สัจจะแห่งกรรม ตอน ๒
โดย สมณะโพธิรักษ์
งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๓
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก
๒๐ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๒


ทำตัวเองให้ตื่นรับฟังธรรม เรื่องกรรม หรือสัจจะแห่งกรรมกันต่อ เอ้า ทบทวนเมื่อวานนี้ หน่อยหนึ่งว่า เราได้พูดถึงเรื่องของกรรม ซึ่งก็คือ การกระทำ หรือคือการงานธรรมดาๆ นั่นเอง แต่สำคัญนะ เพราะว่ากรรมนี้เป็นสัจจะ เป็นกรรมสัจจะ ชีวิตก็คือ กรรม ๓ ที่ยังมี บทบาท ยังมีการงาน หรือยังมีการกระทำอยู่ กรรม ๓ ก็คือ กาย วาจา ใจ ที่มันยังมี บทบาท หรือยังมีการงาน ยังมีการกระทำ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราจะสังเกต หรือว่า เราจะรู้ว่า คนยังมีชีวิตอยู่ก็ดูที่ว่า เขายังมีกายกรรม มีบทบาทของกายกรรม มีบทบาท ของวจีกรรม มีบทบาทของมโนของใจ มีบทบาทของใจ กายยังทำงานอยู่ วาจายัง ทำงานอยู่ หรือใจยังทำงานอยู่

ถ้าเผื่อว่ากายก็ไม่ทำงานแล้ว วาจาก็ไม่ทำงานแล้ว ใจก็ไม่ทำงานแล้ว หมดชีวิต ตายแหงๆ ตายแน่ๆ เพราะฉะนั้น คำว่าชีวิต คือบทบาทของกรรม ๓ นี้ชัด เพราะฉะนั้น เราควบคุม ชีวิตง่ายขึ้นแล้ว เรารู้ชัดแล้วว่า ชีวิตคืออะไร เราก็ควบคุมกรรม ๓ ของเรา ควบคุมกาย สังวร สำรวมกาย กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สำรวมสังวร ทุกอิริยาบถ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงได้รวบรวมคำสอนเอาไว้ว่า กุศลกรรมบถ ๑๐ หรือ อกุศลกรรมบถ ๑๐ เพราะฉะนั้น กรรมที่จะดี ก็คือ กุศลกรรมที่จะไม่ดีก็คือ อกุศล รู้ความหมาย รู้สภาพ ที่จริงว่า กุศลกับอกุศลต่างกันอย่างไร แล้วเราก็พึงมาสำรวมสังวร ถ้ามันเป็นไปเพื่อ ปาณาติบาต นี่มันไม่ดีแล้วนะ มันเป็นไปเพื่ออทินนาทาน ไม่ดีแล้วนะ มันเป็นไปเพื่อ กาเมสุมิจฉาจาร ไม่ดีแล้วนะ นี่กุศลกรรม บทตัวกาย ตัววาจา มันมุสา มันโกหก มันพูดปด ไม่ดีแล้วนะ มันพูดหยาบ มันพูดส่อเสียด มันพูดเพ้อเจ้อ นี่ วจี ๔ มันเป็นไปเพื่อความเพ่ง ในความโลภจัด อภิชฌา มันมีพยาบาท มันมีความแค้นเคือง อาฆาต มันมิจฉาทิฏฐิ ไม่ดีแล้ว นะ เป็นอกุศล

อกุศลกรรมบถ ๑๐ อันที่ ๓ ก็เป็นเรื่องของใจ ทางมโน ทางใจ ต้องอ่านเรื่องของใจออกว่า เป็นอย่างนี้ไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น มาควบคุม กุศลกรรมบถ อกุศลกรรมบถ เราไม่ให้เกิด อกุศล ให้เกิดแต่ลักษณะกุศลให้ได้ เสมอๆ หลักใหญ่ๆกุศลกรรมบถ ๑๐ หรือ อกุศล กรรมบถ ๑๐ นี่แหละ พึงปรับปรุง พึงรู้สึกตัวทั่วพร้อม แล้วทำให้ตนอย่างแท้จริง และ พยายามทำความเข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งขึ้น แค่ว่าปาณาติบาต แค่ว่าอทินนาทาน แค่ว่า กาเมสุมิจฉาจาร มันไม่ใช่ตื้นหรอก เดี๋ยวเย็นนี้ฟังกันต่อ วันมาฆบูชา ก็จะทะลวง ตรงนี้ ต่อไปอีก ในเย็นนี้ หรือว่าลักษณะของศีล ลักษณะศีล ๕ รวมอยู่ในนั้นเสร็จแหละ มันสัมพันธ์กัน ทั้งนั้นแหละ เกี่ยวโยงกันหมด

ถ้าเราเข้าใจอย่างนี้ เราก็รู้ว่ากรรมนี่นะ เป็นตัวที่จะทำให้คนประเสริฐ หรือไม่ประเสริฐ เจริญ หรือไม่เจริญ อารยะ หรืออริยะ แปลว่า เจริญ หรือแปลว่าประเสริฐ คนเราคงเกิดมา ไม่มีใครหรอกนะ คงคิดว่าตัวเองนี้ อย่าเจริญมันเลยโว้ย เกิดมานี่ให้มันต่ำๆ ลงไปเรื่อย เหอะ อย่าประเสริฐเลย ชีวิตนี้ทำให้มันประสาทก็แล้วกัน อย่าให้มันประเสริฐเลย ใครคิดอย่างนั้นบ้าง คงไม่มีนะ จะมีก็คือ คนประสาทแล้ว ฮึ คนที่ประสาทแล้ว ถึงจะคิด อย่างนั้น เพราะฉะนั้น คนธรรมดาๆ ปรกติๆ สามัญที่ไม่เป็นอะไร วิปลาสไปแล้ว นี่ก็ต้อง คิดอย่างนี้ ต้องทำตัวให้มีความประเสริฐ ให้มีความเจริญเป็นธรรมดา เพราะเรารู้ และ เราก็จะมานั่งคิดเฉยๆ ว่าเราอยากจะประเสริฐอย่างไร อย่างจะเจริญอย่างไร เอาแต่คิด มันจะไปได้เรื่องอะไร มันต้องทำจริงๆ มันต้องพยายามฝึกหัดอบรม สังวร หลักการ มีอยู่แล้ว วิธีกาารความหมายมีอยู่แล้ว ประพฤติให้ตรง ย่นย่อลงไปมรรคองค์ ๘ นี่ ก็คือลักษณะกรรมบถ ๑๐ ลักษณะที่จะควบคุม กาย วาจา ใจ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ให้ตลอดชีวิต ให้เป็นชีวิตประจำวัน อาชีวะให้ตลอดชีวิตประจำวัน เรามีการสังวรสำรวม ทั้งสภาพ ๓ คือ กาย วาจา ใจนี่ตลอดเสมอ เพราะกัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กัมมัง สัตเต วิภชติ

เพราะกรรมนั่น เป็นของๆคุณ การกระทำนั่นเป็นของๆตน การงานเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การงานดี การงานชั่ว ตนก็เป็นผู้รับผลวิบาก เป็นทายาท กัมมทายาโท เราเป็นทายาท รับมรดกอันนั้นของเรา เราทำชั่ว ชั่วของเรา เราทำดี ดีของเรา เพราะฉะนั้น ใครเคยไปเรียน อาตมาว่า อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของตัวของตน อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเรา พูดให้มันถึงก็ อะไรๆ ก็ไม่ใช่ ของกู อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของกู ตัวกู ว่าไปโน่นเลย

พระพุทธเจ้าท่านสอน กรรมนั่นแหละของเอ็ง ฮึๆ มันค้านแย้งกันอยู่ในที ที่จริงมันไม่ค้าน นะ ความหมายว่า อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของเรานี่นะ เป็นการปล่อยวาง ที่เป็นผลสำเร็จ ไม่ใช่ ภาษา และเข้าใจเอาว่า เอ้อๆ ก็ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ความเข้าใจอย่างนั้น แต่เป็นการกระทำ เป็นการประพฤติ จนกระทั่งคุณทำดี ดีมันก็ต้องเป็นของๆเรา กัมมัสสโกมหิ ใช่ไหม เราทำดี ก็ต้องเป็นของๆ ตน กัมมัสโกมหิ พระพุทธเจ้าสอนอย่างนั้นจริงๆนี่ กัมมัสสโกมหิ กรรมเป็น ของๆตน กุศลกรรมอันใด เราทำก็เป็นของๆเรา อันใดชั่วก็เป็นของๆเรา แต่ เราไม่ยึดต่างหาก เราไม่ไปทำใจในใจให้เข้าใจผิด หรือไม่ทำอาการไปยึด ว่าเป็นของๆเรา อันนี้ต้องมาฝึกเอง ฝึกจนกระทั่งจิตของคุณนี่ ไม่ติด ไม่ยึด เลยว่า นี่ดี ก็เป็นของๆเรา แท้ๆนี่แหละ แต่เราก็ไม่หลงติดดีนี้เป็นของๆเรา ไม่หลงติดไม่เอาดีนี่เป็นอภินิเวสาย ไม่เอามาเป็นบ้านเป็นเรือนอย่างยิ่ง

อภินิเวสนี่ แปลว่าเรือน แปลว่าที่พัก ที่อยู่อย่างยิ่ง ขุดหลักปักแหล่งลงไปตรงนี้แหละ ฉันจะอยู่มันตรงนี้ ฉันจะยืนหยัดมันตรงนี้นะ ไม่ถอด ไม่ถอนละ ความหมายมันอย่างนั้น เราจะไม่ทำจิตอย่างนั้น เราจะทำจิตปล่อยอยู่ๆ มีวิโมจยัง มีปฏินิสสัคคะ

วิโมจยัง แปลว่า ปล่อยอยู่ ทำใจปล่อย ทำอย่างไร ฝึกจริงๆ ใจเราต้องปล่อยจริงๆ ระวังไว้นี่ เอ้อ แม้เป็นเรา ไม่ใช่ของๆเรา ก็อย่าไปยึดว่าเป็นของๆเราเลย มันเป็นของๆเรา โดยสัจจะ กัมมัสสโกมหิ มันเป็นของๆเราโดยสัจจะ แต่เราอย่าทำใจในใจ โยนิโสมนสิการ ทำใจให้แยบคาย ทำใจให้แยบคาย ก็หมายความว่า เราจะต้องรู้มนสิการ กาละก็คือ กรรมนี่แหละ การงานที่ทำใจของเราให้ได้ ทำใจให้มันอย่างละเอียดลออ แยบคาย โยนิโส ให้ละเอียดลออ ให้สุขุมประณีต ให้มันถูกสภาพเลยว่า การทำใจ อาการที่มันเป็น อย่างไร อาการอิสระคือ เป็นของตัวของตนนี้เป็นอย่างไร แต่กรรม กายกรรม วจีกรรม ก็ทำดีนั้นอยู่ ทำเมื่อไร ก็เป็นกรรมของๆตน เป็นมรดก รับมรดกของกรรม เราเป็นทายาท ของกรรมนั้น อยู่ตลอดเวลา เรายังเป็นทายาท ถ้าเรายังเกิดมามีรูปนามขันธ์ ๕ ยังมีสภาพที่มีวิบาก ยังมีผลวิบาก ยังมีสิ่งที่เกิดต่อๆตามๆอยู่นะ มันไม่มีใครแย่งได้ แบ่งให้ใครก็ไม่ได้ ไม่มีใคร แย่งได้ ไม่มีใครกำหนดว่าให้เป็นของผู้อื่น เป็นของของตน มันจริงอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ความหมาย ๒ สภาพนี้ บอกอะไรๆ ก็ไม่ใช่ของตน อะไรๆ ก็ไม่ใช่ของกู กรรมนั่นแหละ ของเอ็ง จำไว้ เอ็งทำชั่ว ก็เอ็งนั่นแหละ จะไปทิ้งที่ไหน เฮ้ยไม่ใช่ของกูเว้ย ไอ้โจรทำชั่ว ไม่ใช่ของกู ของเอ็งๆ ถึงจะทำใจในใจอย่างไรนั้น โยนิโสมนสิการ จะทำว่า ไอ้นี่ไม่ใช่ ของเราละ มันก็ต้องออกบทบาท

ตราบใดที่คุณยังมีรูปนามขันธ์ ๕ เหมือนพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านทำกุศล ท่านหยุด อกุศล เมื่อท่านทำกุศล ท่านหยุดอกุศล ขนาดหยุดอกุศลมากกว่ามากแล้วนะ พระพุทธเจ้า บำเพ็ญชีวิตเพื่อทำดี ตั้งแต่ท่านตรัสรู้มา จนกระทั่งท่านเป็นพระโพธิสัตว์ มหาโพธิสัตว์ ไม่รู้กี่กัป พระพุทธเจ้านี่ อย่างน้อยก็บำเพ็ญถึงยี่สิบอสงไขยแสนมหากัป พระพุทธเจ้าบำเพ็ญ สายปัญญา ปัญญาธิกะ จะได้บรรลุเป็นพระพุทธเจ้านี่ ใช้เวลาถึง ยี่สิบอสงไขยแสนมหากัปนะ พระพุทธเจ้า อสงไขยคูณแสนนะ เหมือนล้าน ล้านนี่ คูณกันไป อสงไขยแสนมหากัป ไม่ใช่กัปธรรมดานะ มหานะ ไม่ใช่กัปเล็ก มหานี่กัปใหญ่ ไม่ใช่กัปสั้นๆ แค่ๆ วัฏฏะ เล็กๆสั้นๆ ไม่ใช่ มหากัป แค่บำเพ็ญโพธิสัตว์ ยังใช้เวลาถึง ยี่สิบอสงไขยแสนมหากัป นี่สายปัญญาธิกะ ยังสั้นนะ ถ้าสายศรัทธาทิกะ ละก็ สี่สิบ อสงไขยแสนมหากัป ๒ เท่าตัว สายศรัทธา สายวิริยาธิกะ สายที่เอาแต่ความเพียร ประเดี๋ยวก็ เฮ้อ ไอ้นี่ก็ดี เอ๊า ไม่ค่อยเข้าท่า เอานี่ใหม่ ขยันนะ เพียรจังเลย แต่ ศรัทธา ก็น้อย ปัญญาก็ไม่ค่อยดี เพียรอยู่นั่น แปดสิบอสงไขยแสนมหากัป กว่าจะได้เป็น พระพุทธเจ้า

แม้ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ใช้เวลาบำเพ็ญเมื่อรู้แล้ว คนเราก็ย่อมต้องตั้งใจ แม้ขนาดคุณ ก็ยังพยายามตั้งใจจะทำกุศลใช่ไหม จะลดอกุศลอยู่เรื่อย เมื่อเป็นผู้ที่มี พลังใจดี สูง เป็นพระอริยะ เป็นพระโพธิสัตว์สูงขึ้นมา ย่อมมีอินทรีย์พละแก่กล้า ที่จะไม่ ทำชั่ว ได้มากกว่าที่จะทำชั่วใช่ไหม ย่อมทำดีได้มากกว่าสิ่งที่จะทำสิ่งที่ไม่ดี แน่นอน บำเพ็ญไป ตั้งแต่ไม่รู้กี่อสงไขย คิดดูซิ นี่นะ เราต้องทำแต่ดีๆๆๆ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว อกุศลวิบาก ยังตามมาทันเลย ยังตามมาเอาด้วย ยังตามมาไล่ มาเล่นงานด้วย ดังจะอ่าน ให้ฟังต่อไปนี้ ลองฟังดู พระพุทธเจ้าท่านมีอกุศลวิบากอะไรบ้าง นี้เป็นเรื่องที่บันทึกมา ในพระไตรปิฎก แล้วก็ฟัง แล้วก็มีหลักฐานด้วยว่า มันมีจริงในเรื่องที่เล่ามา บุพกรรมของ พระพุทธเจ้านะ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เรากระทำแล้วของเรา เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่า เป็นวัตรรูปหนึ่ง แล้วได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก พระพุทธเจ้า เห็นภิกษุรูปนั้น นั่นแน่ นั่งอยู่ในป่าเคร่งเลยปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เลยเอาผ้าเก่า ไปถวาย เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็น พระพุทธเจ้า ในกาละนั้น ผลแห่งกรรม คือ การถวายผ้าเก่า ย่อมอำนวยผลให้เป็น พระพุทธเจ้า แค่ถวายผ้าเก่า อำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้าได้ นี่คือวิบากกรรม ถ้ายิ่ง ถวายผ้าใหม่ ได้เป็นพระพุทธเจ้าอ่องๆเลย

