ติอย่างปราชญ์ ฉลาดอย่างไร? (ตอน๓)
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๓๕
ณ พุทธสถานปฐมอโศก


เรามาฟังธรรมะกันต่อะ เราได้ฟังขตสูตรมา ๒ สูตรแล้วนะ ขตสูตรที่ ๑ ธรรมะที่ทำให้คน เป็น พาลและบัณฑิต เมื่อวานนี้ได้เทศน์ตอนเช้ากับตอนก่อนฉัน แล้ววันนี้มาทวนอีกนิดหนึ่ง ก่อนจะไป ต่อสูตรอื่น

พาลและบัณฑิต เราก็คงจะเข้าใจ ว่าตัวเรานั่นแหละคำนึงถึงเรานั่นแหละ เราเอง ธรรมะ ที่เราศึกษาอยู่นี่ มันจะทำให้เราเป็นผู้ที่ยังเป็นพาล ยังเป็นคนอ่อน ยังเป็นคนโง่ ยังเป็น คนเยาว์ ยังเป็นคนไม่เดียงสาอยู่ หรือว่าจะทำให้เราเป็นผู้ที่มีวุฒิภาวะฉลาดขึ้น เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มี ความเจริญ มีคุณธรรม จนกระทั่ง เจริญเป็นบัณฑิต เป็นผู้สูงขึ้นๆ

คนพาลชื่อว่า คนไม่เฉียบแหลม คนพาล เราฟังคนพาลในภาษาไทยเราแล้ว เราฟัง เหมือนกับ คนเกเรเกตุง เป็นคนที่เละเทะ สำมะเลเทเมาอย่างนั้นก็ใช่ นั่นน่ะมันต่ำมาก แล้วละ ไอ้อย่างนั้นน่ะ ทางโลกๆ เขาก็ถือว่าเป็นพาล เป็นคนเกกมะเหรกเกเร ไม่เอาถ่าน สำมะเลเทเมา เรียกว่า ยังมี เที่ยวระราน ทำให้ชาวบ้านเขาเดือดร้อนวุ่นวายอะไรต่างๆ นานา อย่างนี้ เป็นต้น นั่นน่ะ คนพาลหาเรื่องหาราว ดีไม่ดีก็เป็นคนเดินออกเดินเข้าคุก อะไรอยู่ อย่างนี้ อย่างนั้นน่ะพาล นั่นก็ใช่ แต่ในความหมายที่พวกเราเรียนนี่น่ะ แม้แต่พวกเรา ก็ชื่อว่า พาล เราไม่ต้องไปเกกมะเหรกเกเร อย่างนั้นหรอก แต่ถ้าเผื่อว่า ตราบใดเราไม่เฉียบแหลม เรายังไม่มีปัญญา โดยเฉพาะปัญญา เราต้องรู้ว่า ไม่ใช่เฉกะ ไม่ใช่เฉโก ไม่ใช่เฉกตา ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาดอย่างโลกๆด้วย

ความเฉียบแหลมที่ว่านี่ไม่ใช่ฉลาดหรือเฉียบแหลมอย่างโลกๆที่เขาเป็น คือมีความเฉลียว ฉลาด เฉียบแหลม ที่เอาเปรียบเอารัดคนอื่น เป็นความฉลาดเฉียบแหลม ที่คนอื่น เขาไม่ทันเรา แล้วเราก็ ได้เปรียบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะได้เปรียบด้วยลาภ ด้วยยศ ด้วยสรรเสริญ หรือแม้ว่า จะเฉลียวฉลาด เข้าใจหาอะไร มาเสพสุข ปรุงแต่งอันนั้นมาเสพสุข ปรุงแต่ง อันนี้มาเสพสุข ขีวิตก็เลยมีแต่ความสุข เฉลียวฉลาดที่หาเงินหาทอง เอาชนะคะคานคนอื่น เขาได้ เอาเปรียบ คนอื่นเขาได้ ก็ได้เงิน ได้ทองมา มีอำนาจยศศักดิ์ ก็ได้อำนาจยศศักดิ์ ได้เงินได้ทอง ทรัพย์ ศฤงคาร นั้นน่ะมาไว้สำหรับเป็นสิ่งที่ซื้อ หรือ แลกเปลี่ยนอะไรมา แล้วก็เอามาไว้ใช้เสพ เป็นสุข เสพสม จะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ฉันอยากได้ไอ้นั่น ฉันอยากเป็น ไอ้นี่ ฉันอยากมีไอ้โน่น อะไร ก็แล้วแต่ ก็ได้มาเสพสมสุขสม ก็เป็นความฉลาดเฉียบแหลม ไม่ใช่ความฉลาด เฉียบแหลม อย่างนั้น

ความฉลาดเฉียบแหลมอย่างนั้นชื่อว่าเฉกะ เฉโก หรือเฉกตา ในภาษาบาลี เป็นความเฉลียว ฉลาด เหมือนกัน ที่โลกเราเป็นอยู่ โลกียะเขาเป็นอยู่ เขาแสวงหาอยู่ ร่ำเรียน เหน็ดเหนื่อย หนักหนา พัฒนา ความเฉลียวฉลาดแบบนั้นอยู่โดยไม่รู้ตัว และก็วนเวียนอยู่ในโลกีย์ เขาจะ เอาเปรียบเอารัดได้ ชนะ คะคานได้มากมายอย่างไร มันก็เป็นหนี้ เป็นบาป ไม่ได้เป็นกุศล ไม่ได้เป็นบุญอะไรหรอก วนเวียน อยู่ในสังสารวัฏ ขึ้นสวรรค์ ลงนรกในแต่ละวันๆ ถ้าเราเข้าใจ ในแต่ละชีวิตที่เขาเป็นอยู่ เขาก็ขึ้นสวรค์ ลงนรก ถ้าเราเข้าใจปรมัตถ์ จิตอยากเมื่อไหร่ ก็ลงนรก เสพสมเมื่อไหร่เขาก็ขึ้นสวรรค์

ทีนี้เขาปิดนรกตรงที่ว่า เขามีเงินมีทอง มีเงินมีอำนาจ ก็ใช้เงินใช้อำนาจนั่นละมากั้นมาปิดนรก มันไม่ได้หมายความว่า เขาได้หยุดนรกนะ อยากได้อะไรเขาก็ใช้เงินใช้อำนาจนั่นน่ะ แลกเปลี่ยนไว้ พรักพร้อม มีห้อมล้อมหมด ด้วยอำนาจเงิน อำนาจโลกีย์ เขาก็ต้องแสวงหาเงิน แสวงหาอำนาจ ให้มาก เพื่อที่จะได้ห้อมล้อมเป็นเทพ เป็นเทวดา เป็นคนอยู่ในสวรรค์ เรียกว่า สมมุติเทพ เป็นเทวดา เป็นสมมุติเทพ เพราะฉะนั้น เงินทองข้าวของอำนาจต่างๆ มันก็ปิด กั้นนรก ที่จริงมันอยากอยู่นะ อยากเมื่อไร ก็เป็นนรก แต่ว่าปิดกั้นว่ามันพร้อม อยากแล้ว มันก็ได้ทันที อยากมันก็มีอำนาจ มีเงิน มีทอง ซื้อมาบำเรอตนทันที มันก็ไม่ติดขัด ดูเหมือน ไม่มีนรก แต่แท้จริงจิตของเราก็เป็นจิตกิเลส เป็นจิตอยากมาเสพ จิตตกนรก เป็นจิตนรก ที่สั่งสมตัวที่สมเสพ มันก็เลยเป็นตัวปลอม ตัวหลอก ตัวลวง ให้เรา เหมือนกับเราอยู่สวรรค์ แต่เป็นสวรรค์ลวง

สมมุติเทพนี่ เทวดาแบบสมมุติ เทวดาที่โลกีย์เขาเป็อยู่นี่ มันเป็นสวรรค์ลวง คือมันมีสวรรค์ นั่นน่ะ ลวงตัวเอง ไม่ให้รู้จักปรมัตด์ ไม่ให้รู้จักจิต ไม่ให้รู้จักกิเลส แล้วเราก็สะสมกิเลส อย่างนั้นอยู่ ทุกชีวิต ถ้าไม่ได้ศึกษา สัจธรรมของพระพุทธเจ้า ก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ธรรมดาๆ วนเวียนอยู่ นั่นแหละ ไม่รู้กี่ชาติ กี่ชาติ กี่ชาติ กี่ชาติ หลายชาตินะ ชาตินี้ดูเหมือนจะมีกุศล ที่เราได้สร้างบ้าง ได้เกิดมา เป็นคน มีเงินมีทอง มีบุญมีกุศลทางโลกีย์อยู่น่ะ หาเงินได้ อะไร ต่ออะไรได้ แต่พร้อมกันนั้น ถ้าเผื่อว่า ฉลาดอย่างโลกีย์ มันก็ไปเอาเปรียบเขามาอยู่นั่นเอง มันก็เป็นนรกซ้อนกลับ เสร็จแล้วก็ต้องไป ใช้หนี้เขา ชาติหน้า ชาติโน้น ชาติไหน ก็ไปใช้หนี้เขา อย่างเป็นพ่อค้าร่ำรวยอย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้อง เอาเปรียบเขา นั่นแหละ มันถึงจะร่ำรวย มีเงินตั้ง ไม่รู้กี่ล้านๆๆๆ แล้วก็มีวิธีการกว้างขวาง อย่าง นักธุรกิจ พ่อค้า อะไรทุกวันนี้ มีเงิน เป็นแสนล้านอะไรนี้ ก็ต้องไปเอาเปรียบเขามาทั้งนั้นน่ะ สร้างหลักเกณฑ์ สร้างอะไรขึ้นมา ฉ้อฉลอยู่ในสังคม เพื่อตัวเองจะได้เปรียบ ตั้งราคา ตั้งโน่น ตั้งนี่ ขึ้นมา แล้วตัวเองก็ได้ แล้วก็มีวิธีการซับซ้อนเสร็จ แล้วชาติต่อไป มันไม่ได้มีทางที่จะได้มาเป็น อย่างนี้อีก ต้องไป ใช้หนี้อีกหลายชาติ บางที ยิ่งกว่าเป็นวัวเป็นควายไปใช้หนี้เขา เพราะไอ้ตัว เอาเปรียบนั่น เป็นสัจจะ ไม่ได้เสียสละ มันไม่ได้เสีย มันได้เปรียบมันได้ ตัวเองออกแรงนิดเดียว ตัวเอง ไม่ต้อง คิดอะไรมาก ตัวเองได้มาฟรีๆ หรือว่าเอาเกินมา

อย่างประเภทที่เรียกว่าโดยวิธีการ อยู่ในสังคม มันเป็นวิธีการอยู่ในสังคม มันเป็น วิธีการทางโลก ก็ได้เปรียบเขามาอย่างนั้น เป็นหนี้เป็นสิน เป็นบาป เป็นเวร หมุนเวียน กันไป พอได้มาแล้วก็พอ ต้องไปใช้หนี้เขา เป็นวัวเป็นควายก็ไปใช้หนี้เขา เป็นวัวเป็นควาย ใช้หนี้เขา ก็เป็นบุญ แล้วมันจะได้ เกิดมาเป็นคนใหม่ ใช้หนี้เขา ทดแทนเขาไปเถอะ ตัวเองน่ะ ทำนาแทบตาย เสร็จแล้วได้กินฟาง ข้าวไม่ได้กินหรอก แล้วก็กินเท่านั้นๆแหละนะ ดีไม่ดี ก็ไปหากินเอง เขาเอาไปปล่อยเอาไว้ที่ ทุ่งนา ก็ไปเล็มหญ้ากินเองไปนั้นน่ะ ก็ไม่ได้ ไอ้นั่นอะไรหรอก ก็เป็นบุญ เพราะว่าตัวเอง มีประโยชน์ ให้แก่เขา มากกว่าตัวเองใช้ เป็นวัวเป็นควาย อย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ มันก็ใช้หนี้ไป ชาติแล้วชาติเล่า ใช้หนี้ ไปห้าร้อยชาติพันชาติ ประเดี๋ยวก็ได้กลับคืน ก็ได้เวียนกลับมาเป็นคน ก็มาแสวงหา ความเฉลียวฉลาด ทุกคน นะ ก็แสวงหาความเฉลียวฉลาดแบบโลกๆ เสร็จแล้ว ก็ไปได้อีก ได้ความเฉลียวฉลาด เอ้า ชาตินี้ค่อยๆพัฒนาขึ้นมา เอ้า มันลืมเลือนน่ะ มันก็มาพัฒนา มาสะสมใหม่ ก็สะสมความฉลาดขึ้นมาใหม่ ค่อยๆฉลาด

ตอนแรกก็ถูกกินแรง มาเป็นคนน่ะ พอจากควายมาเป็นคน ก็มาถูกกินแรง มาถูกเอาเปรียบ ก่อน ตัวเอง ก็เหมือนมีบุญนะ ถูกเอาเปรียบนี่เหมือนเป็นการสะสมบุญเหมือนกัน เพราะถูก เอาเปรียบ เหมือนเขากู้หนี้ เขากินแรงเราไป เหมือนกับเราสะสมไว้ที่เค้า ค่อยๆ ถูกเอาเปรียบ เราก็ค่อย พยายาม จะฉลาดนะ ฉลาดแบบโลกนี่แหละ ฉลาดแบบ เอาเปรียบนี้ พัฒนาก็ ฉลาดมาอีก บุญก็ลดลงๆๆ แล้วก็กินบุญเก่า ทีนี้บุญเก่าตั้งแต่ เป็นวัวเป็นควาย ตั้งแต่ถูกเขา เอากินแรงไป ก็เป็นบุญเก่า ได้ขึ้นมารวย รวยอีก กินใหม่ตกไปอีก นี่พูดถึงวัฏฏะให้ฟังสั้นๆ ที่จริงมีสลับซับซ้อนมากกว่านี้ วัฏสงสารนี่ มีสลับซับซ้อนมากกว่านี้ วนเวียนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้กี่นานับกัปกาล แค่พูดนี่ อาตมา ก็เมื่อยแล้วนะ ไม่ต้องไปเป็นจริงหรอก ไม่ต้องไปเป็นคน อย่างนั้นจริงหรอก

กว่าจะได้มาสดับธรรมะพระพุทธเจ้าให้รู้ว่า ไอ้โลกีย์นี้น่าเบื่อหน่ายนัก โลกีย์นี้มันไม่ได้น่า ภิรมย์ อะไรไม่น่าจะอยู่ ไม่น่าจะต้องให้มันวนเวียนเป็นสังสารวัฏนี้อยู่อีกเลยนะ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า เท่านี้ก็น่าจะพอที่จะเบื่อหน่าย พระพุทธเจ้าท่านตรัสอย่างปราชญ์ อย่างพูดกับ คนที่เป็นปราชญ์ เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาดนี่ เท่านี้ก็พอแก่การที่น่าจะ เบื่อหน่าย เพื่อที่จะคลายกำหนัด อะไรนิดอะไรหน่อยก็บอกว่า เห็นแค่ไอ้ความทุกข์ร้อน ไอ้ความลำบาก เล็กๆ น้อยๆ ไอ้แค่เกิด แก่ เจ็บ ตาย นี่ก็น่าจะพอแก่การลำบาก ชีวิต ต้องวนเวียนมาเกิด มาแก่ มาเจ็บ มาตาย แค่นี้ก็พอแก่การที่จะน่าเบื่อหน่าย

