ติอย่างปราชญ์ ฉลาดอย่างไร? ตอนที่ ๒
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๓๕
ณ ปฐมอโศก


ขตสูตร ที่๑ ก็เกี่ยวกับว่าคนพาลเป็นอย่างไร และเป็นปราชญ์จะเป็นอย่างไรเป็นปราชญ์ ก็คือ ทำตรงกันข้ามกับคนพาลนั่นแหละ ไม่เฉียบแหลม ไม่ใช่สัตบุรุษ ย่อมคุ้มครองตน ที่ปราศจากคุณสมบัติ ย่อมเป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษนะ ขาดทุน แต่ประกอบไปด้วยโทษ นักปราชญ์ติเตียน และก็ย่อมจะประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก ธรรมะ ๔ ประการ ที่เป็นธรรม ที่บอกเป็นพาลเป็นยังไง

สรุปก็คือ ย่อมสรรเสริญผู้ที่ควรนินทา และย่อมนินทาผู้ที่ควรสรรเสริญ สรุปในมุมแง่ที่ จะบอกให้ชัดๆ ก็ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบ แล้วก็กล่าวสรรเสริญคุณของผู้ไม่ควร สรรเสริญ ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้วกล่าวติเตียนผู้ที่ควรสรรเสริญ ไม่ใคร่ครวญ สืบสวนให้รอบคอบแล้วยังความเลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส คือ ไปพยายามที่จะยังความเลื่อมใสให้เกิดกับ หรือให้เกิดในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส หรือ ไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้วก็ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดในฐานะที่ควร เลื่อมใส ยกตัวอย่างง่ายๆนะ อย่าว่าจับอาตมาไปเป็นคนคุยโตคุยตัวหรือว่าอวดตัว อะไร

เช่นว่า อาตมาน่าจะเป็นคนที่ควรเลื่อมใสแต่พาลหรือผู้ไม่เดียงสา จะไม่ใคร่ครวญ สืบสวนให้รอบคอบและก็ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดกับอาตมาว่างั้นเถอะ ในฐานะ ที่ควรเลื่อมใส แต่เสร็จแล้วไม่ใคร่ครวญสืบสวนให้รอบคอบแล้วก็ยังความไม่เลื่อมใส จะทำอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ทำในสภาพที่ยังความไม่เลื่อมใสให้เกิดกับอาตมา ว่างั้นเถอะ ในฐานะที่ควรเลื่อมใส หรืออย่างพระพุทธเจ้านี่ เป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่ควรเลื่อมใส เสร็จแล้ว เราก็ไม่ใคร่ครวญ สอบสวนให้รอบคอบ แล้วก็ไปยังความไม่เลื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ ควรเลื่อมใส หรือกลับกันนะ ไม่ใคร่ครวญให้รอบคอบแล้วก็ยังความเลื่อมใส ไปทำให้เกิด ความเสื่อมใสให้เกิด ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส เช่นเทวทัต เป็นต้น ก็ไปให้คะแนนเทวทัต หรือไปทำให้เกิด ยังความเลื่อมใสให้เกิดกับเทวทัต อย่างนี้เป็นต้น ก็ได้นะ

นี่เป็นเรื่องของธรรมะ ๔ ประการที่คนพาลเขาชอบทำ ประการแรกก็กล่าวเลยละ ไม่ใคร่ครวญ สืบสวนให้รอบคอบแล้วก็กล่าวสรรเสริญคุณของผู้ไม่ควรสรรเสริญ หรือว่า ไปติเตียนผู้ที่ควรสรรเสริญอย่างนี้ก็เป็นธรรม ๔ ประการ ของคนพาลไม่ใช่บัณฑิต ส่วนผู้บัณฑิตนั้น ก็ทำให้ถูกต้องนะ เป็นผู้เฉียบแหลม

สัตบุรุษย่อมคุ้มครองตนให้ประกอบด้วยคุณสมบัติเป็นผู้หาโทษมิได้ก็ย่อมสืบสวน รอบคอบแล้วแล้วก็กล่าวนะ กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียน คำว่า กล่าวติเตียนผู้ควรติเตียนนี่แหละ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ขอยืนยันว่า เป็นธรรมะ ที่ไม่ใบ้ ตอนนี้อาตมากำลังทำต้นฉบับลงหนังสือแสงสูญอยู่ กำลังพูดถึงคน เป็นกลาง หรือ ความเป็นกลาง ความเป็นกลางหรือคนเป็นกลางนี่ไม่ใช่คนใบ้ ไม่ใช่คนเข้าข้าง ใครไม่ได้ คนเป็นกลางนี่เข้าข้างคนดี อยู่ข้างคนดีโดยเฉพาะคนเป็นกลางนี่เป็นคนที่ มีคุณค่านะคนเป็นกลางนี่คนไม่ลำเอียงนี่คนไม่มีอคติหรือคนที่ไม่มีกิเลส ไม่มีโลภะ โทสะ โมหะ นี่เรียกว่า คนเป็นกลาง คนไม่มีทุคติ คนไม่มีบาป คนไม่มีนรก นี่คนเป็นกลาง คนไม่มีลำเอียง ไม่มีฉันทาคติ ไม่มีโทสาคติ โมหาคติ ภยาคติ ไม่มีความลำเอียงฝ่ายใด เลย เรียกว่า คนเป็นกลาง ทางจิตวิญญาณนะ จิตใจ แล้วคนเป็นกลางนี่ละ จะมีปัญญา รู้คนผิด รู้คนถูก รู้คนดีรู้คนชั่ว และคนเป็นกลางนี่จริงๆ แล้วจะเป็นคนดี จะปฏิบัติตน เหมือน กับคนดี เพราะฉะนั้น ปฏิบัติตนเหมือนคนดี แล้วมันไม่เข้าข้างคนดีได้ไง พูดก็ต้องพูดว่าดี พูดดีเมื่อไหร่ก็คนดีก็เข้าข้างตัวทุกที เพราะตัวก็ดีอย่างที่คนดีเขาเป็น ถ้าคนที่เป็นคนกลางแท้ๆ คนดีแท้ๆ นี่นะจะเป็นอย่างนั้น

เรื่องนี้อาตมาวิเคราะห์พอสมควรทีเดียวและจะต้องพูดด้วยถ้าคนกลางหรือคนดีนี่ ไม่บอกคนดี ไม่สนับสนุนคนดีไปส่งเสริมแต่คนชั่วมันก็ไม่ใช่คนกลางนั่นก็แน่นอนแล้วล่ะ แต่คนกลาง ไม่บอกใครเลย คนดีก็ไม่บอก คนชั่วก็ไม่พูดเป็นคนใบ้ไม่ใช่คนกลาง คนนี้ คือ คนโง่ คนนี้คือคนอยู่เฉยๆ คนนี้คือคนว่าง เปล่าคนนี้คือคนไม่มีน้ำหนัก คนกลางนี่ มีคนอยากให้เป็นพวกนะคนเป็นกลางนี่ อยากเอาเป็นพวกคนกลางเป็นคนมีปัญญา คนกลางเป็นคนมีน้ำหนัก คนที่ได้รับความยกย่องเชิดชูบูชานะ คนเป็นกลางนี่ เพราะคน ไม่ลำเอียง ไม่มีอคติ ไม่มีโลภะโทสะโมหะ หรือคนที่มีใจเป็นกลาง มีใจที่รู้ดีรู้ชั่ว จริงๆ ก็เป็นคนดี คนกลางนี่ต้องเป็นคนดี

นี่เป็นลักษณะของความเป็นกลางหรือคนกลางที่เราเข้าใจกันยังไม่รอบถ้วนกันอยู่ ทุกวันนี้ แล้วก็ปฏิบัติกันบ้าๆ บอๆ ไม่ให้คนกลางพูด เช่นว่า พระอย่างนี้ สมณะ อย่างนี้ไม่ให้เข้าข้าง ไม่ให้พูด ไม่ให้สนับสนุนคนดี ทั้งๆที่พระนี่เป็นคนที่ปฏิบัติธรรมะ เกิดปัญญาลดละกิเลสเป็นคนไม่ลำเอียง กลางอย่างที่ว่านี่ เป็นคนที่มีมัชฌิมาปฏิปทา ที่สมบูรณ์ที่สุด หรือมีสัมมาสูงสุดนี่ แต่กลับไม่ให้พูด ไม่ให้แนะนำ ไม่ให้บอก คนไหนดี ไม่ให้บอก นี่เป็นเลศเล่ห์ของคนชั่ว ที่เขาใช้เลศเล่ห์ด้วยความฉลาด ห้ามหรือปิดปาก คนดีได้ออกเป็นกฎเป็นระเบียบแน่ะ ออกเป็นกฎเป็นระเบียบในประเทศเลย ห้ามพระ ไปพูดไปอะไรต่ออะไร

เอาละพูดไปก็ยิ่งมากนะเอาแต่แค่ว่า ประเด็นที่ว่า คนกลาง หรือว่า ศาสนาพุทธ ไม่ได้ ส่งเสริมไม่ให้ติ นิคฺคเณฺห นิคฺคหารหํ ปคฺคเณฺห ปคฺคหารหํ ฯ จงข่มคนชั่ว แล้วก็ยกคนดี ให้ติ ข่มหรือตินี่ นิคฺคเณฺห นี่ ข่มหรือติ ข่มคนชั่ว ต้องทำ แล้วก็ยกคนดี ต้องทำ ไม่ใช่ท่าน ไม่ให้ทำ เพราะฉะนั้น ความเป็นกลาง ไม่ใช่ว่าติใครไม่ได้ ติได้ ติแล้ววิจารณ์ให้เห็นชั่ว เห็นดี ที่ชัดเจน จะได้กลัวชั่ว จะได้แหยงความชั่ว จะได้เกรงกลัว จะได้เกลียดชัง จะได้ เบื่อหน่าย และ โดยเฉพาะความชั่วมันมีอยู่ในเรา จะได้เบื่อหน่าย จะได้เบื่อหน่าย จะได้เกลียดชัง จะได้ไม่ปฏิบัติ จะได้ไม่ประพฤติ จะได้ล้างออกละออก จะได้เลิกความชั่ว นั้นๆ ไม่เช่นนั้น เราก็ไม่รู้ตัว เพราะว่าไม่เกิดญาณ ไม่เกิดปัญญา ไม่มีใครบอก ผู้รู้ก็ไม่บอก ก็เลยชินชา อยู่นั่นแหละ หนักเข้าก็เลยสอนกันแต่ว่าให้ชมกัน พูดแต่ดี ชั่วไม่พูด ชั่วไม่ติ ติใครไม่ได้ เพราะตัวเองไม่กล้า

