สัจจะแห่งกรรม ตอน ๑
โดย พระโพธิรักษ์
เนื่องในงานปลุกเสกฯพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๓
ณ พุทธสถานศีรษะอโศก
เมื่อ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๒


ซึ่งอาตมาจะบรรยายให้เห็นสัจจะแห่งกรรมกัน กรรมก็คือการกระทำ คำว่ากรรม หรือว่า การงาน กรรม การกระทำ หรือการงาน ชีวิต อาตมา ได้นิยามไว้ว่า ชีวิตก็คือ บทบาทของ กรรม ๓ ถ้าคนที่หมดบทบาทของกรรม ๓ ลง ก็หมดชีวิต คำว่าหมดชีวิตนั้น หมายความว่า ตาย ไม่ได้หมายความว่า นิพพานนะ หมดกรรม ๓ ตาย หมดจริงๆ หมดกายกรรม หมดวจีกรรม หมดมโนกรรม ทางใจก็ไม่มีการงาน ไม่กระทำอะไรแล้ว ใจ หยุด ตาย

คนธรรมดา ปุถุชนที่หมดกรรม ๓ ก็ยังอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไป ยังไม่นิพพาน ยังไม่ ปรินิพพาน ยังไม่หมดสิ้น แต่หมดกรรม ๓ ไปชั่วขณะหนึ่ง ส่วนคนที่เป็นพระอรหันต์แล้ว จบกิจแล้ว เมื่อหมดกรรม ๓ ก็สูญ หมดกรรม ๓ ก็เลิก หมดสังสารวัฏ หมดวัฏฏะ หมด ความเวียนว่ายตายเกิด อีกทั้งหมดจริงๆ เลย ไม่เหลือ สูญสนิท เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ตอนนี้ละปรินิพพานละ

คนที่เป็นปุถุชน หรือเป็นพระอริยะที่ยังไม่ถึงขั้นพระอรหันต์ ยังไม่ตาย ก็ยังมีกรรม ๓ อยู่ ยังมีกายกรรม มีวจีกรรม มีมโนกรรม พร้อมกับยังสร้างบาปสร้างบุญ หรือลดบาป บำเพ็ญบุญ อยู่ตามแต่ฐานะ ส่วนพระอรหันต์ที่จบกิจแล้ว ยังไม่หมดกรรม ๓ ยังไม่ตาย ถึงนิพพานแล้วเหมือนกัน เรียกว่า สอุปาทิเสสนิพพาน เป็นผู้ถึงซึ่งสอุปาทิเสสนิพพาน แล้ว แต่ยังไม่ถึงอนุปาทิเสสนิพพานเท่านั้นเอง ยังมีกรรม ๓

คนในระดับพระอรหันต์นั้นมีกรรม ๓ ยังมีการกระทำ ยังมีการงานที่เป็นบุญไม่มีบาป บำเพ็ญแต่บุญ หมดบาป ไม่ทำบาปแล้ว แม้บำเพ็ญบุญก็เป็นอโหสิกรรม คือ เป็นกรรม ที่ไม่ติดยึด เป็นกรรมที่ไม่หลงใหล เป็นของตัวของตน จึงถือว่าไม่มีบุญด้วย บาปน่ะไม่ทำ อยู่แล้ว ก็ไม่มีอยู่แล้ว บุญแม้ทำ ทำอย่างยิ่งด้วย ยังกุศลให้ถึงพร้อม

สำหรับพระอรหันต์ แต่แม้ยังกุศลให้ถึงพร้อม มีแต่บุญอย่างไร ก็ตามที ไม่ได้เป็นคน หลงบุญ ไม่ได้ติดบุญ ไม่ได้ยึดบุญ ไม่ได้หลงบุญว่าเป็นของตน ที่จริงก็เป็นของท่าน แต่ท่านเอง ท่านไม่ได้รับอะไรแล้ว ไม่ได้เอาอะไรแล้ว ท่านไม่เอาจริงๆ ท่านให้หมด ให้ไป ไม่รับมาเป็นของตน ในใจนั้นต้องเป็นจริง ใจนั้นได้ฝึกปรือมา ปล่อยจริง วางจริง อย่างแท้จริง แต่ก็มีกำลังนะ จิตนี่มีอินทรีย์ มีพละสูง

สำหรับพระอรหันต์ มีอิทธิบาท ๔ มีความขยันหมั่นเพียร เพียรนั่นชื่อว่ายังมีอายุ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า สิ่งที่แสดงความเป็นสมณะสูงสุดนั้นคือ ความมีอายุนั้น คือ อิทธิบาท ๔ คือความเพียร จะเห็นพระอรหันตเจ้า จะเป็นผู้มีความเพียรขยันอยู่ทีเดียว มีฉันทะ มีวิริยะ มีจิตตะ วิมังสา เป็นสภาพ บทบาทของความเจริญแห่งการงาน มีฉันทะในงาน มีความยินดีรักงาน สนใจในงาน สนใจในการกระทำที่เป็นกุศลกรรม มีวิริยะ มีความพากเพียรในการงาน จิตตะ มีความเอาใจใส่ในการงาน มีวิมังสา มีการไตร่ตรอง พิจารณาปรับปรุงแก้ไขอยู่เสมอ ให้ดียิ่งอยู่ เพราะความดีนั้น มีดีกว่า และดีมาก จนกระทั่งถึงดีที่สุด เราจะต้องรู้ว่า ดีนั่นมีดีกว่าและดีมาก มันดีกว่า และ จนกระทั่ง ดีนั้นมาก มากขึ้นๆ จนกระทั่งที่สุด ดีที่สุด มีอย่างนั้นเสมอ

กรรม คือการกระทำนั้น มีผลนำทั้งดีและชั่ว หากผู้ใดเมามัว กระทำชั่วย่อมมีความทุกข์ ใครทำกรรมดี บุญผลมีทั้งดีและสุข หากท่านอยากหมดทุกข์ มีแต่สุข จงกระทำดี กรรมดี และกรรมชั่ว อยู่ที่ตัวของเรานี้ ใช่ใครลิขิตชีวี ตัวเรานี้ลิขิตเอง กรรมเป็นคำกลางๆ คำว่ากรรมนี่ ที่จริงตัวของมันเป็นคำ กลางๆ มีทั้ง ๒ ทาง คือ ทั้งดีและชั่ว หากผู้ใดรู้ตัว ก็อย่าทำชั่ว จงกระทำ แต่ดี สัตวโลกย่อมเป็นไปตามกรรม ภาษาบาลีว่า กัมมุนา วัตตตี โลโก สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง มีกรรม หรือมีการกระทำ หรือมีการงานนี่แหละ เป็นของๆตน กระทำอะไรvก็เป็นของตน หายใจเข้า หายใจออกก็เป็นของตน ใครคิดแช่งอาตมา ตอนนี้ก็เป็นกรรมของคุณ คิดก็ คิดปุ๊ป เป็นจริงนะ คิดทันที เป็นทันทีนะ คิดแช่งเป็นบาป หรือเป็นบุญ เฮอะ บาป แล้วมันเป็นโดยที่ไม่ต้องมีภาษาไประบุบอกว่านี่ เป็นบาปนะ ไอ้นี่เป็นบุญนะ ไอ้ที่เราระบุว่า ไอ้นี่เป็นบาป ไอ้นี่เป็นบุญน่ะ บอกกันให้รู้ แต่ไอ้ตัว ความจริง แม้ไม่รู้มันก็จริง อันใดที่ทำแล้วเป็นบาป ไม่รู้มันก็จริง คือ มันเป็นบาปแล้ว ถ้าทำไปแล้วน่ะ ถ้ามันเป็นบุญ หรือมันเป็นดี ไม่รู้มันก็ดี ทำอย่างใดอย่างนั้น ทำอย่างใดล่ะ คิดอย่างใด พูดอย่างใด ทำทางกาย กายกรรม ทำอย่างใด อย่างใด ก็อย่างนั้น เป็นทันที ไม่มีใครมากำหนด ไม่มีใครมาชี้ก็ได้ มันเป็นแล้ว ถ้ามันเป็นสัจจะ ว่าอันนี้มันไม่ดี อันนี้มันดี อันนี้เป็นกุศล อันนี้เป็นอกุศล มันก็เป็นของมัน ตามที่มันเป็น จะรู้ หรือไม่รู้ จะโง่หรือฉลาดก็ตาม ถ้าได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง อันใดที่มันเข้าข่าย อกุศล หรือ ชั่ว มันก็ชั่ว มันก็บาป อะไรมันเข้าข่ายกุศล มันก็บุญ

งั้นพวกเราชาวอโศก นี่จะต้องรำลึกและจะต้องสำนึก จะต้องเข้าใจเลยว่า ชีวิตนี้ เรามาปรับปรุงกรรมแท้ๆเลย ชีวิตของคนเกิดมา เพื่อที่จะมาปรับปรุงกรรมแท้ๆ ไม่มีอื่น ปรับปรุงกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีสติรู้ตัวทั่วพร้อมให้ได้ แล้วพยายามกระทำ กรรมทุกกรรมของเราให้ดี แม้แต่หายใจเข้า หายใจออก ก็ปรับปรุงให้หายใจดีๆ หายใจ ให้มีความรู้สึกตัว ฝึกตัวไปจนกระทั่ง อบรมมันว่าหายใจ ว่าเราเป็นคนที่หายใจอย่างนี้ๆ หายใจนี่ทางโยคะ ทางอะไรต่ออะไรเขาฝึกมากเลย ฝึกจนกระทั่งเป็นอัตโนมัติ จนชินแล้ว มันก็เป็นคนหายใจดี เพราะงั้นชาวโยคะ ชาวโยคี จะอายุยืน เพราะเขารู้จักแม้หายใจเข้า หายใจออกดี การกางแขนกางขา เอี้ยวไปเอี้ยวมาอะไรนี่ มันมีสุขภาพของมันอย่างดี พวกโยคีนี่อายุยืนส่วนมาก ไม่มีรูปร่างน่าเกลียดหรอก คนรูปร่างน่าเกลียด คือคนรูปร่าง เนี่ย อาตมาไม่ได้ว่า พูดไว้ก่อน คือรูปร่างอ้วน คนน่าเกลียด โยคีนี่จะผอมๆ ไม่ใช่นี่ไปถึง ก็ไปอดข้าวให้แห้งๆ กันล่ะ พอพูดอย่างนี้ ก็อยากจะรูปร่างไม่น่าเกลียด ก็เลยไปทำ อย่างนั้น โยคีเนี่ย จะไม่มีอะไรเทอะทะ คือ โดยเฉพาะไขมันอย่างนี้ เป็นต้น

สรุปแล้วนะ คือสัพเพ สัตตา กัมมัสสโกมหิ สัตว์ทั้งหลาย ทั้งปวง สัพเพ สัตตา กัมมัสโกมหิ กรรมเป็นของๆตน หรือการกระทำบทบาทของการ กระทำใดๆก็ตาม แม้แต่คิดในใจนิดหนึ่ง ก็เป็นนิดหนึ่ง คิดนิดหนึ่งก็เป็นนิดหนึ่ง พูดอยู่ในใจก็เป็นแล้ว พูดในใจ ไม่พูดออกมาเป็นภาษาเป็นเสียงก็เป็น ยิ่งกายกรรมออกมาก็ยิ่งเป็นใหญ่ และเป็นของของตน ดีหรือชั่วเป็นของของตน กัมมทายาโท เป็นผู้รับมรดกของกรรม เรียกว่าวิบาก ก็เป็นแล้ว พูดในใจ ไม่พูดออกมาเป็นภาษา ผู้ใดทำ ก็ต้องรับมรดก อันนั้น ของตนไป โยนทิ้งไม่ได้ ไปทำบอกเอาไป เอาไป คุณเอาไป ไม่มีทาง ยัดเยียดให้คนนั้น คนนี้ โกงกันไม่ได้ ปล้นกันไม่ได้ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่หนี อยู่กับตัว เกิดมาเป็นชีวิตๆหนึ่ง ไม่มีอะไรติดตัวไป วิบากของกรรมเท่านั้นติดตัวไป ได้แต่วิบากของกรรมเท่านั้น ไม่มีไม่ได้ อะไรอื่นเลย ไอ้รสอร่อยๆ อะไรต่างๆ ที่เคยได้นั่นแหละ มันไม่ไปด้วยหรอก และมันก็ ไม่จริงด้วย มันมาศึกษาแล้วพวกเราจะรู้มันไม่จริง ไอ้รสอร่อยต่างๆ มันหลอกเราทั้งนั้น แหละ มันจะได้ ถ้าเผื่อว่าติดรสอร่อย ก็ได้แต่นั่นแหละ วิบากติดนะ กิเลส (หัวเราะ) ถ้าติดมันไป มันเป็นวิบากติดด้วย ติดๆ ยึดๆ ไปด้วยน่ะ เราเป็นผู้รับมรดกของกรรม หมายความว่า เราเองทำไว้เท่าใด ก็เราก็มีอยู่ในตัวของเรา เป็นของๆเรา กัมมัสโกมหิ เป็นของๆเรา ไปตามไปอย่างนั้นน่ะ

เอาละอาตมาจะไม่ขยายความละเอียดก่อน เพราะว่าที่จริง ขยายความนัยอันนี้ ทั้งหมด นี่น่ะ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมัง สัตเต วิภัชชติ อันนี้แหละ ขยายอีกร้อยวัน พันวันก็ขยายอยู่ได้ เพราะศาสนาพระพุทธเจ้าเรา มีกรรม เป็นหลัก มีกรรมสัจจะ ไม่ได้ถือพระเจ้าเป็นสัจจะ ถือกรรมเป็นสัจจะ เป็นลัทธิกรรมนิยม กรรมเป็นตัวจริง กรรมเป็นตัวเที่ยง ตัวแท้ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อผู้ใดทำกรรมดี ก็ดีแท้ ผู้ใดทำกรรมชั่ว ก็ชั่วแท้ และมันก็จะเที่ยง จนกว่าเราจะทำให้เกิดอโหสิกรรม คือ เป็นผู้ที่ ปฏิบัติธรรม จนรู้จักกรรม แล้วก็ควบคุมตัวเองได้ ไม่กระทำกรรมชั่ว เป็นพระอรหันต์ ทำแต่กรรมดี แล้วไม่ติดกรรมดีเป็นอโหสิกรรม สุดท้ายโน่นแหละ

แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่ยึดดียึดชั่ว ประเภทที่พูดกันอย่างตื้นๆ ไม่มีดีไม่มีชั่ว คนที่คิด อย่างนั้น เรียกว่าคนที่แน่นอนจะต้องทำชั่ว เพราะเขาเอง เขาไม่ได้กำหนดชั่ว และไม่ละ เลิกชั่ว ไม่หยุดชั่วให้สะเด็ด แม้แต่ชั่วยังไม่ค่อยรู้เลย ไม่ใช่ง่ายนาจะรู้ กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา จะรู้ว่า ไอ้นี่เป็นชั่ว ไไอ้นี่เป็นดี ไอ้นี่เป็นดี ไอ้นี่เป็นชั่ว วิเคราะห์ซับซ้อนนี่ กว่าจะรู้ชัดๆ เจนๆ นี่อาการอย่างไร อารมณ์อย่างไร เออ ในภาวะองค์ประกอบอย่างนี้ๆ มีเหตุปัจจัยอย่างนี้ อย่างไรจึงเรียกว่าประมาณดี อย่างไรเรียกว่าไม่ดี ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เป็นอภิธรรม เป็นธรรมขั้นสูงยอดเลย เพราะฉะนั้น เราจะไปประมาทดี ประมาทชั่ว แล้วไปเอาตีกิน เอาภาษาสูงสุดยอด ที่มาว่า ท่านไม่มีดี ไม่มีชั่วแล้ว ท่านไม่ติดดี ไม่ติดชั่วแล้ว

เอาภาษาสูงยอดมาใช้ โดยที่เรายังไม่รู้ และไม่ได้ปฏิบัติ ไม่เป็น ไม่มีญาณปัญญา อย่างลึกซึ้ง ที่จะวิเคราะห์วิจัยว่าดีว่าชั่วออกชัด และมีเจโตวิมุติ มีพลัง อินทรีย์พละ ไม่ทำชั่วเด็ดขาด ทำแต่ดี ไม่มีอำนาจสูงสุดอยู่เหนือ เรียกว่า เหนือนี่ละเป็นผู้เหนือกรรม เหนือกรรมตรงที่ว่า ไม่ทำกรรมชั่ว แม้ทำกรรมดี ก็อยู่เหนือตรงที่ว่า ไม่เป็นทาสกรรมดี ไม่หลงใหล ติดยึดกรรมดี แม้เราจะทำ เราจะเป็นของเราโดยสุจริต เป็นของเราโดยสิทธิ แต่ก็ไม่หลงดี มันก็มีดีอยู่นั่นแหละ ตราบที่เรายังไม่ดับขันธ์ ๕ ยังไม่หมด ดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุแท่ง เป็น อนุปาทิเสสนิพพานธาตุนี้ คือ ไม่ดับสูญธาตุนี้จากชีวิต หรือไม่ตายไปนั่น แหละ เราก็ยังจะมีวิบากของกรรม เราก็มีวิบากแต่กุศล มีวิบากแต่กรรมดี แม้เราจะยัง มีชีวิตอยู่อีกต่อๆไป ก็ไม่มีปัญหาอะไรมากนี่ ส่วนมากมันมีแต่วิบากชั่วน่ะสิ และมันก็ ไม่ใช่ว่า มันหมดกันได้ง่ายๆ ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เดี๋ยวจะเจอ จะอ่านไปให้หมด ไปเรื่อยๆ

ขนาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บรรลุตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว วิบากชั่วเนี่ยนะ เรียกว่า อกุศลวิบาก มันยังตามมาเล่นงานอยู่เลย ยังมาส่งผลอยู่เลย ยังส่งส่วยอยู่เลย ท่านไม่ได้ อยากได้หรอกนะ ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว แล้วคุณเป็นอะไร เป็นอะไรเจ้า กิเลสเจ้า เป็นกิเลสเจ้า เป็นเจ้าแห่งกิเลสอยู่นั่น แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไร วิบากก็ต้องตามมา เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัว คนที่เจอวิบากนี่ อย่ากลัว แม้วิบากนั้นมันจะหนักหนา สากรรจ์ อย่างไร อย่าไปกลัวมัน พยายามใจดีๆ แล้วปรับปรุงทำดีเข้าไว้ให้มากๆอีก มันไม่ล้าง หรอกนะ มันล้างไม่ได้ มันกัมมทายาโท มันเป็นมรดกของกรรม ก็เราไปทำเอาไว้ ตั้งแต่ปางไหน คุณก็ไม่รู้ ใช่มั้ย ? แล้วมันไม่ได้ทำไว้ อยู่ดีๆ อยากได้เหรอ ไม่อยากได้ มันมาถึงเราแล้ว แล้วทำไง ยิ้มรับมัน แล้วพยายามทำสิ่งที่ดีกว่า สิ่งที่ดีกว่า ที่มันดีอย่างไร ที่มันจะเป็นกุศล เราพึงสั่งสมนั้นน่ะ ไม่ได้ล้างนะ ศาสนาพุทธเราไม่ล้างกรรม กรรมชั่ว กรรมดี เราทิ้งไม่ออก มันเป็นมรดกอยู่อย่างนั้นแหละ

