วย นี่ที่พูด ฟังให้ชัดนะ ธรรมะนี่มันซับซ้อน แล้วมันลึกซึ้ง ที่พูดนี่พูดแนวลึกซึ้ง ให้ฟัง แล้วเราก็มีกันอยู่ ในหมู่ของพวกเรานี่ เพราะว่าคนทุกคนเข้ามาในที่นี้ ก็พยายามที่จะมาทำตน ให้เสมอสมาน ในเรื่องของโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ไม่เกี่ยวกับเรื่องปริญญาทางโลก ไม่เกี่ยวกับเงินทองทรัพย์สิน เรื่องเงินทุน นายทุน หรือว่าเรื่องศักดินา อะไรทางโลก ไม่เกี่ยว มาลด เพราะฉะนั้น เรายังเหลือเศษความโง่ เศษความโง่ในเรื่องศักดินา เศษความโง่ในเรื่องของทุนนิยม ทางด้านเงินทอง ทางด้านศักดินาพวกนี้ เรายังเหลือเศษพวกนี้กันอยู่อย่างน่า แหม มันน่าเอากระบอง ตีกระบาลให้จริงๆ แล้วก็ไม่เข้าท่านะ ขัดๆ ง้างๆ อึมครึมกันอยู่อย่างนั้นละ ทำเป็น กรึ่มๆ แล้วจะแตกพรรค แตกพวก

อาตมาไม่เอาทั้งคู่นะ ไล่ออกไปทั้งคู่นะ ไม่เอาทั้งคู่น่ะ มานั่งทะเลาะ เบาะแว้ง แตกพรรคแตกพวก กันอยู่ในนี้ ไม่เอาทั้งคู่ ไม่ว่าเอาข้างไหนนะ ไม่เอาทั้งคู่น่ะ ปริญญาจบ ๕๐ ด็อกเตอร์ก็ไม่เอา ใหญ่ยิ่ง ขนาดนั้นมาก็ไม่เอา หรือว่านี่แหละ นี่ไม่มีปริญญา แล้วจะไปแอ๊ค ไปเบ่งไปทะเลาะเบาะแว้งกับเขาอยู่ ก็ไม่เอาเหมือนกันน่ะ ให้เก่งกาจยังไงก็ไม่เอา ไม่เข้าเรื่องน่ะ ไม่เข้าเรื่องจริงๆ แล้วก็ทำเป็น แหม ยังโน้นอย่างนี้ ขัดอย่างโน้นอย่างนี้ ใครเขาจะทำอะไรไป ก็ทำไป รู้กันก็บอกกัน ไม่ใช่มาทะเลาะ เบาะแว้งกัน แล้วก็พยายามเข้าใจให้ได้ถึงรากฐาน ที่อาตมาพูดนี่ พูดถึงรากฐาน ที่พูดไปแล้วแต่ต้น ก็เราไม่ได้มีอะไร ก็เป็นคนไม่มีอยู่อย่างนั้น ก็ดีแล้ว เรื่องบ้าอะไร จะต้องไปมี ประเภท ไปเบ่ง แข่ง แข่งประเภทโลกีย์อีก แหม มันน่าจะง่ายๆ ดายๆ นะ คนมาแต่มือเปล่านี่นะ เงินก็ไม่มี ศักดิ์ศรีอะไร ก็ไม่มี มาก็สบายๆซี ไปบ้าทำไม เขาจะข่มเราก็ข่มไปซีน่ะ ก็เขาข่ม มันก็จะแย่อยู่แล้ว มันก็บาปอยู่แล้ว มันก็บ้าอยู่แล้ว เขาจะข่มก็ข่มไปซิ ก็เราไม่มาข่มกัน คนที่มีความรู้มาก คนที่มีความสามารถมาก ก็ต้องช่วยคนที่น้อย นั่นเป็นคุณธรรม นั่นเป็นความดีงาม นี่มีความสามารถ มีความรู้มาก ยังไปเบ่งข่ม ข่มคนน้อยอยู่อีก

อาตมาไม่ได้สอนอย่างนั้นนะ ก็มันบ้าของเขาแล้ว เราจะมีความรู้มากมายแบบโลกๆ ก็ตาม ก็เอามา ใช้งานซิ จะมานั่งเบ่งแอ๊คๆอยู่ทำไมนะ จะมีความทางใด ก็เอามาประยุกต์ ดัดแปลง ปรับปรุง ประสาน ประสม ที่จะให้เข้ากับกิจที่เรามีในกิจอะไรนี่ กิจอันใดพอเข้าได้ ก็ทำ กิจอันใดมันยังไม่ได้ ก็ยังไม่ทำ เรามีงานช่าง เข้ามาทำ กิจจะมาเข้ากับงานช่าง ตั้งหลายอัน เยอะแยะ ก็ทำเข้ากับ งานช่างได้ เรามีงานตัดสิน ดูแลทางด้าน กฎระเบียบ อะไรก็ว่ากันไป เรามีการงานทางด้านพาณิชย์ ก็มาช่วย งานพาณิชย์ มาให้ข้อคิดทางนี้ เรามีการงาน ทางด้านคิด ทางด้านเขียน ทางด้านเหตุผล ทางด้านอะไร ก็ว่ากันไป ทางด้านเหตุผล มีงานทางด้านบริหาร มาช่วยบริหาร มีงานทางด้านโน้น ด้านนี้อะไร ก็มันตั้งเยอะตั้งแยะ เราก็ช่วยกันทำ ก็ทำกันไป ใครถนัด หรือใครที่มีความรู้จริง มีความสามารถจริง ยิ่งได้ร่ำได้เรียนมา จากสถาบันโน่นนี่มาอีก ก็เอามาประยุกต์ มาดัดแปลง หรือเอามาใช้ให้มันเข้ากันให้ได้ มันจะได้เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ในชีวิต แต่เสร็จแล้วก็เอา เผลอตัว หรืออย่างไร ไม่รู้ตัว ไม่รู้สึกตัว ไร้สติสัมปชัญญะ สัมโพชฌงค์ หรืออย่างไร กลายเป็นเรื่อง เอ๊ จะเอาพวกนี้ มาราวีกัน เอามาตีกัน แข่งกัน ทะเลาะกัน แหม อาตมาละเศร้าจริงๆ นะ มีความเศร้า ที่ไม่รู้จะทำอย่างไร ขนาดพวกเราพูดกันไม่รู้เรื่อง เรากับข้างนอก ขณะนี้เขาก็เบ่งทับเราอยู่ พวกที่เขา มีศักดิ์ศรี ทางด้านนั้นเขาถือว่า เขาปัญญาชน เขาในระดับ แหม คบหากันในด้านศาสตราจารย์ ระดับด๊อกเตอร์ ระดับผู้จบปริญญา ผู้ที่มีศักดิ์ศรี ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ เป็นอย่างน้อย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

เขามีพวกนะ เขาข่มขี่พวกเรานี่ พวกเราโดยเฉพาะอาตมา นี่อาตมาเป็นคนไม่มีศักดิ์ศรีพวกนี้ จะบอกว่าร่ำรวย อาตมาก็ไม่ได้เป็นเศรษฐี เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ได้มีศักดิ์ศรีอะไรทางด้านโลก เขาก็ข่มอาตมาในความรู้ แม้แต่ทางด้านบาลีก็ไม่มี เขาก็ข่มอาตมา อาตมาก็เออ เขาก็ข่ม มันก็เป็น ความข่มของเขา เราก็รู้ว่า คนไปข่มคน โดยที่เรียกว่า ไม่รู้เอาอะไรมาข่ม ข่มจนเลยเถิด อย่างที่ยก ตัวอย่างเมื่อวาน ที่เขาบอกพระโพธิรักษ์น่ะ ยกบาลีตัวไหน มันก็ผิดตัวนั้นน่ะ ทุกตัวนั่นแหละ เออ มันข่มได้ดีเหมือนกัน ข่มเรียบเลย ข่มกัน ไม่ให้โงให้เงยเลย ข่มให้ไม่มีดีเลย ว่าอย่างนั้นเถอะนะ ดีไม่มีเลย ว่านั้น ภาษาเอามายืนยันได้นะ เขาพูดอย่างนั้นจริงๆ เขาเขียนอย่างนั้นจริงๆ ยกบาลีตัวไหน ก็ผิดตัวนั้นน่ะ เขาว่าอย่างนั้น อือหือ เรานี่ มันไม่สิทธิ์จะไปใช้บาลีเลย โง่จริงๆเลยนะ ยกตัวไหน ผิดตัวนั้นเลย