แต่คนโลกๆฟังแล้วก็เฉย มันน่าเบื่อหน่ายอะไร มันดีอร่อยดี บางทีได้ไปต่อสู้นี่แหละดี แข่งขันกัน เอาเปรียบเอารัดกันอะไรมันดี ดีไม่ดีต้องฟาดฟันกันด้วยการเข่นฆ่า นี่ตอนนี้ เลือกตั้ง ฆ่าตายกันไปเยอะแล้ว หัวคะแนนตายไปเยอะแล้วเข่นฆ่ากัน แข่งขันกัน เสร็จแล้วนี่ แม้แต่ตั้งกรมตำรวจ แต่งตั้งกันใหม่ รัฐมนตรีมหาดไทย พล.ต.อ.เภา สารสิน เป็นรัฐมนตรี เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย ก็เป็นประธาน กตร. แต่งตั้งนายพลร้อยกว่าคน โยกย้ายไอ้โน่นไอ้นี่ ที่บ้านถูกมือมืด เข้าไปทำจารกรรมอะไรอยู่ในบ้าน อย่างนี้ ชีวิตอยู่ อย่างนั้นน่ะ มันไม่รู้ จะอยู่ไปทำอะไร ก็ไม่น่าจะได้เที่ยวไปวุ่นวาย เดือดร้อนอะไร เป็นกัน อยู่อย่างนั้นน่ะ เขาก็ฆ่ากัน แกงกัน แย่งชิงกันอะไรต่ออะไรกันไป เขาไม่รู้จริงๆนะ เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้าไป เพื่ออะไร เขาก็ ไม่รู้ สร้างเวรสร้างภัยสร้างกรรมก่อไป เวรานุเวรไม่รู้ชาติแล้วชาติเล่า เพื่อความเป็นใหญ่ๆๆ กันทั้งนั้น ไม่ใช่เล็กๆนะ ได้สร้างกรรม กันไปอย่างนั้นน่ะ รับกัน ไป ชาตินี้ชาตินั้น ชาตินั้นอะไร มีทั้งบทบาทที่เป็นกรรม ไม่เป็นกรรมอะไร กรรมน่ะที่เป็นอกุศล เป็นกุศล เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ อะไรทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น เกิดมาถ้าเผื่อว่าได้ฟังธรรมะของ พระพุทธเจ้า ได้มีปัญญา เฉียบแหลม ไปในทางเป็นบัญฑิต ก็คือรู้สังสารวัฏ รู้ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป รู้ไตรลักษณ์ แห่งมนุษยชาติ รู้ชีวะชีวิต รู้จิตวิญญาณ รู้บาปรู้บุญ รู้กิเลส ตัณหาอุปาทาน รู้โลภ โกรธ หลง

ซึ่งเรารู้ว่ามันเป็นตัวการ และเราจะต้องมาบำเพ็ญเรียนรู้ แล้วก็ละลด ปลดปล่อย เลิก สร้างกุศลเราก็สร้าง กุศลทางโลกีย์เราก็สร้างไปด้วย ลดกิเลสก็ลดไปด้วย ชาติแล้วชาติเล่า อย่างนี้ล่ะคือ เฉียบแหลม เกิดปัญญา เป็นบัณฑิต

คนพาลเป็นอย่างไร คนพาลก็ไม่เฉียบแหลม ก็คืออยู่โลกๆ ไม่รู้เรื่องว่าตัวเอง เฉียบแหลม อย่างไร ถ้าเผื่อว่าโง่ๆเง่าๆ ถูกเขาเอาเปรียบในโลกนะ อย่างโลกีย์ โง่ๆ เง่าๆ ถูกเขาเอาเปรียบ กินแรง จึงเป็นบุญบ้าง ฟังให้ดีนะ เพราะฉะนั้น ดูๆแล้วกลับกันไปหมดเลย ถ้าเป็นคนโลกๆ บอก โอ๊ย! เราไม่มีความเฉลียวฉลาด ถูกเขากินแรง เขาเอาเปรียบ โง่เง่า มันไม่ดีเลย เราต้อง เฉลียว ฉลาด เราต้องมีปัญญา ที่จริงไม่ใช่ปัญญาหรอก ตัวเฉโก เฉกตา ต้องเฉลียวฉลาด เพื่อจะได้ชนะเขา จะได้เปรียบเขา จะได้เป็นเจ้าเป็นนาย จะได้เป็นคนร่ำรวย จะได้เป็นคน ได้มาก มีมาก ได้เปรียบมาก ก็พยายามพัฒนาตนเองให้ฉลาด มันยิ่งร้ายกว่าเก่า ไอ้มันโง่ๆ เง่าๆ ถูกเอาเปรียบยังมีบุญซ้อนอยู่บ้าง ฟังออกมั้ย ฟังเข้าใจมั้ย

แต่นั่นแหละ เราจะไปส่งเสริมอย่างนั้น มันก็ไม่ได้อีก ส่งเสริมว่า เออ โง่ๆเง่าๆ ให้เขาเอาเปรียบ อยู่งั้นละ มันก็ไม่ได้อีก ไปส่งเสริมอย่างนั้นก็ไม่ได้ แต่มันซ้อนเห็นมั้ย มันจะต้องเข้าใจ อย่างถูกต้องว่า เออ... เราเองนี่นะ กว่าจะได้รู้เรื่องเป็นขั้นเป็นตอน กว่าจะรู้ว่า ไอ้ฉลาดอย่างไร โง่อย่างไร มันเป็นบุญ ถ้าโง่ไปสร้างแต่บาปแต่เวรแต่ภัย มันก็อีกเรื่องหนึ่งก็คือฉลาดนั่นแหละ ถ้าคน ฉลาดมันไม่เฉลียวฉลาด ไอ้โจรร้ายมันสร้างหนี้ พวกคอร์รัปชั่นหนักๆ ไปสร้างบาป สร้างเวร สร้างหนี้ เป็นเจ้าพ่อ มีวิธีการเฉโก มีวิธีการที่ฉลาดที่จะไม่ให้รัฐบาล ไม่ให้ทางการ จับได้ เป็นเจ้าพ่อ ค้าของเถื่อน หากินทางประเภทที่มันไม่ถูกต้องอะไร ต่างๆนานาสารพัด แล้วก็ได้เงิน ได้ทอง มีอำนาจ อะไรต่างๆอยู่ ดีไม่ดีก็ใครมาขวางทางก็เก็บ ยิงตาย โดยที่ เรียกว่า ทางการก็จับไม่ได้ รอดพ้นอะไรอยู่ เป็นเจ้าพ่อหยาบๆ อะไรอยู่นะ พวกนี้มันฉลาด ทั้งนั้นน่ะ มันโง่ไม่ได้หรอก โง่มันตาย โง่มันถูกจับไปตั้งนานแล้ว ฉลาดทั้งนั้นแหละ เฉียบแหลม ทั้งนั้น ไม่ฉลาดแหลมทั้งนั้น ไม่ฉลาดเฉียบแหลมจะอยู่รอดหรือ

แต่เป็นยังไงล่ะ ฉลาดเฉียบแหลมแบบนั้นเป็นไง ก่อหนี้ก่อเวรก่อภัย ก่อบาป สะสมแต่บาป แล้วเขาก็อยู่กันน่ะ มีชีวิตอยู่ ไม่ว่าประเทศไหนก็มีทั้งนั้นน่ะคนแบบนี้ คนเป็นแบบเจ้าพ่อ เป็นก็อดฟาเธอร์ มันก็มี ทุกประเทศ เพราะเป็นเรื่องของมนุษย์ เฉลียวฉลาด แต่เสร็จแล้ว ไปฉลาดทำไม ไปเป็นคนที่ โง่ๆ เง่าๆ เขาเอาเปรียบเอารัด เราก็ขยันหมั่นเพียรก็แล้วกัน ถ้าทั้งเราขี้คร้าน โง่ก็โง่ ขี้เกียจก็ขี้เกียจ ขี้คร้านด้วย หมดทางไม่มีบุญอะไรทั้งนั้นน่ะ คนนั้นน่ะ จะไปมีบุญอะไร ถ้าโง่เง่าแต่ขยันหมั่นเพียรอดทนนะ ก็เอาเถอะ มันก็ยังพอมีบุญ ในตัว ของมันเอง เป็นสัจจะบ้าง ที่ตัวเองเหมือนวัวเหมือนควาย ที่เขาเอาเปรียบนั่นแหละ วัวควาย มันก็ได้บุญไปตามธรรม เพราะว่ามันเองเป็นตัวเสียสละ เป็นตัวสร้างสรรค์ คนก็เหมือนกันนะ เป็นตัวเสียสละ เป็นตัวสร้างสรร แต่ว่ามันอย่างว่าละ เป็นคนมันก็ไม่น่า จะเป็นเช่นนั้น มันน่าจะไปมีศักดิ์ศรี มันซ้อนเชิง ถ้าเราเองเราขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร แล้วเราก็เสียสละให้แก่ คนอื่น เหมือนกัน ไม่ใช่ให้คนอื่นกินแรง อย่างโง่ๆ เง่าๆ ไม่ใช่ให้ คนอื่นเอาเปรียบเอารัดเรา อย่างโง่ๆ เง่าๆ ไม่ใช่เขาเอาเปรียบหรอก เรายินดีจะให้เขา แล้วเราก็ไม่ใช่จะให้ไอ้คน ที่มันจะกินแรงเรา คนที่จะเอาเปรียบเราด้วย ... เราจะให้ใคร จะเสียสละให้ใคร เราเป็นผู้ที่จัดแจงทำทานโดยมีปัญญา จะบริจาคจะให้ โดยสมควร จะให้คนที่เป็นประโยชน์ คุณค่า แม้คนจน ก็รู้ว่าคนจนที่ควรให้ต่างกัน คนจน ที่น่าจะช่วยเหลือเกื้อกูล หรือแม้แต่ อย่าว่าแต่ คนจนเลย คนรวยก็ตาม

อย่างอาตมานี่ไม่ใช่จนนะ รวยนะ พูดไปพูดมาประเดี๋ยวก็ว่าจน ประเดี๋ยวก็ว่ารวย รวย แล้วคุณเอามาให้อาตมานี่ อาตมาเป็นคนรวยเป็นเศรษฐีนะ อาตมาไม่ใช่กฎุมพีหรอก แต่เป็นเศรษฐี เอามาให้ ให้ใครละ แม้แต่พูด ก็พูดเถอะ เราโดยเสด็จพระราชกุศลอย่างนี้ กษัตริย์ก็ต้องรวย ต้องมี ต้องรวย แล้วเราก็โดยเสด็จพระราชกุศล สมควรมั๊ยให้คนรวย สมควร เพราะท่านซื่อสัตย์ ท่านก็รับไปท่านก็แล้วแต่ แล้าแต่พระราชอัธยาศัย ท่านได้รับ ไปแล้ว ท่านจะเอาไป เกื้อกูลประชาชน จะไปช่วยเหลือกิจการอะไรต่ออะไร ก็แล้วแต่ พระราชอัชฌาสัย อย่างนี้มันก็ดี ให้กับคนรวย ก็อยู่ที่เราน่ะ เราต้องการจะให้ใคร เรามอง ใครล่ะว่าจะเป็นประโยชน์ เอาเงินนี้ไปทำบุญหรือทานบริจาคกับใครล่ะ ถึงจะเป็น ประโยชน์ ที่จะเป็นประโยชน์ อย่างเป็นบุญกุศลที่แท้ เป็นบุญมาก กุศลมาก มีอานิสงค์มาก มีผลมาก

ทำทานกับใคร อย่างไร เราไม่ใช่ให้เขาเอาเปรียบผลสร้างของเรา แต่ว่าเราเป็นผู้ที่ให้ เกื้อกูล กับใคร ให้แก่ใครแก่ใคร อย่างนี้เป็นต้น ไม่ใช่ว่าเราถูกเขากินแรง ได้บุญแบบนั้น แต่บุญแบบนั้น มันไม่มีผลสูง ไม่มีอานิสงส์สูง แต่บุญแบบที่อาตมากำลังอธิบายนี่ เราขยัน หมั่นเพียร แล้วเราก็จน เราก็ไม่เหลือล่ะ เราก็ไม่สะสมกอบโกยอะไรหรอก เราก็ให้ก็ทาน ก็แจก แต่มีวิธีการ ถ้าไม่มีปัญญานัก เราก็มีหมู่มีกลุ่ม มีคณะที่จะใช้จ่ายที่จะจัดสรรส่วนได้ ผลผลิต สินค้า หรือเงินทองที่ได้ จัดสรรเป็นกลุ่ม มีผู้ที่ช่วยกันคิด ช่วยกันอะไรกระทำ สะพัด หมุนเวียน ไป ให้เกิดคุณค่า ให้เกิดประโยชน์อยู่ในสังคมเป็นระบบ

นี่เรากำลังทำ ชาวอโศกเรากำลังทำ จะใช้เงินใช้ทอง จะใช้ของ จะใช้อะไรต่ออะไร หมุนเวียน เข้าไปสู่มุมไหนอย่างไร มันจะเกิดประโยชน์มาก สะพัดไปๆถูกที่ ถูกมุม ถูกเหลี่ยม ของเศรษฐกิจ สะพัดไปถูกเศรษฐกิจ เป็นหลักเศรษฐศาสตร์ของสังคม มนุษยชาติ ก็เป็น ความเฉลียวฉลาด และก็เป็นความขยันหมั่นเพียร เป็นสิ่งที่สร้างสรร เป็นสิ่งที่เกิด คุณค่า อยู่ในโลก เกิดระบบ เกิดตัวอย่าง เกิดตัวอย่างตั้งแต่คนจน กระทั่งถึง ชุมชน ถึงระบบ พฤติกรรม กิจกรรม พิธีกรรมอะไร เป็นสังคมกลุ่ม นี่คือการสร้าง ความฉลาดที่จะเป็นบัณฑิต ก็ขยายความ ซอยเข้าไปอีก อธิบายมาแล้วเมื่อวานนี้ วันนี้ก็อธิบายเข้าไปอีก เพราะฉะนั้น ความเป็นพาล ก็คือความไม่เฉียบแหลม ที่ไม่ถูกเรื่องหรือ แม้แต่ไปเฉียบแหลม หรือมีปัญญา ที่เป็นเฉโกเป็นเฉกตา เป็นปัญญาโลกีย์ที่ไปทำบาป ซับซ้อนอีก

นั่นก็เป็นพาลเป็นพาลอยู่ในสังคมนะ เข้าใจมั้ยละ พาลอย่างที่อาตมา เรียกว่า จอมโจร บัณฑิต น่ากลัวกว่าโจรที่มันปล้น มันจี้ มันทำทุจริตอย่างรู้ๆนี่ด้วยซ้ำ เพราะไอ้พวกนี้ มันตีตรา มาเลยไอ้โจรพวกนี้เห็นหน้ามันก็รู้แล้วมันไม่น่ากลัวหรอก เพราะว่ามันไม่ซ่อนซ้อน อะไร แต่ไอ้โจรบัณฑิต อยู่ในสังคมนี่อู้ฮู คนไม่รู้หรอก นับหน้าถือตา ยกย่องเชิดชูกราบไหว้ ยิ่งใหญ่กันอยู่ในสังคมด้วย เป็นจอมโจรบัณฑิต แหม ไอ้นี่ซิ ไอ้นี่ล่ะบาปลึกบาปซ้อน ดูเป็น ผู้เฉลียวฉลาด เป็นผู้ที่มีศักดิ์ศรีมีอะไรอยู่ในโลกในสังคมเลย เรียกว่าเฉียบแหลม แต่เฉียบแหลม ประเภทนี้ ยิ่งสร้างบาปให้แก่ตัวเอง เราไม่เรียกว่าบัณฑิตแท้หรอก เป็นบัณฑิตเทียม เป็นจอมโจรบัณฑิต นี่คือความฉลาดเฉียบแหลม เพราะฉะนั้น

