คนจนนี่แหละช่วยโลก
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๓๖
ณ พุทธสถานปฐมอโศก


.... เกี่ยวแต่เฉพาะอาตมา แฟนคนแรกมีลูก และอาตมาก็เลยบอกว่า เด็กคนนั้นคงจะอายุ ๓๕ ละกระมังป่านนี้ ซึ่งที่จริงมันคงผิดนะ ไม่ใช่ ๓๕ หรอก คง ๔๐ กว่า เด็กคนนั้นป่านนี้ คงอายุ ๔๐ กว่าแล้ว ไม่ใช่ ๓๕ ถ้าเป็นลูกคนแรกของอาตมาก็ คงอายุ ๔๐ กว่านั่นแหละ ๔๐-๔๑ ได้ในราวๆ นั้น ตอนนั้นพูดไปมันไม่ได้คิดเท่าไหร่ มันไม่ได้คิดมันพูดบ่นๆ ผ่านๆ เลย นึกเอาเท่านั้นเอง ก็เลย โอ๋ คงจะสัก ๓๕ ได้ละกระมัง แต่จริงๆ แล้วมันผ่านมาดูลึกๆ ดู พ.ศ. ดูเวลาแล้วมันอายุ ๔๐ แล้วละ แล้วไม่เคยเจอกันตั้งแต่เล็กๆ นั่นเคยไปอุ้มไปเลี้ยง ไปที่บ้านเขาน่ะ ที่จริงพ่อแม่เขาสนิทอาตมา ก็สนิทสนมไปบ้าน บ้านเขาอยู่ในเมือง มีบ้าน อยู่ต่างจังหวัด พอเขาคลอดแล้วเขาก็เอาไปให้พ่อแม่ พ่อแม่เขาอยู่ต่างจังหวัด เขาไปเลี้ยง อยู่ที่ต่างจังหวัด อาตมาก็ยังไปที่ต่างจังหวัดเลย ยังไปค้างที่บ้าน ทางโน้นเขา อะไรอยู่เลย น่ะ นี่ก็เป็น เหตุการณ์ที่มันเป็นบุญชนิดหนึ่งของอาตมา มันเป็นเครื่องทดสอบ

อาตมาไม่ได้โกรธ ไม่ได้แค้นไม่ได้เคืองไม่ได้ถือสาอะไรนะ เห็นแต่ว่า เอ๋มันมีความรู้สึก แปลกๆ เหมือนกัน มันนึกทบทวนดูแล้วเดี๋ยวนี้ก็ว่าทำไมเราไม่เหมือนคนโลกๆ เขา แทนที่ จะโกรธแค้นอาฆาต หรือว่าถือสา เห็นเป็นเรื่องปกติ ไปก็ไป มีลูกก็มีอะไรอย่างนี้ มันก็แปลกนะ จิตใจไม่ได้มีอะไร ก็ไปเรื่อยๆ ก็แล้วกัน เป็นอย่างนั้นก็เป็นไป อะไรอย่างนี้ จิตมันก็แปลกๆ มันก็ไม่เหมือนคนโลกๆเขา มาดูเราแล้ว ก็ไม่เหมือนคนโลกๆ เขามา แต่ไหนๆแล้ว แล้วก็แล้วไป เป็นก็เป็นไป แล้วเราก็กลับพยายามให้เขา อย่าไปคิดว่า เราจะไปโกรธ เราจะไปอะไร กลับไปคิดอย่างนั้น อย่าไปทำอะไร อย่าไปคิดอะไรขึ้นมา ก็ยังไปมาหาสู่ ก็ยังอะไรต่ออะไร ก็อย่างที่เป็นว่าไปสนิทสนมอย่างไร ก็สนิทสนมอยู่ อย่างนั้น อะไรต่ออะไรไปเหมือนเดิม อะไรอย่างนี้น่ะ

และที่อาตมามามองไปอีกอย่างหนึ่ง ที่มันมีเหตุการณ์อะไรต่างๆ นานานี่ มันเรื่องของ บทเรียน จะเรียกวิบากก็วิบาก จะเรียกว่าบทเรียนก็บทเรียน อาตมาจึงเห็นว่า ชีวิตมนุษย์ นี่ ตามฐานะของ แต่ละบุคคล มันจะมีวิบาก มีบทเรียนที่เราเอง เราอย่าไปท้อแท้กับ บทเรียนต่างๆ อย่าไปท้อแท้ อย่าไปมองว่า มันเป็นเรื่องเลวร้าย ในบทเรียนและสิ่งที่ จะมาผจญกับเรา อย่าไปมองว่า เป็นสิ่งที่ เลวร้าย มันจะดูไม่เหมือนคนอื่น ดูมันหนักหนา ดูมันแสนทุกข์อะไรก็ตามแต่ มองให้เห็นว่า มันไม่ใช่เรื่องที่มันจะคอขาดบาดตายอะไร เกินไปนักหรอก และเราก็พยายามที่จะพิจารณาทำให้ดี ถ้าทำอะไรดีแล้วทุกอย่างแล้ว มันจะไม่มีอะไรแรง

ถ้าสมมุติว่าเราเจอวิบากขนาดนั้นมันสู้ไม่ได้จริงๆ มันหนักๆ ก็ไม่เป็นไร มันหนักก็เราสู้ ไม่ไหว ก็ถอยหรือว่าว่างลดลงไปบ้าง เอาแต่พอประมาณ แต่รู้แล้วว่าอย่างนี้ไม่ต้องไป เสียใจ ไม่ต้องโกรธ ให้มันเสียแคลอรี ให้มันเสียพลังงาน คนเรานี่ถ้าไม่ชอบใจนะ โกรธ พลังงานถดถอย ทำอะไรก็ไม่ดีขึ้น โลกนี้ไม่น่าอยู่ อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันไม่ดี ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราไม่มีสภาพที่เรียกว่าท้อแท้ ไม่ชอบอะไร อย่างนี้ ถ้าเราไม่มีๆ แต่ว่า เออ กลาง หรือว่าแถมยินดีด้วยซ้ำไป มองไปในแง่ดีว่า เออ น่าสนใจแฮะ น่าพิจารณาพิเศษแฮะ น่าดำเนินลุยต่อแฮะ เออ ถ้าอย่างนั้นซิจะมีกำลังจะมีอะไรต่ออะไรดีขึ้นด้วยซ้ำ

อาตมาว่าชีวิตที่อาตมาเจอะเจอมาหลายๆอย่าง ที่มันดูแปลกๆ อาตมารู้สึกอย่างนั้น มาตลอดสาย มีอะไรแปลกๆที่ไม่น่าเป็นก็เป็น ไม่น่ามีก็มีได้ แต่อาตมาก็เฉยๆ ไม่ได้ท้อถอย ไม่ได้ท้อแท้ ไม่ได้กลัว เหตุการณ์หลายเหตุการณ์ โอ้ โฮ ในชีวิตที่เจอมานี่ มันแปลกๆ กว่ามนุษย์มนาเขาหลายๆ อย่าง บางทีมันดูจะร้าย มันดูจะน่าเสียใจ ก็ไม่เสียใจ ไม่โน่นไม่นี่อะไร จิตใจไม่ได้เป็นอย่างนั้นมาตลอด นี่ก็คงเป็นจิตใจที่อาตมา ได้ฝึกปรือมา มันก็อาจจะไม่เหมือนมนุษย์ธรรมดาบ้างก็ได้ แต่อาตมาคิดว่า มันเป็นเรื่อง ที่น่าจะเล่าสู่พวกคุณฟัง ว่ามันดีใจที่เราไม่ต้องท้อแท้ ถดถอย หรือว่าช่างเสียใจง่ายๆ อาตมาดูไม่ค่อยเสียใจอะไรง่ายๆ ไม่ค่อยเสียใจง่ายๆในชีวิตที่ผ่านมา แต่เหตุการณ์ แปลกๆ ร้ายๆ แรงๆ นี่ อย่างโน้นอย่างนี้มา ซึ่งถ้าเป็นคนเดี๋ยวนี้แล้วคงจะฟืดฟัดๆ อะไร ไม่รู้กี่ที แต่อาตมาก็ไม่มี ปัญหาอะไร ไม่ค่อยจะมีปฏิกิริยาทางด้านจิตที่จะต้องเสียใจ ต้องอ่อนแอ ต้องอ่อนใจ หรือว่ากลุ้ม ประเภทกลุ้มๆๆๆ อะไรมากๆ อย่างนี้

อาตมาไม่เคยในชีวิตตั้งแต่เกิดมา กลุ้ม แหม อย่างอาตมาเห็นๆพวกเรากลุ้มๆๆ อย่างที่ อาตมาเห็น มันกลุ้มยังไงพวกนี้ ว่ากลุ้ม แม้แต่เครียดอย่างนี้เป็นต้น ไอ้อย่างกลุ้มๆ อาตมาไม่เคย เห็นกลุ้มๆ อย่างนั้นสักที เสียใจอะไรอาตมาไม่เคยนะคู่รักหักอก ไปมีแฟน ไปมีลูก อย่างนี้ก็ไม่เคยกลุ้มอะไร ไม่กลุ้มละ มีเรื่องนั่นเรื่องนี่อะไรต่างๆ นานา ไอ้ ตอนที่ อาตมาถูกข่มขืนก็เหมือนกัน ผูกมัดด้วยนะ จะต้องแต่งงานกับอาตมาด้วยนะ จะต้องอย่างโน้นอย่างนี้อะไร อาตมารู้เลย อาตมาก็รู้ เออ เอา มันจะเป็นอย่างไรก็เป็น ไม่ได้กลุ้มอะไรนะ ไม่กลุ้ม ทั้งๆที่ตอนนั้น อาตมากำลังเรียนอยู่ ยังไม่ได้ เรียนจบอะไรหรอกตอนนั้นนะ ยังเรียนอยู่ บอกเออ เรานี่จะต้องแต่งงานก่อนเรียนหรือไง ก็ยังนึก แค่นั้นเอง เอาแต่งก็แต่ง เขาว่าต้องรับผิดชอบ เอารับผิดชอบก็รับผิดชอบ ก็ไม่ว่าอะไรก็ปล่อยไป ก็ค่อยๆ คลี่คลาย มันก็ไม่มีอะไร ไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไร ผลสุดท้ายมันก็ผ่านๆ ไป ก็ไม่มีอะไร ที่มันน่าจะต้อง ว่าอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องถึงขั้นต้องรุนแรงหรือว่ามีเรื่องโน่นนี่ อะไร

ซึ่งอาตมานึกถึงตัวเองแล้ว ตัวเองก็ไม่เห็นมากลุ้มอะไรมากมาย กลุ้มๆ อย่างที่ว่าๆ ก็ไม่เห็น กลุ้มอะไร ก็ธรรมดา ไปเรียนก็ไปเรียน ถึงเวลามาประจันหน้ากัน ก็ประจัน หน้ากัน ก็เท่านั้นเอง ไม่ได้โวยวาย โหวกเหวกไปไอ้โน่นไอ้นี่อะไร และไม่ค่อยมีใครรู้ มีน้องสาว คนโตรู้อยู่คนเดียว ที่บอกไว้เรื่องนี้น่ะ คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครรู้ๆ อะไรมากมาย ไม่รู้เขาจำได้หรือเปล่า น้องสาวคนโต กิ่งรักน่ะเคยรู้เรื่องนี้ ก็เท่านั้นเอง ก็ไม่มีเรื่องอะไร มากน้อยก็ไม่มีอะไร มันน่ากลุ้ม จริงนะ แต่ก็ไม่เห็นกลุ้มอะไร ก็ยังนึกว่าเรา เอ๋ เราเอง ในชีวิต เกิดมาไม่เคยกลุ้ม ผ่านอะไรมาสารพัดสารเพที่ก็ผ่านเรื่องนั้นเรื่องนี้ต่างๆ นานา ไม่เห็นกลุ้มอะไร สอบตกเรียน ม.๖ คะนองหน่อย เป็นหนุ่มไก่แจ้มากไปหน่อย สอบตก เรียน ม.๕ ขึ้น ม.๖ สอบได้ที่หนึ่ง เรียน ม.๖ ตกเลย ซ้ำชั้น ก็ไม่เห็นกลุ้มอะไร ก็ธรรมดา ไม่เห็นเสียหน้าเสียใจอะไร ตกก็ตกน่ะ ก็เฉยๆ อย่างนี้เป็นต้น ไม่กลุ้มไม่เสียหน้า ไม่รู้สึก อายอะไร ก็ธรรมดาตกก็ตก ก็เราไม่ดีก็ตก ก็เรียนใหม่ ก็ธรรมดา อย่างนี้เป็นต้น เหตุการณ์ หนักๆ หนาๆ ก็ดูอย่างสภาพชีวิตของคนเราเขาถือสา เขาจะกลุ้มจะอะไรก็อย่างที่ว่านี่ ก็ไม่มีอะไร

แม้แต่ที่อาตมาต้องต่อสู้กับความยากความจนมาอยู่ในเมืองกรุงเทพฯ แม่ป่วยเสียหลาย ปี ฐานะก็แย่ พ่อก็ผลาญสมบัติไป ผลาญเรื่อยๆ อะไรอย่างนี้ จนกระทั่งหมดเนื้อหมดตัว อาตมาจนออกจาก หอพักนะ ไปอยู่หอพัก ไม่มีสตางค์ต้องออกจากหอพัก มาระเหเร่ร่อน อยู่กับหมู่ กับเพื่อนกับฝูง ไปขอซุกบ้านโน่น บ้านนี่ที่ไปตามเรื่องตามราวไป ก็ไม่กลุ้มอะไร ไม่มีข้าวจะกินนะ ต้องหวดน้ำประปา รุ่งเช้าขึ้นมาก็ท้องเดินเลย ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร มีสตางค์อยู่ ๕ สตางค์ขึ้นรถรางไปซื้อข้าว ก็จานละ สลึง ที่วรจักรนั่นนะ เขาขายแผงลอย ตลาดนี่ ข้าวราดผักราดแกงราดอะไรต่ออะไรจานละ ๕๐ สตางค์ ก็ไม่มีสตางค์จะกินเข้าอีก มีสตางค์๒๐ สตางค์ มีอยู่ ๒๐ สตางค์ ขึ้นรถราง ๕ สตางค์ กะไปบ้านนี้ ตรงเวลากินข้าว เขาจะได้เรียกกิน ก็เรารู้นี่เคยไปบ้านน่ะ บ้านสนิทๆ กัน เพ็ญ ปัญญาพล เป็นนัก พากย์หนัง พากย์หนังอินเดียที่เท็กซัส กะไปเลยนะ ไปตรงเหมือนกัน ตรงเวลา เขากินข้าวพอดี กำลังนั่ง ตั้งวงกินข้าวพอดีเลย เข้าไปถึงก็ทำกะลี้มกะเหลี่ย ท่าไหนไม่รู้ เขาเรียกกินเหมือนกัน อาย ไม่กล้ากิน อาตมาแปลกใจ ทำไมเว้ย ก็เรา ตั้งใจจะไปกินข้าว ไปให้มันตรงเวลา เราจะได้อาศัยกินข้าว สักมื้อ มันหิวข้าวจะได้กิน ข้าวไม่กิน ไม่กล้ากิน มันไปเจอท่าไหนก็ไม่รู้ พูดท่าไหนก็ไม่รู้อาย ไม่กล้า กินข้าว