อาตมายกตัวอย่าง เหมือนเรามีขวดใบหนึ่ง ขวดใบนั้น ถ้าเผื่อถ้าเราจะให้เห็นดีๆ เราเอา น้ำใส่เข้าไปแล้ว กรรมดีกรรมชั่ว สมมติเป็นสีน้ำเงินกับสีแดงนี่นะ น้ำเงินเป็นดี แดงเป็นชั่ว อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็ใส่เข้าไป ทำดี ก็คือเหมือนเหยาะสีน้ำเงิน ทำชั่วก็เหมือนเหยาะสีแดง เหยาะลงไป ก็อยู่ในนั้นแหละ ถ้าทำดีมาก สีน้ำเงินมันก็ปรากฏด้วย เห็นมั้ย ถ้าทำชั่ว มากๆ สีแดงมันก็ปรากฏเรื่อย สีอะไรที่มันมีน้ำหนักมากกว่า สีนั้นก็จะเกิดปรากฏ สีใด ที่มันมากกว่า มันก็ปรากฏชัด แต่มันไม่หนีไปไหนนะ มันก็อยู่ในนั้นแหละ เข้าใจมั้ย อุทาหรณ์ อาตมาว่า ยกตัวอย่างอันนี้ชัด มันไม่ไปไหน มันอยู่ในนั้นแหละ

ศาสนาพระพุทธเจ้าที่ว่า ล้างกรรมไม่ได้ แต่ทำกรรมนี่ จะให้มันมีฤทธิ์ ให้มันออกฤทธิ์ทำได้ ถ้าทำกรรมดีมากๆ ฤทธิ์กรรมดี ก็ออกนำหน้า เหมือนสีแดงมากเป็นชั่วเห็นมั้ย สีแดงมาก ก็ออกนำหน้า สีน้ำเงินออกหน้า ก็เพราะว่าเราทำกรรมดีมาก อย่างที่เราสมมติเมื่อกี้ มันก็จะมีสีน้ำเงินออกสีนำหน้า แต่ไม่ได้หมายความว่าแดงหมดไป ไม่หมด ถ้าเติมแดงอีก ไอ้แดงเก่าๆ มันก็ยังมารวมกันออกฤทธิ์ออกสีอยู่นะ ใครเรียนศิลปะมา ใครเรียนแสงสี จะรู้ว่า มันไม่หายไปไหนหรอก สีมันอยู่ในนั้นน่ะ ออกผสมไปอีก มันก็จะมีจำนวนที่ มีฤทธิ์แรง เพิ่มเติมขึ้นมาอยู่ ช่วยกันอยู่อย่างนั้นแหละ มันจะช่วยกันอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่หนีไปไหนนะ แล้วทำแล้วจะไปโยนให้ใครก็ไม่ได้ เอาไปเบี้ยวๆ ทิ้ง เอาไปแบ่งส่วน แบ่งส่วนบุญ แบ่งส่วนบุญไม่ค่อยแบ่งเท่าไหร่ แบ่งส่วนบาป เอาไปแบ่งให้คนนั้นคนนี้ มันจะน้อยลงไปหน่อย แบ่งส่วนบาปออก ถ้าแบ่งได้ ก็แบ่งออกซี้ เรื่องอะไรเอาไว้พรรค์นั้น แบ่งบาปเลยนะ แบ่งบุญได้ แบ่งบาปต้องแบ่งได้แบ่งไป เอาไปนะ ได้มั้ย ? ไม่ได้ ไม่ได้ ของใครของมัน กัมมัสโกมหิ ของใครของมัน

ใครมาสอนแบ่งบุญแบ่งบาปได้นี่ ค้านแย้งพระพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นแล้ว กัมมโกหิ กรรม เป็นของของตน คนทำนี่ คนนี้ทำทาน แหม ทานใหญ่เลย แล้วส่งไปให้คนโน้น แหม ส่งให้คนตายด้วย ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้อยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่ บ้านเลขที่สวรรค์ หรือบ้านเลขที่ นรก ยังไม่รู้เลย ถนนนรกที่ ๑ บ้านเลขที่นั้น ก็ไม่รู้เลย เออ สวรรค์ที่ ๑ สวรรค์ที่ ๒ ถนนนั้น ถนนนี้ บ้านเลขที่ เท่านั้นของถนนที่ ๑ ถนนที่ ๒ ไม่รู้เรื่อง แต่ส่งกันเละเลย ส่งเละไปเลย นะ หลอกกันมานานแล้ว พวกเรานี่พูดค่อยๆพูดเข้าใจ เพราะว่าพูดกันมานานแล้ว ข้างนอกนี่ยัง ใครมาใหม่ๆ ฟังแล้วงง เอ๊ะ ส่งไม่ได้เหรอ ส่งไปตั้งหลายทีแล้วน่ะ สูญเปล่าซิ งั้นน่ะ เปล่า คุณโดนเขาหลอกมานานแล้ว ส่งเปล่า ถ้ากรรมส่งกันได้ แบ่งกันได้ ก็เป็น ลัทธินายทุน คนรวยก็ส่งเอาซิ แหม เห็นมั้ย ส่งทางกงเต็ก เป็นล้านงี้ เป็นต้น เอ้า อย่างนี้ สบาย เนี่ย พ่อรับไปแล้วล้านหนึ่ง ทำกงเต็กไปเป็นล้าน เตี่ยตาย ไปแล้ว เขาก็ทำกงเต็ก ส่งไปเป็นล้าน ได้รับแล้ว หอฮ้อ ก็ส่งให้หลอกกันไป แต่คนขาย กงเต็ก ได้เป็นล้าน ไม่รู้มีเอี่ยวกับพระหรือเปล่า พระไปตกลงกับคนที่ขายกงเต็ก หรือเปล่า ไม่รู้

ส่งไม่ได้ แบ่งไม่ได้ ถ้าแบ่งได้ ค้านแย้งกับคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเชื่อว่า นี้เป็น คำสอนจริง กรรมเป็นของของตน เรารับมรดกของกรรม ไม่ใช่ว่าคนนั้นคนนี้ ทำมาให้ มรดกของเรา เราทำชั่วชั่วของเรา เราทำดีดีของเรา บุญของเรา บาปของเรา ไม่มีของอื่น ของคนอื่นไม่มี ของคนอื่น ก็เป็นของคนอื่น ใครทำอย่างไร ก็อย่างนั้นนะ นี่ต้องเน้นให้เห็น กันชัดๆ ยืนยันศึกษาให้ดี ศึกษาไม่ดีแล้ว เพี้ยนแล้ว ทำอะไรเลอะเทอะ เสียเวลา นอกจาก เสียเวลาแล้ว ดีไม่ดีเป็นบาปด้วย มันเป็นการเชื่อมโยงนะ ไปทำบาปเราไม่รู้สึกตัว มันไปทำ ทำความหลอกลวงนี่บาปมั้ย ?น่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปเชื่อมโยง กับสิ่งหลอกลวง มันก็เลี่ยงๆ อยู่นั่นแหละ

ต่อไป กัมมพันธุ เป็นผู้มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ ในพระไตรปิฎก เล่มใหม่ นี่เขาแปลคำแผลง ขึ้นมา มีกรรมเป็นพวกพ้อง แน่ สมัยใหม่เลย พระไตรปิฏกใหม่ๆ เขาแปล กัมมพันธุ เนี่ย ภาษาบาลีเขาว่า กัมมพันธุ เขาก็แปลคำว่า มีกรรมเป็นพวกพ้อง อาตมาฟังดู อ่านดู มันมีสำนวนใหม่ๆ ดี สำนวนแปลกๆ มีกรรมเป็นพวกพ้อง

อาตมาเคยได้ยินแต่มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ พันธุมันก็เผ่าพันธุ์อยู่แล้ว มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ หมายความว่า มีกรรมเนี่ย คนเราเมื่อทำกรรมนั้น กรรมนั้น ก็จะเป็นของเรา กรรมนั้น เราก็จะรับ มรดก เนี่ย มันจะมีอำนาจ มีฤทธิ์กับเรา ไปเป็นสมบัติ เสร็จแล้ว ไอ้สมบัติ ของเรานี่ละ มันจะออกเชื้อ จะออกเผ่า ออกพันธุ์ มันจะออกฤทธิ์ดี ฤทธิ์ชั่ว มันจะทำให้เรา ทำดีทำชั่ว มันมีอำนาจนะ แล้วมันก็ต่อเชื่อมโยงไปกาลนาน เมื่อไหร่ๆ มันก็เป็นเผ่าพันธุ์ คุณก็มีพันธุ์ของคุณน่ะ

ทีนี้ เราจะไปเปลี่ยนพันธุ์ เป็นนักเกษตรชั้นหนึ่ง เปลี่ยนพันธุ์ใหม่ แต่ก่อนนี้ เราเป็นพันธุ์ ปุถุชน เป็นพันธุ์คนโง่ อวิชชา เราก็มาเปลี่ยนพันธุ์ใหม่ เป็นพันธุ์ที่มีวิชา เป็นพันธุ์พุทธะ ใครอยากได้พันธุ์พุทธะบ้างเล่า ไม่มีใครยกมือ ๒-๓ คน โอ๊ ค่อยๆรู้ตัว มันไม่รู้ตัว ถามอย่างไม่รู้ตัว เลย เอ๊ ถามอะไร อยากได้พันธุ์พุทธะ ก็คงอยากได้ทั้งนั้นน่ะนะ มานั่ง อยู่เนี่ยนะ ใครไม่อยากได้ ก็ประเดี๋ยวบอกว่าเป็นกิเลส อยากได้พันธุ์พุทธะเป็นกิเลส เออ ไม่อยากได้ นั่งอยู่ตรงนั้น โง่อยู่ตรงนั้นแหละ มันก็ต้องอยากได้ก่อนแหละน่า ตัณหาล้าง ตัณหา มันต้องอยากได้ก่อน อยากได้สิ่งที่ดีแล้ว ก็ทำเอาซิ อยากได้เฉยๆ มันไม่ได้หรอก อยากได้เฉยๆ มันเป็นกิเลสจริงๆน่ะแหละ ทำเอาซิ เรารู้แล้ว เป้าหมายว่าอย่างนี้ เป็นสิ่งที่ ควรกระทำให้ได้ ต้องกรรม ต้องลงมือทำ ทำแล้ว มันจึงจะได้ เมื่อได้ๆๆ มันก็เป็นเชื้อใหม่ เนี่ย เรามาบีบเชื้อใหม่ มาผสมพันธุ์ใหม่ของตนเองนะ คนอื่น ประเภทเรานี่ เป็นพวก ไส้เดือน ไม่ต้องไปผสมพันธุ์กับคนอื่น ผสมพันธุ์ตัวเอง ตัวเองผสมพันธุ์ตัวเอง อยู่ในตัว เราเอง ผสมพันธุ์ให้มันเป็นพันธุ์ใหม่ ให้เป็นพันธุ์พุทธะ เป็นพันธุ์ที่บริสุทธิ์สะอาด จาก กิเลส เป็นพันธุ์ที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อันเป็นกุศล อันเป็นความดีงาม อยู่ตลอดเวลา นั่นละกรรมพันธุ

กรรมพันธุ์อันนี้ ต้องก่อให้ถึงจิตวิญญาณ กรรมพันธุ์ทางโลกนี่เขาเรียนกันเหมือนกัน เขาวิเคราะห์ วิจัย เอาสัตว์เอาเชื้อ เอายีน เอาอะไรต่ออะไรมา เอามาส่องกล้อง มาวิจัย มีโน่น มีนี่ แล้วมันก็ยังไม่ละเอียดหรอกนะยีน มันเล็กจริงๆนะ แล้วมันก็โอ้โฮ ยาก หลายต่อม หลายปม หลายปุ่ม มันไม่รู้เรื่องของมันหรอก ก็มันอยู่ในนั้นน่ะ ยีนของมันน่ะ อย่างพันธุ์อะไรก็แล้วแต่ พันธุ์คนก็ตาม พันธุ์ของสัตว์ก็ตาม พันธุ์ของพืชก็ตาม มันก็มียีน ของมันออกมา อย่างเมล็ดน้อยหน่ามันออกมา มันเม็ดนิดเดียวน่ะ ประเดี๋ยวมันมาแตก เอ๊ มันมีใบ อยู่ในไหนนะ เอาน้ำรดมันเข้าไป เดี๋ยวมันออกมาเป็นใบ ออกมาเป็นกิ่ง ออกมา เป็นลูกอีก เอ้า เอ้อ ลูกก็เป็นน้อยหน่า ก็เป็นอยู่อย่างนั้นน่ะ น้อยหน่างั้นน่ะ พันธุ์นั้นก็เป็น พันธุ์อย่างนั้นน่ะ ทุเรียนพันธุ์นี้ก็เป็นพันธุ์นี้ แหม หมอนทองบ้างน่ะ ก้านยาวบ้าง ก็เป็นพันธุ์อย่างเนี้ย มันอยู่ในเม็ดมันนั่นแหละ มันละเอียด นั่นขนาดที่เป็นวัตถุรูปนะ

นามธรรม ก็มีเหมือนกัน เป็นมรดก เป็นทรัพย์ เป็นสมบัติ เป็นของจริงนะ เป็นของจริง เป็นพันธุ์นะ เพราะฉะนั้น สะสมเข้าไปพันธุ์พุทธนี่ สะสมเข้าไปให้ถึงจิตวิญญาณ ให้เป็น ของจริงให้ได้เลยเอาพรมไป บำเพ็ญไป จิตวิญญาณของเรา มีอินทรีย์พละ มีสัทธินทรีย์ วิริยินทรีย์ มีสตินทรีย์ มีสมาธินทรีย์ มีปัญญินทรีย์ ให้มันมีของมันจริงๆ อินทรีย์พละ ของเราเนี่ย มีความเชื่อ มีปัญญารู้จริง มีความเพียร มีตัวเพียร มีตัวสติ มีตัวสมาธิ มีความตั้งมั่น มีความแข็งแรง มีตัวรู้ สติรู้ มันรู้ตัวทั่วพร้อม รู้พอมีความรู้สึกตัว มันก็จะ รู้สึกตัวว่า และไอ้ตัวสตินี่ มันรวมอยู่หมดเลย ทั้งธรรมวิจัย ทั้งวิริยะ ทั้งปีติ ทั้งปัสสัทธิ ทั้งสมาธิ ทั้งอุเบกขา มันรวมอยู่ในนั้นหมดแหละ เป็นองค์แห่งตัวที่ตรัสรู้

ถ้ามันตรัสรู้แล้ว มันก็จะเป็นองค์แห่งความตรัสรู้ แล้วอยู่ในนั้นหมดเลย มันจะทำงาน อย่างอัตโนมัติ ไวเท่าที่เราจะฝึกปรือ เพราะงั้นมีสติรู้ตัวเนี่ย มันธรรมวิจัย มันทำงาน พับเลย และมันก็มีตัววิริยะ มันไม่เป็นคนเฉื่อย มันเป็นคนที่มีความเพียร ขยันเพียร กระปรี้กระเปร่า มีวิริยะ แล้วมันก็คัดเลือก คัดเฟ้น และก็ตัดสินทำกรรม อันแคล่วคล่อง แล้วมัน จะทำตัวมันเองเลยทำไปในสิ่งที่ดี เรียกว่า ปีติ ตัวไหนที่มันไม่ดี เอ่อ ได้เรื่อง รวนๆ อยู่ก็ คัดขจัดออก เป็นบทบาทไปเรื่อย จนกว่ามันจะจัดอย่างเก่ง เป็นตัวเครื่องกลที่ไม่รับ อันนี้เลย เหมือนเครื่องยนต์บางอย่าง นี่เห็นมั้ย เขาทำไว้ มันไม่รับสิ่งนี้ มันรับแต่สิ่งนี้ ในเรื่องของวัตถุโลก เขาก็ทำได้ อันนี้ก็เหมือนกัน มันไม่รับสิ่งนี้ มันรับแต่สิ่งนี้ เพราะฉะนั้น มันจะเป็นสภาพปัสสัทธิ สงบอยู่อย่างนั้นแหละ สงบจากอะไร คือกิเลส มันมีตัวธาตุรู้ มีญาณ มีตัวตรัสรู้ รู้พอไอ้นี่มันเป็นกิเลส มันไม่รับเข้ามา กิเลสเข้าไม่ได้แล้ว อาคันตุกะนี่ มันเป็นแขกจร กิเลสนี่ มันเป็นแขกจร มันเข้ามาไม่ได้อีกเลย เพราะมันมีตัวรู้ที่รู้ทัน

รู้ทันกิเลสคืออะไร เพราะเราได้ฝึกเรียนรู้จริงๆ มีญาณรู้กิเลส มันขจัดออกแล้ว มันไม่เข้า มันจะเข้านะกิเลส แต่มันเข้าไม่ได้ เพราะมีอินทรีย์พละ เรามีอำนาจ เรามีความแข็งแกร่ง มีความตั้งมั่น มีปัสสัทธิจึงสงบอยู่ มีสมาธิ มีความตั้งมั่น มีความแข็งแรง มีความเป็น อุเบกขา ความเป็นนิวตรอนแล้ว ไม่ดูดไม่ผลักแก แกจะมาอยู่ที่นี่ แกก็มามีฤทธิ์กับเรา ไม่ได้ คือมาถึงที่เราปั๊บ เป็นกลางไปเลย กิเลสเข้ามาหาตัวเรา เป็นกลางไปเลย ถูกอำนาจ ของตัวเรา ทำให้เป็นกลาง หมดฤทธิ์กิเลสเลย แถมเอามาใช้เป็นประโยชน์ได้ด้วย มันพิลึก อยู่ตรงที่ว่า กิเลสมีพลัง มันเป็นพลังของโลก ในโลกนี้มันมีพลัง เอาพลังเหล่านั้นมาใช้ได้ มาเป็น เราใช้เป็นอำนาจของเรานะ ไม่ได้ไปใช้ตามอำนาจกิเลส เพราะฉะนั้น พวกนี้เป็น อำนาจแฝง ที่มันประสมประเส มันจะเป็นของจริง เกิดเป็นกรรมพันธุ์ บำรุงพันธุ์ตนเอง ให้เป็นพุทธให้ได้

กัมมปฏิสรโณ เป็นผู้มีกรรมเป็นที่พึ่ง เป็นที่พึ่งอาศัย เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เราเป็นชีวิต เราก็จะต้องอาศัย มีร่างกาย มีธาตุไฟ น้ำ ดิน ลม ต้องอาศัยธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม อาศัยธาตุ ที่จะให้สังเคราะห์ตามสัดส่วนของมัน ต้องการแป้ง ต้องการน้ำตาล ต้องการอากาศนั้น อากาศนี้ อ๊อกซิเจน อะไรเย่นๆ ก็แล้วแต่เถอะ มีอะไรก็ต้องการอากาศ อย่างนั้น ดิน น้ำ ไฟ ลม อย่างไร มันก็สังเคราะห์มาใช้ มันเป็นกลไกที่ วิจิตรมากมายเราก็ต้องพึ่ง ธาตุของ วัตถุธาตุก็พึ่ง วิญญาณธาตุก็พึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำวิญญาณธาตุของเราให้วิเศษ เป็น วิญญาณธาตุ ที่เป็นอริยะบุคคล เป็นวิญญาณธาตุที่มีกำลังดี มีฤทธิ์ดี มีแต่ธาตุที่ดี เป็นวิญญาณที่ดี เป็นกุศลธาตุ เราก็ได้พึ่งอันนั้น พึ่งของเราเอง "อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" เราได้พึ่งของเรา เราจะไปหยิบ ไปยืมใครมาใช้ มันไม่ใช่ เหมือนกับเรา ขอใช้สำนวน คำพังเพยว่า "อย่าไปยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ" มันได้มั้ย ? แหม จมูกของเรา มันอุดแล้ว ขอยืมจมูกคุณหน่อย ใส่หายใจ มันไม่ได้ เราจะพึ่งกัมมปฏิสรโณ จะได้พึ่งของตนๆนั่น ลึกซึ้งนะ