ผู้ใดที่รู้จัก ทิศทางอย่างแท้จริงของโลกุตระ ของโลกียะ ที่ อาตมาอธิบายแล้ว เราก็จะมา สั่งสมเราก็จะมาฝึกปรือ ให้เกิดความฉลาดเฉียบแหลม ที่มันไปในทาง ที่เป็นกุศลแท้ ไปในทางเจริญไปในทางอริยะ เป็นอลมริยา เพราะฉะนั้น มีวิธีทำอย่างไร เรียกว่า อลมริยา หรือว่ามีทาง อย่างไร ที่จะเป็นทาง จะเรียกวิธีก็ได้จะเรียกวิถีก็ได้ มีวิธีใด ที่จะทำให้ตัวเรานี่ เกิดเป็นอริยะ เรียกว่า อลมริยา หรือมีวิถีใด วิถีคือทาง วิธีก็คือจะทำอย่างไร จึงจะไปเป็น อริยะ เรียกว่า อลมริยาทั้งนั้น ไม่ว่าจะอธิบายในความหมายของวิถี หรืออธิบายความหมาย ในวิธี วิธีที่ จะทำให้เป็นอริยะ หรือวิถีที่จะทำให้เป็นอริยะเรียกว่า อลมริยาเป็นผู้รู้จักทาง ถ้าผู้ใด ไม่มี ไม่รู้ ไม่รู้ว่าวิธีนี้น่ะ ทำให้เป็นอริยะ

แต่ที่จริงแล้ววิธีนี้น่ะทำแล้วได้เป็นพาล วิธีนี้ทำให้ตัวเองเป็นพาล ไม่ได้เป็นบัณฑิตแท้ วิถีนี้แหละ ทำไปแล้ว ก็ทำให้ตัวเองตกเป็นพาล เป็นธรรมที่ทำให้ตัวเองเป็พาล แต่ตัวเอง ไม่รู้ ก็อันนั้นละ เป็น อลมริยา หรือนาละ ถ้าไม่ผนวกไม่บวกกันก็เป็น นาลมริยา ถ้าเป็นคำ สมาส กันเสีย ก็เป็น นาลัมริยา เป็นทางหรือเป็นวิธีที่พาให้ไม่เป็นอริยะ นี่เราต้องรู้ทาง จะเป็น ผู้ที่เจริญ จะต้องรู้ทางอย่างนั้น อลมริยา หรือ นลัมริยา ทางที่เป็นบัณฑิต หรือ ทางที่ไม่เป็น บัณฑิต อันนี้อยู่ในพลสูตรนะ อลมริยา กับนาลมริยา พลสูตร

เราเคยเอามาอธิบายกันแล้ว มีกำลัง ๔ แล้วก็ชนะภัย ๕ พลสูตร คำว่าอลมริยา หรือ อลมริยา อยู่ในสูตรนั้น ธรรมะเหล่าใดสามารถทำให้เป็นพระอริยะ ธรรมะเหล่านั้น เรียกว่า อลมริยา ธรรมะเหล่าใด ไม่สามารถทำให้เป็นพระอริยะ ธรรมะเหล่านั้นเรียกว่า นารัมริยา เราจะต้อง มีปัญญารู้อย่างนั้น เป็นความฉลาด เฉียบแหลม

ขยายความนิดหน่อยก็ได้ ในกำลังสี่ประการนี้ มีปัญญาเป็นกำลัง ความเพียรเป็นกำลัง การงานอันไม่มีโทษเป็นกำลัง การสงเคราะห์เป็นกำลัง อธิบายอันนี้ เสริมอันนี้ อาตมาว่า จะเข้าใจได้ละเอียดเพิ่มขึ้นเลยนะ กำลังสี่นี่ กำลังสี่ แล้วก็พ้นภัยห้า อยู่ในความเฉียบ แหลม อย่างที่ว่า ไม่เป็นพาล คือเป็นผู้มี ความเฉียบแหลม ก็คือเป็นคนมีปัญญา เป็นคนมี ความเฉลียวฉลาด ที่ถูกทางนั่นแหละ แล้วปัญญา หรือว่าความเฉียบแหลม ที่ไม่เป็นพาล แต่เป็นบัณฑิตแท้ มันจะเป็นยังไง เอากำลังที่เป็นปัญญนี่มาขยายต่อ จะได้ลึกซึ้งขึ้นไปอีก

ปัญญา กำลังคือปัญญาเป็นไฉน ธรรมะเหล่าใดเป็นกุศล นับว่าเป็นกุศล นี่คือจะต้อง มีความรู้นะ วิจัยออกเลยว่า อะไรมันคือกุศล อะไรมันแท้นับว่าเป็นกุศล ธรรมเหล่าใด เป็นอกุศล นับว่าเป็นอกุศล มีปัญญาหรือว่ามีความฉลาดเฉียบแหลม รู้เลยว่านี่เป็นกุศล นี่ไม่ใช่กุศลนะ อันใดเป็นกุศลอย่างไร อะไรเป็นอกุศลอย่างไร ต้องวิจัยออก ไม่ใช่ว่างมงาย เราได้มา ฟังธรรมพระพุทธเจ้าแล้วเรารู้เลยว่า อะไรเป็นกุศล เป็นอกุศล ชัดขึ้นลึกขึ้น ธรรมเหล่าใด มีโทษ นับว่ามีโทษ มีปัญญาคืออย่างนี้ ธรรมเหล่าใดไม่มีโทษ นับว่าไม่มีโทษ นี่ปัญญามันจะวิจัยออก อันใดมันเป็นกุศล อะไรไม่เป็นอกุศล ก็รู้ชัด อะไรเป็นโทษ อะไรไม่เป็นโทษ ก็รู้ชัด มีโทษ ไม่มีโทษ

ธรรมเหล่าใดดำนับว่าดำ ธรรมเหล่าใดขาว นับว่าขาว ท่านก็ใช้ ภาษาที่จะวิเคราะห์ให้เห็น สองฝั่ง สองฝ่าย อันใดเป็นไปในทิศทางที่มันจะเลว จะต่ำ จะชั่ว จะไม่ดี มันซับซ้อนน่ะนะ ท่านจะใช้ ภาษาให้เป็นหมวดหมู่ เป็นหัวข้อไป เรื่อยๆ ธรรมเหล่าใดดำรู้ว่าดำ นับว่าดำ รู้ เกิดปัญญา นี่เรียกว่าปัญญา ธรรมเหล่าใดขาวนับว่าขาว

เหมือนอย่างอาตมายกตัวอย่างง่ายๆ แต่ก่อนเรานึกว่า เราได้รับรสอร่อย เสพสุขนี่ โอ้โฮ! มันเป็นสิ่งวิเศษนะ เกิดมาเป็นคน จะต้องแสวงหากามคุณ ๕ ได้อร่อยทางตา อร่อยทางหู อร่อยทางจมูก ทางลิ้นนี่ เป็นสิ่งที่เป็นธรรมขาว แหม เราชอบ นั่นผิดแล้ว พอมาศึกษาธรรมะ พระพุทธเจ้าแล้วบอก โอ! อย่างนั้นเป็นธรรมดำ นับว่าดำ ไปแสวงหารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มา บำเรอตนเป็นกามคุณ ๕ นี่เป็นกามวิตก ผิดทาง เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะฉะนั้น จะต้องเป็น มิจฉา ถ้าขืนไปตรรกะ วิตรรกะ ไปพยายามที่จะแสวงหา พยายามที่จะไตร่ จะตรอง แสวงหา แต่ไอ้ที่เป็นกามวิตก หาแต่กาม แสวงหาแต่กามอย่างนี้มันเป็น ธรรมดำ มันเป็นความดำ ไม่ใช่ความขาว

แต่ก่อนนี้แสวงหา นึกว่ามันขาวนะ นึกว่า โอ๊ย มันได้มาเสพนี่มันสุข มันอร่อย มันเป็นชีวิต ชีวา ใช่มั้ย แต่ก่อนเราไม่รู้อย่างนั้น เดี๋ยวนี้เรารู้แล้ว แต่ก่อนนี้เข้าใจผิด ถ้าเรามาสะสม กอบโกย หาทางได้เปรียบ ได้เงินได้ทองมามากๆ เป็นความสำเร็จของชีวิต ยิ่งใหญ่นะ ต้องทำ คนเท่าไหร่ๆ เขาก็เป็นอย่างนั้นน่ะ ปุถุชนเท่าไหร่เขาเป็นอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้น พอตอนนี้มา ศึกษาแล้ว ว้า! ไม่ใช่หรอก อันนั้นเป็นทางดำ เป็นธรรมดำ ไม่ใช่ธรรมขาว ต้องมาละลดออกซิ ต้องมาพยายามที่จะไม่ติดไม่ยึด ไม่เป็นไม่มี ไม่สะไม่สมอะไรพวกนี้ ให้ได้ เป็นธรรมขาว อย่างโน้นน่ะ มันธรรมดำ แต่ก่อนเข้าใจผิด อย่างนี้เป็นต้น เราจะเข้าใจเลย เราจะรู้ว่าอะไรเป็น นับดำก็นับว่าดำ ขาวนับว่าขาว

ธรรมเหล่าใดไม่ควรเสพ นับว่าไม่ควรเสพ ธรรมเหล่าใดควรเสพ นับว่าควรเสพ นี่เราจะรู้ว่า เออ เราควรจะเสพ สภาวะอย่างไร อย่างไรไม่ควรเสพ จะเกิดปัญญา จะเกิดมีธรรมวิจัย สัมโพชฌงค์ เป็นการวิจัยอย่างลึกซึ้ง เป็นวิจัยอย่างอริยบุคคล ไม่ใช่วิจัยอย่างแค่ตื้นๆ อย่างคนโลกๆ แค่นั้น คนโลกๆก็หลงผิด หลงทาง ไม่รู้จักสิ่งที่เป็นบาปเป็นเวรเป็นอกุศล ที่จะสั่งสม ติดยึดใส่จิตใส่วิญญาณ แต่พอมาศึกษาทางธรรมแล้ว รู้ทางแล้ว โอ๊ย อย่างไป สั่งสม อย่างไปเสพ อย่างไปติด อย่างไปบำเรอ อย่าไปทำให้มาก ต้องหัดรู้จักละหน่าย คลาย หัดสังวรระวัง หัดลดหัดละออกมาจริงๆ อะไรควรเสพก็รู้ว่าควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ ก็รู้ว่าไม่ควรเสพ

ธรรมเหล่าใดไม่สามารถทำความเป็นพระอริยะ (เรียกว่า อลมริยา) ก็รู้ นับว่าไม่สามารถ ทำความเป็นอริยะ ธรรมเหล่าใดสามารถทำความเป็นพระอริยะ (เรียกว่า อลมริยา) ก็นับว่า สามารถทำความเป็นพระอริยะ รู้แจ้ง

รู้ธรรมเหล่าใดทำให้เกิดอริยะ ธรรมเหล่าใดไม่ทำให้เกิดอริยะ เพราะฉะนั้น วิธีทำ ทำอย่างไร วิถีทางเดินเดินอย่างไร จึงจะไปเป็นอริยะ อย่างไรมันไม่ไปเป็นอริยะ รู้ชัด เข้าใจทาง เข้าใจธรรม ธรรมะอย่างใดที่จะพาไปเป็นอริยะ ธรรมะอย่างไร ไม่พาไปเป็น อริยะ ยิ่งใช้คำว่า ธรรมะแล้วยิ่งชัด การไปศึกษาธรรมะ เราก็ไปศีกษามา หลายสำนัก บางคน โอ! เราแต่ก่อน ไปหลงทิศ หลงทางไปเรียนธรรมะกับเขา เขาก็พาทำ พาศึกษา ธรรมะเหล่านั้น มันไม่ได้เป็น ทางไปเป็น อริยะเลยมีแต่ทางงมงาย มีแต่พาให้เลอะเทอะ เข้าไปอีก เราก็รู้ว่า โอ! ธรรมะ อย่างนั้น ไม่ใช่อลมริยา แต่พอมาเรียนกับ อีกสำนักหนึ่ง กับอีกอาจารย์หนึ่ง โอ! อย่างนี้ เป็นทางเป็นธรรมะที่พาไปสู่ ความเป็นอริยะแน่ชัด เป็นไปเพื่อความละ หน่ายคลาย เป็นไป เพื่อการถอนกิเลส เป็นไปเพื่อความไม่สะสม เป็นไปเพื่ออะไรต่ออะไร เอาหลักธรรมวินัย มาตรวจตรา อู๊! เข้าหลัก เข้าแกน เข้าเกณฑ์ ของพระพุทธเจ้านะ เอาหลักเกณฑ์ที่จะมา ตรวจสอบ ธรรมวินัย ๘ ประการ เอามา ตรวจสอบอย่างนี้เข้าท่า ถูกทาง ถูกทิศ ถูกทาง เป็นไป เพื่อความเป็นอริยะ อริยะคืออะไร ยังไง เข้าใจชัด นี่เรียกว่า เกิดปัญญา เป็นปัญญาแท้

ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรมะอันบุคคลเห็นแจ้ง ประพฤติได้ด้วยปัญญา นี้ เรียกว่ากำลัง คือปัญญา เพราะฉะนั้น เข้าใจทิศทาง อย่างนี้นะเป็นปัญญา เป็นกำลังที่แท้จริง เอาละ เอาแค่ปัญญา อันเดียวนะ กำลังมันมีตั้ง ๔ กำลัง ที่จริง มันขยายกันไปตลอดได้เลย มีกำลัง แล้วมันจะต้อง มีความเพียร มีกำลังทางปัญญา มีปัญญาแล้วก็จะมีความเพียร เพราะว่า เรารู้แล้วว่า โอ๊! เราเจอช่องทางที่จะได้ มหาสมบัติแล้ว เป็นทรัพย์ที่มนุษย์ควรได้ ถ้ารู้ทาง เป็นอริยะ เป็นความเพียร เมื่อความเพียรเราก็ลงมือทำ เราก็เลือกทำการงาน อันไม่มีโทษ เป็นตัวปฏิบัติธรรม ใช้ขยันหรือเพียร ตัวเพียรนั่นเป็นกำลังที่จะนำมา ให้เราทำการงาน และ ตัวปฏิบัติแท้ เป็นฐานแท้ การงานอันไม่มีโทษ คือการงาน อันจะพาให้เราเจริญ พาให้เราละ หน่าย คลาย พาให้เราสร้างบุญทุกอย่าง ไม่มีทางอื่นเลย ปฏิบัติการงานจริงๆ ชีวิตที่จะ ปฏิบัติธรรมนี่ และการงานอันไม่มีโทษ ก็จะทำอย่างไรล่ะ เมื่อทำการงานให้ไม่มีโทษแล้ว มันก็เกิดผลได้ เกิดลาภ พอทำการงานก็เกิดสินค้า เกิดผลผลิต เกิดสิ่งที่เกิดตามมา เกิดตามมาแล้วทำยังไง ก็สงเคราะห์ กำลังคือ การสงเคราะห์ กำลังคือการแจกจ่ายเจือจาน กำลัง คือการทำทาน สงเคราะห์คืออะไรละ การสงเคราะห์ เราก็สงเคราะห์ เราก็เรียนมาแล้ว สังคหวัตถุ สังคหวัตถุก็ทาน มีทาน มีเปยยะวัชชะ มีอัตถจริยา สมานัตตตา

การสงเคราะห์ก็คือสังคหวัตถุ ๔ เราก็ทานนั่นแหละเป็นหลัก แล้วทาน ทานอย่างไร ทานประเภท ที่ทานอย่างลึกซึ้งขึ้นไป ทานด้วยวัตถุ ทานด้วยสมบัติ ทานด้วยวาจา ทานด้วยการพูด ทานด้วยการทำงาน อัตถจริยา มีการประพฤติมีอัตถจริยา ประพฤติ เข้าแก่น เข้าแกน แล้วก็เป็นการ สมานัตตตา เป็นการเสมอสมานกัน อยู่ด้วยกัน รวมกันเป็นชีวิต