คนที่ไม่ติคนอื่นนั้นมีอยู่๒ ประเด็นง่ายๆ คือ ๑.โง่ ไม่รู้ว่าเขาชั่ว เลยไม่รู้จะไปติยังไง นั่นโง่ ไม่รู้ว่าเขาชั่ว ๒.ไม่กล้า

มันมี ๒ ประเด็นง่ายๆ คนที่ไม่ติคนอื่นนี่ โง่กับไม่กล้า โง่นั่นก็แน่ๆ อยู่แล้ว จะไปติเขา ได้ยังไง มันไม่รู้ว่า เขาชั่วสอง แม้รู้ว่าเขาชั่วแต่ไม่กล้า เพราะกลัวจะเสียลาภ เพราะกลัว จะเสียยศ เพราะกลัวจะเสียสรรเสริญ เพราะกลัวเขาจะมาทำร้าย เพราะกลัวอะไรต่อ อะไร สารพัดที่จะกลัวละ เป็นภยาคติ มีความลำเอียงชนิดหนึ่งอยู่ในใจ จึงไม่กล้าติใคร แล้วมาทำโมเมคุยว่าคนดีเขาไม่ไปติใครหรอกโธ่ ที่จริงน่ะดียังไม่สมบูรณ์ คนดีสมบูรณ์ ต้องติคน แล้วดีสมบูรณ์แล้วจะต้องรู้ด้วยว่า มีการประมาณ เป็นสัตบุรุษ ประมาณว่า จะติ ขนาดไหน ติมากๆ ไปติเอาคนชั่ว คนชั่วนี่แหละมันทำร้ายได้ มันทำร้ายแรงเลวร้ายได้ รุนแรงได้ คนชั่วนี่แหละมันทำได้ เพราะฉะนั้น ไปติไม่รู้จักบันยะบันยัง ไม่รู้จักขนาด ไม่รู้จักประมาณ ติไม่รู้กาลเทศะ ติเกิน ติมากไปก็ไม่รู้ตัว โดนๆ ตายมาเยอะแล้ว เพราะคนชั่ว มันเอาตายจริงๆ นะ มันเอา เรียกว่า เอาเรียบร้อย เรียกว่า ทำร้ายกัน อย่างร้ายๆ ได้ คนชั่ว

ไปติคนดีไม่เท่าไหร่หรอก มาติสมณะโพธิรักษ์ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่หรอก เพราะสมณะโพธิรักษ์ กัดก็ไม่เป็น จะไปทำร้ายทำลายอะไรก็ไม่เป็น ด่าหยาบๆ คายๆ ก็ไม่เป็น

ด่าหยาบๆคายๆ เท่าที่เขาด่ากันนี่นะ โอ้โห (พ่อท่านหัวเราะ) เพียงแต่เคยได้ยินไดัฟังมา อัดเทปมาฟังนะ (พ่อท่านหัวเราะ) ขนาดถึงอะไรล่ะนั่น ลองพูดบ้างก็ได้นะ ทั้งเหี้ยทั้งโหง อะไรเขาก็พูดกันนั่น หยาบๆคายๆ ต่างๆ นานาสารพัด ทั้งใส่ไคล้ ทั้งส่อเสียด ทั้งหาความ อะไรต่ออะไร ไม่มีข้อมูลที่จริงอะไรเขาก็ว่ากันไปได้ ไอ้เราก็พูดไม่ออก หยาบก็พูดไม่ออก ไม่ใช่ไม่จริงอะไรไปใส่ไคล้ใส่ความอะไรเกินการนัก เราก็พูดไม่เป็น พูดไม่ออก เพราะฉะนั้น คนดีไม่ได้ทำร้ายอะไรเท่าไหร่หรอก

แต่คนที่ร้ายหรือคนที่ชั่วนี่แหละ ไปยั่วเขาให้โกรธ ไปติเตียนเขาโดยไม่ประมาณ ระวัง ให้ดีเถอะ โดยเฉพาะอยู่ในชาวอโศกด้วยกันนี่ พวกเรานี่ประมาณไม่เป็น แล้วก็เป็นนักติ ชอบติ ไปติคนอื่นเขาผิดๆไปติคนอื่นเขาแรงๆจนกระทั่งเขาโกรธเอาแล้ว ไม่ใช่คนเดียว แต่คุณที่เป็นคนไปตินะ อาตมาก็จะต้องหาบังเกอร์ด้วยนะ อาตมาก็โดนด้วยนะ เพราะว่า ไปตินี่ เขาก็ถือเป็นพวกเลยนะคนเดียวนะนี่ ไอ้พวกนี้พวกชาวอโศก มันมาติมาด่า งั้นนะ ทีนี้เขายกพวกมา เขาไม่เอาคนเดียวนะ เพื่อนฝูงกันพลอยด้วย เรียกว่าชักศึกเข้าบ้าน ระวังเถอะระวัง การติเตียนกันนั้นพาเจริญ แต่การติเตียนนั้นก็พาให้เราลำบาก ได้เหมือนกัน ต้องประมาณนะ การติเตียนต้องใคร่ครวญ สืบสวนให้รอบคอบ แล้วก็ ประมาณให้ดี ใช้สัตบุรุษหรือใช้สัปปุริสธรรม ๗ ประการการจริง ๆ นะ

เอ้า ลองอ่านสูตร อีกสูตรหนึ่ง ขตสูตร ที่ ๒ ก็อันเดียวกันละ เกี่ยวกับเป็น พาลและบัณฑิต เพราะปฎิบัติต่อคน๔ จำพวก ขยายไปอีกหนึ่ง เป็นพาลและบัณฑิต เพราะปฏิบัติต่อคน ๔ จำพวก นะ [เล่ม ๒๑ ข้อ ๔]

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ปฏิบัติผิดในบุคคล ๔ จำพวกเป็นคนพาล ไม่ฉลาด ไม่ใช่ สัตบุรุษ ย่อมบริหารตนให้ปราศจากคุณสมบัติ เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ ทั้งนักปราชญ์ ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก บุคคล ๔ จำพวก ใครบ้าง [พาลหรือ บัณฑิตนี่ เพราะว่าปฏิบัติต่อคน ๔ จำพวก มันผิด เพราะฉะนั้น จะเป็นพาล หรือ เป็นบัณฑิต ก็ต้องปฏิบัติถูกต่อคน ๔ จำพวกนี้ คนสี่จำพวกมีใครบ้าง ] คือมารดา ๑ บิดา ๑ พระตถาคต ๑ สาวกของพระตถาคต ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ปฏิบัติผิดในบุคคล ๔ จำพวกนี้แลเป็นคนพาล ไม่ฉลาด ไม่ใช่ สัตบุรุษ ย่อมบริหารตนให้ปราศจากคุณสมบัติ เป็นผู้ประกอบด้วยโทษ ทั้งนักปราชญ์ ติเตียน และย่อมประสบกรรมมิใช่บุญเป็นอันมาก

ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ปฏิบัติชอบในบุคคล ๔ จำพวก เป็นบัณฑิต ฉลาด เป็นสัตบุรุษ ย่อมบริหารตน ไม่ให้เสื่อมเสีย เป็นผู้ไม่มีโทษทั้งนักปราชญ์ก็สรรเสริญ และย่อมประสบ บุญเป็นอันมาก บุคคล ๔ จำพวกใครบ้าง ก็คือ มารดา ๑ บิดา ๑ พระตถาคต ๑ สาวก ของพระตถาคต ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลายบุคคลผู้ปฏิบัติชอบในบุคคล ๔ จำพวกนี้แล เป็นบัณฑิต ฉลาด เป็นสัตบุรุษ ย่อมบริหารตนไม่ให้เสื่อมเสีย เป็นผู้ไม่มีโทษ ทั้งนักปราชญ์ก็สรรเสริญ และย่อมประสบบุญเป็นอันมาก

[แล้วก็ทีนี้ก็มีคาถาบอกว่า] นรชนใดปฏิบัติผิดในมารดาบิดา พระตถาคตสัมมา สัมพุทธเจ้า หรือในสาวกของพระตถาคต นรชนเช่นนั้นย่อม ประสบกรรมมิใช่บุญ เป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลายย่อมติเตียนนรชนนั้น ในโลกนี้ทีเดียว เพราะเหตุที่ ไม่ประพฤติธรรม ในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมไปสู่อบาย ส่วนนรชนใด ปฏิบัติชอบในมารดาบิดา ในพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในสาวกของ พระตถาคต นรชนเช่นนั้น ย่อมประสบบุญเป็นอันมาก บัณฑิตทั้งหลาย ย่อมสรรเสริญนรชนนั้น ในโลกนี้ทีเดียว เพราะเหตุที่ประพฤติธรรมในมารดาบิดา และเขาละโลกนี้ไปแล้ว ย่อมบันเทิงในสวรรค์

ก็ละเอียดขึ้นไปอีก ว่านอกจากจะเป็นคนที่เป็นพาลหรือเป็นบัณฑิต ว่าไม่รู้จักแง่เชิง ของการควรสรรเสริญ และไม่ควรสรรเสริญ หรือว่าบุคคลที่อยู่ในฐานะที่ควรเลื่อมใส หรือ ไม่ควรเลื่อมใส อยู่ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส กับฐานะที่ควรเลื่อมใส มีประเด็นอยู่อย่างนั้น บุคคลควรสรรเสริญ ก็ต้องพยายามให้สอดคล้อง บุคคลไม่ควรสรรเสริญก็พยายาม ให้สอดคล้อง ไม่ควรสรรเสริญแล้วก็อย่าไปก่อให้เกิด การไปสรรเสริญ กับคนไม่ควร สรรเสริญ หรือในฐานะที่ควรเลื่อมใส กับคนที่อยู่ในฐานะที่ไม่ควรเลื่อมใส เราไปทำ ให้เกิด เสื่อมความเลื่อมใส ไม่เชิดชูสิ่งที่ควรส่งเสริมความเลื่อมใส มันก็อยู่ในฐานะ ที่ไม่เจริญ ได้พูดไปแล้ว ก็เกี่ยวกับปัญญานะ พาลกับบัณฑิตนี่เกี่ยวกับปัญญาที่ต้องรู้จริง เห็นจริง ว่าใครควรสรรเสริญ แล้วใครคือผู้อยู่ในฐานะควรเลื่อมใส ไม่ควรเลื่อมใส