ในกาลก่อน เราเป็นนายโคบาล นายโคบาลคือคนเลี้ยงวัว ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โค กำลังดื่มน้ำขุ่น จึงห้ามมัน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ คือ ภพที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ท่านจะได้เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ หรือพระพุทธเจ้า และภพหลังสุดนี้ แม้เรา จะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา เคยอยากดื่มน้ำ แล้วก็ไม่ได้น้ำดื่ม ตามปรารถนา เป็นวิบากมา นี่เป็นวิบากเล็กๆ น้อยๆ ที่มันทำอะไรไม่มากไม่มาย แต่มีผล ส่งได้สูง หรือตามมาแม้แต่วาระที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว มันยังมีกระเส็นกระสาย มีหนักมีเบาตามมาเลย นี่ อย่างนี้ เป็นต้น

เรื่องต่อไป ในกาลก่อน เราเป็นนักเลง ชื่อ ปุนาลิ ได้กล่าวตู่ พระปัจเจกพุทธเจ้า ชื่อว่า สุรภี ผู้ไม่ประทุษร้ายตอบ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน นานนี่ อย่าไปนับกันเลย ห้าร้อยชาตินี่น้อยนัก มันยังไม่นานเท่าไร ๕๐๐ ชาติ ๕๐๐ ชาตินี่ธรรมดา การ เกิดมารับใช้กรรมนี่ มันเรื่องเล็กน้อย ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส หลายพันปี เป็นอันมาก ด้วยผลแห่ง กรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา นี่ สำนวนของเขาว่าอย่างนั้น หมายความว่า เมื่อเกิดเป็น พระพุทธเจ้านั้น นางสุนทริกายังมาเที่ยวได้กล่าวตู่ท่านอยู่ มากล่าวตู่ ในเรื่องไม่เป็นจริง ในเรื่อง เลวๆร้ายๆอะไร เพราะท่านไปกล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าแท้ๆ เท่านั้นเอง ยังมี วิบากตามมาไม่รู้ตั้งเท่าไรๆ ทยอยลงไปตกนรกตั้งหลายพันปีอีกตั้งนาน หลายรอบแล้ว ยังมีเศษโดนนางสุนทริกามากล่าวตู่อีก อาตมายังไม่ได้บรรลุ เป็นพระพุทธเจ้านะ ไอ้ที่โดน เขากล่าวตู่อยู่นี่ เรื่องจิ๋ว ไม่ใช่บิ๊กจิ๋วนะ เรื่องจิ๋วๆ จิ๋วจริงๆ ไม่ใช่บิ๊กจิ๋ว

ต่อไป

เพราะการกล่าวตู่พระเถระนามว่า นันทะ สาวก ของพระพุทธเจ้าผู้ครอบงำ อันตราย ทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมาก ด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นอก จากจะได้รับการกล่าวตู่เป็นอันมากแล้ว ยังมีผลกรรมที่เหลืออีกนะ ตกทอดมา จนถึง ในภพที่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ในภพที่จะตรัสรู้ ที่เป็นสมณโคดม นางจิญจมานวิกา มากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่จริง

หมัดหนัก นางจิญจมารวิกาเมื่อกี้นี้ก็สวดไปแล้วนี่ เอาไม้ใส่ท้อง มาทำเป็นท้องโต เหมือนจะไปเล่นหนังจีนเลยนะ หนังจีนนี่ประเดี๋ยวเขาท้อง เขาก็เอาอะไรใส่ท้อง เต้นเล่าๆ ว่าจะเป็นผัวฉันอย่างโน้นอย่างนี้ เต้นไปเต้นมาก็เลยไม้หลุดเอง เขาก็เลยจับได้ว่า หลอก พระพุทธเจ้าไม่ว่าอะไรนะ ตามเรื่องใครก็คงได้เคยอ่านมาบ้าง สำหรับคนที่เคยอ่านมา ท่านไม่ว่าอะไร ท่านบอกว่า เอ้อ น้องหญิง มีเธอกับเราสองคนเท่านั้นนะรู้กัน จริงไม่จริง คนก็ยิ่งงงใหญ่ ก็ใช่นะสิ ก็คุณสองคนนะสิ ใครจะมารู้กับคุณละ ทำกันท้องแล้วละ ใคร จะไปรู้กับคุณล่ะนะ มันยิ่งไปกันใหญ่เลย ฟังแล้วมันไปได้ ๒ แง่ แง่ ๑ ว่าจริง ว่าถูกตู่ นี่มัน ไม่ใช่ตู่ นี่มันเรื่องจริงนะเนี๊ยะ อีกแง่หนึ่งว่า เอ้อ มันไม่จริงหรอกนะ คนมันก็ต้องรู้กัน สองคน จะมารู้ร่วมได้ยากใช่ไหม เอาไปเอามา มันโป้งมาเอ็ง อย่างนี้นะ เป็นแต่แค่เรื่อง กล่าวตู่ แค่พระปัจเจกนะ นี่ กล่าวตู่พระเถระ นามว่านันทะ เท่านั้นนะ

เอาอีกเรื่องต่อไป

เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการบูชา สอนมนต์ให้กับมานพ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิมาก มาในสำนัก ของเรา

ขนาดแค่ฤาษีนะ ยังไม่ได้เป็นผู้เข้าทางอะไร เท่าไหร่หรอกนะ ผู้ไม่ประทุษร้าย แต่เขาก็ ไม่ประทุษร้ายใครหรอก โดยได้ บอกกับพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้นะ มักบริโภคกาม แน่ ไม่ชัดอย่างนี้เลย ระวัง เฮอะ ถ้าใครปากเปราะ อาตมาก็เคยพูดนะ แต่ว่าอาตมาไม่มี อกุศลเจตนาในจิตจริงๆ อันนี้ดูยากว่าเรากล่าวแล้วไปว่าเขา จะมีกุศลเจตนาหรือไม่ ต้องอ่าน ระวังใจตนเอง อ่านเรา เอ๊ เราพูดนี่ เพราะฉะนั้น จึงต้อง ตรวจสอบก่อนอ่าน ตรวจใจก่อนว่า เอ้ เราจะพูดอันนี้ไปนี่ ไปติเตียนผู้อื่น ว่ากล่าวตู่คนอื่น เราว่าด้วยอกุศลจิต หรือ กิเลส ตัณหาประสมการพูดออกไป หรือ ถ้ามีกิเลสตัณหาผสมการพูดนั้นออกไป ย่อมเป็น อกุศลวิบากแน่นอนตามสัจจะ แต่ถ้าพูดออกไป จะด่าใครว่าใคร หรือจะ ติเตียนใคร แต่ไม่ได้มีอกุศลจิต ไม่ได้มีกิเลสตัณหาผสม นอกจากไม่มีกิเลสตัณหาแล้ว ย่อมมีกุศลเจตนาด้วย มีจิตปรารถนาดีให้เขา ช่วยให้เขารู้ตัว เป็นวิธีการ จะบริภาษ บริภาษ แปล ว่าด่า จะดุ จะแรงอะไรก็ได้ ซึ่งประมาณว่า เออ ถ้าขนาดนี้ ด่าขนาดนี้ ดู ขนาดนี้ ขนาดนี้ทำเบาขนาดนี้ พูดอย่างไร ก็แล้วแต่ศิลปวิทยา

เพราะฉะนั้น มันจะอยู่ที่ตรงนั้นนะ อยู่ที่ความจริงของความจริง ไม่ใช่อยู่ที่แก้ตัวนะ คุณเอง คุณพูดไปแล้วนี่ ว่าเขาไปนี่ ด่าเขาไปนี่ หรือติเตียนเขาไป ตู่เขาไป โดยมีกิเลสผสม แล้วคุณก็บอกคนอื่น ฉันไม่มีกิเลสหรอก ฉันด่าคุณ หมายดีนะ เจตนาดีนะ ฉันไม่ได้ด่า ด้วยกิเลสนะ สองบาป ได้สองบาป คือ บาปหนึ่ง มันมีกิเลสจริง รู้หรือไม่รู้ก็ตาม ใช่ไหม รู้หรือไม่รู้ก็ตาม มีกิเลสจริง นะ บาปหนึ่ง บาปสอง เมื่อรู้อยู่แล้ว โกหกเขาซ้อนลงไปเลย เสร็จอีก เป็นสองบาป ก็มันรู้อยู่แล้วว่าเรามีกิเลส ซัดเขา ไอ้นี่ แก้แค้นมันหน่อยเถอะ ใส่เลย สะใจไหมล่ะ เสร็จแล้ว เขามาทักเขามาว่า เขามาต่อว่า แก้ตัวเป็นไฟเลย แก้ตัว ว่าเปล่านะ ฉันไม่ได้ด่าคุณด้วยเจตนาร้ายหรอก ฉันเจตนาดี ฉันไม่ได้มีกิเลสอะไร ไปว่าคุณหรอก สองบาป หาบไปเลย หาบไปเลย สองบาป ระวังนะ สัจจะมันคือสัจจะ ระวัง เอาละ ขยายความแล้วก็ต่อ

เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกับพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้ มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอกเท่านั้น พวกมานพก็เชื่อฟัง

ครั้งนั้น มานพทั้งปวงเที่ยวไปในภิกษาในสกุลฯ

อันนี้ภาษาสำนวนของบาลี คือ เที่ยวไปหาอาหาร ในหมู่ชน คนในหมู่บ้าน มานพพวกนั้น เที่ยวไปภิกษาในสกุล ฯ คือไปหาอาหาร ไปบิณฑบาตก็ได้ ถ้าเขาใช้วิธีบิณฑบาต ก็คือ ไปขอ อาหารจากชาวบ้าน

พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีผู้นี้มักบริโภคกาม ฤาษีพวกนี้มัก บริโภคกาม ไปเที่ยว ประกาศ โพนทะนาเขา โพนทะนาฤาษีนี่ คือพอไปพูด ไป บอกแล้ว ลูกศิษย์ของ ฤาษี เชื่อฟัง ความหมายในเรื่องนี้ ลูกศิษย์ฤาษีเชื่อฟัง เข้ามาอยู่เป็นพวกกับพระพุทธเจ้า ตอนนั้นพระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ เป็นพราหมณ์คงแย่งลูกศิษย์เหมือนกันแหละนะ หาบริวาร ก็ได้ลูกศิษย์ของฤาษีมา ลูกศิษย์ก็ไปด้วยกันก็พราหมณ์สุตวา นี่เป็นพราหมณ์ ชื่อสุตวา ก็พาลูกศิษย์ตกไป หาภิกษาหาร หาอาหาร ประชาชนในหมู่บ้าน ไปโฆษณาต่อ ในหมู่บ้าน ฤาษีนั้นนะ พวกลูกศิษย์ก็บอก มาโฆษณาด่าอาจารย์เก่า ฤาษีพวกนี้นะบริโภค กาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนาง สุนทริกา

นางสุนทริกานั่นเอง เป็นคนกล่าวตู่ภิกษุ ๕๐๐ นั้นกล่าวตู่หาเรื่อง คนนี้ตู่ว่าอย่างนั้น โอ้โห เก่งนะ กล่าวตู่คนตั้ง ๕๐๐ นี่ ตู่เรื่องอะไรมั่งละ โอ๊ มันเป็นไปได้นะ พอมีงานเพื่อกล่าวตู่คน หนอ นางสุนทริกานี่

ในกาลก่อน เราได้ฆ่า น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบดทับด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวฑัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งมา กระทบ นิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด

นี่คือ วิบากที่จะต้องโดน โดนพระเทวฑัตกลิ้งหิน มาโดนพระบาทห้อเลือด ก็เพราะว่า ในชาติปางหนึ่ง ที่ฆ่าน้องชายต่างมารดา น้องชายคนละแม่ เลยเอาไปอัดในซอกเขา เอาหินทุ่มตาย

ในกาลก่อน (อีกเรื่องหนึ่ง) เราเป็นเด็ก เล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา(ดัก)ไว้ทั่วหนทาง แกล้งเสียอีก เป็นเด็กซนนี่นะ เอาไฟไปดักไว้ทั่วหนทางไหน ดักเอาไฟก่อกอง พระปัจเจกพุทธเจ้าให้ลำบากนั่นนะ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูก ไฟไหม้ อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลเหลือแห่งกรรมนั้น นั้นนะยังไม่หมดนะ มีผล เหลืออีก ขนาดไฟไหม้อยู่ในนรก แล้วยังไม่พอ ด้วยผลเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้น ยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเรา ทั้งสิ้นอีก เพราะกรรมยังไม่พินาศไป ปางที่เป็น พระพุทธเจ้า ยังโดนไฟไหม้หนังที่เท้าของท่านอีก เรื่องนี้ก็ไม่ค่อยได้พูดกันนัก แต่ว่า ท่านยังโดน เคยโดนไฟไหม้ที่เท้าว่างั้นเถอะ ในครั้งหนึ่ง

ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้า แน่ ขี่ช้าง เข้าไปจับพระปัจเจกพุทธเจ้าองค์หนึ่ง ผู้อุดมมุนี แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ขยายความอีก พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนี เป็นคำขยาย อุดมมุนี เป็นพระ เป็นผู้ประพฤติธรรม มุนี ผู้ประพฤติธรรม อันสูงอยู่พอสมควร สมควรอุดม แม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบาก แห่งกรรมนั้น ช้างนาฬาคีรี อันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ

แหม นี่แปลเป็นสำนวนนี่ คือ เขาเกรงใจพระพุทธเจ้า เขาแปลเขาใช้สำนวน ว่า ช้างนาฬาคีรี อันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปคอกเขาเบื้องหน้า ผู้ประเสริฐ หมายความว่า พระพุทธเจ้า ช้างนาฬาคีรีมันวิ่งเข้ามา หมายที่จะพิฆาต พระพุทธเจ้านั่นเอง ตามประวัติ เราก็รู้แล้ว นี่สำนวนเขาก็แปลมา จากบาลี ดูแล้วก็ฟังยากๆอยู่ สรุปง่ายๆ ก็คือ ประวัติ นั่นแหละ ประวัติช้าง นาฬาคีรี ที่พระเทวฑัตเอามามอมเหล้า ขณะตกมันด้วยนะ แล้วก็เอาเหล้าแถม ให้กินเข้าไปอีก แหม มันคงจะน่าดูเลยนะ ตกมัน ก็ร้ายแรงอยู่แล้ว ยังกรอก เหล้าเข้าไปอีก ไม่รู้เรื่องเลย เอาเหล้ากรอกเข้าไปอีก มุ่งมาทำร้าย พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้าใช้พระเมตตา นี่เป็นวิบากตั้งแต่ตอนที่เป็นนายควาญช้าง ไปเที่ยวได้ขี่ช้าง ไสช้างไปจับพระปัจเจกพุทธเจ้ามัด

ในกาลก่อนเราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบาก แห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือ แห่งกรรมนั้น บัดนี้ ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป

ในภพหลังสุด พระเทวฑัตจึงชักชวน นายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา เพราะอย่างนั้นเลยเป็นผลแต่ก่อน เป็นนายทหารราบเที่ยวได้ฆ่าใครๆมามากๆ เที่ยวได้เป็นแม่ทัพ ไปฆ่าเขา ด้วยหอก ตอนนี้มาโดนนายขมังธนู พระเทวฑัตใช้นาย ขมังธนูมาดักยิง มา ดักยิง แต่ก็ไม่ถูก ก็ไม่ตาย แต่ก็โดนน่ะ หวาดเสียวไหมละ ขนาด พระพุทธเจ้า นะ ถ้าเป็นเราคงตายแล้ว ไม่มีฤทธิ์ อำนาจของกุศลกรรมช่วยไว้ หรอกนะ ถ้า เป็นเราก็คงไป

ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก (ลูก) ของชาวประมง อยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลาย ฆ่าปลา แล้วก็เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เรา ในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน โดยพระเจ้าวิฏฏุภะ ฆ่าแล้ว

แหม สำนวนนี้ มันแปลออกมา นี่พยัญชนะต่อพยัญชนะออกมาเลยนะ ไม่เกลาสำนวน เลยนะ ไม่เอ็นดูคนอ่านเลย หมายความว่า ก็เกิดปวดหัว นี่เมื่อเห็น เจ้าศากยะนี่ ถูกเบียดเบียน โดยพระเจ้าวิฏฏุภะ ฆ่าบ้าง อะไรบ้าง อะไร ต่างๆนี่ พวกหมู่เจ้าศากยะ ทั้งหลาย ถูกเบียดเบียน ถูกทำร้าย ถูกรบราฆ่าฟัง มันมีสงครามกันระหว่าง พระเจ้า ศากยะ กับพวกวิฏฏุภะ ฆ่าล้างโคตร วิฏฏุภะ นี่นา ไม่เคยได้ยินวิฏฏุภะ เป็นลูกพระเจ้า อชาติศัตรู ซึ่งเป็นลูกของนางคนใช้ด้วย ใช่ไหม เป็นลูกของนางทาสีด้วย ถูกปลอมตัว ส่งมา นั่นนะ เสร็จแล้ว ก็ฆ่าล้างโคตรเลย อาฆาตมาก เสร็จแล้ว พระพุทธเจ้านี่ เห็นเหตุการณ์นี้ ปวดหัว นี่แค่ว่าท่านปวดหัว ซึ่งธรรมดา ท่านควรจะแข็งแรง ใช่ไหม ทีนี้ได้รับวิบาก อันนี้ พระพุทธเจ้าก็ยังมีการกระเทือน ปวดหัวได้ ปวดหัวเมื่อเห็น เจ้าศากยะทั้งหลาย ถูกเบียดเบียน โดยพระเจ้าวิฏฏุภะ ฆ่าแล้ว ฆ่าคนของพระเจ้า ศากยะ ทั้งหลาย แต่ท่านก็ตามหาวิบากของท่าน ได้ว่า อ้อ เป็นวิบากเพราะท่าน ไปเที่ยวได้แต่ก่อนโน้น เป็นวิบากเก่า ที่ทำให้ ถึงขนาดจะต้องกระเทือนถึงความอ่อนแอ หรือว่าเป็นสภาพ ที่มันไม่สมบูรณ์ ตรงที่ว่า อ้อ นี่ไปทำบาปทำกรรมไว้แต่ปางโน้น ปางที่ เป็นเด็ก ก็ไปเห็น เขาฆ่าปลาเข้า ดีใจ ระวังนะ ไปเห็นเขาฆ่าปลาเท่านั้น ดีใจแค่นั้น เป็นอกุศลวิบาก ไปดีใจ ได้เรอะ คนฆ่าสัตว์ ไปส่งเสริม

เพราะฉะนั้น พวกที่ แหม ไปดูเขาใช้ไก่ตีกัน มันดีนะ มันเจ็บจะตาย ไปดีใจ จนกระทั่ง มันฆ่ากันตายเลย ไก่มันตีกันตาย ปลามันกัดกันตาย วัวมันขวิดกันตาย แหม พวกเม็กซิโก ที่มันฆ่าไอ้กระทิงนั่นน่ะ โอ้พวกนี้ คงลงนรกกันน่าดูเลยนะเนี่ย ไม่ใช่โรคปวดหัวหรอก โรคหัวบวมนะ มันน่าจะเป็นวิบากที่น่าดูเลยนะ เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึงนะ คุณก็คงเชื่อ พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้โกหกหรอกนะ เหล่านี้ เป็นเรื่องที่เราคิดไม่ถึง ท่านเอามาเล่า บางเรื่องมันเหมือนเล็กน้อย ที่ท่านเอาเรื่องเล็กน้อยมาเล่าให้ฟังนี่ เรื่องหยาบๆ ไม่ต้องเล่า ใช่ไหม เรื่องหยาบๆ ผลวิบากมันต้องชัดอยู่แล้ว ทำหยาบๆนะ ไปฆ่าไปแกง ไปทรมานคน ไปทำโน่น ทำนี่มันบาป บาปหยาบๆ กรรมหยาบๆ ไม่ต้องห่วงนี่ มันก็ต้องมีวิบาก ที่ร้ายแรงกว่านั้น นี่ขนาดวิบาก เล็กๆน้อยๆ แค่ไปดีใจ ที่เห็นเขาฆ่าปลา เอ๊อ ดีจริง แค่นี้ แค่นี้ ก็ยังเป็น ความอ่อนแอของชีวิตได้ถึงขนาดนี้ มีวิบากถึงขนาดนี้

เพราะฉะนั้น ไอ้ที่จะต้องมาขาหัก ขาเป๋ ถูกกับระเบิด ตูมตาม สบายใจได้เลยว่า ไปทำชั่ว มากกว่านั้นแยะ ไปทำวิบากอะไรมา เป็นอกุศลวิบากกว่านั้นแยะ ไม่ต้องไปเสียใจนะ ตั้งต้นใหม่ สร้างกรรมดีไป จำไว้ จำไว้นะ พบกันแล้วนี่ ได้บอกแล้วนะ เราได้บอกเธอแล้ว ถ้าไม่เชื่อฟัง ช่วยไม่ได้ ได้บอกแล้วนะ ถ้าไม่เชื่อก็ไม่รู้ ใครทำก็ของใคร ทีนี้ต่อไป เรื่องต่อไปบ้าง

เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลาย ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่า ผุสสะ ตอนนั้น สมัยนั้น พระพุทธเจ้าชื่อผุสสะ มีพระสาวกเยอะแยะ พระเจ้าองค์นี้ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็น พระพุทธเจ้านี่นะ ในสมัยที่พระพุทธเจ้าผุสสะ ท่านก็ได้เที่ยวไปด่าพระ ไปบริภาษ พระสาวก ว่าท่านทั้งหลาย จงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย แน่ไปว่า ด่าพระสาวกทั้งหลาย กินแต่ข้าวแดง ระวังนะพวกคุณ กินข้าวกล้อง ถั่ว งา ระวัง บริภาษพระสาวก แต่ยังไม่มีพระสาวกของพระพุทธเจ้า มีพระสาวกมา ไม่ใช่พระสาวก รุ่นแรกนะ ท่านไปว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ผุสสะ ปางนั้นนะ ไปว่า เขาว่า ท่านจงเคี้ยวจงกินแต่ข้าวแดง อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่ง กรรมนั้น เราอัน พราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดง ตลอด ๓ เดือน สมัยเป็น พระพุทธเจ้า ตอนนั้น ที่ท่านอยู่เวรัญชราไง ที่ พราหมณ์เขานิมนต์ท่านไป ที่เกิดเป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ตอนนั้นเกิดทุกขภิกขภัย อดอยากข้าวยากหมากแพง เลยเล่นข้าวแดง ตลอด ๓ เดือนเคี้ยวข้าวแดง มีในประวัติ กลั้วด้วยน้ำผักกาดดอง กินข้าวแห้งตาก กับ น้ำผักกาดดอง เรื่องต่อไป

ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ ที่หลัง (คือปวดหลัง) ได้มีแก่เรา แล้ว คงเป็นกรรมการมวย นั่นนะ ไปส่งเสริม มวยชกกันก็เลยไปเป็นกรรมการมวย เอา เอาเข้าไป ซัด เอาเข้าไป เป็นกรรมการมวย แค่นั้นแหละ เลยมีวิบากทำให้ท่านปวดหลัง ท่านปวดหลัง เป็นวิบาก และคนที่ไม่ใช่ว่า ไปเป็นกรรมการห้ามมวยแล้วก็เชียร์ จัดเลยนะ เป็นโปรโมเตอร์ เป็นโปรโมเตอร์หาเงิน มันเลย อะไรอย่างนี้ แน่นอน ทีนี้ไม่ใช่ปวดหลัง ปวดหมดทั้งตัว

เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธ จึงมีแก่เรา

เพราะว่าท่านไปทำเป็นหมอ ชีวิตปางหนึ่ง ท่านเป็นหมอรักษาโรค ไปถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร เขาผิด ถึงตาย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ก็เลยเป็นโรคปักขันทิกาพาธ เป็นโรคที่อาเจียน เป็นเลือด พระพุทธเจ้าท่านอาเจียนเป็นเลือดตาย พร้อมปรินิพพาน อาเจียนเป็น เลือดตาย ปักขันทิกาพาธ พระสารีบุตร กับพระพุทธเจ้าตายด้วยโรคเดียวกัน โรคปักขันทิการพาธ อาเจียนเป็นโลหิต เรื่องต่อไปเรื่องสุดท้าย

เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกับพระสุคต พระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จะมีโพธิมณฑล แต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง

ไปว่าพระพุทธเจ้า ว่าเฮ้ย จะไปมีหมู่ศาสนาที่ไหน โพธิมณฑล หมู่ศาสนาที่ไหน โพธิญาณ มันได้อย่างยากยิ่ง ผู้ที่จะตรัสรู้ คือไม่เชื่อว่า เป็นพระพุทธเจ้า ได้กล่าวกับพระสุคต พระนามกัสสปะ ไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้านั่นเอง ในกาละนั้นว่า จะมีโพธิมณฑลจากที่ไหน คือ ไปแย้งท่าน เฮ้ย ไม่เชื่อ หรอก จะมีศาสนาพุทธเกิด โพธิญาณท่านได้ยากยิ่ง เรื่องตรัสรู้ เป็นโพธิญาณไม่เชื่อ มันได้ยากนะ ตรัสรู้เป็นโพธิญาณ ไม่เชื่อว่า ท่านเป็นพระพุทธเจ้า นั่นเอง ความหมายนะ

ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (คือ ทุกกรกิริยา) ที่ตำบล อุรุเวลา เสนานิคม ตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณ อันสูงสุดด้วยหนทางนี้

แต่ท่านไม่บรรลุธรรมเพราะไอ้นั่น แต่ต้องไปรับวิบากอันนั้น เพราะฉะนั้น ๖ ปีที่ท่าน อาตมาเคยพูดนะ นี่ถ้าเข้าใจ คำอธิบายอันนี้ อาตมาเคยพูดว่า ๖ ปี ที่พระพุทธเจ้า ท่านไปบำเพ็ญนั่น ไม่ใช่ความตรัสรู้ ท่านไปรับวิบาก และเป็นเรื่องผิดพลาดทั้งนั้น อาตมา เคยพูดนะเนี่ย อาตมาได้เห็น อันนี้นี่เป็นหลักฐาน ท่านตรัสเองว่า แต่นั้นจึงได้บรรลุ พระโพธิญาณ ไปรับวิบาก ๖ ปีนี่ คือท่านเอง ท่านไม่ใช่ทุกกรกิริยา เรื่องเดียวหรอก ที่ไปทำยากมาก หลายๆอย่างนะ ท่านไปทรมานอย่างโน้นอย่างนี้อีกเยอะแยะ กริยา นึกถึง ตอนที่ท่านอดข้าวใช่ไหม ทุกกรกริยาอดข้าวนั่งแห้ง ไม่ใช่อย่างเดียว ท่านไปเที่ยว ได้ต่อสู้ ทุกอย่างเลยนะ หลายๆต่างๆนานา ไปบำเพ็ญแบบฤาษี สารพัดสารเพ ซึ่งมันเป็น ของยาก ซึ่งเป็นเรื่องผิดทั้งนั้น ท่านต้องไปรับวิบากปานนั้น ต้องไปทุกข์ทรมานต่างๆนานา ไปยืนเหนี่ยวขาเดียว ไปทำอะไรทุกอย่าง ที่พวกทรมานเขาทำ ท่านไปทำมาหมด ไปกินขี้ กินเยี่ยว กินขี้นี่ ท่านบรรยายถึง ขนาดว่า ท่านกินแล้ว ขี้ตัวเองขี้ออกมานี่ ไม่กินอื่น กินแต่ขี้ ขี้ตัวเอง กินแล้ว กินเข้าไป มันยังออกมาเป็นขี้อีก เอาขี้ที่เหลือเอามากินอีก กินอีก จนกระทั่ง ไม่มีขี้ออกมา กินขี้อื่นๆ อะไรก็กินหมด กินขี้โคมัย กินขี้โน้นนี่ กินมาทั้งหมด ดังนี้ เป็นต้น ไปทรมาน ไปทำอะไรๆที่มัน อัตตกิลมถานุโยค อย่างหยาบๆคายๆ เป็นการไปรับ วิบากนั่นเอง แล้วท่านก็บอกว่า ท่านไม่ได้บรรลุพระโพธิญาณ แต่นั้น จึงได้บรรลุ พระโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุพระโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้

เพราะฉะนั้น ใน ๖ ปีนั่น ที่ท่านไปบำเพ็ญอะไรต่างๆนานานั่น เป็นเรื่องไม่ใช่จะเอามา เป็นตัวอย่าง แต่เขาไม่รู้ เขานึกว่ามาเป็นอย่าง พระพุทธเจ้า ๖ ปีนั่น เป็นตัวอย่าง เปล่า นี่ อาตมาได้หลักฐาน อาตมาเข้าใจ แล้วอาตมารู้ อาตมาเคยบอกว่า ใครมาปฏิบัติอย่าง พระพุทธเจ้า ๖ ปีนั่น เป็นหนทางผิด พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ แล้วท่านก็ค่อยมาตรวจเช็ค อีกทีว่า อ้อ มรรคองค์ ๘ ท่านตรัสรู้ คือมันมีญาณ มันมีอะไรต่ออะไรมาแล้ว มรรคองค์ ๘

เอาง่ายๆ นะ อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ เดี๋ยวนี้อาตมาก็เห็นแล้วว่า สิ่งเลิศคือ มรรคองค์ ๘ นี่ อาตมาสะสมมรรคองค์ ๘ นะจะเรียนรู้มรรคองค์ ๘ ไปให้ลึกซึ้งที่สุด เรียกว่า คุณรู้มรรค องค์ ๘ นะ ยังไม่ได้ลึกเท่าไรหรอก แต่มันจะได้ผลเท่าที่เราได้ มันค่อยๆเป็นไป มันลึก มันกว้าง มันยิ่งใหญ่

ทฤษฏีมรรคองค์ ๘ นี่ ยิ่งใหญ่ที่สุด ศึกษาทฤษฎีหลัก เอเสว มัคโค ทางนี้ ทางเดียว ทฤษฎีนี้ ทฤษฎีเดียว แต่มันยิ่งใหญ่กว้างขวางลึกซึ้งสุดยอด อาตมาเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ศึกษาอยู่นี่ ศึกษา พยายามเผยแพร่ด้วย และศึกษา ลึกซึ้งด้วย มันเป็นสิ่งที่เป็นวิบาก ลงไปในญาณ สั่งลงไปในญาณ ของพระโพธิสัตว์ ก็ต้องสั่งสมโพธิญาณ ก็มีญาณนี่ ญาณอย่างนี้ สั่งสมด้วยความจริง ไม่ใช่เอาแต่ตัวหนังสือ ไม่ใช่เอาแต่ภาษา โวหาร อาตมา บรรยายโวหาร ทำความหมาย ทำความกระจายอธิบายอุเทศ อะไรต่างๆนานา ให้คุณฟังนี่ มันก็ เป็นความรอบรู้ เข้าไปหาเนื้อหาที่แท้ ของมรรคองค์ ๘ ว่าเป็นอย่างไรๆ ดู มันง่ายๆ คนเรียนรู้ง่ายๆ ก็ได้ สมมุติว่า เรียนรู้ลึกซึ้งขึ้นไป มากเท่าใดๆ ก็ ได้