สังคหวัตถุก็คือ สภาพที่จะทำให้ผู้นั้นอยู่ในสังคมสมบูรณ์ สังคหวัตถุ ๔ นี่ จะพูดไปแล้ว เป็นตัว ที่ชี้ให้เห็นว่า สังคมพระพุทธคือสังคมอย่างนี้ ชุมชนปฐมอโศก ถ้าเต็มไปด้วย สังคหวัตถุ ๔ เป็นสังคมสมบูรณ์ มีทาน มีเปยยวัชชะ มีอัตถจริยา มีสมานัตตตา เขาอธิบาย กันแต่ตื้นๆ แต่แค่ว่าทาน ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมทานเลิศกว่าทานทั้งหลาย การแสดงธรรม บ่อยๆ แก่บุคคบผู้ต้องการผู้เงี่ยโสตลงสดับนี้เลิศกว่าการพูด ถ้อยคำอันเป็นที่รัก การชักชวน คนให้มีศรัทธา ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในสัทธาสัมปทา ชักชวนผู้ทุศีลให้ตั้งมั่น ดำรงอยู่ในศีลสัมปทา ชักชวน ผู้ตระหนี่ให้ตั้งมั่นดำรงอยู่ในจาคะสัมปทา ชักชวนผู้มี ปัญญาทราม ให้ตั้งมั่น ดำรง อยู่ในปัญญาสัมปทา อาตมาก็กำลังพูดให้พวกคุณ เข้าใจปัญญา แล้วก็ให้เกิดปัญญาสัมปทา ให้เข้าถึงปัญญาที่เป็นปัญญาเป็นบัณฑิต อยู่นี่ นี้เลิศกว่าการประพฤติประโยชน์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น การเปยยวัชชะ ธรรมทานเป็นทาน เลิศกว่าทำทานทั้งหลาย พระพุทธเจ้าท่าน ก็สรุป ที่จริงทานวัตถุเราก็ทาน ทานสิ่งที่เป็น พฤติกรรมกิเลส อภัยทาน สิ่งที่เป็นภัย เป็นกิเลส ของเรา เป็นพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ของเราที่เป็นภัย เราก็ทาน เราก็เลิก ก็ละออก อะไร เป็นธรรมะ อะไรที่วิเศษ อะไรที่สูงสุด จนกระทั่งถึงปรมัตถธรรม เราก็ทำ เราก็แสดงธรรม เป็นทาน หรือเราก็พยายามที่จะสร้าง ให้คนเราได้รับสิ่งที่เกิด เป็นปรมัตถ์เกิดละลดกิเลสได้ ก็เป็นทานที่วิเศษ

เปยยวัชชะที่อาตมาเคยแปล หรือบางทีเขาก็เรียกปิยวาจา เปยยวัชชะ ปิยะวาจา คือวาจา ที่เป็นที่รัก พูดอันเป็นที่รักก็ได้ อันเป็นที่รักนี่อาตมาเอา ขยายความว่า คนเรานี่พูดคำป้อยอ ชมเชย ยกย่อง เป็นคำพูดไม่ไปกระทบกระเทือน ไม่ขัดไม่เกลา ไม่ไปชี้ชั่วชี้เลวอะไรกะเขา โอ๊ย! เป็นที่รัก เดี๋ยวนี้เขานิยมกัน เทศน์กันอย่างปิยวาจา ก็เทศน์พูดแต่ส่วนดี พูดแต่ส่วนที่ ไม่ขัด ไม่เกลา พูดแต่ส่วนที่ไม่กระทบกระเทือนใจใคร ใครจะชั่วยังไงก็เฉย เลี่ยงไปพูด ในสิ่งดี มีเล็ก มีน้อยก็ ใส่ไข่เอาใส่ไข่แต่ความดีจริงไม่จริง ก็เลยกลายเป็นการประเล้า ประโลม หลอกล่อ ป้อยอกัน เชิดชูกันไปอย่างไม่เข้าเรื่อง จริงๆแล้วนั้นน่ะ มันไม่เก่งหรอก คนพูดชมเชยยกย่อง ให้คนอื่นเป็นที่รัก พูดใครๆเค้าก็นิยมชมชื่นว่าเราพูดดี ว่าเราพูด ไม่ได้ไปว่าใคร ไปตำหนิใคร ไม่ไปขัดเกลาใคร ไม่ไปกระทบกระเทือนใคร แล้วก็เรียก อย่างนั้นว่า ปิยวาจา มันจะไปเข้าท่า อะไร

วาจาอันเป็นที่รักนี่คือ ขัดเกลาเขา พูดตำหนิติเตียนเขา ชี้ขุมทรัพย์ให้แก่เขา ทำให้เขา กระทบ กระเทือน จนกระทั่ง รู้สึกตัว ตื่น เป็นชาคริยานุโยคะ ตื่น รู้ตัวแล้ว ตายละ เราอยู่ในภพ ที่มันไม่ดีนะ จมอยู่ในกามภพ จมอยู่ในภวภพรู้จักกิเลส รู้จักตัณหา ของตน กระเทือน เข้าใจด้วย ญาณปัญญา รู้สึกตัวเรียกว่าตื่น แล้วก็แก้ไขปรับปรุงสิ่งนั้นได้ โดยที่เขาไม่โกรธ โดยที่เขาเกิดปัญญา โดยที่เขารู้ตัว อย่างนี้เป็น เปยยวัชชะ เป็นปิยวาจา

สรุปแล้วก็คือด่าเขา ให้เขารู้ตัว ยอมรับความจริง ขัดเกลาเขา ตำหนิเขา เปยยะวัชชะ อาตมา แปลจากพยัญชนะ เปยยะ ของควรดื่ม วัชชะคือการตำหนิ ตำหนิเขาให้ดื่ม คำตำหนิ ของเราได้ เปยยวัชชะ ที่อาตมาแปลอยู่ เขาก็ฟังไม่ขึ้น เขาก็หาว่าอาตมาเป็น บาลีเถื่อน อยู่นั่นแน่ะ ให้เขา ดื่มคำตำหนิได้ แล้วก็แก้ไขสิ่งที่เขาเป็นเขามี เราพูดว่าเขา เขามีอันนั้นจริง แล้วเขาก็เข้าใจว่า เออ อันนี้ไม่ดี เขาควรจะต้องแก้ไขปรับปรุงยอมรับ การตำหนิได้นี่ต่างหาก เป็นปิยวาจา ที่วิเศษ ไอ้ประเล้าประโลมชมชอบเขา ชมชื่นเขา อยู่อย่างนั้น มันจะไปวิเศษอะไรนักหนา มันไม่สามารถ เปลี่ยนแปลงให้เจริญอะไร ได้นักหนาหรอก ดีไม่ดีมันหลงด้วย หลงดี ถูกป้อยอ พูดแต่ดี แล้วก็เหลิงไปอยู่นั่นแหละ แต่ตำหนิเขาให้เขารู้ตัว ขัดเกลาเขา ให้ดื่มคำตำหนินี้ได้ ตำหนิแรง ขนาดไหนก็ตาม อยู่ที่ฝีมือ ตำหนิเขาแรงเท่าไหร่แล้ว เขาก็ไม่โกรธ แล้วเขาก็ยอมรับ ศรัทธาเลื่อมใส แล้วเขายิ่งซาบซึ้ง โอ๊! ตำหนิเขา ได้ถูกทีเดียว ตำหนิมีเหตุมีผล มีตัวจริง แล้วบอกวิธีแก้ ให้เขาด้วย ให้เขาแก้ไข ด้วยคำพูดอย่างนี้ เรียกว่า ปิยวาจา เปยยวัชชะ อย่างนี้น่ะ เจริญกว่า

แล้วอัตถจริยาก็มีพฤติกรรมที่เป็นแก่นเป็นสาร เราเองละลดได้แล้ว เราเองมีกิริยา จริยา หรือ พฤติกรรม จรรยาหรือจริยานี่พฤติกรรม มีพฤติกรรมเป็นแก่น เป็นสาร เป็นตัวอย่าง เป็นแบบ เป็นหลัก เป็นคนเลี้ยงง่าย นี่เป็นพฤติกรรมที่ดี อัตถจริยา เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ นี่อันพวกเหล่านี้แหละ เป็นคนขัดเกลา เป็นคนมีศีลเคร่งได้ เป็นคนมีอาการ ที่น่าเลื่อมใส พวกนี้อัตถจริยาทั้งนั้นนะ เป็นคนไม่สะสม นี่เป็นอัตถจริยา เป็นคนที่มีพฤติกรรม ที่น่าเลื่อมใส เป็นพฤติกรรมที่น่าเอาอย่าง เป็นพฤติกรรมที่เป็นแก่น เป็นสาร เป็นพฤติกรรม ที่เป็น ตัวอย่างของโลก เป็นสารัตถะ

สมานัตตตา ผู้สมานอัตตา สมานัตตตามีชีวิตที่อยู่อย่างเรียกว่า เสมอสมาน สมานัตตตา ท่าน ขยายความว่า โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมอ อรหันต์ ผู้ที่สามารถเข้าใจนะ โสดามีตนเสมอกับโสดา สกิทาเสมอสกิทา อนาคาเสมอ อนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ นี้เลิศกว่าความมีตนเสมอทั้งหลาย

สมานัตตตาเขาแปลไปตามพยัญชนะว่า มีตนอันเสมอนี้เลิศกว่า ความมีตนเสมอทั้งหลาย มีตนอันเสมอ นั่นแหละ ก็เท่ากับเราเอง เราต้องรู้การอยู่รวมกัน โดยเฉพาะในพุทธบริษัท นับตั้งแต่โสดา พุทธบริษัทนี่นับตั้งแต่โสดาบันนะ หรือ จะนับโคตรภูบ้างก็เอา โคตรภูบุคคล เอา เนยยบุคคล นี่เป็นพุทธบริษัท ตามสมมุติยังไม่ได้เป็นพุทธบริษัทแท้

พุทธบริษัทแท้นั้นก็คือ ผู้ที่เป็นบุรุษสี่ หรือเป็นคู่กับแปด โสดาปฏิมรรคไปจน กระทั่งถึง อรหัตผล โน่นแหละ เรียกว่า สาวกของเรา หรือคนอยู่ภายใน ถ้ายังไม่ได้ อย่างนี้เรียกว่า คนเป็นภายนอก เป็นปุถุชน ปฏิปันสูตรที่บอกว่า เพราะอินทรีย์ ๕ ยัง อ่อนกว่าอินทรีย์ของ พระโสดาบัน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อินทรีย์ห้าประการไม่มีแก่ผู้ใดเสียเลยโดยประการทั้งปวง เราเรียกผู้นั้น ว่า เป็นคนภายนอก ตั้งอยู่ในฝ่ายปุถุชน ผู้ที่อยู่ในฝ่ายปุถุชนนี่ เป็นคนภายนอก ไม่ใช่คน ของเรา ไม่ใช่คนของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คนภายในของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พุทธบริษัทแท้ นี่เราพูดกัน ให้ชัดขึ้น เราพูดกันทุกวันนี้ แล้วพูดกัน เข้าใจว่าอะไรมากขึ้นว่า คนที่ พระพุทธเจ้า ท่านหมาย ต้องการ ให้เป็นคนอย่างที่ พระพุทธเจ้าท่านต้องการ คือโลกุตระ อยู่ในโลกของท่าน เป็นเผ่าพันธุ์ เชื้อพันธุ์ของท่านนี่เป็นยังไง ของพระพุทธเจ้าเป็น โลกุตรบุคคล

มีพันธุ์พระพุทธเจ้าเป็นอย่างไง ก็คืออริยบุคคล อริยบุคคลจริงๆ ไม่ใช่ปุถุชน มีปัญญารู้ มีความเฉียบแหลม มี ความเข้าใจ แล้วก็พากเพียร ปฏิบัติให้เจริญขึ้นจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้น ก็ตาม ก็อย่าไปมีมานะ อย่าไปมีกิเลสถึงขนาดว่า ไปรังเกียจรังงอนปุถุชน ไปรังเกียจรังงอน คนภายนอก เราต้องสมาน

แม้พระพุทธเจ้าท่านจะตรัสว่าสมานัตตตาคือการปฏิบัติให้ โสดาเสมอโสดา สกิทาเสมอ สกิทา อนาคาเสมออนาคา อรหันต์เสมออรหันต์ ก็ตาม เราก็ไม่ได้หมายความว่า ปุถุชนเขา ก็คือ ผู้ที่จะต้องไล่ขึ้นมามาเป็นอริยะนั่นแหละ เราก็จะได้จากคนเหล่านั้นแหละมา ไม่ใช่รังเกียจ เราต้องสงสาร การต้องเห็นใจ เข้าใจเขา เกื้อกูลเขา เพราะฉะนั้น เราจะสมาน หมายความว่า มันไม่แตกแยกกัน สัมพันธ์กันอยู่ เราก็อยู่ร่วมกับเขานั่นแหละ แต่อยู่อย่าง สมาน สมานัตตตา ก็คือ ทำตนนี่ให้มันเสมอสมานขึ้นมา โสดาเป็นอย่างไร เราก็ยังไม่เป็น โสดาที่สูง เราก็ทำตน ให้เป็นโสดา ที่สูงที่เจริญขึ้นไปจนเต็มรอบของโสดา ขึ้นสกิทา ก็ต้องทำตนให้เสมอ สกิทา ขึ้นไปอีก เสมอสมานขึ้นไปจนเต็มรอบสกิทา ก็จะต้องให้เสมอ สมานขึ้นไปเป็นอนาคา จะต้องสมานกันได้

ไม่ใช่ว่าคนเป็นสกิทาก็ข่มคนเป็นโสดา คนเป็นอนาคาก็ข่มคนเป็นสกิทา คนเป็นอรหันต์ ก็ข่ม คนเป็นอนาคา ข่มคนเป็นสกิทา ข่มคนเป็นโสดา ไม่ใช่ จะต้องเรียนรู้ซ้อน ไม่มีกิเลส อุปกิเลส ซ้อน ไม่มีสังโยชน์เบื้องสูง ไม่มีมานะกิเลส ไม่มีอะไรต่ออะไรที่จะไป เที่ยวได้ ทะเลาะเบาะแว้ง เป็นอัตตามานะ เรียกว่า สมานอัตตา ไม่มีอัตตมานะ ตัวมานะนี่คือ ตัวอัตตาแท้ๆ ที่ร้ายกาจ มาก สมานกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราได้ดีเราเป็นจริงแล้วก็ตาม ก็จะต้อง สมาน สมานัตตตา เราจะต้องเสมอสมานกัน เราสูงก็เรารู้สูง เราก็จะต้องเข้าใจ เราจะต้อง รู้บุคคลผู้อื่น เขามีฐานะ ขนาดนี้ ก็ต้องอนุโลมปฏิโลมให้เขาพอสมควร อะไรขนาดนี้ จะเป็นการขัดเกลาเขา เราก็ช่วยกัน ถ้าให้ยาอย่างนี้ ให้กรรมฐานอย่างนี้ ให้ปล่อยให้เขาได้ ปฏิบัติขนาดนี้ เขาก็เคร่ง ของเขา แล้วเขาก็ตั้งตนอยู่ในความลำบาก ในฐานะเขาแล้ว ก็ให้เขา ทำขนาดนี้ ก็ช่วยเหลือ ดูแล พยายามดูกันทำได้ไหวมั้ย ทำได้ดี ก็ช่วยกันขึ้น ทำยังไม่ได้ดีก็ เอ้า มันมากไป น้อยไป ก็ช่วยกันปรับ ช่วยกันอะไรอยู่ อันนี้ เรียกว่า เป็นผู้ที่มีตนอันเสมอสมาน เกื้อกูล ให้เกิด สามัคคีธรรม