นี่เขาไม่รู้ภาษาสำนวนหรือว่าการกระทำ นี่คือการข่มในจิต การข่มของเขา เขาก็ข่มไป อาตมาก็ไม่ได้ว่า อะไรหรอก ตัวใจไม่ได้ว่าอะไรเขา แต่ปากว่านะ ปากอาตมาว่า แต่ว่าใจของอาตมา ไม่ได้ไปว่าอะไร เขาหรอก ว่าเออ เขาข่ม ก็ว่ากันไป เขาจะข่มหรือไม่ อธิบายสัจจะให้ฟังนี่ โดยใจอาตมาไม่ได้โกรธ ได้เกลียด ไม่ได้สะเทือนจริงๆนะ คุณจะอ่านไม่ออกหรอก ดูใจของอาตมาไม่ได้ อาตมาไม่ได้ไปสะดุ้ง สะเทือน อาตมามองเหมือนเด็กๆ ไม่เดียงสา มองเหมือน ผู้ที่ไม่เดียงสา คือเด็กไม่เดียงสานี่ ไปได้ตุ๊กตา มาตัวหนึ่ง ได้ดาบพลาสติกมาอันหนึ่ง ก็ อู้ฮูย ยิ่งใหญ่เหลือเกิน นี่จะฆ่า จะฆ่าเรา ได้ดาบพลาสติกมาจะฟันเราให้ตาย เราก็เลย หนูเอ๊ย! ดาบพลาสติกนี้ เดี๋ยวก็เอาไปทำไม้จิ้มฟันเสียนี่ นะ นี่ใช้โวหาร พูดนี่คล้ายๆอย่างนั้นแหละ มองเหมือนเด็กไม่เดียงสา ที่เขาได้อะไร อันหนึ่งมา แหม เหมือนอาญาสิทธิ์ เหมือนสิ่งที่เลิศลอยเหลือเกิน แล้วก็มาข่มขี่คนอื่น โดยไม่รู้ว่าตัวเอง เอาเถอะ จะเอาอันนั้นใช้ได้ประโยชน์ เราก็ไม่ว่าอะไร ดาบอาญาสิทธิ์จะเอามาทำไม้งัด ไม้คัด ไม้ค้านอะไร ก็ไม้ง้างอะไร บ้างก็ได้ นะ ตุ๊กตามาไว้สำหรับใช้ โน่น นี่บ้าง เล็กๆน้อยๆ อะไรก็ได้ แต่ได้ก็เท่าที่เขาได้ นั่นแหละ

เขาได้ เขาเหมือนเด็กไม่เดียงสา ที่เขาได้ตุ๊กตา ได้ไม้ดาบพลาสติกอะไรแค่นั้น เขายังไม่ได้อาวุธที่จริง เขายังไม่ได้ ตัวสภาพที่จริง ได้แค่ตุ๊กตาหุ่น เขายังไม่ได้เครื่องจริงอันนั้นนะ อาตมาพยายาม ฟังดูซิ อาตมายกตัวอย่าง อุทาหรณ์นี้ อธิบายให้ฟังชัดๆ อาตมาเอง อาตมาไม่ใช่ได้แค่ดาบพลาสติก ถ้าจะว่าดาบ อาตมามีดาบยิ่งกว่าพลาสติกอีก แต่เขาไม่รู้หรอก เขาก็พยายามเอาสีสันของดาบ พลาสติก นั้นมาข่มอาตมาน่ะ ถ้าอาตมาว่า ได้ชีวิตชีวา อาตมาไม่ได้แค่ตุ๊กตาหุ่น อาตมาได้ชีวิตชีวา ยิ่งกว่าตุ๊กตาหุ่น แต่เขาก็จะเอาตุ๊กตาหุ่น ที่เขาว่ามันวิเศษนักหนา มาข่มอาตมา อาตมาก็มองเขาอย่าง คนไม่มีอะไรก็มาข่มเรา ว่ากันจริงๆนะ เขาไม่ได้มีมรรค มีผลอะไร ข่มอาตมาได้หรอก แต่อาตมา ก็เข้าใจน่ะ เข้าใจฐานะของเด็กที่มันข่ม ก็เอ็นดูเท่านั้นเอง ว่าเดี๋ยวฟันด้วยมีด เราก็เออ เด็กนี่ จะเอามีด เอาดาบพลาสติกมา จะมาฟันเราให้ตาย ความคิดของเขา เดี๋ยวฟาดด้วย ตายคามือเลยนะ แล้วเขา ก็ฟาดมาจริงๆด้วยนะ ฟาดมันก็จะไปตายอะไรเล่า ดาบพลาสติก ไม่ตายหรอก เขาข่มอาตมาลงไม่ได้ เสร็จแล้ว เขาทำเกินการ เขานึกว่าของเขานี่เป็นดาบอาญาสิทธิ์ แต่เขาก็ไม่รู้ว่า เขาทำเกินสภาพของ ดาบอาญาสิทธิ์ ดาบอาญาสิทธิ์มันไม่ใช่ มันเป็นดาบพลาสติก มันฟันไม่เข้า แล้วเขาก็ได้ฟันลงไปแล้ว สุดตัวเลยนะ เลยเถิดไปเลย เลยหน้าที่ของดาบพลาสติกน่ะ มันเลยไปโดยไม่รู้ตัว

นี่อาตมาก็ไม่รู้จะยกตัวอย่าง อุทาหรณ์อย่างไรให้ฟัง ก็ฟังดูดีๆ ตามความหมาย ที่อาตมายกตัวอย่าง อย่างนี้ ก็ฉันใดฉันนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น คนที่เขาบอกว่า เขาหลงตัวว่าสูง เขาเข้าใจว่าเขาสูง โดยเฉพาะ ไปได้ด้านโลกีย์มา แล้วเอาโลกีย์มาข่มเรา โอย! เราต้องฉลาดเพียงพอ อย่าไปเผลอตัว ให้ขายขี้เท่อ เป็นปล่อยไก่น่ะ อาตมาก็เทศน์เรื่องปล่อยไก่มาแล้ว ไปแสดงแอ๊คอาร์ตท่าทีปล่อยไก่ ไปแอ๊ค แหม ทำเป็นปะทะสู้ ปัดโธ่ บ้าเลย ขายหน้าโต้ง ปล่อยโต้ง ไม่เข้าท่า คนข่มก็ปล่อยโต้ง คนที่จะไปงัดกัน ก็ปล่อยโต้ง อย่าไปปล่อยไก่ออกมา ใครจะปล่อยหมดเล้า ใครจะปล่อยบางตัว ใครจะปล่อยกี่ตัว ก็แล้วแต่ใครเถอะ ปล่อยไม่เข้าท่า ปล่อยไก่ แสดงกิเลส แสดงกิริยาลีลาอะไร ไม่เข้าท่าออกมา น่าเกลียด

ทะเลาะเบาะแว้งกันทำไม พูดกันอย่างสัจจะ ไม่ชอบใจทำไม คัดง้างกันทำไม แล้วบอกว่า ไม่ยุติธรรม อะไรคือ ความยุติธรรม ยุติ คือเราหยุด ยุตินี่แปลว่าความหยุด ยุติ คือเราหยุด ยุติ คือเราใจเป็นกลาง ไม่ใช่ว่ายุติ ก็คือจะต้องให้เขาหยุด แล้วเราไม่หยุด นั่นหรือยุติ ยุติคือเราหยุด เขาไม่หยุดก็ช่างหัวเขา คนเบ่งอยู่ ไม่หยุด มันก็บ้าของคนเบ่ง คนที่จะไปปะทะกับเขาเอง ไปปะทะนั่นเป็นอกุศลด้วย เป็นความ ไม่งามด้วย ทะเลาะเบาะแว้ง เบ่ง ข่ม เอาชนะคะคานอะไรกัน ก็เป็นเรื่องไม่ดีทั้งนั้นแหละ แล้วเราก็ ยังไม่หยุด นั่นคือ เราไม่ยุติธรรม ไม่ยุติ ยุตินี่ ในความหมายหนึ่งแปลว่า หยุด อีกความหมายหนึ่ง แปลว่า เสมอ เสมอ ได้สัจจะ ถูกต้องตามสัจจะ ยุติธรรม น่ะ อันหนึ่งก็แปลว่า ไม่หยุด ไม่มีจบ นั่นเรียกว่า ไม่ยุติ คำว่ายุตินี่ ความหมายหนึ่ง ภาษาไทยเราก็เข้าใจ ภาษา ความหมาย ของธรรมะจริงๆ ก็ใช่ ไม่จบ ไม่หยุด

ผู้รู้ดี ผู้รู้จริงแล้ว ต้องหยุดในสิ่งที่ไม่ควรจะไปต่อความยาว สาวความยืด จะแพ้ หรือชนะ มันก็เป็น แต่เพียง สมมุติสัจจะ มันไม่เข้าท่าอะไร ถ้าเผื่อว่าเรายังทำไม่ได้ จะเป็นใครก็ตาม เป็นฝ่ายที่ มีอะไรเหนือ แบบโลกีย์ก็ตาม เขาไม่หยุดก็เรื่องของเขา ถ้าคนเขามีอะไรในโลกีย์ แล้วเอามาเบ่ง มาข่มไม่หยุด มันก็บ้าของเขาอยู่นั่นแหละ บ้า บ้าเบ่ง บ้าไม่เข้าท่า บ้าอัตตา แม้แต่เรามีคุณธรรม เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ เป็นคุณธรรมของเราเองนะ เป็นคุณธรรมทางธรรมด้วยนะ มานะกิเลสนี่ มันก็ยังซ้อนเล่นงาน กล่าวไปไยกับเรื่องไม่ใช่คุณธรรมโสดาฯ สกิทาฯ ไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่ศักดิ์ศรีอันนี้ แต่เป็นศักดิ์ศรีแบบโลกๆ โลกีย์น่ะ กล่าวไปทำไมเล่า เอามาเบ่งในที่นี้ มันเบ่งผิดที่ ไปเบ่งกัน อยู่ข้างนอกโน่นสิ มันถึงจะซัดกันดี ก็มันเบ่งกันได้น่ะ แกปริญญาตรี ข้าปริญญาโท ข้าปริญญาเอก ไปเบ่ง ซัดกันโน่น ก็นี่มันไม่มีให้เบ่งอยู่แล้ว ก็มันไม่มี ไม่มีตรี ก็ไม่มีให้เบ่งอยู่แล้ว จะไปเบ่งอะไรกันเล่า มันก็ไม่ถูกเรื่องอยู่แล้ว แล้วเราก็ไม่ได้มาเบ่งกันทางนี้ด้วย มาลดต่างหากล่ะ มาในนี้มาลดเรื่องโลกๆ โลกีย์พวกนี้ ไม่ได้มาเบ่งอะไรกันนี่ เพราะฉะนั้น เราขอเตือน ขอให้สำนึก ขอให้รู้สึกตัวให้ดีว่า เอ๊ะ เรานี้พลาดท่าพลาดทีกันไปยังไงกัน น่ะ งมงาย โง่ อะไรกันไปไม่เข้าเรื่อง ไปเอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง แล้วก็มา ในที่นี้ ขายหน้านะ