อาตมายังไม่เป็นพระพุทธเจ้า อาตมาก็รู้แล้ว สั่งสมไว้ บำเพ็ญไปอีก ถ้าอาตมาบำเพ็ญไป เป็นโพธิสัตว์ เป็น มหาโพธิสัตว์ ไปจนกระทั่งอาตมาจะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ในปาง สุดท้าย ไม่ใช่ไปเรียนรู้เอามรรคองค์ ๘ ตอนนั้นแหละ ๆ ปีสุดท้ายนั่นแหละ อื่นๆ ไม่ได้เรียน มาเลย อื่นๆ เรียนมาผิดหมด ไปเรียนจ๋อย ไอ้โน่น ไอ้นี่ ทฤษฎีใหญ่ปีเดียว ไม่ใช่นะ

เรียนมา ตั้งไม่รู้กี่มหากัป ยี่สิบอสงไขยแสนมหากัป สี่สิบอสงไขยแสนมหากัป แปดสิบ อสงไขยแสนมหากัป เรียนมาตั้งเท่าไหร่ ทฤษฎีเดียว มรรคองค์ ๘ ทฤษฎีเดียว รู้แล้ว ไม่ใช่ไม่รู้ รู้แล้ว เพราะฉะนั้น ท่านไม่ได้ตรัสรู้ตอนนั้นหรอก ไม่ได้ตรัสรู้ หรือว่าไม่ได้มี ความรู้ ตอนนั้น ทุกๆวินาทีนั้น ก็ได้รับความรู้ เหมือนกับบอกว่า พระพาหิยทารุจีริยะ ได้ฟัง ๔ ประโยค ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ ฟัง ๔ ประโยค พระพาหิยะนี่ บอกว่า ท่านขอสั้นๆ ขอพระพุทธเจ้า ขอสั้นๆ มันจะต้องรีบรู้ให้ได้ ที่จริงท่านมีวิบากพอแล้ว พระพาหิยะนี่ ขอสั้นๆ พระพุทธเจ้าก็ตรัสสั้นๆให้ พระพาหิยะฟัง ๔ ประโยค พอพระพาหิยะได้ฟัง ๔ ประโยค นั่น โอ้โฮ แจ้ง สว่างบรรลุธรรม เป็นพระอรหันต์ทันที

ซึ่งเป็นพระอรหันต์ ที่ตรัสรู้เร็วที่สุด ในสาวกของพระพุทธเจ้า ตามประวัติมีไว้ยืนยัน แล้ว พระพุทธเจ้า ก็ยืนยันว่า เป็นเอตทัคคะ ผู้ตรัสรู้เร็วพลัน ของท่านองค์นี้ พระพาหิย ทารุจีริยะ ไม่ได้หมายความว่า พระพาหิยทารุจีริยะ เพิ่งได้เรียนรู้ตอนนี้ แล้วก็สำเร็จ ไม่ใช่ บำเพ็ญบุญบารมี มามากมาย ซึ่งมีสิ่งจริงมา เป็นแต่เพียงสำทับความสุดท้ายเท่านั้น อ้อ มันมีแล้ว รู้แล้ว ทำได้แล้วด้วย ไม่ใช่มาเรียนรู้เฉยๆ มันมีทั้งอุภโตภาค มีทั้งเจโตวิมุติ และ ปัญญาวิมุติ อันที่แข็งแกร่ง อินทรีย์พละสมบูรณ์ บำเพ็ญมา สั่งสมมา แล้วก็มาเติม น้ำหยดสุดท้าย ที่จริงน้ำที่เต็มตุ่มนี่ มันมีตั้งโอ้โฮ เหลืออีกนิดเดียว ถ้าเป็นของพระพาหิยะ นี่ คงจะไม่ใช่เป็นหยดแล้ว คงจะเป็นเสี้ยวของไอหนึ่งละมั้ง ผล็อยลงไปเต็มเลย ปรี่เลย ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีมา นี่ลักษณะนี้ คนเข้าใจผิดเยอะ เพราะฉะนั้น พวกคุณนี่ อย่าไปคิดเลยว่า คุณจะเต็มตุ่มเมื่อไหร่ แล้วคุณจะไปแจ้งสว่างเอาว่า โอ้ มันเต็มเมื่อนั้น ต้องไปหาแบบเซน หาอันโน้น หาอันนี้ แบบเซน

แหม ไปหาแบบตาบอดขี้ถูกปอง คือ งมๆ ไปฟลุกๆ นะ เจอร่อง ตาบอดขี้ถูกปอง เคยอธิบาย หลายที อาตมาก็ไม่รู้จะว่าอย่างไร สำนวนคำพังเพยอีสาน ไอ้ตาบอด มันไม่ค่อยรู้หรอก ไอ้ร่องที่จะขี้มันอยู่ตรงไหน ปวดขี้เข้าก็ไปหาร่องขี้หน่อยเถอะ มันไม่เห็น นี่ ว่าร่องอยู่ตรงไหน โมเมๆ มา เอ้าละ ขี้แตกแล้ว เอามันตรงนี้ล่ะ ผละ เอ้าพอดี มันตรงกับรู เลย ที่จริงไม่เห็นนะนา มันพอดี มันตรงกับรูเลย ขี้ลงรูได้ มันพอเหมาะพอดี มันไม่เห็นหรอก โอ้ นี่มันบุญหนอ ตาบอด ขี้ถูกปอง มันไม่เห็นหรอกนะ แต่มันพอดี พอเหมาะ ขี้มันสุดจะกลั้นแล้ว เอาละว้า เอาตรงนี้แหละ พอดี มันตรง พอเหมาะพอดีได้ โดยที่เรียกว่า มันไม่ได้นึก ไม่ได้ฝันละว่า มันไม่ได้รู้ แต่มันเหมาะได้ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่เรื่องฟลุกอย่างนี้นะ เป็นเรื่องที่มีเหตุ มีปัจจัย ทุกอย่างมาแต่เหตุได้สั่งสมบุญมาแล้ว จึงมีผล ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ เพราะฉะนั้น คุณอย่าคิดว่า เราจะต้องไปหาเอาไอ้ตรงไหนหนอ มองหา ไอ้จุดที่มันจะบรรลุเร็วๆ พวกเซนนี่ พวกตะกละเห็นแก่ตัว พวกเอาลัดเอาเร็ว พวกนี้ ลูกนายทุน พวกลูกนายทุน พวกนี้ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น กุศลใด ที่คุณมีอยู่ คุณรู้อยู่แล้ว กรรม ๓ สั่งสมไป สั่งสมกรรม ๓ ไปเถอะ มันจะเต็ม

แม้มันเต็มแล้ว ไม่รู้ตัวว่าเป็นพระอรหันต์ ช่างมันเถอะ มันเป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่รู้ว่า เป็นพระอรหันต์ ช่างมันเถอะ ให้มันเป็นเสียก่อนเถอะ มีไอ้ที่เป็นพระอรหันต์ คือ เจโตวิมุติ แล้วเป็น ไปได้อย่างดีแล้ว แต่ไม่มีตัวรู้ว่า อ้อ อย่างนี้เองเหรอ วิมุติอย่างนี้เองแหละ คือ สมบูรณ์ อย่างนี้เองแหละคือ กิจจบแล้ว กิเลสอย่างนี้ อะไรอย่างนี้ๆ มันไม่รู้ มันไม่เข้าใจ ตัวสำคัญ จะในเชิงไหน มุมไหน เหลี่ยมไหนก็ตาม พอได้รับฟังอธิบายเท่านี้ เหมือน พระพาหิยทารุจีริยะ บอกว่า

เมื่อเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบจักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้ง จักเป็นสักว่ารู้แจ้ง

ดูกรพาหิยะ ในกาลใดแล เมื่อท่านเห็นจักเป็นสักว่าเห็น เมื่อฟังจักเป็นสักว่าฟัง เมื่อทราบ จักเป็นสักว่าทราบ เมื่อรู้แจ้งจักเป็นสักว่ารู้แจ้ง ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มี ในกาลใด ท่านไม่มี ในกาลนั้นท่านย่อมไม่มีในโลกนี้ ย่อมไม่มีในโลกหน้า ย่อมไม่มีในระหว่าง โลกทั้งสอง นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ ฯ

พระพาหิยะท่านเข้าใจแล้ว ท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ คุณลองเข้าใจ แล้วคุณลองบรรลุ เป็นพระอรหันต์ อย่างพระพาหิยะดูซิละ มันไม่เหมือนกันใช่ไหม ญาณต่างกัน ญาณ คนละ ระดับเลย ญาณมันคนละราคาเลย โอ้โฮ ญาณมันราคาเท่าไหร่ล่ะ ที่พระพาหิยะ ท่านได้นั่น ญาณที่รู้อันนั้นนะ ท่านบอกอ๋อ สมมุติว่าท่าน อ๋อเลยนะ พอได้ฟังสี่ประโยค อ๋อ ได้อ๋อ ตัวนี้ราคาเท่าไร ของพระพาหิยะ เพราะว่า อ๋อ ตัวนี้ มันบรรลุเป็นพระอรหันต์ ของคุณอ๋อ หรือยัง ยังไม่อ๋อเหรอ เอ้าไม่เข้าใจเหรอ สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าได้ยิน สักแต่ว่า ทราบ สักแต่ว่ารู้แจ้ง ไม่เข้าใจเหรอ เอ้า ก็ อ๋อ แล้วน่ะ เอาอันนี้ ราคาถูกจังเลย ยังไม่เป็น พระอรหันต์เลยนี่ อ๋อแล้วมันก็ยังเป็นอยู่อย่างนี้ อ๋อ ก็อ๋อ รึ เออ มันก็รู้เหมือนกัน มันก็เกิด ญาณ เกิดปัญญา เกิดความเข้าใจเหมือนกัน อ๋อ ของบางคนอาจจะอ๋อ จนน้ำตา ไหลเลย ซาบซึ้งเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ราคายังไม่แพงเท่าไรหรอก ฟังเข้าใจ แล้วนะ ที่ อาตมาหมาย

นี่ ญาณ ตัวรู้นี่ มันรู้ต่างกัน รู้ลึกซึ้งต่างกันรู้ ผิดกันลิบเลย เนื้อหา หรือ ว่ารู้มันเข้าใจ รอบถ้วน มันเข้าใจ เพราะว่าท่านรู้อันแล้วนี้ ท่านจบนี่ อุภโตภาควิมุติเลย เจโตวิมุติ ท่านก็มี อยู่แล้วแน่นอน เพราะท่านไม่ต้องปฏิบัติอีก เหลือแต่ว่า มันยังไม่ อ๋อ อย่างนี้ นะเหรอ พระอรหันต์ พุทโธ่ เป็นแล้วล่ะ ท่านถึงบรรลุตอนนั้นเท่านั้น เติมปัญญาวิมุติ อีกส่วนน้อยเดียว ถึงบอกว่า ไม่ใช่หยดน้ำหรอก แค่ไม่ถึงหยด หยดน้ำนี้ แหม่ละอองไอ อะไรนิดหน่อย เท่านั้นเอง จิ๊ดก็เต็มแล้ว มันต่างกัน เพราะฉะนั้น บางคนอาจจะใช้ ลักษณะเจโต ปัญญามันมีมากแล้ว แต่เจโตมันต่างกัน ทำอีกนิดหนึ่ง บางคนทำเจโต ไว้แล้ว แต่ยังไม่รอบ มันยังไม่พ้นวิจิกิจฉาตัวสุดท้าย อันนี้เท่านั้นเอง พอได้ความหมาย หรือได้ความรู้ อ๋อ อย่างนี้นะเหรอ นั้นก็เป็นเลยได้ มันก็คนละมุม คนละเหลี่ยมเท่านั้น เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่า จุดตรงนี้ ใช้อะไรเป็นตัวกุญแจไข คุณไม่ต้อง ไปเที่ยวได้ควานหาหรอก

แน่ใจหรือว่า ตัวเองมีบุญบารมี จะบรรลุพระอรหันต์แล้ว จะหาปัญญาเซนมา เพื่อที่จะ บรรลุ พวกนี้เสียเวลาชั่วกาลนานและหลงผิด เป็นอาจารย์เซน ไปเที่ยวได้ควานหาเซน ไม่ต้องควานหาหรอก มันจะเป็นบุญบารมีของมันเอง จะพบเอง ถึงวาระเวลา เที่ยวไป ควานหาปัญญาเซน อย่างกับตัวเองนี่พร้อมแล้ว เหลือไว้กุญแจไขให้เข้าใจว่า นี่อ๋อ ตัวเดียวนี่ ราคาแพง ตัวเดียวนี่ได้เลย ไม่จริงนะ โกหก พวกนี้พวกหลงงมงายกันเยอะ ไปอ่านหนังสือเซน ไปหาข้อคิดเซน เหมือนพระอะไรล่ะ ที่ในตำรานิยายเซน ของเขานี่ ใครต่อใครนะ เว่ยหล่าง มั่ง ฮวงโปมั่ง แล้วใคร ต่อใครมั่งนี่ แหม ต้องพยายามไปหา คิด โศลก เขาเรียกอะไรนะ เขาเรียกโกอาน ไปหาโกอาน ไปหาโศลก ไปหาปริศนาธรรมอะไรนี่ เพื่อที่จะได้ไข หน็อย อย่างกับตัวเองมีบุญบารมีพร้อมแล้ว ไม่ใช่หรอกนะ ไอ้อย่างนั้น เป็นลักษณะของปัญญาวิมุติ ที่เติมลงไป ในเมื่อผู้นั้นมีบุญบารมี มีเจโตวิมุติ กับ ปัญญาวิมุติ อันมากพอแล้ว เหลือปัญญาหรือส่วนไขอีกนิดเดียวเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องไปแสวงหาอย่างนั้นหรอก มันจะเจอเอง ได้เอง ทำไปเถอะ บุญกุศลทั้งหลาย แหล่ เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว ฟังสำนวนเข้าใจไหม เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว สำนวน สั้นดีเหลือเกินนะ หมายความว่า พระพุทธเจ้าเห็นว่า กรรมเก่า บุพกรรม กรรม เก่าๆ กรรมก่อนๆ ที่ได้ทำมาแล้ว มันก็เห็นผล ก็เห็นวิบาก ก็เห็นสิ่งที่มันเป็น อย่างนี้ ทุกข์บ้าง

ขนาดเป็นพระพุทธเจ้านี่นะ ท่านยังบอกว่า เราอันบุพกรรม ตักเตือนแล้ว เว้นจาก ความเร่าร้อนทั้งปวง ท่านระลึกชาติขึ้นมา ท่านระลึกไม่รู้กี่ชาติๆ ของท่าน ไม่รู้หลายแสน หลายสังวิวัฏกัป เยอะแยะ ระลึก แล้วท่านก็มีพวกนี้ มันก็เลยเห็นว่า บุพกรรม ของท่าน ต่างๆนี่ มันเป็นของจริง มันให้โทษให้ภัย มันให้ทุกข์ ให้ร้อน มากหรือน้อย เยอะแยะ มากมาย เพราะว่า ท่านรู้จักบุพกรรมตักเตือนแล้ว นี่มาตักเตือนท่าน มันสอนท่าน มาให้ท่านเข้าใจความจริง