ถ่อกลับมานอน ตอนนั้น ก็ไปอาศัยบ้านเพื่อน บ้านพี่เขา ตอนนั้นเขาไม่มีใครอยู่ เราก็ไป อาศัยหลบพัก อาศัยบ้านหลังนั้น อยู่เหมือนบ้านร้าง มันก็ไม่มีอะไร กลับไปก็ไม่ได้กินข้าว หวดน้ำประปาเข้าไป ก็นอนต่อ รุ่งเช้ามาขี้ไหลเลย ตามประสาไป ก็ไม่กลุ้มอะไรนะ ก็ไปตามเรื่องตามราว กางเกงมีอยู่ ตัวหนึ่ง ไปโรงเรียนปะแล้วปะอีก ชุนแล้วชุนอีก อาตมาชุนผ้าเก่ง เพราะเหตุนั้น ไอ้ก้นมันขาดมันยุ่ยนะ เราก็ดึงไอ้ด้ายของในตัวกาง กางเกงเอง ถอดด้ายในขากางเกง ชุนไม่ให้มันเห็นว่าเป็นกางเกงขาด ชุนเหมือนคนจีน เขาชุน นั่นน่ะ แต่อาตมาชุนเหมือนดอกไม่เป็น อาตมาชุนได้เหมือนรายผ้าเดิม ให้เหมือน ลายผ้าเดิมที่สุดเท่านั้นเอง ชุนแล้วก็นุ่งห่ม ไปใส่ไปตามเรื่องตามราว ก็ไม่เห็นกลุ้มอะไรนะ ยังนึกภาคภูมิตัวเองด้วยซ้ำไปนะ ว่าใครจะมาเจออย่างเราหนอ ใครจะมาเจออย่างกูหนอ อะไรด้วยซ้ำ ไปน่ะ ภาคภูมินะ รู้สึกภาคภูมิในใจตัวเองว่า เออ เราเจอดีนะ เราต้อง อุตสาหะ วิริยะ อะไรต่างๆ นานา นึกไปอย่างงั้นด้วยซ้ำไป ไม่ได้กลุ้มไม่ได้อะไรเลย

เรียนก็เรียนไปซิ เรียนหนังสือก็ไถเพื่อนตะพึด ไม่มีเงินซื้อสี ไม่มีเงินซื้อไอ้โน่นไอ้นี่ ก็ไถเพื่อน ตามเรื่อง ตามราว เพื่อนเขาก็ไม่ว่ายังไง เราก็มีท่าทีเราก็มีศิลปะตลกรักษาโลก เขาก็เรียกว่า ตลกกินกายละนะ อาตมาพูดเพราะหน่อยตลก กินกับเพื่อนกับฝูง ไปตามเรื่องตามราว ปะเหลาะปะแหละ ใช้ศิลปะ อะไร ไปตามเรื่องตามราว ก็ไปเรื่อย ตามเรื่องนะ ก็เป็นไปได้ อาตมาก็เลยต้องดิ้นรนหางาน หาเงิน ทำโน่น ทำนี่เอาไปได้เงิน จนกระทั่ง ได้ไปส่งหนังสือพิมพ์ ตอนนั้นยังไม่ได้ส่งหนังสือพิมพ์ ได้หนังสือพิมพ์ ก็เลย ได้งานหลัก นอกนั้น ก็ทำโน่นทำนี่อะไร ไปตามเรื่อง อะไรที่มันได้เงินก็เอาหมดน่ะ จนได้ส่ง หนังสือพิมพ์ประจำ ขอรถมาจากลุง จักรยาน ซึ่งลุงเขาเคยใช้ตั้งแต่เป็นแพทย์ ประจำจังหวัดไปเรื่อยๆ เขาใช้จักรยานนี่ขี่ จนกระทั่งคันนี้ ขอก็ให้มา คุณลุงนี่ ยอดขี้เหนียวที่สุด ไม่น่าจะให้ แต่เราก็ไม่รู้ จะทำยังไง ไม่มีทางอื่น ผลที่สุดให้

พี่คนหนึ่งพี่ชายห่างๆ ก็แปลกใจ เออเก่ง เอ็งขอรถคันนี้จากลุงมาได้ เก่งมาก สามารถมาก ที่ขอลุง สามารถที่จะให้รถคันนี้ได้นี่ เก่งมากนะ เพราะธรรมดาลุงนี่ขี้เหนียวมาก จะให้ของใคร ไม่ได้ง่ายๆ ให้มาได้ เราก็ได้อาศัย คันที่ถ่ายรูป ที่ใส่ลงในหนังสือนั่น ปั่นจักรยานคันนั้น ก็ส่งหนังสือพิมพ์ได้ เป็นรายได้ประจำพอได้เลี้ยงชีวิต ได้เดือนหนึ่ง สองร้อยๆ เรียนหนังสือรอดอยู่ได้ๆ ก็มีโน่นนี่ ก็มีวางแผง และก็เก็บเปอร์เซ็นต์ ได้เปอร์เซ็นต์ เวลาขายเวลาอะไรเมื่อหนังสือวาง เพราะว่าส่งสมาชิกด้วย และก็วางร้าน วางแผง ก็ได้เปอร์เซนต์ จากหนังสือที่เขาขายจากร้าน จากอะไรก็เรียนหนังสือมา อะไรต่ออะไรลุยๆ มาเรื่อยๆ อย่างนั้น ชีวิตก็ดีเออ สนุกดีนะ เหมือนฮิบปี้ ไอ้ตอนที่มันเซๆ ซังๆ หนักๆ อาตมาเหมือนฮิบปี้ ผมเผ้าก็ไม่ตัดแล้วเอาไว้ มันฟูเลยที่เห็นนะ อะไรต่ออะไร รองเท้าผ้าใบ คู่หนึ่ง กางเกงขาสั้น ที่จริงไปเรียนหนังสือแล้วใส่ขายาวแล้วนะ แต่เวลานั้น ก็ต้องเปลี่ยน เป็นกางเกงขาสั้น ก็เพราะว่านุ่งมากก็ไม่ได้ เพราะว่ากางเกงขายาว มีตัวเดียว ที่บอกว่า ต้องชุนบ่อยๆ ต้องนุ่งกางเกง ขาสั้นนี่ ขายาวก็เอาไปโรงเรียน ขาดก็ต้อง ชุนอะไรไปสนุกดี ผ่านชีวิตอะไรมาสนุกดี แต่ไม่เคยท้อแท้ สู้ ขยันนะ

บางทีนี่หิ้วน้ำที่บ้านนี่ หิ้วน้ำไปให้เขานี่เขาก็ให้ ๑๐ สตางค์ ก็ต้องทำนะ มันมีอยู่บ้านหนึ่ง มันต่อน้ำ ประปาเอาไว้ และในย่านนั้นน้ำประปาไม่ได้ไปทั่วทุกบ้าน เราก็ไปหิ้วน้ำจากที่นั่น ที่เขานั่นแหละ ซื้อจากราคาต่ำแล้วก็หิ้วไปส่งบ้าน ก็เหมือนหาบน้ำขายนั่นแหละ แต่ก็ไม่ถึงหาบ อาตมาเอาเพียง แต่หิ้วสองถัง บ้านไหนต้องการน้ำ ก็หิ้วไปส่งให้เขา เราก็ได้ สตางค์มา อะไรอย่างนี้ก็ทำไป สนุก ก็ไม่ได้ท้อแท้ ก็ไม่ได้ท้อถอย มันรู้สึกภาคภูมิ

เหมือนอย่างที่อาตมาเคยเล่า แม้ฐานะแม่ยังไม่ได้ทรุดโทรมอะไร ตั้งแต่สมัยยังอยู่กับแม่ อยู่บ้าน ฐานะแม่นี่ เขาเรียกคุณนายนะในอำเภอนั้นเขาเรียก คุณนายนะ แต่เราก็ไปแบก ของขาย เป็นกุลี รับจ้างแบกของท่ารถไฟ อย่างที่เคยเล่า อย่างนี้เป็นต้น ก็ไม่รู้สึกอาย ไม่รู้สึกว่า เราเองทำชั่ว เราทำเสียหน้า เราทำต่ำ เสียศักดิ์ศรีอะไร ไม่ เราก็ไปแบก ไปเป็นกุลี รับจ้าง แบกของไหมครับ คนลงมาจากรถไฟ ขนของเหมือนอย่างที่หัวสำโพง แต่เขามีรถเข็นรับของ ของเรานี่ไม่เข็น แบกจริงๆ เลย แบกใส่บ่าเลย แล้วก็มาส่งถึงที่ มาโรงแรมมาอะไร ก็มารับจ้าง มีเปอร์เซนต์ด้วยนะ พักโรงแรม ไหมครับ โรงแรมนั้น โรงแรมนี้ รับของไปส่ง โรงแรม ก็ได้คอมมิชชั่น เขาให้คอมมิชชั่นนะ รับมาพัก โรงแรม มันแย่งกัน จะพักโรงแรมไหน เราก็พามาโรงแรมนั้น แบกของก็ได้ค่าแบก พามาโรงแรม เราก็ได้เปอร์เซนต์พักที่โรงแรมอีก อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ทำไปตามประสา ได้เงินได้ทอง ใช้เองโดย ไม่ต้องขอแม่ ได้เงินกินขนม เรารู้สึกไม่เป็นปัญหาอะไร ทำสารพัดก็ทำ

มาบ้านเอาของไปขายต่อ อยู่ที่บ้านแม่นี่ขายสารพัดขายถ่านขายอ้อย ขายโน่นขายนี่ รับมาขาย ก็ค่อยเข็นไปขาย บ้านก็อยู่ที่ร้าน เราก็เข็นจากที่ร้านนั่นแหละ เอามาขาย ซึ่งแม่ก็แนะ นิดๆหน่อยๆ เราก็เอา แต่น้องนุ่งคนอื่นไม่มีใครทำ น้องคนอื่นเขาไม่มีใคร ทำเลย แปลกเราก็ไม่มีปัญหาอะไร เขาไม่ทำเราก็ทำ เราชอบนะ พอกลับมาจากโรงเรียน มาถึง ก็เข็นรถถ่านขายต่อ ขายไปเจอหน้าเพื่อนฝูง ก็เรื่อยๆ เหมือนหนังเรื่องจากธุลีดิน เราต้องเข็น ของขายอะไรอย่างนี้ ทำอย่างนั้นน่ะ แต่ว่าฐานะ ของเราดี ไม่เหมือนกับพวกนี้ หรอก ฐานะดี แต่ก็ทำ อาตมาทำทุกอย่าง ขายปลาร้าก็ขาย ถ่านก็ขาย ขายอ้อยขายถั่ว ขายเกาลัด ขายอะไร ขายสารพัดขาย แล้วแม่ทำขนมทำห่อหมกหาบขาย ร่อนไปหมด ทำขนมถ้วย ก็หาบขนมถ้วยไปขายทั่วหมดน่ะ แม่ทำขนมออกหน้าร้าน ก็มานั่งหน้าร้าน ขนมต่างๆ น่ะ ขนมหม้อแกง ขนมชั้น ขนมโน่นขนมนี่ขนมหวานเอามาขายตอนเย็น ตั้งที่หน้าร้าน เราก็มา นั่งขาย ถักผ้าเช็ดหน้า ไปนั่งขายขนม ดูๆ เหมือนบ้า ผู้ชายอะไร ทำสารพัดสาระเพ นั่งขายขนม แล้วก็ถัก ผ้าเช็ดหน้า บางคนก็ยังคอยเย้าคอยแหย่ ไปทำ อย่างโน้น อย่างนี้ ไอ้เราก็เฉยๆ เราก็ไม่ว่าอะไร ไม่เห็นเป็นอะไร แต่อาตมาก็ไม่เคยมีจิตใจ เป็นผู้หญิงนะ ไม่เคย จะเป็นลักษณะกะเทย จะเป็น ลักษณะ ผู้หญิงไม่เคย ไม่เคยมี อารมณ์เป็นผู้หญิงอย่างนั้น ไม่เคย แต่ทำสารพัด ผู้หญิงเขาทำได้ เราก็ทำได้ซิวะ อะไร อย่างนี้ ไม่เห็นมีปัญหาอะไร ผู้หญิงทำได้งานผู้หญิง ทำไมผู้ชายทำไม่ได้ก็ทำ พอทำได้ ก็ทำไปอย่างนี้เป็นต้น ไม่ได้ติดใจอะไรนะ