ถ้าเผื่อว่าสังคหวัตถุ ๔ เรามีในสังคมของเรามีทาน สังคมของเรามีปิยวาจา เอาละ ปิยวาจา ในภาษาโลก คนโลก เราก็รู้ว่า เราจะมาพูดขัดเกลาแบบนี้เป็นเปยยวัชชะ คนโลกๆ หน้าใหม่ๆ มาถึงปั๊บก็ขัดพรวด ให้เขาดื่มคำตำหนิได้ มันดื่มได้จริงมั้ย อัดเลย พอมาถึง เจอหน้าก็อัดเลย แต่งตัวทาปาก แดงมาก็อัดเลย ตำหนิเลย ยังกะผีกินเลือด เขาเจอหน้าตา อัดเลย มันจะสมาน กันได้ที่ไหน ปิยวาจาเหรอนั่นน่ะ ขัดเกลาเขา จะต้องให้เขาดื่ม คำขัดเกลา หรือคำตำหนินี้ได้ เราต้องประมาณ เพราะฉะนั้น เขาบอกว่า ปิยวาจา คนโลกๆ ก็คือ เอ้า ค่อยๆพูด ในสิ่งที่ มันยังไม่รู้จริตนิสัยกัน หรือว่าเรายังไม่รู้ฐานของเขาจะตำหนิได้ จะพอมีปัญญาพอเข้าใจได้มั้ย ค่อยๆคบคุ้นกันไปก่อน อนุโลมเขาก่อน เอ้า รับเขาไป พอสมควร

จนกระทั่งต่อไปรู้แล้วว่าอะไรที่ควรขัดเกลา อะไรที่ควรจะเปยยวัชชะ ควรจะตำหนินะ ให้เขา ดื่มคำตำหนิได้ในระดับอ่อนก่อน จนกระทั่งรู้ว่า เออ เขาอ่อนก็ได้ แข็งขึ้นมาหน่อย แก่ขึ้น มาหน่อย เขาก็รับได้ อะไรก็ค่อยว่ากันไป สร้างปิยะวาจา ก็ต้องมีปัญญาประมาณ รู้ผู้รู้คน รู้ระดับ เรามีชีวิตอยู่ในพวกเรา เราก็รู้ปิยวาจา ขัดเกลากันอย่างได้สัดส่วน คนนอกมา เราก็ขัดเกลา ได้สัดส่วน มีปิยวาจา เราอัตถจริยา ตัวเรามีจริยาขนาดไหน มีตนอันมีพฤติกรรมที่ เป็นแก่น เป็นสารขนาดไหน เป็นผู้ที่ยังไม่เข้าถึงศรัทธา ยังไม่เข้าถึง สัทธาสัมปทา ศีลสัมปทา ก็คือ ยังไม่มีเนื้อหา แก่นสาร ยังไม่มีอัตถจริยา เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีอัตถจริยาก็คือผู้ที่มีศรัทธา อันสมบูรณ์ มีศีสอันสมบูรณ์ มีจาคะอันสมบูรณ์ มีปัญญาอันสมบูรณ์ มีอริยทรัพย์ ๔ สมบูรณ์ แล้วก็ เป็นตัวอย่างเขาอยู่ มีพฤติกรรม ผู้ใดที่สมบูรณ์ด้วย ๔ ทรัพย์นี่เป็นของเลิศ เราก็ อยู่อย่าง พร้อมพรั่ง อยู่กันอย่างสมบูรณ์ ใครมาเราก็ได้พึ่งพาอาศัยแน่ เพราะเรามีศรัทธาที่ ถูกทาง มีศีลที่ขัดเกลาจริง มีจาคะ

คนจะจาคะได้ คนจะบริจาคได้นี่ต้องคนรวย นะ เพราะฉะนั้น ในสังคมของเรานี่จะบริจาค ตั้งแต่ วัตถุทาน เราก็ต้องรวยวัตถุ ในสังคมเรามีสังคหวัตถุนี่ มีทานอยู่ในตัว แล้วทานนั้น ก็เพราะว่า เรามี อัตถจริยา เรามีศรัทธาในพระธรรมของพระพุทธเจ้า แล้วก็ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า จนกลายเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนสมบูรณ์ มีวรรณะถูกต้อง วรรณะ ๙ เป็นคนพัฒนา เป็นคนเจริญ ขยันหมั่นเพียร เป็นคนสร้างสรร เป็นคนที่เสียสละ เป็นคนที่ สมบูรณ์แบบ ไม่สะไม่สมอะไรอยู่จริงๆเลยนั่นแหละ แล้วก็เป็นคนที่มีทั้งกายวาจา ใจสมบูรณ์ และคนในนี้มีสมาน สมานัตตตาได้ดี เพราะมีโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ สมานเสมอกันอยู่ แล้วก็ยัง สมานกับผู้อื่นได้ด้วย ในนี้ก็สมานกันอยู่ได้ด้วย อย่างที่ อธิบายไปบ้างแล้ว ไม่ใช่ว่า ไปข่มกัน สกิทาข่มโสดา อนาคาข่มสกิทาข่มโสดา อรหันต์ก็ข่ม ทั้งสกิทา ข่มทั้งโสดา ไม่ใช่ ไม่ได้ข่ม แต่เข้าใจจริตนิสัยกัน มีปิยวาจากัน มีเปยยวัชชะกัน นำหนิกันให้ได้สัดได้ส่วน ให้ดื่มคำตำหนิกันได้ จะมีประเล้าประโลมอะไรกันบ้าง ก็อนุโลม ปฏิโลมกันไป ให้มันได้สัด ได้ส่วน และก็เป็น ตัวอย่างกัน มีอัตถจริยา มีศรัทธา มีศีล มีจาคะ มีปัญญา หรือเป็นผู้ที่ เป็นคนที่มี วรรณะ ๙ สมบูรณ์ เป็นคนที่ได้ขัดเกลา ได้เป็นคน ที่ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่มีอคติ อะไรแล้วจริงๆ สังคหวัตถุ ๔ นี้ว่าจริงๆ แล้วนี่มันรวมหมด เลย ชีวิตก็คือชีวิตที่มัน จะเกิดมา เพื่อสร้างสรร แล้วทาน

เพราะฉะนั้น สรุปตรีมูรติแล้ว พระเจ้าตรีมูรติคือ

) เป็นพระผู้สร้าง สร้างสรร ขยันเพียร

) เป็นพระผู้ประทานหรือเป็นพระผู้ให้ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้ทาน สร้างขึ้นมาแล้วก็ทานก็ให้ จิตใจก็ไม่ได้ต้องการ เป็นตัวเป็นตน เป็นบุญเป็นคุณอะไร จิตใจสะอาดบริสุทธิ์ จิตวิญญาณ ไม่มีโลภ โกรธ หลง ไม่มีความลำเอียง ไม่มีทุคติ ไม่ มีอคติอะไร ไม่มีฉันทาคติ ไม่มีโทสาคติ ไม่มีโมหาคติ ไม่มีภยาคติ ไม่มีความลำเอียงเพราะรักเพราะชัง เพราะโง่ หลง โมหะ โมหาคติ ไม่มีเพราะว่ากลัวนั่น กลัวนี่ เกรงนั่นเกรงนี่ เป็นคนแกล้วกล้าอาจหาญ ทำอะไรไปก็ทำไป อย่างมีปัญญา แล้วก็ยังมีกำลัง ไม่ใช่ทำเหยาะๆแหยะๆ ไม่ใช่ทำเพราะ เกรงไอ้นั่น เพราะกลัวไอ้นี่ ไม่ใช่ ทำไปอย่างเต็มใจเต็มกำลัง คนที่จะพัฒนาอย่างที่อาตมา สาธยาย เอา ธรรมะ เอาหัวข้อ เอาสูตรต่างๆ เอาหลักเกณฑ์ต่างๆของพระพุทธเจ้านี่ เอามาขยายความ กันได้มากมายยิ่งรู้มาก ยิ่งเอามาขยาย จะไม่ขัดแย้งกันเลย แล้วจะสอด ซ้อนส่งเสริมกัน อย่างดีงาม เป็นคนไปในทิศทางไหน คุณฟังที่อาตมาพูดก็รู้ ไปทิศทาง ที่จะเป็นประโยชน์ เกื้อกูล เป็นบุญเป็นกุศลตลอดนานับชาติ ถ้าเป็นคนมีคุณธรรม แล้วมี อย่างที่อาตมากล่าว ที่เอาของ พระพุทธเจ้ามาขยายความนี้แล้ว ได้หมด

เอาละ เราขยายปัญญาหรือว่ากำลังนั้นมาแล้ว จนกระทั่งขยายกำลัง ๔ มีกำลังความเพียร กำลังอย่าง การทำการงานไม่มีโทษ ซึ่งเราก็พากันทำอยู่ทุกวันนี้ การงานอันใด ที่จะเป็น การรังสรรค์ในที่ควรจะทำ เราก็พากันทำอยู่ การงานที่จะเกิด คุณค่า ถูกหลักเศรษฐศาสตร์ ก็มันเป็นความจำเป็น เป็นความสำคัญ เป็นความต้องการ เราก็เตรียม เราก็สร้าง เราก็ทำ กันไปอยู่นี่แหละ ทำเหมือนเขาทำในหลายอย่าง แล้วเราก็มาเห็นเข้าใจในหลายอย่าง ว่าควรทำ อย่างงานทำขยะ ปราบมลพิษนี่เป็นงาน ที่จำเป็น และเราต้องรีบรู้ก่อนเขา แล้วเรา ก็ต้องทำก่อนเขา ในโลกนี่ถ้าตั้งบริษัท เก็บขยะแล้ว อย่างที่อาตมาว่านะ มีปัญญา รู้ว่าขยะ อะไรยังไงๆๆนี่นะ ตั้งแต่วัตถุขยะ ไปจนกระทั่งถึง การสังเคราะห์อะไรสูงๆ มีฝีมือในการทำ น้ำเน่าให้ดี มีฝีมือในการทำ อากาศให้ดี มีฝีมือในการทำดินน้ำลมไฟ ให้ดีหมดทุกอย่างนี่นะ ถ้ามีปัญญานะ ตั้งบริษัท อย่างนี้เดี๋ยวนี้นะ รับรองรวย จะเอาแบบ โลกก็ได้ ไปตั้งซิ เป็นบริษัท ที่จะกำจัดมลพิษ กำจัดสิ่งที่มันเสีย สิ่งแวดล้อมที่มันเสีย ถ้าคุณมีความรู้จริง ตั้งแต่เศษขยะ ธรรมดา ไปจนกระทั่งไปถึงนามธรรม ไปถึงวัตถุที่ ละเอียด ไปถึงน้ำ ถึงอากาศ ถึงลม ถึงไฟ ดิน น้ำ ลม ไฟ ไปถึงอะไรอีก

ถ้าคุณมีความรู้ในทางที่จะกำจัดมลพิษพวกนี้ ตั้งบริษัทขึ้นเดี๋ยวนี้ ก็รวยมหาศาลเดี๋ยวนี้ แหละ แต่เราไม่ได้ทำเพื่อรวย เราต้องเรียนรู้ก่อนเขา เราต้องเอาก่อน มันเป็นความจำเป็น ที่รีบด่วน มาก เดี๋ยวนี้ทั้งทั่วโลกเป็นดีมานด์ เป็นอุปสงค์อันสำคัญมากเลย เป็นความเดือดร้อน ในชีวิตมากเลย ในเรื่องมลพิษ ในเรื่องขยะ

ที่อาตมาเร่งรัดพวกเราอยู่นี่ว่าให้พากเพียรเถอะน่า ศึกษาไปตั้งแต่หยาบๆตื้นๆ ทำสถานที่ ของเรา ให้มันสะอาดสะอ้าน แม้แต่ขยะเบื้องต้น จนกระทั่งถึงอะไรลึกซึ้งขึ้นให้มันเป็น สิ่งที่ น่าอยู่ เป็นสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ที่ไม่มีมลพิษอะไรก็ตามแต่เถอะ ว่ากัน ทำไป ศึกษา ไปเรื่อยๆ กับเรื่องมาทำนา มาทำกสิกรรม มาเป็นกรรมกร ซึ่งโลกเขาเดี๋ยวนี้ เขาหนีจาก กรรมกร หนีจากการมาเป็นเกษตร มาเป็นนักกสิกรรม มาเป็นผู้ที่จะต้องสร้างสิ่งที่จะไป เลี้ยงโลก เขาหนี แล้วจะไปเอาเปรียบเอารัด จะไปเที่ยวได้ หยิบโหย่ง จะไปเที่ยวได้ หาทาง ฉ้อฉล ทางที่จะหนีงานหนัก ไปสมัครงานเบากันหมด แล้วเราต้องวิ่งเข้าหา งานหนัก อย่างรู้แจ้ง ด้วยนะ ว่าเราต้องทำ ต้องเป็นเรานะ ไม่ใช่คนอื่นนะ เพราะฉะนั้น ชาวอโศกเรา จะต้องไม่หลงทางหลงทิศ ไม่โง่เง่า จะต้องมั่นใจเลยว่า เราจะต้องเป็น ผู้รับผิดชอบ เพราะคนเขาไม่เอาแล้ว ...

เรามาทำไอ้นี่เป็นทางบุญนะ ไม่ใช่เป็นทางบาปนะ เรามาเป็นผู้สร้าง เรามาเป็นผู้ทำงาน หนัก หนักก็หนัก หนักค่ามันก็ต้องสูงนะ ที่จริงนะ มันไม่ใช่ว่าจะมาทำให้ฉ้อฉลแบบ ทางโลกเขา คนนี้ยิ่งทำงานหนักเป็นกรรมกร คนแบกหาม ยิ่งให้ราคาถูก มันผิด มันฉ้อฉล มันเอาเปรียบ เอารัด แล้วมันบาปกัน ไป จ้างคนทำงานหนักๆให้เงินถูก จ้างคนที่ทำงาน เบาๆ ให้เงินแพง มันเป็นค่าที่ผิด มันเป็นราคา ที่ฉ้อฉล ทุกวันนี้สังคมมันฉ้อฉลอย่างนี้ ใช่มั๊ย มันผิด มันไป ไม่รอดหรอก เอาเถอะ เขาจะตีราคา การทำงานหนักๆ ดูถูกดูแคลน อย่าว่า แต่ให้ราคาหนัก ด้วย ยังหยามหยันกันอยู่ในสังคมด้วย อันนั้นมันเป็นสิ่งที่บกพร่อง เป็นสิ่งที่ผิดพลาด ในสังคม

เราเข้าใจแล้ว เราไม่ต้องกลัวหรอก เขาจะมาเหยียดหยัน หยามหยัน เราก็ไม่ต้องกลัว เราจะเป็นคนหน้าดำอยู่กับท้องไร่ท้องนา หลังสู้ฟ้าหน้า สู้ดินอะไรนี่ หรือเป็น กรรมกรแบก กรรมกรหามพวกนี้ ไม่ต้องไปกลัวหรอก ทำเลย ทำอย่างที่เรียกว่า ไม่น่าอาย ไม่ได้เป็น ปมด้อย เราจะรับใช้เขานี่แหละ เราจะเป็นคนที่ทำงานตีนติดดิน อยู่กับดิน อยู่กับพื้น อยู่อย่างที่เขาว่าเราต่ำ เขาว่าเรานี่ ไม่ได้มีหน้ามีตานี่แหละ เราจะอยู่อย่างนี้แหละ มันกลับกันแล้ว ค่านิยมมันกลับไปทางอีกอย่างหนึ่งแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเข้าใจ เข้าใจแล้วเราก็เต็มใจทำเถอะ มันเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิมากกว่า ไม่ใช่สิ่งที่น่าอาย น่าเกลียด น่าชังอะไร เพราะฉะนั้น เราทำให้มันเป็นไปได้ แม้เราจะมีความสามารถ จะมีความรู้ มากมาย แต่เราก็ยินดี ที่จะมาทำในสิ่งที่เป็นอุปสงค์ ในสิ่งที่เป็นดีมานด์ ในสิ่งที่จำเป็น พวกนี้ มันไม่ได้ ผิดพลาดอะไรหรอก ในสิ่งที่ถูกต้องที่เราจะต้องกระทำ ถ้าเราเข้าใจ อย่างนี้ โดยเต็มใจ เราก็ไม่เหนื่อย ไม่รังเกียจ ไม่ทุกข์ ไม่ลำบาก