อาตมาขายหน้ามากนะ นี่ทะเลาะกัน แกได้รายได้มาก ข้าได้รายได้น้อย นี่แกได้ตำแหน่งพระครู ข้าไม่ได้ตำแหน่งพระครู ศักดิ์ศรีเหมือนกันน่ะ แกได้ตำแหน่งปริญญา ข้าไม่ได้ตำแหน่งปริญญา มาเถียงอะไรกันในนี้ อาตมาขายหน้านะ ขายหน้าจริงๆ ขายหน้าเอามากๆ เห็นใจอาตมาบ้างเถอะ นี่อาตมาพูดชัดๆเลย ยกตัวอย่างให้ฟัง ตายเลย ไป ไป มาเกี่ยงงอนกันอยู่ ในเรื่องพวกนี้อยู่ในนี้ โธ่ เวรกรรมแท้ๆ มันน่าเศร้าสลดจริงๆน่ะ แล้วเราไม่ว่า ใครจะเข้ามาในที่นี้ เตรียมตัวเข้ามาเลยทีเดียว ระวังฆราวาสเขามาใหม่ๆ เขาเข้ามา บางคน น่ะ แหม มาพร้อมกับปริญญาเอก ปริญญาโท อะไร ก็ตามใจ จะมาเบ่ง เราก็รู้ว่า เออ ฆราวาสคนนี้น่ะ แบกบั้งมา เราก็ดู แล้วค่อยๆเรียนรู้ไป เขาปรับตัวได้ ก็อนุโมทนา เขาปรับตัวไม่ได้ เราก็รู้ว่าคนนี้เป็นอย่างนั้น เขามาใหม่มาเก่าอะไร เราก็เรียนรู้ พอใคร ที่เขามาแล้ว แต่เขามาเก่าไป เก่าไปเรื่อยๆ เขาก็จะต้องรู้ตัว เขาก็ปรับตัวเขาไป ก็ดี ทีนี้คนที่บอกว่า มาตอนแรก ก็ดูท่าทางเข้าใจ พอมาถึงเสร็จแล้ว ก็กลับกลาย ตอนแรกก็ดูไม่เบ่งนะ แบกปริญญาตรี โท เอก มา เข้ามาในนี้ ดูไม่เบ่ง ดูแหม อ่อนน้อมถ่อมตนดี พออยู่ไป อยู่ไป ปริญญามันฟื้น ปริญญามันฟื้น กลับไปกูปริญญานะเว้ย ตอนมาใหม่ๆ ดูท่าทีดีนะ โอย มาทำหงอเชียว อ่อนน้อม ถ่อมตน ข้าไม่มีปริญญา เพราะว่ามันสำนึกใหม่ มันไฟแรง มันดูดี แต่พอไปแล้ว ปริญญาผีนั่นมันฟื้น ผีปริญญา ผีศักดินา ผีศักดินามันฟื้น ทำเป็นเบ่ง เป็นอะไรต่ออะไร เราก็ต้องดูกัน รู้กันให้ได้ว่า อ้อ คนนี้นี่ ยิ่งแก่วัดยิ่งผีเข้าหนัก ยิ่งแก่วัดก็ยิ่งให้ผีฟื้น มันมีนะ ในคน มันมีจริงๆ ในบางคนมันมี เราก็ดูกัน ก็รู้กันแล้วพยายามแก้กลับ แก้ไข ไม่ใช่จะมาให้มันเป็นอย่างนั้น เราต้องเข้าใจสิ่งที่เป็นสัจจะพวกนี้ แล้วก็เป็นให้ตรง ให้ถูก ให้ดี ให้จริงน่ะ

เราสู้กับศึกภายนอกก็จะแย่อยู่แล้ว เพราะศึกภายนอกนั่น เขาโอย เขาทั้งร่ำทั้งรวย ทั้งยิ่งทั้งใหญ่ ศักดิ์ศรีมีพร้อมเลย ทุนนิยม ศักดินาเขาใหญ่นะ เบ้งๆ เป้งๆ กันอยู่ข้างนอก พวกเรานี่ แหม มันน้อย เล็กลงไปอะไรต่างๆนานา แล้วก็เรา ก็พยายามจะใช้วิธีการหยิบยืม บางคนพวกเรานี่ ผู้ที่ลดละได้บ้าง เอามาเสนอขึ้นไป ผู้ที่มียศตำแหน่งทางโลก เอามาเสนอขึ้นไป เพื่อที่จะให้มองมุมกลับ แต่เราก็จะต้อง สำนึกให้มากเลยนะ ว่าเอาไป เสนอออกไป มองไป เหมือนๆกับเราไปหลงใหลได้ปลื้มกับยศ ตำแหน่งโลก แต่เราก็ระวังอย่างยิ่งนะ เรื่องนี้มันซ้อน มันซับซ้อนนะ

คนที่เข้าไปทำงานในทางโลกอยู่ มีศักดิ์ มีศรีอะไรทางโลก เราก็หยิบมายกตัวอย่างประกอบบ้าง หรือคนที่มีศักดิ์ มีศรีทางโลกมา มาอยู่ในนี้ เวลาเราจะเอามาโชว์ มาอะไร เพื่อที่จะเปรียบเทียบ เพื่อที่จะอ้างอิงอะไรขึ้นมาบ้าง กับคนอื่นเขา ว่าคนอย่างนั้น เขามาลดได้ นะ พูดในแง่ลดได้ ว่าลดได้นะ คนนี้มีปริญญาตรี โท เอก อะไร เข้ามาอยู่ในนี้ ก็เหมือนกันกับคนไม่มีปริญญามา จบ ป.๔ ไม่ได้เรียนหนังสือมา ก็เหมือนกันนะ เราก็ดูที่คุณงามความดี เวลาเอามาโชว์ เอามาอ้างอิง เขาไม่ได้ หมายความว่า จะมาโชว์คนมี โชว์ปริญญา ถ้าเผลอๆตัวก็ คนที่ไม่ได้มีปริญญา ไม่ได้ขึ้นเวที ไม่ได้ถูก เอาไปอ้างอิง ก็บอกแหม ดูซินี่เอาไปโชว์ ไปอวด เอาไปอวด คนมันมีปริญญา บ้าเหรอ เขาเอาไปโชว์ว่า เขาลดมาได้ เขามีแล้ว เขาก็ลดมาได้ ก็เราไม่มี เราจะเอาอะไรไปโชว์เล่า ไปจบ ป.๔ มา ก็ยังมี บางที เราบอก เออ คนมีจบ ป.๔ แต่มีฝีมือทางโน้น ด้านนี้ขึ้นมา เราก็เอาขึ้นไปโชว์เหมือนกัน เราไม่ใช่ เราไม่โชว์ เราก็เอามา นี่เห็นไหม นี่คนนี้

แม้แต่รำพันชะเอม พอถึงโอกาส เราก็ให้ขึ้นมานี่ ไม่ได้จบอะไรนี่ ชาวนาร้อยเปอร์เซ็นต์ ชาวนาเต็มขั้น ลูกทุ่งเต็มขั้น เอาขึ้นมา แม้แต่ขึ้นในเวทีอภิปราย กรมประชาสัมพันธ์ ออกอากาศไปทั่วประเทศ เรายังเอาขึ้นเลย รำพันชะเอม อย่างนี้เป็นต้น ก็เพราะว่า เออ เขาพอมี พอไปสู้เขาได้ แม้ว่ามันจะไม่มี ศักดิ์อันนี้เข้าไปสู้ ป.๔ ไม่มีเส้น ขึ้นไปสู้กระทบไหล่ กับพวกที่มีปริญญา เราก็เอาเชิงนั้นขึ้นมาโชว์ ตัวนี้เป็นวิธีการ แต่ไม่ได้หมายความว่า ให้คุณไปหลง ความเก่งของตัวเองที่มีใหม่ แม้ไม่มีปริญญา ก็ไปมีความสามารถ แล้วให้ไปหลงอีก ก็ไม่ใช่ คนที่มีปริญญา แล้วมาลดได้ ไม่ให้คุณไปหลง ปริญญาอยู่ ให้คุณมารู้จักความลดได้ต่างหากล่ะ แล้วจริงไหมล่ะ ยกขึ้นมาเป็นตัวอย่าง แล้วลดได้ จริงอีก กลับไปเบ่งอีก ก็กลับกลอกน่ะซี ตลบตะแลงน่ะซี ก็ไม่จริงนะซีน่ะ แล้วก็จะมาฮั้วกันเสียด้วย แหม นี่คนจบปริญญามา ก็มาฮั้ว ตั้งทีม ตั้งคณะ ตั้งแก๊ง ทีมไม่มีปริญญาก็จะตั้งแก๊งกันเข้า โอ๊ย! อาตมาหนีดีกว่า แล้วไปรบกันนู่น ในเมืองนรกกันนู่น ไปรบกันนู่น อย่าไปรบกันให้อาตมาเห็นเลย อาตมาไม่อยากดู โง่ๆแบบนั้น แล้วก็มาบอกว่า ลูกศิษย์อาตมาด้วย นี่แหม อาตมาไม่รู้จะเอาหน้า ไปไว้ที่ไหน มันขายขี้หน้ามหาศาล ไม่เข้าเรื่อง ได้ยินที่ไหน ได้ยินถึงไหน อายถึงนั่น ไม่เข้าท่า