ทีนี้ต่อมา แล้วก็ต้องปฏิบัติกันคน ๔ คนที่ว่านี้ การปฏิบัติผิดกับการปฏิบัติชอบ กับมารดา บิดา หรือว่า พระตถาคตพระพุทธเจ้า หรือว่า สาวกของพระตถาคต เราจะปฏิบัติอย่างไร นี่ในรายละเอียด ท่านไม่ได้บอกไว้หรอกในนี้ แต่ว่าเราก็ควรจะเข้าใจโดยปฏิภาณ ปัญญา ต้องศึกษา มารดาบิดา โดยตรงๆ ง่ายๆ นี่ก็คือพ่อแม่ที่เป็นธรรมดาๆนี่เราก็ต้องรู้ว่า มารดา บิดามีคุณ อย่างน้อยที่สุดก็ท่านให้กำเนิดเรา จากร่างกาย บางคนไม่ได้เลี้ยง อย่างคนที่ ร่ำๆ รวยๆ นี่ไม่ค่อยได้เลี้ยงลูกหรอก พ่อก็ดีแม่ก็ดี จ้างคนใช้ จ้างคนเลี้ยง มีคนเลี้ยง ต่างหาก ยิ่งรวยเท่าไหร่ก็ยิ่งมีคนเลี้ยงมาก พ่อแม่แทบจะไม่ต้องไปดูแลอะไรเลย ไม่ต้อง รับผิดชอบอะไรเลย เจอหน้า ก็มา มากอด มาจูบลูบคลำว่าเป็นลูกเรา เสร็จแล้ว อะไรอี๊ อะไรแอ๊ นิดหน่อย ไปเลย ให้คนเลี้ยงรับไป เยี่ยวปี๊ดเอาไปเลย จะหิว จะขี้จะเยี่ยว จะกิน จะอยู่ จะป่วย จะเจ็บ จะหกล้ม จะเดินลุก จะไปจะมาจะอะไรต่ออะไร ก็ปล่อยเขาเลี้ยง ไปเลย ตัวเองไม่ได้เลี้ยงอะไรหรอก ใช้แต่เงินจ้าง หรือแม้ไม่มีเงินจ้าง ก็มีอำนาจให้คนอื่น เขามาช่วยเลี้ยง ตัวเองไม่ต้องเลี้ยง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม เขาก็เป็นพ่อเป็นแม่ ต้องอุ้มท้อง ต้องก่อเกิด ต้องอะไรต่ออะไร ถ้าจะต้อง เป็นพ่อเป็นแม่ มีได้คนเดียว พ่อแม่อย่างนั้นน่ะ มีได้คนคู่เดียว พ่อคนหนึ่ง แม่คนหนึ่ง จะไปปลอมไปแปลงมาไม่ได้หรอก อันนี้ก็เป็นเรื่องของตัวจำนน ที่จะต้อง ยอมรับว่า เราก็จะต้องปฏิบัติ แม้ไม่ได้เลี้ยงดู อย่าว่าแต่ไม่ได้เลี้ยงดูเลย บางทีเขาหาว่า พ่อแม่นี่ อย่างหนังจีนนี่มีเยอะ พ่อแม่ไม่เลี้ยงดูลูก โกรธๆๆ นะ

พ่อแม่นอกจากไม่เลี้ยงดูแล้ว ทำอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ประเภทที่บางทีก็จะร้ายๆ โหดๆ ด้วยซ้ำไปนะ บางทีจะเอาไปปล่อย ไปทิ้งไปฆ่า หรือว่าทำทารุณกรรมกับลูกๆ เต้าๆ อะไร อยู่ด้วยซ้ำ ก็เถอะ เขาก็เป็นพ่อเป็นแม่นะเรา นี่เป็นวิบากของเรา เราเกิดมานี่ได้พ่อได้แม่ อย่างนั้น นี่มันเป็นเรื่องของวิบากจริงๆ นะ เลือกเกิดไม่ได้เลยนะการเกิดนี่ การเกิดนี่ เข้าท้องพ่อท้องแม่ ไหนเป็นพ่อ เชื้อของพ่อ แล้วก็มีแม่ คนไหนเป็นแม่นี่นะ มันเลือกไม่ได้ จริงๆ มันเป็นกรรมเป็นวิบากจริงๆเลย เลือกไม่ได้ เพราะฉะนั้น จะปฏิเสธว่านี่ไม่ใช่พ่อ ไม่ใช่แม่ จะร้ายจะเลวยังไง ก็เป็นวิบากของเรา พ่อแม่จะเป็นคนร้ายขนาดไหน ก็ต้องยอม จำยอมจำนน ต้องยอมรับ เพราะฉะนั้น อันนี้ก็ต้องทำคุณ ถ้าเราทำคุณ แล้วเราทำสิ่งที่ดี เข้าใจที่จะปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบต่อพ่อแม่ จะเลวจะร้ายยังไงก็ตาม มันจะเป็นการ แก้กรรมวิบากได้ แก้กรรมวิบากได้ เราก็พยายามที่จะให้พ่อแม่

ถ้าเผื่อว่าผู้ใด ฉลาดสามารถที่จะช่วยพ่อแม่ อย่าว่าแต่แก้กรรมวิบากโดยที่เรียกว่า ตอบแทนพ่อ แม้ด้วยเงินทอง ข้าวของ เลี้ยงดู ช่วยเหลือเกื้อกูล เจ็บป่วยมีทุกข์มีร้อน อะไร ต่อ อะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูล ไอ้นั่นเป็นธรรมดาสามัญ

ถ้าสูงขึ้นไปแล้วช่วยพ่อแม่ให้เปลี่ยนจิตวิญญาณ เป็นผู้ที่เกิดศรัทธา เกิดศีล เกิดจาคะ เกิดปัญญา ดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ ไม่รู้สูตรอะไรนะ อาตมาก็จำไม่ได้แล้ว สูตรนั้น ก็คงพอจะเข้าใจ เพราะว่า เราเคยเอามาพูดถึงบ่อยๆ ไป ที่ว่าพระพุทธเจ้า ที่ตรัส ไว้ว่า การทดแทนบุญุคุณพ่อแม่นี่ต่อให้มีทรัพย์ศฤงคารมากมาย สมัยพระพุทธเจ้า สมัยโน้น เขามีเป็นเจ้าของแผ่นดินกันจริงๆ นะ เป็นกษัตริย์นี่เป็นเจ้าของแผ่นดินแท้ๆ เลย เป็นเจ้าแผ่นดิน จริงๆ มีทรัพย์ศฤงคาร มีทรัพย์สมบัติ มีข้าทาสบริวาร มีคนในอาณัติเลย เป็นเจ้า เป็นนายคนเลยจริงๆ

แต่ให้หาให้พ่อให้แม่ได้ขนาดไหน ก็ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ตอบแทนบุญคุณ ได้ดีได้ทดแทน บุญคุณ พ่อแม่ที่ถูกทาง ไม่ใช่ที่ถูกทางหรอก ก็ถูกทางนะแต่ว่ามันยังไม่สมบูรณ์ จะหาให้บ้างก็ดี ก็พอสมควร แต่ถ้าหาให้มากๆ เกินไป พ่อแม่ก็แย่ลงไปอีกนะ อีกอันก็ต่อ เอามาแบกเลย ทีนี้ดูแลเลยนี่ ดูแลเรียกว่าอ้างไปให้ชัดกว่านี้อีกเลย ดูแลพ่อแม่ ชนิดเอาแบก

นี่ในพระไตรปิฎกฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ นะ ข้อ ๒๗๘

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวการกระทำตอบแทนไม่ได้ง่ายแก่ท่านทั้ง ๒ ท่านทั้ง ๒ คือใคร คือมารดา ๑ บิดา ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุตรพึงประคับประคองมารดาด้วยบ่าข้างหนึ่ง พึง ประคับประคอง บิดา ด้วยบ่าข้างหนึ่ง เขามีอายุ มีชีวิตอยู่ตลอดร้อยปี และเขาพึงปฏิบัติ ท่านทั้ง ๒ นั้น ด้วยการอบกลิ่น การนวด การให้อาบน้ำ และการดัด และท่านทั้ง ๒ นั้น พึงถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ บนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ

ท่านเปรียบเทียบให้ฟังเหมือนกับเอาพ่อแม่มาไว้บนบ่า แบกท่านอยู่ ว่าดูแลท่าน เหมือนกับ แบกไว้เลยทีเดียว เหมือนกับอุ้มลูกอุ้มหลานนี่แหละ แบกไว้เลย พึงปฏิบัติ กับท่านด้วยทุกอย่างเลย การอบกลิ่นการนวด การให้อาบน้ำ การดัดในท่านทั้งสองนี่ และ ท่านทั้งสองนั้นพึงถ่ายอุจจาระถ่ายปัสสาวะบนบ่าทั้งสองของเขานั่นแหละ คล้ายๆ กับว่า เอาแบกไว้บนบ่า แล้วท่านก็ขี้รดเยี่ยวรดบนบ่าเราอยู่นี่แหละ ไม่ได้ห่างได้เหินอะไรนะ เราทำอย่างใกล้ชิด ทำอย่างที่เรียกว่า ไม่รังเกียจรัง งอนอะไรเลย

ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย

โอ้โฮขนาดนี้เห็นมั้ย ท่านถึงยกค่าของการตอบแทนบุญคุณบิดามารดา ที่จริงเราอย่าไป เข้าใจเลยเถิดไปว่า อย่างนี้ไม่ใช่การตอบแทน ไม่ใช่นะ เป็นการตอบแทนเหมือนกัน แต่ว่า ค่าของการตอบแทนนี่ ยังไม่ยกค่าให้สูงสุด การกระทำอย่างนั้นยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทำแล้ว หรือตอบแทนแล้ว แต่มารดาบิดาเลย ฟังแล้วคล้ายๆ ว่ายังไม่ได้ตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ที่ควรเลย หรือว่ายังมีค่าสูงกว่านี้นะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุตรพึงสถาปนามารดาบิดาในราชสมบัติ อันเป็นอิศราธิปัตย์ (คือเป็นเจ้าใหญ่เหนือกว่าใครๆ นี่ เป็นกษัตริย์เป็นเจ้าใหญ่นี่ละนะ) ในแผ่นดินใหญ่ อันมี รัตน ๗ ประการมากหลายนี้ การกระทำกิจอย่างนั้น ยังไม่ชื่อว่าอันบุตรทำแล้ว หรือ ตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย

อันที่สองนี่ก็อย่างที่พูดไปแล้วเมื่อกี้นี้ว่า แม้เราจะหาบ้านหาเมืองให้พ่อ แม่ จนกระทั่ง พ่อแม่นี่ เป็นกษัตริย์ เป็นอิศราธิปัตย์ เป็นกษัตริย์ ได้ราชสมบัตินั่นแหละ ได้แผ่นดินมีรัตน ๗ ประการ รัตน ๗ ประการก็มี จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คหบดีแก้ว ปรินายกแก้ว ตั้ง ๗ แก้วนะ มีครบครันเลย มีอะไรพรั่งพร้อมสมบูรณ์ก็ตาม ก็ยังไม่ชื่อว่า อันบุตรทำแล้ว หรือตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาเลย

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามีอุปการะมาก บำรุงเลี้ยง แสดงโลกนี้แก่บุตร ทั้งหลาย ส่วนบุตรคนใดยังมารดาบิดาผู้ไม่มีศรัทธาให้สมาทานตั้งมั่น ในศรัทธาสัมปทา ในความถึงพร้อมแห่งศรัทธา ยังมารดาบิดาผู้ทุศีลให้สมาทานตั้งมั่น ในศีลสัมปทา ความถึงพร้อมแห่งศีล ยังมารดาบิดา ผู้มีความตระหนี่ให้สมาทานตั้งมั่น ในจาคสัมปทา ความถึงพร้อมแห่งการให้ทาน ยังมารดาบิดาทรามปัญญาให้สมาทาน ตั้งมั่นใน ปัญญาสัมปทา ในความถึงพร้อมแห่งปัญญา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุมีประมาณ เท่านี้แล การกระทำอย่างนั้น ย่อมชื่อว่า อันบุตรนั้น ทำแล้ว และทำตอบแทนแล้ว แก่มารดาบิดาฯ

สรุปแล้วก็คือมีอริยทรัพย์ ๔ ให้ถึงซึ่งศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เคยได้พูดกันมามากแล้ว แม้พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้นก็ตาม ท่านตรัสนัยนี่ฟังแล้ว แหม มันน่ากลัว บอกว่าขนาด หาบ้าน หาเมืองให้นะ หาทรัพย์ศฤงคารให้ ถึงขนาดให้พ่อแม่เป็นเจ้า เป็นอิศราธิปัตย์ หรือ เป็นผู้ครอบครองแผ่นดิน มีราชสมบัติถึงปานนั้น หาให้ได้ถึงขนาดนั้นนะ อย่าว่าแต่แค่เป็น คนร่ำรวย แค่เป็นเศรษฐี ที่จริงเป็นกฎุมพี เป็นกฎุมพีอย่างสมมุติทุกวันนี้ เป็นคนร่ำรวย ในประเทศ เป็นคนที่มีอำนาจในประเทศเป็นอิศราธิปัตย์มีราชสมบัติ ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็ท่านตรัส นี่ มันก็เป็นเรื่องของสมัยโน้น

เพราะสมัยโน้น มันสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่มีใครใหญ่เท่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือกษัตริย์ หรอก ต่อให้พ่อแม่เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ได้แย่งชิงแผ่นดินที่ไหนก็ตาม ให้พ่อแม่ได้ครอง ถึงปานนั้น ก็ยังไม่เทียบเท่าที่จะให้ได้เกิดศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญานะ เพราะฉะนั้น ผู้ใดปฏิบัติบิดามารดาอย่างดีได้สูงขึ้นๆ จะประคบประหงมเลี้ยงดูนะ พยายามที่จะดูแล เฝ้าพัดเฝ้าวี เฝ้าบีบเฝ้านวด ให้ได้อยู่ได้กิน ได้รับสัมผัส รูปรสกลิ่น เสียง สัมผัส ได้อยู่ เป็นสุขสมบูรณ์ นั่นอย่างหนึ่ง พยายามเลยนะ ใกล้ชิดจริงๆ ก็ควรทำใช่มั้ย แต่ว่าถ้าฟัง พระพุทธเจ้าท่านตรัสในนั้นแล้ว คล้ายๆ กับว่า นี่ก็ยังไม่ชื่อว่าเป็นอันทำแล้ว ฟังแล้วก็ คล้ายๆ กับว่า ไม่ต้องทำที่จริงทำนะ ฟังให้ชัดๆ ที่จริงควรทำ ถ้าเป็นโอกาส เป็นวาระที่ ควรทำ ทำก่อน เพราะว่าอันนั้นน่ะมันเป็นพื้นฐานตื้นๆ เป็นพื้นฐานในการที่จะให้ พ่อแม่ได้ ทรัพย์ศฤงคาร ให้ทรัพย์สินเงินทองใช้สอย หรือว่าได้มีลาภ มียศก็ตาม หรือให้พ่อแม่ ได้บันเทิง ด้วยสิ่งที่ใกล้ชิด สัมผัสแตะต้องด้วยรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่กันอย่าง เราดูแลใกล้ชิด ประคบประหงมดูแลท่านก็ตาม ก็ต้องรู้สึกรู้ซึ้งด้วยว่า พระพุทธเจ้า ตรัสนี่ ท่านตรัสกับภิกษุ ภิกษุนี่ไม่ใช่ฐานะจะไปบีบคั้น จะไปนวดเฟ้น จะไปให้กามแก่พ่อ แม่แล้ว ภิกษุนี่นะ นี่ท่านตรัสกับภิกษุ เพราะฉะนั้น ท่านถึงตรัสแข็งๆ เป็นสำนวนแข็งๆ เป็นสำนวน ฟังแล้วก็เข้าใจผิดได้

ถ้าเผื่อว่าฆราวาสฟังแล้วก็กลายเป็นฆราวาสไม่ดูแลพ่อแม่ ก็ยุ่งกันใหญ่เลย ส่วนสมณะ หรือ ภิกษุนี้เป็นผู้ที่มีญาติปริวัตตังปหายะ เป็นผู้ที่ ไม่มีญาติโกโยติกาแล้ว ตัดมาแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปดูแลพ่อแม่ อย่างนั้นทีเดียว นี่ความหมายไม่ถึงกับ เข้าไปประคบประหงม บีบคั้น ให้เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ทำอะไรถึงขนาดนั้นทีเดียว ถ้าเผื่อว่า เป็นไปได้แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ แต่ถ้าจำเป็น ก็ยกไว้นะพ่อแม่

พระพุทธเจ้าเองก็ยังไปดูแลรักษาสมเด็จพระราชบิดา พระพุทธเจ้าก็ยังต้องไปทำบ้างนะ ต้องไปทำขนาดนั้นนะพระพุทธเจ้า ทั้งๆ ที่ไม่ทำก็มีข้าราชบริพารทำอยู่แล้ว แต่พระพุทธเจ้า ก็ยังไปทำบ้าง เพราะฉะนั้น เราอย่าไปเข้าใจ สุดโต่งไปจนกระทั่ง ตัดไม่เหลือเยื่อ เหลือใย ไม่เป็นอะไรกันมากเกินไปนัก แต่โดยหลักการแล้วละก็ ผู้เป็นภิกษุ นี่พ้นฐานะแล้ว ไม่ต้องไปหาเงินหาทองให้พ่อแม่ ไม่ต้องไปหาสมบัติราชสมบัติ อะไรให้พ่อแม่หรอก ไม่ต้องไปประคบประหงม ไม่ต้องไปแบกไปหาม ไม่ต้องไปเช็ดขี้ เช็ดเยี่ยว ที่ว่านั่น เพราะญาติปริวัตตังปหายะแล้ว เพราะฉะนั้น ที่เป็นนะ มันซับซ้อน อย่างที่เราเป็นนี่ พ่อแม่ของพระที่จริงโดยหลักการแล้ว พระไม่ควรไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ใครล่ะ คนมีบุญคุณที่สืบทอดกันซิ ควรไปช่วยเหลือ ฆราวาสที่ถือว่ามาเป็นลูก มันเป็น ความซับซ้อนนะ ไม่ใช่ลูกโดยสายเลือด แต่มาเป็นลูกโดยโอปปาติกโยนิ โดยธรรม โดยทางวิญญาณ อย่างนี้น่ะนะ

อาตมาบอกแล้วว่าพ่อแม่ทางจิตวิญญาณ ที่จริงกว่าสูงกว่า อาตมาพูดนะ จริงกว่าสูงกว่า พ่อแม่ทางโลกอย่างนี้น่ะนะมันไม่ยาวนานเท่าไหร่หรอก เป็นพ่อแม่ทางโลก ทางสายเลือด นี่ชาติเดียว พ่อแม่นี่ชาติเดียวเท่านั้น ตายจากกันแล้วมันก็ ไม่ใช่พ่อแม่ต่อไป ไม่ได้มีเชื้อ พ่อแม่ต่อไปหรอก ชาติหน้าก็เป็นพ่อแม่คนใหม่คู่ใหม่ แต่ทางจิตวิญญาณนี่ เป็นพ่อแม่ หลายชาติ ต่อเชื้อนะ เชื้อที่ได้ไว้นี่เชื้อพุทธนี่นะ ให้เกิดเชื้อพุทธนี่ ยังไปอีกหลายชาติ เป็นร้อย เป็นพันชาติเลยนะ เป็นพ่อแม่ยาวนานกว่าทางโลกนะ ฟังให้ดี ถ้าฟังเป็น ฟังออก ฟังเข้าใจ แล้วจะรู้ว่าพ่อที่แท้นี่อะไรกันแน่