นี่ก็เล่าสู่ฟังว่าชีวิตมันผ่านอะไรต่ออะไรให้เราได้เรียนรู้เป็นเรื่องละเอียดในชีวิต ถ้าเผื่อว่า ใจเราสู้ อาตมาไม่เคยพูดว่าอาตมาเป็นคนขี้เกียจนะ เป็นคนขยันมาแต่เห็นๆ แต่เด็ก แต่เล็ก เป็นคนขวนขวาย อาตมาว่าอันนี้มันเป็นสิ่งเราได้ตั้งแต่ปางไหนก็ไม่รู้ ขวนขวาย โน่นๆ นี่ๆ มีอะไร ก็ค่อยๆ แสวงหา ค้นคว้า แล้วมันไม่ขาดทุนนะ เราเป็นคนเอาใจใส่ งานนั่นงานนี่ เรื่องนั้นเรื่องนี้ แส่ไปรู้แส่ไปหัด ไปฝึกทำ มันไม่ได้เสียหาย มันจะเป็นงาน เหมือนงานต่ำ มันจะต่ำอะไร ซึ่งมันเป็นความรู้สึก ที่อาตมาว่า อาตมามีบุญมาเก่านะ มันมีความรู้สึกว่า เอ มันมีศักดิ์ศรี มีมานะ เป็นอัตตามานะ งานนี้น่ารังเกียจงานนี้ เสียหน้าเสียศักดิ์ศรีงานต่ำ งานน่ารังเกียจอะไรอย่างนี้ ก็ไม่เห็นน่ารังเกียจอะไร เราก็ทำได้ สิ่งเหล่านี้แหละเป็นเรื่องที่ สั่งสมแน่ๆ เลย อาตมาไม่ได้มีใครมาบอกมาสอนอะไรมาก แต่มันก็เป็นเอง ถึงบอกสอน ก็ไม่ทำ คนน่ะ ก็ดูซิน้องๆอาตมา ปล่อยให้อาตมาทำอยู่ คนเดียวน่ะ ไปแบกไปหาม ไปทำ ไอ้โน่นไอ้นี่อะไรก็ตาม เขาไม่ทำหรอก น้องๆ เขาก็ไม่ทำ เขาก็อยู่เป็น ลูกคุณนาย ของเขา ไปอย่างนั้นแหละ อาตมาก็ทำอยู่คนเดียว สิ่งเหล่านี้ มันส่อให้เห็นว่า มีมาแต่ปางบรรพ์ มีมาโดยใจของเรา เรารู้สึกเอง และเราก็สมัครใจเอง เราก็ทำเอง

อาตมาถึงบอกว่าสิ่งเหล่านี้มันสืบทอด คุณหัดคุณฝึกเอา ในชีวิตนี้คุณหัดหยิบโหย่ง ก็จะเป็นคน หยิบโหย่ง หัดรังเกียจ หัดมีศักดินาในหัวใจ มันก็มีศักดินาในหัวใจ หัดรังเกียจนั่น รังเกียจนี่ หัดขี้เกียจ อย่างนั้นอย่างนี้ หัดผัดวันประกันพรุ่ง หัดเป็นคนอืดอาด เป็นคนไม่คล่องแคล่ว เป็นคนไม่มีน้ำใจ เป็นคนไม่เอาใจใส่อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันก็เป็นทั้งนั้นแหละ เสร็จแล้วตัวเองก็จะไม่รอด ตัวเอง ก็จะทุกข์ เพราะว่านิสัยเราไม่ดี อุปนิสัยสันดานของเรามันไม่ดีก็ทุกข์ อาตมาที่จริงไม่ได้ทุกข์อะไร เท่าไหร่ ในชีวิต แต่มันก็มีประสบการณ์ ประสบการณ์พวกนี้อาตมาถือว่า มันเป็นบทเรียน มันเป็น วิบาก โดยจริงแล้ว อาตมารู้ตัวนะว่าอาตมาไม่ใช่คนที่ผ่านชาติไม่มีกุศล ไม่ใช่ว่าอาตมาจะต้อง มามีวิวาท อย่างร้ายเลวอย่างนี้ กุศลที่มันร้ายเลวเป็นอกุศลที่ไม่ดีมาสอน มันมาส่งให้เรามีบท มันจะคั้นอาตมา อจินไตยกรรมวิบากนี่ เราไปเข้าใจ เอาตื้นไม่ได้ มันมาบวกลบคูณหาร แล้วมันก็มา จัดโจทย์ให้เท่าเรา โจทย์เหล่านี้ทำให้เรา แม้เราในภาวะ ที่ต้องฐานะดี ต้องฐานะร่ำรวย อย่างโน้น อย่างนี้อะไรก็ตาม มันก็จะมีโจทย์อะไรมาให้เรา ซึ่งซ่อนเชิง ถ้าเผื่อว่าเราไม่เป็นคนดี ฐานะอย่างนี้เรา จะไม่ไปทำอย่างนั้น แต่เราไปทำ อย่างนั้น มันจะย้อนศร มันจะย้อนสภาพจริง เพราะคนอย่างนี้ จะต้องทำอย่างนี้ แต่คนอย่างนี้ ต้องทำอย่างนี้ ก็ต้องมีอะไรพิเศษข้างใน ให้อย่างนี้ซ้อนลงไป ซึ่งอาตมาก็ว่า เออ อจินไตยกรรมวิบากนี่น่ะคิดยาก อาตมาเอง อาตมายังบรรยายไม่ค่อยออกเลย แต่ก็เห็นแล้ว แม้แต่ชีวิตเรา ชีวิตหลายๆ คน ชีวิตต่างๆนานา หรือแม้แต่จะย้อนระลึกอะไร ต่ออะไร ได้แปลกๆ หลายๆ อย่าง ยังบรรยายเป็นภาษาคนยังไม่ได้

สรุปได้แต่เพียงว่า ชีวิตคนนี่ ขวนขวายเถอะ เป็นบุญจริงๆ อปจายนมัย นี่ ขวนขวาย พยายาม อุตสาหะวิริยะนะ มองอะไรในสิ่งที่ดี สิ่งที่รังสรรค์ สร้างเสริม มันเป็นเครื่องอาศัย กัมมปฏิสรโณ มันเป็นเครื่องอาศัยของชีวิตนะ และจะเป็นชีวิตที่มี ประสบการณ์ มีบทเรียนที่มาก มีบทเรียนที่ดี มีบทเรียนที่ลึกซึ้งซับซ้อนให้แก่เรา กรรมที่มันจะเป็นบทเรียน ได้ให้แก่เราเอง และบทเรียนเหล่านั้น เป็นบทเรียนให้แก่เราเอง เราก็ต้องเป็นผู้ทำเองเหมือนกัน เพราะฉะนั้น บางคนนี่ปล่อยปละ ละเลย เหมือน กับผัดวัน ประกันพรุ่ง เหยาะแหยะอะไรต่ออะไรนี่ บทเรียนจะไม่ข้น บทเรียนจะไม่ออกมา ในรูปที่ จะเป็นโจทย์ให้แก่เราที่ดี มันจะเป็นโจทย์ๆ บางทีร้ายแรงเจ็บปวด เป็นโจทย์ที่เราเอง เราเสียเวลา มันจะกลายเป็นอย่างนั้น

แต่ถ้าเผื่อว่าเราเองปฏิบัติที่เป็นกุศล คำว่ากุศลกลาง กลางนี่นะ อันนี้เป็นแง่ดี เราเข้าใจแล้ว เราพากเพียรสั่งสมไป มันจะไปเป็นกุศล เป็นเนื้อหา เป็นอรรถสาระ ของสัจจะ ที่เป็นเนื้อหา ที่จะไปเป็น ตัวประสมส่วนให้เกิดวิบาก หรือ เกิดโจทย์ เกิดชีวิต ที่จะได้อาศัยบทบาทชีวิต อาศัยประสบการณ์ชีวิต อาศัยวิบาก ชีวิตที่ดี ที่ดีให้แก่ตนเอง บางคนจะเห็นว่า น่าทารุณโหดร้ายมากเลย แต่ของเรานี่ มันจะไม่ดูทารุณ ได้แต่ดูเหมือน หนักหนา แต่จะไม่หนักหนา แต่อาตมาไม่รู้สึกว่าชีวิต ถูกทารุณนะ ชีวิตจะต้อง ตกระกำ ลำบากหลายอย่าง แต่ไม่รู้สึกว่าเป็นชีวิตที่ถูกทารุณนะ ถึงแม้ว่าจะรู้สึก ในตอนนั้นๆ ว่า มันมีบางครั้ง ว่าน้อยใจนิดหน่อย น้อยใจบ้าง เสียใจบ้างนิดๆ หน่อยๆ แต่ก็ไม่รู้สึกว่า หนักหนาอะไร ยังมีความภาคภูมิ มีความเอาใจใส่ลึกๆ รู้สึกว่าเราได้สิ่งที่ดี ได้สิ่งที่ดีซ้อนๆ อยู่เสมอ อย่างที่อาตมาว่าต้องทำอย่างนี้ เอ๊ มันรู้สึกดีนะ มันก็ดีนะ ก็เราได้ทำยังงี้ เราได้พากเพียร เราได้ทำอะไร ที่คนอื่นไม่ค่อยได้ทำเท่าไหร่ แต่เราก็ได้สมบุกสมบันขึ้น ไม่เช่นนั้น จะเป็นคนอ่อนแอ ตลอดกาลนาน

เพราะฉะนั้น ชีวิตเราอย่าไปเสวยโดยที่เรียกว่า เอาความเสวยฉวยโอกาส พอได้โอกาส เสวยอย่างนั้น เสวยอย่างนี้ขึ้นมา เสร็จแล้วเราก็เลยไม่สมบุกสมบัน ไม่อุตสาหะขึ้น วิริยะซ้อนขึ้นไปอีก คุณก็ไม่มี บุญเสริมอีก โอกาสอันดีหรือไม่ดีเราก็หาเอง แม้เราจะสูง เราก็ทำงานที่เขาว่าต่ำลงบ้าง เราพิจารณา โดยปัญญา ไม่ใช่งานต่ำนะ มันไม่ใช่งานต่ำ มันเป็นงานที่ขัดเกลาเราต่างหาก ถ้าไม่ขัดเกลาเรา เราก็จะถือเป็นอัตตามานะ เป็นการ ถือดี ถือตัว มีศักดินามีโน่นมีนี่ ซึ่งโลกนี้ไม่ค่อยรู้จัก โลกียะเขา ไม่ค่อยรู้จัก แต่พวกเรานี่ จะรู้ ทำไมเราต้องมาติดดิน เราเกิดมาในชีวิต ทำไมหนอเราถึงมานั่งลุยขี้โคลน ต้องมานั่ง ทำไร่ทำนา ต้องมาถอนหญ้า ต้องมาอะไรต่ออะไร ทำไมเราต้องเป็นอย่างนี้นะ คุณคิดดีๆ มันไม่ใช่เรื่อง เลวร้ายอะไร เราไม่ได้ทำชั่วอะไรนี่ เออ คนที่ไปทำชั่ว คนที่ไปหยิบโหย่ง คนที่จะไป นั่งกินแรงคนอื่น ชั่วนะนั่นน่ะ นั่นชั่วนะ ไปนั่งหยิบโหย่ง ไปนั่งกินแรงคนอื่น นั่นน่ะ ชั่ว ฟังดีๆ ชัดไหม ใช่ไหมเข้าใจ มันไม่ใช่เรื่องดีเลยนะ แต่คนเรานึกว่าเป็นของดีน่ะ คนอื่นมารับใช้เรา จะต้องชี้ใช้เขา ข่มเขาได้ด้วย ดูถูกดูแคลนเขาได้ด้วย ฉันใหญ่ ฉันเบ้ง อะไร อย่างนี้นะ นึกว่าเป็นเรื่องเลิศลอย นึกว่าเป็นเรื่องสูงส่ง ฉันมีศักดิ์ศรี มีอะไรต่อ อะไร คิดให้ดี ในทางธรรมเป็นเรื่องเลวร้าย เป็นเรื่องชั่ว เป็นเรื่องข่มเบ่ง เป็นเรื่องข่มขี่ เป็นเรื่อง สร้างบาป สร้างหนี้ เป็นเรื่องเอาเปรียบเอารัด เป็นลักษณะ มานะถือดีตัว เชิงไม่ประสาน ไม่สมาน ไม่ถ่อมตนเสียด้วยซ้ำ

ฟังดีๆ เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย ทำไมเราจะต้องขนขี้ขนอึ ยังไปทำหรือเปล่านี่ขนไหม ใส่ทุกอย่างเลย ไม่เอาๆ ทุกอย่าง บางอย่างเอา มลพิษ บางอย่างไม่เอา พลาสติกก็ใส่ เข้าไปด้วยเหรอ ไม่เอา ก็นั่นซิ ทุกอย่างได้ยังไง เอาอย่างที่มันจะเป็นส่วนผสม ที่ได้สัดส่วน ที่ดีนะ อย่างนี้เป็นต้น เราสูบน้ำจากบ่อนี้ ไปสูบน้ำจากส้วมนี่ไปผสมเป็นส่วน เวลาราด ใช่ไหม นี่ก็ดีด้วยซ้ำนะ อาตมาว่า สูบน้ำจากส้วมที่ไปราดด้วยนี่โอ๋ จะดีจะได้ปุ๋ย จะได้อะไรดีทีเดียว ถึงเราเอาทำอย่างนี้มา ถ้าเรามาทำ เราตกต่ำเหรอ อาตมาว่า เราไม่ได้เป็นชีวิต ที่ตกต่ำน่ะ แต่เราได้ทำสิ่งเหล่านี้ เราได้ล้างซักฟอก ความรังเกียจ ความถือตัว ความมีอะไร ต่ออะไร แล้วมันได้อะไรขึ้นมา ดีไหม สิ่งที่ได้ขึ้นมาดีไหม มันก็ดีน่ะ มันไม่ใช่เรื่องต่ำ นี่มันซ้อนเชิง เราจะขยัน เราจะอุตสาหะ เราจะวิริยะ มันก็เป็นเรื่องเราที่ได้ สิ่งเหล่านี้นะ ฝึก จิต อยู่ที่จิตของเราเลย จิตของเรามันจะเป็นคนไม่กระปรี้กระเปร่า ไม่ขวนขวาย ไม่มีน้ำใจ ไม่หนักเอา ไม่เป็นคนขยัน ไม่เป็นคนสู้ มีไอ้โน่น ไอ้นี่ และเป็นคนที่มี กะจิตกะใจ มีใจ ที่เปิดจิตรับเลย งานหรือสิ่งนี้หรือ จะเกื้อกูลกันเหรอ มันเป็นเรื่องดี ดีกว่า นี่งานเหรอ เออ งานเขาท ำแล้วละ เราไม่ต้องทำแล้วละ มันเป็นยังไงล่ะ ความรู้สึก เขาทำแล้ว เราไม่ต้องทำหรอก ดีแล้วละ เราก็อยู่ว่างๆ เบาๆ มันเจริญไหม แค่นี้