"อัตตา หิ อัตตโน นาโถ" เป็นสำนวนโวหารว่า ตนต้องพึ่งตนให้ได้ ตนพึ่งตน สุดท้าย ยกยอด ลงมา กัมมปฏิสรโณ เราพึ่งกรรม ฟังเข้าใจมั้ย ? อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เป็นสำนวน โวหารว่า ตนต้องพึ่งตนให้ได้ ทีนี้เราจะพึ่งตนนั้นน่ะ ตนคืออะไร ? ก็คือตัวเรา ทั้งชีวิต ใช่มั้ย ? ชีวิตคืออะไร ? บทบาทของกรรม ๓ เราก็ได้พึ่งบทบาทของกรรม ๓ ของเรา นั่นเอง

กัมมปฏิสรโณ คืออะไร ? กรรมเป็นที่พึ่งของตน ตนต้องพึ่งกรรม ก็คือบทบาทของกรรม ๓ คนที่ตีหัวคน เป็นคนเกเร มันก็พึ่งวิชาตีหัวคน นายถวิล หนูวอด เรียกหนู มันก็พึ่ง การเรียกหนู แหม ตอนนี้ดัง ตอนนี้ดัง พึ่งวิชาเรียกหนู ตอนนี้มีการท้าทายกัน จะแข่งกัน มีคนอื่นๆอีก ข้าก็หนึ่งเหมือนกัน ข้าก็เรียกหนูเก่งเหมือนกัน มันก็พึ่งกรรมอย่างนี้แหละ กรรมเรียกหนูมาฆ่ากัน มาฆ่าเก่งกว่ากัน ก็นิยมชื่นชมกัน ได้พึ่งอาศัยแบบนั้นน่ะ คนที่ ไม่ต้อง ไปพึ่งอาศัยวิธีเรียกหนูมาฆ่า ก็พึ่งกรรมของตน จะเป็นกุศลกว่านั้นก็เอา มีกุศล กว่านั้น ก็ได้พึ่งกรรมอันเป็นกุศลกว่านั้น เอาละ ยังไม่ขยายความตอนนี้ มันยังต้องขยาย กันอีกนะ ค่อยๆ ว่ากันไปแกนี่ ขยายให้เห็นเป็นหลักๆเลาๆซ่ะก่อนว่า มันมีความลึกซึ้งนะ มันเป็น ความจริง เป็นสัจจะแห่งกรรม นี่เป็นความจริงอย่างที่ว่านี่นะ

อาตมาพูดภาษาง่ายๆนะ ภาษาไทยธรรมดานี่แหละ ขยายความให้ฟังเป็นอุเทศ เป็นการ แสดงขึ้นให้ฟัง ให้รู้ คุณจะได้เกิดสัมมาทิฐิ จะได้เห็นจริงเห็นจัง แล้วมันจะเกิดความเข้าใจ ความมั่นใจ เป็นความสัทธินทรีย์เกิด ศรัทธาพละเกิด มันเป็นกำลังของความเชื่อ คุณฟัง ไปแล้ว คุณจะเกิดความเชื่อ อาตมาไม่ได้บังคับให้คุณเชื่อนะ คุณเชื่อเอง คุณจะเชื่อ เท่าไหร่ ก็เท่านั้น อาตมาไม่มีสิทธิ์ไปบังคับให้ใครเชื่อหรอก แต่เสนอความจริง อธิบายดี ชี้หงายของที่คว่ำ ควักของลึกให้มาตื้น จุดไฟในที่มืด อะไรอย่างเงี้ย พระพุทธเจ้า บอก เออ อย่างนี้มันชัด มันเชื่อ เชื่อถือก่อน ถ้ามันเชื่อมากๆ มีความเห็น โอ้โฮ นี่แหม ชัด มันก็เชื่อมาก คุณก็เชื่อฟัง ก็ไปทำตาม เมื่อทำตาม จนกระทั่งเกิดผล คุณก็เชื่อมั่น ของตนเอง เชื่อที่ผลที่เกิดเห็นจริงเห็นจัง มันดีอย่างไร มันประเสริฐอย่างไร มันวิเศษ อย่างไร มันพ้นทุกข์อย่างไร คุณจะรู้ความจริงพวกนั้นเอง กัมมปฏิสรโณ เป็นผู้ได้พึ่งกรรม

อาตมาได้พึ่งกรรมมาทุกวันนี้ แต่ก่อนอาตมาก็ไปหลงนะ หลงโลกนี่ยกตัวอย่าง อาตมา ประกอบ อาตมาเกิดมาก็เหมือนลิงอมข้าวพอง ทุกคนน่ะ เกิดมาก็โลกจะมอมเมาเรา จะจับเราปั่น เอออยู่กับโลกีย์นะลูกเอ้ย คนทุกคนก็จะช่วย และพ่อบ้าง แม่บ้าง น้องบ้าง ลูกบ้าง หลานบ้าง อะไรอยู่รอบด้าน เพื่อนบ้าง มิตรบ้าง ล้อม มันก็เป็นอย่างนั้น ทั้งนั้น ปุถุชนทั้งนั้นน่ะ มันก็จะพาเขย่า

เออ ลิงลมอมข้าวพอง เคยเล่นมั้ย ใครเคยเล่น ลิงลมอมข้าวพอง อาตมาท่องไม่ได้หรอก ลิงลมอมข้าวพอง มันเขย่าตัวให้เมา มันก็เมากับโลกีย์น่ะ เขย่าให้มันเมา ลืมตามา มันก็เมา เหรอเอาลาภเหรอ เอายศเหรอ เอาสรรเสริญ เอาโลกียสุขเหรอ ก็เมาอยู่กับโลก ทุกคนนั่นแหละ จะเป็นพระอริยะขนาดไหนๆ โผล่เกิดมา มันมอมเมากันมา ตั้งแต่อ้อน แต่ออก ออกมาถูกมอมเมาเป็นลิงลมอมข้าวพอง ก็ต้องเมาโลกีย์เบลอๆ เพราะว่าเราอ่อน  เยาว์ ใช่มั้ย เราก็ถูกมอมเมาซ่ะก่อน ก็กรอกมาเลยตั้งแต่เกิด ออกมาก็ เป็นโลกีย์ โง่ๆ เง่าๆ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เมา แหม กว่าจะหายเมา เมามาเสียนาน

อาตมากว่าจะรู้ตัว ๓๐ กว่าปี เมาเกิดมานะ มันก็พึ่งสิ่งที่ตัวเอง คิดว่าจะต้องพึ่ง ก็พยายาม ไปเป็นคนอย่างโลกๆ เอ้า ไปหาความรู้ ไปหาความชำนาญ ไปทำอะไรต่ออะไร เพื่อที่จะ ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญมา โลกียสุขอย่างไร เขาบอกว่า อย่างนี้สุขน๊า ดูดบุหรี่อร่อยดีน๊า ไปหัดดูดแทบตาย แหม แต่มันก็มีบุญเก่า มันเลยไม่ติด เขาบอกว่า กินเหล้ามันดีนะ ก็ไปหัดกินเหล้า อาตมาหัดกินเหล้าก่อนกินเบียร์ ก็เลยกินเหล้าเป็น กินเบียร์ไม่เป็น มาหัด กินเบียร์ แทบตาย โอ้โฮ หัดกินเบียร์ ทำแอ๊ค ก็นึกว่ามันจะกินง่าย เคยขายหน้า สั่งเบียร์ มาขวดใหญ่ นั่งกิน กินไม่หมด แหม ขายขี้หน้า จากนั้นเข็ด ไม่สั่งอีกแล้ว เอาไปที่บ้าน ซื้อเอาไปใส่บ้าน แล้วหัดกิน ตั้งแต่ขวดเล็ก จนกินขวดใหญ่ หมดได้ ค่อยมากินต่อหน้าคน ทีนี้ กินแข่งกันเลย เลยฉิบหายนั่นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก กินแข่งกัน คนขายมันก็รวยไป เท่านั้นเอง ตัวเองก็อ้วกเอาๆ ไม่มีเรื่องอะไร

นี่คือความเลวที่เลวมาเก่า นั่นแหละโลกมันมอมเมาเราอย่างนั้น และ ก็เป็นอย่างนั้น ไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง ถ้าคุณไม่มีกรรมเป็นของตนๆ ที่คุณได้สั่งสมเป็นบุญบารมี หรือ เป็นวาสนาเก่า หรือเป็นกรรมอันเป็นของๆตน เป็นมรดกของกรรม ยิ่งเป็นกรรม อันเป็น ปรมัตถ์ เป็นปรมัตถธรรมที่ทรงไว้ซึ่งปรมัตถ์ ทรงไว้ซึ่งสิ่งสูง มันจะไปได้มายังไง มันไม่ได้หรอก มันก็ออกฤทธิ์ออกเดชอยู่ ในโลกีย์อยู่อย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ใครสั่งสม ที่พวกคุณมาได้หลายคน แล้วก็บรรลุมา ได้พ้นเวรพ้นกรรม ไอ้โน่นไอ้นี่มา หลายๆอย่าง เป็นบุญของพวกคุณมาเหมือนกันทั้งนั้นแหละ มันมีจริงๆ ว่ามีฤทธิ์มีเดชเท่าไหร่ๆ ก็เป็น เท่านั้นๆ ของมันมาเรื่อยๆ สั่งสมไปเรื่อยๆ ชาติแล้วชาติเล่า

คนเกิดมาชาติหนึ่ง ๑๐๐ ปี ไม่ยาวหรอก มันสั้นนิ๊ดเดียว โลกลูกหนึ่งนี่นะ โลกลูกหนึ่ง ลูกโลกนี่ใหญ่นะ ใช่มั้ย มดตัวหนึ่ง เทียบกับลูกโลกลูกหนึ่ง มันไม่รู้สึกตัวว่า จะเทียบกัน ยังไง มดตัวหนึ่งกับลูกโลกลูกหนึ่งนั้นน่ะ มันใหญ่นะ กาลนานนี้ กับร้อยปี ยิ่งกว่านั้น ยิ่งกว่าเทียบมดตัวหนึ่ง กับโลกลูกหนึ่ง กาลนานนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด คุณเกิดมา ๑๐๐ ปีน่ะเหรอ คุณเทียบกับล้านๆๆๆ ยังไม่รู้กี่ล้านเลย ยังไม่รู้จะจบเท่าไหร่เลย กาลนานเนี่ย ไม่รู้จะจบ เท่าไหร่ คุณรู้มั้ย กาลนานจะจบเมื่อไหร่ ไม่มีที่สิ้นสุด ฟังออกมั้ย เพราะงั้น อายุ ๑๐๐ ปี นี่คุณก็ฟังมานานแล้ว ชีวิตนี้สั้นนัก รู้สึกขึ้นบ้างมั้ยว่ามันสั้นจริงๆ นี่ เฮอะ รู้สึกบ้างมั้ย เคยได้ฟังมาใช่มั้ย ชีวิตนี้สั้นนัก แหม แต่มันไม่เข้าใจลึกซึ้ง เท่าไหร่ไม่รู้สึก กว่าคุณจะรู้สึก และคุณจะขมีขมัน บอกโอ้โฮ ตายล่ะหว่า มันสั้นจริงน่ะเหรอ แล้วเรา จะไม่ประมาท เราจะเห็นว่า กาลนานนาทีหนึ่ง วินาทีหนึ่ง เราควรทำอะไร ครวญใคร่หา กิเลสใส่ตัว ใช่มั้ย ? ควรบำเรอ บำเรอโลกีย์ คนที่รู้สึกตัวแล้ว ไม่บำเรอโลกีย์ให้ตัวเอง ชีวิตนี้สั้นนัก สั้นจริงๆ ๑๐๐ ปี นี่ไม่ยาวเลย

พวกคุณจะ ๑๐๐ หรือเปล่า ยังไม่รู้เลย โยมนึ้ง เอามั้ย เอา ๑๐๐ มั้ย โยมนึ้งเอา ๑๐๐ ปีมั้ยๆ เอาเหรอ ขนาดยืน ยังไม่ค่อยตรงเลย นี่จะเอาแล้วนี่ ยืนก็ยังโค้ง งี้แล้ว จะเอา ๑๐๐ หรือเนี่ย ตามจะเป็นไปเหรอ นั่งยังต้องพิงเสาอยู่ตะพัดเลยนี่ ยังนั่งเอง ยังไม่ได้ แล้วยัง จะเอา ๑๐๐ อยู่เหรอ คนเรามันอย่างนั้นน่ะ แต่มันก็มีความสุข มันไม่ทุกข์ แม้อย่างงี้ ก็เอา เอาอยู่นี่ มันยังดีอยู่นี่ มันยังไม่ทุกข์เท่าไหร่ ถ้าทุกข์จริงๆ มันไม่เอา โอ้ย ขันธ์นี้ ทุกข์นัก ไม่ไหวแล้ว นี่มันแก่จริงๆ มันงอมเลยนะ คนที่งอมๆแล้ว โอ๊ เมื่อไหร่ มันจะตาย เสียที คนแก่หลายคน อื้อฮือ มันทุกข์จริงๆ มันทรมาน นี่มันยังไม่ทรมานเท่าไร นี่ขนาดนี้ งอๆ ก่อๆ ขนาดนี้ จะเอาต่อ เอา อยู่ได้ก็เอา ยังทำงานอยู่นะ เอา เพราะฉะนั้น อย่าประมาทชีวิต ชีวิตนี้สั้นนัก สั้นจริงๆ

นี่อาตมาขยายความให้คุณฟัง คุณจะเข้าใจ จะรู้สึกว่า มันไม่ยาวเลย ต่อให้คุณอายุ ๑๐๐ ปี มันสั้นจริงๆ เทียบกับ กาลนาน เทียบกับอะไรแล้ว อาตมาเปรียบเทียบเป็นวัตถุรูป ให้ฟังว่า มดตัวหนึ่ง เทียบลูกโลกนี้ ว่ามันเทียบกันไม่ได้ มันเล็กนะ เล็กนัก มดตัวหนึ่ง เทียบกับโลกลูกหนึ่ง ฮู้ย คุณอายุ ๑๐๐ ปี ว่ามันเล็กกว่า มันสั้นนี่นะ มันยังสั้น เทียบกับ มดตัวหนึ่ง กับลูกโลก เพราะกาลนาน มันไม่มีที่สิ้นสุด ลูกโลกยังมีขนาด ไอ้ กาลนาน ไม่มีขนาดเลย ไม่มีระยะ หยุดเลย โอ๊ เทียบมันไม่ไหวเลย มันยาวนาน แล้วคุณเกิดมา ยังนับไม่ได้เลย คุณรู้มั้ยว่า คุณเกิดมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กี่กัปแล้วนี่ กี่แสนกัป กี่ล้านกัป ไม่ได้ คุณเกิดมาขนาดนี้ มานั่งฟังธรรม เป็นเวไนยสัตว์ คุณอย่านึกว่า คุณเพิ่งเกิดนะ นับกัปกันไม่ได้หรอก

พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ คุณไม่เชื่อหรอกว่า เอากระดูกของคุณ ตั้งแต่เกิดเป็นสัตว์ มาจนกระทั่ง มาเป็นสัตว์คนนี่ เอากระดูกมากองๆไว้ จะตั้งแต่คุณมามีกระดูกมานี่ ตั้งแต่สัตว์มีกระดูกนี่ เอากระดูกตายๆชาติ เอากระดูก มากองๆแต่ละคนนี่ กองกระดูก มันเท่า ภูเขาเวปุลลบรรพต ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ น้ำตาที่ได้ไหลนี่แน่ะ แต่ละชาติๆ น้ำตาคนละ ๔ คาบมหาสมุทร

พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้พูดเล่นนะ คุณเชื่อว่าพระพุทธเจ้าพูดเล่นเหรอ แต่คุณนึกไม่ออก หรอก คุณคิดไม่ออกจริงๆ ฟังแล้วมันเหมือนนิยาย มันเหมือนพูดเล่นๆ พอฟังอาตมา อธิบาย ชักรู้สึกขึ้นมั้ยว่า เอ๊ขักเข้าท่า เอ๊ ชักจะจริงแล้ว เชื่อมั้ย กระดูกกองนี่ คุณเกิดมา คนละกี่กัปป์น่ะ เฮอะ คุณนึกว่าคุณเป็นคนชาตินี้น่ะเหรอ เป็นหมู เป็นหมามากี่ชาติ ก็ไม่รู้ เอ๊า จริงๆนะ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ไอ้หมู หมาน่ะ ผ่านกันมาทั้งนั้นน่ะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัส นี่บอกแต่ละพื้นดินเนี่ย ไม่มีที่ใดเลยที่จิ้มไปตรงไหน ไม่มีที่ใด ที่ไม่มี สัตว์ไม่ตาย ไม่มี ไม่มีที่ใด อย่าว่าแต่สัตว์เลย ไม่มีที่ใดที่ไม่มีคนตาย คนตายลงไปในที่ดิน ทุกเม็ดทุกแห่ง ฟังแล้วไม่น่าเชื่อ โลกลูกหนึ่ง มันไม่ใช่อายุสั้นๆนะ อายุนาน เขาก็คำนวณ กันไป ตามภาษาวิทยาศาสตร์ เดากันทั้งนั้นแหละ เท่านั้นล้านปี เท่านี้ล้านปี เท่านั้น ล้านปีแตก เดาทั้งนั้น ไอ้คนเดามันตายไปก่อนหมดแล้ว ไอ้คนที่มันโลกจวนจะแตก มันกลียุค โลกจะแตกแล้ว มันไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่มีความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ด้วยซ้ำไป มันไม่รู้เรื่องหรอก แล้วโลกมันก็แตก ไอ้ที่คนมาเที่ยวนั่งเดาว่า โลกมีอายุเท่านั้นล้านปี เท่านี้ล้านปี อาตมามันอยากจะหัวร่อ เพราะมันเมื่อย มันเอาไปเท่านั้นน่ะ วิทยาศาสตร์ คำนวณเท่านั้นปี นี่โลกนี่ แหม มันบอก ๙ ปีจะแตกก็มี เห็นมั้ย ตอนนั้นมันลือกันว่า โลกอีก ๙ ปี จะแตก ก็เดากันไปทั้งนั้นแหละ เกิดมากี่ปี เราไม่รู้ เดาทั้งนั้นน่ะนี่

โลกนี้ โลกมันอายุเท่านั้นล้านปีเท่านี้ล้านปี เดา นักวิทยาศาสตร์เดา ทำเป็นว่ามีหลักฐาน ไอ้นั่น ไอ้นี่ เอาไอ้นั่นมาคูณ เอาไอ้นี่มาบวก คูณเข้าไปเหอะ เขาไม่รู้หรอกว่า โลกนี้มันเกิด มา ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วมันจะแตกเมื่อไหร่ เขารู้ไม่จริง อายุของเขาไม่กี่ร้อยปีหรอก เขาเดา ไว้แล้วก็ มันผิดมันถูก มันก็ไม่ขายหน้า เพราะว่าไม่มีหน้าจะขายแล้ว เพราะว่ามันตาย ไปแล้ว เดาไปอย่างนั้นแหละ แต่ความจริงแล้ว นี่มันทนทานนาน โลกลูกหนึ่งนี่นาน นะ อาตมาก็ไม่เดา ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์

สรุปแล้ว เราจะต้องรู้จักกรรมให้จริง แล้วก็ต้องทำที่พึ่งอันเกษมให้แก่ตนให้ได้ กรรมเป็น ที่พึ่งของตนๆ กรรมชั่ว กรรมดี ไม่ได้โยนทิ้ง แต่ถ้ากรรมดีมาก มันก็ได้พึ่งฤทธิ์ของกรรมดี นั่นแหละ วิบากกรรมดีนั่นแหละมาก กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมจำแนกสัตว์