เรื่องอัตตา เรื่องมานะนี่ มันไม่ง่าย มันมีตั้งแต่หยาบๆคนระดับต้น ตั้งแต่เป็นปุถุชน จนกัลยาณชน มันก็มีมานะ มีความหลงตัวหลงตน หลงในโลกโลกีย์แบบนี้ มาเป็นพระโสดาฯ มันก็ยังหลง สกิทาฯ มันก็ยังหลงน่ะ แม้อนาคาฯ มันก็ยัง มันซ้อนแล้วนะ อนาคาฯ มันไม่ไปหลงโลกีย์อย่างนั้นหรอก เพราะว่าอนาคาฯ นี่ มันตัดรอบของลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นผู้ที่ไม่เอาแล้ว บ้าน ช่อง เรือน ชาน เป็นผู้ที่มีจิตที่มันขึ้นไปอีกโลกรอบหนึ่งแล้ว มันไปติดคุณธรรม ทีนี้มันไปใหญ่ ไปเบ้ง ไปมีมานะ ไปซ้อนเชิง ไปมีมานะ เบ่ง ข่มของคนอื่นเขา เพราะเรามีความเป็นอริยคุณ ความมีศักดิ์ศรี อนาคามี ก็จะไปมีมานะแบบนั้น น่ะ เป็นส่วนใหญ่ เผลอตัวได้ง่ายแบบนั้น เพราะฉะนั้น โลกๆ ตั้งแต่ปุถุชน มาถึงโสดาฯ สกิทาฯ นี่ เรียนรู้ให้ได้ นี่เป็นพื้นฐาน ให้เขาติดปีก หรือติดบั้ง ติดแง่งมาแบบโลกๆ โลกีย์

อย่าไปริษยาเขาเลย เขาจะมีเท่าไร อย่าไปริษยาเขา เราไม่มีก็อย่าไปเบ่งข่มอะไรกัน เราทำคุณงาม ความดีให้ดีไป แม้คนที่มียศ มีศักดิ์ มีทรัพย์สินเงินทองแบบโลกๆได้ใหญ่มาแบบโลกๆ มีอลังการแบบ ลาภ ยศ สรรเสริญ มาจากโลก เขามาปฏิบัติธรรม เขาก็จะมาดูว่า เออ แม้จะจบ ป.๔ แม้จะเป็นชาวไร่ ชาวนา พวกนี้เขามีคุณธรรมไหม เขามีคุณธรรมแล้ว เขาจะศรัทธา เคารพนับถือ เพราะเรายิ่งเป็น ผู้ที่น่าเคารพนับถือ เป็นผู้ที่มีท่าที อ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ในที คนมีญาณปัญญา มีปฏิภาณ เขาจะเคารพ นับถือนะ ไม่ใช่ว่า โอย คนนี้ไม่มีวุฒิอะไรหรอก ไม่มี จบ ป.๔ จบ ม.๖ จบอาชีวะ ไม่จบปริญญา แค่ อนุปริญญา ก็ตามน่ะเสร็จแล้ว เรามีคุณงามความดี คนที่เขามียศศักดิ์แบบโลกสูงกว่า จบปริญญาตรี ปริญญาโท เขาก็ไม่เห็นความดีของเรา มันก็เป็นความตาถั่วของเขา เป็นความตาถั่ว ของคนที่เขา มีปริญญา แล้วก็หลง มืดมัว แบกบั้งแบกเบอร์ของเขาอยู่ เราจะไปทำยังไงเขาได้ เขาไม่มาศรัทธา ก็ไม่ศรัทธา เราจะไปบีบบังคับกันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น มันอยู่ที่ตัวเรา เราอย่าไปสร้างกิเลส ให้แก่ตัวเอง เสริมหนุนเข้าไปด้วยอวิชชาโง่ๆ หลงตัว หลงตน ไม่เข้าท่าซ้อนเชิง

อย่าไปหลงอย่างนั้นเลย เราก็ทำของเราเข้าไปให้มันดี เขาไม่เห็นก็เรื่องของเขา ตาของเขา ทั้งๆที่เรา ทำดีแล้ว คนอื่นเขาเห็นกันครืนโครม ใครเขาจะมองก็มองออก เขาเคารพนับถือ ศรัทธา คนนั้น ที่เขาไม่เห็น เขาไม่นับถือ ไม่ศรัทธา มันก็เรื่องความตาบอด ไม่มีจักษุ ไม่มีดวงตาแห่งธรรม ไม่มีธรรมจักษุของเขาเอง จะไปโกรธเกลียดทำไม มันน่าสงสารด้วยซ้ำ จะต้องไปข่มเบ่งกันทำไมน่ะ มันน่าสงสารนะ ไม่ใช่น่าจะไป ต้องไปข่ม ไปเบ่ง ต้องไปคิดแข่งขันอะไรกับเขา ไปแข่งขันทำไม ก็เขาไม่ได้สูงอยู่แล้ว ก็เขาหลงโลกๆอย่างนั้น เอาโลกอย่างนั้นมาหลง ก็มันหลงโลกๆ มันไม่ใช่อยู่แล้ว ก็เขาไม่สูงอยู่แล้ว เราจะไปเบ่งข่ม แหม ยิ่งพูดมันยิ่งซับซ้อน มันยิ่งเห็นมาก มันยิ่งชัดเจน ยิ่งขึ้นนะนี่ ก็เขาไปหลงสิ่งซึ่งไม่น่าหลงอยู่ ด้วยซ้ำไป แล้วเราจะไปเบ่งข่มเขา เอาอะไรไป เบ่งข่ม อย่างนั้น ถ้าเราจะบ้า ไปเอาเบ่งข่ม แบบนั้น ไปข่มกันอีก มันก็ไม่ได้ เราจะเอาคุณงามความดีของเราทางธรรม ไปเบ่งข่มเขา ก็จะไปเบ่งทำไมเล่า คุณงามความดี

ถ้าเรามีก็ทำคุณงามความดี ให้มันดีมากๆขึ้นไป การที่จะไปทำแอ๊คอ๊าร์ต ต่อสู้แข่งขัน ทะเลาะ เบาะแว้งแข่งขัน ไม่ชอบใจกันแบบหยาบๆ คายๆ ไม่ใช่อหิงสาธรรม อย่างนั้นมันก็เป็น ไม่ใช่ความสุข เราเบ่งไม่ขึ้น ยิ่งต่ำ ฟังให้ชัดๆนะ แล้วเราก็เบ่งไม่ขึ้น เรายิ่งต่ำ แล้วเราจะไปสู้เขาได้อย่างไร ผู้มีดวงตา อย่างอาตมาเป็นผู้พิพากษาตัดสิน นี่เห็นเลยว่า พุทโธ่ ยังไปทำต่ำๆ อย่างนั้น ไปเบ่งแข่งเขา มันจะไปสู้เขาได้อย่างไร ตัวเองทำต่ำลง ทำความผิดพลาดลงไป แล้วมันยังจะไปเบ่งข่มเขาได้อย่างไร จะไปเอาโลกีย์แข่งกัน มันก็ผิดทางแล้วเพราะว่า เราไม่ได้แข่งโลกีย์น่ะ มันไม่แล้ว แต่ทีนี้เราอยาก จะให้เขา มานอบน้อมเคารพเรา แล้วเรากลับไปทำเบ่งข่มเขา แทนที่เราจะทำ คุณงามความดี อ่อนน้อม ถ่อมตน ซึ่งเป็นคุณธรรม เป็นกุศล เรากลับไปทำอย่างนั้น เรากลับไปทำอกุศล แล้วจะให้เขา มาน้อมค้อมให้แก่อกุศล เอ๊! อาตมาว่า พูดหมดภาษาแล้วนะ มันถูกทางตรงไหนล่ะ ฟังดูดีๆธรรมะ มันลึกซึ้งอย่างนี้ มันคัมภีรา มันไม่ได้เห็นง่ายๆนะ ทุททัสสา มันไม่ใช่รู้ตามได้ง่ายๆ อย่างที่อาตมา พูดไปนี่ เพราะฉะนั้น ก็ขอบอกให้พวกเราสังวรน่ะ สังวร ระวังกันดีๆ ผู้ใดทำผิด ไม่ว่าจะมีอะไรมา เราจะฐานะทางโลกมา อย่างไรก็ตาม จะมานั่งเบ่งแอ๊คๆ จะมานั่งเอาอันนั้นอันนี้มาข่ม ข่มอะไร มันไม่ได้มาเขื่องในนี้ อย่าเอามาเบ่งมาข่ม มันเสีย