อาตมาลองพยายามหยิบเป็นเรื่องเหมือนเรื่องราวนิทาน เอาเรื่องเนื้อหามาให้คุณฟัง คุณพยายาม ใช้ปฏิภาณฟังดูซิ เพื่อนเขาทำเราก็เฉยๆ เราก็เออแล้วไป ทั้งๆที่เราก็ว่างๆ เราควรจะลงไปฝึกปรือ ถ้าเราฝึกปรือจะชำนาญขึ้นไหม แม้ไม่ต้องเอาชำนาญหรอก เพื่อนทำเราเอง ก็ลงไปลุยทำด้วย ร่วมมือด้วยนี่ มันจะดูดีไหม มันจะเกิดการสมาน สามัคคี เกิดพลังงาน เกิดการร่วมสร้างกันขึ้นไหม จะเร็วขึ้นไหม ประโยชน์จะเกิดไหม ไม่ต้องตอบนะ เดี๋ยวจะตก ไม่ต้องตอบออกมาอะไร มันคือ ความดีกว่ากันแค่นี้ลองคิดดูซิ เราควรจะอยู่เฉยๆ ไหม ควรจะเลี่ยง เออ เสร็จก็หาเรื่องไปหาหนังสือ มาอ่านเถอะ เรากุ๊กกิ๊กๆ อะไรไป ทั้งๆ ที่ความจริง หนังสือนั่นยังไม่จำเป็นต้องอ่านเลยนะ อย่างนี้ เป็นต้น นี่มันละเอียดอย่างนี้ ละเอียดลออ ฝึกนิสัย ฝึกอุปนิสัย ฝึกความเจริญ และ คนอย่างนี้นะ ถ้าฝึกเข้าไปจริงๆ เราเป็นคนที่มีจิตวิญญาณที่สั่งสมอย่างนั้น จะอดตายไหม เกิดมาชาติไหนๆ จะอดตายไหม จะอดตายไหม ไม่มีทางหรอก จะเจอวิบาก ที่จะต้องอดตาย ต้องอย่างโน้นอย่างนี้ ไม่มี และวิบากของบุญนี่นะ บอกแล้ว มันจะผสม ผสาน ส่วนขึ้นมา มันจะเป็นโจทย์ให้เราได้ทดสอบ มันจะเหมือนโจทย์ที่ออกมาให้เราได้ทำ และจะไม่มีทางจะเป็นตัวอย่างอันดีงาม จะรอดจะเกิดรอด จะเป็นตัวอย่าง ที่มีพฤติกรรมอันนี้ ซ้อนชั้นในแก่คน ในรุ่นต่อๆ ไป คนในสมัยอย่างนั้น ยุคอย่างนั้น ดูด้วย และโตมา เล่าประวัติ เอามาเล่าเป็นสิ่งที่จะควรยกย่องเชิดชูว่าเป็นมนุษย์อย่างนั้น อย่างนี้ อะไรด้วย นี่มันเป็นลักษณะพิเศษซ้อนเชิงอยู่ในตัว

เพราะฉะนั้น ผู้ยิ่งจะดีก็ยิ่งดี และยิ่งดีก็ยิ่งจะลดตัวลดตน ยิ่งดีก็จะมีอะไร ที่ซ้อนเชิง ที่เห็นได้ว่า น่าเอ็นดูนะ ไม่ต้องอะไรมากคนเราถ้ามีน้ำใจจริงแล้ว ทำจริงแล้ว มันก็คือจริงๆ หรือว่าจะทำเป็นเล่ห์ๆ ทำเป็นตัวอย่าง ทำเป็นเอาหน้าทำเป็น อวดเหมือนกับคุณนาย คุณหญิง ไปทำเป็น แหม จะลงไปช่วย คนจน จะลงไปแจกของจะลงไปทำอย่างโน้น แต่ที่จริงศักดินา แล้วก็ไปเอาหน้า เอ็งต้องเคารพ นับถือฉัน เจ้าบุญ เจ้าคุณอะไรต่างๆนานา ซ้อนเชิงอยู่ในใจน่ะ นี่ใจบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ ถ้าใจบริสุทธิ์แล้วทำจริง ความคลุกคลี จะน่ารัก น่าเอ็นดู น่าสงสาร น่าเมตตานี่ มันจะเป็นจริงเลยนะ จะเป็นคุณหญิงคุณนาย ได้ทำ คุณหญิงคุณนายบางคนก็มีจิตอย่างงี้จริงก็เป็นได้ บางคนไม่ละ ไปสร้างเสริม ซ้อนอีกอย่างหนึ่ง จิตใจไม่อย่างนี้เป็นเรื่องซ่อนๆ อยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเราดูคนถึงแม้ว่า จะยังไงก็ตาม เขาก็ไปทำท่าทีอย่างนั้น มันก็น่าดูนะ ลงไปช่วยคนจน ลงไปคลุกคลี คนสูงก็ลงมา เกลือกกลั้วกับคนต่ำ ที่เราพูดโดยภาษาโลกๆ เขาว่าต่ำอะไรนี่ และมันก็ดูว่า เออคนนี่ ลดตัวลดตน ลงมาคลุกคลี มาทำงานที่ต่ำ มาทำสิ่งที่ต่ำ จะเป็นคนสูง ไม่เป็นคน ถือเนื้อถือตัว มันน่าดู โลกเขา ก็ต้องเอามาเป็นประวัติ เอาเป็นเรื่องเล่า

ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก คุณจำลองนี่ดูฐานะสังคมเขาดูสูงใช่ไหม คุณจำลองเป็นผู้สูง เป็นผู้ว่า ตอนนั้นเป็นผู้ว่านะ เสร็จแล้วก็ไปเก็บจานชามที่ ชมร. เอาผ้ามาเช็ดโต๊ะ ปัดถู มันน่าเอ็นดู มันเป็น เรื่องดีไหม มันไม่ใช่เรื่องว่าตัวเองต่ำ ดูซิคนสูงมาทำต่ำ ดูน่าเกลียด น่าชัง ไม่ศรัทธาไม่นับถือ กลับได้ ศรัทธาเพิ่มขึ้น อะไรอย่างนี้ นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ ลักษณะ พวกนี้ มันเป็นเรื่องที่ถ้ายิ่งจริงใจ มันก็ยิ่ง จะมีใจที่จริง และมันจะยิ่งดูยิ่งจริงใจนี่ มันยิ่ง จะแนบเนียน มันยิ่งจะดูสนิทสนม มันยิ่งจะดูเป็น ตัวอย่างที่ดีอะไรต่างๆ นานา พวกนี้ เพราะฉะนั้น พยายามฝึก ถ้าใจของเราเอง ยังมีอะไรยังขวางๆ อยู่ มันยังประดักประเดิด มันยังไม่จริงใจ มันยังไม่สนิทสนม เราก็ต้องฝึกล้างสิ่งเหล่านั้นเอง

เห็นให้จริงว่าทำไม เราถึงต้องมีศักดินาในหัวใจทั้งหมด ทำไมถึงต้องมีมานะ ทำไมเราถึง จะต้องถือเนื้อ ถือตัว ทำไมจะต้องถืออันนี้ และเราก็ทำไม่ได้สนิทเนียนไม่เต็มใจ ใจเรา ไม่เต็ม นั่นแหละ ใจเรา มีอะไรที่คั่น อันนี้เป็นกุศลหรือเปล่า อันนี้มันควร มันน่ากระทำ หรือไม่ น่ากระทำ เราต้องเอาใจของเรา เข้าไปขัดไปเกลาใจของเรา ต้องล้างต้องขัด ต้องเกลาด้วยเหตุ ด้วยผล ด้วยปัญญา เสร็จแล้วสะอาด เข้าไปสนิทเนียน และเห็น ความจริง ซ้อนลงไปอีกว่า เออ เราทำสิ่งนี้ เป็นสิ่งดีหรือไม่ มันสิ่งดีแน่ๆ ก็สิ่งดีแล้ว ก็เราจะไปไม่ขยัน ไม่เอาใจใส่ ไม่อุตสาหะ ไม่ยินดี ไม่มีฉันทะ มันควรหรือ มันควรจะฉันทะ มันควรจะยินดี ควรจะเต็มใจ ควรจะพอใจ คำว่าพอใจ เต็มใจ หรือยินดีนี่มันเป็นลักษณะ สูงขึ้นไปแล้ว

ถ้าภาษาไทย พอใจก็หมายถึง ความยินดีชอบใจ มันเป็นการเต็มใจ ด้วยซ้ำไป ภาษามัน แค่พอใจ กับเต็มใจ พอใจเต็มใจ เต็มใจเลยนะ ไม่มีกิเลสเข้าไปขวาง และ มีลักษณะ โน้มน้อมไปดูดดึงด้วยซ้ำ เรียกว่า ยินดี หรือ พอใจ หรือว่าฉันทะนี่ ความหมายคำว่า ฉันทะ เพราะฉะนั้น ลักษณะฉันทะอย่างนี้ พระพุทธเจ้า พระอรหันต์เจ้ามีทั้งนั้นแหละ จะว่าเป็น กิเลส ก็อธิบายโดยภาษาเท่านั้นเอง แต่เป็น คุณลักษณะดีงาม ของจิตเจตสิก ของ มนุษยชาตินะ

ความยินดีในงาน มีความยินดีในส่วนที่ควรกระทำ เราก็มีกำลังมีวิริยะ เสริมเลย อิทธิบาท ทั้ง ๔ รวมกัน แล้วเป็นปึกแผ่นนี่น่ะ ฉันทะ วิริยะจิตตะ วิมังสา มันแยก ไม่ออกหรอก และ มันจะเป็นกำลัง ชัดเด่นในตัวของมันเอง มีความยินดี ก็หมายความว่า ไม่มีเศร้าหมองหัวใจ มีความเต็มใจ มีความเบิกบานร่าเริง ฉันทะนี่น่ะ และเป็นอย่างไร แรงวิริยะ คือ ขยันแรง อุตสาหะเพียร เป็นพลังเพียร ไม่ใช่อืดอาดท้อถอย ยืดยาดช้าเฉื่อย ผลัดหน่อย ไม่ใช่ ใครต่อใครฟังดูเถอะ เราจะรู้ตัวเราว่ามีขี้เกียจ ฟังแล้วมันแสบมันเจ็บ แหม ทำไม เราไม่เสียใจ อย่างนี้ ไม่มีก็คุณไม่ฝึก ไม่มีก็พวกคุณฝึกกัน อย่าเลย ช้าหน่อย แทนที่จะ เออ เป็นกำลัง มีความยินดี เพราะฉะนั้น ฉันทะนำปั๊บ วิริยะตามปั๊บ มันเป็นเนื้อ เดียวกัน มันจะไม่อืดอาดเลย เพราะว่าคือสิ่งที่คุณไม่ได้ฝึก จิตวิญญาณของคุณ ไม่ได้มีลักษณะ เช่นนี้ ซึ่งมันเป็นสิ่งละเอียดมากเลย เป็นคุณธรรม แต่มันเป็นวิญญาณ

คุณธรรมคือตัวสำนึกตัวรู้ของคุณ รู้แล้วคุณฝึกให้เป็นยังไงๆ มันก็ฝึกให้เป็นอย่างนั้น คุณฝึกขี้เกียจ ก็สั่งสมมาทางขี้เกียจ ช้าก็สั่งสมมาช้า คุณฝึกไม่ยินดีก็เอาไม่ยินดี แต่ฝึก ยินดี ไม่ฝึกเพียรอุตสาหะ คล่องแคล่ว มันก็เร็วมันก็ทัน มันก็ถนัด มันก็ช่ำชอง มันก็เป็น อันนั้น สั่งสมอันนั้นไปอย่างนั้น และทำก็ไม่ใช่ทำอย่างเหลาะแหละ เอาใจใส่ จิตตะ นี่วิริยะ จิตตะเอาใจใส่ ไม่ใช่ว่าทำเล่นๆ หัวๆ ไม่ใช่ทำสักแต่ว่าทำดายๆ ไป เสร็จแล้ว ก็ฟุ้งซ่านไปอื่น หรือไม่ก็ขี้เกียจดันอยู่ในใจช้าๆตื้อๆไม่โปร่ง เต็มใจ แล้วมันก็เอาใจใส่ สนใจ เบิกบานร่าเริง สิ่งนั้นก็ดี ความละเอียดลออของวิมังสา ละเอียดละออ ของจิตเจตสิกนี่ มันตัวทำงาน แล้วมันก็เป็นมุทุภูตธาตุ เป็นธาตุที่แววไว เป็นธาตุที่ปรับปรุง เป็นธาตุที่ แก้ไข ซ้อนอยู่ในนั้น ตัวอิทธิบาททั้งหมดนี่เป็นเจตสิกที่สั่งสมให้คนเจริญที่สุดนะ คนจะเจริญ คนจะพัฒนา จะเป็นคนวิเศษเป็นคนดี เป็นคนที่ทำงานได้ สำเร็จทุกอย่าง ยิ่งเป็นโพธิสัตว์ จะต้อง รู้ทันเลย ตัวอิทธิบาทนี่เป็นตัวที่พัฒนามนุษย์ ทุกชาติทุกยุค ทุกสมัยนา ถ้าจะทำอะไรวิเศษ ทำอะไร ได้ดีจะทำอะไรได้สมบูรณ์แบบ ขาดอิทธิบาท ไม่ได้เลย

อาตมาก็พยายามอธิบายอิทธิบาทนี่น่ะ มันเป็นตัววิเศษของมนุษย์ มนุษย์ขาดอิทธิบาท ไม่มีตัวพัฒนา ใจที่เบิกบานยินดีเต็มใจ ไม่หม่นหมอง ไม่ท้อแท้ ไม่ท้อถอยอะไรเลย ไม่เหี่ยวไม่เฉา และวิริยะนี่ ต้องเข็น มันอยู่เรื่อย จะรู้สึกว่าจะต้องเข็นมันอยู่เรื่อย คนเรานี่ แต่เข็นเข้าแล้ว มันจะคล่อง จะรู้สึกว่าคล่อง ว่าง่ายและ มันจะไม่ทุกข์ให้แก่เราหรอก ไม่ทุกข์ พอบอกว่าเพียร บอกว่าขยันก็เอาขวนขวายมันเร็วเลย คล่อง ไม่หมดไม่ต้องอืดๆ เหมือน ความพยายามกับความขวนขวายนี่ มันต่างกันนะ ความพยายามนี่ อืดๆๆๆ ต้องพยายามมันกว่าจะได้นี่ต้องพยายาม แต่ถ้าธาตุตัวจิตที่เป็นเวยยาวัจมัย ตัวขวนขวาย อันเป็นเรา แล้วมันเป็นเนื้อมีตัวขวนขวาย เป็นตัวบุญ เพราะเราพยายามสั่งสมตั้งแต่ สัมมาวายามะ ตัววายามะ ตัวพยายามมาเรื่อย มันก็จะเกิดพยายามก็จะเกิดตัวพลัง ของเพียร พลังของเพียร ความเพียรความขยันเราจะขยันๆ ขึ้นๆๆ จนกระทั่ง มาเป็นความขวนขวาย เป็นความขวนขวาย คนขวนขวายนี่ คนไม่ค่อยอยู่สุข คนหางานทำ คนมีความขวนขวายใช่ไหม ลักษณะมันต่างกัน กับภาษา คุณฟังให้ดีๆ คนพยายามนี่ โอ้โฮ ต้องเข็น ต้องดัน พยายามๆๆ ต้องเข็นต้องดัน ความรู้สึก มันบอก ภาษามันบอก ลักษณะ ของสภาวะ มันเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้น คนที่ยังพยายามอยู่นี่นะ ยังไกลห่างๆ ความเจริญ