กรรม จำแนกสัตว์นี่ หมายความว่า กรรมนี่แหละมันจะทำให้คนเนี่ย แล้วเราจะเรียกว่า เป็นอบายสัตว์ เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ที่เรียกว่าเทวดา เป็นสัตว์ที่เรียกว่า พระพรหม นี่เป็นชื่อ เรียกกำหนดนะ พรหมสัตว์ เทวดาสัตว์ ก็สัตว์ทั้งนั้นแหละ สัตว์ก็คือสิ่งที่มีชีวิต มีวิญญาณ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณ มันจะเป็นอบาย มันก็เป็นสัตว์อย่างนั้น

พวกผีโขมด ไอ้ผีโขมด มันก็ไอ้คนนั่นแหละ อยู่ในหน้าตาอย่างเงี้ย แต่พวกเราอาจจะ ไม่เป็นแล้วนะ เลิกเป็นผีโขมดกันมาแล้ว ผีกระสือกินตับ กินไต โอ้โฮ พวกกินตับกินไตนี่ หน้านวลนะ ผ่อง แต่งตัวสวย พวกนี้ผีกระสือ ต้องพยายามพรางให้เกิดความมืด ให้คน มืดๆ มันจะกินตับเขาได้ เพราะฉะนั้น มันจะทำแต่ความมืด พวกผีกระสือนี่ เขาถึงบอกว่า มันหากินกลางคืน เป็นสำนวน มันจะต้องทำให้มืด ไม่มืดมันหลอกเขาไม่ได้ ต้องทำให้มืด ให้พราง ให้ไม่ให้ใครรู้ พวกผีกระสือนี่ หลอกกินตับ กินไต กินไส้ กินพุงคน มันไม่กินตื้น หรอก มันไม่กินนอกๆ หรอก มันกินลึกๆ เรียกว่า กินตับ กินไต กินไส้ กินพุงคน พวกหลอก พวกนี้ พวกผีกระสือนี่ หลอกๆ ยอดหลอกเลย นะ

พวกนี้ร่ำรวย นั่นเอง กินคนไม่ให้รู้ตัว ทางด้านฝรั่งเขาก็เรียก เป็นแดร็กคิวล่า ไอ้พวก แดร็กคิวล่า พยายามจะกินเลือด มันไม่ลึกซั้งเหมือนตะวันออกเรานะ ทางตะวันออกเรานี่ เป็นผีกระสือ กินตับ กินไต กินไส้ กินพุง คือ มันมีความหมายว่า มันกินลึก ส่วนของทาง ตะวันตกเขา หรือทางฝรั่งเขาเนี่ย กินเลือดแค่นั้นเองไม่กินลึก แล้วนางเอก หรือตัวที่เป็น สาวก ครอบงำให้อยู่ใต้อำนาจ หลอกได้แล้วนี่ เป็นตัวพลไพร่ ส่งตัวเป็นทาสได้แล้วนี่ ก็เหมือนนางเอก ใครเคยดูหนังแดร็กคิวล่า เป็นนางเอกเนี่ย เสร็จแล้วก็จะมายื่นคอ ให้แดรคคิวล่า เอาเขี้ยวฝังคอดูดเลือดไปอย่างสบาย ชื่นใจด้วยนะ นางเอกชื่นใจนะ ให้เขาดูดเลือดได้ ชื่นใจ มันโง่ถึงขนาดนั้นน่ะ เขามากินตับ กินไต กินไส้ กินพุง แล้วก็ยัง ชอบใจเขากินตับเราอีก ส่งส่วยถึงปานนั้น นี่ ความหมายมันลึกซึ้งนะ ความหมายของ เรื่องคำแทน พวกนี่ภาษาแทน เป็นสื่อแทนบุคคลาธิษฐาน ให้เราเข้าใจ มันลึกซึ้งอย่างนี้ เพราะงั้น พวกนี้เป็นผี กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมจำแนกสัตว์ พวกที่ตาทิพย์ พวกที่มีญาณ อย่างอาตมานี่ พูดด้วยญาณตัวเองนะ พูดด้วยญาณตัวเอง อาตมารู้คำว่าผี นี่ชัด รู้จักผี ที่แท้ รู้จักเทวดาแท้

นี่อวดอุตริมนุสธรรมกับพวกคุณแล้วนะนี่ พูดว่าอาตมาตาทิพย์ อาตมาพูด นี่ พูดความจริง ไม่ได้เอาตำรามาพูดนะ ไม่ได้ไปเดาด้วย ไม่ได้เดา แน่ใจนะที่พูดเนี่ย อาตมารู้จักผี รู้จัก เทวดา รู้จักพระพรหม รู้จักจิตวิญญาณนั่นเอง เพราะฉะนั้น คนที่มีจิตวิญญาณ อย่างนั้น อย่างนี้ อาตมาเห็นอยู่นี่ มันในโลก ในมนุษย์เนี่ยคนนั้นคนนี้ อาตมาไม่ด่าให้ ก็บุญแล้ว เห็นเป็นผีร้ายอยู่นั้นน่ะ โอ๊ มันดูดเลือดคน มันอยู่ในโลก เขาอยู่อย่างมีชื่อ มีเสียง อยู่อย่าง มีอำนาจด้วยนะ ไปด่ามากก็ไม่ได้ เดี๋ยวมันก็เล่นงานเราด้วย เห็นผีอยู่ ในโลกนี้ เห็น จริงๆเลย เพราะเรามีตา มีญาณทัสสนะ ตาทิพย์มันมีอยู่ตั้ง ๒-๓ ตา ในวิชา แปดประการ วิชาเก้าประการ มันมีตาทิพย์นี่นะ

เจโตปริยญาณ ก็เรียกตาทิพย์ จุตูปปาตญาณ ก็เรียกตาทิพย์ แม้แต่โสตทิพย์ ก็เรียก ตาทิพย์น่ะ โสตทิพย์นี่ ก็เรียกตาทิพย์ โสตที่จริง มันแปลว่ารู้ มันเป็นความรู้ มันเป็นญาณ ที่รู้ ที่รู้ รู้เห็นอย่างชัดเจน แน่ชัดเนี่ย พวกดูดเลือดมนุษย์แหละ พวกขูดรีดมนุษย์อยู่แท้ๆ เห็นวิญญาณของเขา โอ้โฮ มันซับซ้อนซ่อนเร้น อาตมาก็เอามาเปิดเผยอยู่เรื่อยๆ เปิดเผย จนกระทั่ง โอ้โหยเขาบอกว่า เดี๋ยวเถอะ ตาย เนี่ย

อาตมาเขียนเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ แฉออกมาถึงเรื่องธนาคาร แหลมๆขึ้นมา เดี๋ยวจะแฉ ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ เรามีฤทธิ์มีเดช เราก็แฉไป แฉทันทีไม่ได้หรอก ตาย อาตมาบอกแล้วว่า อาตมานี่ จะเทศน์ให้ตายภายใน ๕ วัน สบายมาก แล้วไม่ได้ตายดีด้วยนะ โดนกระทืบตาย ได้ เทศน์ได้จริงๆเลย ออกหาศึกเข้าตัว ไม่ยากหรอก เพราะเขาต้องโกรธ และเขาต้อง เดือดร้อน แน่ๆ แฉเขาจริงๆ เพราะฉะนั้น ค่อยๆแฉออกมานี่ อาตมาแฉออกมาหลายแล้ว นะ ถึงกาลเวลา แล้วค่อยแฉออกมา ค่อยๆแฉออกมา เห็นจริงๆนะ รู้อยู่ แต่ ไม่รู้จะทำ อย่างไร พูดให้คุณฟังยังไม่ได้เลย เดี๋ยวพวกคุณไปปากมาก เดี๋ยวยุ่งอีก เพราะฉะนั้น ค่อยๆ พูด ถึงเวลาจะพูดให้คุณฟัง แล้วค่อยๆพูด พูดไปทันทีทั้งหมดๆๆๆ ทันทีไม่ได้ มันมีอะไร ต่ออะไรเยอะให้เห็นอยู่เนี่ย เรียกว่า ตาทิพย์ เห็นจริงๆ เห็นผี นี่ กัมมัง สัตเต วิภชติ เขาก็ทำกรรมของเขามาอย่างนั้น เขาจึงเป็นผี เขาจึงเป็นพวกอบาย สัตว์นรก เป็นพวกทำบาป ให้แก่ตนเอง เบียดเบียนโลก เบียดเบียนสัตว์โลก เบียดเบียนมนุษย์ ทำบาปอยู่นั่นน่ะ

แต่มันกลับกัน ในโลกเขานึกว่า มันเป็นบุญ แหม มีเงิน มีทอง ร่ำรวย ใช้วิธีเล่ห์เหลี่ยม เชิงกล อย่างงั้นอย่างงี้ ซ่อนเชิงติดต่อกัน อันนั้นอันนี้ โกงเขาได้อย่างสบายๆ ละเมิด ไอ้โน่น ละเมิดไอ้นี่ แม้แต่กฎหมาย แม้ไอ้นั่น ไอ้นี่ทำได้ นึกว่าเก่งนะ เขานึกว่าเขาเก่ง แต่แท้ที่จริงน่ะ เขาสั่งสมบาปอยู่แท้ๆเลย เป็นผีที่สร้างบาปเป็นอาหาร จิตวิญญาณ คือ ธาตุรู้ในตัวคน มันก็ทำงานของมัน แล้วมันก็ทำบาป มีบาปนรกเป็นอาหาร ได้แต่บาป เป็นสมบัติ มีบาปนรกเป็นสมบัติ

แต่โลกนอกๆ เหมือนเขา โอ้โห ร่ำรวย อย่าว่าแต่ร่ำรวยเลย มีฤทธิ์มีอำนาจ ไปไหนมีคน โค้งให้ มีคนซูฮก มีคนยอมเป็นทาส เป็นเบ๊เลยทีเดียว นี่มันดูไม่ออกง่ายๆ เห็นมั้ย ดูแล้ว ถ้าดูตาคนธรรมดาโลกๆ มันไม่ค่อยรู้เรื่องหรอก ต้องดูต้องเห็นชัดเจน บางที อาตมาก็ยัง ไม่เห็นทันที เหมือนกันนะ โอ้โฮ ต้องดูหลายอย่าง ถึงจะรู้ อ้อ นี่หางผีหว่า จะรู้ว่ามีตาผี หัวผี กว่าจะรู้แขนผีขาผี บางทีก็เห็นเศษหางผีอยู่หน่อยๆ อะไรอย่างนี้ ต้องค่อยๆดูไป โอ้โฮ นั่นมันปกเอาไว้ ปิดเอาไว้ที่จริงหัวก็ผี ตาก็ผี จมูกก็ผี หัวใจนั่นแหลผี กว่าจะรู้ตัวเต็มตัว โอ้โฮ ไม่ง่ายนาคุณ ไม่ง่าย

บางทีเราอย่าเพิ่งไปเดาเขา ต้องค่อยๆดูไป โอ๊ คนนี้เนี่ย บางคนนี่ มันมีบุญนะ ร่ำรวยได้ ร่ำรวยนะ แต่ไม่ได้หมายความว่า เขาร่ำรวยด้วยทุจริต เขารวยด้วยบุญของเขา กุศลของเขา มันรวย เพราะฉะนั้น เราจะไปเดาว่า คนรวยคือผีหมด ไม่ได้นะ พูดอย่างนี้ ประเดี๋ยว ก็จะไปตีขลุม เห็นคนรวยก็บอกผี อ้าว ไม่ได้นะ คุณเดี๋ยวผิดเนี่ย ดี ที่อาตมา ไหวทัน ต้องกำชับเอาไว้ ไม่ได้ คนรวยที่ไม่ใช่ผีก็มี เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่าอย่าไปเดา เดาไม่ได้ว่า คนรวยนี่เป็นผีหมดไม่ได้ แต่คนรวยนี่เป็นผี ก็ต้องรู้ว่า แหม เป็นยังไง กรรมมัน ส่อเหมือนกัน กรรมส่อเจตนา กรรมพออ่านออก เพราะฉะนั้น กรรมที่เราจะรู้ว่า กรรม อย่างโน้น อย่างนี้ ยิ่งไปรู้กรรมลึกๆ จะไปรู้กรรมแท้ๆของเขาเป็นทุจริตกรรมต่างๆ นานาได้ อะไรต่างๆ จริงๆ มันก็จะชัดเจน

ถ้ายังไม่รู้กรรมที่ชัดเจน คนใครเขาจะไปบอกกรรมทุจริตของตนเอง เห็นมั้ย มันก็ต้องบอก กรรมสุจริตก่อน ช้าหน้าเปิดเผยโชว์. ทำปกปิดแสดงออกแต่กรรมอันเป็นกุศลน่ะ อกุศล ใครจะไปอยากให้ใครเห็น ให้ใครรู้ มันไม่ค่อยรู้เรื่องได้ง่ายๆ ทุกคนก็จะต้องปิดกรรมบุญ อันเป็นอกุศลของตน

สรุปแล้ว กรรมนี่แหละ มันแบ่งให้เข้าใจผี เข้าใจเทวดา เข้าใจพรหมให้ได้ จิตใจพรหม เป็นจิตใจที่ไม่มีกาม ระดับพรหมนี่ เทวดากี่ชั้น อาตมาไม่ได้นำมาขยายแล้วเดี๋ยวนี้ เทวดา ๖ ชั้น พระพรหมอีก ๑๒ ชั้น อรูปพรหมอีก ๔ ชั้น พรหม เอ่อ ๑๖ ชั้น รวมกับอรูปใช่มั้ย มี ๒๐ น่ะ พระพรหม๑๖ ชั้น รูป ๑๖ อรูปอีก ๔ อธิบายแต่ก่อนใหม่ๆ แต่ก่อนโน้น อาตมา อธิบาย ตอนนี้ ยังไม่อธิบาย พวกคุณไปศึกษากันเองได้ เพราะว่าเขียนไว้มีอยู่ อธิบายไว้ ในหนังสือมี พวกเราจะศึกษา ค่อยอ่าน เท็ปฟังก็มี บรรยายไว้แต่ก่อน เดี๋ยวนี้ มันบรรยาย เรื่องราวอะไรๆ นี่ไปเยอะแล้ว มันก็เลยอันนั้นบรรยายแล้วก็ตามดู พวกเราศึกษา ก็มีที่ให้ศึกษา แล้วเราก็เป็นลักษณะ เราจะไม่ได้เข้าใจงมงายว่า พระพรหมนี้จะต้อง มีตัวเขียว ตัวแดงอะไร ลอยมาบนฟ้า อะไรบ้าๆบอๆ อย่างนี้ ไม่ใช่

มันเป็นวิญญาณที่เขาทำเป็นบุคคลาธิษฐานเท่านั้น ส่วนความหมายเป็นอย่างไร เหมือน อธิบายผีกระสือให้ฟัง มันมีความหมายลึกซึ้ง มันมีนัยที่มีบุคลาธิษฐานทดแทน สื่อแทน ให้เราเข้าใจ อ้อ ที่จริงมันเป็นนามธรรม ผีน่ะเป็นนามธรรม ไม่ใช่ตัวตนบุคคลเราเขาง่ายๆ มันเป็นอาการ มันเป็นอะไรที่มันสื่อ มันส่อให้เราเข้าใจ และเมื่อเราเข้าใจความหมาย จริงๆแล้ว เราจะรู้ อ๋อ ผีกระสือนี่ มันกินตับ กินไต กินไส้ กินพุง มันอย่างนี้เองน่ะน๊อ เสร็จแล้ว มันก็ไปทำหนังขายกัน โอ๊ มีแต่ไส้ลอยมา ใครไปดูมามั่ง เขาทำ โอ ตลก ผีมีแต่ไส้ ลอยตุ๊บป่องๆ มาเป็นรูป มันก็งมงายไปตามเรื่องนั่น เอาละ ก็ยังดีอยู่อย่างหนึ่ง มันยังขู่ ให้คนกลัวบ้าง แต่ที่จริง มันก็ไม่รู้ ว่ามันกลัวอะไร

ตัวเองเป็นแท้ๆ ยังไม่กลัวตัวเองเลย ตัวเองเป็นผีกระสือเอง ยังไม่กลัวตัวเองเลย ก็ดูหนัง ไปเท่านั้นเอง มันก็ไม่ค่อยได้เรื่อง นั่นน่ะ มันก็เลยตาย ถูกหลอกต่อไปอีก เลยกลัวใหญ่ เลย ถูกหลอกต่อไปอีกซ้อนนา กลัวผีปอบ ที่จริง ผีปอบมันยิ่งหลอกกินใหญ่เลย มันไม่ได้เรื่อง เนี่ย ต้องมาศึกษาให้ดีๆ แล้วจะเข้าใจว่า ผีมันไม่ใช่ลักษณะอย่างนั้น

ผี ก็คือสภาพของอาการ ลิงค นิมิต หรือว่าที่เราจะต้องรู้อาการของคน ว่ามันทุจริต มันไม่ดี ยังไง มันหยาบคายยังไง มันชั่วยังไง มันบาปยังไง

ผี ก็ คือจิตวิญญาณที่มันมีกิเลส มันมีความหยาบคาย มีความต่ำช้า มันเป็นเรื่องของ อกุศลธรรม ทุจริต ทำบาปทำเวรให้แก่ผู้นั้นเอง ตัวเขาเองน่ะแหละ แต่เขาหลงผิด เขานึกว่า เขาได้กำไร เขานึกว่าเขาได้เปรียบ นัยนี้ ก็มันก็เป็นอย่างนั้น มันจะแบ่งนะ จะแบ่งความจริง จำแนกความจริงออกไปเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เพราะงั้น ใครรู้แล้ว ก็ละเว้นเสีย อย่าให้จิตวิญญาณของเราไปบงการ ไปกระทำกรรมที่เป็นอกุศล หรือเป็น ทุจริตให้ได้ รู้ตัวเมื่อไหร่ก็พยายามละเว้น แม้โทษภัยอันมีประมาณน้อย ทำได้ก็ทำ แต่อันใด ที่เรายังจะต้องอาศัย เราฝืนไม่ได้หรอก ขืนทำไปแล้ว มันจะตายทั้งครอบครัว เมื่อจะตายไป ทั้งตัวเองอะไรด้วย มันยังทำไม่ได้ ก็เอ้า ก็จำนนไปก่อน อันใดที่พอทำได้ ทำไป ให้มีภาวะแต่ละวัน แต่ละเดือน แต่ละนาที ทำตัวเองให้มันละออกมาให้ได้ รู้สึกตัว เมื่อไหร่ ทำออกได้ ทำมันเสมอ มากน้อยก็ตาม มันมีอยู่เยอะแหละ ไอ้ที่ เราจะทำออกจาก ไอ้ความชั่ว ความไม่ดีนี่ ใช่มั้ย

ในอิริยาบถทุกอิริยาบถ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่เราจะทำออก ทำใจในใจอย่างไร ทำกายกรรม วจีกรรม สำรวมสังวร ควบคุมอินทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กายทำยังไง ให้มัน ดีขึ้น ให้มันเจริญขึ้น มันละเว้นสิ่งที่ควรละเว้น เลิกสิ่งที่ควรเลิกมา ยิ่งตั้งเป็นศีล ตั้งเป็น ตบะ อะไรให้แก่ตนเอง ทำให้มันชัด ไอ้ที่เราตั้งใจไว้ ไอ้นี่ มันยังไม่ดี ทำให้มันดี เป็นสิ่งที่ เราสมาทาน จะเป็นตบะ เป็นศีล เป็นวินัย เป็นหลักเกณฑ์ อะไรก็ทำกันไป แล้วมัน ก็จะเกิดจริง แบ่งเป็นสัตว์ขั้นสูงไปได้ ตามความจริงที่เราทำได้