เสียลักษณะธรรมะของพระพุทธเจ้า เพราะว่า พระพุทธเจ้านั้นจะต้อง โลกุตระอยู่สูงกว่า เหนือกว่า โลกีย์ โลกีย์เป็นเรื่องที่เราจะต้อง ไม่เอามาเป็นศักดิ์ศรีอะไรทั้งนั้น แต่เราก็รู้สมมุติโลกของเขา ตามโลกเขา เมื่อทำอะไรกับโลกเขา ไม่ใช่ทำกับพวกเรา เราต้องเข้าใจอันนี้น่ะ เพราะฉะนั้น โลกเขาถือของเขา เราก็รู้ว่าเขาถือ เราก็เออ เรื่องของเขา อย่าไปเบ่งข่มเขา เดี๋ยวทะเลาะกันเปล่าๆ พวกคนโลก แต่พวกเรานี่ ใครถืออยู่ พวกเราก็บอกกัน ถ้าบอกได้ ถ้าบอกไม่ได้ ก็เออ เขาบ้าเขาอยู่ บอกเขาไม่ได้ มันไม่นับถือศรัทธากัน จะไปบอกกันอย่างไรได้ ก็เท่านั้น ก็ให้ข้อมูลผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่จะได้ หาวิธีการ เปิดเผย สั่งสอน อบรม แนะนำ เพื่อที่จะมาทำถูกทิศถูกทาง ที่ถูกต้องน่ะ ก็อย่างนั้น แล้วใจเราจะไปสร้างใจเราให้มันเสื่อมเองทำไมน่ะ ไปนึกรังเกียจรังงอนกัน แตกแยกในใจ เบ่งข่ม กันในที ทะเลาะเบาะแว้งกันอยู่นั่นแหละ แล้วไปทำทำไมล่ะ อย่างนั้น ยิ่งทำมันก็ยิ่งเสียหาย ยิ่งทำ มันก็ยิ่งผิดพลาด สร้างอกุศล สร้างความผิดพลาด มันเป็นทุจริต มันเป็นอกุศล มันไม่ใช่กรรม อันควรกระทำ มันไม่ใช่พฤติกรรม มันไม่ใช่กิริยา ที่ควรจะมี จะเป็น อย่าให้มันเกิดกิริยา อาการ พฤติกรรมที่มันไม่ควร ถ้าจะทำทางวาจา มันก็เป็นทุจริตวาจา จะทำทางกายกรรม มันก็เป็นทุจริต ทางกายกรรม จะทำทางมโน มันก็เป็นทุจริตทางสังกัปปะ นะ ไปเบียดเบียนกัน หรือไปทะเลาะ เบาะแว้ง ไปอยากใคร่ อยากใหญ่ อยากโต อยากนั่น อยากนี่ อะไร ทำไมน่ะ มันเป็นความส่อ ส่อให้เห็นว่า ผู้นั้นสูง หรือผู้นั้นไม่สูง ผู้ใดก็ตาม ไม่รู้เท่าทัน เมื่อไม่รู้เท่าทัน ก็ปล่อยให้ผีมันออกมา ปล่อย โต้ง ปล่อยไก่ออกมา มันก็เป็นความส่อของผู้นั้นๆเอง รู้ตัวให้ดี เก็บไก่น่ะ ระวัง เก็บไก่ ฆ่าผี อย่าไปปล่อยไก่ ฆ่าผีของเรา ผีมันไปแสดงตัวแล้ว รีบฆ่า มันรีบลดจิตวิญญาณผีตัวนั้น อย่างนั้นลงไป อย่าไปปล่อย ให้มันอ้วนพี อย่าไปปล่อยให้มันแข็งแรง อย่าปล่อยให้มันใหญ่โตเป็นอันขาด ไม่เช่นนั้น เราเองไม่รู้เท่าทัน แล้วเราก็เสีย เราเสื่อม

ฟังดีๆ ฟังที่อาตมาเทศน์ในเรื่องปล่อยไก่ออกมานั้น ก็อันหนึ่งปรามมาแล้วจากทางโน้น นี่ทางนี้ก็ด้วย ทางโน้นก็มีเหมือนกันแหละ เรื่องที่จะเบ่งข่มกันอะไรอย่างนี้บ้าง แต่มันน้อย ทางโน้นน้อย แต่ทางนี้เยอะ คนมันเยอะ เยอะ แล้วคนฐานะก็เข้าท่า คนฐานะดีๆ ไม่ค่อยอยากไปอยู่หรอก ที่ปฐมอโศก มันทนต่อตีนติดดินไม่ไหว พวกนี้มันพวก อยู่หอคอยงาช้าง พวก มันเบา เหยียบขี้ไก่ ยังไม่ฝ่อเลย พวกนี้นี่นะ มันไม่ค่อยอยากไปอยู่หรอก ปฐมอโศก เพราะคนมันน้อย แต่อยู่ที่นี่ มันมีที่เร้น ที่หลบ มีฐานให้แฝง ให้อาศัย อยู่ที่นี่มี พวกคนร่ำคนรวยก็ตาม คนมีศักดิ์ มียศ อยู่ที่โน่นก็น้อย น่ะ ปฐมอโศกน้อย เพราะฉะนั้น จะมีแต่พวกกรรมกรเสียส่วนใหญ่ พวกกรรมกร ก็เลยเรื่องพวกนี้ก็มีบ้าง แต่ว่ามันไม่มากเท่าที่นี่ ที่นี่มีมาก ในเรื่องของการเบ่งข่มกัน เรื่องศักดิ์ศรี ศักดินา ทุนนิยม อะไรพวกนี้ มีมากกว่าน่ะ ในทางสันติอโศกเรานี่ ก็ขอให้พวกเราได้เรียนรู้ให้ลึกซึ้งขึ้น ตรวจตรา สังวร สำรวม ระวังอย่าให้มันเกิด มันเกิดไปแล้ว มันน่าอาย ตัวเราก็บกพร่อง ตัวเราก็ผิดพลาด ตัวเราก็เสื่อม ไม่ได้ดี

อาตมาไม่ได้ใส่ความนะ ที่พูดนี่ พูดสัจจะ มันไม่ได้ดีจริงๆนะ ถ้าอย่างเก่งก็มาบอกอาตมาน่ะ ถ้าอย่างที่เรียกว่า เราทำอะไรไม่ได้ อึดอัดขัดเคืองเหลือเกิน ก็มาบอกข้อมูลแก่อาตมา ว่าอาตมา ควรจะช่วย อาตมาก็ดูอยู่ด้วยบ้าง อาตมาบางที มันก็มองไม่ทั่วถึงนะ ในเรื่องนั้นเรื่องนี้บ้าง บางเรื่อง แต่เรื่องอย่างที่ว่านี้ ก็เห็นๆ อยู่ ค่อยๆเกิดมา ค่อยๆเกิดมา แต่ตอนนี้เห็นว่า มันมีอะไรต่ออะไร พึมๆ พำๆ กันอยู่ ก็นึกว่าจะรู้ รู้ตัวเองบ้าง ปล่อยดูๆ แล้วก็จะแก้ไข เอ๊! ยิ่งไม่แก้ไข ยิ่งกลายเป็นประเภท แตกแยก มีก๊ก มีเหล่า มีพรรค มีหมู่ เลยกลายเป็นเรื่องจะแตกกันใหญ่ขึ้นไป ก็มันเกิดมาจาก จิตอวิชชา เป็นต้นเหตุ จิตโง่ จิตที่ไม่รู้ตัวเป็นต้นเหตุ เสร็จแล้ว มันก็กลายเป็นเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง วิวาท แยกกัน แตกกัน ไม่เข้ากัน ประสานกันไม่ได้ อะไรไม่ได้ มันไม่ใช่เรื่องดีเลย เราเองเรายิ่งน้อย เรายิ่งพยายาม ที่จะสร้างสรร สามัคคีทำอะไรให้มันดีขึ้น ประสานกันขึ้น สมานกันขึ้น มีน้ำใจจริงๆนะ ไม่ใช่มาพูดแต่ปากนะ จะต้องพยายามปราบตัวเอง ลดละตัวเองลงไปจริงๆ แล้วพยายามปรับจริงๆ

อาตมาดูอยู่ ถ้าอาตมาจะเข้าข้างนี่ อาตมาจะต้องเข้าข้างพวกไม่ได้ปริญญา เพราะอาตมาไม่ได้ ปริญญาด้วย ใช่ไหม แต่อาตมาจะไม่เข้าข้างพวกตัวเองเลย อาตมาจะถล่มพวกตัว ตัวพวกเรานี่แหละ พวกไม่ได้ปริญญานี่ อาตมาจะถล่มพวกเรา ถ้าบอกว่า ถ้าจะพูดกันโดยโวหารโลกแล้ว อาตมาจะต้อง ด่าลูกตัวเองก่อน ใครเป็นลูกใกล้ชิด ก็ต้องโดนด่าหนักก่อน ใครที่เขาคิดว่าเขาลอยเลิศ ไม่ได้อยู่ในพวก แต่เขาว่าเขาใหญ่ ก็ให้เขาใหญ่ไป เขาว่าเขาเหนือ ก็ให้เขาเหนือไป เราก็อยู่อย่างประสาครอบครัวจน พวกจน พวกน้อย น่ะ เรามันพวกจน พวกน้อย เพราะฉะนั้น ผู้ใดเขาจะเบ่ง เขาจะอะไรนั่น อาตมา ไม่ได้อยู่ในพวกนั้นหรอก อาตมาอยู่ในพวกน้อย พวกเล็ก พวกต่ำ พวกต้อย ก็รู้สึกว่าอย่างนั้น เหมือนกัน

พวกเรามาในที่นี้นี่ คนที่ชื่อเบิ้มก็น้อยนะ ไม่ค่อยมีน่ะ ชื่อเบิ้ม ชื่อบิ๊ก ก็ไม่ค่อยมี ชื่ออะไรพวกนี้ มีส่วนมาก ก็มีชื่อน้อย ชื่อเล็ก ชื่อต้อย ชื่อนิด อะไรนี่ เยอะนะในนี้ ชื่อเบิ้ม ชื่อใหญ่ น้อยคนนะ ในหมู่พวกเรานี่ สังเกตดูดีๆเถอะ แปลก แปลกอยู่เหมือนกันนะ ชื่อเบิ้ม ชื่อใหญ่ ชื่อโต อะไร ชื่อช้าง อะไรอย่างนี้ มันก็น้อยอยู่นะ ไม่ค่อยมาก แต่ชื่อ เอ๊ พวกชื่อนิด ชื่อน้อย ชื่อต้อย ชื่อติ๊ด อะไร พวกนี้มีเยอะ พวกเรานี่น่ะ ชื่ออย่างนี้เยอะน่ะ ชื่อทางด้านชื่อใหญ่ๆ ไม่ค่อยมี ลักษณะชื่อมาเชิงน้อยๆ พวกนี้