เพราะเราเข้าใจด้วยปัญญา เข้าใจด้วยความเฉลียวฉลาด เข้าใจด้วยความถูกต้อง เป็น บัณฑิตที่แท้ เราก็เต็มใจมาทำ แล้วมันก็เป็นบุญ มันเป็นกุศล เป็นคุณค่า เราก็ได้ค่า ได้ราคา ค่าราคาที่ว่านี่ เป็นค่าราคาโดยธรรม เป็นค่าราคาทางบุญ ได้เงินน้อยเท่าไหร่ ทำอะไร ต่ออะไรขึ้นมา แต่เป็นสิ่งจำเป็นนะ สร้างอะไรขึ้นมา แต่เป็นสิ่งสำคัญในสังคม เสร็จแล้ว ราคาก็ยิ่งถูกลง ๆ หรือยิ่งให้ฟรีได้ เราก็เรียนมาแล้ว ระบบบุญนิยม มันกำไร หรือขาดทุน กำไรหรือขาดทุน เราสร้างขึ้นมา ยิ่งเป็นของจำเป็น เป็นของสำคัญ ไม่เอาอะไรมาก เอาข้าวนี่แหละ ปลูกข้าวขึ้นมาให้ดีๆ ให้มีข้าวมีคุณภาพดีๆ เสร็จแล้ว เราก็ยิ่งขายราคา ถูกลง ถูกลง ๆ หรือแจกฟรีได้เลย มีมากจนกระทั่งแจกฟรีได้เลย เรากำลังกำไรหรือเรากำลังขาดทุน เรากำลังกำไร พวกคุณนี่ชักจะเป็นอริยะ อย่างกับ ทวนกระแสขึ้นมา ไม่สับสน ชักจะพูด กันรู้เรื่อง ก็มีแต่กำไร เพราะฉะนั้น เราจะไปกลัว อะไร เล่า เรามาเป็นคนอย่างนี้ให้เขา เอาเถอะ เขาจะไม่เข้าใจ เขาเองเขาก็นึกว่า เขาได้เปรียบนะ แต่เรามาเสียเปรียบนี่ มันก็มาเสียเปรียบ เปรียบดูแล้ว เราก็เป็นผู้ได้เสีย ให้เขาเป็นผู้ได้นะ อย่างนี้แหละ เราก็ไม่ได้งงอะไร เรามีปัญญาเข้าใจจริงๆเลย เราก็เต็มใจ เราก็ทำโดย สมัครใจ โดยยินดี

เพราะมันเป็นอริยทรัพย์ มันเป็นคุณค่าที่แท้ แล้วมันก็สอดคล้อง ความเข้าใจของทาง คนเขาในโลก คนไหนเขาไม่เข้าใจก็เรื่องของเขา เขาไม่เข้าใจอย่างเรา แล้วเขาก็นึกว่า เรานี่โง่เง่า ก็ เรื่องของเขาเถอะ แต่เราว่าเราไม่ได้โง่เง่านะ เรารู้ เราให้เขานี่ เขาได้เปรียบ แต่เราก็เสียเปรียบนี่แหละ แต่เราก็สละอย่างที่ควรสละ และเราก็มีสิทธิ์ด้วย เราจะให้ หรือไม่ให้ มันก็อยู่ที่สิทธิ์ของเรา คนนี้มันขี้โลภมากนัก ให้มันมากเกินไป ประเดี๋ยวมันก็ยิ่ง ไปกิเลสมาก เราก็สงสารเขา ไม่ให้มาก ไม่ให้เท่าไหร่ ส่วนคนนี้ เออ ให้ไปแล้วก็ดี คนนี้ ให้ไปแล้ว ไม่ขี้โลภหรอก ยังเอาไปให้ต่อ เอาไปสืบสาน เอาไปแจกจ่าย เอาไปเจือจาน เอาไปเกื้อกูล หรือเอาไปทำประโยชน์มากกว่า เราก็ให้แก่คนนี้มากๆหน่อย คนไหนเอาไป สร้างสรร ที่จะเป็นประโยชน์ต่อเนื่องไปได้อีกมาก เราก็จะมีปัญญารู้ว่า ควรทำทานแก่ใคร ควรแจกกับใคร ควรให้แก่ใคร ควรขายให้กับใคร แม้แต่ขายก็ตาม

เราจะเป็นผู้แจกจ่าย จะเป็นผู้ที่ให้ต่ออะไรอย่างมีปัญญา ระบบพวกนี้ เป็นระบบที่ลึกซึ้ง ซับซ้อน แล้วเป็นระบบที่มันสุจริต เป็นระบบที่มันดำเนินไปดี ดำเนินไปอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน กับสังคม เพราะอย่างน้อยก็ต้องมีตัวผู้สร้าง จะเอาแต่ไปนิยมการไม่สร้าง การขี้เกียจ ทำงานเบา ไปกดขี่ข่มเหง ไม่มีน้ำใจ แล้วยังเหยียดหยาบอีกด้วยนะ แล้วก็ไม่มีปัญญา รู้ด้วย เลยกลายเป็น คนที่ทั้งถูกกดขี่ข่มเหง ก็มีปัญญา แล้วก็ถูกจำนน จำนนเพราะว่า เขาเอง เขาได้เปรียบ แล้วเราก็เป็นตัวคนพื้นฐาน เป็นคนตัวเบื้องล่าง ถูกเขาข่มเหง มันก็ทรมาน กันตาย

แต่พวกเราไม่ต้องใครมาข่มเหงหรอก เราก็เต็มใจทำของเรา เราจะเป็นผู้รับใช้ เราจะเป็น ผู้สร้างสรร แล้วเราจะเป็นผู้ที่ให้อย่างที่เรียกว่าเสียเปรียบด้วย ที่จริงก็เสียสละ นั่นแหละ เราจะให้ด้วย เราก็เต็มใจให้ ไม่ได้ดูเป็นเรื่องด้อย ไม่ได้ดูเป็นเรื่องต่ำ แต่เข้าใจ ด้วยปัญญา จริงๆว่าเป็นเรื่องที่สูง เราต้องเป็นคนที่เข้าใจทิศทางอย่างนี้ แล้วต้องรับ ผิดชอบ เพราะฉะนั้น ในเรื่องอย่างง่ายๆ เรื่องขยะ หรือเรื่องมลพิษ สิ่งแวดล้อมเป็นพิษนี่ เขาก็เดือดร้อนกัน เขาก็รู้ อยู่แล้ว แล้วก็เรื่องมาเป็นกรรมกร ระบบของประเทศชาติ ของสังคมประเทศ ไปเป็น คอมมิวนิสต์ก็ตาม ไปเป็นสังคมนิยม ก็ตาม มันเกิดจากระบบ ที่กดขี่ข่มเหงแรงงาน เอาเปรียบ เอารัดกันนี่แหละ พอเรามารู้นี่ โดยระบบของพระพุทธเจ้า ที่อาตมากำลังบรรยายให้ฟังนี่ ไม่เห็นมีปัญหานี่ เราจะเต็มใจจะมาเป็นกรรมกร เต็มใจ จะมาเป็นผู้รับใช้ เต็มใจจะเป็น ผู้แบกหาม เป็นผู้หนัก เราก็ทำ แล้วเราก็รู้แล้วว่าเขาวิ่งหนี

ถ้าเผื่อว่าเราไม่มารับผิดชอบ มันก็จะตายกันทั้งโลก ถ้าไปเข้าใจผิดๆอย่างทุนนิยม หรือ แม้แต่ สังคมนิยมก็ตาม สังคมนิยมนี่บังคับ ชาวไร่ชาวนานี่ เอาใครทำไร่ทำนา เขาก็แบ่ง ส่วนไป มันก็อยากจะไปทำงานเบาเหมือนกัน คนทำงานเบาให้อัตราราคา ก็ผิดแปลก เหมือนกันนะ พวกคอมมิวนิสต์ พวกสังคมนิยมนี่ ให้อัตราราคาที่ฉ้อฉล อยู่เหมือนกัน คนที่ทำนา จริงๆนี่ ถูกกดขี่ข่มเหงเหมือนกัน แล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจด้วยปัญญา อันยิ่ง อย่างที่เรากำลังพูดนี่หรอก อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านชี้แนะสัจธรรมให้ฟัง อาตมา ก็เรียนมา อาตมาก็มารู้ เอามาพูด ให้คุณฟังเนี่ย ไม่เข้าใจอย่างนี้หรอก เราต้องเต็มใจทำ เราจะเป็น ชาวนาชาวไร่ เป็นคนที่ หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดินอะไรอยู่ เราก็รับผิดชอบ มันเป็นบุญมากจริงๆ เป็นโอกาสที่เราจะได้ ตักตวง บุญมากๆ

เพราะคนเขาเข้าใจผิดแล้ว เขาวิ่งหนีกองบุญ เรากำลังวิ่งเข้ามาเอาบุญ ไม่ต้องแย่งกันนะ เรามาทำเลย เต็มใจทำ ขยันหมั่นเพียรศึกษาให้รู้วิธีการ วิธีการมันเปลี่ยนไป เป็นวิธีการ ทุนนิยม ไปเป็นอุตสาหกรรม มันไม่เป็นธรรมชาติ เพราะมันต้องการผลมาก มันก็เลย ต้องหา วิธีการ อย่างรีบรัด แล้วก็หาวิธีจนฉลาดแบบโลกียะ ปลูกข้าว ทำเกษตร ทำกสิกรรมอะไร ก็เป็นวิธีการแบบให้ปุ๋ย ให้เร่ง จนกระทั่งกลายเป็น ข้าวก็ข้าวถูกโด๊ป ถูกเร่ง ด้วยสารอาหาร แล้วก็พยายาม ที่จะทำโดยกระทั่งไม่เกิดความสมดุลของธรรมชาติ จะต้องทำนาให้เป็น นาโล่งไป เสร็จแล้วก็ต้องทำหนัก มันไม่เป็นธรรมชาติ เราก็กลับมา สู่ธรรมชาติ มันจะไม่ได้มา เหมือนอย่าง อุตสาหกรรมนั้นก็ช่างมันเถอะ เพราะว่าจะมี ธรรมชาติ จะมีต้นไม้อื่นๆ อะไรผสม ผสาน มันก็จะไม่ได้ต้นข้าวมาก มันก็จะไม่ได้ รวงข้าวมาก เหมือนกับ โอ้โห! นาร้อยไร่ ก็ถางให้มันโล่งเตียนหมดเลย ปลูกแต่ข้าว แล้วก็ใส่ปุ๋ยโด๊ปเอา อะไรเอา มันเป็นวิธีคนที่ตะกละ ตะกลาม แล้วก็หาวิธีที่จะได้มากๆ จนกลายเป็นไม่รู้กี่ร้อย กี่พันปีมาแล้วที่ทำ มันก็กลายมา เป็นอย่างนั้น มันก็เลยกลายเป็น ระบบปลูกสร้างกสิกรรม อะไรก็ตาม ออกนอกเรื่องธรรมชาติ มันล้มเหลว อยู่กันไม่รอด มันมีเหตุปัจจัยตามกันมา เรื่อยๆ แหละ เพราะอย่างนั้น แมลงมา อะไรมา มันก็มากิน สัตว์อะไรมาลงมากินก็ง่ายดาย ไม่มีอะไร ที่จะเป็นที่ที่แบ่งให้พวกนี้ อาศัยบ้าง มันก็เลยกลายเป็นเรื่องมีมลพิษ ต้องเอายา มาปราบ ต้องเอายามากัน มันก็เลย มีสารพิษอะไรใส่เข้าไปใหญ่ ก็เลอะเทอะ

แต่ของเรากำลังกลับเข้ามาหาเกษตรธรรมชาติ นี่ปลูกเข้าไป ให้แซมให้ปน ให้มันเลี้ยงดูกัน ให้มันอยู่ด้วยกันได้ แล้วสัตว์นานาชนิด มันก็จะไอ้ตัวนั้นก็มาพึ่งตัวนี้ ตัวนี้ก็มาพึ่งอันนั้น อันนั้นอันนี้แบ่งกันไปแบ่งกันมา แม้จะไม่ได้ประโยชน์ผลที่มาก อย่างที่เขาตะกละตะกราม อุตสาหกรรมแบบต้องการ อย่างที่เขาทำนั่นน่ะ มันก็พอ มันก็เหลือ ทุกคนเข้าใจแล้ว ความเบา แทนที่จะเป็น กรรมกร หรือว่าเป็นชาวไร่ชาวนา ที่หนัก มันก็จะเบา แม้การทำนา ทำไร่ทำสวน มันก็จะเบาลง เพราะเราเข้าใจธรรมชาติ เป็นกสิกรรมธรรมชาติขึ้น มันจะไม่หนัก เหมือนกับ อย่างที่เขาทำแบบอุตสาหกรรมหรอก อุตสาหกรรมเมื่อมันหนัก ไม่พอแรง คนก็ไปหา เทคโนโลยีมา เทคโนโลยีก็ยิ่งมาทำให้ อะไรต่ออะไรไม่เป็นธรรมชาติ เป็นด้านเป็นแข็ง เป็นอะไรต่ออะไรเละเทะไปอีก

นี่คือเรื่องของเหตุที่มันไม่ถูกทาง มันก็เลยยิ่งเป็นภาระหนัก ยิ่งเป็นเรื่องไม่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นๆ บานปลายไปขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าเราทำถูกทางแล้วมันก็จะบานปลายไปเหมือนกัน บานปลายไป ในทางที่ถูกเรื่อง บานปลายไปในทางที่เจริญ บานปลายไปในทาง ที่จะสมพร้อม งานหนัก ก็จะเบาลง ชาวนาที่ทำอย่างระบบทุนนิยมนี่หนัก หนัก แม้แต่ระบบ คอมมิวนิสต์ ระบบสังคม นิยมก็หนัก แต่ถ้าเราชาวนาทำโดยระบบ สหสังคมเสรีบุญนิยม อย่างที่เราทำนี้ ถ้าเป็นระบบ อย่างนี้ มันจะไม่หนัก มันมีแต่จะเบาขึ้น นี่ถ้าเผื่อว่าเราทำ กสิกรรมธรรมชาติได้ดีขึ้น เจริญขึ้น ไอ้ที่บอกว่า หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ไอ้ที่ว่าหนักแบก หนักหาม นี้อย่างที่ทำอุตสาหกรรม แบบทุนนิยม มันก็จะลดลงมา เหมือนอย่างคอมมูนิสต์ เขาก็ทำ เขาไม่ได้ศึกษา แบบธรรมชาติ เท่าไหร่ ทำไร่ทำนาก็ทำแบบเก่า แต่ว่าถูกกดขี่ แบ่งเอาไปตามระะบบคอมมูนิสต์