กัมมัสสกตา กรรมเป็นอันทำ ทำแล้วก็เป็นแล้ว บุญก็เป็นบุญ บาปก็เป็นบาปนะ ผู้ใด ทำดีก็ดี ทำชั่วก็ชั่ว คิดดีก็ดี คิดชั่วก็ชั่ว ยัง กัมมัง กริสสันติ เราทำกรรมอันใดไว้ กัลยาณัง วา ปาปกัง วา ดีหรือชั่ว ตัสสะ ทายาทา ภวิสสันตีติ เรา เป็นผู้รับผลของกรรมนั้น นี่เป็น พระบาลีอันหลังนี่ ยํ กมฺมํ กริสฺสนฺติ กลฺยาณํ วา ปาปกํ วา ตสฺส ทายาทา ภวิสฺสนฺตีติ
เราจักทำกรรมอันใดไว้ ดีหรือชั่ว เราเป็นผู้รับผลของกรรมนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น เรื่องกรรม จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก

เห็นมั้ย มันไม่ใช่เรื่องอื่นเลย ทุกวันนี้ไปนั่งเชื่อแต่ไอ้โน่นไอ้นี่บันดาลโน่น บันดาลนี่ ไม่จริงหรอก ถ้าบันดาลกันได้แล้ว อะไรๆมันสำเร็จง่ายตายไป มันบันดาลเอานี่ใช่มั้ย นี่บันดาลอะไรล่ะ แหม บำเพ็ญกรรมแทบตาย มันยังไม่ค่อยจะได้เลย บันดาลเอาได้ มันก็เร็วซิ คุณคิดดูซิ บันดาลเอา เห็นมั้ย มันจะไปยากอะไรล่ะ เพราะฉะนั้น ศาสนา ที่บันดาล บอกว่าพระเจ้าบันดาล พระเจ้าอะไรล่ะ แหม ใจดำอำมหิต ก็คนก็ต้องการดี ทั้งนั้น ถ้าเผื่อว่าคนทั้งโลกนี่ดีๆ กัน ทั้งหมดเลยนะ ไม่มีคนชั่วเลย บันดาลเอาได้นะ มีแต่สวรรค์ บันดาลสวรรค์ให้เลยนะ มันก็จะได้สบายกัน ทำไมพระเจ้าใจดำจัง ทำไมไม่บันดาลให้สวรรค์ หมดเล่า แหม พระเจ้านี่ ตลกจริงๆ พระเจ้าใจดำ เพราะฉะนั้น ไม่จริงหรอก บันดาลไม่จริง

แต่มันมีอยู่สิ่งหนึ่ง คืออำนาจของกรรม มันเป็นฤทธิ์ มันเป็นกำลัง เป็นอินทรีย์พละเนี่ย เป็นฤทธิ์ มันจะเป็นนามธรรม มันเป็นสภาพที่แปลก ซึ่งเราจะเข้าใจยากนะ มันเป็นอยู่ อย่างนั้น ของใครของมัน เป็นบารมีเนี่ย มันเป็นนะ เราสั่งสมแล้ว มันเป็นพรหมลิขิต ไม่ใช่พรหมลิขิตหรอก เราลิขิตมัน แล้วมาตีความดีไปให้พระพรหมเอาไปกิน นี่ พระพรหม ลิขิตเรามา อย่างนี้ดี ถ้าไม่รู้ดีนะ แต่พระพรหมลิขิตให้เราไปชั่วล่ะ อ้าวก็ ทำไม่ดี พระเจ้าไม่ ช่วย อือ ตีกิน เห็นมั้ย เพราะฉะนั้น ทำไม่ดี พระเจ้าไม่ช่วย พระเจ้าจะช่วยแต่คนที่ทำดี ใช่มั้ย ไม่ช่วยเราก็ได้ เราทำดีของเราก็แล้วกัน ก็พระเจ้าไม่ช่วย เราก็ทำดีของเรา ดีแล้วนี่ ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น แม้พระเจ้าไม่ช่วย เราก็ดีแล้วน่ะ ฟังออกมั้ย

พระพุทธเจ้าท่านไม่เคยได้สอนนะว่ารวยน่ะนี่ดี ถ้าพระพุทธเจ้าสอนว่า คนรวยนี่เป็นคนดี พระพุทธเจ้าชั่วก่อนเขา เพราะว่าท่านรวยแล้วก็ทิ้งรวยมา ใช่มั้ย พระพุทธเจ้ารวย แล้วท่าน ก็ทิ้งรวยมา ถ้ารวยดี ท่านก็ชั่วแล้วซี ก็ท่านทิ้งดีมาหาชั่ว มาหาจน หรือมาหาไม่มี ใช่มั้ย มาหาสิ่งที่ไม่มี ไม่สะสมกอบโกย อะไรเอาไว้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจะพูด เต็มๆคำ บางทีมันก็ไม่ดี ถ้ามองในแง่ฐานะหนึ่งล่ะก็ดี ก็สร้างกุศลวิบากไว้ แล้วเราก็จะ ฐานะดี จะร่ำจะรวยได้ง่าย เกิดมามันก็เลยร่ำรวย บางคนมีฐานะดี ทำบุญทำกุศล ทำกรรมไว้เก่า กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท เรารับมรดกของกรรม มันเป็นบุญของเรา เป็นกุศลวิบากของเรา เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองมาเลย มันก็ง่ายๆ ชั้นต้น มันก็ฐานะ แรก มันก็ดีเหมือนกันน่ะ

แต่คนที่มีบุญสูงกว่านั้น แม้จะมีบุญว่ามีทรัพย์ศฤงคารมากมาย ก็ไม่เอาทรัพย์สฤงคาร ไปทำชั่ว มีเงินร่ำรวย ก็ไม่เอาเงินไปเบ่งข่ม มีแต่จะไปเกื้อกูล ช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่น ไม่เอาเงินไปผลาญบำเรอตน เสพย์กิเลส เสพย์อบายมุข เสพย์อะไรสำมะเลเทเมา ให้ตัวเอง เลวลงไป ตกต่ำลงไป แล้วมันง่ายนะ มันล่อแหลมนะ ไอ้คนเกิดมามีเงินมากๆ นี่ พ่อก็รวย แม่ก็รวย เกิดมา แหม พ่อก็ตระกูลรวยแต่งงานกับแม่ตระกูลรวยอีก ลูกออกมา รวยเละเลย ทีนี้นะ ถ้าจิตวิญญาณมันชั่วๆนะ มันก็ยิ่งบาปหนัก เพราะมันเอาเงินเหล่านั้น ไปผลาญ ไปเสพย์กิเลสบำเรอตนใช่มั้ย มันก็ยิ่งหยาบ มันก็ยิ่งหนา มันก็ยิ่งอ้วน กิเลสมัน ก็ยิ่งหนาขึ้น หนาขึ้น ยิ่งซวยมหาซวยเลย เกิดมารวยนี่ ไอ้โง่ๆนี่ นา ไม่มีวิชชา มีแต่อวิชชานี่ มันยิ่งซวย มหาซวยเลย เห็นมั้ย ล่อแหลมนะ ใครไม่เกิดเป็นคนรวย บุญแล้ว

ใครไม่เกิดเป็นคนรวยน่ะบุญแล้ว คนรวยๆน่ะ จะมานั่งอยู่อย่างนี้นะ ยากจริง เขาไม่มา นั่งหรอก มานั่งอยู่ทำไมว้า แล้วมันไม่ทนนะ จิตวิญญาณมันไม่ทนนะ มานั่งอด มานั่งทน มากินอย่างนี้ มานั่งอย่างนี้ มานอนอย่างนี้ โอ้ ทุกข์ทรมานต่อผัสสะ นี่ คนมีฐานะดีหน่อย อย่างนี้ พ่อแม่ก็รวยมาเก่า น่ะ อย่างคุณ มนธิรานี่ มาแต่งงานกับคนรวย มีทั้งโรงทอ แหม เดี๋ยวนี้ สร้างโรงทอไปอีกหลายโรงเสียอีก แล้วมานั่งอยู่อย่างนี้ได้นี่บุญของคุณ ถ้าไม่มี บุญเก่าน่ะ ป่านนี้ไปโน่น ไปเสพย์กิเลสให้หนาขึ้นๆ ที่ไหนก็ได้ เพราะว่ามีเงินจะเสพย์ ใช่ไหม นี่มีบุญ นี่เป็นบารมีของตน นี่ กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท แล้วมาต่อ ถ้าเห็นจริงว่า อันนี้มันดี ทำไป ทำบุญ ทำกุศลต่อไป มีอะไรอีก เกิดมาชาติหน้า มันมีอีกก็ได้

ถ้ามันไม่มีกรรมอันดี ไม่มีกุศลกรรม อันที่เป็นวิชชา เป็นปรมัตถธรรม เป็นเครื่องป้องกันน่ะ ไม่มีปรมัตถธรรม แม้คุณจะทำทาน ทาน เฉยๆน่ะ ไม่สำรอกกิเลส คุณจะทำแต่ทาน ทาน คุณก็จะมีบุญ ที่เป็นทาน ใช่ไหม มีวัตถุทรัพย์ เกิดมาคาบช้อนเงินช้อนทองออกมา ทีนี้ตกนรก หนักกว่าเก่าชาติต่อไป นึกออกไหม เพราะว่ามันโง่นะ มันมีเศษกิเลสมากเข้า ไปหนาอีก แล้วไปทำบาปใส่ตัวอีก เที่ยวได้ไปขูดรีดข่มเบ่ง ทำอะไรอีก ก็แล้วแต่ สำมะเล เทเมา เกเร เกตุง ทำไปอีกเหมือนลูกคนรวยๆ ที่ทำเกเร เกตุงใช่ไหม ไม่รู้บาป ไม่รู้บุญ มาทำเลอะๆ เทอะๆ มันดิ่งลงนรกเก่าลงไปอีก ซวยไหม เพราะฉะนั้น หลักประกัน คือ ปรมัตถธรรม ปรมัตถสัจจะ ต้องมาเรียนรู้วิชชา ที่เป็นสิ่งวิเศษอันนี้

ถ้าคุณแม้เกิดมารวย แต่คุณมีเครื่องป้องกัน คือ คุณรู้ มีธาตุพุทธะ ธาตุพุทธะ หรือ พุทธธาตุ ไม่ใช่พุทธทาสอย่างพุทธทาส เป็นผู้รับใช้นั่นน่ะ ธาตุ ธาตุนี่ มีธาตุพุทธนี่ไว้นี่ มีธาตุวิชา เป็นธาตุ ไม่ใช่มีธาตุอวิชชานี้ไว้ มีธาตุรู้กิเลส สำรอกกิเลส รู้จักบุญ จักบาป รู้จักที่ชั่ว ที่ดี อย่างชัดเจนนี่นะ

แม้คุณจะมีเงิน คุณก็ไม่ได้เอาเงินไปเที่ยวได้ทำชั่วให้แก่ตัวเอง บำเรอกิเลสตัวเองอีกมาก ถ้ายิ่งไม่มีอินทรีย์พละ มีบุญบารมีมาก มันก็ใช้เงินเหล่านี้เป็นบาป มันจะใช้เงินเหล่านี้ เป็นบุญ มีเงินก็เอาเงินไปทำบุญ สร้างสรร สิ่งที่เป็นกุศล สิ่งที่ดี ที่งาม ยิ่งดีใหญ่เลย มันก็ยิ่งเสริม ให้แก่ตัวเองเจริญ ใช่ไหม แทนที่จะเอามาบำเรอตน แทนที่จะเอาไปกดขี่ ข่มเหงไปต่อ รีดนาทาเร้นต่อ มันมีทุนน่ะ มันรีดนาทาเร้นเก่งนะคุณ มันทำบาปได้เก่ง มากเลย เพราะฉะนั้น คุณไม่มีเงินไปต่อรีดนาทาเร้นคนอื่นนะ คุณอย่าไปเสียใจ แหม นี่ถ้าเรามีเงินสักล้าน ลงทุนไอ้นี่รีดไอ้นี่ แหม ต่อไอ้นั่นไอ้นี่นะบาป มันไม่เป็นบาปอย่างนั้น ก็บุญแล้ว เพราะฉะนั้น บางคนเกิดมาไม่มีเงิน ไม่มีทองแล้ว อย่าไปกู้หนี้ยืมสินเขามา ให้มันทุกข์หนัก ไม่มีทุนไปต่อ ไปโน่นไปนี่ ไม่ได้ไปทำบาปต่อก็ดีแล้วนี่ ดีส่วนหนึ่งแล้วนี่ เห็นไหม

เกิดมาเป็นคนจน มันดีอย่างนี้น่ะนะ นี่ไม่ได้ปลอบใจคุณนะ นี่พูดสัจจะให้ฟัง แต่ข้อสำคัญ เราต้องเป็นคนจน ที่มีความสามารถที่มี อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เลี้ยงตนได้ มีงานมีการ มีความขยันหมั่นเพียร มีสัมมาอาชีพที่ดี เลี้ยงตนได้ แม้จะเป็นคนจนก็เถอะ เรามันไม่ได้ มีบาป คนร่ำรวยนี่ ล่อแหลมต่อบาปมาก มากที่สุดเลย อย่างน้อยที่สุด เอาเงินไป ฝากแบ็งก์ ไว้เฉยๆนี่ คุณนึกว่าบุญเหรอ เฮอะ ไม่อยากพูดมาก ประเดี๋ยวก็จะถอนออกมา จากแบ็งก์หมด ประเดี๋ยวไม่มีที่เก็บก็จะไปทำหก ทำเรี่ย ทำหาย ทำสูญเปล่าๆ เอ้าจริงๆ นะ ฟังให้ดี เอาเงินฝากแบ็งก์ไว้นี่ ไปอ่านเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธใหม่ซิ นั่นน่ะ คุณมีส่วน อยู่ในนั้นน่ะ เอาเงินไปฝากแบ็งก์ แล้วคนที่เจ้าของแบ็งก์ เขาเอาเงินไปทำอะไรล่ะ เขาก็เอาไป รีดนาทาเร้น กี่รีดนั่นน่ะ อ่านดูซินั่นนะ อาตมาคิดเล่นๆ แค่ ๑๐ ระดับเท่านั้น นะน่ะ คิดต่ออีกก็ได้นะ หาสภาวะที่เชื่อมโยงต่อมาให้อีกก็ได้ กว่า ๑๐ ช่วงน่ะ มันไปรีด อะไรมานักหนา มันไปรีดนักหนา คุณไม่รีดเองหรอก ถ้าคุณส่งส่วนไปให้เขารีด แล้วมัน ก็ตกให้ของคุณด้วย เขาแบ่งให้คุณด้วยน่ะ

เขาไปทำบาปมา เขาก็แบ่งบาป แบ่งบุญ มาให้คุณด้วย มันไม่ใช่บุญ มันแบ่งด้วยกัน มันทำบาป มันก็แบ่งเอาไปบ้างสิ เรื่องอะไร ฉันจะรับคนเดียว เขาก็แบ่งบาปมาให้ คุณด้วย ก็ไปรีดเลือดพามาน่ะ แดร็กคิวล่า ไปดูดเลือดนางเอกมาทั้งนั้นแหละ มันก็อยู่ อย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่รู้ความจริงพวกนี้ เราก็ประมาท เราก็อยู่อย่างโลกๆ ไม่รู้ งมงาย เราไม่รู้ว่าเราทำชั่ว ทำดี มันโมหะ มันกลับกัน เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดีเป็นชั่ว เห็นทุกข์เป็นสุข เห็นกำไรเป็นขาดทุน เห็นขาดทุนเป็นกำไร ตีลังกา หกคะเมน อยู่อย่างนั้นน่ะ

มาฟังธรรมอาตมานี่ มาฟังกันนานพอสมควรแล้ว หลายปีแล้วนี่ บางคน รู้ตัวขึ้นบ้างไหม แต่ ก่อนนี้ โอ้โฮ เรานี่ มันเข้าใจผิดจริงๆเลยนะ มันโมหะ แหม มันนึกว่าดีเป็นชั่ว มันนึกว่า ชั่วเป็นดี มันนึกว่ากำไรเป็นขาดทุน มันนึกว่าขาดทุนเป็นกำไร มันโมหะอยู่อย่างนั้น มานานแล้ว นี่แหละ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นบาปเป็นบุญ เห็นบุญเป็นบาป เราก็จะต้องมาประพฤติ ปฏิบัติ มาพยายามปรับปรุง เปลี่ยนใหม่ แต่อย่าพึ่งใจร้อน รีบร้อนเกินไป

พออาตมาเทศน์อย่างนี้ รู้เรื่อง ไป แหม คว่ำพังโรงเลย มันก็ไม่ไหวน่ะ พังโรงเลย ประเดี๋ยว ก็ได้โลง พังโรงเร็วนัก ได้โลงเลยนะ รู้เรื่องไหม มนธิรา รู้เหรอ แหม เก่ง เดี๋ยวนี้ รู้ภาษาไทย ไม่เบานะ พังโรง หมายความว่า ไปพังสิ่งที่เรามีอยู่หมด เสร็จแล้ว ก็ได้โลงมา ก็คือ ได้ไอ้นี่ ใส่ศพ เอานอนในนั้น ได้โลงมา เฮอะๆๆ ตาย หมายความว่า ตายเลย

กฎแห่งกรรม เถรคาถาสุภาษิตบอกว่า ชนเหล่าใดแล พยายามในทางร้ายกาจ ย่อมเบียดเบียน มนุษย์ทั้งหลาย ด้วยการกระทำ อันเจือด้วยความผลุนผลันก็ดี ด้วยการกระทำ มีความประสงค์ต่างๆก็ดี ชนเหล่านั้น กระทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่น ฉันใด แม้ผู้อื่น ก็ย่อมทำทุกข์ให้แก่ตน ฉันนั้น เพราะนรชนทำกรรมใดไว้ ดีหรือชั่วก็ตาม ย่อมเป็นผู้รับผลแห่งกรรม ที่ตนทำไว้นั้นโดยแท้ /เล่ม ๒๖ ข้อ ๒๖๙ /

สรุปรวมแล้ว ก็เป็นการขยายความที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ อันนี้ เป็นเถรคาถา ก็หมายความว่า ชนเหล่าใด ถ้าพยายามทำไปในทางร้ายทางเลวน่ะ ก็เบียดเบียน มนุษย์ทั้งหลาย เป็นเรื่องธรรมดาถูกต้อง เพราะฉะนั้น จะทำด้วยอย่างใดก็แล้วแต่ จะทำด้วยอย่างรวดอย่างเร็ว เจือไปด้วยสิ่งที่มันไม่ได้คิด ไม่ได้อ่าน มันไม่ได้สังวรระวัง ทำด้วยความผลุนผลัน ทำด้วยความประสงค์ จะประสงค์มุ่งหมายอย่างไรก็ตาม เมื่อกระทำทุกข์ ให้แก่ผู้อื่น ทุกข์นั้นก็ย่อมเกี่ยวเนื่องตนอยู่ตลอดกาลนาน เพราะว่า ทำดี หรือ ทำชั่วก็ตาม ต้องรับผลแห่งกรรมนั้นเสมอไป