ซึ่งเราระลึกชาติอย่างนั้นไม่ได้ เราก็ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ถ้าเราเชื่อว่า กรรมนั้นเป็นผล เป็นวิบากจริง เราก็ตั้งหน้าตั้งตาพิจารณากุศลให้แท้ แล้วก็พยายามสั่งสมไปทุกวินาที มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม นี่คือความไม่ประมาทอย่างเดียว แล้วเราก็จะได้รับผล เพราะฉะนั้น ผลที่พวกเรารู้ๆกันอยู่บ้าง โอ้ โฮ ดูซิเราทำผลบาปในปัจจุบันนี้ มันก็พาให้เราได้รับวิบาก อะไรต่ออะไรไม่เข้าท่า ของก่อนของเก่า ผสมปุโรปุเร มันไม่ใช่นิดเดียวหรอก มันมีของเก่า ทุกคนนะ มีผสมผสานกันมา เพราะฉะนั้น เราจะบอกว่า คุณแสวงบอกว่า ไปยิงนกกาก ตัวเดียว ก็เลยได้รับวิบาก ถูกกับระเบิด ไม่ไม่ใช่อันเดียวหรอก มันผสมกัน มันร่วมกัน มันมีกรรมเก่า มันมีวิบากเก่า อะไรต่ออะไรของมัน ต่างๆนานา ผสมผเสอะไรๆอีก ส่งผลอยู่

ซึ่งทุกคนมี ทุกคน แม้อาตมา แม้พระพุทธเจ้า ก็ไม่เว้น มีวิบากเก่ามาทั้งนั้น เป็นอกุศลด้วย นะ เป็นสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม เพราะฉะนั้น เราละเว้นซิ อย่าให้ไปเติม ประเดี๋ยวไปเติมเป็น หยดน้ำจะเต็ม แทนที่จะเต็มเป็นพระอรหันต์ เต็มถูกกับระเบิดนะ หรือว่าจะเต็มเป็น อย่างไรล่ะ เกิดมา อย่างคุณบุญเรือนนะ ระวังเถิดนะ นี่ยังดีนะ กุศลดีนะ ได้ มาพบะพระ อย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีบุญหรอก มีบุญแต่มันมีอกุศลวิบาก โอ๊ย ลูกเกิดมานี่ พ่อแม่ก็ไม่รัก ไม่อะไร แล้วก็ไม่มีนิ้ว ไอ้คนมีนิ้ว มันไม่ค่อยเอาถ่าน มันน่าจะเอาถ่าน มาเผานิ้วให้หมด นิ้วก็มี นิ้วเท้า นิ้วมือ เต็มด้วยซ้ำไป

อาตมาก็ยังนึกอยู่เลยนะ บุญเรือนนี่ เขาถักไอ้นั่นขาย ปีนี้นี่ ปีใหม่ เขาถักขายได้ตั้ง หลายร้อยบาท ไอ้กระเป๋า เอาเศษผ้า เศษไอ้นั่น อยู่ที่โรงทอของเขา มันก็มีเศษผ้า เศษไหม เศษด้าย เขาก็เอามารวมถักเป็นกระเป๋า ถักขายได้ตั้งหลายร้อยบาท ได้พันกว่าเรอะ ตั้งหลายอัน ขายอันละเท่าไหร่ ขายอันละ ๒๐ บาท ได้ตั้งหลายอัน ทำ

พวกเราอยู่ปฐมอโศกน่ะ มือดี ๑๐ นิ้วนะ อาจจะมีบางคน ๑๑ ก็ได้ มีนิ้ว มีอะไร ให้ถักนะ บอกซิ ที่ทำเรียนกับบุญเรือนเขา ถักมั่ง ถักไม่ได้ ถักไม่เป็นนะ แหม เอาถ่านเผานิ้วเสีย ไม่เอาถ่าน แต่เอาเถอะ นี่มันเรื่องวิบาก เห็นไหม จะมีนิ้ว หรือไม่มีนิ้ว จะมีอะไรมันอยู่ที่คน เห็นไหม ใครเคยดูหนังญี่ปุ่นไหม ไม่มีนิ้ว ไม่มีแขนด้วย ผู้หญิง เคยดูไหมวิดีโอ มีแต่ฝีตีน ไม่มีฝีมือ แต่ฝีตีน โอ้โฮ เหลือร้ายเลยนะ อาบน้ำอาบท่าให้ลูก ให้เต้า มีสามี นะ มีลูกมีเต้า เช็ดหน้า เช็ดตา เวลาสามีไม่สบาย แล้วก็เช็ดหน้า เอาตีนจับผ้าเช็ดหน้า (ผู้ฟังหัวเราะ) เช็ดตา ทำอะไรต่ออะไร เรียบร้อยๆ ทำกับข้าว นั่งกินกับแขกเหรื่อเพื่อนฝูง แกก็นั่ง เอาตีน ขึ้นจับตะเกียบ กินกับเพื่อนกับฝูง เลยนี่ แล้วอาหารที่กิน ฝีตีนแกทั้งนั้น (ผู้ฟังหัวเราะ) อาหารที่เลี้ยงแขก ฝีตีนแกทั้งนั้นนะ ก็แกมี ๒ ตีนเท่านั้น แกไม่มีมือ มือด้วน ๒ ข้าง ใครได้ดู วิดีโอ อันนั้นน่ะ เขาถ่ายมาให้ดูเลย ไม่ใช่ว่า ไม่เป็นนะ ไม่ใช่ว่ามุขเรื่อง ก็แกทำ ให้ดูเลย นั่งให้ดู ทำให้ดูเลย สองตีนทั้งนั้นนะ ทุกอย่างเลย เพราะแกไม่มีมือ แขนแกด้วน ทั้งสองข้าง ไอ้คนมีมือก็ครบ ตีนก็ครบ อะไรก็ครบ แต่ไม่เอาถ่านนี่สิ มันน่า เป็นตาเหลือใจ นะ ภาษาอีสาน ไม่รู้ว่าจะแปลเป็นภาษาภาคกลางว่าอะไร เป็นตาเหลือใจ มันน่าจะ แปลว่า มันได้ดังใจ มันอึดอัดอยู่ในใจ มันไม่ดังใจเลย มันเป็นตาเหลือใจเลย จะแปลเป็น ภาษาภาคกลาง สำนวนภาคกลางว่าอย่างไร มันน่าทำไม มันไม่ได้ดังนี้นะ ทำไมมันไม่ได้ ดังที่ควรจะเป็นนะ แหม มันอึดอัดอยู่ในใจนี่ ขยายความ คำว่า เป็นตาเหลือใจ นี่ เอาละ จะไปไม่ไปถึงไหน แค่นี้แหละวันนี้ เอาละ ก็ต่อ ว่า

เราอันบุพกรรมตักเตือนแล้ว เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง เมื่อมันรู้สึก ทบทวนแล้ว เห็นกรรมเก่า เท่านี้ๆ ท่านก็รู้สึก ท่านรู้สึกมากกว่านี้นะ เพราะท่านไว ท่านแค่เห็นคนแก่ คนป่วย คนเจ็บ ท่านก็ ว้า อย่างนี้ไม่เอาแล้วโลก พวกเราได้เห็นคนแก่มาเท่าไร คนเจ็บมา เท่าไร ยังวิ่งใส่มันอยู่ ท่านก็เลยไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะจักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุ กำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์ แก่ภิกษุสงฆ์ที่สระใหญ่ อโนดาด ด้วยประการฉะนี้แล

นี่ก็เป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า เป็นเรืองบุพกรรมต่างๆ ก็ยังไม่ขยายความ เดี๋ยวอาตมา จะได้อธิบาย แล้วจะอ่านอะไรต่ออะไรออกไป แล้วจะอธิบายความไป เนื้อเรื่องพวกนี้ จะยกประกอบนี่ก็เอาของพระพุทธเจ้า ที่ท่านตรัสไว้ รวบรวมไว้ว่า ท่านตรัสอะไรบ้าง ถึงบุพกรรมของท่าน ถึงกรรมเก่าของท่าน แล้วมันก็มีวิบากส่งผล แม้จะเป็นพระพุทธเจ้า แล้ว ยังมีอกุศล กุศล แล้วก็ไม่ต้องห่วง กุศลวิบากของท่านได้ ท่านถึงได้เกิดมาเป็นลูกเจ้า เป็นเจ้าชาย มีทรัพย์ศฤงคาร มีสนมรูปร่างหน้าตาพรั่งพร้อม เป็นหมื่น แต่ท่านไม่เกี่ยวนะ พระพุทธเจ้านี่ท่านไม่เกี่ยว ก็สมัยโบราณนะเป็นพระเจ้าแผ่นดิน เป็นลูกเจ้า จะไปมี ปัญหา อะไรละ แล้วเขาก็ไม่ถือสา เขาก็ให้สนมกำนัล เท่าไรๆ เขาก็ไม่มีปัญหา เขาก็เอามา ประเดประดังให้ท่าน แต่ท่านไม่เกี่ยว ท่านเกี่ยวพระนางพิมพาคนเดียว นี่เป็นวิบากของท่าน เป็นกุศลวิบาก ถ้ามันมีจิตที่มันมากไปด้วยราคะ มันก็เกี่ยวก็ยุ่ง ไปตามเรื่องสินะ นี่ท่านก็ไม่ ท่านก็อย่างนั้นนะ ไม่อย่างนั้นก็เป็นฝีมือที่แย่ แต่งงานอายุ ๑๖ มีลูกเอาอายุที่ ๒๙ เป็นฝีมือที่แย่มาก แต่ถือว่าดี ถือว่าเป็นทางธรรมถือว่าดี ทางโลกถือว่า แย่ ใช่ไหมอย่างนี้เป็นต้น นี่อะไรต่างๆ มันกลับกันไปหมด

นี้เป็นวิบากกุศล วิบากของท่านมีมาก มันก็มาให้ท่านอาศัย เป็นกัมมปฏิสรโณ อกุศล วิบาก มันก็ยังตามมา มันไม่ได้อยากอาศัยหรอก แต่คุณก็ต้องอาศัย คุณก็ต้องเป็นอยู่ มันต้องมาถึง เท่าที่มันยังเหลือส่วนของวิบากตามมาทัน สิ่งที่มันเป็นวิบากที่ตามทัน มันไม่ได้หมดไป แต่มันตามมาตามกาละๆ เพราะฉะนั้น ผู้ใดมีกุศลวิบากมากๆๆๆ มันจะ พาวิ่งหนีความทุกข์ร้อนได้มาก ได้มากไม่ได้หมด แต่มันวิ่งหนีได้มาก อันนี้ลึกซึ้ง ศาสนาอื่น อาตมาว่า อธิบายไม่ได้ นอกจากอธิบายไม่ได้แล้ว ยังอธิบายว่าลบล้างด้วยซ้ำ

อย่างศาสนาคริสต์นี่ มาถึงก็แหมบาทหลวงนี่ล้างกรรมได้เลยนะ ศาสนาไสยศาสตร์ มาถึงก็มีอาจารย์มา นี่เรื่องเจ้ากรรมนายเวร นี่จะปลดให้ แหมต่อรองเลย ไม่รู้ว่า ไปติดสินบน กับเจ้ากรรมนายเวรได้อย่างไร เลิก ล้าง กรรมได้ นั่นเขาก็เก่งไปโน่นเลย ซึ่งพระพุทธเจ้าเราไม่เหมือน ท่านตรัสรู้ ไม่เหมือน แล้วก็เป็นอย่างที่ว่านั่น แต่ท่านเห็นแล้ว สิ่งเหล่านี้ แม้ขนาด นี่มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งนะว่า โอ๊ ท่านยอมรับในสิ่งที่เป็นจริง คือท่านเป็น พระพุทธเจ้า ท่านจะบอกว่าท่านไม่มีวิบากอะไรแล้ว ท่านจะไม่อะไรแล้ว ท่านก็ว่าได้ ใครจะไป ว่าอะไรท่าน ใครจะไปเจาะอะไรท่านมากมายท่านเล็กๆ น้อยๆ ท่านก็เอามา อธิบายให้ฟังนี่เห็นไหม เศษวิบากของอกุศล ของความไม่ดี มันตามมา ขนาดเป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่ละเว้น มันยิ่งเป็นหลักฐานยืนยันเลย นะนี่ ท่านยอมรับว่า ท่านเคยมี อกุศลวิบาก อกุศลวิบากยังตามมาถึงปานฉะนี้ บำเพ็ญมามากมาย สร้างกุศลให้มัน มากกว่านี้ ตั้งเท่าไรๆ มันก็ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะฉะนั้น อย่าประมาทโทษภัย อันมีประมาณ น้อย อย่าประมาทไอ้ที่เป็นอกุศลเล็กๆน้อยๆ อะไร ถ้าทำได้ ถึงวาระเวลาที่เราควรจะทำ นอกจาก บางอย่างคุณทนไม่ได้ อันนี้เราก็จงรู้ว่า มันเป็นอกุศลอยู่บ้าง

แต่ชีวิตเรามันยังไม่แข็งแรงกว่านี้ มันจะต้องเป็น คุณก็ต้องรู้ว่าจำยอม แต่คุณว่า มันต้อง ออกได้ แล้วล่ะ อกุศลอันนี้ หรือว่าขั้นตอนอันนี้ต้องเหนือขึ้นไปได้กว่านี้ สิ่งเหล่านี้ยังต่ำอยู๋ เราจะสูงกว่านี้ได้ ก็ต้องดูตามอินทรีย์พละ ดูตามบุญบารมีของตน เมื่อได้ อย่าไปไฟแรง เกินการนัก ตรวจให้พอเหมาะพอดี อันนี้ละ สัมมาตัวนี้ละอ่านยาก รู้ตนยาก ประมาณตน ตรงนี้ละยากจัง แต่ยากอย่างไรคุณก็ต้องดูของตัวเอง และต้องประมาณตนเอา ให้รู้ว่า เรานี้มีผลนะ เหนือขึ้นได้นี้ มันจะต้องตั้งตนอยู่ในความลำบากต้องฝืน ต้องสู้ ตราบใด ก็ต้องฝืน ต้องมีฝืน แม้อาตมาก็ยังมีตัวฝืนนะคุณ อย่างน้อยที่สุดก็ฝืน มันต้องสอน พวกคุณนะ ไม่สอน แล้วมันจะทำอย่างไรละ ตาดำๆ ดูนี่ซิ มันต้องฝืนนะคุณ ไม่ใช่ไม่ฝืนนะ มันต้องฝืน แต่มันฝืนไม่ยาก

ถ้าเผื่อว่าเราทำได้อย่างชำนาญ ทำได้อย่างมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสาแล้ว มันจะเป็น อินทรีย์พละของเรา มันจะเป็นสิ่งที่เป็นของเรา แต่มันฝืนนะ มันฝืน มันไม่ได้สบายหลายๆ อย่าง มันไม่ได้คล่องแคล่ว มันไม่ได้ง่าย ยิ่งมันไม่ชำนาญ ยิ่งไม่เกิดอินทรีย์พละ สมบูรณ์ มันยิ่งยาก มันก็จะกลายไปเป็นแบบฤาษีนะสิ อยู่เฉยๆดีกว่า ส.บ.ม.ใครไม่รู้ละ โง่เหรอ อยู่เฉยๆมันก็ดีกว่าออกแรง อยู่เฉยๆมันก็ดีกว่าไปทำโน่นทำนี่ อย่างโน้นอย่างนี้ แน่นอนสิ มันเมื่อยน้อยกว่า แต่อยู่เฉยๆ บางทีมันก็เมื่อยเหมือนกันนะ นอนมากก็ยังเมื่อยเลย อย่าว่า แต่นั่งมากเลย นะ แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม เราก็รู้ว่าถึงอย่างไร ไม่เป็นไร มันเมื่อย ก็เดิน ไอ้โน่นไอ้นี่นิดหน่อย มันก็เมาแล้ว แต่ให้ไปทำงานไปแบกไปยก ไปโน่น ไปนี่ ก็หนักมากกว่า แต่มันไม่อยากเอาหรอก อย่างนั้นมันก็ไม่ถูก เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า จึงบอก ให้เห็นกุศล ยังกุศลให้ถึงพร้อม เดี๋ยววันนี้จะเทศน์ สัพพปาปัสส อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา นี่จะต้องเทศน์ให้เห็น ชัดเจนเลยว่า ไม่ได้ไปตัดทิ้งนะ พระอริยะ หรือว่า ผู้ที่เป็นผู้ตรัสรู้แล้วนี่ ไม่ใช่ตัดทิ้ง ไม่ใช่สิ่งนี้ ไม่ใช่โลกุตระ สัพพปาปัสส อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา ก็เป็นโลกุตระโดยความหมาย เดี๋ยวเย็นนี้จะเทศน์