พวกคุณมาเรียกอาตมาพ่อนี่ ถ้าอาตมาจะพูดอจินไตยให้ฟังแล้ว คุณไม่ได้มาเรียก อาตมา พ่อชาตินี้ชาติเดียวหรอก ทั้งๆ ที่อาตมาไม่ได้เป็นสายเลือด ไม่ได้ให้คุณก่อเกิด ถึงให้สายเลือดก่อเกิด อาตมาก็มีลูกเป็นร้อยเป็นพันอย่างนี้ไม่ได้หรอก ตายพอดี มันจะ ไปเอาเรี่ยว เอาแรงที่ไหนมาเป็น (พ่อท่านหัวเราะ) ก่อเกิดทางสายเลือดได้ ลูกเป็น ร้อยๆ พันๆ อย่างนี้ ไม่ได้ แต่ทางธรรมได้ ลูกแบบโพธิสัตว์นี่ มีลูกจำนวนพัน เป็นเอนกได้ ลูกทางนี้ จึงเป็นลูกที่ลึกซึ้ง อาตมาอธิบายพวกนี้ให้ฟังหน่อยหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อเรา เป็นพระ ผู้เป็นพระมาสอนให้พวกเราได้ก่อเกิดทางวิญญาณ คุณจะเป็นลูกทางวิญญาณ ด้วยนะ พ่อของภิกษุ ก็เหมือนพ่อของเรา ที่เราจะต้องเลี้ยงพ่อของภิกษุด้วย ทำไม หัวเราะอะไร เมื่อกี้นี้คือภิกษุนี่ ได้สอนพวกเราใช่มั้ย เหมือนกับเป็นพ่อได้ถ่ายทอด ทางวิญญาณ เสร็จแล้วภิกษุนี่บอกแล้วว่า ญาติปริวัตตัง ไม่มีหน้าที่ไปแบกหามพ่อแม่ ไปเลี้ยงดู ไปเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวแล้ว

แต่ฆราวาสนี่ไม่มีกฎหลักอันนี้หรอก ไม่ใช่ญาติปริวัตตัง ควรจะเป็นลูกเป็นหลาน ที่ไป เลี้ยงพ่อของพ่อ เหมือนพ่อของพ่อของเราด้วยเหมือนกัน นี่มันซ้อนอย่างนี้ ซ้อนเชิงซ้อนลึก เพราะฉะนั้น การที่จะไปช่วยเหลือนี่ อาตมาไม่ได้พูดเข้าข้างว่า พูดเพื่อประเล้าประโลม ให้พวกญาติโยมมาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่พวกภิกษุ ที่จริงพ่อแม่อาตมาไม่มีแล้วละ ตายไป หมดแล้ว แล้วก็มาเลี้ยงดูพ่อแม่ของภิกษุ ก็ไม่ใช่นะ แต่อาตมาอธิบายสัจจะให้ฟัง ส่วนน้ำใจใคร หรือว่าใครจะมองเห็น ใครจะมองออก จะเอาภาระด้วย มันก็เป็น ความถูกต้อง เพราะฉะนั้น อย่างนี้ละ ฐานะที่เราจะต้องเป็นคนที่เป็นบัณฑิต ที่จะต้อง เข้าใจว่า เอ๊ เราจะต้องปฏิบัติชอบกับพ่อแม่ขนาดไหน แล้วมันมีความซับซ้อนอย่างที่ว่านี้ เราจะไปเข้าใจผิดว่า เป็นภิกษุแล้ว เป็นสมณะแล้ว เป็นญาติปริวัตตังปหายะแล้ว แม่เราไม่ต้องไปประคบประหงมแล้ว ก็ในคำตรัสอย่างที่ว่านี่ ในสูตรที่ว่านี่ พระพุทธเจ้า บอก อย่าไปเที่ยวได้มัวประคบประหงมอบร่ำอะไร กลิ่นอะไรอยู่เลย แม้จะมาแบกอยู่ บนบ่า ให้ขี้รดเยี่ยวรด หรือแม้จะหาราชสมบัติ จนกระทั่งพ่อแม่ได้เป็นอิศราธิปัตย์ ของแผ่นดิน ถึงขนาดนั้น ก็ยังไม่ชื่อว่าได้กระทำแล้วในการตอบแทนบุญคุณ ยังไม่ได้ถือว่า ด้วยซ้ำ ต้องให้ได้ศรัทธา ให้ได้ศีล ให้ได้จาคะ เพราะเราเป็นภิกษุแล้วนี่นา จะต้องเข้าใจ ศรัทธา เข้าใจศีล เข้าใจจาคะ เข้าใจปัญญา อันนี้ต่างหากล่ะ เป็นหน้าที่ของพระที่จะต้อง ตอบแทนบุญคุณ

แต่ฆราวาสน่ะตอบแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็ต้องตอบแทนอย่างนี้น่ะ ได้แค่นั้นฐานะ ได้แค่ อบร่ำ ได้ให้กินให้อยู่ เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว อะไรด้วย หรือจะหาทรัพย์ศฤงคารอะไรให้พ่อให้แม่ใช้ ให้เป็นอยู่ดี ก็ฆราวาสก็ในฐานะนั้นถูกต้อง แต่ถ้าฆราวาสที่มีภูมิปัญญา ให้ทรัพย์ที่เป็น อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์ในระดับให้ท่านศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้ท่านมีศีล ให้ท่านจาคะ ให้ท่านมีปัญญาทางธรรมที่วิเศษขึ้นไปอีก เป็นโลกุตตระปัญญา เลยขึ้นไปได้ มันก็ยิ่งดี ถ้าคุณเป็นฆราวาสสามารถก็ยิ่งวิเศษ แต่ไม่ใช่ ฐานะตรงทีเดียว เพราะฉะนั้น ฆราวาสเองอย่าปล่อยปละละเลยบิดามารดา แม้จะต้องดูแล เลี้ยงดู รับผิดชอบในฐานะฆราวาส

ฟังเข้าใจนะ อาตมาว่าอาตมาอธิบายชัดแล้วนะ แบ่งตอนแบ่งขั้นอะไร ให้ฟังอยู่แล้วนะ ทีนี้พวกเรานี่แหละ ถ้าเผื่อว่ายังไม่ได้เข้าใจอย่างนี้ มันก็ไม่ค่อยช่วยกัน เอาไปเอามาก็เลย ไม่เข้าเรื่องเข้าราวเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น อันนี้ให้เล่าเรียนศึกษาลึกซึ้งขึ้น อาตมาเอง อาตมาพยายามจะให้พวกเราดู พ่อแม่ของสมณะ ทางบ้านเขาก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรกัน แล้วไปลงโทษ ก็ไม่ค่อยดี บางคนนี่นะ สมณะ มาบวชแล้วนี่นะ พ่อแม่ของสมณะบางคนนี่ มีลูกตั้งหลายคน ลูกบางคนร่ำรวยด้วย แต่ไม่ค่อยอยากเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ไม่ค่อยอยาก ดูแลพ่อแม่ แม้กระทั่งเจ็บป่วยแล้วก็ไม่อยากดูแล ยัดเยียดให้พระเอามาดูแลก็มี มันแย่ ถึงขนาดนี้ เอา มันจะเป็นอย่างนั้นก็เอา พวกเราก็เอามาใช้สิ่งนั้นน่ะ เป็นเหตุปัจจัย เพื่อที่จะได้ มาฝีกมาหัด มาทำกันเสียให้มันลึกซึ้ง เขาไม่ทำ เขามันไม่ไหวแล้ว น้ำจิตน้ำใจ เขาแย่ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ภาระ

ท่าน...นี่ ดูซิ มีน้องชายก็ไม่เอาถ่าน ไม่ดูแลพ่อ อย่างนี้ เป็นต้น มีน้องสาวก็เอาบ้าง น้องสาว ยังพอช่วยพ่อยังไม่ค่อยเท่าไหร่ จนต้องมาแบก มาหาม ต้องไปดูแลเอง แบกมาไว้ ทางวัดเลย อยู่กับทางนี้ มาดูแล อันนี้ก็จำเป็น มันเป็นในยุค ที่เราเอง จะต้องตั้งรกตั้งราก จะต้องปลูกฝังวัฒนธรรม หรือปลูกฝังสิ่งที่ดีงาม คุณธรรม ที่ดีงาม การปฏิบัติที่ชอบธรรม โดยจริงเข้าใจแล้วนะว่า ที่จริงไม่ใช่หน้าที่ ท่าน... จะต้องไป เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว จะต้องไปแบก ไปหามอะไร เพราะฉะนั้น อาตมาอธิบายไปแล้ว เมื่อกี้ว่า ถ้าเผื่อว่า เราเข้าใจ ฆราวาส เราก็ดี เห็นอย่างนี้อย่า ปล่อยปละ ละเลย ควรจะมีน้ำใจ ควรจะช่วยกันเอาภาระ ให้ท่าน... มาทำงาน

อาตมาว่า ท่านทำงาน ส่วนที่แค่เลี้ยงแม่นี่ มันเป็นงาน ที่พวกเรารับผิดชอบหรือว่า ช่วยสอด ช่วยร่วมรับ ช่วยร่วมแบก ร่วมหามได้นะ ฆราวาส ก็หลายคน ท่านมาทำงาน ที่เป็นภูมิของ ผู้เป็นภิกษุ เป็นสมณะ ที่จะเป็นงาน ที่พวกเรา ยังภูมิไม่ถึงนะ บอกตรงๆ ยังภูมิไม่ถึง ยังไม่มีจิตวิญญาณที่ลึกซึ้ง ยังไม่มี จิตวิญญาณทางธรรม ต้องให้ผู้ที่ สูงจริงนี่ ท่านได้ถ่ายทอด หรือท่านได้สร้างอะไรไว้ ได้ทำงาน ทางด้านนี้ขึ้นมาให้ตรง ในฐานะ ของท่าน และได้ทำกิจนี้ได้มากขึ้น ไม่เช่นนั้น ก็ต้องเอาเวลาไปเสียกับไอ้โน้น มันผิดฐานะ ผิดหน้าที่ ผิดตำแหน่ง ผิดอะไรที่มันไม่ลึกซึ้ง นี่ก็ควรจะได้ทราบกัน สำหรับคนอย่าง พวกเรา คนอื่นเขาไม่ทราบ เขาผิดสลับซับซ้อน วุ่นวาย กันไปหมด แล้วก็เรื่องของเขา แต่เราเอง เราควรจะได้ให้มันถูกฐานะ ให้มันถูกตำแหน่งหน้าที่ ให้มันได้ดี เราก็พยายาม ฝึกปรือเข้า