เอ้า ทีนี้ เราฟังหลักอันหนึ่งเอาไว้ก่อนวันนี้นะ จะขยายความไว้ในระดับหนึ่งก่อน มันเป็น เรื่องยาก คือ เรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ อาตมาคิดว่า จะอธิบายไปให้สัก ๖-๗ หน้า แต่วันนี้ ก็คงจะไปได้ไม่ถึง เพราะว่ามันเกริ่นตอนต้นมากนัก เรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ๑. นี่แบ่งเป็นขั้นๆไว้ก่อนนะ ๑. จักษุก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดี ใจก็ดี หมายความว่า ทวารทั้ง ๖ ตา หู จมูกลิ้น กาย ใจ นั่นแหละ จักษุก็คือตา ทีจักษุ เรียกว่าจักษุ นะ ไม่เรียกตา ทีหู เรียกหู ทำไมหูไม่ไปเรียก อย่างอื่นล่ะ จมูกก็เรียกจมูก ไม่ยักกะเรียกนาสิกนะ จักษุหรือตา ตาก็ดี หูก็ดี จมูกก็ดี ลิ้นก็ดี กายก็ดีใจก็ดี อันบัณฑิตพึงเห็นว่า เป็นกรรมเก่า อันปัจจัยปรุงแต่งแล้ว สำเร็จด้วย เจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา ฟังยากอันนี้ เรียกว่ากรรมเก่า เป็นกรรมเก่า ประเดี๋ยว อ่าน หมดก่อน ประเดี๋ยวค่อยอธิบาย กรรมใหม่คือ กรรมที่บุคคลทำด้วย กาย วาจา ใจ ในบัดนี้ วินาทีใด วินาทีนั้น นี่กรรมใหม่เดี๋ยวค่อยย้อนไปอธิบายกรรมเก่า กรรมเก่าเข้าใจยาก เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายให้ฟัง กรรมใหม่คือ บุคคลที่ทำด้วยกาย วาจา ใจ ในบัดนี้ นี่ข้อ ๒ กรรมใหม่นี่ ข้อ ๒

ข้อ ๑ เมื่อกี้นี้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิต พึงเห็นว่าเป็นกรรมเก่า อันปัจจัยปรุงแต่ง แล้ว สำเร็จด้วยเจตนา เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา นั่นเรียกว่ากรรมเก่า

๒. กรรมใหม่ คือกรรมที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา ใจ ในบัดนี้

๓. ความดับแห่งกรรม คือนิโรธ ที่ถูกต้องวิมุติ ภาษาอันนี้ มันก็ฟังยาก ประเดี๋ยวค่อย อธิบาย เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม นี่ ความดับแห่งกรรม คือ นิโรธ ที่ถูกต้องวิมุติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

๔. ปฏิปทาอันเป็นเครื่องให้ถึงความดับแห่งกรรม คือ สัมมาอริยมรรค มีองค์ ๘ ประการ เอาละ ข้อ ๔ นั้น คงไม่ต้องอธิบายกัน ในตอนนี้ เพราะ เราอธิบายกันเป็นนานมาแล้ว มรรคองค์ ๘ นั่นเป็นปฏิปทา ซึ่งให้ถึงความดับ แห่งทุกข์ กรรม แล้วเราก็ปฏิบัติอยู่แล้ว ย้อนไปถึงความดับแห่งกรรม คือนิโรธที่ถูกต้องวิมุติ หมายความว่า ความดับที่มี ลักษณะ วิมุติ ภาษาบาลี เป็น ภาษาธรรมะวิมุติ เราต้องเรียนเลย ถ้าเรียนถึงลึกซึ้ง ถึงปรมัตถ์แล้ว เราจะ ต้องรู้ด้ววิชชาว่า วิมุตินั้น เป็นลักษณะที่มี เจโตปริยญาณ รู้กิเลสต่างๆเลย รู้ โทสมูล โมหมูล ราคมูล อย่างนี้ มีลักษณะอาการอย่างนี้ เป็นราคะ โทสะ โมหมูล อาการ อย่างนี้ เป็นอโทสะ อโลภะ อโมหะ คือไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ เป็นอาการที่มัน เป็นทิศทางที่หน่าย คลาย จางลงมา เบาบางลง มาจากสภาพ ที่มันเป็นตัวโทสะ โลภะ โมหะแท้

จะต้องเห็นเองเลยว่า ญาณนี้ เรียกว่า ความเห็น ความรู้ ที่เห็นของเราเอง อาการ ลิงคะ นิมิต ของเรา เห็นของแท้ๆเลย เมื่อเห็นแล้ว ก็รู้ได้ว่า มันต่างกันนะ เมื่อก่อนนี้ มันมีโลภะ แรงมาก เดี๋ยวนี้ มันโลภะน้อยลง ก็แสดงว่า มันอโลภะมาก แต่อโลภะก็ยังไม่หมดโลภะ ก็ต้องรู้ว่า มันดีขึ้น จะดีขึ้นขนาดไหนก็แล้วแต่ จะดีขึ้นมาขนาด สังขิตตะ วิกขิตตะ สังขิตตะจิต วิขิตตะจิต มันจะดีขึ้น ขนาดที่เรียกว่า เออ มันก็อย่างนั้นแหละ มันก็ได้ อย่างตื้อๆ สังขิตตะ วิกขิตตะ มาได้ ก็ได้อย่างนั้นน่ะ ได้อย่างกระเส็นกระสายอย่างนั้นน่ะ ภาษาที่อาตมาใช้ มันเป็นอาการของลักษณะของจิตวิญญาณ ที่มันดีขึ้นเหมือนกันนะ แต่มันยังตื้อๆอยู่อย่างนั้น มันยังไม่ผุดผ่อง มันยังไม่มีฤทธิ์ มันยังไม่มีแรงอะไร มากมาย นักหรอก หรือได้มาก็ได้อย่างนั้นแหละ สังขิตตะ วิกขิตตะมันก็ได้มาอย่างกระเส็นกระสาย มันก็ยังไม่ เป็นโล้เป็นพาย มันก็ยังไม่เป็นหมวดเป็นกองอะไร มันก็ยังฟุ้งๆ ซ่านๆ กระเด็น กระดอนอะไร อยู่อย่างนั้นน่ะ มันมีลักษณะอย่างนั้น

 แต่เขามาแปลภาษาสู่ภาษากัน เรียกว่า สังขิตตะ นี่ แปลว่าหดหู่ มันก็ได้อย่าง เออ ก้อนๆ แข็งๆ หู่ๆ หดๆ อยู่อย่างนั้น มันยังไม่เป็นโล้เป็นพายอะไร วิกขิตตะ ก็แสดงว่าฟุ้งซ่าน เขาแปลว่า ฟุ้งซ่าน มันก็อย่างนั้นน่ะ มันเป็นภาษาหยาบนะ อาตมาพยายามอธิบาย ให้คุณฟัง โดยคุณลักษณะของมันหรือลักษณะแท้ของมัน โดยญาณ อ่านของจริงออกมา เป็นทาสของจิตวิญญาณ แต่อ่านให้คุณฟัง อาตมา พยายามขยายความให้ฟัง แปลภาษา สู่ภาษา เขาก็แปลกันอย่างนั้น หดหู่ ฟุ้งซ่าน ก็ไปปนกับไอ้อุทธัจจะ ไปปนกับไอ้ถีนมิทธะ หดหู่ หรืออะไรพวกนี้ไป อยู่แค่นั้นน่ะ ลักษณะมันคล้ายคลึงกัน แต่ที่จริง มันลึกกว่า ถีนะมิทธะ มันลึกกว่าอุทธัจจะคำ ว่าสังขิตตะ ไม่ใช่ลึกหรอกนะ มันส่อลักษณะชัดกว่านั้น แต่เขาอธิบายกัน แปลกันไม่ถูก แปลกันไม่รู้ว่า จะแปลกันอย่างไร ก็แปลกันสั้นๆ ได้แค่ฟุ้งซ่าน ได้แค่ หดหู่

ในลักษณะที่คุณทำงานมาแล้วนี่ เรียนรู้แล้วละ ได้ประโยชน์ขึ้นมาขั้นหนึ่ง ตอนหนึ่งแล้ว แล้วคุณ ก็จะต้องรู้อย่างนี้แหละ ละเอียดลออขึ้นไป เก่งกว่านี้ ขึ้น จนรู้ว่าทิศทางไหน มันเป็นสภาพที่เจริญ ทิศทางไหนที่เป็นสภาพที่ไม่เจริญนะ เรียกว่า มหัคคต อมหัคคต มหัคคตก็เจริญขึ้น อมหัคคตก็ไม่เจริญขึ้น มันไม่สูงขึ้น มันไม่ยิ่งใหญ่ขึ้น มันไม่ดีเยี่ยมขึ้น มันไม่เจริญนั่นเอง เอาง่ายๆ รู้ทิศทาง รู้ลักษณะที่ชัดเด่นให้แก่ตนเอง คุณจึงจะ เปลี่ยนแปลง หรือว่าปรับปรุงของมัน สร้างสรรจิตวิญญาณของคุณ ไปสู่ทิศทางที่เจริญ ได้อย่างแท้ชัด คุณรู้ และอ่านเห็นด้วยญาณ ที่เราไม่หลงใหล ไม่ใช่ว่าทำโดยเหมือนกับ คนตาบอด คลำไป ก็ไม่ค่อยถูกสภาวะ ถูกอาการ ลิงคะ นิมิตของมัน มีญาณที่ชัดเด่น ขึ้นทุกที นี่เป็นญาณ เป็นวิชชา เจโตปริยญาณนะ ญาณ เป็นญาณแท้ๆนะ เป็นธาตุรู้ ที่เป็น คุณลักษณะของญาณทัสสนวิเศษน่ะ เป็นตาทิพย์ ที่จริงน่ะ ตาทิพย์นี่ รู้จิตวิญญาณ รู้จิตเจตสิก รู้ปรมัตถธรรม รู้ปรมัตถสัจจะ เพราะฉะนั้น คุณก็ต้องทำไปอีก จนกระทั่ง คุณเห็นว่า จิตมันดีๆ ถึงขั้นสอุตตรจิต ดี จิตดี สอุตตรจิตนี่ จิตดีขึ้นมาแล้ว แต่ว่าจิต ที่มันดีกว่านี้ มันยังมีอีก

คุณจะรู้เลยว่า มันดีนะ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ยังไม่สุด ยังไม่สุด ดีกว่านี้ยังมีอีก มันจะรู้เลย สอุตตรจิตตัง ชนิดหนึ่ง จนเห็นว่า อนุตตรจิตตัง แหม ดีเยี่ยมเลย เหนือจิตอื่นใด นี่ ลักษณะของ เจโตปริยญาณ

อาตมาอธิบายมาได้ถึง ๑๒ ลักษณะแล้วนะ มันมี ๑๖ ลักษณะ ๑๒ ลักษณะ แล้วนี่ เมื่อถึง อนุตตรจิตตัง ในอนุตตรจิตตัง จะมีเงื่อนไขอีก ๒ เงื่อนไข เป็นสามเส้า เป็นตรีมูรติ คือ จะต้องรู้ว่าจิตที่ดีนี่ นอกจาก จะอนุตตรจิต จิตที่เหนือโลกนี่แหละ โลกุตตระนั่นเอง มันจะต้องสงบ เขาแปลไอ้ฐานแรกว่าสงบ นอกจากสงบจากกิเลสแล้ว จะต้องมีคุณภาพ ด้วย ถึงจะต้องเป็นสมาหิตะ สมาหิตัง สมาหิตจิต สมาหิตจิตนี่แข็งแรง ตั้งมั่นนะ แต่แข็งแรง ตั้งมั่น ไม่ใช่อย่างสมาธิที่ฤาษีสอนมา แข็งแรงตั้งมั่น คือ นั่งสะกดจิต สะกดมัน อยู่ตรงนี้น่ะ ทึ่ม เงียบ มันอยู่ตรงนี้น่ะ แข็งทื่ออยู่ อย่างนั้นไม่ใช่สมาหิตัง เป็นความตั้งมั่น ของอินทรีย์พละที่แข็งแรง รู้รอบ แล้วก็สู้กับกิเลสได้ มีเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย รู้เท่าทันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

รู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อยู่เหนือมัน มีพ้นมิจฉาทิฏฐิ พ้นสักกายทิฏฐิ พ้นอัตตานุ ทิฏฐิ มีผัสสะเป็นปัจจัย ในสูตร ๓ สูตรนี่ ยืนยันว่า มีผัสสะเป็นปัจจัย ทั้ง ๓ สูตรเลย พ้นอัตตานุทิฏฐิ ตา หู จมูก ลิ้น กาย รู้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งนั้น แล้วอยู่ เหนือมัน จริงๆ กิเลสไม่มีอนัตตา เห็นอนัตตาหรัดๆเลย เห็นกิเลส ไม่มีตัวตนอย่างสมาหิตะ อย่างแข็งแรง ตั้งมั่น มีประโยชน์คุณค่าต่อโลกต่อสังคม เป็นที่พึ่งของมนุษยชาติ จิตแข็งแรงนี่ คุณลักษณะอันนี้ อยู่ด้วยกับอนุตตรจิต มีวิมุติ รู้ว่าวิมุติ คืออะไร อวิมุติ คืออะไร ยังมีเศษอวิมุติจรอยู่ อย่างนั้นอยู่อย่างนี้ อาตมาเรียกว่า มันเป็นวิมุติจร

อันนี้ มันมีวิมุติหยาบแล้วนี่ ถึงขั้นเจโตปริยญาณระดับสุดท้ายสูงสุด อย่างนี้แล้วนี่ ต้อง เข้าใจชัดเลยว่า วิมุติหยาบๆ นั่นมันเรื่องเล็ก แค่ละกิเลสหยาบ เป็นวิติกกมกิเลส กิเลสหยาบลดได้นี่ มันกิเลสน้อยๆ มันยังไม่ทันเข้าท่าอะไร ปริยุฏฐานกิเลส กิเลสกลาง ก็หมดไปอีก เหลืออนุสัยกิเลส ก็มีญาณรู้ว่า อนุสัยเป็นอย่างนี้ รู้ว่ามันมีเศษพริ้วๆ พรายๆ ไป อุทธัจจะสังโยชน์ ก็รู้ว่า โอ้ มันยังมีมานะ พริ้วๆ พรายๆ ยังฟุ้งๆ ฝอยๆ ยังลอยๆ ริ้วๆ พริ้วๆ เล็กๆน้อยๆ จะเล็กจะน้อยแค่ใด เป็นอาการลิงค์นิมิต ที่คุณจะต้องรู้เองเห็นเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตตัพโพวิญญูหิ รู้ด้วยตน มีญาณ มีความรู้ที่ชัดเจนของคุณเอง บอกกันยาก บอกกันไม่ได้ง่ายๆ

ญาณทัสสนะ หรือตาทิพย์ของคุณ มีมากน้อยเท่าใด แหลมคมเท่าใด มีลักษณะขยาย หรือว่าเจาะลึก เจาะชัดขนาดไหน เป็นความจริงของความจริง คุณไม่มี คุณจะไปหยิบ ไปยืมของใครมาใช้ไม่ได้ล่ะ ของใครของมัน หลงก็หลงเอง รู้จริงก็รู้เอง จนเข้าใจว่า อย่างนี้ คือวิมุติ อย่างนี้คือยังเหลือวิมุติจร ยังมีเศษโน่นเศษนี่อะไร จนกระทั่งมันเป็นวิมุติที่แข็งแรง แน่แท้ รู้อาการของวิมุติอย่างนี้แหละ จึงเรียกว่าคือนิโรธที่ถูกต้อง

วิมุติ คือ มีอาการของลักษณะ วิมุตินี่เข้ามาผสม ดักกิเลสด้วย แล้วก็มีความหลุดพ้น อย่างวิมุติ ผสมอยู่ด้วยอย่างแท้จริง หลุดพ้นอย่างแท้จริง พ้นจริงๆเลย กิเลสมาอย่างไร ก็หลุด ก็พ้น ไม่มีการมีฤทธิ์มีเดชอะไรมา กิเลสมันมีอยู่ในโลก เหตุแห่งกิเลส มันเต็มบ้าน มันเต็มเมืองนะ เหตุแห่งกิเลสทุกวันนี้ มันยิ่งเยอะ คนที่บรรลุธรรมได้สมัยนี้ จะว่าไปแล้วนี่ เก่งกว่า สมัยพระพุทธเจ้าอีก เอ้าจริงๆเก่งกว่านะ เพราะว่า กิเลสมันแยะกว่า มันเล่ห์เหลี่ยม กิเลสมันมากกว่าสมัยพระพุทธเจ้ามากเลย

สมัยพระพุทธเจ้านั่น โกหกยังไม่ค่อยเป็นเลย ใครเคยอ่านพระไตรปิฎกบ้าง ถ้าเป็นเรา น่ะเหรอ ปัดโธ่ ไอ้นี่มันโง่จังเลย ทำไมมันไม่โกหกซ่ะเลยปัดโธ่ จริงนะ ใครเคยอ่าน พระไตรปิฏก ก็จะรู้สึก ทำไมมันถึงได้ซื่อบื้ออย่างนี้ ปัดโธ่เอ๋ย แหม พลิกแพลง นิดเดียว เท่านั้นเอง เห็นไหม ว่ามันชำนาญขนาดไหน แล้วสมัยพระพุทธเจ้าน่ะ มันไม่ชำนาญเลย มันซื่อบื้ออย่างนั้น มันเล่นไม่เป็น มันทำชั่วไม่ได้เก่งเหมือนเราเลย เห็นไหม

เราทำชั่วได้เก่งกว่ามันนักหนา เพราะฉะนั้น จะเลิกชั่วนี้ได้ ก็ต้องเลิกชั่วได้เก่งกว่า สมัยโน้น อะไรนิดอะไรหน่อย มันก็บรรลุแล้ว เพราะว่า มันไม่มีอะไรมาก สมัยนี้น่ะเหรอ บรรลุได้ นี่มันโอ้โฮ ยอดเยี่ยม จริงๆ สิ่งแวดล้อมที่พาให้เรา ก็เหมือนคุณเอง คุณออกจาก ที่ๆมันเป็นไฟนี่ ไฟมันมากมายเท่านี้น่ะ สมัยพระพุทธเจ้า สมมุติว่ากองเท่านี้ ก็เท่านี้ มันจะไปเก่ง อะไรนักหนา

สมัยนี้มันไม่ใช่ไฟกองเท่านี้ มันไฟกองท่วมโน่น คุณออกได้ คุณก็ยอดน่ะซิ ก็เก่งกว่า จริงๆ นะนี่ อาตมาไม่ได้มาพูดเปรียบเทียบนะ มันเป็นเรื่องจริงอย่างนั้น

สมัยนี้ มันจะบรรลุธรรมได้ มันก็บุญนักหนาแล้ว อาตมาพาพวกคุณได้เท่านี้น่ะ โอ้ย อาตมา ไม่อยากพูดหรอก เพราะอาตมานี่ ภาคภูมิใจขนาดไหนแล้ว แต่ไม่ได้เก่งกว่า พระพุทธเจ้าหรอกนะ พระพุทธเจ้า ไม่ทำกับพวกคุณแล้ว เดี๋ยวเสียเหลี่ยมท่านหมด เพราะทำไม่ได้หรอก ไม่ใช่พวกคุณหรอก พวกคุณก็มีบุญของพวกคุณมา คนในโลก สมัยนี้น่ะ เพราะฉะนั้น คนในโลก ที่อาตมาช่วยเขาไม่ได้ อาตมาไม่ได้น้อยใจอะไรหรอก เรามันช่วยเขาไม่ได้จริงๆน่ะ โถ ตัวเรา ช่วยพวกคุณที่มีบุญขนาด มีบุญกันบ้าง ได้ขนาดนี้ มันก็บุญนักหนาแล้ว อย่าหลอกอาตมาให้อกหักน่ะ ให้มันจริงนะ ได้ขนาดนี้ อาตมาก็บุญ แล้วละ