แต่ถ้าคนที่มีตัวขวนขวาย แล้วนะเป็นคนที่ไม่ค่อยอยู่นิ่ง มันขยัน มันหาอะไรทำเรื่อยๆ นะ ลุย เพราะฉะนั้น เราจะรู้สึกว่า แต่ละคน คนๆนี้เป็นคนขวนขวายน่ะ ทำไมเราไม่มี อย่าบ่น ก็คุณไปสะสม คุณไปสะสม แต่อย่างอาดๆ เลี่ยงๆ มันก็อยู่อย่างนั้นน่ะซิ ทำไมเราไม่มีตัวนี้นะ อย่ามาถาม ก็พวกคุณ ไม่สะสม คุณไม่พยายามฝึกเอาตัวนั้น คุณเอาแต่ใจตัว คุณก็ไม่มีน่ะซิ มาถามทำไม ใครเอาไปยัดได้ เรามีมากๆ เอายัดเข้าไปเลย เข้าช่องไหน เข้ารูหู เข้ารูจมูก เข้ารูขน เข้าตรงไหนล่ะ ยัดเข้าช่องไหน ถึงเข้าได้ ของใครของมัน กัมมัสสโกมหิ ใครสั่งสมอะไร ก็ได้อย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของกุศล แม้จะเป็น เรื่อง โลกีย์ ก็เป็นเรื่องที่จะได้วิบาก ที่ซ้อนเนียนขึ้นมา ได้ปฏิบัติธรรม ก็จะฉลาด ความส่งเสริม กันและกัน บุญโลกีย์ หรือความเจริญ โลกีย์ก็ส่งเสริมโลกุตระ โลกุตระก็ไปส่งเสริมโลกีย์ โลกียก็ไป ส่งเสริมโลกุตระ เพราะฉะนั้น อย่าไปนั่งดูถูกดูแคลนไอ้นั่นไม่ใช่โลกุตระ เสร็จแล้วจนกระทั่ง ไปเรียน อภิธรรมแยกโลกุตระก็อย่างหนึ่ง แยกโลกีย์ก็อย่างหนึ่ง หนักเข้า ฉันจะเอาแต่โลกุตระ ทั้งๆที่โลกีย์ นั่นห่วย ไม่มีทางเจริญหรอก แล้วก็กลายเป็น คนตีกินด้วย กลายเป็นคนบาปซ้อนด้วย เพราะว่าไป เหมือนฉวยจะได้บัญญัติภาษา จะได้ความรู้ ได้โลกุตระน่ะ เสร็จแล้วก็ไปตีกิน ทั้งๆที่ตัวเองไม่รู้ตัวนะ ไม่รู้เลยนะ

ตัวเองก่อบาปก่อภัยไปตีกินไปอะไรไปเอาลาภยศเอาศักดิ์เอาศรี เอาอะไร เอาของ พระพุทธเจ้า ไปขายน่ะในภาษาของโลกุตระดีๆ เสร็จแล้วก็ตัวเอง มันไม่สอดคล้อง ไม่ลงตัว เลยกลายเป็นบาป หนักซ้อนเข้าไปอีก อย่างนี้ อาตมาก็ต้องพยายามหยิบ เอามาอธิบาย ไม่อยากให้พวกเราได้ไปเจอวิบาก หรือว่าตัวที่มันหลงผิด แล้วก็ไป สั่งสม สิ่งที่เลวร้ายพวกนี้ ก็พยายามหยิบมาอธิบายให้ มันเป็นเรื่อง อจินไตย กรรม วิบากซับซ้อน โลกีย์โลกุตระนี่ยิ่งยาก ยิ่งอธิบายคุณก็คงเข้าใจว่านี่เป็นแนวลึก เป็นรายละเอียด ที่เราจะต้องเข้าใจ ชีวิตมันทำไมล่ะ จะต้องเจออย่างนี้ บุญเราแล้ว

อาตมาไม่อยากจะพูดอะไรที่คุยโตแต่มันก็คุยโตสำหรับพวกเรา คนอื่นเขาฟังแล้ว ก็อยาก จะอ้วก อะไรหลายๆอย่าง แต่มันก็มันก็คุยโต ไม่อยากจะพูดมาก เกินไปกว่านี้ ที่ว่าพวกเรา มาทำงานศาสนา ไม่ใช่มาทำงานศาสนาเท่านั้นหรอก เรามาช่วยโลก พระพุทธเจ้าถึงเป็น โลกนารถ ท่านเป็นที่พึ่งของโลก ทั้งโลกของโลก ไม่ว่าโลกีย์โลกุตระไปด้วยกัน เป็นการ ปฏิบัติธรรม ถ้าอ่านพระสูตรบางพระสูตร มันเป็นการปฏิบัติไปพร้อมกัน ทั้งฆราวาส และ ทั้งบรรพชิตนั่นแหละ มันด้วยกันนั่นแหละ ถ้าเข้าใจ เสร็จแล้วซ้อน มันสอดซ้อนกัน ไปด้วยกัน ขาดกันไม่ได้ ศาสนาจะต้องมีทั้งนักบวช มีทั้งบรรพชิต มีทั้งฆราวาส มีทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต้องเป็นอุปการะ ซึ่งกันและกัน ถ้าว่ากันจริงแล้ว ฆราวาส จะมีมากกว่านักบวช และฆราวาสนั่นแหละ จะเป็นผู้ที่มีเนื้อหาของธรรมะ ที่เป็นของพุทธ นี่แหละเป็นของผู้มีศาสนา มีธรรมะของพระพุทธเจ้านี่แหละ ฆราวาสจะมีมากกว่านะ ฆราวาส จะต้องได้ๆมากกว่า เพราะฆราวาสจะเป็นตัวประพฤติมากกว่า ส่วนพระหรือ ภิกษุนั่นนะ จะมีธรรม มีวินัย มีกฎมีระเบียบ มีอะไรชัดร้อยเอาไว้เยอะ เพราะฉะนั้น กัมมันตะ การกระทำกับอาชีพนี่ จะไม่ค่อยได้แสดงตัว คนก็จะไม่รู้ว่า สัมมาอาชีพ ที่มันจำเป็นต้องทำชัดๆ มันก็ไม่รู้ มาได้จากภิกษุ มันจะรู้ได้จากฆราวาส เพราะฉะนั้น ฆราวาสนั่นแหละจะเป็นตัวแสดง เป็นตัวปรากฎ และเป็นตัวอย่าง ของคนจำนวนมาก เพราะฉะนั้น งานอาชีพ ถ้าไม่เข้าใจดีๆ แล้วนะ สัมมาอาชีพที่จะต้องเป็นสิ่งที่ จะต้อง อาศัย ของมนุษย์ มันก็จะแย่และยิ่งยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป

มาทุกวันนี้นี่ ยุคสมัยไม่เหมือนก่อน สมัยก่อนนี้วัตถุดิบทรัพยากรของธรรมชาติอะไร มันมากมาย มันอุดมสมบูรณ์ ไม่ต้องทำอะไรมาก ไม่ต้องคิดอ่านอะไรมาก ไม่ต้องซับซ้อน อะไรมาก ไม่ต้อง ขวนขวาย ไม่ต้องขยันมาก เพราะมันมีอะไรอุดมสมบูรณ์ มันช่วยอยู่ เยอะแล้ว สมัยนี้มันพร่อง มันจนกระทั่ง จะหมดโลกแล้ว ทำไมสมัยโบราณ สมัย พระพุทธเจ้า ไม่ต้องทำเลย อาตมาไม่รู้จะพูด อย่างไร นี่นัยมันซ้อนนะ ขนาดเรามาทำที่นี่ สิบปีนี่แล้วมีอะไร พอเป็นโล้เป็นพายขนาดไหน ผักหญ้า ก็ดูอย่างนี้เสร็จแล้ว อาตมาก็ยัง งงๆ อยู่เหมือนกัน ทำไมพวกเราเก็บผักไม่เป็นและไม่ขยันเก็บผัก เออ มันจริงๆ เลยละนะ ยุคนี้สมัยนี้นะ

อาตมายังนึกถึงสมัยอาตมา ไม่ใช่สมัยโบราณนักหนา สมัยเด็กๆ อาตมาชอบไปเก็บผัก อาตมาไปเก็บ ผักธรรมชาตินี่ ไปอาบน้ำทีก็เก็บมาแล้ว เก็บผักบ่อ เก็บผักไผ่ เก็บผักอีฮีน เก็บผักอะไรตามทาง มาถึงบ้าน ก็มีกินแล้ว เดินไปอาบน้ำมูล จากบ้านลงมาอาบน้ำมูล ผ่านทางลุยเก็บไปแล้ว เก็บไปแล้ว สารพัดผักแป้นผักบ่อ ผักอะไร ที่มันเกิดตามทางนี่ ผักที่ตามหนอง ตามบึง ตามอะไร เก็บไปบ้าน เยอะแยะ ไปกิน อู้ฮู มันน่าเก็บนะ เห็นมันน่าเก็บ นี่พวกเรานี่ปลูกไว้แล้ว ไม่เก็บ ก็แปลก ขยันปลูก แต่ไม่ขยันเก็บ ให้มันแก่ให้มันตายอยู่ทิ้งไปอย่างนั้นน่ะ ให้บัวขวัญซิ ไม่รู้จักผัก มาเก็บ หัดเก็บกัน ดีไม่ดีก็ลากเถาว์ขึ้นมาโน่นนี่ อะไรต่ออะไรไป มันต้องมีปัญญา เหมือนกันนะ เก็บตรงไหน และควรเก็บ อย่างไรอะไร มันต้องเข้าใจ อีกเหมือนกันนะ ไม่เช่นนั้น มันจะแตกไม่ง่ายไม่งาม แตกไม่ได้สัดส่วนอะไร มันจริงๆ นะ มันต้องรู้จะเด็ดแค่ไหน จะเก็บแค่ไหน มันรู้จะต้องรู้เหมือนกัน อย่างเก็บผักบุ้งนี่ไป เก็บขนาดไหน มันจะพอดี มันจะอ่อนเกินไป มันจะไม่แตก แตกช้า ผักแก่ขนาดนั้นเรา พอกินอ่อน ขนาดนี้ กินดี แล้วก็เป็นต้นที่จะแตกได้พอดีด้วย เพราะถ้าเราเอา อ่อนไป เอายอดๆมันแตกช้าง่ายๆ ยอดผักบุ้ง เอาแต่อ่อนๆ แหม เราต้องการอ่อนๆ จริง กินได้น้อยเดียว ซึ่งมันแก่กว่านั่น มันก็ยังอ่อน กินได้อยู่ ถึงตรงนั้นนะ ตอตรงนั้นมัน จะแข็งแรงพอที่จะรับ จะแตกยอด จะอะไรได้ดีกว่า ถ้าไม่เช่นนั้น มันจะต้องเน่า ต้องเสียมาถึงอีกขนาดหนึ่ง และจะแตก ที่มันพอแตกได้ เสียของเปล่าๆ อย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องรู้ว่ายอดควรเด็ดขนาดไหน อะไรอย่างนี้ มันมีรายละเอียดอะไรต่ออะไร

ถ้าเผื่อไม่ศึกษาไม่ซักซ้อมอะไร ก็ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้เราจะมีชีวิตที่จะต้องรู้ เราพยายาม ปลูกก็ดีแล้ว เราก็ต้องรู้จักดูกาล รู้จักเก็บรู้จักกินรู้จักใช้ มันจะพอไม่อดหรอก ทุกวันนี้มันขาดแคลน มันพร่อง สังคมมันพร่องโลกมันพร่อง มันเป็นไปได้ยาก พึ่งคนอื่น ไม่ได้แล้ว เราต้องพึ่งตนเอง ที่จริง พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนพึ่งผู้อื่นเท่าไหร่หรอก พึ่งตนเอง พึ่งพวกเราเอง จนคนอื่นพึ่งเราได้ เพราะฉะนั้น คนเราจะมีชีวิตอยู่ประเภทที่ว่า มาปฏิบัติ ธรรมแล้วไม่ต้องทำอะไร เป็นหนี้นะ แล้วไม่เจริญไว กรรมวิบาก ไปไม่ได้สมส่วนที่ดีน่ะ มันจะเจริญไป พร้อมทุกอย่างเลย ทุกอย่างจะเนียน ซ้อนขึ้นไป เป็นคุณภาพของมนุษย์ เพราะฉะนั้น จะว่าอะไรไม่ได้หมดเลย