อาตมามาพูดนี่ไม่ได้หมายความว่ามาบังคับนะ แต่ว่ามาพูดให้เข้าใจถึง สัจจะที่ลึกซึ้งขึ้น แล้วทำไป แล้วเราก็จะได้ถูกตำแหน่งหน้าที่ ต่อไปต่อมานี่จะมีพ่อแม่ของสมณะ มาที่นี่ ระวังนะ พวกเราแหละเอาแต่เมินๆ หมายๆ หนักๆ เข้า ประเดี๋ยวก็เลยไปกันใหญ่ แม้แต่ แค่อย่างนี้ อาตมาไม่โทษคนข้างนอกเขา ไม่โทษแม้แต่พี่น้องของพวกคุณ หรือพี่น้อง ของสมณะ เพราะว่าศาสนามันไม่มีฤทธิ์ มันไม่เข้าใจคุณธรรมพวกนี้ คนเหล่านั้น ก็ไดัรับ การอบรมมาจากพระ หรือว่าสมณะลูกศิษย์พระพุทธเจ้าในรุ่นก่อนๆ เขาก็ไม่ได้รับความรู้ แล้วเขาก็ไม่มาศรัทธาเรา บังคับเขามาศรัทธาเราไม่ได้ คุณมาศรัทธาก็ดีแล้ว หรือพระที่ มาบวชด้วยศรัทธา อาตมาก็ต้องสอน ต้องแนะนำให้มันเข้าทางที่มันถูกต้อง แม้แต่พี่ๆ น้องๆ บางผู้บางคนของสมณะ เขาไม่ได้ศรัทธาอาตมา แล้วเขาก็ไม่มาเป็นอย่างที่ อาตมา พาเป็น หนักเข้าก็โยนพ่อโยนแม่มาให้ อย่างที่ว่านี่ เราก็ต้องมาปลูกฝังกันเอาใหม่ เราจะไปโทษเขา ว่าเขาไม่ดูแลพ่อแม่ ไปโทษเขาก็ไม่ได้ดี เพราะบอกแล้วว่า พระรุ่นก่อนนี้ ไม่สอนไม่แนะนำ ไม่เอาภาระ เป็นฆราวาสเป็นหน้าที่ตรงก็ไม่เอา โยนมาให้พระ ซึ่งมันผิด เราจึงได้รับ วิบากอันนี้อยู่ จากพระรุ่นก่อนๆ สอนไม่ละเอียด สอนไม่ถูก สอนไม่ตรง ก็เลย เป็นกันอย่างนั้น แล้วมันเป็นไปมากๆ ด้วยเดี๋ยวนี้ในสังคม ต่างตัวใครตัวมัน วัฒนธรรม ไม่ค่อยดูแลเอาใจใส่เลี้ยงดูพ่อแม่ บิดามารดา ไปกันใหญ่นะ

เอาละเรื่องตถาคตกับสาวกของพระตถาคตนี้อีก ๒ บุคคล ก็บอกแล้วว่า ประกอบไปด้วย บุคคล ๔ มีใครบ้าง มารดา บิดา แล้วก็พระตถาคต แล้วก็สาวกของพระตถาคต เราก็พอ เข้าใจนะ เราก็ได้พูดกันมาก อันนี้อาตมาพูดถึง เรื่องพ่อแม่นี่มันมีภาวะจะต้องเข้าใจ ลึกซึ้งขึ้น ที่อธิบายไปแล้วนะ มันซับซ้อนอยู่

ทีนี้พระตถาคต ทุกวันนี้ก็ท่านก็ไม่อยู่แล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็จะต้อง เข้าใจว่า ถึงแม้ว่า ไม่อยู่โดยรูป ไม่อยู่ด้วยตัวตนบุคคลพระตถาคต แต่ก็อยู่โดยนาม อยู่ในนามธรรม อยู่ด้วยอรูป ที่เราก็รู้ว่า พระตถาคตมีพฤติกรรมอย่างไร มีองค์ประกอบอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา แม้ที่สุดจะเอาอะไรไม่ได้ ก็ยังว่ากันอยู่ว่า ยังมีพระบรมสารีริกธาตุอะไร อย่างนี้ เป็นต้น ก็นั่นเป็นส่วนหนึ่ง เป็นรูปธรรมของพระพุทธเจ้า หรือไม่มีเลย ก็ปั้นรูปเคารพขึ้นมา สมมุติว่าเป็นพระพุทธเจ้า นั่นก็เป็นแต่เพียงรูป แต่มันจะต้องควบไปด้วยกับนามธรรม คือ คุณธรรมเป็นพุทธธรรม คุณธรรมแท้ๆ ที่พระพุทธเจ้าท่านมีอย่างไร ต้องศึกษา ต้องให้ ถูกตรงนะ ให้สัมมาทิฏฐิ พระพุทธเจ้าเป็นคนชนิดใด มีคุณธรรมที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ อย่างไร คุณธรรมอย่างนั้นนั่นแหละ เราก็จะต้องเข้าใจให้ได้ว่า ถ้าคุณธรรมถูกต้องอย่างนี้ เราต้องอย่างนี้ เราต้องเลื่อมใสศรัทธา จะต้องเคารพนับถือ จะต้องปฏิบัติอย่างไรถึง จะเป็นเรื่องปฏิบัติชอบ กับลักษณะพุทธะ ซึ่งไม่มีตัวพระพุทธเจ้าแล้วอย่างที่ว่า แต่มัน มีอยู่ ไม่มีก็มีอยู่ คุณธรรมอย่างนั้น ลักษณะอย่างนั้น ถ้าอยากให้มี เราก็ปฏิบัติตัวเรา นี่แหละ ให้มีคุณธรรมอย่างพระพุทธเจ้าท่านมีขึ้นมาให้ได้ มันก็จะอยู่ในตัวบุคคล

แม้เราจะยังไม่ได้เต็ม เป็นสัพพัญญูอย่างพระพุทธเจ้า ไม่มีความวิเศษเท่าพระพุทธเจ้า ก็ตาม แต่เป็นรูปรอยคล้ายกัน จะได้มากเท่าไหร่ก็สั่งสมขึ้นมา ให้มันอยู่ในตัวตน ให้เขาเห็นให้ได้ สิ่งอย่างนั้นก็เป็นสิ่งแทน หรือเป็นสาวกพระตถาคต เพราะฉะนั้น ในส่วนที่เรียกว่า ยกไว้ว่า เป็นของตถาคต ไม่ว่าจะเป็นสิ่งสมมุติอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ต้อง รู้จักการปฏิบัติชอบ เคารพนับถือ เหมือนอย่างเขามาตู่เรา บอกว่าเราไม่เคารพ พระพุทธรูป เอ๊ ไม่เคยเป็นนะ ไม่เคารพพระพุทธรูปนี่เราไม่เคยเป็น แม้ว่าใหม่ๆแรกๆ แยกออกมานี่ เราก็ไม่เคยบอกว่าเราจะไม่กราบพระพุทธรูป ไม่กราบพระพุทธเจ้าไม่เคย เพราะฉะนั้น เราเองเราเคารพพระตถาคต แม้แต่สมมุติดังกล่าว จะเป็นพระบรม สารีริกธาตุ จะเป็นรูปปั้น รูปวาดอะไรก็แล้วแต่ สิ่งสมมุติที่เราเข้าใจ เราก็ทำสักการะ เคารพ ความนอบน้อม เป็นไปตามสมมุติพอควรพอเหมาะ มันก็ไม่แปลกอะไร จะทดแทน บุญคุณ

เมื่อกี้เราพูดถึงทดแทนบุญคุณมารดาบิดา ตอนนี้ทดแทนบุญคุณพระตถาคต ทดแทน บุญคุณสาวกของพระตถาคต เราก็ต้องทดแทนจริงๆ ทดแทน ตอนนี้ละมันตีกลับ คุณเป็น ฆราวาส เอาฆราวาสก่อน คุณจะทดแทนบุญคุณของพระตถาคต คุณจะไปให้ พระพุทธเจ้า เจริญด้วยศรัทธา เจริญด้วยศีล เจริญด้วยจาคะ เจริญด้วยปัญญา เป็นไง เป็นฐานะมั้ย ใช่ฐานะมั้ย ไม่ใช่ฐานะเลย เพราะฉะนั้น คุณก็จะต้องให้ข้าว ให้น้ำ

พระพุทธเจ้าท่านก็รู้แล้ว ไปประคบประหงมอะไรท่านมาก จะมานวดมาฟั่น ท่านก็ไม่เอา แล้วละ ท่านไม่มีเมถุนสังโยชน์ที่จะต้องชอบนวดชอบฟั่นอะไรแล้วละนะ หรือแม้พระสาวก ของพระตถาคตที่มีภูมิธรรม ก็เป็นผู้ที่ไม่ต้องไปประคบประหงมท่าน ด้วยข้าวน้ำ ทรัพย์ ศฤงคารอะไรนักหนา แต่คุณต้องให้นะ ถ้าคุณไม่ให้ข้าวให้น้ำแก่พระตถาคต พระตถาคต มีศีล มีวินัยแล้วว่าไม่สะสมข้าว ไม่สะสมน้ำรับประทานแล้ว ฉันแล้วคว่ำบาตร ข้าวเม็ด หนึ่ง ก็ไม่ให้เหลือ ไม่สะสมข้ามวันข้ามคืนข้ามเดือนอะ ไร ไม่ต้องไปข้ามดง ข้ามเดือน ข้ามคืนก็ไม่สะสมแล้ว เป็นผู้ไม่มีแล้ว กินแล้วก็คว่ำบาตร ฉันแล้วก็คว่ำบาตร คุณมา เลี้ยงไว้ทุกวัน มันเป็นวิธีการ เป็นนโยบายที่ลึกซึ้ง ทำไมเราไม่สะสม ไม่เก็บกักตุน จะไปกักตุนทำไม เป็นผู้ที่ว่างแล้ว เป็นผู้ที่จะต้องทำบุญด้วยกัน ต้องมีทายก มีปฏิคาหก ต้องมีการทำบุญร่วมกัน เพราะฉะนั้น หน้าที่ไปบิณฑบาตแต่เช้าทุกเช้านี่ เป็นหน้าที่ โดยปริยาย บังคับให้พระต้องไปพบกับฆราวาส การไปบิณฑบาตก็คือ ต้องไปพบกับ ฆราวาส ไม่ใช่ให้ไปอยู่แต่ป่า ขนาดบอกว่าไป ออกป่านี่นะ ท่านมีไว้ในวินัยด้วยนะ ว่าออกป่านี่ จะห่างจากหมู่บ้าน จนกระทั่งไม่สามารถบิณฑบาตได้ ไม่ได้นะ ผิด เพราะฉะนั้น ไกลประมาณกิโลสองกิโลอะไรนี่ พระจะต้องมาบิณฑบาตกับฆราวาส ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ จะต้องเกี่ยวข้องกัน