นี่พวกเรามาทำตัวให้น้อย มันใหญ่เองด้วยคุณค่า ด้วยคุณภาพ มันย้อนแย้งกัน ธรรมะนี่ มันทวนกระแส พูดเมื่อไร มันทวนกระแสเมื่อนั้น เรามาน้อยนี่เราใหญ่ เราไปใหญ่นั่นล่ะเราน้อย เราเล็ก น่ะ ธรรมะพูดไปแล้ว มันก็ทวนกระแส ไปอย่างนี้เสมอ แล้วมันเป็นสัจจะนะ เราเสียเปรียบนี่ล่ะ เราได้เปรียบ เราไปเอาเปรียบอยู่ ไปได้เปรียบอยู่นั่นละ เราเสีย นี่ธรรมะ มันจะย้อนแย้งอยู่อย่างนี้ อาตมาจึงเห็นว่า โอ้โห! สภาพทวนกระแส ปฏิโสตนี่ มันลึกซึ้งไม่ใช่น้อยเลย สภาพทวน ทวนกันนี่ ปฏิโสตนี่ ปฏิโสตังนี่ มันเห็นชัดๆอยู่ในโลก แหม ถ้าไปจับเป้ามันไม่มั่น จับเป้ามันไม่แม่นแล้ว เราก็เป็น อย่างนั้นไม่ได้นี่นะ โอ๊ ยาก ไม่สามารถพัฒนา ไม่สามารถเจริญได้เลย เราจะบอกว่า เราไม่ใหญ่ ทุกวันนี้ เราก็ใหญ่ขึ้น จะบอกว่าพวกเรานี่ไม่เหมือนคนรวย มันเหมือนคนรวย ดูซิไปอยู่ที่ไหน ที่ดินก็แพงที่นั่น ที่รอบข้าง สันติอโศก แพงไปหมด ตอนนี้ที่ปฐมอโศก แพงขึ้นอีกแล้ว ไม่รู้จะทำอย่างไร ไปอยู่ที่ไหน มันแพงที่นั่น ทั้งๆที่พวกเรา ไม่ได้ร่ำรวยนะ

อาตมาไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร คือพวกเรานี่ มันไม่ได้เสียดายเงิน เรื่องของเรื่อง มันเป็นเหตุปัจจัย ที่แท้จริง แต่เราต้องการที่จะได้ที่พวกนี้ มันอยู่เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นปึก เป็นแผ่น เพราะฉะนั้น เราก็ต้องการ แพงล่ะ เฮ้ย ไม่เป็นไร เรื่องเงินเรื่องเล็ก เรื่องด้านหมู่กลุ่ม เรื่องเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันนี่ เป็นเรื่องใหญ่ เพราะฉะนั้น ก็ซื้อที่ดินติดกันนี่ แพงก็ช่างหัวมันเถอะวะ เงินทองมันเรื่องเล็ก แต่คนโลก เขาขี้เหนียวเงินทอง เขาก็กดกันอยู่นั่นแหละ ไม่คอยซื้อคอยขายกันหรอก มันแพงหน่อย เขาก็ไม่เอา ฉันก็ไม่อยากได้เท่าไรนี่หว่า เขาก็ อยู่ที่ไหนก็ได้นี่หว่า เขาก็ไม่แคร์ เขาก็ไม่เห็นแก่จุดดี หรือว่าเป็นมิตรดี สหายดี สิ่งแวดล้อมดีอะไร

เขาไม่เห็นว่า สิ่งแวดล้อมดี มิตรดี สหายดีนั่นมันราคาแพงนะ เขาไม่เห็นอันนี้ เขาก็เห็นแต่ตัวเงินว่า เฮ้ย ฉันไปซื้อที่ดิน ที่ไหนก็ได้ ดีไม่ดี ที่ดินที่แบบโลกๆด้วย ว่าดี เขาก็ว่าไป ดีๆแบบโลกๆด้วยซ้ำ น่ะ นี่ก็ ยังยกตัวอย่างไม่ถนัดเท่าไร ฟังๆดู ก็ยังรู้สึกว่า ออกไปนิดเดียว ยกตัวอย่างนี้รู้สึกว่า คนพอจะรู้ได้ ด้วยนิดเดียว ตามได้ด้วยนิดเดียว มันทวนกระแสกันจังเลย เพราะฉะนั้น เราต้องพยายาม ไม่ใช้ปัญญาญาณวิเคราะห์ วิจัย หาสาระสัจจะให้ตรงเป้า ให้ตรงสิ่งจริง สาระของมันแม่นๆนะ อย่างที่เรื่องกำลังพูดนี่ มันไม่แม่น ทำไมจะต้องไปเบ่งไปข่มเขา เราเบ่งข่มเขาไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้วยรูปโลกๆ ก็ยังไม่ได้ นามธรรมของเรามีคุณค่าความดีงามพอกันแล้วหรือ หรือว่า เหนือกว่าเขา แล้วต้องให้เขา มาเคารพนับถือ ยิ่งนามธรรม ก็ยิ่งดูกันไม่ได้ง่ายๆเลย ยิ่งดูยากนะ แล้วจะให้เขามาเคารพนับถือ ศรัทธาเราก่อน แม้แกจะจบปริญญา แกจะรวยร้อยล้านมาก็ตาม ต้องมาเคารพเรา เพราะเรา คุณธรรมสูง มันดูไม่ง่ายนะ ดูคุณธรรมสูงนั่น ยิ่งดูไม่ออกง่ายๆ เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งไปหวัง เราไปหลงตัวหลงตน หลงอัตตาของเราทำไมว่า เราใหญ่ เราโต ถ้าเราใหญ่จริง เขามีดวงตาเห็นจริง เขาเคารพนับถือจริง ไม่ต้องไปบีบบังคับเขา ไม่ต้องไปกดข่มเขา เขาจะเคารพนับถือเอง

อย่างอาตมานี่ จริงๆ ไม่ง้องอนให้ใครเคารพหรอก ใครอยากจะมาเคารพ ก็เป็นเรื่องของเขา ขนาดมาใหม่ๆ ไฟแรงนี่ โอ้โฮ เคารพอาตมาจริงเลย พออยู่ไปๆ เขาก็มองไปว่า อาตมาไม่ดีอย่างโน้น ไม่ดีอย่างนี้ เห็นเหมือนกับเห็นอะไร ต่ออะไร แล้วก็คิดไปตามประสาตัวเอง แล้วไม่เคารพนับถือก็มี อาตมาก็รู้อยู่ อาตมาก็ไม่ได้เสียใจนะ บอกตรงๆ ไม่ได้เสียใจหรอก อาตมาก็ดูว่า เขาไม่ชอบใจเรา ในมุมนั้นมุมนี้ ลดความศรัทธาเลื่อมใส แล้วมันเรื่องอะไร อาตมาก็พยายามจะรู้เขา อ๋อ เรื่องนี้ เขามองอย่างนี้นะ เขามองผิด หรือมองถูก ถ้าเขามองผิด ก็พยายามช่วยเขา ช่วยอธิบาย ช่วยชี้แจง ช่วยพยายามกระทำให้เกิดความจริงที่เป็นสัจจะ พยายามอยู่นะ ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็แล้วไป เราเก่งเท่านี้ แม้แต่นี่มาเป็นลูกศิษย์นี่ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง บางคนนี่ อาตมาก็ไม่เก่งที่จะสอน ที่จะแนะนำ ที่จะช่วยเหลือให้เข้าใจ หรือให้ได้ดิบได้ดียิ่งกว่านี้ อาตมาก็เก่งเท่านี้ มันไม่รู้จะทำยังไง มันเก่งเท่านี้ จริงๆ ก็ดู รู้ตนอยู่ว่า เออ เราเก่งเท่านี้นะ เราก็จำนน ช่วยเขาไม่ได้มากกว่านี้ ก็พยายามจะดีกว่านี้ พยายามจะเก่งกว่านี้ ไม่ไปโทษเขาหรอก นอกจากโวหารเท่านั้นล่ะ ที่อาตมาเบ่งข่มด้วยโวหาร พูดไปก็อย่างนั้นแหละ โดยใจจริงแล้ว ไม่ได้ไปโทษเขา ถ้าอาตมาไปนั่งโทษพวกคุณนี่นะ เชื่อไหมล่ะ ว่าพวกคุณนี่ อาตมาควรจะโทษตั้งเท่าไร อาตมาโทษพวกคุณ อาตมาก็ตายแล้ว ป่านนี้ก็คงจะ หน้าหงิก อย่างนี้ ใครมันก็น่าโทษทั้งนั้น อาตมาก็คงจะตาย อึดอัดตายอยู่ตรงนี้