ทำไมพระพุทธเจ้าไปเรียนสิบแปดวิชา ท่านเรียนได้เก่งหมดทุกอย่าง อาตมานี่ ยังไม่ได้ เรียน ชาตินี้ อาตมาไม่เสียดาย ไม่ได้เสียใจ ปางนี้อาตมามันจะต้องเป็นอย่างนี้ ขวนขวายจะเรียน และทำท่าที เหมือนจะได้เรียน แต่ไม่ได้เรียน ดูซิปริญญา สักใบหนึ่ง ยังไม่ได้เลย แรกเริ่มท่าทีแอ๊ค แม่จะให้เป็น หมอ โน่นแน่ ให้ไปเรียนเตรียมวิทยาศาสตร์ แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่ค่อยเอาถ่าน ที่จริงอาตมาว่า อาตมาเรียน วิทยาศาสตร์ได้นะ อาตมาพูดภาษา วิทยาศาสตร์ ตั้งเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่อาตมาได้เรียนวิทยาศาสตร์ มานิดหน่อยนะ หลายคน ได้เรียนวิทยาศาสตร์มามากว่าอาตมา เอทำไมอาตมารู้ มันก็จำมาเองน่ะ อาตมาก็ไม่ได้ ใส่ใจเท่าไหร่หรอก อาตมาไม่ได้ใส่ใจในหลายๆอย่าง ภาษาไทยอาตมาก็ไม่เคยเรียน ไม่เคยใส่ใจเรียนเลย อาตมาเรียนภาษาไทยไม่เคยอ่านหนังสือจบเล่มสักที แต่ท้อปทุกที อาตมาว่า อาตมาก็เก่งภาษาไทยนะ ท้อปทุกทีไม่ค่อยใส่ใจแต่มันได้ วิทยาศาสตร์ไม่ค่อย ใส่ใจเท่าไหร่ แต่ที่จริงลึกๆ อาตมาได้ลึกๆ อาตมารู้ แต่เวลาสอบดี แต่วิทยาศาสตร์นั่น มันเป็นวิบาก อะไรก็ไม่รู้ สอบวิทยาศาสตร์ไม่ได้ตก เคมี ฟิสิกส์ อาตมาก็ไม่ไป อาตมาถึงไม่ไปเรียนหมอ ก็ไปติดไปติงอะไรก็ไม่รู้ ไม่เข้าเรื่องอะไร แต่นี่ก็ไม่ไปเรียน ไม่ต้องจบวิทยาศาสตร์ ผ่าไปเรียนศิลปะอะไรก็ไม่รู้ ไปกันใหญ่

อาตมาก็ว่าเรื่องเหล่านี้ก็อาตมาพูดน่ะ ไม่ต้องได้หรอกปริญญานี่ ซึ่งมันไม่น่าจะไม่ได้เลย อาตมาดูแล้ว ชีวิตอาตมา มันไม่น่าจะไม่ได้ อาตมากก็รักการเรียนนะ ไม่ใช่ว่าไม่รักเรียน รักเรียนๆ อาตมาไม่ทิ้ง จะไม่มีเงินไม่มีทอง จะยากจะจนอย่างไร ไม่ขาดโรงเรียน อาตมาไม่เคยเกโรงเรียนนะ อ้างว่าตัวเอง ไม่มีเงิน ไม่มีข้าวจะกิน หรือว่าต้องไปหาเงิน ไม่เคยเกนะ เท่าที่จำได้ มาเรียนอะไรก็แล้วแต่ เรียนอยู่ ขนาดไหนก็แล้วแต่ ไม่เกโรงเรียน ยินดีที่จะไปโรงเรียน แล้วไม่เคยเกเอาใส่ไปโรงเรียน ไม่มีปัญหาอะไร อาตมามันน่าจะเรียนจบ ปริญญาเอกโน่นแน่ สมองอย่างอาตมาว่าไหม มันน่าจะจบ ปริญญาเอกได้ แต่มันไม่ได้ เรียนสักปริญญา ซึ่งดูแล้วมันเหมือนเรื่องน่าน้อยใจน่าต่ำต้อย ที่จริง ไม่น่าต่ำต้อยไปเลย ไม่ใช่เรื่องต่ำต้อย มันเป็นเรื่องวิบากที่จะต้องเป็น อย่างนี้มันซ้อนอย่างนี้เป็นต้น มันดีน่ะ อาตมาว่า มันดีด้วยซ้ำไป ถ้าอาตมาเอง อาตมาต้องไปจบด๊อกเตอร์ โอ้โฮ คนจะมาอีก เยอะแยะ คนมาแล้ว จะเป็นอย่างไร ก็เป็นคนจำพวกชั้นสูง ระดับปริญญาโท ปริญญาเอก มา โอ้โฮ แบกมานะมา คนละ เบื้องสองเบื้อง

อาตมาแค่นี้ก็จะตายแล้ว เอาแค่ชาวไร่ชาวนา เอาแค่คน ขนาดนี้มา อาตมา ก็จะตาย อยู่แล้ว สู้อัตตามานะปราบกันก็ยังไม่หวาดไม่ไหว ถ้าขืนอย่างนั้นมาอีกเลย อาตมา ไม่กว้างอีก เละกันอยู่นี่ ตีกันเองอยู่ในนี่ตาย ทำไม่ได้หรอก นี่มันก็เป็นเรื่องธรรมดา พวกนั้น เขาถึงได้หมิ่นแคลนอาตมาก่อน ซึ่งอาตมาเอง อาตมาไม่ทุกข์ ถึงเขาจะดูหมิ่น ดูแคลน อาตมามีอะไร แม้แต่เจ้าคุณราช.... โพธิรักษ์ มีอะไร เจ้าคุณนะท่านพูดอย่างนี้ จริงๆ โพธิรักษ์มีอะไร อาตมานี่เป็นพระเป็นเจ้าคุณนะ

ซึ่งอาตมาฟังแล้ว เออ ใช่ท่านภูมิใจจริงๆ เลย เห็นชัดเลยว่า ท่านรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ คำพูดของท่าน มันบอกความจริงๆ เลยนะ อาตมาว่า เออ จริง ท่านข่มไปเถอะ อาตมาก็ ไม่ได้มีปัญหาอะไร ก็ไม่ได้โกรธ เกลียดอะไรท่านหรอก ท่านต้องทำอย่างนี้เพราะท่านเป็น คนฐานะนี้ ก็ทำอย่างนี้ อาตมาก็ได้รู้ความจริงว่า เออ คือท่านมันไม่แปลกอะไรนี่ อาตมาว่าดี ก็ท่านบอกอาตมาง่ายๆ อาตมาไม่ต้องไปเล็งญาณอะไรก็รู้แล้ว ก็ดีแล้วนี่ ก็ชัดดี ไม่มีปัญหาอะไร อย่างนี้เป็นต้น มันจะไม่รู้สึก อย่างที่คนโลกๆ รู้สึกได้ง่าย เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ ตัวเองเราแกล้งเอาเหรอ ไม่แกล้ง มันต้องมีญาณ มีความรู้สึก มีความไม่น้อยเนื้อต่ำใจ มีความไม่โกรธไม่เคือง มีความไม่ถือสาอะไร คุณต้องฝึกมา อาตมาไม่ได้ถือสาท่าน อาตมาก็ฝึกมา ไม่งั้นอาตมาก็ถือสา ถ้ามีมานะใช่ไหม ไอ้นี่มันดูถูกกู ทำข่มกูนะ เอ็งเป็นเจ้าคุณ แหมข้าจะต้องเอาเจ้าคุณให้ได้บ้าง ไม่เคยคิดเลย ข้าจะไปทำ อะไรอื่นเพื่อจะข่ม ดูซิ เพื่อจะแข่งขัน ไม่เคยคิดแข่งขันเลย ไม่เคยจริงๆ ไม่เคยคิดแข่ง แข่งดีแข่งเด่นกับท่าน อย่างนั้นอย่างนี้ ไม่เคย ไม่มี

อาตมาว่าอาตมาไม่มีลักษณะมานะอย่างนี้ นี่คืออัตตามานะทั้งนั้น แต่ในเชิงดี ถ้ามานะ ว่าแข่ง ให้เขาทำดี เราควรจะแข่งดีมันก็มีให้ชัดน่ะ ดีน่ะ มันไม่ใช่แข่งหรอก เราเอาบ้าง แข่งนั่นคือ ไปริษยาเขา ถ้าแข่ง ถ้าเราไม่แข่งก็คือ เราพากเพียรอย่างเขาบ้างซิ แม้เรา เองนับถือเขาๆ ดีเรา นั่นถือเขา ทั้งที่เขา พยายาม เอาอย่างเขาให้ได้ซิ กระทำ ให้ได้อย่างนี่ซิๆ เห็นไหมว่ามันซ้อน มันก็ต่าง

ถ้าเขาดีอย่างนี้เราจะเอาดีให้ได้อย่างนี้บ้าง ถ้าริษยามันจะข่มเขา ข้าจะต้องเหนือชั้นกว่า ขึ้นไป แต่จะต้องไม่ได้ดี เสร็จแล้วจะข่มเขาดึงเขา แต่ถ้าเผื่อว่าเรา เออเขาดียังงี้นะ ก็ควร จะได้ดีกับเขาบ้างซิ เราศรัทธาเลื่อมใสไหม มันต่างกัน เราจะออเซาะทำตน จะสมาน สามัคคี เราจะบอกขอเรียกพี่ไป จนกระทั่ง แม้เราทันเขา เราได้เกินเขา เราก็ไม่รังเกียจกัน เราก็ไม่ข่มน้อง จะไม่ไปข่มพี่ได้ต่ำกว่าเราเลย พี่ไปแล้วก็ตาม จะเอ็นดูและจะช่วยพี่ ขึ้นมาอีก ในฐานะที่พี่ยังทำไม่ค่อยได้

นี่ลักษณะคุณธรรมคุณภาพดีมันจะสอดซ้อนอย่างนี้มันซ้อนกันอยู่นะ เพราะฉะนั้น คำว่า มานะ สิ่งที่เรา เอามาใช้ในเชิงดีกัน ทำไมไม่มีมานะ ไม่มีอุตสาหะมานะ ไม่มีมานะ ไม่มีใจ ที่จะสู้ ไม่มีใจ ที่จะพยายามทำความเจริญ ถ้าจะว่ากิเลสหรือตัณหาก็คือ ไม่มีความมุ่งมั่น มุ่งหมาย ไม่มีความ ขวนขวาย ไม่มีความพากเพียรอุตสาหะอะไร ไม่ได้ ต้องมี เพราะฉะนั้น จะบอกว่า วางเฉยปล่อยวาง ไม่เอาอันนั้นแล้ว วางแล้วๆ ก็กลายเป็นเฉื่อยๆ กลายเป็น ปล่อยเฉื่อย ไม่กระตือรือร้น ไอ้นี่มันซ้อนเชิง น่ะ แย้งย้อนกันอยู่ มันแย้งย้อน ถ้าใครไม่คม ไม่ชัด จัดสัดส่วนที่ถูก ต้องพวกนี้ไม่ได้สัดส่วนนะ ไปไม่รอดๆ เพราะเหตุนี้ จะต้อง พยายาม ศึกษาดีๆ พยายามอุตสาหะวิริยะดีๆ เรียนรู้ในนัยยะ ที่ละเอียด ลออ พวกนี้จริงๆ พวกเรานี่เข้าใจกันมามากขึ้นแล้ว

อย่างน้อยที่สุดอาตมาว่า พวกคุณคงไม่สงสัยแล้วว่า ถ้าเราจะมาเป็นคน จนจริงๆ เลย คุณจะกลัวไหม กลัวไหมบัวขวัญ เราไม่กลัวเพราะอะไรรู้ไหม เราไม่กลัวเพราะว่าอย่างน้อยที่สุด เราก็มั่นใจ ในตัวเราเองว่า เราไม่อดตายหรอก กินน้อย ใช้น้อยแค่นี้ แล้วเราก็ขยัน เราก็มีความสามารถ มีฝีมือขนาดนี้ แล้วนี่นะ โอย พอเลี้ยงตัวจริงๆ เราเป็นคน ไม่ถือศักดิ์ถือศรี ทำอะไรก็ได้ ไม่มีงานอะไร ไปขนส้วม ให้เขาพอกินแล้ว ไปรับจ้างขนขี้เขา เราก็ได้แล้ว ไปรับจ้างเก็บขยะได้แล้วเลี้ยงตัวได้แล้ว เขื่อไหม จะทำได้ไหมล่ะ ถ้าคุณทำได้จริง คุณจะมั่นใจใช่ไหม แล้วมันทำยากอะไรแค่นี้ แล้วใคร จะแย่งการเก็บขยะและขนขี้ ใครจะแย่ง ดายหญ้าทำงานแบกหาม เก็บขนอะไร เราก็แข็งแรง ก็ทำได้ อย่างนี้ ถ้าคุณมีอะไรพวกนี้ได้ มันมั่นใจในความสามารถของเรา เราทำต่ำขนาดไหน ไม่กลัวหรอก ว่างานจะไม่มีในโลกน่ะ ทำต่ำก็ได้ทำสูงกว่านี้ก็ได้ และ ยิ่งเราทำสูงก็ได้ ทำต่ำก็ได้หมดทุกอย่างเลย ทำต่ำ จริงๆเราก็ได้ สูงขึ้นมาขนาดไหน ก็ทำได้ ก็ยิ่งมั่นใจตัวเองเลย และเราก็เป็นคนกินน้อย ใช้น้อย เลี้ยงง่าย ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่โลภ ไม่หลงเห่อ ไม่หลงเสพอะไรมากมาย แค่นี้ ชีวิตก็ยังรอดยังได้ แล้วมัน จะไม่กลัว ตายเลย ไม่กลัวจริงๆ และจะไม่กลัวจนด้วย เมื่อมาได้ฝึกปรือแล้ว เมื่อได้มาพิสูจน์แล้ว ไม่ต้องสะสมเลยเงินทอง เผื่อแผ่เกื้อกูล แจกจ่ายเราทำได้มามากมาน้อย เอามาน้อยด้วย

ยิ่งทุกวันนี้ระบบการแลกเปลี่ยน ระบบการซื้อขาย ระบบค่าตัว ระบบค่าแรงงาน เป็นระบบ ที่ฉ้อฉล เป็นระบบที่เขาไปมองว่า ถ้าใครได้มาก ใครได้อัตราค่าแรงงาน ได้อัตราค่าตัวสูง เป็นผู้ประสบ ผลสำเร็จ เป็นผู้ที่เยี่ยมยอด เรายิ่งเห็นว่าเป็นตัวอย่างที่เลวทราม อาตมาเห็นอย่างนั้นนะ ยังไปตีราคา ค่าตัว คุณยิ่งเอาแพง เอามาก แล้วก็พยายามตั้งเอาซิ อย่างประธานธุรกิจใหญ่ เงินเดือนค่าตัว ให้ตัวเองว่า ฉันเป็นที่ปรึกษา ฉันเป็นประธาน ฉันต้องเงินเดือน ๗ แสน เงินเดือน ล้านหนึ่ง คุณตั้งเอา ของคุณเองน่ะ และก็บอกว่า คือความขี้โลภ ความที่ตั้งศักดิ์ศรี อะไรเอาไว้ มันห่างมันมาก คุณก็เป็น บาปมาก เอาเปรียบมากเป็นเรื่องน่าเกลียด