ไม่ใช่ไปเจาะเอาแต่จิตที่บริสุทธิ์สะอาดนั่นและคือ โลกุตระ ไม่ใช่ ไอ้นั่นมันถึงธรรมโลกุตระ ไม่สำเร็จ เพราะมันต้องประกอบไปด้วยขันธ์ ๕ ต้องประกอบไปด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต้องประกอบไปด้วยผัสสะ ๖ ต้องประกอบไปด้วยองค์ ประกอบ กาโยนอก กาโยใน สิ่งที่ประชุมทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม คน มนุษย์ สัตว์ ทุกๆอย่าง เมื่อสัมผัส กันแล้ว เมื่อสัมพันธ์กันแล้ว เมื่ออะไรกันแล้ว ไม่เกิดสภาพกิเลส ไม่เกิดสภาพลำบาก เป็นสภาพที่เป็นไปได้โดยไม่ยาก โดยไม่ลำบากจริงๆ นั่นแหละจิตบริสุทธิ์ผ่องใส จิตมีพลัง จิตมีอำนาจ จิตอยู่เหนือ เหนือรูป เหนือดินน้ำไฟลม เหนือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เหนือลาภยศ เหนือสุขโลกๆ เหนือจริงๆ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว ไม่จริง พิสูจน์ไม่ได้ ไม่เป็น เอหิปัสสิโก ไม่เป็น นี่ว่าจะเทศน์คืนนี้ ก็เอามาเทศน์เสียก่อน เยอะแล้ว แต่ไม่เป็นไร วางรากฐานไว้ก่อน เดี๋ยวเย็นนี้ค่อยต่อนะ

ท่านนี่ลอกที่อาตมาพูดไว้ที่พุทธสถานศาลีอโศก เอามาให้เป็นคำพูดของอาตมา เรื่องกรรม นี่บอกว่า

ผู้ใดได้ศึกษาธรรมะด้วยสัมมาทิฏฐิ ได้พิสูจน์ธรรมะด้วยมรรคองค์ ๘ ได้ประพฤติจนถึง ภาวนามัย มีผลแก่ตน แก่ตน จนสามารถแจ้งในธรรม ในสัจธรรม พอสมควรแล้ว รู้นรก รูสวรรค์ รู้บาป รู้บุญ เชื่อในกรรม ผู้นั้นๆ ย่อมสังวร ระวังในกรรมนั้นๆ เพราะกรรมเป็น อันทำ กรรมเป็นของจริง กรรมเป็นความจริง ผู้ใดทำกรรมแม้น้อยแม้นิด ย่อมเป็นของจริง นรกสวรรค์บาปบุญขึ้นอยู่ที่กรรม ผู้ทำกรรมเป็นบาป เป็นนรก ผู้ทำกรรมเป็นบุญ ย่อมเป็น สวรรค์ นรกมีจริง สวรรค์เป็นจริง ผู้ใดทำก็เป็นทายาทของกรรม ทำชั่วย่อมได้บาป ได้นรก ทำดีย่อมได้บุญ ได้สวรรค์ ผู้ซึ่งกระทำจริงแล้ว ย่อมเป็นผู้ที่มีแล้ว ผู้ระวังดีแล้ว ย่อมละ บาป ละนรก ผู้ระวังให้จริง สังวรด้วยสติปัฏฐาน ๔ ด้วยโพชฌงค์ ๗ ด้วยโพธิปักขิยธรรม ๓๗ อย่างยิ่ง แยบคายขึ้นเท่าไรๆ สวรรค์ย่อมเป็นของผู้นั้นๆ จริงเราเป็นทายาทของกรรม กรรมเป็นกำเนิด กรรมเป็นเผาพันธุ์ กรรมเป็นที่พึ่งอาศัยอยู่ เราจะได้ดีได้ชั่ว เราจะตกนรก จะถึงสวรรค์ ถึงนิพพาน ก็ด้วยกรรม

ดังนั้นการปฏิบัติ สติปัฏฐาน ๔ โพชฌงค์ ๗ มรรคองค์ ๘ อย่างที่เราได้เข้าใจกันแล้ว จึงเป็น การสั่งสมกรรม เป็นการกระทำด้วยความเพียรของแต่ละบุคคล ที่จะทำสวรรค์หรือ ทำนรก หรือทำนิพพานให้แก่ตน แก่ตนเอง เป็นกัมมัสสกตา ของตนๆ จริงๆ

นี่อาตมาคงจะพูดเป็นโศลกไว้ สวดมนต์เช้าพฤหัสที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๒๗ ท่านองค์นี้ ลอกมาไว้นี่ อาตมาก็พูดไว้ที่พุทธสถานศาลีอโศก เรื่องของกรรม อ่านสู่ฟังไปเท่านั้นเอง

ที่นี้เราก็มาต่อที่นี้ ศรัทธ ๔ ความเชื่อที่ประกอบด้วยเหตุผล ศรัทธา ๔ มี

๑ กรรมสัทธา คือ เชื่อกรรม เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือเชื่อว่าทำอะไร โดยมีเจตนา คือจงใจทำทั้งรู้ ย่อมเป็นกรรม คือเป็นความชั่วความดี มีขึ้นในตน เป็นเหตุ ปัจจัยก่อให้เกิดผลดีผลร้าย สืบเนื่องต่อไป การกระทำไม่ว่างเปล่า และเชื่อว่า ผลที่ ต้องการ จะสำเร็จได้ด้วยการกระทำ มิใช่อ้อนวอน หรือนอนคอยโชค เป็นต้น นี่เรียกว่า กรรมสัทธา คือเชื่อในกรรม ต้องทำจึงเป็น แล้วเราทำ แม้เราเอง เราไม่ได้เจตนา ก็ไม่ ว่างเปล่านะ อธิบายให้ฟังแล้วว่า แม้ท่านจะอธิบายว่าเจตนา คือ กรรมก็ตาม แม้ไม่เจตนา ก็ไม่ได้ว่างเปล่า บอกแล้วเคยอธิบายแล้วนะ นี่ข้อที่ ๑ กรรมสัทธา

๒ วิปากสัทธา ถ้าจะพูดกันเป็นภาษาไทยก็คือ วิบากนั่นเอง วิบาก ภาษาบาลีไม่มี บ.ใบไม้หรอก มีแต่ ป.วิบากศรัทธา เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือเชื่อว่า กรรมที่ทำแล้วต้องมีผล และผลต้องมีเหตุ เพราะฉะนั้น ผลอะไร ไม่มีลอยลม มาฟลุกๆ มีที่มาทั้งสิ้น มากน้อยมีที่มา เหมือนพระพุทธเจ้าท่านตรัสบุพกรรมของท่าน ให้ฟัง ดูสิแม้อะไรเล็กๆน้อยท่านก็บอก โอ้โฮมันมาจากเหตุโน่นแน่สาวสาเหตุ จนกระทั่ง อ้อ ที่ท่านต้องปวดหัวนี่ เพราะไปยินดีแหมไอ้ตอนนั้น เป็นเด็ดแฮะ ไปเห็นเขาฆ่าปลา แล้วก็ไปดีใจ มีอาการดีใจ โสมนัสไม่แรงนะ โสมนัสนี่ไม่เป็นเรื่องแรงเท่าไรนะ ไม่ใช่ว่า สะใจนะ โสมนัสนี่ โสมนัสไปเห็น ไปยินดีกับเขา เขาฆ่าปลาก็ดีวุ้ย เท่านั้นเอง มีวิบาก ตามมา จนถึงพระพุทธเจ้า ยังมีส่วนเหลือส่วนหลงมาให้ปวดพระเศียร ปวดหัวได้ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เชื่อศรัทธานี้คือ ความเชื่อ ๑ เชื่อกรรม กรรมสัทธา ๒ เชื่อ วิบาก วิปากสัทธา เชื่อว่า ผลดีเกิดจากกรรมดี ผลชั่วเกิดจากกรรมชั่ว ผลทุกอย่าง มาแต่เหตุ เมื่อทำเหตุแล้ว ต้องเป็นผล ต้องมีผล

๓. กัมมัสสกตาศรัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของๆตน มันซ้อนลงไปอีกว่า เชื่อว่าเรานี่ จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ มันเป็นของๆตน คุณบุญเรือนนี่เกิดมาไม่มีนิ้ว ก็เป็นของๆตนนะ กรรมของตนนะ มันเชื่ออย่างนั้น ไม่ต้องไปลงโทษใครหรอก มันเป็นกรรมของเราทั้งสิ้น กัมมัสสกตาศรัทธา เชื่อว่าเราจะเป็นอย่างไร นี่อาตมาจะโดนเปรียญธรรมซัดตูมๆนี่ เราเอง เพราะเราเอง เขาซัดเราตูมๆนี่ เราไปโทษใครไม่ได้หรอก เป็นกัมมัสสกตา แต่อาตมา ไม่ได้มานั่งหยั่งญาณบุพเพ ว่า เอ ทำไม คุณคนนี้ถึงมาเล่นเราจังเลย มันเป็นอะไรนี่ เจ้าคุณองค์นี้มาเล่นเราจัง อาตมาไม่ได้ผูกพยาบาท ไม่ได้ไปตามว่าต้องไป อย่างโน้นอย่างนี้ แต่อาตมารับ อาตมาเชื่อใน กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่า กรรมเป็นของๆ ตน เพราะเราทำไม่ดี เราถึงได้มีวิบากอันนี้สะท้อนมา หรือแม้แต่พวกเราบางคนองค์ ยังมา ย้อนๆ อย่างโน้น นี้ แหม เราเองดูสินี่เป็นลูกศิษย์แท้ มันยังมายังโน้นอย่างนี้กับเรา เพราะเราเอง มันไม่ใช่เพราะเขาหรอก กัมมัสสกตา มันกรรมเป็นของๆตน เอ้อ กรรมของ กูเอง กูมันทำไม่ดีมาแต่ก่อน อย่างโน้นอย่างนี้ แก้ไข ปรับปรุง อันโน้นอันนี้อะไร เอ้าอันนี้ อาตมา เชื่อจริงๆนะ นี่คือ กัมมัสสกตา เชื่อกรรมว่าเป็น มันมีกฎของมัน มีระบบของมัน ๒ เชื่อว่า มันจะมีเหตุมีผลของมัน ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็จับแพะชนแกะมันจะเป็น เหตุเป็นผลของมัน ตามสัดส่วน ตามเรื่องราวเป็นวิบากศรัทธา

กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อสัตว์มีกรรมเป็นของๆตน กรรมอันใดที่มันเกิด จะเป็นกุศล หรือ อกุศล อาตมาจะเกิดมาหล่อขนาดนี้ ก็เพราะว่าอาตมามีกรรมของอาตมาเอง พูดอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า พูดให้ขำนะ พูดโดยความจริง ก็อาตมาไม่หล่อเหรอ ก็คนไม่หล่อกว่า อาตมาเรียกว่าไม่หล่อใช่ไหม คนขนาดอาตมาก็ต้องเรียกว่าหล่อ คนที่เขาหล่อ ก็เรียกว่า เขาหล่อ เขาหล่อกว่าอาตมาใช่ไหม อาตมาก็ต้องเรียกว่าหล่อละนะ ใช่ไหม (ผู้ฟังหัวเราะ) ก็ เพราะอาตมา อาตมาจะแข็งแรงเท่านี้ มีอินทรีย์พละเท่านี้ก็เพราะ กัมมัสสกตา สิ่งที่เรา ได้ทำมาทั้งนั้นนะ มันมานี้ เกิดพลัวะขึ้นมานี่นะ อาตมาได้มาเป็นคนชาตินี้ เกิดมา พ่อก็ต้องตายแต่เล็ก แม่ก็อายุไม่ยืน ๔๑ ตายแล้ว ถ้า อยู่ก็ ๗๗ ๗๘ แล้ว แม่อาตมา เกิดปีชวด ถ้าอยู่ ก็นี่ไม่อยู่แล้ว ตายไปตั้งแต่อายุ ๔๑ ก็เพราะอาตมามันจะต้องมีแม่ ที่จะต้องตายไป ตั้งแต่อายุ ๔๑มันจะได้สัดส่วนทุกอย่างเป็นไปตามธรรม

พระพุทธเจ้ามีแม่ ๗ วันต้องตาย พระโพธิสัตว์ส่วนมากนี่ พระมหาโพธิสัตว์ มีแม่อยูไม่ถึง ๗ วันตาย นี่ต้องตาย ไป อย่างนี้เป็นเรื่องที่ท่านตราเอาไว้เลยนะ ว่าพระโพธิสัตว์ อย่าง พระพุทธเจ้านี่ ๗ วันแม่ต้องตาย อย่างนี้เป็นต้น เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ว่าเราไปกำหนด มันเป็นอัตตา เป็นอะไรที่เป็นความสมเหมาะสมควร มันเป็นกัมมัสสกตา แล้วมันจะไป ลงตัว อย่างนั้นๆ เพราะฉะนั้น อาตมาไม่กลัวว่า อาตมาจะเดินไปเหยียบกับระเบิด หรือเปล่า อาตมาไม่กลัว ถ้าจะเหยียบกับระเบิด มันก็ต้องเหยียบนะสิ อาตมาไม่กลัว เพราะวิบากอาตมา จะต้องเหยียบกับระเบิด ก็อาตมาไม่ได้ไปเป็นทหารสักหน่อย อาตมา จะไปเหยียบ กับระเบิดง่ายๆ รึ ไม่ได้ออกไปเที่ยวอย่างโน้นนี่ มันไม่ง่ายหรอก เดินกัน คนละแขวง

อาตมาจะไปเดินชนกับพระส่วนมาก เพราะอาตมาทำงานสายนี้ใช่ไหม เรื่องอะไร จะต้อง ไปโดนกับระเบิด ถ้าพระวางกับระเบิด อาตมาก็จะรู้ว่า โอ้โฮ ยุคนี้นี่พระวาง กับระเบิด แล้วโว้ย อาตมาก็จะได้รู้ ตอนนี้ยัง ยังไม่มีพระวางกับระเบิด เพราะฉะนั้น อาตมายังห่าง กับระเบิด อย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดานะ ไปตามธรรมของมัน สัดส่วน น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มันจะเป็นของมัน เพราะฉะนั้น คุณอยู่กับพวกชาวอโศก พาอย่างนี้ แหมคุณ ยากที่จะติดโรคเอดส์ อย่างนี้เป็นต้น เอ้ามันจริงนะ ยากที่จะติดโรคเอดส์ นี่พยายามมานี่ อย่าว่าแต่ไปเที่ยวหาเรื่องพวกนั้นเลย แม้แต่เราแตะเนื้อ ต้องตัวกันนี่ ห่างจนขนาดนี้แล้ว ไม่ต้องห่วงหรอก มันเป็นสัดส่วนของมัน ที่มันจะไม่ต้องไปพ้อง ไม่ต้องไปเที่ยวได้รับส่วนที่มัน มันไม่ใช่เรื่องของเรา

อาตมาไม่ต้องไปเที่ยวได้บอก การค้าเจ้านี้ โอ้โฮ รายนั้นรายนี้นี่ แข่งกัน ตอนนี้สินค้าอันนั้น จะต้องขึ้น เราต้องตรวจเศรษฐกิจโลกอย่างโน้นอย่างนี้ เสร็จแล้วจะต้องแข่งขันกัน อาตมา ไม่ได้ไปทำอย่างนั้น อาตมาไม่ต้องไปปวดหัว ไม่ต้องไปถูกเขาสั่งมากั้นขวางทางนั้น กั้นขวางทางนี้ เรื่องนั้นเรื่องนี้ หรือ แม้แต่อาตมานี่ประเภทเป็นระบบเจ้าพ่อ แหมทำเป็น เบ่งกัน ลบเหลี่ยมกัน แล้วก็ฆ่ากันแกงกัน สั่งเก็บกัน อาตมาไม่ได้ทำด้วยเลย ไม่ต้องห่วง อาตมาจะต้องไปโดนคนนั้นสั่งเก็บอย่างนั้นอย่างนี้ไม่ เพราะมันคนละสาย อย่างดีก็มี พระเท่านั้น มาสั่งเก็บอาตมา แหม แล้วพระจะสั่งเก็บอาตมา แล้วมันก็จะถึง อะไร จะขนาดนั้นนะ คงไม่ขนาดนั้นละมั้ง นี่กัมมัสสกตา อาตมาจะพยายามขยายความ ให้คุณฟังก่อน สักนิดหน่อย เพราะรู้สึกว่าอันนี้มันจะยาก ยากหน่อย กัมมัสสกตาศรัทธา วิปากศรัทธา หรือวิบากศรัทธา คงไม่ยากนะ ส่วนกัมมัสสกตตาศรัทธาคงจะยากหน่อย มันจะต้องเป็นได้สัดส่วนของมัน