อาตมาก็ไม่โทษหรอก อาตมาก็ปล่อยวาง เออ สบายๆ ของเขาเป็นอย่างนั้น ก็เข้าใจเขา คนนี้มันยัง ดุเดือดอยู่อย่างนี้ ก็ดุเดือดไป คนนี้ยังหยาบอยู่อย่างนี้ ก็หยาบไป จะไปถือสาว่า นี่มันหยาบ เอาล่ะ แค่นี้ก็หนักแล้ว คนนี้ดื้ออีก ดื้ออีก ตายอาตมาอึดอัด อึดอัด ตายนานแล้ว ไปถือสากันอยู่อย่างนี้ ตายนานแล้ว เพราะโลกจะไปถือสา ถือสา มันไม่มีสุขหรอกนะ มันทุกข์ ใครไม่เชื่อก็ถือเข้าไปก็แล้วกัน น่ะ ถือว่าเขาไม่ดี จริงเขาไม่ดีด้วยซ้ำ เขาไม่ดีจริงๆด้วยซ้ำ จะไปถืออะไรเขาได้เล่า ช่วยเขาได้อะไร ก็ช่วยกันไป ช่วยไม่ได้ก็วางไว้ เออ คุณก็เท่านั้น หรือไม่ก็ เอ้า โยนลูกไปให้ผู้ที่จะช่วยได้ อย่างน้อย ก็โยนมาให้อาตมา หรือไม่ก็โยนให้สมภารมั่ง โยนให้ท่านอนุตตโรบ้าง ผู้ใด ช่วยรับไป เราอย่าไปแบก อยู่ซิ เราไปแบกอยู่ก็ตายกันพอดี เราช่วยเขาก็ไม่ได้ เราไปแบกอยู่ทำไม หรือไม่เราก็ต้องวางเลย เมื่อไม่โยนให้ใครก็วางไป ตัวใคร ตัวใครซิ ใครจะดี ใครจะไม่ดี ก็เป็นตัวของเขา เราช่วยเขาไม่ได้จริงๆ เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่ที่ตัวเรา ดูตัวเรา เออ ตัวเราก็เท่านี้นะ มันก็เท่านี้แหละ ก็เจียมตัวเจียมตน ของเราไป อย่าไปเห่อเหิม

อาตมาเซ็นเซอร์หนังไปเรื่องหนึ่ง หนัง ๓๐ นาที ดูกันหรือเปล่าที่นี่ เรื่องตัวเราก็เท่านี้ อาอิง อาอิง ดูกันหรือเปล่า ที่นี่ไม่ได้ดูหรือ อ้อ ทางปฐมอโศกเขาดูกันแล้ว เรื่องอาอิง อาตมาตั้งชื่อว่า ตัวเราก็เท่านี้ ก็ดูดี แต่ว่ามันเป็นเชิงสื่อ เป็น ลีลาของเรื่องความรักหรอกนะ อาตมาไม่เล่าหรอก คนไม่ได้ดู ประเดี๋ยว ดูกัน จะได้ดูรู้เรื่อง ไปเล่า ประเดี๋ยวดูไม่สนุกน่ะ เรื่องอาอิงเรื่องตัวเราก็เท่านี้ มันก็เป็นแง่คิดให้เราคิด ให้เห็นความจริงว่า เออ ขนาดคนโลกๆ เขายังคิดออก คนโลกๆเขายังเข้าใจ ตัวเขา ตัวเรา อะไร เขาก็ยังเข้าใจนะ รู้ศักดิ์ศรี รู้ฐานะ รู้อะไรๆ ที่เป็นสิ่งแวดล้อม อะไร เขาก็รู้ตัวรู้ตน เจียมตัวเจียมตน หรือว่าอะไรเขาก็รู้ ขนาดคนโลกๆ เขายังรู้เลย เรามาเรียนธรรมะอยู่แท้ๆ แล้วเราไม่รู้ตัวรู้ตน ไม่รู้ความเห่อๆ ห่ามๆ อะไรของตนเอง ความอ้าขา ผวาปีก เบ่งๆ เบ้งๆ บั้งๆ อะไรของตัวเอง ไม่รู้ตัวเอง มันจะไปสู้คนทางโลกเขาได้อะไร เราอุตส่าห์มาศึกษาธรรมะ เราพยายามเรียนรู้ธรรมะ เสร็จแล้ว เราก็ปล่อยไก่ ก็ไม่รู้ตัวน่ะ ปล่อยไก่ออกมา โต้งหงอนหักด้วย หงอนแดง แล้วหงอกหักด้วย เคยเห็นไหม โต้งนั่นหงอนโตๆ ไม่เก่งหรอกนะ โต้งนี่ โตๆ แล้วหงอนใหญ่ๆ พับหักลงมาด้วยแล้ว โอย นั่นน่ะ ไปสู้กับ ตัวที่มันไม่หงอนน่ะ มันจิกหงอนได้ที่นะ แหม จิกติดปาก เตะตาย เดี๋ยว โต้งหงอนใหญ่นั่นน่ะตาย หงอนช้ำหมดแหละ ฉีกด้วยน่ะ ทำเป็นโต้งตัวใหญ่ หงอนใหญ่นี่โชว์หงอนโตของตัวเอง ที่แท้ มันขี้กะโล้โท้แท้ๆ ปล่อยไก่โต้งๆออกมาอย่างนั้น มันไม่เข้าท่าอะไร คนอื่นเขาเห็นได้ เขาจับมาเป็นเหตุ เป็นปัจจัยในการที่ซัดต่อไป น่าอาย ขายหน้าเขา ไม่เข้าเรื่องเข้าราวอะไร

นี่เป็นเรื่องของอัตตา เป็นเรื่องของมานะ เป็นเรื่องของการยึดดี หลงดีหลงตัว บางทีก็ยึดดีจริงๆ ขั้นสูงขึ้นไป ก็ยัง พระอนาคามี อย่างที่ว่า ก็ยึดดีจริงๆ ในขั้นไม่สูง ไปยึดที่ดี ยังไม่ดี มันยังไม่ดีจริง ไปยึดหลงอยู่อย่างนั้น ยิ่งขั้นปุถุชน ไปหลงเอาแบบปุถุชน ไปยึดเอาที่เป็นโลกๆ ไปเป็นลาภทางโลก เป็นยศทางโลก ศักดินาทางโลก มายึดด้วย โอ๊ย แล้วมันกี่ขั้นกันล่ะนี่ โง่กี่ขั้นน่ะ โง่ไม่นับแต้ม อย่างที่ เทศน์เมื่อเช้า โง่นับแต้มไม่ได้ เหมือนยกตัวอย่างที่ว่า ตบไม่ให้หมอรับเย็บ โอ้โฮ! มันตบกันยังไง ตบไม่ให้หมอรับเย็บ มันคงแหลกไปทั้งหน้านะ มันตบเหมือนกันล่ะนี่ โง่ไม่นับแต้มเลย ไม่รู้จะให้ คะแนนยังไง ไม่รู้คะแนนอยู่ตรงไหนเลย มันโง่ ใส่คะแนนไม่ได้แล้ว อย่างนี้นะ มันยังไงกันน่ะ นี่ไปเอา โลกีย์นี่ มารังเกียจเดียดฉันท์กันใน แหม เราก็ว่าเราขนาดระดับอริยะ ในระดับโสดาฯ สกิทาฯ อะไรไป เป็นอริยบุคคล หน็อย! ยังไปเอาโลกีย์ๆ บวมๆ หยาบๆ นั่น มาเบ่งมาข่ม มาทะเลาะเบาะแว้ง อู๊ย ขายเนื้อหน้า ไม่ใช่ขายขี้หน้าหรอก ขี้นี่ขายไปหมดแล้ว ตอนนี้มาถลกเนื้อหน้าขายแล้ว มันขายเนื้อหน้า นะ หนังก็ขายไปแล้ว ถลกเนื้อเอาไปขายตอนนี้ ไม่ไหวนะ โอ้โห! ตายซิ จะไปเหลืออะไร เวลาจะไปขาย เพราะฉะนั้น พยายาม ฟังธรรมะนี่ อาตมาพยายามยกอุทาหรณ์ ยกตัวอย่างขั้นตอนนะ ขั้นนั่น ขั้นนี่ อะไรนี่ ฟังดูดีๆว่า เอ๊ เรานี่ยัง โง่ๆ เง่าๆ อยู่นะนี่ ยังเผลอๆ ไผลๆ จับหัวชนท้าย จับท้ายชนหัว ต่ำๆเป็นสูง สูงเป็นต่ำ มันอะไรกันแน่ ทำไมมันไม่ชัด ทำไมมันไม่รู้เป้า รู้หมายอะไร ให้มันแน่ๆ นอนๆ นัก ยังไปวน วุ่นๆ วายๆ เรื่องไม่เข้าเรื่อง ขายขี้หน้าจริงๆเลย

ทำไม ยังไปวนๆอยู่ได้ ไปเอาเรื่องโลกๆโลกีย์มาเบ่ง มาน้อยอกน้อยใจ มาทำเป็นแข่งดีแข่งเด่นกัน ในเรื่องโลกๆ โลกีย์ แล้วก็เอา เรื่องเหล่านั้น ทั้งๆที่มันน่าสมเพชเวทนา ดังกล่าวแล้ว ใครหลง ก็หลงเข้าไป เราไม่หลงก็ดีแล้ว แล้วยังอุตส่าห์ไปหลงตามเขาอยู่อีก หลงแล้วตัวเองก็ยังไม่มีอะไร ที่จะไปข่มเขาเสียอีก ไม่มี ดีที่จะไปข่มเขาก็ไม่มี มีอย่างโลก จะไปข่มเขาอีก มันก็ไม่มีอยู่แล้วน่ะ จะมาเอารวยไปข่มเขา มันก็ไม่มีมาแต่เค้าจากเดิม จะไปเอาดีกรี จะไปเอาปริญญามาข่มเขาอีก มันก็ไม่มีมาแต่เดิม มันก็ไม่มีอยู่แล้ว แล้วมันก็เป็นไปไม่ได้แล้ว ยังอุตส่าห์ จะไปอะไรเขาอีก จะไปเบ่ง แอ๊คๆอะไร ไม่ได้เรื่อง ไม่เข้าเรื่อง จะไปเอาความดีไปเบ่งทับเขา เขาก็ยังไม่ได้ศรัทธาเรา จริง เราก็ยังไม่มี ความดีพอที่จะไปเบ่งทับเขาอีก แล้วจะเอาอะไรไปเบ่งทับกัน เพราะฉะนั้น ถ้าจะเบ่ง จริงๆแล้ว ก็ให้มีดีเสียหน่อยเถอะ อย่างน้อยความรู้แค่นี้ มันก็ดูๆว่า ความดีมันไม่มาก ไม่มายอะไร ไม่รู้อะไร น่ะ เพราะฉะนั้น อย่าไปเที่ยวได้น้อยอกน้อยใจ