ไม่ใช่ว่าพระป่านี่ก็คือ แหม จะไปที ก็ต้องนั่งรถยนต์ไปกันไกลเกินไปไม่ใช่ บิณฑบาตนี่ ไม่มีรถยนต์นะ พระต้องมาบิณฑบาตเอง ไม่ใช่ให้แต่ฆราวาสนี่ขนข้าวขนของขนอาหารไป แล้วก็ไปต้มไปแกงกินอยู่ในป่า ไกล แล้วพระก็ไม่บิณฑบาตเลย นั่นเป็นพระที่ผิดแล้ว พระต้องบิณฑบาต คำสอนพระพุทธเจ้านี่ซับซ้อนลึกซึ้งมากเลย มีตัวโยงใย อาตมา บรรยายไว้ใน ศาสตร์และศิลป์ของบิณฑบาต ไปหมดแล้ว เรื่องพวกนี้ ไปบิณฑบาต สำคัญอย่างไร ถ้าการบิณฑบาตนี่เลือนหายไป เหมือนอย่างกับทางมหายาน นั่นคือ ศาสนาพุทธเสื่อมแล้ว ศาสนาพุทธมีบิณฑบาตเป็นพุทธประเพณี ท่านสอน เอาไว้ใน นิสสัย ๔ เลย ต้องเลี้ยงตัวด้วยปลีแข้ง ไม่ใช่ไปขึ้นรถยนต์มากิน ให้เขาเอามาถวาย ขนใส่รถยนต์ ใส่รถอะไรมา เทียมมา ไม่ใช่ เราต้องเลี้ยงตนด้วยปลีแข้ง พระต้องไปรับเขา เป็นปฏิคาหก ทายกเขาจะถวาย ไปพบไปปะ เป็นส่วน มีบุญคุณแก่กันและกันนะ ทายกมีบุญคุณแก่ปฏิคาหกแก่สมณะ สมณะก็จะต้องตอบแทนเขา ต้องพากเพียรปฏิบัติ ให้ได้คุณความรู้ เกิดศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ เกิดปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ เกิดคุณธรรมทั้งหมด เพื่อที่จะเอาไปเป็นทรัพย์ อริยทรัพย์ ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

นี่เป็นอริยทรัพย์ ที่จะเอาไปแจกคืน ตอบแทนให้แก่ญาติโยม เพราะเรากินข้าวญาติโยม เราก็ตอบแทนทรัพย์ที่วิเศษพวกนี้แก่เขา เราจึงจะกำไร มันซ้อนนะ ถ้าพระที่พวกคุณ เอาข้าว เอาน้ำมาเลี้ยงดูไว้แล้ว พระก็เลยจะตอบแทนคุณก็คือ ให้คุณยิ่งรวยลาภ รวยยศ รดน้ำมูก น้ำมนต์ให้คุณขี้โลภจัดขึ้น นั่นพระตอบแทนผิดทางแล้ว พระจะต้องพยายาม ที่จะให้ คุณขยันหมั่นเพียร สร้างสรรสิ่งที่ดี ลดความโลภความโกรธ ไม่สะสม ไม่กอบโกย อะไรอย่างที่มันซ้อนเชิง ที่อาตมาพาพวกเราทำอยู่ในระบบบุญนิยมนี้ อันนี้มันลึกซึ้ง ซับซ้อน แม้แต่จะเป็นฆราวาสก็ตาม ก็เป็นอริยะขึ้นมา เป็นโลกุตตรบุคคลได้ โดยสุดท้าย ก็จะอยู่กันอย่างสังคมที่มีระบบสมบูรณ์นะ เพราะฉะนั้น การทดแทนบุญคุณของ พระตถาคต หรือต้องเน้นลงไปที่พระตถาคตนี่ หรือพระ หรือภิกษุสมณะนี่ จะตอบแทน บุญคุณนี่ จะต้องรู้จริงๆเลย เหลี่ยมมุมมันที่จะต้องสอดซ้อน แม้ที่จริงจะเอาภาระ อย่างที่ อาตมาพูดขึ้นมาตอนต้นแล้วว่า พ่อแม่ของพระนี่นะ ฆราวาสควรจะดูแลช่วยไปอีก ทอดหนึ่ง ให้ได้ให้ดีนะ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็จะตกเป็นภาระของพระเกินไป ท่านก็ไม่มี เวลา ที่จะไปศึกษา หรือว่าไปทำกิจที่มันเป็นกิจสมณะ สูงกว่านั้น ถ้าเราทำอย่างนี้ได้อยู่ มันจะเกิด ภาวะสัมพันธ์ เป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้ง ของมนุษย์ที่มีระบบมีแบบอย่าง มีวิธีการ ที่ดีทีเดียว

ก่อนนี้นี่หลายอย่างเลยรักษาไข้ ที่จริงนี่นะมีในศีลเลยนะ พระรักษาไข้ไม่ได้ ท่านยกเว้น อยู่บ้าง ก็แต่รักษาดูแลกันพอสมควรสมณะด้วยกัน ภิกษุด้วยกัน ก็ดูแลรักษากันได้ แต่ภิกษุ สมณะนี่ไปดูแลรักษา แม้จะเป็นนายแพทย์ จบนายแพทย์มาบวชแล้วนี่ จะไป รักษาไข้ฆราวาสไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ฆราวาสจะต้องรับผิดชอบ รับหน้าที่ เอาไป ...

สิ่งเหล่านี้ แม้แต่การรักษานี่ หลายคนเข้าใจผิดว่า เป็นคนปฏิบัติธรรมแล้วนี่นะ สายเจโต นี่บอก ไม่ต้องรักษาหรอกมันหายเอง ใช่ มันตายเองมากกว่าหายเองนะ เพราะอะไร เพราะว่า โรคเดี๋ยวนี้ มันร้ายแรงยิ่งกว่าโลกสมัยโบราณ สมัยโบราณคนแข็งแรง เชื้อโรค ก็ไม่เก่งกาจจริงๆ ไม่ใช่เชื้อโรคมันไม่พัฒนาตัวมันนะ เชื้อโรคมันก็พัฒนาตัวมัน และโดย เฉพาะคนนี่ อาตมาใช้คำว่ายีนส์ ยีนส์ของคนก็อ่อนแอลงทุกเมื่อ อาตมาพูดมานานแล้ว มันตัวเล็กตัวน้อยตัวเตี้ย สอยมะเขือกิน ไอ้สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องพยากรณ์ปากเปล่านะ เป็นเรื่องจริง ที่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้นเราจะต้องศึกษาเล่าเรียนให้ดีๆให้รู้ เพราะฉะนั้น เราพยายามที่จะมารู้รอบให้ได้ว่า แม้แต่รักษาโรค เราก็จะต้องมีการทันสมัย ยุคกาล มันไม่เหมือนกัน เราจะบอกว่า ไม่ได้หรอก เราต้องเป็นอย่างสมัยพระพุทธเจ้า กินน้ำ มูตรเน่า ตาย เพราะน้ำมูตรเน่า มันก็ประกอบไปด้วยเชื้อโรค เดี๋ยวนี้ หาไอ้ที่จะบริสุทธิ์ ก็ยาก และมันก็ไม่มีคุณภาพเพียงพอด้วย สมัยก่อนนี้ แค่น้ำมูตรเน่านี่นะ พอที่จะรักษา เพราะโรค มันไม่เก่ง เดี๋ยวนี้สิบน้ำมูตรเน่ายังไม่อยู่เลย ฤทธิ์แรงของการที่จะมาจัดการ กับเชื้อโรคก็ดี อาการของไข้ที่มันหนักหนาสากรรจ์เดี๋ยวนี้ก็ดี สารพัดที่มันเป็น

อย่างสมัยพระพุทธ เจ้าไม่รู้เรื่องหรอก ไม่รู้ว่าโรคไอ้แบบนี้มันเป็นยังไง แต่เดี๋ยวนี้ มันโรค สารพัด มันไม่ใช่มันไม่เกิดนะโรคมันก็เกิด สภาพพวกนี้ก็เกิด ยุคสมัยมันไม่เหมือนกัน เราอย่าไปงมงาย เอาอย่างสมัยพระพุทธเจ้าอยู่ไม่ได้

อย่างสมัยพระพุทธเจ้าไม่ต้องขึ้นรถ (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่ขึ้นรถท่านก็ได้ สองร้อยกว่ากิโล ก็เดิน ไปโปรดกันทัน เดี๋ยวนี้จะไปโปรดอะไรกันทัน ไปสอนก็เผยแพร่ทันได้ แล้วเทศน์ ปั๊บเดียวก็มีพระโสดา สกิทาคา อนาคาแล้ว นี่ไปเทศน์อยู่ เทียวไล้เทียวขื่อ ๗ ปี ๘ ปี ยังไม่กระดิกหูเลย แล้วจะเดินไปเหรอ เดินไปเทศน์กัน อีก ๗ ปี ๘ ปี ยังไม่กระดิกหู เฮอะ แล้วมันจะไปทันการอะไร มันไม่ทันการหรอก เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีเวลา มีเครื่อง ทุ่นแรง มีอะไรต่ออะไร จะต้องเข้าใจ ยุคสมัยกาลัญญุตาต้องเข้าใจกาละ ไม่ใช่เป็นคน งมงาย มะลื่อทื่อ เอาอะไร อย่างสมัยโบราณมาหมด

ทีนี้เขามาแย้งเราเหมือนกันว่า สมัยพระพุทธเจ้า กินมื้อเดียวนี่ สมัยพระพุทธเจ้าทำได้ สมัยนี้ มันทำไม่ได้หรอกกินมื้อเดียว มันไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้าแล้ว สมัยพระพุทธเจ้า ไม่ต้อง ใช้เงินน่ะได้ สมัยนี้ไม่ต้องใช้เงินไม่ได้ แล้วอันนี้กลับกัน เราเอามาพิสูจน์ได้ เราไม่ต้องใช้เงินนี่ได้นะ สมัยนี้ไม่ได้หรอก สมัยนี้มันไม่ใช่สมัยพระพุทธเจ้า ไม่มีผัว ไม่มีเมียหรอก นี่ต้องมหายาน ญี่ปุ่นเขามีไปเลยตั้งครอบครัวเลย ก็เละซิ เละแน่ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งพวกนี้ซ้อนเชิงอยู่ บางอย่างนี่ไม่ กาละยุคสมัยนี่ ไม่เป็นไปตามยุค ตามสมัย แล้วก็ต้องรู้จักประมาณ ให้พอเหมาะพอควรไม่รับไม่ได้ ไม่ขึ้นรถไม่ได้ แต่ไม่กิน ๒ มื้อ กินมื้อเดียวนี่ยังได้มั้ย ได้ สิ่งใดที่มันเป็นไปได้ เออ อย่างนี้ สมัยพระพุทธเจ้า ก็มื้อเดียว เพราะอะไร เพราะร่างกายคนนี่ ปัทโถ ตัวเราใส่ผ้าชุดเดียวได้มั้ย ที่จริงได้ แต่ ขนาดนั้น เรายังอนุโลมไปตั้งเยอะพระพุทธเจ้าก็เปิดช่องไว้มีผ้าโจระ เดี๋ยวนี้ ก็กลายไป เป็นอะไรต่ออะไรบ้าง