 นี่ นิโรธที่ถูกต้อง วิมุติถูกต้องนี่ หมายความว่า มันมีการสัมผัสอยู่ด้วยกัน ทั้งถูก ทั้งต้องอยู่ ด้วยกันนี่แหละ นิโรธที่มีสภาพวิมุติประกอบภาษาบาลีมันละเอียด จนไม่รู้ จะอธิบายเป็นภาษาไทยว่าอย่างไง นิโรธมันก็มีลักษณะ เขามาแปลแทนกันก็ได้ว่า นิโรธ มันก็เหมือนวิมุติ วิมุติก็เหมือนนิโรธ ที่จริงมันไม่ใช่เหมือนหรอก มันคนละคำ มันคนละ ความหมาย มันคนละลักษณะ มันมีลักษณะของมันที่ ต่างกันอยู่ มาแปลเป็นไทยว่า นิโรธ ว่าดับ วิมุติว่าหลุดพ้น แทนกันได้ เป็นคำที่คล้ายกัน ใช้แทนกันได้ แต่มันก็มีลักษณะ ที่ต่างกันอยู่ แต่แกนใหญ่มันเหมือนกัน คือดับกิเลส หมดกิเลส นอกจากหมดกิเลสแล้ว ยังเป็นความวิมุตินี่ มีธาตุรู้พร้อม นิโรธเป็นธาตุดับ มันต่างกันอยู่ตรงนี้น่ะ นิโรธเป็น ธาตุดับ เน้นจุดแกนหลักของนิโรธ คือแปลว่าดับ เป็นธาตุดับ ดับอะไร ดับกิเลส

แต่วิมุตินี้ ไม่ดับน่ะ หลุดพ้นลอยตัว วิมุติธาตุที่มันอยู่เหนือธาตุที่เห็นรู้ ชัดเจน นิโรธนั่น ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มี คือปฏิเสธ ถ้าขั้วบวกขั้วลบแล้วก็ วิมุติเป็นบวก นิโรธเป็นลบ อะไรอย่างนี้ มันคนละขั้วกัน แต่มันต้องอยู่ด้วยกัน มีด้วยกันทั้งสองอย่างนี้ เรียกว่า อุภโตภาค มีทั้ง ๒ อย่าง เพราะฉะนั้น มีคุณลักษณะนิโรธที่ถูก ต้องวิมุติ เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

อันนี้ล่ะ ถ้าไม่มีญาณปัญญา ก็จะอธิบายไปไม่ได้ ต้องรู้ว่า คำว่าดับ มีเพราะ ความดับ แห่งกรรม ฟังให้ดีนะ ความดับแห่งกรรม คือหมดกายกรรม หมดวจีกรรม หมดมโนกรรม

ทีนี้ ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ที่มีนิโรธ มีวิมุติแล้วนี่ อรหันต์ที่ยังไม่ตาย ยังมีขันธ์ ๕ ยังมีกรรม ๓ กายกรรมมี วจีกรรมมี มโนกรรมมี แต่ก็มีความดับ ตอนนี้ก็จะต้องสอดแทรก ลึกซึ้ง นี่ใคร มีปฏิภาณ รู้แล้วว่าจะดับอะไร ดับความชั่ว ดับแล้ว มีวิมุติความชั่ว คือหลุดพ้นจาก ความชั่วจริงๆ นิโรธความชั่ว ดับไม่เกิด ความเกิดไม่มี เกิดกายกรรมชั่วไม่มี เกิดวจีกรรมชั่ว ไม่มี เกิดมโนกรรมชั่วไม่มี ไม่เกิด หลุดพ้นวิมุติ แต่ยังไม่ดับกรรม ๓ ทั้งหมด เพราะยัง สอุปาทิเสสนิพพานอยู่เท่านั้น เพราะความดับแห่งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม

เมื่อ อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดับกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม คือพระอรหันต์ตาย พอตายแล้ว ทีนี้ความดับแห่งกรรม ดับจริงๆไม่เหลือ กรรมนั้นไม่เหลือเป็นของท่านอีกเลย จะเป็น วิบากกรรมดีของท่าน ก็มีเหมือนกันน่ะ แต่ไม่มีแล้ว พวกใคร เก็บไว้ได้ เอาไว้นะ ของพระอรหันต์เจ้า กุศลวิบากอันไหน ใครเก็บได้ รีบเก็บเอาไว้ ท่านไม่เอาแล้ว ไม่ใช่ของ ท่านแล้ว ทีนี้ใครคว้าได้ คว้าเอาฝึกตน ใส่ตนนั่นเอง ทำให้เป็นมรดกของเรา ให้ได้นั่นเอง ท่านก็เลิกกันไปเลย นี่แหละหมดสิ้นกรรมทุกอย่าง ดับแห่งกรรม

เมื่อมันดับ เป็นอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แต่ยังไม่อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เพียง สอุปาทิเสสนิพพานธาตุนั้น ยังมีกรรม ๓ อยู่

ถ้าใครไม่เข้าใจลึกซึ้งอย่างนี้ จะบอกว่า เอ้า ความดับแห่งกรรม คือหมดกายกรรม หมดวจีกรรม หมดมโนกรรม มันก็ซี้แหง มันก็เป็นมนุษย์ ซี้แหงซิอย่างนั้น ดับแห่งกรรม ใช่ เมื่อถึงขั้น อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ แต่ยังไม่ถึงนั้น ดับกรรมชั่ว ดับกิเลส เพราะมีญาณรู้ แล้วว่า ชั่ว ดี อะไร เป็นอภิธรรม รู้กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา รู้กุศลกรรม อกุศลกรรม เพราะฉะนั้น ยังกุศลธรรมให้ถึงพร้อม สัพพปาปัสสะ อกรณัง บาป ชั่ว เล็กน้อย อะไร ต่ออะไร มีความรู้ที่จริง ไม่ทำ ไม่มีเจตนาที่จะทำชั่ว เพราะฉะนั้น กรรมคือตัวเจตนา ไม่มีเจตนาจะทำชั่ว ด้วยความซื่อตรงบริสุทธิ์ที่สุด ไม่มีเบี้ยว ไม่มีเอียง สำหรับพระอรหันต์

เพราะไม่มีเจตนาที่จะทำชั่ว จึงไม่มีกรรมชั่วเลย นอกจากว่า พระอรหันต์มีภูมิเท่านั้นน่ะ ไอ้นี่มันผิด มันชั่ว แต่ท่านไม่มีเจตนาจริงๆ ท่านซื่อจริงๆเลยนะ ท่านทำมันก็ผิด ท่านทำ มันก็ชั่ว เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ท่านทำผิด ท่านทำชั่วได้ แต่ไม่ถือเป็นกรรมที่เจตนา ฟังให้ดีนะ เพราะฉะนั้น เราจะบอกว่า อะไรไม่เจตนาไม่เป็นกรรม ไม่ใช่นะ ไม่เจตนา ก็เป็นกรรม แต่ที่เจตนาปัจจุบันของผู้ที่จะทำนี่ มันโง่จริงๆ

คำว่าโง่นี่ มันก็เป็นวิบาก เพราะฉะนั้น เป็นพระอรหันต์แล้วก็มีวิบาก เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็มีวิบาก วิบากตามน่ะ เพราะฉะนั้น เจตนา หรือ ไม่เจตนา ถ้ามันเป็นวิบาก มันก็ไล่ทัน ทุกทีไป ถ้ายังไม่หมดรูป นาม ขันธ์ ๕ นี่ คือความลึกซึ้ง มันพูดแล้วก็สับสน คนที่ไม่รู้แล้ว ก็บอก โอ้ย ถ้างั้น คนเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ ไม่มีกรรมแล้ว ไม่มีได้อย่างไรเล่า ถ้าท่านมี กรรมดีอยู่ตลอดเวลา กายกรรมก็มี วจีกรรมก็มี มโนกรรมก็มี พูดเมื่อไหร่ มันก็ไม่หมด

พระอรหันต์ยังไม่ตาย ท่านยังพูดได้อยู่ ท่านยังทำกรรมได้อยู่ แล้วจะบอกว่า ไม่กรรม ได้อย่างไง ทำไมมันซื่อบื้อขนาดนั้น แล้วบอกว่า พระอรหันต์ท่านไม่มีกรรมแล้ว ไม่มี กรรมชั่ว ไม่มีกรรมดี ไม่จริง พระอรหันต์ สิ่งที่ท่านไม่รู้ สิ่งที่ท่านเข้าใจผิด มันก็เป็นชั่ว ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าว่าไปแล้ว อาตมาไปบอกว่า พระอรหันต์ทำชั่วนี่นะ แหม ใครมันก็ต้อง เถียงกันแทนน่ะ

ยิ่งไปบอกว่า พระพุทธเจ้าท่านทำชั่วแล้ว เลิกเลยๆนะ ไปพูดอย่างนั้น แล้วยิ่งแย่ใหญ่ จริงๆ นั้นท่านไม่เจตนาจะทำชั่ว เพราะฉะนั้น เจตนาจึงชื่อว่ากรรม แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ยังซ้อนบทอื่นเอามา เพราะว่าละชั่วจริงๆ ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ เป็นจิตบริสุทธิ์ ผ่องใส จิตบริสุทธิ์จริงๆนะ ละชั่วจริงๆ ไม่มีเจตนาทำชั่ว ยังกุศล ให้ถึงพร้อม เท่านั้น พระอรหันต์ จะต้องทำกุศลเท่านั้น

นี่ อธิบายในข้อที่ ๓ คือนิโรธ คือที่จะต้องวิมุติ ทีนี้กรรมใหม่ ก็คือบุคคล ที่ทำด้วยกาย วาจา ใจในบัดนี้ ใครมีบุญเท่าไหร่ ใครมีความแข็งแรงเท่าไหร่ก็ทำ อันนี้ไม่ต้องอธิบายมาก อันนี้เข้าใจง่าย กรรมใหม่ คือกรรมที่บุคคลทำด้วยกาย วาจา ใจ พระอรหันต์ก็ทำกรรมใหม่ กันไปอย่างดีทั้งหมด สั่งสมกรรมที่บริบูรณ์

ยิ่งเป็นพระอริยบุคคลสูงขึ้นๆ ก็ต้องได้ทำกรรมใหม่ที่ดี มีแต่สั่งสมกุศล กำไรหรือขาดทุน ถ้าเราเอง เรารู้กุศล แล้วเรามีอินทรีย์พละแข็งแรงอย่างที่เราทำแต่กุศลให้ได้มากๆๆ เราก็ กำไร เป็นกรรมใหม่ ส่วนกรรมเก่านั้น ท่านอธิบายไว้นี่ แหม อธิบายยากนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละ เป็นทวารที่ให้เกิดกรรม อันบัณฑิตพึงเห็นว่ากรรมเก่า อันปัจจัย ปรุงแต่งแล้ว หมายความว่า เหตุที่มันได้ให้ทำไปแล้ว มันเป็นสภาพของสิ่งที่ได้กระทำแล้ว เป็น Past Perfect Tense ด้วย ภาษาไทยว่าอะไรกาละนี่ Tense กาละ ใช่ไหม เป็นอดีตกาล เป็นสิ่ง ที่แล้ว ทำไปแล้ว ผ่านไปแล้ว สำเร็จ อดีตไปแล้วด้วย สำเร็จด้วยเจตนา

สำเร็จด้วยเจตนา หมายความว่า มีความมุ่งหมาย เจตนานี่คือความมุ่งหมาย เป็นความ เจาะจงลงไป มันมีสิ่งนั้นแล้ว ได้ทำแล้ว เป็นแล้ว ด้วยเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งแล้ว ทำแล้ว เป็นที่ตั้งแห่งเวทนา แห่งความรู้สึก เพราะฉะนั้น ผู้ที่เกิดมามีขันธ์ ๕ มีเวทนาขันธ์ จะมี ความรู้สึกตามกรรมเก่า ถ้าสิ่งนี้เป็นกิเลสในจิตวิญญาณ มันครอบงำคุณอยู่ คุณก็จะรู้สึก เป็นกิเลสว่า เอ๊ กิเลสนี่ มันเป็นสัญชาตญาณที่ติดมาเลย เป็นกรรมเก่า สัตว์ตัวนี้จะต้อง ทำกรรมกิริยา ด้วยเวทนาอย่างนี้ ก็เพราะเวทนา หรือความรู้สึก แล้วก็จะมีเจตนาอย่างนี้ เพราะสิ่งนั้น ได้ปรุงแต่งแล้ว ยากนะ อาตมาพยายามอธิบายให้คุณฟังสิ่งนั้นไปแล้ว ติดตัวติดตนอยู่แล้ว

ถ้าเป็นพระอริยบุคคล สิ่งที่ท่านได้เลิก ละแล้ว ไม่ปรุงแต่งแล้ว มันก็สะอาดขึ้นมาแล้ว ตัวสะอาดนั้น ก็จะเป็นเวทนา ตัวสะอาดนั้น ก็จะมีความมุ่งหมาย สะอาดตามนั้น รู้สึกทุกข์ รู้สึกสุข รู้สึกปล่อยวาง ก็จะเป็นเวทนาตามนั้น เวทนานี่ ๓ สุข ทุกข์ แล้วก็กลางๆ ตามนั้น ใครทำมาเท่าใดเท่านั้น อย่างอาตมาสูบบุหรี่ ไม่อร่อยนี่ มีเวทนาเป็นกรรมเก่ามา สูบเมื่อไหร่ มันเหม็นทุกที มันไม่ติดง่ายๆเลย ก็เลย  เอาล่ะเรา เอากันไป นี่ก็ว่ากันไป แต่พวกคุณ มีกรรมเก่านะ แหม แต่ก่อนมันก็เคยติดเอาหนักเลย แหม ยังไม่ทันได้ลองเลย มันติดก่อน ลองแล้ว ฮื่อๆ ผู้หญิงเห็นลิปสติกนี่ แหมมันติดมาก่อนแล้วนี่ ไม่รู้เป็นเชื้อของ นางอะไรนะ โสเภณี

สมัยพระพุทธเจ้านั่นแหละ ไม่รู้เป็นเชื้อพวกนั้นหรือเปล่า พวกโสเภณี นะ เห็นของพวกนี้ มันติดแล้ว มันติดตั้งแต่ยังไม่ทันเห็นเลยนะฮู้ย มันเป็นที่ตั้งแห่งเจตนา แหม มันมุ่งมาด ปรารถนาอยู่อย่างเก่านะเจตนา เห็นปั๊บ ยังไม่ทันเห็นมันเลย มันแทบจะนึกออกแล้วนะ อยากได้ อย่างที่ไอ้มันเป็นเรื่องของกิเลส เหตุแห่งกิเลส มันก็จะติด แล้วจะรู้สึกเป็นเวทนา เป็นตัวรู้สึก แหม ถ้าได้มันก็สุข ถ้าไม่ได้มันก็ทุกข์เวทนา มันเป็นที่ตั้ง นี่แหละแห่งกรรมเก่า ขยาย คำว่ากรรมเก่า คือสิ่งที่สั่งสมอยู่ในตน สำเร็จแล้ว ปรุงแต่งมาเสร็จแล้ว เป็น อยู่อย่างนั้น

ถ้าเรามาล้างๆมัน แล้วปรุงแต่งให้มันดี ให้มันสะอาดขึ้น สะอาดขึ้นๆ คุณก็จะมีกรรมเก่า ของคุณสะอาดขึ้นมา เป็นอริยบุคคลก็จะสะอาด ขึ้นในโสดา สกิทาก็สะอาดขึ้น ตามจริง นั้น เหตุกรรมมันปรุงแต่ง เหตุปัจจัยมันปรุงแต่งแล้ว ปรุงแต่งให้สะอาด ก็เป็นของคุณ เป็นกรรมเก่าที่คุณได้ทำ คุณไม่ได้ทำ มันก็ไม่สะอาด เพราะฉะนั้น คุณจะมีเจตนาเท่าไหร่ จะมีเวทนาเท่า ไหร่ ก็เป็นของที่คุณทำมาเอง จึงเรียกว่ากรรมเก่า ทำอะไรมันไม่ได้แล้ว แก้ มันไม่ได้แล้ว มันมีมาแก้มันไม่ได้

ทำใหม่ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มันจะล้างกิเลสได้ กรรมล้างไม่ได้ ล้างได้แต่กิเลส ยิ่งกรรมเก่าน่ะ จะไปล้างอะไรมันล่ะ ใส่เข้าไปแล้ว ล้างไม่ได้ ล้างกิเลส เพราะฉะนั้น มันจะรู้มันจะเห็นแม้แต่ก่อนนี้ เรารู้สึกว่า เหตุปัจจัยนี่ ทองคำ เพชร พลอย รูปสวย เสียงเพราะ มันก็มีของมันอยู่ตามนั้นน่ะ เดิมๆนั่นแหละ เรามาล้างกิเลสที่มีญาณปัญญา รู้เท่าทันเสียงเพราะ รู้เท่าทันเพชร รู้เท่าทันทองคำ แต่ก่อนนี้เห็นทองคำ ดูดป๊าดๆเลย เพราะว่า มีกิเลสพาดูด เดี๋ยวนี้ เห็นทองคำเฉยๆ เห็นเพชรเฉยๆ เห็นรูปน่าได้น่ามี เห็นเสียง น่าได้ น่ารัก แต่ก่อนนี้ มีกิเลสพาดูด เดี๋ยวนี้ล้างกิเลสออก มันก็เสียงอย่างเก่า รูปอย่างเก่า รสอย่างเก่า ไม่ดูด ล้างกิเลสได้ ล้างกรรมไม่ได้

กรรมนี้จะแข็งแรง ด้วยมีกายกรรม วจีกรรม ตาดูมันเลย นี่หรือทองคำ เห็นทองคำ เฉย ดูมันเลย รูปสวย เห็นรูปสวย เฉย ฟังมันเลย เสียงเพราะ เสียงเพราะก็เฉย ล้างกิเลสได้ กรรมมีปกติ ตาเห็นก็เห็นเป็นกรรม หูฟังก็ฟังเป็นหู จมูกได้กลิ่นก็เป็นกรรม ธรรมดา กายกรรม จะทำประกอบด้วย ดีไม่ดี ประกอบเสียงเองด้วย ประกอบตาหวานเองด้วย นั่นแน่ะ ตาหวาน มันก็เป็นลักษณะของคนที่ทำตาหวานน่ะนะ ก็เป็นได้ แต่ไม่ได้เกิดจาก สิ่งเหล่านั้น

ยกตัวอย่าง เช่นอาตมานี่ ด่าได้ อาตมาด่าเป็นนะ เดี๋ยวคุณไม่เชื่อ แต่อาตมาก็ทำกรรมนั้น ได้ โดยที่ว่าไม่ได้ติดกรรมนั้น ไม่ได้เอากิเลสนั้นมาทำ กรรมด่านั้นนะ นี่ด่าธรรมดา คนจะด่า ก็ต้องมีอารมณ์โกรธ มีกิเลสโกรธ มันผลักดันให้ด่า ก็เลยด่าด้วยโกรธ นี่เรียกว่า กรรม อันประกอบไปด้วยเจตนา นี่ เป็นอกุศล เพราะเป็นอกุศลอันเจตนา มันเป็นตัวกิเลส มันก็พาด่า แต่คนที่มีเจตนาอันไม่มีกิเลส แต่เจตนาที่จะทำอย่างนี้ ประกอบกรรมอย่างนี้ ให้มี เสียงอย่างนี้ ให้มีลักษณะอย่างนี้ เรารู้ว่า เสียงอย่างนี้ ใช้อย่างนี้แล้วนี่ คนจะเป็น อย่างนี้ก็ด่า เอ้า ด่ามามากแล้ว แต่งเพลงเสียบ้าง ก็แต่งเพลง

แต่ไม่ใช่หมายความว่าจะเจตนา ที่อาตมามันเขี้ยว กิเลสพาแต่งมันก็ไม่ใช่ เออ แต่งเพราะ ควรทำเถอะน่ะ ทำเถอะ เขาเอาไปใช้ มันเป็นประโยชน์อย่างนี้ เป็นต้น