แต่เขาบอกว่าประสบผลสำเร็จ คนในระดับล่างนี่ อยากจะเป็นคนฐานะนี้ แหม เราใหญ่ ขนาดนี้ ยิ่งใหญ่อย่างนี้ได้ หรือว่า ไปทำงานอะไรนิดหนึ่ง เหมือนอย่างนักมวย ไมค์ไ ทสัน ชกทีหนึ่งได้ ๕๐๐ ล้านน่ะ ไมเคิล แจ๊กสัน ร้องทีหนึ่ง ได้เป็นร้อยๆล้าน เป็นพันๆล้าน มาเมืองไทยเขาได้อัตราแค่นั้น ก็เพราะว่า เมืองไทยได้แค่ ๒๐ ล้าน ไปญี่ปุ่นเขาได้ มากกว่านั้นน่ะ ไปญี่ปุ่นทีหนึ่ง ๒๐๐ ล้านบาทกว่า เมืองไทย อัตราเงินเราเท่านี้ก็เก่งแล้ว ๒ วัน แต่ที่นั่นครั้งเดียวนะ ๒๐๐ ล้าน ถ้าครั้งหนึ่ง ไมเคิล แจ๊กสันนี่ เท่าที่อาตมาดูใน ละเอียดเขา ถ้าที่โน่นน่ะ ๒๐๐ล้าน ไปรัสเซีย ไม่ได้ถึงหรอก เพราะอัตรา เศรษฐกิจ มันต่างกัน จะไม่ได้ถึงเมืองไทยด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น แต่เขาได้มากนะ ทำเป็นสด อเมริกาเอง มันก็จะต้องได้เยอะ มันร้องในอเมริกา มันก็จะต้องได้เยอะอีก ก็เพราะอัตราของรายได้ ที่ได้สูง คิดเป็นเงินเหรียญ มาตีเป็นเงินไทย โอ้โฮ บานเบิกเลย ไม่รู้ถึงกี่ร้อยล้านล่ะ เดี๋ยวนี้หากิน ไม่ค่อยได้แล้ว คนไม่จ้างเท่าไหร่แล้ว ไมเคิล แจ๊กสัน ในอเมริกา หากินทัวร์หากินพวกนี้เก็บไว้อะไรต่างๆ นานา ไปตามเรื่องนะ เพราะฉะนั้น อัตราอะไร ต่างๆ พวกนี้ยิ่งมอง เรายิ่งเห็นว่าฉ้อฉล และเห็น ความน่าเกลียดของโลกเขาไม่รู้

ผู้ที่มีดวงตารู้ว่าทัวร์น่าเกลียด แต่เขาเห็นว่าน่ารัก เห็นว่าน่าได้น่ามีน่าเป็น น่าศรัทธาเลื่อมใส น่าภาคภูมิ ข้าควรจะเอาอย่าง คนมันก็จะเอาอย่าง พวกดาราก็พยายาม ขึ้นค่าตัวใหญ่เลย ... พวกเรา รู้เท่าทันแล้ว พวกเราดูเลย เรารู้ แต่คนทางโลกเขาเผิน เขาไม่รู้สึกตัวว่านี่มันไปกันใหญ่แล้ว มันหลงระเริง กันไปแล้วเห็นไหมๆ ...

อาตมาถึงเห็นนรกปหาสะพวกนี้ และมันหลงง่าย มันหากินง่าย ทำอะไรกันนักหนา เขาใช้ความพยายาม เหมือนกัน พากเพียรทำ ลงทุนลงแรงทำ ทำเพื่อ มาแสดงอะไรนี่ เท่านั้นเท่านี้ และแสดง ก็เอาเนื้อความบันเทิง มากกว่าเนื้อหาด้วย เขายังไม่เข้าใจเนื้อหา แต่ก็มีบ้าง คนที่พยายาม มาร่วมทำ พยายามที่จะใส่เนื้อหา อะไรน้ำเน่านี่ก็เขาจะขายกัน ละครที่เขากำลังดูกัน ไอ้เรื่อง... อะไรนี่ นั่นมันเป็น รีเบกก้า ซึ่งมันเป็นเรื่องลามกๆ หน่อย เพราะมันเป็นผู้หญิง มันเป็นฮิสทีเรีย กำลังแสดงกัน อยู่นี่ วิจารณ์กันอยู่ในเมืองไทย ถึงจะแบนไม่แบน ไม่แบนหรอก อย่างนี้เขาก็มอมเมา เขาก็จะได้รับ ความนิยมชมชื่นอะไร คนไปแสดงนี่ ก็รู้ตัวเลยนะ เขาต้องแสดงให้ได้ถึงบทบาทด้วยนะ เห็นนี่เห็น นรกปหาสะนี่ เห็นชัดเจน โอ้โฮ มันไม่รู้ตัวนะ ... ไปเป็นดาราตัวเป็นตัวฮิสทีเรีย จะต้องแสดงอาการ มันอย่างนั้นน่ะซิ เขาไม่อายหรอก เขาภาคภูมิ ที่ตัวเขาทำได้ถึงที่ แสดงได้บท ได้บาทถึงที่ และเขาก็ เป็นนักโป๊ตัวยงอยู่ด้วย ... หุ่นเขาดี เขาโป๊เขาเปลือยได้เขาก็ว่าของเขาไป ดูแล้ว ก็ยิ่งเห็น นรกปหาสะ ไม่เข้าใจ เขามองไม่ออกยั่วกามอย่างนี้

สรุปแล้วก็ยั่วกาม เข้าใจว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องที่ไม่ควรที่จะปรุงแต่งอะไรขึ้นมากนัก ควรจะลดละ มันกลับกันไปหมด เขานึกว่า เขาทำได้ทำดีศิลปะๆ อนาจารจะตายชัก อุจาดจะตายชัก เขาก็ไม่รู้ค่า ค่าของความอุจาดมากขนาดไหน เขาก็คิดไม่ออกนะ ตีค่าต่างกันหมด เพราะฉะนั้น พวกเรา จะเข้าใจโลก และก็เข้าใจธรรมะ จะไม่เกิดศักดินา จะไม่เกิด อัตตามานะ จะรู้ว่าอันนี้ควรทำเราทำ เพราะฉะนั้น เราต้องมาแบก

อาตมาก็ย้ำกับพวกเราว่า เราจะต้องมาเป็นกรรมกร เราจะต้องมาเป็นพวกขนขยะ เราจะต้องมาลุย เป็นชาวนาชาวไร่ มาเป็นคนที่อีกฝั่งหนึ่ง เขามองมาแล้วเขาจะหมิ่นหยาม เราหลงไปยกย่องเชิดชู สิ่งที่มันเลิศลอยที่โลกๆ โลกีย์เอาเปรียบเอารัด ได้เงินมาก็ดี ศักดินาสูงก็ดี ทุนนิยมจัดจ้าน จะอะไร ก็ตาม กามราคะโดยฟุ้งเฟ้อ เละ ไม่รู้เรื่องก็ตาม เขายิ่งถ่วง ไปเหมือน ไปคานกระดาษกระเดื่อง ถ่วงไปหนักเท่าไหร่ เรายิ่งต้องถ่วงมา ให้หนักเท่านั้น น้ำหนักของเราจะต้องเป็นคนที่หนักเอาเบาสู้ ตัด ศักดินาให้ได้มากที่สุด ตัดทุนนิยม ให้ได้มากที่สุด ยิ่งทำๆ เป็นคนจน ยิ่งทำยิ่งไม่สะสมไว้ ยิ่งจนมาก เขายิ่งบวก เพิ่มมาก เรายิ่งจะต้องสะอาดยิ่งจน เพราะฉะนั้น พวกเราจะต้องมาเป็นตัวอย่าง มวลคนจน แล้วพิสูจน์ว่ามวลคนจนนี่แหละ เป็นมวลเลี้ยงโลก ฟังดีๆ นะตรงนี้ มวลคนจน นี่ ถามซิ พวกนี้เป็นอย่างไร มีเงินส่วนตัวเท่าไหร่ สิบบาท พอค่ารถเราไม่ได้สะสมอะไรเลย ไม่กลัวตายหรือ ไม่กลัว แล้วทำอะไร ก็ทำงานวันทั้งวัน ขยันทำงานอยู่นี่ สร้างสรรไหมนี่ และจะสร้างสรร มีผลผลิต ออกไปสู่สังคมพวกนั้นน่ะยิ่งรวยยิ่งเผาผลาญ ยิ่งฟุ้งเฟ้อ ยิ่งทำลาย แต่เรานี่แหละ จะให้โลก อุดมสมบูรณ์ แล้วเป็นอย่างไรที่ทำให้โลกอุดมสมบูรณ์ คนไหน คนจน

ฟังดีๆ อาตมาพยายามจะใช้ภาษาที่จะสื่อสภาวะที่ซับซ้อนให้พวกเราฟัง ใครจะช่วยโลก คนจน จะช่วยโลก คนร่ำรวยจะช่วยโลกไม่ได้หรอกทุกวันนี้ เศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจ ของโลก เขานึกว่า พวกร่ำรวยนี่ เขาจะช่วยสังคม อาตมาขอบอกยืนยันเดี๋ยวนี้เลยว่า คนที่ร่ำรวย ในสังคมที่กำลังทำ เศรษฐกิจ เขาว่าเป็นพวกนักเศรษฐกิจ แม้แต่ผู้บริหารเมือง ก็คบค้าสมาคมกับพวกนักธุระกิจ นักร่ำรวยพวกนี้ บอกว่าให้มาช่วยสังคม อาตมาเหนื่อย และหน่ายด้วย คนพวกนี้จะช่วยสังคมไม่ได้ มีแต่ช่องทาง ยิ่งได้คบกับผู้บริหาร ก็ยิ่งจะเอา ใช้ปัญญา ไม่ใช่ปัญญาด้วย ไอ้เฉกะที่มัน ฉลาดเฉลียว นี่คบคุ้น หาช่องทางเผื่อที่จะดูด มากกว่านั้นยิ่งๆ ขึ้น มันไม่ช่วยสังคม จะทำมรรยาทช่วยสังคม เป็นรูปร่างนิดหน่อย เท่านั้นเอง ท่าดี แต่ลึกๆ แล้วเขาจะต้องได้ ช่องทางที่จะดูดลึกได้ยิ่งกว่านั้น เชื่อหรือไม่เชื่อ คุณอยู่ในวงการนี้ได้บ้าง จะเอากว่านั้น ช่วยสังคมเหรอ เขาจะดูดมาให้ตัวเอง นั่นเหรอ เรามาช่วยสังคม

ถ้าไม่มีคนเสียสละจริงๆ เราไม่มีสมรรถภาพแล้ว ต้องมีสมรรถภาพ เหมือนกับนักธุระกิจ ใหญ่ๆ ที่เขาสามารถ เขาสามารถสร้างอะไร เขาสามารถคิด ผลิตอะไร เราต้องผลิตเก่ง มีสมรรถนะ มีความสามารถเหมือนเขา แต่เราไม่ เหมือนเขาตรงที่เราผลิตแล้ว เราให้ อย่างบริสุทธิ์ใจ เกื้อกูล ช่วยเหลือ สะพัดแก่สังคม ไม่ใช่เขาผลิตแล้วเขาก็มาตั้งราคา แล้วเขาก็มาขูดรีดเอา ขายเอาเปรียบ เกินทุน มันก็คือรีดแล้ว เขาต้องมาขายรีดเกินทุน

แต่เราจะต้องมีสมรรถภาพสร้างได้มาก แล้วแจกจ่ายต่ำกว่าทุนหรือแจกฟรีไปเรื่อยๆ ได้เลย สังคม จึงจะไปรอด จึงจะเกิดเศรษฐศาสตร์ที่เจริญ เห็นไหมเศรษฐกิจคืออะไร เข้าใจภาษาเศรษฐกิจไหม ECONOMY ECONOMIC มันถึงจะเจริญ ใครจะสร้างสังคม คนจน ฟังย้ำอีกชัดๆ ใครจน เรานี่แหละจน และเราจะเต็มใจจนนะ แต่เราไม่ได้จนใจ เราไม่ได้จน สิ้นไร้ไม้ตอก เรามีสมรรถภาพ เรามีฝีมือ เรามีความขยันหมั่นเพียรสร้างสรร สร้างเสร็จ ไม่ต้อง ขึ้นโกดังมากหรอก สะพัดเลย ถ้ามีทางสะพัดไว สะพัด มีเครือข่ายที่จำหน่าย จ่ายแจก และก็มีคนดูเลยว่าตลาดไหนควรจะแจกจะจ่าย ตลาดไหน ควรขาย ตลาดคนที่ขี้โกง เอาเปรียบเอารัด ตัด คนที่จะไปทำลาย คนที่จะเกื้อกูล มีความซื่อสัตย์ ที่จะไม่เอาเปรียบเอารัด นัยยะคล้ายๆ เรา เอาเป็นยี่ปั๊ว เป็นซาปั๊ว คนที่จะแจกจ่าย นี่อาตมาพูดเผื่อไว้ อีกกี่ปีก็ไม่รู้เมื่อไหร่เราจะเป็นนักผลิต มีสายกลไกกับตลาดอย่างนั้น ก็ไม่รู้

ปัญหาเศรษฐกิจแก้ได้อย่างนี้ ไม่งั้นแก้ไม่ได้หรอก มีแต่คนลักษณะทุนนิยม ลักษณะ เอาเปรียบเอารัด ที่จะหาความฉลาดประมูลคนฉลาดมา เพื่อที่คิดหาทางที่จะต้องผลิตได้มาก แล้วก็กำหนดราคา โกงดูดฮั้วกัน แม้กับผู้บริหารก็จะต้องอนุญาตให้ฉันนะ ให้โอกาสฉัน อย่างนั้นอย่างนี้เสร็จ ถ้าผู้บริหารเข้าใจ ต้องคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น ด้วยไม่เข้าใจว่า คนลักษณะอย่างพวกเรานี่ ลักษณะที่จะต้องพัฒนา จะต้องสร้าง จะต้องแก้ไขเศรษฐกิจอย่างนี้ด้วย มาคบกันอย่างนี้ไม่มีทาง เพราะฉะนั้น อย่างคุณจำลอง เสนอเข้าไป เขาก็ดูถูกว่า สายวัดยังไม่รู้เรื่องหรอกสังคม ไม่รู้เรื่องหรอก สายวัด ชวนนั่น ต้องมาคบกับสายวัดนี่แหละ ถึงจะแก้ปัญหาได้ เขาไม่รู้หรอก เขาก็ทำอย่างของเขา นั่นแหละ นั่นอีกนาน ไม่รู้อาตมาอายุ ๘๐-๙๐ จะถึงหรือเปล่าก็ไม่รู้หรอกนะ ๘๐-๙๐ จะได้พูด กับพวกนี้หรือไม่ ไม่รู้นี่ จะได้อธิบาย จะได้บอกกันไป มันไม่ใช่ลักษณะที่เขาคิด เขาคาด และเรา จะต้องขยัน เพราะว่าทางโน้นมันเอาเปรียบมาก จะต้องเสียสละมาก ต้องขยันมาก ต้องอุตสาหะมาก เพราะสัมมาอาชีพต่างๆ งานต่างๆ พวกนี้ มันไม่เหมือน ยุคสมัย พระพุทธเจ้าหรอก