แล้วไม่มีที่ ไม่มีบ้าน ไม่มีเรือนของตัวเองเลย ไม่มีกุฏิส่วนตัวเลย ได้มั้ย ได้ สมัยนี้ก็ยังได้ นิสสัย ๔ นี้ได้ แต่ยารักษาโรคนี่ลำบากหน่อย อะไรเป็นต้น แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ผ้าบังสุกุลนี้ สมัยโบราณใช้ผ้าบังสุกุล สมัยนี้ก็ใช้ผ้าบังสุกุลได้ แต่โดยกาละยุคนี้แล้ว ผ้ามากมาย ผ้าเหลือเฟือ ไม่ต้องไป แหม บังสุกุลเป็นบ้าหอบฝางเกรอะกระ เกินไปนะ อาตมาเอง ก็พยายามที่จะทำปะบ้าง นี่ก็ยังเห็นใจคนซักอยู่เหมือนกัน นี่หนาขึ้นๆ มันหนา มากไป นี่ยังถามอยู่เลยว่านี่ซักยากกว่าเก่ามั้ย ท่านบอกว่าพอได้ อาตมาก็เลยบอก อ๊ะ ก็พอไปก่อน พอให้ใช้อธิบาย จริงๆ มันก็เห็นใจนะ แต่ผ้ามันมีสารพัด เปลี่ยนได้ มันไม่เฟ้อ เกินไปหรอก มันมีทิ้งขว้างได้เรอะ

แต่สมัยโบราณสมัยพระพุทธเจ้าน่ะ ผ้าไม่ค่อยมีจริงๆ เพราะฉะนั้น บังสุกุลนี่เอาเถอะ มันไม่มีก็ค่อยๆ หามา ขณะนี้ก็กฐิน กฐินนี่แปลว่า สะดึง สะดึง คือมีจอที่จะขึงให้ได้ สัดส่วน ของจีวรผืนหนึ่ง จีวรผืนหนึ่งนี่กว้างยาว ขนาดไม่ใช่เล็ก ผ้ามันไม่มีมากก็เก็บได้ ผ้าบังสุกุล ได้ชิ้นนั้นมาก็เอามาตัด เย็บต่อกันไว้ เย็บต่อกันไว้ ใส่สะดึงไว้ ใส่กฐินนี่ กฐินคือสะดึงสี่เหลี่ยมนี่ ต่อเอาไว้เป็นผืนๆๆ จนกว่าจะครบ กว่าจะได้ ผืนนะ สมัยนี้ ใครจะมานั่งทำ ไม่ต้องหรอก ทิ้งขว้างออกมากมาย ดูซินี่เอาไปขึงตรงนั้น เอาไปขึงตรงนี้ ไปทำผ้าขี้ริ้วก็เยอะแยะไป ผ้าพอ เพราะฉะนั้น ผ้าบังสุกุลสมัยนี้ ก็ไม่จำเป็น จะต้อง มาแอ้ค ปะโน่นปะนี่กันพรุน แหม ฉันน่ะได้ผ้าบังสุกุล ใจลึกๆ มันอยากโชว์ แล้วมันก็ ยึดติด ที่ไม่สมสมัย ไม่สมกาละ มันมีพอใช้ นี่ยังต้องห้ามกันเลย ไม่ต้องเอามาถวาย มากนักหรอก เพราะฉะนั้น ปีนี้ประกาศไว้แล้วนะว่า พอมหาปวารณา แล้วนี้ ไอ้เรื่องผ้า ที่เอามาอย่างทุกปีนี้แหละ มันเหลือทุกปีนี้ ร่ำร้องมา ผู้ดูแลสรรพสมบัติ (พ่อท่านหัวเราะ) บอกว่า เอาอย่างที่มันพอแปรเป็นของใช้ที่มันไม่ต้องไปนั่งเป็นภาระ เพราะฉะนั้น การสงเคราะห์ อุปถัมภ์อุปัฏฐากสาวกของพระตถาคตนี่ก็ดี ก็จะต้องรู้ แม้ปัจจัยสี่ แม้เครื่องใช้ไม้สอย จนกระทั่ง เครื่องที่ใช้อาศัยทำงานเผยแพร่ ที่อาตมาพูด ไปบ้างแล้วว่า

แม้แต่จะเป็นสื่อสารต้องมีทั้งหนังสือหนังหา ต้องมีโรงพิมพ์ ต้องพิมพ์หนังสือ ต้องถึงขั้น ต้องมีวิดีโอ ต้องสร้างหนัง สร้างวิดีโอเลยนี่ อาตมาพูดนำหน้าไปก่อนนี่นะ ต่อไปในอนาคต มันต้องถึงจริงๆ ในกาลัญญุตา ในยุคสมัยที่เราจะต้องมีปัญญา รู้ในกาละยุคสมัย ว่าเราจะต้องทำอะไร ให้มันสอดคล้อง ไม่เช่นนั้นไม่ทันผี ผีมันสื่อสาร ผีมันโฆษณา ผีมันดึง เอาคนไปหมด เราไม่มีฤทธิ์ไม่มีแรงอะไร ทันก็ไม่ทัน คุณภาพก็ไม่พอเพียง แล้วมันจะไป ไหวเหรอ เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ได้คนมาสอนเขาก็ไม่ได้ กู้รื้อขนสัตว์ก็ไม่ขึ้น ต้องรู้ว่า เราต้อง มาช่วยคน ประโยชน์ตนประโยชน์ท่าน มีแต่คนโดดเดี่ยวแล้วก็ช้าๆ ศาสนามันก็ด้วนเข้า กุดเข้า สั้นเข้าเท่านั้นเอง เพราะคนรับไม่ได้ สื่อสารก็ไม่พอ ประสิทธิภาพของสิ่งที่จะสื่อต่อ กันก็ไม่ไหวแล้ว คนไปรับอันโน้น สื่อสารมันให้แง่เชิงที่รับรู้ได้มากมุมมากเหลี่ยม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขารับได้ สัมผัสได้ รับได้ดีกว่า ไอ้เราหรือก็มะลื่อทื่อ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ไม่แหลมไม่คม ไม่มีประสิทธิภาพเท่าเขา มันจะไปทันการอะไรเขาล่ะ เขาก็เอาคน ไปเป็นลูกผีลูกมารหมด ลูกพระไม่เกิดเลย อาตมาเอง อาตมาเป็นโพธิสัตว์นี่ ต้องสร้างลูกพระขึ้นมา

ถ้าไม่มีลูกพระจริงๆ พูดอย่างนี้ข้างนอกเขาบอกเห็นมั้ยนี่ มันพูดลูกพระนี่ เขาบอกว่า สิกขมาตุ กะสมณะนี่ นอนด้วยกัน เขาบอกงั้น แล้วมีลูกพระลูกเณรออกมาจริงๆ เขาว่านี่ มันก็พูดได้นะ มันก็ว่า นี่เราพูดโดยภาษา เราก็ฟังกันลูกคำนี้คือ ลูกทางโอปปาติกะ ต้องเข้าใจ แม่มีพ่อมีในระดับสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง มีภูมิธรรม ให้เกิดลูกจริงๆ ขึ้นมาให้ได้ ไม่งั้น โลกเขาเอาลูกไปเป็นลูกผีไปเป็นลูกมารอยู่ทางโลก แล้วมันจะไปรอดอะไร สังคม เพราะฉะนั้น เราได้ขนาดไหนเราก็ทำ ในยุคสมัย เราก็รู้ว่าทุกวันนี้ศาสนามันก็หรี่ มันก็เรียว ไปเรื่อยๆ ก็ใช่ แต่ถึงอย่างนั้น เราก็ไม่จำนน เราก็ไม่แพ้หรอก ก็ต้องทำ สู้ๆทั้งที่รู้ว่าแพ้ ได้เท่าไหร่เอา เราเก็บกวาดเอาลูกผีลูกมาร มาเป็นลูกพระไม่ได้หมดหรอก หรือได้มากกว่า ก็ยาก แต่ต้องเอาให้ได้มากที่สุดเท่าที่เราจะมีเรี่ยวแรงประสิทธิภาพ ด้วยความอุตสาหะ วิริยะ มาช่วยกันนะ มาช่วยกัน เพราะฉะนั้น จะต้องเข้าใจลึกซึ้งในสิ่งเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็น บิดามารดา ไม่ว่าจะเป็นตถาคต หรือสาวกของพระตถาคตก็ตาม ที่เราจะต้องเข้าใจ บุคคลทั้ง ๔ จำพวกนี้ ว่าเราจะปฏิบัติ ต่อคน ๔ จำพวกนี้อย่างไร จึงจะชื่อว่าบัณฑิต ไม่ชื่อว่า พาล

อาตมาก็วิจัยวิเคราะห์ความหมายอะไรซับซ้อนลึกซึ้งไปให้ฟัง แล้วคุณก็ฟังเอาไปฟัง ไปใช้ปฏิภาณเลือกเฟ้น จับเอาว่าเราจะอุปัฏฐากอุปถัมภ์ จะช่วยปฏิบัติต่อ ให้เป็น ปฏิบัติชอบ อย่างบัณฑิต ไปใช้ปฏิภาณเลือกบัณฑิตได้อย่างไร คุณก็ต้องไปทำเอาเอง ฝึกหัดเอาไปด้วยนะ


จัดทำ โดย โครงงานถอดเท็ปฯ
ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๖ สิงหาคม ๒๕๓๖
ตรวจทาน ๑ โดย เพียงวัน ๒๑ สิงหาคม ๒๕๓๖
พิมพ์โดย ลักข์ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๓๗
เข้าปก โดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปปก โดย พุทธศิลป์

LUK1A.TAP