การน้อยอกน้อยใจนั้นเป็นความโง่ น้อยอกน้อยใจไม่เข้าท่า ว่าเราเองไม่มีอันนี้ แล้วก็มาจัดเรา ไปอยู่อย่างนี้ก่อน เป็นจริงน่ะ นี่องค์นี้ก็ไม่ได้มีปริญญานะนี่ อาตมาน่ะ ว่าที่จริงมีพวกเยอะนะ พวกปริญญาน่ะ ไม่กี่หัวหรือกว่ากันจริงๆน่ะ หรือเศรษฐีรวยๆ อยู่ในนี้ก็ไม่กี่หัวหรอก เอากันจริงๆ ไหมเล่า เฮอะ จะบ้อมกันเมื่อไร ก็แบนเมื่อนั้นแหละ พวกที่ว่าสูงๆใหญ่ๆ นั่นน่ะ จะไปสู้อะไรได้ แล้วจะสู้กันทำไม ถ้าว่ากันจริงๆแล้ว สัจจะมันก็มีพวกมากอยู่แล้ว พวกที่ไม่มีเงินไม่มีทองมาก พวกที่ไม่มีปริญญา อะไรต่างๆนานา มันมากอยู่แล้ว นี่นับหัวได้เลย พวกไม่มีปริญญา มากกว่า มีปริญญา แม้มีปริญญาก็จะต้องมาลดมาละ มาเบ่งมาถือดิบถือดี อะไรพวกนั้นอยู่ทำไม แล้วเราก็ พยายามปรับ พวกเขาปรับไม่ได้ ก็เรื่องของเขา ก็ควรจะสมเพชเวทนา ปล่อยเขาไป คิดให้เห็นนะ ที่อาตมาพูดนี่ ก็วนไปวนมา ซ้ำซากแล้วนะ อธิบาย ไม่ตั้งใจจะพูดเรื่องอะไรอื่นมากมายนัก ก็พูดแต่เรื่องแค่นี้ เห็นให้จริง พยายามมองเห็นให้จริงว่า เรานี่ ทำไมมันยังโง่เง่าอยู่ ไปวุ่นวาย เรื่องไม่น่าวุ่นวาย เอาเรื่องไม่เป็นเรื่อง มาทุกข์มาร้อน แล้วก็มาสร้างสภาพอะไรขึ้นมา ในสังคมหมู่ ของเรา เกิดความแตกแยก แตกระแหง ไม่เข้าเรื่องเข้าราวอะไรกัน กลายเป็นแบ่งพรรคแบ่งพวก เออ แบบนี้นี่ ไม่ต้องไปให้ทีมใหญ่ทีมโตอะไร เขามาทำร้ายทำลายหรอก ทีมขี้หมูขี้หมาอ่อนๆ มาทำร้าย ก็เสร็จเขา เพราะว่ามันไม่เป็นสามัคคีกันแบบนี้ เขาล้มได้ง่ายนะ แล้วเขาก็พยายามจะทะลวงนะ คนข้างนอก เขารู้วิธีการเหมือนกัน อย่างอโศกนี่ ถ้าเราไม่เหนียวแน่น สักหน่อยเท่านั้นล่ะ แตกนานแล้ว ถ้าลงไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันสักหน่อยเท่านั้นล่ะ แตกนานแล้ว เพราะว่าเราไม่ได้อยู่ได้ด้วย บัลลังก์ ของศักดินา ไม่ได้อยู่ได้ด้วยบัลลังก์ของทุนนิยม จะอยู่ได้ด้วยว่าเรามีเงินมาก จะอยู่ได้เพราะเรามี ศักดินา มีผู้ใหญ่หนุนหลัง มีศักดิ์ศรีอะไร ที่โลกๆ เขามี แล้วเอามาค้ำบัลลังก์ของเรา ไม่มีนะ

ของเรานี่อยู่ได้ด้วย สาระของสัจจะของมันจริงๆนะ เราไม่ได้มีสิ่งเหล่านั้นมาค้ำ เพราะฉะนั้น อย่าเที่ยวได้ซ้อน อยู่ในตัวเราเอง พวกเราเองน่ะ เกิดการไม่พยายามรู้ตัว แล้วก็แตกระแหงกันเอง ทะเลาะเบาะแว้งกันเอง มันจะไปมีฤทธิ์อะไรเหลือ ศักดินาค้ำก็ไม่มี ทุนนิยมค้ำก็ไม่มี ทุนรอนค้ำ ก็ไม่มี

เรามีแต่สัจจะเท่านั้นค้ำ สัจจะ ก็คือคุณค่าของความดี ความสามัคคี ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความที่ไม่แยก ไม่แตกอะไรกัน ความร่วมไม้ร่วมมือ สามัคคีธรรมที่แท้ มันอยู่ได้เพราะความจริงพวกนี้ เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล เป็นพี่เป็นน้อง เป็นภราดรภาพ นี่เป็นสัจจะที่แท้จริงที่เราอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราทำอะไร ผิดประหลาดไปจากสัจจะ ที่กล่าวไปคร่าวๆนั้น มันก็นับแต่วันที่มันจะเสื่อม หรือว่า มันจะล่มสลายไป มันไม่ตั้งขึ้นได้ คือมันไม่เจริญขึ้นได้แน่ เพราะจะก่อให้เกิด ความเจริญขึ้นได้ ก็ต้องพยายามทำความเข้าใจจริงๆ ตรวจตราซะ ตัวใคร ตัวใคร มีมากมีน้อยอะไร ก็ตรวจตรากันดู มันเป็นข้อบกพร่องของเรานะนี่ เราคิดไม่ดี หรือเราทำกิริยาไม่ดีไปแล้ว จะเป็นกิริยาทางกาย ทางวาจา อะไรก็ตามใจรู้สึกว่า เอ๊ บกพร่อง ทำใจในใจใหม่ประสานกันให้ดี ใครที่จะอโหสิกรรม ก็อโหสิ หรือใครที่จะอ่อนน้อมถ่อมตน ขอโทษ ขออภัยอะไรกัน ก็ขอกันไป น่ะ ทำได้ก็ทำ ปรับกันให้เป็น อันหนึ่งอันเดียวกัน มาเอาเนื้อสาระที่มันแท้ ว่าเราจะมารังสรรค์อะไรกัน ร่วมไม้ร่วมมืออะไรกันไปได้ ทำอะไรกัน ให้เกิดเจริญงอกงามได้ดี อะไรก็ทำกัน คนมันยิ่งนับวันมากขึ้นๆ แล้วมันก็ยิ่ง ถ้าลงไป แตกระแหงอะไรมากๆขึ้น แม้แต่เรื่อง นี่มันเรื่องใหญ่ๆนะนี่ อาตมาพูดอยู่ ๒ ภาค ภาคผู้หลงโลกีย์ กับภาคผู้ที่ไม่หลงโลกีย์ อยู่ ๒ ภาค เท่านั้นเอง ใหญ่ๆ ถ้าเราทำแค่นี้ก็ยังไม่ได้ หยาบๆ ใหญ่ๆ แค่นี้ยังไม่รู้เรื่อง อีกหน่อยก็เลอะเทอะกันใหญ่ ไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราวนะ ต้องเข้าใจสภาพพวกนี้ให้ดี

นี่อาตมาเตือน ที่พูดนี้ก็เตือนให้รู้ ทั้งทุกฝ่ายให้รู้ เตือนให้รู้ทุกคน ไม่ได้จำเพาะว่า จะว่าคนเดียวนะ ไม่ได้ว่าฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่งเท่านั้น ว่าทุกฝ่าย ถ้าจะใช้คำอย่างที่หมอประเวศกำหนดแล้วก็ด่า ว่า ตำหนิ สอน นี่ว่าใช้ทุกอย่าง จะว่าด่าก็ด่า จะว่าว่าก็ว่า จะว่าตำหนิก็ตำหนิ จะว่าสอนก็สอนอยู่ในนั้นทั้งหมด แต่ไม่ใช่เรื่องของประเภทโจมตี อาตมาไม่ได้โจมตี คำอะไรอีกคำหนึ่งนะ กล่าวหา อาตมาไม่ได้ กล่าวหานะ ที่พูดนี่พูดเรื่องจริงที่เรามีกัน ใครมีมากมีน้อย รู้ตัว ไม่ได้โจมตี ไม่ได้กล่าวหา ไม่ได้พูด ผิดเพี้ยนนะ แล้วก็ไม่ได้ระบุตัวตน บุคคลใคร ว่ามีมาก คนนั้นมีมาก คนนั้นมีน้อย ไม่ได้ระบุเลย พูดกลางๆ เพราะฉะนั้น ลักษณะพวกนี้ ทุจริตก็ดี สุจริตก็ตาม กุศล หรืออกุศล ความผิดพลาด ไม่ถูกต้อง อันใดก็ตาม หรือความถูกต้องอันใดก็ตาม ต้องอย่าลำเอียงเข้าข้างตน ตรวจตราดีๆ อันไหนมีจริง ไม่มีจริง อะไร ก็แก้ไข ปรับปรุง สิ่งดีก็ทรงไว้ สิ่งไม่ดีก็แก้ไข สิ่งไม่สมควรก็ปรับปรุงกัน เท่านั้นเอง

เอ้า เอาละ สำหรับวันนี้ คิดว่าพอสมควรแก่เวลา


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย สุพรรณี เนตรสว่าง ๔ พฤษภาคม ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงาน คุณกัญญา พุ่มวัฒนา ๓๑พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
077C.DOC