เพราะเจตนาก็บริสุทธิ์ต่างกัน เป็นกรรมใหม่ แต่ก่อนนี้ แหม กรรมเก่า แต่งเพลงก็อย่าง ด้วยกิเลส มันดีน่ะ อร่อยดี อะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นเจตนาอย่างนั้น ดีไม่ดี ก็แต่งไปตามโลก เลย แหม อายนะ อาตมาเอาเพลงเก่าๆมา อาย เพลงนั้นแต่งเพลงรักๆบ้าง เพลงบ้าๆ บอๆ อาย ไอ้เพลงเก่าๆที่แต่ง มันแต่งไปด้วยกิเลส อาย เพราะฉะนั้น เอามาแก้หมด ไอ้เพลง เก่าๆ ที่มันไอันั่น ไม่อยากจะเอามาฟื้น เอาเพลงขึ้นมาแต่งใหม่ อันใหม่ อันไหนทำได้ อันไหน ทำไม่ได้ แต่เปลี่ยนไม่ได้ ไม่รู้จะเปลี่ยนอย่างไง

เพลงผู้แพ้นี่ มีคำว่ารักอยู่คำหนึ่ง ท่อนกลาง อาตมาก็ยังอายอยู่เลย เลยมาแก้เป็นสูญเสีย ท่อนกลาง แพ้จนรักสิ้นสลาย ทำลายเราป่น บอกว่า โอ้โฮ เพลงนี้ เราจะไปแก้มันก็ไม่ได้ มันฮิต มันรู้กันไปหมดแล้ว ไปแก้เพลงไม่ได้ อาตมายังแก้ไม่ได้ คือเพลงชื่นรัก ไม่รู้จะไป แก้ตรงไหนมัน เพลงชื่นรัก แก้ไม่ได้เลย ก็ต้องจำเป็น ก็ต้องปล่อยไอ้นั่นให้ขายหน้า

สมัยก่อน ก็แต่งเพลงรักอย่างนั้นน่ะ ก็แก้ไม่ได้ ให้มันอยู่อย่างนั้น เพราะมันเป็นเพลงฮิต ไปแก้ เขาก็รู้ทั้งนั้น ใช่ไหม ส่วนเพลงนี้ พอกลบเกลื่อนได้ เพลงผู้แพ้นี่ มันมีรักอยู่คำเดียว แก้ให้มันเป็นสูญเสีย แพ้จนสูญสิ้นสลาย ทุกวันนี้ ก็เป็นตัวหนังสือร้องใหม่นี่ก็ สูญสิ้น

สมัยเก่า นริศ อารีย์ ยังร้องเพลง แพ้จนรักสิ้นสลาย รักมันตายไปแล้ว ไปแก้เป็นสูญเสีย นี่คือ สิ่งที่อาตมาเอาหลักฐาน เอามาบรรยายให้คุณฟัง แต่ก่อนมันทำอย่างโลก มันมี เจตนาอย่างโลก มันอายนะ มันไม่รู้ มันก็ทำไปอย่างนั้น มันก็ดีนะ นี่เจตนา มันเป็น กรรมเก่า เดี๋ยวนี้ ไม่เอาแล้ว กรรมใหม่ เดี๋ยวนี้ไม่เอาแล้ว แก้ให้มันเป็นสูญเลย กรรมใหม่ นี่รู้แล้ว กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อะไรก็แก้ ร้องอย่างไง ร้องสองตัว อ๋อ เอาอย่างนั้น เลยเหรอแพ้ จนรักสูญสิ้นสลาย ไม่ใช่ มันมีตัวเดียว โน้ต มันมีตัวเดียว จะไปร้องสองตัวไม่ ได้

เอ้า เอาละ ทีนี้ก็เป็นการอธิบายกรรมเก่า กรรมใหม่ หรือความดับ แห่งกรรมอะไร ให้ฟัง คร่าวๆ กันไปเลย เพราะฉะนั้น มันเกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละ เรารู้สึกกระทบ สัมผัสแล้ว ก็มาก่อให้เกิดกรรม จนปรุงแต่งแล้ว เป็นกรรมเก่า ตอนนี้ เราก็ มาเรียนรู้กรรม ที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจนี่แหละ เป็นทวารก่อกรรม แล้วเราก็ทำกรรมใหม่เสีย ในบัดนี้ ล้างกิเลสในกรรมทำกรรมไป สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ หรือ กาย วาจา ใจ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ กาย วาจา ใจนี่แหละ แล้วล้างกิเลสมันไปในกรรม กรรมมันก็ยัง เป็นกรรม แต่กรรมนั้นจะเป็นกุศลก็บริสุทธิ์อยู่ที่มีกิเลส หรือไม่มีกิเลส กรรมนั้น จะบริสุทธิ์ อยู่ตรงนี้ จะเจริญ จะเป็นกรรมที่เป็นกุศลกรรมแท้ๆ แล้วก็จะเป็น กรรมที่มันเกิดล้าง หรือ ไม่ล้าง ก็อยู่ที่คุณ คุณพูด คุณทำ คุณสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจมาแล้ว คุณก็จะต้อง ให้ออกเป็นกรรม ปรับกรรม สัมผัสทางตามา เออ เราก่อกรรม อย่าให้มันมีกิเลส มาผสม ลงไป สัมผัสทางหูมา อย่าให้มีกิเลสเป็นไป มันก็จะปรับกายกรรม วจีกรรม ที่เป็นกรรม บริสุทธิ์ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นกุศลกรรมขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วก็บริสุทธิ์สะอาดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

ตามันก็จะสว่าง หูก็ยิ่งจะได้ยินเสียงอันบริสุทธิ์ จะแยกวิเคราะห์เสียงที่  มันเป็น กิเลส ออกมา เพราะเรารู้กิเลส เราจึงรู้หน้าตากิเลสวิเคราะห์กิเลสได้ คนนี้พูดออกมา ไอ้นี่ มันเอากิเลสผสมออกมาตั้งเยอะ ได้ยินเสียง ได้ยินแล้ววิเคราะห์ออก เพราะว่ามีโสตทิพย์ โสตทิพย์นี่ เป็นตัวหู เป็นตัวได้ยินแล้ว มันเลยรู้ว่า ไอ้นี่ประกอบไปด้วยกิเลสอย่างหนา อย่างบาง อย่างใกล้ อย่างไกล อย่างลึก อย่างตื้น มันจะรู้โสตทิพย์ แยกออกเลย ได้ยิน เสียงกลอง เหมือนกลอง ได้ยินเสียงเปิงมางเหมือนเปิงมาง

ได้ยินเสียงนี่ ท่านเทียบไว้ในโสตทิพย์ แยกออกเลยว่าเสียงนี้ตุมๆๆๆ เหมือนกันนะ เอ๊ นี่ตุ๊มกลอง นี่ตุ๊มเปิงมาง นี่ตุ๊มอะไร ก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น มันจะวิเคราะห์ออก ไอ้ที่ ใกล้เคียงกัน มันก็จะแยกออก ตาก็ตาม หูก็ตาม ท่านแยกเป็นโสตทิพย์ เอาแต่เพียงหู เสียงนะ แต่อันอื่นเหมือนกันน่ะ เห็นรูปอย่างนี้ อ๋อ รูปอย่างนี้เหมือนกัน คล้ายๆกันนะ วิเคราะห์ออกเลยว่า มันเป็นกิเลสอันหนึ่ง มุมไหน เหลี่ยมไหน อย่างนี้เป็นต้น

เอ้า เอาละ อาตมาอธิบายเรื่องกรรมเก่า กรรมใหม่ ซึ่งเป็นตัวยาก นะ ถ้าไม่เข้าใจแล้ว อธิบายไม่ออก อ่านแล้วก็ภาษาที่แปลเป็นภาษาพระไตรปิฏกทื่อๆ อาตมาเห็นใจน่ะ เห็นใจคน แล้วเขาไปเข้าใจแบบกรรมเก่า ที่เขาเรียนมาจากฤาษีสมัยโบราณ เอามา อธิบายผสม พวกฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ อะไรต่างๆนานานี่ ซึ่งมีความรู้แต่ตำรา โบราณๆ แล้วก็มีความรู้เดิม ของตนเองผสมๆอยู่เก่าๆ พวกฤาษี พวกอะไร พวกนักรู้พวกนี้ มาต่อความ มาเอาของพระพุทธเจ้านี่ อธิบายกลับไป หาฤาษีเก่าอีกหมด ฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ นี่มีความดีอยู่ ๒ ด้าน ด้านที่ทำให้ ศาสนาของพระพุทธเจ้าเสื่อมก็มี เพราะอธิบาย ตอนทิฐิของตน แล้วเขาก็เป็นผู้ที่เฉลียวฉลาด

เดี๋ยวนี้ก็มี พวกที่อธิบาย สมัยใหม่ อาตมาก็เป็นฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ ท่านพุทธทาส ก็เป็น ท่านเจ้าคุณเทพเวทีก็เป็น อธิบายแล้วก็จะรองรับ เชื่อถือกันในอนาคต อีกเหมือนกัน เอามาขยายความ ใครมีทิฏฐิอย่างไร มีความเห็นที่เขาเข้าใจอย่างไร จะไป ในทางนั้นๆๆ สืบทอดกันไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น อนุฎีกาจารย์อธิบายถูกดี ฎีกาจารย์ ที่อธิบายถูกดี ก็ไปดี อนุฎีกาจารย์ที่อธิบายไม่ถูกไม่ดีเป๋ไปทางไหน ก็ไปอีกพวกหนึ่ง อยู่ที่ว่า ใครจะมี ญาณทัสสนะวิเศษ ที่จะเลือกเฟ้นจากฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ได้ เช่น ท่าน พุทธโฆษาจารย์ เป็นฎีกาจารย์ อย่างที่อธิบายไว้ พุทธโฆษาจารย์ชาวอินเดีย ที่แต่งตำรา วิสุทธิมรรค ผู้ที่เห็นว่า พุทธโฆษาจารย์อธิบายดี มีส่วนดีมากอยู่ในนั้น แต่ส่วนไม่ดี ที่ผิดเพี้ยนไป ตามทิฏฐิของท่านเองผสมผสาน มี

อย่างท่านพุทธทาสก็แย้ง อาตมาก็แย้ง ท่านพุทธทาสเป็นฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์สมัยนี้ อธิบายไว้ ไอ้ที่ดี อาตมาก็เห็นดี อาตมาก็มาแยกเหมือนท่านพุทธทาส แยกของท่าน พุทธโฆษาจารย์ เหมือนกัน ไม่ได้เชื่อไปทั้งหมด ไม่ได้เห็นดีไปทั้งหมด อยู่ที่สัจจะ ความจริงว่า ญาณของผู้ใด จะวิเคราะห์วิจัยเอาจุดที่ถูกต้องเป็นสัจจะได้แท้ อันนั้น เป็นสัจจะความจริง ไอ้นี่ ไม่รู้จะไปบอกว่ายังไงได้ ก็ของใครมีบุญบารมี มีญาณที่แท้จริง เป็นสัจจะได้จริง คนนั้น ก็ต้องได้ดี ถูกมากกว่ากัน จะก่อนหรือหลังไม่มีปัญหา อยู่ที่ ความจริง ทาสความจริง ถ้าอาตมาเป็นโพธิสัตว์เก๊ อาตมาก็พาคุณเพี้ยน เป็นอนุ ฎีกาจารย์ หรือ ฎีกาจารย์ที่พาคุณเพี้ยน

ถ้าอาตมาเป็นโพธิสัตว์จริง อาตมาก็พาคุณตรงกว่าคนที่อธิบาย มาเก่ามาก่อน เมื่อไหร่ ก็ไม่มีปัญหา มันจะวิเคราะห์ของคนก่อนคนเก่าที่ผิด ก็จะมา ถ้าคนจริงเป็นพระโพธิสัตว์ หรือแล้วเป็นสัตบุรุษที่จริง ก็จะวิเคราะห์ลงไปถึงฎีกาจารย์ อนุฎีกาจารย์ นั้น เอาส่วนดี มาใช้เหมือนกัน ส่วนที่ไม่ดีก็บอกออก ถ้าผู้ที่ไม่ใช่แท้ หรือมีภูมิปัญญาไม่สูงเท่า พาผิด ไปอีก เชื่อบ้างไม่เชื่อบ้าง ไม่เชื่อก็วิเคราะห์อย่างที่อาตมาอยากจะกล่าว ท่านพุทธทาส ไปตีทิ้ง พระไตรปิฎกของท่าน ๖๐ เปอร์เซนต์ อะไรอย่างนี้ โอ้ อาตมาว่า ท่านพุทธทาส นี่หนอ ในพระไตรปิฎกน่ะ มีดีกว่า ๖๐ เปอร์เซนต์ อย่างนี้ ฎีกาจารย์ที่มองคนละมุม

เอาล่ะ วันนี้ได้มาถึงกรรมเก่า กรรมใหม่เท่านี้ ต่อไปนี้ ไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น ก็ต้องเอาไว้ เพิ่งได้ ๔ หน้า พรุ่งนี้ จะต้องอ่านลุยๆๆๆ แต่อธิบายเป็นหลักเอาไว้ก่อน แล้วมันก็คง ไม่มีปัญหาอะไร ส่วนที่จะต่อ ก็จะต่อกันไปได้ เพราะฉะนั้น ไอ้เรื่องของกรรมนี้ละ เป็นเรื่องที่ เราจะต้องศึกษากันให้มาก แล้วอาตมาจะเน้นเรื่องของกรรมนี่ให้สำคัญที่สุด เพราะว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่นี้ มีกรรมนิยม หรือกรรมสัจจะ กรรมเป็นตัวจริง กรรมเป็นตัวจริง คุณฟังตัวนี้ ภาษาไทยๆ นี่ให้ชัดๆ กระทำเป็นตัวจริง กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เป็นตัวจริง เป็นตัวจริงนะ อย่านึกว่าทำเล่นๆ แหม ทำเป็นเล่น ไม่เป็นไรหรอก ด่าเล่นๆหน่อยเถอะ แหน่ ซวยไปแล้ว ไม่ใช่สวยหรอกนะ นี่ด่าเล่นๆ โกรธเขา เล่นๆ ไม่ได้ ใจดีไว้ ทำใจมีเมตตา ใจเกื้อกูล เอื้อเฟื้อ พยายามที่จะหวังดีต่อกันและกัน ไปทั้งหมด คุณทำซิ คุณเข้าใจใช่ไหม มันไม่ถูก ก็ฝึกใจของตัวเองให้มัน เอ๊ ทำใจเอื้อเฟื้อ เมตตา วางปล่อยอย่างไง ทำอยู่เรื่อยๆ ฝึกเรื่อยๆ กายกรรมอย่างนี้ รู้ตัวให้ได้ กายกรรม อย่างนี้ ไม่ดีนะ อกุศลนะ ทุจริตไม่ดีล่ะ วจีกรรมอย่างนี้ไม่ดีนะ อกุศลนะ ทุจริตนะ อย่าทำ ฝึกไป แล้วก็จะชำนาญไป ยิ่งเห็นลึกซึ้ง ยิ่งละเอียดลออ ยิ่งเห็นผล ที่มันจะบอกคุณเอง มันจะมีผล สนับสนุนคุณเอง

คุณจำลองทำงาน ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ยิ่งมันเขี้ยว นั่น โอ ทำหนัก นั่นแก่กว่าอาตมาแล้วนะ ว่าไหม แก่กว่าไหม เอาเฮอะ อาตมายังหนุ่มกว่าน่ะ แต่ไม่เป็นไรหรอก ทำไปเถอะ มันเป็นบุญ เป็นกุศล เพราะว่า รับหน้ามาทางนี้ นี่ มีงานทางโน้น มันย่อมหนักกว่า งานทางอาตมานั่นแหละ มันต้องแบก มันต้องหามกว่า ก็ดี อาตมาก็ส่งเสริมนะ เพราะว่า มันไม่มีใครจะทำหรอก อาตมาไปทำได้ก็ไม่เหมือน เพราะวิบากต่างกัน วิบากของ คุณจำลอง กับวิบากของอาตมาต่างกัน มันต้องเป็นอย่างนั้นแหละ มันมีอจินไตย มากกว่านี้ อาตมาไม่พูดมากล่ะ มีแค่นี้ ก็ว่ากันแค่นี้ไป ทำเถอะ ทำใจ ทำไปแล้ว จะเห็นผล อย่างที่คุณจำลองมาเล่านี่ เล่ามาแล้ว มันรู้สึก มันเข้าใจ เพราะสัมผัสเอง แล้วมันก็ เออ มีผล ดูซินี่ มันแปลกนะ ทำไมมันได้มาง่ายๆ เขากล้าหาญยังไงกันเชียว แหม ไว้ใจกันจริงๆ น่ะ เอาไปเลย ๒ แสน ๕ แสน เอาไปเลย เป็นล้านน่ะนี่ เอาไปเลย เป็นล้าน ก็ยิ่งทำออก ต่ออีก อย่าไปเอาเป็นของตัวเอง มีกี่ล้านก็ทำออกบุญออกไป คนมันก็ยิ่งไว้ใจ มีรูปธรรม ชัดน่ะ

ของคุณจำลองทำ จึงดูแล้วอึกกระทึกครึกโครมกว่าอาตมามาก อาตมานี่ รูปธรรม ไม่ชัดหรอก คนอยากจะให้เงินแสนยังน้อย แต่คุณจำลองนี่ คนอยากให้เงินแสนเยอะ เพราะมัน เป็นรูปธรรมชัด เอ้าจริงนะ คนไม่ค่อยกล้าให้อาตมาหรอกเงินแสน เพราะว่า อาตมาไม่ได้เอาไปแจกชัดอย่างนั้น ไม่ได้ประกาศโฆษณาอย่างนั้น ไม่ได้เป็นอะไรต่ออะไร มันอยู่ในๆ ลึกๆ มันก็ไม่ค่อยเหมือนกัน แต่อาตมาไม่ได้ริษยาน่ะ อาตมาไม่มีปัญหาหรอก อาตมาเข้าใจหลายๆอย่าง ที่อาตมาบอกไม่ได้ พูดไม่ออก เพราะฉะนั้น สิ่งเหล่านี้ พิสูจน์กรรม ไปเถอะ แล้วคุณจะเห็นผลของกรรม

คุณจะมีญาณปัญญา เข้าใจสิ่งเหล่านี้โดยไม่จำเป็นที่จะต้องไปพูดก็ได้ มันจำเป็น ของมันไป หลายๆปี มันจะค่อยๆซับซาบ มันจะค่อยๆรู้สึก เพราะฉะนั้น ผู้ที่อยู่มากัน กับอโศกนาน ๆ ก็จะเห็นได้ โอ้ หลายอย่าง นี่ค่อยๆ เข้าใจขึ้น อ๋อมันอย่างนี้เอง แต่ก่อน ไม่เข้าใจ เอ๊ ทำไม มันเป็นอย่างนี้ได้ ทำไมมันมาอย่างนี้ ทำไมมันได้อย่างนี้เดี๋ยวนี้ มันเป็นด้วยเหตุปัจจัยทุกอย่าง มันเกิดมาด้วยเหตุปัจจัยทั้งนั้น อะไรๆไม่มีฟลุค ไม่มีอะไรฟลุค ไม่มีอะไรมาโดยไม่มีเหตุ โดยไม่มีปัจจัย ทุกอย่างเกิดมาตามเหตุ ปัจจัย ทั้งนั้น ทั้งสิ้น จะเป็นอย่างโน้น จะเป็นอย่างนี้ อะไรต่างๆนานานี่ เป็นด้วยเหตุปัจจัยทั้งสิ้น นี่ คือเรื่องของกรรม จะต้องเป็นอย่างนั้น

เอาละ สำหรับวันนี้ หมดเวลาลงแล้ว พอก่อน

สาธุ

TAP0001