ถ้าโลก สังคมนิยมก็ต้องแบ่งให้ส่วนกลางเท่านั้นเท่านี้เปอร์เซนต์ ก็ถูกดึงเอาไปโดยการ จำนน เพราะเขามีกฎมีหลัก ถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้ อยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้น กฎหมายเขา เป็นอย่างนั้น ต้องทำตาม เขาก็ไม่เต็มใจ เขาก็ถูกเอาเปรียบเอารัด เขาก็ว่าอย่างนั้น มันไม่ได้สมบูรณ์ ของเรานี่เต็มใจทำ ฟังให้ดีๆ ว่าเราเข้าใจ เราเต็มใจทำ เราก็ทำไปซิ มันเป็นบุญนะ บุญในตัวจริงๆ ไม่ใช่อาตมาเอาบุญมาล่อคุณนะ คุณฟังดีๆ ซิ ว่ามันเป็นบุญ ตรงไหน ราคาของบุญมันเป็นยังไง ใช่มั้ย แล้วเราก็เต็มใจที่จะสร้างสรร จะเป็นมนุษย์ อย่างนี้ อยู่ เราต้องเตรียมตัว แล้วเราต้องทำ คนมันวิ่งหนีแล้วนี่ มันวิ่งหนีไป เพราะฉะนั้น ค่านิยม ของสังคมนั่นแหละเป็นตัวดีมานด์ กำหนดว่าคนจะต้องไปเป็นคน หนีงานหนัก สมัครงานเบา เป็นคนหาทางเอาเปรียบ

แม้แต่ลูกชาวนาลูกชาวไร่ ก็วิ่งหนีไปหมด แล้วส่งไปเรียนหนังสือ ส่งไปหางานทำ ส่งไปทำมา หากิน เดี๋ยวนี้ พวกชาวนาชาวไร่ก็ไปเป็นนักร้อง ไปเป็นนางหางเครื่อง โอ๊ย! มันหาเงินสบาย มันไม่ต้อง หลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน ได้แต่งเนื้อแต่งตัวด้วย ได้อะไรต่ออะไร ของมันไปตามเรื่อง ตามราว ยิ่งเป็นโลกียะ ลูกสาวชาวนาก็เอาไปเป็นอะไรต่ออะไร หนักเข้า ก็ไปเป็นตัวจิ๊กโก๋ ไปเป็นตัวอะไรต่ออะไรอยู่น่ะ เป็นกรรมกรก็เยอะ ก็เอาไปทำ เหมือนกัน ก็เอาไปปกครอง บ้านเมือง ก็จะไปเล่าไปเรียน ไปมีตำแหน่งหน้าที่ ผู้ชายบริหารบ้านเมือง ไปเรียนไปอะไร ต่ออะไรเอา ไปเป็นอะไรที่มันจะได้ตำแหน่ง ยศศักดิ์ มันจะไปกันใหญ่แล้ว ยังไงก็ตามเถอะ ชาวไร่ชาวนาที่ บอกว่ามี ๘๐% นี่ จิตวิญญาณ มันเหลือ ๑๘% จริงๆ ที่เป็นชาวไร่ชาวนา อยู่ทุกวันนี่ มันไม่อยากเป็นหรอก มันอยากหนี ไปเป็นโน่น เพราะฉะนั้น จริงๆจะเป็น ชาวไร่ ชาวนา เต็มใจอยู่นี่ไม่ถึง ๑๘% หรอก เดี๋ยว เอาทางจิตวิญญาณแล้วกัน แต่ทางกาย มันไปไม่ได้ มันโดนจำนนเป็นชาวนา อยู่ ทางใจน่ะ มันไม่อยู่แล้ว มันไม่อยากเป็นแล้วชาวนา เพราะมันไม่เข้าใจ ขายข้าวก็ถูก กดราคา ถูกกำหนดราคา รัฐบาลก็กำหนดราคาไม่ให้แพง ซึ่งอาตมาอธิบายมาจน ปากเปียก ปากแฉะ หมดแล้ว ถ้ารัฐบาลไม่กำหนด ราคาข้าวให้ถูก ก็ตายกันเท่านั้นซิ ประชาชน มันต้องสอดคล้อง ต้องเข้าใจด้วยปัญญา เฉียบแหลม ต้องรู้ขีวิต มันเป็นอะไรกัน ถูกทางถูกทิศ

อาตมาพาพวกคุณ มาทางบุญชี้ทางบุญพากันทำบุญไม่ได้มาทางทำเรื่องเลวร้ายอะไรเลย แม้แต่ทางบุญทางวัตถุ บุญทางทางที่ขัดเกลา สร้างบุญทางที่จะมาอดทน คุณมาอดทน คุณมาขัดเกลากิเลสอัตตานะ มันขี้เกียจนี่มันอัตตา มันไม่ใช่อื่นหรอกทำงานอันไม่มีโทษ งานที่เราพาทำนี่เป็นงานที่ไม่มีโทษ เป็นงานที่ถูกหลักเศรษฐศาสตร์จริงๆ และเป็นหลัก เศรษฐศาสตร์ที่ลึกซึ้งด้วย ไม่ใช่เศรษฐศาสตร์แบบโลกๆ เศรษฐศาสตร์แบบโลกๆ โน่น เดี๋ยวนี้ นักเศรษฐศาสตร์ใหญ่ๆ ทำมาหากินอะไรรู้มั้ย นักเศรษฐศาสตร์เล่นหุ้น ทำงาน ธนาคาร หรือ ทำการค้า ก็ทำ ประเภทธุรกิจที่จะต้องได้เปรียบมากๆ มีเครือข่ายที่จะต้อง ได้เปรียบทุกอย่าง กอบโกย นั่นน่ะนักเศรษฐศาสตร์ของโลกทุกวันนี้ จะค้าขายอะไร ก็แล้วแต่ คนร่ำรวยของโลก เขานี่ ค้าที่ดิน อยู่ที่ญี่ปุ่น ๒ คน ค้าที่ดินทั้ง ๒ คนน่ะ รวยที่สุด ในโลก เขาสำรวจกันแล้ว รวยที่สุดในโลกอยู่ที่ญี่ปุ่น เป็นนักธุรกิจค้าที่ดินเป็นหลัก นอกนั้นนักค้าอะไรก็แล้วแต่เถอะ นักธุรกิจอะไรก็แล้วแต่เถอะ เขาก็ว่า นักเศรษฐศาสตร์ ผู้ที่จะทำบ้านเมือง ให้มีเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจที่ดี แล้วเขาก็ยอมกันนะ ผู้บริหารบ้านเมือง ก็ต้องคบค้าสมาคม ก็เอาพวกนั้นแหละ เป็นหลักฐานสถิติ ว่าเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจดี เพราะมีงาน เพราะมีงานมากขึ้น คนได้ทำงานขึ้น มีเงินจ่าย เป็นเจ้าของบริษัท เจ้าของ ธุรกิจนั่นๆนี่ๆ เขาก็เอาไอ้พวกนั้น เป็นเครื่องวัด นักเศรษฐศาสตร์เอาพวกนั้นเป็นเครื่องวัด เสร็จแล้วเขาก็ได้เงินมาก

นักธุรกิจ เหล่านั้น จะเป็นนักค้าที่ดิน จะเป็นนักสร้างอุตสาหกรรม สร้างรถยนต์ สร้างเรือบิน สร้างอะไรก็แล้วแต่เถอะ ได้เงินหมุนเข้ามามากๆเขาก็ว่านั่นแหละ เป็นเศรษฐกิจที่ดี หมุนเวียน (พ่อท่านหัวเราะ) กินดิน กับกินเครื่องบิน กินรถยนต์ กินอะไรต่ออะไรเหรอ ไม่ได้กินหรอก ไม่สำรวจชาวนาหรอก นักเศรษฐศาสตร์พวกนั้น ไม่สำรวจชาวนา

อาตมาจะมาสำรวจเศรษฐกิจ มาสำรวจชาวนา ชาวนานี่มีปัญญาอย่างไร เต็มใจอย่างไร ถ้าเต็มใจสร้างสรรข้าว สร้างสรรพืช สร้างสรรสิ่งที่เป็นปัจจัย ๔ เป็นหลักก่อน เครื่องบริขาร ก็ค่อยๆต่อไป เป็นหลัก อันยังชีวิตอย่างดี ไมต้องไปเพ้อสร้างจรวด สร้างเครื่องบิน สร้างอาวุธ นักเศรษฐกิจชั้นสูงนี่สร้างอาวุธ ค้าอาวุธ

ประเทศไทยนี่ถูกหลอกเอาเงินไปซื้ออาวุธมาตั้งเท่าไหร่ๆ เสร็จแล้วก็ไม่อะไรหรอก ไปตีกัน หาเรื่องกัน แทนที่จะเอาแรงงาน เอาทุนรอน อะไรมาสร้าง มาเผื่อแผ่ให้พวกนี้ได้ดำเนินการ กอบก่อปัจจัย ๔ กอบก่อสิ่งที่เป็นสารัตถะแก่ชีวิต ไม่ งบประมาณเอาไปให้โน่น (พ่อท่านหัวเราะ) ไปเป็นงบลับ กระทรวงกลาโหม จะได้เอาไปฟุ่มเฟือย เอาไปผลาญพร่า กัน อะไรก็ไม่รู้ จะได้ไปซื้ออาวุธ กลาโหมต้องป้องกันประเทศ ก็ประเทศที่มันจะต้องมีอะไร ที่คนอื่น เขาไม่เอ็นดู ก็จะต้องมาปล้น ก็ต้องหาอาวุธไว้ป้องกัน หายามหาคนมาตรวจบ้าน ดูแลบ้าน ก็เท่านั้นเอง

แต่ถ้าเผื่อว่าบ้านไหนเป็นบ้านที่มีเมตตา เป็นบ้านที่มีความอุดมสมบูรณ์ แล้วก็เกื้อกูล แจกจ่าย ไม่ต้องมีอาวุธเฝ้าบ้าน ไม่ต้องมียามเฝ้าบ้าน ไม่ต้องมีทหารคอยป้องกัน เอาน่า พิสูจน์ลองดู ไม่มีใครมาทำร้ายอะไรนักหนาหรอก วิธีการอันนี้มันลึกซึ้งกว่ากัน

ระบบพระพุทธเจ้าเป็นระบบอย่างนี้ นี่เราพิสูจน์แต่เล็กๆน้อยๆ นี่เราก็พอเป็นไป แต่ก่อน พวกเรานี่ ขนาดลักเล็กขโมยน้อยยังมีอยู่นะ ตอนแรกๆนี่มัน โอ้โฮ เครื่องหนักๆ ก็ถูกขโมย ไป หนัก ลักเล็กขโมยน้อย เดี๋ยวนี้ก็เบาลงๆๆทุกที ทุกวันนี้เบาลง ก่อนนั้น (พ่อท่านหัวเราะ) ลักเล็กขโมยน้อย แล้วมาลักลำโพง มาลักไอ้เครื่องอะไร ขนาดมาซ่อนในอาสนะ มาซ่อนใน (พ่อท่านหัวเราะ) ธรรมมาสน์ ตอนนั้นไล่กัน ใครยังอยู่บ้างใครจำได้ (พ่อท่านหัวเราะ) มันเอาไปไม่ทัน มันหนี มันซ่อนอยู่ที่ใต้ไอ้นี่ หนีไม่ทัน เดี๋ยวนี้ก็น้อยลง เราพิสูจน์ซิว่า เราเอง เราไม่ได้มานั่งเอาเปรียบเอารัดเขา พยายามที่จะมาช่วยกัน รังสรรค์กัน เกื้อกูลกัน สอนกัน นำพากัน จิตวิญญาณนี่ยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเรามีจิตวิญญาณอันดี ไม่ได้ เอาเปรียบใคร มีแต่จะสร้างสรร มีแต่จะเสียสละจริงๆแล้วนี่ เราไม่จะต้องป้องกันตัวเอง มากมายนักหรอก

เมื่อไม่ป้องกันตัวเองมากนัก ก็จะเอาเงินไปซื้ออาวุธยุทธภัณฑ์ ไปสร้างสรรงบประมาณ ของประเทศไปมากทำไม เอางบประมาณมาสร้างสรรสิ่งที่ควรสร้างสรร ควรบูรณะดีกว่า หมุนเวียนดีกว่า ถ้าเอามาช่วยชาวไร่ชาวนา ชาวไร่ชาวนาก็จะเบาขึ้น มาวิเคราะห์วิจัย ทางด้านเกษตรธรรมชาติ กสิกรรมธรรมชาติอะไรนี่ดีขึ้น มาดูซิว่ามลพิษอะไรต่ออะไร จะปราบ จะปรับยังไง มลพิษนี่มันจะทำให้บ้านเมืองอยู่ไม่ได้ แล้วต่อไปนี่ สำคัญกว่า

อาตมารู้ว่า จุดสำคัญอะไรบ้าง แล้วควรจะทำยังไง ควรจะปรับมายังไง ควรจะมีนโยบาย เป็นกี่ขั้น กี่ตอน สร้างคน แล้วจะสร้างระบบอันนี้ไว้ อาตมาตายแล้วระบบพวกนี้ จะเป็น ตัวอย่าง แล้วคนจะมาวิจัย คนจะมาเรียนรู้ แล้วก็จะเอาระบบพวกนี้อะไรทำเป็นหลักวิชา เป็น หลักการอะไร ไปทำต่อไปในอนาคตอีกหลายร้อยพันปีนะ อีกเป็นร้อยเป็นพันปี จะต้องทำ พวกนี้ มันจะต้องเกิดขึ้นในสังคม ไม่เช่นนั้นมันไม่รู้ความจริงในสังคม มันไปไม่รอดจริงๆ มันทางดิ่งลงไปสู่หายนะ สังคมมันเข้าใจผิดไปหมด เพราะฉะนั้น เหตุที่มันผิด มันก็พาไปสู่ ผลที่ผิด เราถึงพยายามมาจับเหตุให้มันถูก แล้วก็เราจะไปสู่ผล ที่ถูก แล้วก็เป็นชีวิตอย่างที่ มันทวนกระแสกันเลย มันเข้าใจผิดไปหมด หลงว่าอย่างนู้น เป็นความสุข

ก็ทำไมเราไม่เห็นให้ชัดเจนว่า ไอ้ความสุขนี่คือการได้เสียสละ การได้สร้างสรร เป็นความสุข เอาเปรียบมันไปสุขอะไร บำเรอตน ติดยึด สร้างกิเลสหนาขึ้น ๆ บำเรอตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ บำเรอความได้เปรียบได้อำนาจ มันจะไปได้เข้าท่าอะไร อำนาจโดยธรรม ที่เขามาศรัทธา เลื่อมใสเรา กับอำนาจโดยเบ่งโดยข่ม อำนาจโดยที่เขาจำนนนี่นะ มันต่างกันนะ คนที่มา ยอมรับฟังเรา เราบอกดีๆ ฟังแล้วก็เชื่อถือ ดีกว่าไปเอาอำนาจสั่ง เอ็งต้องไปฆ่า ไปยิงปืน ขับไล่พวกที่อยู่ในถนนราชดำเนินอย่างนี้ มันไม่อยากไปเลยนะ แต่มันต้องทำ อำนาจอย่างนี้ มันจะเป็นอำนาจน่าภาคภูมิอะไร ไม่ภาคภูมิหรอก อำนาจอย่างนั้น อำนาจไม่เข้าท่า

ถ้าเราจะบอกใคร บอกว่าอย่าง นี้ๆ แล้วเขาก็ไปทำ หรือบางทีไม่ต้องบอกด้วยซ้ำไป เพราะเขารู้ว่า เราเห็นว่าอย่างใดดี เขาก็รีบไปทำ แล้วก็เป็นกุศลเป็นบุญไปเลย ไม่ต้องใช้ ไม่ต้องเบ่ง ไม่ต้องข่ม เขายินดีที่จะทำ บางทีต่อให้เขาไปทำสิ่งที่ลำบากยากเย็น เราไม่ต้อง ใช้เขา เขาก็เต็มใจจะไปทำ ลำบากยากเย็น แม้แต่จะเอาขีวิตเข้าเสี่ยง เขาก็กล้าที่จะเอา ชีวิต เข้าเสี่ยง เสียสละแทน โดยที่เราไม่ต้องไปบังคับเขาเลย เต็มใจที่จะเสียสละชีวิตด้วย อย่างนี้เป็นต้น มันก็สูงส่ง ตรงกันข้ามกันไปคนละทิศคนละทาง