๔ ตถาคต โพธิศรัทธา อันนี้ก็คงต้องรู้ไว้ เท่านั้นแหละนะ คือ เชื่อความตรัสรู้ พระพุทธเจ้า มั่นใจในองค์พระตถาคตว่า ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธ ทรงพระคุณทั้ง ๙ ประการ ที่เราสวดอยู่นี่ อิติปิโส ภควา อรหัง สัมมา สัมพุทโธ ที่เราสวดอยู่นี่ คุณทั้ง ๙ ประการ ตรัสรู้ธรรม บัญญัติวินัยไว้ด้วยดี ทรงเป็นผู้นำทางที่ทำให้เห็นว่า มนุษย์ คือ เราทุกคนนี้ หากฝึกตนด้วยดี ก็สามารถเข้าถึงภูมิธรรมสูงสุด บริสุทธิ์หลุดพ้นได้ ดังที่พระองค์ ได้ทรงบำเพ็ญไว้ เพราะฉะนั้น เราเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง นอกจากเชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อผลของกรรม สัตว์มีกรรมเป็นของๆตนแน่ๆ เลยจะเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ แล้วมันจะไม่ ทุกข์นะคุณ อย่างคุณบุญเรือนนี่เขาไม่ทุกข์ เพราะเขาเล่าให้ฟังแล้วเมื่อคืน มันก็เป็นกรรม ของฉันนะ ฉันต้องมีอย่างนี้ๆ ฉันจะไปงอมืองอเท้าทำไม มันไม่มีมือจะงออยู่แล้ว ยังไม่ต้อง ห่วงอะไรก็สบายๆ ไม่ได้เป็นปมด้อย ไม่ได้เป็นปมด้อย อาตมาเองอาตมาซาบซึ้ง นะว่า เป็นปมด้อย ไม่มีมือมีนิ้วอะไรก็เป็นปมด้อย บางคนก็โอ้ อาย ไม่กล้าไปหาให้คนดู คนเห็น นี่ไม่ จะทำอะไรก็ทำไปสิ มันเป็นมุมกลับเสียด้วย คุณมี ๑๐ นิ้ว คุณยังทำไม่เห็นจะขยัน เท่าฉันเลย ฉันไม่มีนิ้วฉันจะขยันกว่า ทำได้ด้วยนะเป็นมานะซ้อนก็แล้วนะ เดี๋ยวก็ได้ไปข่ม เบ่งเขา แม้เราทำได้ดีกว่าเขา ทั้งๆ ที่ต่อให้คุณมี ๑๐ นิ้ว ฉันไม่มีนิ้ว ฉันก็เก่งกว่าคุณนะโว้ย เขาก็เป็นมานะเติม เมื่อไม่มีมานะด้วยซ้ำ มันก็เหมือนคุณ นั่นแหละ คุณสิน่าอาย คุณมีของ มีอุปกรณ์อะไรก็มากกว่า คุณเองคุณก็ยังทำไม่ได้เท่าฉันน่ะ ใช่ไหม ไม่เป็น ปมด้อย มันก็ไม่ทุกข์นี่ วาง มันก็กรรมของเรา ถ้าเผื่อว่าระลึกชาติได้เมื่อใด จะรู้ว่า ไปทำ อะไรมา มันถึงได้เกิดมาไม่มีนิ้ว ที่นี้ เรายังไม่มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ ก็เอาเถอะ ไม่เป็นไร ไม่ต้องเสียเวลา

อาตมาเองยังไม่เสียเวลาเลยว่า อาตมาทำไมจะต้องเป็นอย่างนี้ จะต้องอย่างนี้ ไม่รู้นะ จุดบกพร่องอะไร ทำไม คนนั้นจะต้องมาด่าอย่างนี้ อาตมาเหมือนนางจิญจมาณวิกา เหมือนอะไรอย่างนี้ จะต้องมาตู่อย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาไม่ได้ไปนั่งกังวล ไม่ได้ไปนั่งระลึก แต่ก็รู้ว่า เออมันก็ต้องอย่างนี้ นะ เราต้องพบอย่างนี้ อย่างน้อยปัจจุบัน มันก็บอกเรา เพราะว่าเราเอง เราบอกว่า ศาสนา หรือธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นเช่นนี้ เขาท้วงเราว่ามันผิด เราเอาเหตุผล เอาความหมายของเขามา เขาบรรยายว่า ควาหมายเป็นอย่างนี้ มันผิด อย่างนี้ๆ เหตุผลเป็นอย่างนี้ๆ เราก็จะรู้เหตุผลของเขาหรือความจริง เขาเป็น เขามีเหตุผล ด้วย ตัวเขาพูดอย่างนี้ เขาก็เป็นอย่างนี้ด้วย เราก็รู้ แล้ว เอออย่างเขาเป็น กับอย่างเราเป็น อันไหนล่ะมันดีกว่ากัน อันไหนมันน่าจะถูกต้องกว่ากัน ดูทั้งความจริง ดูทั้งแง่เหตุผล เมื่อเทียบเคียงแล้วเราแน่ใจว่า ยังไงเราก็เลือกอย่างนี้ อย่างนี้ดีกว่า อาตมาบวชแล้ว ไม่ต้องสึกไปเป็นฆราวาสอย่างเขา ...

อาตมาว่า อาตมาไม่เอานะ หลักฐาน ความจริงนั้น เหตุผลเป็นอย่างไรก็ดู เหตุผลซิ แม้จะเรียนรู้มามากๆ มีคนรับรอง เยอะแยะ แล้วก็ว่าอาตมามาเป็นแบบนี้ๆ เราก็มาดู เหตุผล มาดูความจริง ความจริง ก็อย่างท่าน ได้ขนาดท่าน มีอะไรอย่างท่าน เหตุผล ก็อย่างนั้น เอามาดูเหตุผลด้วย อาตมาว่า อาตมาเลือกเอาอย่างอาตมา อาตมาไม่เลือก เอาอย่างนั้น จะมีหน้ามีตา ใหญ่โตกว่า ก็ไม่เอา อาตมาเอาอย่างนี้ดีกว่า หน้าเล็กก็ช่าง หน้าไม่โต ตาไม่โต ไม่ต้อง หน้าใหญ่หน้าโต หน้าตาใหญ่โตไม่ต้อง หน้าตาใหญ่โต อย่างนั้น ก็ตาม เราก็มาดูความจริง แล้วก็เลือกเอา อาตมาก็ ตรวจวิธีนี้ เอาของจริงๆๆ แล้วก็เลือกเฟ้นเอา ไม่ต้องกังวลว่า เออเราโดน ว่า โดนด่า เราโดนอย่างโน้น อย่างนี้ เป็นปมด้อยในใจ ไม่ต้องอย่างโน้น อย่างนี้ ไม่มีความกลัวสิ่งนั้นความรู้สึกว่า เราเป็น ตัวด้อยแล้ว เราก็ไม่ทุกข์ ถ้าเป็นตัวด้อยนี่ ทุกข์ใครด้วย แหม แค่ผู้หญิง ฉันไม่สวย กว่าเขานี่ เป็นทุกข์ แค่นี้ก็แหม คุณเอ้ย เคยมาแล้ว ด้วยกันทั้งนั้นแหละ ผู้หญิงนั่นนะ ไม่สวยก็ทุกข์ น้อยใจ ดีไม่ดีอยากจะเอาชนะคะคาน ทำอะไรต่ออะไรต่างๆนานาไปอีก หรือแม้เรื่องอื่นเรื่องใด ฉันไม่มีไม่รวย สู้เขาไม่ได้ โดยส่วนนั้น ส่วนนี้ก็ตาม มันก็มีสารพัดแง่ สารพัดมุม ก็ไม่ต้องมีเป็นปมด้อย ก็ไม่ทุกข์แล้ว ก็อย่าไปเป็นปมโด่ง มันจะต้องไป เบียดเบียนกันอีก ก่อเวรก่อภัยอีกก็แล้วกัน ทั้งสองด้าน อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เรื่องของ กัมมัสสกตา

ทีนี้ตถาคตโพธิศรัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่มาบังคับให้คุณเชื่อนะ อาตมา มาพูดนี่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมาล้างสมองว่า บังคับให้คุณไปเชื่อ พระพุทธเจ้า อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า อาตมาเล่าของอาตมาดีกว่า อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า ไม่เอาเรื่องลึกลับ ไม่เอาอจินไตย เล่าเรื่องอจินไตยพวกคุณไม่รู้กับอาตมา คุณไม่มี คุณก็จะไม่เอา เอาสิ่งจริง อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้า เพราะว่าพระพุทธเจ้าสอนให้อาตมา มักน้อย อาตมาก็เข้าใจ ความหมายของคำว่ามักน้อยนี้ถูก สอนให้อาตมาเลี้ยงง่าย อาตมาก็ เข้าใจในความหมายของคำว่าเลี้ยงง่ายให้ถูก แล้วมาทำตนให้เป็นผู้เลี้ยงง่าย ดูซิ กินง่ายๆ ไม่ต้องเลือกมาก ไม่ต้องติดยึดอะไรเยอะแยะ อะไร อย่างนี้เป็นต้น

เราก็มาทำจริงๆ เห็นจนกระทั่งถึงอารมณ์จิต เห็นถึงกระทั่ง ภาวะเป็นความยุ่งยากอะไร เขาก็ยุ่งยาก เราก็ยุ่งยาก อะไรหรือไม่ต่างๆ นานาสารพัด เออเลี้ยงง่าย มันเป็นอย่างนี้ หมายความว่า ใครเลี้ยงง่าย ไปบิณฑบาต เขาเอาปลามาใส่ก็รับ เขาเอาเนื้อมาใส่ก็รับ ขัดศรัทธาไม่ได้ ถ้าขืนขัดศรัทธาเป็นคนเลี้ยงยาก เขาเอาอะไรมาให้ เอาลูกสาวมาถวาย ก็ต้องรับ ขัดศรัทธาไม่ได้ เอาลูกสาวมาใส่บาตรก็ต้องรับ อาตมาเคยพูดหยาบๆ เขา เอาอึ ห่อใส่บาตรมา ก็ต้องยิ้มทั้งๆที่รู้ว่าห่ออึก็ต้องรับมา เพราะว่าขัดศรัทธาไม่ได้ เอาหรือเปล่า อาตมาอยากรู้ คนที่บอกว่าขัดศรัทธาไม่ได้ ใครลองดูบ้าง เปิดห่อแล้วใส่ถุงพลาสติก ให้เห็นๆ หน่อยนะ หย่อนใส่บาตรเลย คุณจะเอาบาตรหนี อย่างนี้หรือเปล่า จะต้องไม่รับ อาตมาอยากจะดูนะ เขาใส่อะไรให้ก็ต้องรับนี่ พูดออกมาได้ ขัดศรัทธาไม่ได้ นั่นมันพูด ด้วยความตะกละ อะไรก็จะเอาหมด พระพุทธเจ้าสอนว่า เอาที่ไหน อะไรก็ให้เอาดะดะ ทุกอย่างเลย มันแปรเปลี่ยนคำสอนมา ขัดศรัทธาไม่ได้ ไม่เห็นมีในที่ไหนเลยนะ ขัดศรัทธา ไม่ได้ มีแต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ขัดเกลา ขัดเกลาก็คือขัดความเชื่อนั่นแหละ ศรัทธา ก็คือ ความเชื่อ ขัดเกลา ขัดความเชื่อถือที่มันผิดๆ ที่มันไม่เข้าท่าแล้ว ต้องแก้ไขเขานะ ชาวบ้านนั่นแหละต้องแก้

พระผู้ดีแล้ว ผู้ที่เป็นพระแล้ว อริยะแล้ว ท่านรู้แล้ว จะไปแก้ท่านทำไม หรือแก้ให้ก็ท่าน ที่ยังเป็นน้อง หรือยัง รู้ไม่เท่า ก็แก้กันต่อเป็นระดับ โดยเฉพาะกับชาวบ้านนั่นแหละ ตัวที่จะต้องขัดศรัทธาให้เก่ง ไปเชื่อผิดๆมาอะไรเยอะแยะ เราก็ต้องขัดซิ มันมีศรัทธา ที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น ที่อาตมา เชื่อพระพุทธเจ้านี้ เพราะอาตมาเอามาพิสูจน์ เออ เราไม่เอานะ ทรัพย์ศฤงคาร เราไม่ต้องไปติดอบายมุข เราไม่ต้องไปติดกาม แต่ก่อน โลกมอมเมา จะต้องไปติดกาม เราก็จีบดะเลย อาตมาก็เจ้าชู้ไก่แจ้ มีแฟนตั้งแต่อายุ ๑๔ จริงนะ อาตมาตอนนั้นอยู่ ม.๖ แฟนเขาอยู่ ม.๕ จีบ จีบหลายคน กว่าจะคนนี้เป็นแฟนนะ ไม่ใช่จีบคนนี้ แล้วเป็นแฟนคนแรกเลยนะ จีบมาหลายคนก่อนนั้น ตั้งแต่อายุ ๑๓ นั่น ป้อ อาตมาเขียนจดหมายรักให้เพื่อน เขียนให้เขาก่อนเลย เขียนให้ตั้งแต่อายุ ๑๓ อาตมาอายุ ๑๓ อยู่ ม.๕ เริ่มคะนองเป็นไอ้หนุ่ม มันก็ยังไม่หนุ่มเท่าไรนะจีบผู้หญิง อายุ ๑๔ ก็มีแฟน คือ หมายความว่า มีแฟนเราก็รู้ทันนะ แฟนคือ คู่รักต่างคนต่างเข้าใจกันว่า เราคู่รักกันใช่ไหม ก็คงจะเข้าใจนะ คนไม่เคยก็ช่างเถิดนะ คนเคย ก็หมายความว่า เรารู้กันว่า เราเป็นคู่รักกัน ใช่ไหม บางทีเราเป็นแต่เพียงเราชอบเขา เขาชอบเราหรือเปล่า เรายังไม่เคยบอกกันเลย เคยรู้สัญญาณที่แน่ชัดกันเลย เรายังไม่เรียกว่าคู่ มันต่างคน ต่างแม้จะรักตรงกันด้วยซ้ำ สองคนนี้ ก็รักกันใจตรงกัน แต่ว่าไม่ได้บอกกัน ยังไม่แน่ชัดกันนี่ ยังไม่ถือว่าคู่รัก คู่รักหมายความว่า เออ ใช่เป็นคู่รัก เรารู้กัน จะพูดภาษา หรือว่าได้ทำ ที่จริงอาตมาไม่เคยพูดฝากรักเลยนะ นี่จริง แต่จดหมายนี่เขียน ตัวหนังสือเขียน แต่คำพูดจริงๆเลยนะ ต่อหน้าต่อตายังไม่ แหม ว่าฉันรักเธอ เอ๊ ยังไม่เคยกล่าวเลย ในชีวิตนี้ ยังไม่เคยกล่าวเลย มันเหนียม มันพูดไม่ออก มันไม่พูดหรอก แต่มันก็เข้าใจด้วยภาษา วิญญาณกันนะ แต่ตัวหนังสือนี่เขียน รักอย่างโน้น จดหมายนี่เขียน เขียนกันตรงๆได้ แต่ว่าพูด เอ่ยปากนี่ ไม่เคยพูด พูดมันไม่ออก พูดรักๆ อย่างไรนะ พูดเธอรักฉัน ฉันรัก เธอจริงๆ รักสุดหัวใจ จะหวานอย่างนั้นไม่เป็น พูดอย่างนั้นไม่เคยพูดนะ นี่เรียกว่าคู่รักนะ อาตมาป้อ จีบ มีคู่รักอยู่แล้วก็จีบคนอื่นก็จีบ แต่ไม่ใช่นอกใจนะ แปลกนะ อาตมาว่า เอ๊ ก็จีบเล่นๆไป แต่จริงๆก็รักคนนี้ แต่ก็จีบเล่นๆไป แล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนนะ ถ้าคนนี้ยังเป็นคู่รักอยู่ แล้วก็ไปจีบคนโน้น แล้วก็มาเอาคนนั้น มาเป็นคู่รัก ไม่ได้เปลี่ยน ไม่เคยเปลี่ยน ไม่ได้เปลี่ยนหรอก จีบเล่นไปอย่างนั้น จีบคนที่ ๒ ที่ ๓ ก็จีบไป เออ คนนี้มันน่าจีบ ก็จีบ อย่างนั้นนะ มันก็แปลกๆ นะ มันก็อย่างไง โลกเขาสอนให้อาตมาเป็นอย่างนั้นนะ ผู้ชายเขาก็บอกว่า ต้องมีแฟนเยอะๆ มีคนห้อมล้อม มีอย่างโน้นอย่างนี้ มันเก๋ อะไรต่างๆ นานา อย่างนี้ใช่ไหม แต่ใจตนเองลึกๆรู้เลยนะ คนนี้คู่รักของเรา เราก็รู้คนนี้คู่รัก จีบก็จีบไป ตามประสาไอ้หนุ่ม มันจะหว่านโน่นนี่ อะไรมันก็ทำ แต่ว่าก็ไม่ได้ไปจริงจังอะไรกับเขา เท่าไรหรอกนะ