เราต้องช่วยโลก โลกต้องพึ่งเรามากกว่านั้น เพราะเราจะเอาตัวรอดง่ายๆ อย่างฤาษีๆ นั่นน่ะ เชื่อไหมว่า อาตมาเลิกจากพวกคุณนี่อาตมารอด อาตมาไม่ยากหรอก เอาถ้ำไหน เขาไหน สักถ้ำอยู่ไปอยู่สบาย อาตมาไม่ จริงๆ น่ะ ทุกวันนี้อาตมาอยู่ห้อง ไม่มีใครไปยุ่ง อาตมาไม่เห็นมีอะไร พิสูจน์กับพวกคุณก็ได้ ทำงานงุดงุดอยู่ของอาตมา อาตมาไม่เคย เหงา อะไรหรอก ไม่เคยโดดเดี่ยวอะไรหรอก และไม่เคย ทุกข์ร้อนอะไร จะให้อาตมาไป หลบมุมอยู่ที่ไหนก็ได้ไม่ยากอะไรหรอก ถ้าจะเอาหลบมุมนั่นน่ะ มันง่ายจะตายไป งานหลบมุม งานขวนขวาย งานอย่าเหลือตัวตน เรามีพฤติกรรม เรามีแรงงาน เรามีความรู้ เรามีความสามารถ มีฝีมือ มีสมรรถนะ เอาลงไป อย่าทำลายสังขารร่างกาย อย่าให้มัน ทรุดโทรม เท่านั้นเอง รู้จักพักรู้จักเพียรนั่นแหละสำคัญ ถ้าเราไม่ทรมานตนเอง ไม่ทำร้ายร่างกายตนเอง ตรงที่ว่า เราเพียรเกินไป จนร่างกายทรุดเสื่อม มันก็มีแต่ความเจริญ ร่างกายก็แข็งแรง ถ้าทำด้วย สัดส่วนใช่ไหม ฝีมือฝีไม้ คุณค่าบุญกุศล มันก็เกิดพัฒนา ทั้งนั้นแหละ เราต้องการ คนอย่างนี้ในสังคม อย่างพวกเรานี้ ไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้วจะเป็น แรงงาน เป็นวัวงาน อย่างที่ ท่านพุทธทาส ท่านว่าเป็น วัวงานให้แก่สังคม ท่านไม่เรียกวัว ท่านเรียกงัว เป็นงัวงาน เล่นสัมผัส อักษรหน่อย วัวกับงัวนี้ อันเดียวกันรู้ไหม เรามาเป็น งัวงาน จริงๆ เราเป็นผู้ที่จะต้องสู้ เพราะคนเขา จะไปโน่นหมดแล้ว

ถ้าอาตมาเอาคนมาทางนี้ไม่ได้ แล้วกระดานหกนี่ไม่กลับๆแล้วมันจะแก้ไขปัญหาอะไรได้ แก้อะไรได้ คนต้องมาเห็นและคนจะต้องมาเป็นจริงมาทำจริง กระดานหกถึงจะกลับ ถ้ากระดานหกไม่กลับ พวกคุณนี่ก็ไม่ร่อยหรอลง ทิศทางของโลกียะก็ไม่ร่อยหรอลง น้ำหนักมากน่ะ ไม่ต้องปริมาณ เท่ากันหรอก คนในทางโลกฟ่ามๆ นะเขาไม่ใช่เนื้อหาหรอก เขาอย่างนั้นไม่ใช่เนื้อหา เพราะคน ทางโน้นแหละ ประเทศไทย ๖๐ ล้านเ ป็นคนทุนนิยม ให้สี่ร้อยล้าน อโศก ๑๐ ล้านนั่นนะ ถ่วงได้เลย น้ำหนัก ต่อให้สี่สิบล้านทางนี้ ๑๐ ล้านถ่วงอยู่ อีก ๑๐ ล้านนั่นวิ่งไปวิ่งมา พอแล้ว อีก ๑๐ ล้าน วิ่งโน่นวิ่งนี่ อาตมาว่าก็พอแล้ว ระวังพวกเรา จะกลายเป็น พวกวิ่งละ เอาให้มันแน่อยู่พวกไหน เดี๋ยวก็วิ่ง จะเอาทางนี้เหมือนปรอท เดี๋ยวก็วิ่งไปทางโน้น ปรอทไปทางโน้นทางนี้ พวกนี่ช้า นี่พวกวิตักจริต พวกนี้แปดสิบ อสงไขยแสนกัป ให้มันเด็ดเดี่ยว จริงจังนะ

นี่อาตมาก็พยายามจะอธิบายโดยสภาวะ โดยเหตุการณ์ โดยโลก โดยยุคสมัย โดยลักษณะต่างๆ ของมนุษยชาติ สังคมของพฤติกรรมของกิจกรรมการงานการ พิธีกรรม อะไรต่างๆ หยิบเอามาพูด ด้วยภาษาสื่อให้พวกคุณฟังๆ ตาม ฟังภาษาแล้วคุณคิดตาม สภาวะ คิดถึงอะไรจริง และอะไรจริง คุณก็คิดตามแล้ว คุณจะติดตามได้ มันก็จะได้อะไร ไปพอสมควรนะ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ ที่เราทำอยู่ วันนี้เราได้ขนาดนี้ อาตมาว่าเกินทาง มาเรื่อยๆ มันยังไม่สมบูรณ์อะไรมากนักหรอก งานการที่อยู่พวกเราเองนี่ก็เถอะ

เมื่อวานนี้ก็ได้ยินเสียงเรียกช่วยหน่อย ที่โรงเต้าหู้น่ะ ไม่รู้ขนอะไร ขนไม้สั่งไม้จะมาทำ โรงเพาะ ที่จะทำเชื้อเห็ดเอง ซึ่งต้องศึกษาทำ อาตมาก็เห็นว่า บางคนอาจจะเห็นว่า ลงทุนเยอะ ก็ไม่เป็นไรหรอก เราต้องอาศัยพวกนี้ไปในอนาคต ต้องทำเองอย่าไปอาศัย จมูกคนอื่นหายใจนัก เราก็ค่อยๆ เป็นไป ได้ยินเรียกไปช่วยขนไม้ มีเด็กกะง่องกะแง่ง มาคนเดียว ไม่รู้ว่าตามไปอีกมีใครหรือไม่ ไอ้พวกนี้ มันจะเกิดจากจิตวิญญาณพวกเรา เออ พวกเราดูซิ ก็ไปช่วยกันบ้าง ได้ยินเสียง อะไรมันยังขาด ต้องดึงกัน ส่วนนั้นส่วนนี้ จนกว่า เราจะคล่องตัว จนกว่าเราจะมีน้ำใจมีจิตใจ แล้วก็แข็งแรง แล้วก็มี มวลอื่นมาเติม มาอะไร ต่อมิอะไร เสริมขึ้นมา ซึ่งเราไปบังคับกันมาไม่ได้ ใครจะมาก็ด้วยความสมัครใจ ด้วยความเห็น ที่ตัวเองเกิดญาณเกิดปัญญา จะเรียกว่า อาตมาล้างสมองเก่งก็ได้ จะเรียกว่า คุณเอง คุณฉลาด คุณไม่ถูกล้างสมองหรอก คุณเองคุณเข้าใจเองก็ตามใจคุณ แล้วแต่เถอะ แล้วแต่ จะพูดภาษาอะไร

อาตมาไม่สงสัยจะบอกว่า อาตมาล้างสมองเก่ง หลอกเก่งก็ได้ อาตมาหลอกได้แต่คน ฉลาด นี่แหละ จริงๆ อาตมาหลอกคนโง่ไม่ได้หรอก มะลื่อทื่อไม่รู้เรื่อง ไม่ไหวทำอะไรไม่ขึ้น เพราะฉะนั้น ใครจะมา ก็ยังงี้แหละ ไม่ใช่ภาษาจิตวิทยา อะไรจะมาหลอกคุณต่อ หลอกได้ แต่คนฉลาดเท่านั้น ทำให้คน ฉลาดนี่ หลงกลมาเลย ท่านบอกว่า หลอกได้แต่คนฉลาด ต้องมาซิเราต้องเป็นคนฉลาด ไม่ใช่ ก็เรื่องของคุณแหละ พูดไปก็จบอยู่ที่ตัวเองแหละ แต่คนละคน จะว่าคุณโง่ คุณฉลาดก็เรื่องของ คุณทั้งนั้นแหละ ต้องมาพิสูจน์เอา ต้องมาสัมผัส ต้องมาเป็นเอาเอง และแม้เป็นแล้ว พิสูจน์แล้ว คุณพอใจหรือไม่พอใจ ไม่มีปัญหา ที่นี่ไม่บังคับและไม่ง้องอนหรอก บอกแล้วไม่บังคับกันเกินไป แต่ก็มีนัยยะ ก็เอานะ ต้องเคี่ยวเข็นบ้าง ไม่บังคับหรอก แต่เคี่ยวเข็น ไม่อยู่ในลักษณะบังคับ ฟังภาษา คำว่าบังคับกับเคี่ยวเข็นนี่ต่างกัน แต่เคี่ยวเข็ญไม่บังคับไม่ง้องอนๆ แต่ก็เสียดายบ้าง มันไม่น่า ก็น่าเสียดาย แต่ไม่ง้องอน จะไปก็ไปไม่ง้องอน ก็น่าเสียดาย ก็พยายามใช้ ภาษาไทยนะ มันมีลักษณะ อย่างนั้น มันน่าจะมาดี ทำไมมันไม่เอาดี มันก็น่าอายอยู่นะ แต่ไม่ง้อ ไปก็ไป อยู่ก็อยู่ ไม่บังคับ แต่เคี่ยวเข็ญ มีอิสระสมบูรณ์ นี่มันนัยซ้อนอยู่กลางๆ นี่ พูดยากนะ จะว่าไม่ใช่ก็ไม่ใช่ จะว่าใช่ก็ใช่ ไม่รู้จะว่าอย่างไร มีอยู่อย่างนี้ สุดยอดแล้ว มันจะต้องเข้าใจด้วยปัญญา ตัดสินของเราเองและ เราก็จะรู้

ทุกวันนี้ก็ก่อเกิดขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็เห็นพออาตมาเริ่มขยายสัมมาอาชีวะ ขึ้นไม่กี่ปีนี่เอง และก็เป็นรูป เป็นร่างแล้วมันจโตไว จะขยายตรงนี้ก็ยังเตือนอยู่เลย ...

บอกแล้วคำตอบอยู่ที่คนพวกเรานี่แหละ เป็นคนซื่อสัตย์ สุจริต มีอาชีพมีการกระทำ มีพฤติกรรม มีกิจกรรมการงานอย่างนี้ มีพิธีกรรมอย่างนี้ อะไรอย่างนี้รอบรัดอยู่ในสังคม เป็นโครงสร้างของสังคม เป็นรวงรังของสังคมที่จะ เกิดผลพร้อมกัน มีสัมมาอาชีพ มีสัมมากัมมันตะ มีสัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ สัมมาสังกับปะ ครบพร้อมหมด ไม่เช่นนั้น มันไม่สานโครงสร้างให้เต็มหรอก มันแหว่ง เอาแต่พูดกับคิด ไม่ได้ และมีแต่การงาน ไม่เป็นโล้เป็นพายไม่ได้ ต้องเป็นรวงรังของอาชีพ ของกิจการที่มนุษย์ต้องอาศัย สร้างสรร สืบทอดไปเลย เป็นอาชีพสืบทอดไปเลย ใครจะรับหน้าที่ประจำก็ยังได้ และแวะเวียน ไปดูอันอื่นบ้างเท่านั้น แต่มันจะต้องมีคนที่สังกัดงานนี้เป็นหลัก มันก็จะมีเหมือนกัน เหมือนกับ คนโลกๆ แต่ว่าเราไม่ได้ทำ เหมือนคนโลกๆแล้ว แค่ความซื่อสัตย์สุจริต ไม่โลภ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ทุจริต อย่างเดียวนี่ สังคมที่จะมีอาชีพนี่ มีการงานนี่ก็สำคัญ จะเป็นได้ดี อย่างมหาศาล และยิ่งมีสมรรถภาพ มีความขยันเพิ่มเติมเข้าไปอีกละ นอกจากซื่อสัตย์ สุจริตแล้ว ยังมีสมรรถภาพ มีความขยัน และ ยังมีปัญญา มีความเฉลียวฉลาด จะมองโลก ได้กว้าง รู้เศรษฐกิจของโลก รู้สังคมศาสตร์ รู้ว่าเรา จะประสาน เราจะทำอะไร เราจะ หนุนเนื่อง เราจะช่วยอะไร คนก็เจริญ อย่างนี้แหละ คนก็จะอยู่ ในโลกมีคุณค่า

เอาละ คุณก็ได้ฟังอาตมาพูดไป จะล้างสมองสำเร็จหรือไม่ก็ไม่รู้ ก็ค่อยๆ ดูและค่อยๆ ทำ และค่อยๆ ขยับขยาย ...


จัดทำโดย โครงงานถอดเท็ปฯ
ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๒๒ มิ.ย.๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย เพียงวัน ๑ ส.ค.๓๗
พิมพ์โดย ลักข์ เมฆสกุล ๒๒ ส.ค.๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๑๒ ก.ย. ๓๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

LUK2A-B .TAP
มีตัด้อความบางช่วงออก