อำนาจโดยธรรมกับอำนาจโดยโลกมันต่างกันมาก มันไม่ใช่อำนาจเบ่งข่ม ไม่ใช่อำนาจ ที่จะต้อง กดขี่ข่มเหงทางจิตวิญญาณ แต่เป็นอำนาจที่ได้โดยธรรม เป็นอิสรเสรีภาพ เป็นความศรัทธาเลื่อมใส เป็นความยกย่องบูชาเชิดชู เป็นความสยบโดยมีปัญญา เป็นความยอมโดยมีปัญญาที่จะยอมเป็นผู้ที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ร่วมไม้ ร่วมมือกระทำ ในสิ่งที่เจริญงอกงาม มันต่างกัน ความหมายของทางโลก กับความหมายของทางธรรม ที่เป็นโลกุตระ ที่อาตมาพยายามอธิบายอยู่นี่นะ นี่อาตมาขยายให้รู้ จากโลกียะ กว้างขวาง ขึ้นมากมาย ขยายไปกว้าง จนกระทั่ง ไปถึงสมัยใหม่แล้ว เพราะฉะนั้น การมีปัญญา เฉียบแหลม เป็นบัณฑิตนี้ มันจึงไมใช่ปัญญาตื้นๆเขินๆ มันเฉียบแหลม แล้วมันเป็นสัตบุรุษ ท่านบอกว่า พาลนี่ไม่เฉียบแหลม ถ้าเป็นบัณฑิตต้องเฉียบแหลม พาลนี่ไม่ไม่ใช่สัตบุรุษ บัณฑิตถึงจะเป็นสัตบุรุษ ก็จริง สัตบุรุษเป็นผู้ที่มี สัปปุริสธรรม ๗ประการ รู้จักเนื้อหา แก่นแท้ อย่างที่เรากำลังพูดนี่ แก่นแท้ของบุญมันอยู่ที่ไหน แก่นแท้ของสิ่งที่วิเศษที่มนุษย์ ควรได้ มันอยู่ที่ไหน

อัตตัญญุตา ธัมมัญญุตา ชั้นเชิงสลับซับซ้อนนานาชนิด มีชั้นมีรอบ ธรรมะทุกสิ่ง ทุกอย่าง รู้ระดับ รู้ขั้นตอน รู้รอบธัมมัญญุตา รู้เป้าหมาย รู้แก่นแท้ อัตถัญญุตารู้ตัวเรา แล้วก็ใช้ตัวเรา หรือทำตัวเราให้มันเกิดพัฒนา ให้มันเกิดมีบุญ ไม่ใช่ไปทำตนให้เป็นคนไม่มีบุญ เป็นคน มีบาป สั่งสมแต่บาปแต่ภัยแต่อกุศล มีอัตตัญญุตา มีมัตตัญญุตา มีการประมาณ มีการ กำหนด มีการจัดสัดส่วนได้สัดส่วนที่ดี ได้พอเหมาะพอดีทั้งนั้น เสมอๆๆ มีแต่ความเจริญ มัตตัญญุตาประมาณได้ถูก กาลัญญุตา รู้จักกาละ รู้จัก ยุคสมัย รู้จักคราวรู้จักครั้ง รู้จักควร ด้วยกาละเวลา ไปจนกระทั่งถึงยุคสมัย องค์ประกอบอะไรต่ออะไรในยุคนั้น สมัยนั้น วาระนั้น อะไรมันควรจะมีองค์ประกอบ อะไรอย่างไร มีปริสัญญุตา รู้จักบุคคล กลุ่มหมู่ รู้จักคณะ องค์ประกอบ ของคนกลุ่มหมู่นี้อย่างไร เป็นอย่างไรกลุ่มหมู่ของคน อยู่ในระบบของ คอมมิวนิสต์ อยู่ในระบบของสังคมนิยม อยู่ในระบบของเผด็จการ อยู่ในระบบของ ประชาธิปไตย อยู่ในระบบของ สหสังคมเสรีบุญนิยม มีอีกอันหนึ่งขึ้นมา ไม่รู้เขาจะรับฟัง ไหวมั้ย (พ่อท่าน หัวเราะ)

มันเป็นยังไงเราก็รู้ กลุ่มหมู่ชุมชน มันจะเล็กอยู่อย่างกลุ่มหมู่ชุมชน ปริสัญญุตา รู้กลุ่มหมู่ ของเรา ยังเล็กก็เป็นอย่างน้อย แล้วเราเล็กนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่รู้กลุ่มหมู่อื่น กลุ่มหมู่ใหญ่เราก็รู้ แล้วเราก็สมาน สมานัตตตา อยู่รวมกันได้ มีประโยชน์เกื้อกูลกันได้ เราเสียสละได้ การเสียสละเป็นสิ่งเลิศ สิ่งประเสริฐ เราก็ทำได้อยู่อย่างเข้าใจอย่างเต็มใจ เสียสละ หรือทานอย่างมีปัญญา จริงๆ เป็นผู้มีสัตตบุรุษ มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการ สั่งสม ความฉลาด สัตตบุรุษนี่ มีความเข้าใจในรอบถ้วนขึ้นจริงๆ ย่อมคุ้มครองตน ที่ปราศจาก คุณสมบัติ นั่นเป็นคนพาล

ถ้าเป็นบัณฑิตก็จะต้องย่อมคุ้มครองตนที่มีคุณสมบัติ ย่อมคุ้มครองตนที่เจริญนะ เป็นผู้ที่ ประกอบไปด้วยคุณสมบัติ ถ้าเป็นพาลก็ย่อมประกอบ ย่อมเป็นผู้ประกอบไปด้วยโทษ ถ้าเป็นบัณฑิต ก็ย่อมเป็นผู้ประกอบ เป็นผู้หาโทษมืได้ โทษลดน้อยลง เราเป็นพิษเป็นภัย น้อยลง ในสังคมเรามีแต่เป็นตัวบุญตัวสร้างสรร ตัวเกื้อกูล ตัวทำถูกหลักเกณฑ์ ถูกพฤติกรรม ที่ดีทั้งนั้น เป็นตัวบูญ เป็นตัวไม่โทษ นักปราชญ์ติเตียน ไม่ใช่คนกเฬวราก มาติเตียน คนมาติเตียนอาตมานั่นไม่ใช่นักปราชญ์หรอก จริงๆ อาตมาติเตียนเขานี่แหละ อาตมาพูดไป ก็ยกย่องตนเอง อาตมาเป็นปราชญ์คนหนึ่งเหมือนกัน เป็นผู้เฉียบแหลม เป็นผู้ฉลาด คนหนึ่งเหมือนกัน ติเตียนเขา ติเตียนอย่างถูกต้อง ติเตียนอย่างให้รู้ตัว ติเตียนอย่างให้แก้ไขปรับปรุง แต่เขาก็หลงตัวว่าเขารู้ เขาก็หลงตัวว่าเขาเป็นปราชญ์ แล้วเขา ก็ติเตียนอาตมา อาตมาก็พูดเอาข้างอาตมาละ ว่าอาตมานี่ไม่ได้หลง เขาหลง เขาก็ว่า อาตมาหลง วิปริต ผิดทาง เขาก็ติเตียน ให้อาตมาแก้ไข ก็ต่างคนต่างเข้าใจกัน คนละทิศ อยู่อย่างนั้นแหละ จริงๆแล้ว ถ้าเข้าใจถูกทางแล้วก็จะรู้ว่า พวกพาล คนที่เป็นพาล คนที่เป็นผู้ที่ยังเยาว์ ยังโง่ ยังไม่เดียงสา ยังอ่อน ยังไม่รู้เท่าทัน ปราชญ์ก็ต้องติเตียน ถ้าเป็นพาล

ถ้าเป็นบัณฑิต นักปราชญ์ไม่ติเตียนหรอก นักปราชญ์มีแต่จะยกย่อง นักปราชญ์ที่จะเห็น ด้วย มีทั้งนักปราชญ์ มีแต่จะเข้าใจหรือเชิดชู เพราะฉะนั้น ในประเทศไทยนี่หานักปราชญ์ ได้น้อย เป็นคนที่นักปราชญ์ ถ้าเป็นพาลก็ติเตียน ถ้าไม่ใช่พาลก็นักปราชญ์ไม่ติเตียนนะ ถ้าเป็นพาลก็จะประสบกรรม มิใช่บุญเป็นอันมาก ก็คือมีเวรมีภัยนั่นแหละ ส่วนบัณฑิตนั้น จะต้องเป็นผู้ประสบบุญเป็นอันมาก ประสบบุญเป็นอันมาก อย่าเข้าใจว่า อาตมาถูกฟ้องนี่ ไม่เป็นบุญนะ อาตมาถูกฟ้องนี่เป็นบุญเหมือนกัน เป็นบุญชนิดหนึ่ง ที่เราต้องมองให้ออก ว่าเป็นบุญอะไรยังไง ประสบบุญเป็นอันมาก เราทำอยู่ทุกวันนี้ เราก็ประสบบุญอยู่ตลอด เวลา ได้ขัดเกลา บุญญะนี่ขัดเกลากิเลสนั่นอย่างหนึ่ง นอกจากขัดเกลากิเลสแล้ว เราก็ยังได้สร้างสรร เราก็ยังได้สั่งสมกุศลต่างๆนานา ได้เสียสละ ได้เรียนรู้ เรียนรู้สิ่งที่เป็น สารัตถะ เรียนรู้สิ่งที่มันเป็นคุณค่า

อย่างที่อาตมากำลังพูดนี่ บอกว่าเราจะต้องมารับผิดชอบสัมมาอาชีพ การงาน ที่มันเป็น สัมมาอาชีพ เป็นการงานที่ต้องแบกหาม เรามาเป็นกสิกรทำไร่ ทำนา เราจะต้องมาดู เสื้อผ้า หน้าแพร ที่จะต้องรู้จักพัฒนา ที่จริงเสื้อผ้าหน้าแพรนี่ มันซ้อน เมื่อวานนี้อาตมา ก็พูดถึงว่า เราจะทอแต่ผ้าฝ้าย ผ้าอะไรนี่ มันไม่ทันการแล้วละ เดี๋ยวนี้เขามีไยสังเคราะห์ อะไรเราก็รับ พอสมควร เสร็จแล้วเราก็พออาศัยเสื้อผ้าหน้าแพรที่ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยนั่นนะ มันถูกสัดส่วน ทุกวันนี้ เสื้อผ้าหน้าแพรที่มันมากมันเฟ้อ มันเกินไปแล้ว มันไม่ถูกสัดส่วน แล้ว มันเฟ้อ มันเสียเวลา เพราะฉะนั้น เรื่องเครื่องนุ่งห่มนี่ไม่หนักหนาเท่าไหร่หรอก กิจการ ทางเครื่อง นุ่งห่ม ของพวกเรานี่ เราก็ไม่ต้องไปสงเคราะห์ทางโลกเขามากนัก เพราะฉะนั้น ถ้าทำพึ่งตนเองได้ มีการขาย มีการใช้ผ้าใช้ผ่อนอะไรของเราเองอยู่ ในนี้ หรือว่าที่จะมีดีๆ งามๆ เป็นศิลปวิทยาของเรา คนข้างนอกเขาก็ชมเชยอะไรไปบ้าง ก็เป็นเรื่องของเรา ที่จะเป็นไป มันจะเป็นอย่างที่เราเป็น การสร้างบ้าน สร้างเรือน การสร้างที่อยู่อาศัย การสร้าง ที่อะไรต่ออะไร เราก็เข้าใจตามที่มันพอเป็นไป พึ่งตนได้ด้วยปัจจัย ๔ เราทำเหมือนกัน

เป็นช่าง ก็ช่างที่ราคาถูก ช่างที่รู้จักสารัตถะ ไม่ใช่ฟุ้งเฟ้อจนเกินการ ตอนนี้เราก็ยังไม่ค่อย มีช่างสร้าง เอาละ ถ้าเผื่อจะช่างแล้ว ก็ไม่ควรจะช่างก่อสร้างอย่างเดียว ควรจะเป็น ช่างหมด รวมไป อยู่ในสถาปนิกนี่หมดละ ทั้งวิศวะก็อยู่รวมกัน เพราะฉะนั้น ช่างนี่มันต้อง ช่างทั้งนั้นแหละ สร้างเครื่องอาศัยเป็นเครื่องอุปโภค ถ้ากินก็เครื่องบริโภค, เครื่องอุปโภค จะเป็น เครื่องใช้ ไม้สอย จะเป็นวัตถุสมบัติอะไรที่จะต้องอาศัย ไปจนกระทั่ง ถึงบ้านเรือน มันน่าจะรวมเข้าไปถึงขนาดนั้นในปัจจัย เสร็จแล้วก็ยารักษาโรค หรือว่าการสาธารณสุข นี่เราก็กำลังพัฒนา เพื่อที่จะให้เป็นการยังอยู่ เป็นปัจจัย ๔ ที่ดี การสาธารณสุขนี่ เราทำ อะไร ก็ทำเหมือนเขา เสร็จแล้ว เราก็อยู่ในระบบบุญนิยมของเราทั้งนั้น เสื้อผ้าหน้าแพร อาหารการกิน การรักษาโรค การสร้างการสรรวัตถุสมบัติ อุปโภคอะไรต่างๆนานา ก็จะอยู่ ในระบบบุญนิยม เพื่อสะบัดออกไป อย่างถูก อย่างเสียสละ มีคุณภาพดีได้สัดส่วน ไม่ใช่เฟ้อ ไม่ใช่เกิน แล้วเราก็ทำอย่างเขา แต่ไม่เหมือนเขา

หรือจะเป็นเรื่องอื่นที่บานปลายออกไปกว่านั้นบ้าง ที่โลกยังต้องอาศัย เช่นสื่อสาร สมัยโบราณ อาศัยเดินพูด เดินบรรยาย เดินสอน สมัยนี้มันไม่ทันการ ก็มีสื่อสาร มีอะไร ต่ออะไร เราก็มีกิจการสื่อสาร เราก็จะต้องทำการศึกษา สื่อสารการศึกษาสำคัญมาก สื่อสารกับการศึกษา ทุกวันนี้เราก็ใช้ เราก็จัดให้มันได้สัดส่วน ให้มันได้สังคมที่มีสิ่งเหล่านี้ พอดี หลายๆ อย่างเรายังไม่ต้องไปวุ่นวายกับเขา ยังไม่ต้องไปเอามาเป็นงานการ มาเป็น อาชีพ แต่การงานอาชีพที่เรากำลังเป็นอยู่นี่ กำลังดำเนินไปอยู่นี่ มันจะเกิดสังคมของ บัณฑิต ไม่ใช่สังคมของคนพาล ประกอบไปด้วยบุญเป็นอันมาก ที่เราได้ทั้งขัดเกลา ที่ได้ทั้ง เป็นประโยชน์ เป็นอานิสงส์ ที่เราจะได้เป็นบุญสะสมไปในตัวเรา เรารู้ว่าอะไรเป็น บุญที่สะสม สะสมอย่างไร เราต้องมีปัญญาเฉียบแหลมไปทางปัญญาที่ลึกซึ้ง ไปในทิศ ทางของอลมริยา ไปในทิศทางของผู้ที่เป็นอริยะอย่างแท้จริง


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรรีรัชต์ ๗ สิงหาคม ๒๕๓๖
ตรวจทาน ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๒ สิงหาคม ๒๕๓๖
พิมพ์โดย สมเกียรติ ลี้เจริญรักษา ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๓๗

LUK1A-B TAP