มันก็จีบไปอย่างนั้น จีบภาษาที่เรียกว่า ให้เขามาชอบเรา ของเก๋ชนิดหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้คิดว่า จะต้องผูกพันเขา เป็นแบบคู่รัก เพราะเรามีคู่รักอยู่แล้ว อย่างนี้ก็มี อาตมาเคยในชีวิตนี้ อาตมาถือว่าเป็นคู่รักจริงๆ ที่หมายความว่า แต่เลิกกันทีละคนนะ ไม่ใช่ว่า คนนี้เลิกแล้ว แล้วค่อยมามีคู่รักคนใหม่ คู่รักจริงๆ อาตมาดูในชาตินี้ จะมี ๓ คน เลยได้เล่าเรื่องนี้ ไปเลยนะ ชอบฟังกันด้วยนะ แต่ก็ดีเหมือนกันน่ะ เล่าเอาไว้ เพื่อคุณจะเอาไปทำเป็นหนัง คู่รักคนแรกนี่ อย่างที่ว่านี้อายุ ๑๔ เสร็จแล้ว ก็รักกับเราอยู่ดีๆ ทำไมไปมีลูกกับคนอื่น ก็ไม่รู้ อาตมาเรียนกรุงเทพฯอยู่ๆ มาวันหนึ่ง ก็ได้รู้ข่าวว่าเขามีท้องแล้วนะ เขาให้ออกจาก โรงเรียน อ้าว รักกับเรา แล้วไปมีลูกกับคนอื่น มันก็ต้องเลิกกันใช่ไหม แต่อาตมาก็ไม่ได้ โกรธเขานะ ลูกเขาคลอดอะไรๆ อาตมาก็ยังไปอุ้มไปชู ไปนอนค้างบ้านเขาด้วย มีลูกแล้ว ก็ยังไปนอนค้างบ้านกับพ่อแม่เขาด้วย สงสารอาตมานะ คือรู้กันนะ พ่อแม่เขาก็รู้ว่าเรา ชอบกันกับเขา ก็ยังไปเลี้ยงดูอุ้มชู ยังมีรูปถ่าย ยังมีเลยรูปลูกสาวของเขานะ อาตมาก็ไม่ได้โกรธได้เคืองอะไรเขา พอเลิกก็เลิก อาตมาก็ไปละ มันไม่สมพงษ์กันแล้ว นี่นะ ก็ว่าไป คู่รักคนแรก จนตั้งนาน กว่าจะมีคนรักคนที่ ๒ ก็จีบไปอย่างนั้นนะ จีบคนโน้น คนนี่ไปตามเรื่องตามราว แต่ไม่ได้เป็นคู่รัก ไม่ได้ปักใจอะไรมากมาย กว่าจะมีคู่รักคนที่ ๒

มีคนรักคนที่ ๒ เขาเป็นครู แล้วก็นานพอสมควร สุดท้ายก็เลิกกันอีก จึงมีคู่รักคนที่ ๓ แต่ทีละคน แต่จีบซ้อนนี่ มีอยู่ทุกคนเลย มีคู่รักแล้ว ก็ไปจีบคนนั้น มีทุกคนเลย มีบทบาท เรื่องราว การจีบอะไรต่ออะไร อาตมาไม่อยากเล่ามันเมื่อย ถึงบอกว่า โลกมันหลอกเรา อย่างนั้น เราก็ทำ

แต่พอมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า ก็ไอ้เรื่องนี้เราก็รู้อยู่แล้ว เป็นเรื่องของกาม เรื่องของราคะ มันก็เข้าใจ ทำไมคุณไม่เข้าเหรอ เลิกสิ เอาเลิกก็เลิก อาตมาก็เลิก ตอนเลิก ปฏิบัติธรรมแล้ว คู่รักคนสุดท้ายยังอยู่นะ ชวนเขามาปฏิบัติธรรม ว่าจะมาปฏิบัติธรรม อาตมาก็พอปฏิบัติแล้วก็เลิก เอ นี่ มันคู่รักนั่นนะ เขาก็จริงจัง จะแต่งงานกันอะไร อาตมาก็โชคดีที่ไม่ได้แต่งงาน เพราะอะไรรู้ไหม คู่รักคนสุดท้าย นี่ มันพร้อมทุกอย่าง อาตมาก็มีฐานะ มีอะไรต่ออะไรทุกอย่างนั่นนะ

ที่ไม่ได้แต่งงาน ก็เพราะพ่อแม่เขาไม่ยอม พ่อแม่เขารังเกียจอาตมา ว่าอาตมาไม่มีปริญญา คือ แฟนของอาตมา เขาไปเรียนเมืองนอก เขามีแฟนอยู่ในเมืองนอก แฟนเมืองนอก คือ เขาก็คง จะมีเหมือนกันนั่นนะ ก็คั่วๆกันไปตามประสา แต่ที่จริงรู้จักกัน ตั้งแต่เขายัง เรียนอยู่มัธยม อาตมาทำงานแล้ว จนกระทั่งเขาไปเรียนต่อเมืองนอก แล้วเขาก็กลับมา เขาไปเมืองนอก เขาก็เจอกับผู้ชายคนนี้ เขาก็ไปเป็นแฟน จบวิศวะปริญญาโทมา อาตมา มันไม่มีปริญญาสักใบ พอเขาชมชื่นแหม เหมือนในหนังจีน พอลูกสาวเขากลับมา พ่อเขา ก็จัดเลี้ยง ใช่ไหม จัดเลี้ยง ก็เชิญเพื่อนฝูง เขาก็เชิญแฟนที่เป็นปริญญาโท วิศวะเมืองนอก นี่มาด้วยนะ เชิญอาตมานี่ แฟนอาตมาเป็นคนเชิญ พ่อเขาไม่ได้เชิญอาตมาหรอกนะ มันเหมือนหนังจีนเลยนะคุณ เหมือนจริงๆเลย พ่อเขาก็ TAKE CARE เอาใจไอ้หนุ่มคนนั้น ใช่ไหม เขาไม่ได้แลอาตมาหรอกพ่อเขานะ อาตมาก็พยายามทำดีกับพ่อเขาตั้งนาน นะ เขาก็ไม่แลอาตมา รู้ข่าวเขานี่ไม่ใช่วันเดียวนี่ มันหลายปีใช่ไหม เขาก็รู้นี่ เรื่องการติดต่อ เรื่องอะไร ต่างๆนานา เขาก็ดูถูกดูแคลนอาตมานะ อาตมาก็แหม่ดูถูกดูแคลน แม้เราไม่จบ เราก็เลี้ยงได้นะ ลูกสาวแกนี่เราเลี้ยงได้นะ อะไรต่างๆนานา เราบอก เราก็ทำ แม้แต่อาตมา เคย มานึกได้ตอนนี้ว่า อาตมาเล่นวิธีการนี่นะ อาตมาจะส่งน้องชายไปเรียนเมืองนอก ยังทำทีไปปรึกษาหารือพ่อเขาเลย เพื่อให้เขารู้ ข้านี่ส่งน้องชายไปเรียนเมืองนอกนะ ลูกสาวแกไม่ต้องห่วงหรอกน่า คล้ายๆอย่างนั้นนะ ที่จริง ไม่เห็นจะต้องไปปรึกษาเขา เลยนะ อย่างนี้เป็นต้น

มันเป็นไปสารพัด เพื่อให้เขาเห็นว่า ข้านี่ไม่ใช่คนเบาๆนะ แม้จะไม่จบปริญญาก็เถอะ อาตมาตอนนั้นนั่นจะทุกอย่าง นี่ยกฐานะตัวเองมีรถขี่ จะซื้อรถเบ็นซ์ เพราะว่าอายุ ๓๐ กว่า เขาบอกว่า พ่อเขาขี่รถตั้งแต่อายุ ๓๐ กว่าเหมือนกัน อาตมาก็มา จะขี่รถเบ็นซ์อายุ ๓๐ กว่า เหมือนกัน ตอนนั้น รถเบ็นซ์ไม่ใช่ราคาถูกๆเหมือนกัน ก็เหมือนกันแหละ ตอนนี้ก็ไม่ถูก ใช่ไหม รุ่นใหม่ ตอนนั้น รุ่นใหม่ เบ็นซ์ ๒๐๐ ออกมา ประเภทหางมนแล้วล่ะ ไม่ใช่หางตัด ไม่ใช่หางแหลม หางมนแล้วรุ่นใหม่มาเลย ไปดูที่โชว์รูมเลย ที่ราชดำเนิน เลือกสีด้วย จะเอาสีนกพิราป สีฟ้าๆ เสร็จแล้ว พ่อเขารังเกียจอย่างที่ว่านี่ เลยไม่ได้แต่ง สักที พ่อแม่เขารังเกียจ เขาไม่เอาเราล่ะ มันก็เลยไม่ได้แต่งสักที จนสุดท้ายอาคตมา ก็มาปฏิบัติธรรมเข้า ก็เลยบอกว่า ปฏิบัติธรรมแล้วก็เลยไม่ มันก็ให้เขามาปฏิบัติ เขาก็ไม่เอา นานไปๆ เข้า ก็อย่างที่อาตมาเคยเล่า ก็ค่อยๆปลด ค่อยๆทำ แล้วใจมันก็ไม่ยาก อาตมาไม่ยากๆ พอรู้ว่า ก็เรื่องนี่ มันเรื่องไม่จริงนี่ มันเรื่องทุกข์นี่นะ มันก็ยิ่งเห็นว่า มันทุกข์นี่นะ โอ้โฮ มันทุกข์นะ อาตมาจะไปรับเขา ใหม่ๆ ยิ่งแรก ๆ นี่ โอ้โฮ ต้องซ่อนนะ คอยขับรถไปแอบไว้ที แล้วเขาก็ออกมาจากบ้าน ยากนะ โอ้ มันมีวิบากเยอะ นะ ก็ลงพ่อแม่ของอีสาว ไม่ค่อยยินดีด้วยไอ้หนุ่ม แล้วก็ฐานะไม่ค่อยดีด้วย ก็เหมือนนิยาย เราดีๆนั่นแหละคุณ ให้เก่งเท่าไร ก็เก่ง เหมือนนิยายจีน อย่างไรอย่างนั้นเลย ดูหนังจีนมาหลายเรื่อง เหมือนกันนั่นแหละ มันไม่ใช่เรื่อง นิยายหรอกนะ มันเรื่องจริงของเรา ต่างๆนานาอย่างนี้ เป็นต้น

อาตมาก็เห็นว่าเป็นทุกข์ เป็นอะไร เลยเลิกมาแล้ว ง่าย เพราะอาตมาปฏิบัติง่าย ก็ยิ่งห็น บุพกรรม ยิ่งตอนหลังๆมา ระลึกนั่น ระลึกนี่ ได้รู้ได้เห็น ไม่ตั้งใจจะพูดอจินไตย มันก็มี อจินไตย มีโน่น มีนี่ อ๋อ สิ่งเหล่านี้ มันต้องสัมพันธ์กัน มันต้องมีไอ้โน่น มันต้องมีวิบาก มีโน่น มีนี่ ไอ้เรื่องพวกนี้ เรามีบุญเก่าแล้วมันก็ง่าย ใจมันก็วางง่าย มันก็ทิ้ง มันก็จืด ก็จาง ก็เลิก แล้วต้องเลิก อาตมาถึงเห็นว่า เราต้องทำให้เลิกนะ มันเป็นวิบาก กันเพราะอะไร ผู้หญิงคนนี้ๆ อ้อ ผู้หญิงคนนี้ ว่าจะไม่พูดเกี่ยวพัน ไปอจินไตยบ้าง มันก็ต้องพูดบ้าง คนนี้นะ คนที่มีวิบากร่วมกันมามากว่า มันจะต้องมีอย่างโน้นอย่างนี้ กว่าอะไร อย่างนี้ มันก็เป็นจริงนะ ก่อนเราไม่รู้ เพราะเราไม่มีภูมิถึง เราก็ไม่รู้ เมื่อเรามีภูมิถึง เราก็รู้ เรารู้ของเรา เราถึงรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสนั้นเป็นของจริง พระพุทธเจ้าท่านก็เจอของท่าน อย่างที่ท่านเล่าอะไรของท่านนี่ เอ้า ก็ท่านก็จริง ของเราบ้างละ เอ้อ มันก็เหมือนกันแฮะ อารมณ์ก็เหมือนกัน ทุกข์ก็เหมือนกัน วางแล้วปล่อย แล้วมันก็หมดทุกข์เหมือนกัน

นี่ต้องเอาเนื้อๆ ต้องเอาเนื้อสาระ มันชัดหมดทุกอย่าง เราก็เชื่อว่า โอ พระพุทธเจ้ามีจริง ท่านทำสิ่งนี้ เราว่าไม่ง่ายนะ เราทำบ้าง เราทำได้ในสิ่งที่ท่านทำได้ มันไม่ง่ายนี้ คนอื่น เขาทำไม่ได้ เราทำได้ อ้อ มันจริงนะ มันทำได้ จริงเพราะเราทำได้ จริงเพราะเป็นกรรมอัน บรรลุแล้ว เป็นกตกรรม เป็นกรรมที่ทำแล้วได้แล้ว มันก็เห็นความเป็นแล้ว มีแล้วนี่จริง มันยากนะ แม้แต่เลิกอบายมุขนี่ มันก็ยังยากเลย ใช่ไหม คนนี่ใจรอนๆ เป็นยังไง เหลือเศษอนุสัย อาสวะเป็นอย่างไร มีเหลือกิเลสอย่างโน้นอย่างนี้ อย่างไร มันก็เห็น มันหมด มันก็เห็น อ้อ คนอื่นเขายังติด ทำไม๊ มันยากน้า เราไม่เห็นยากเลย เราก็รู้นะ อ๋อ มันยากนะ มันยาก แต่เรามันง่าย เราง่ายก็เพราะเราได้ทำมา เราได้บำเพ็ญมา เราได้ สั่งสมมา เพราะฉะนั้น เราก็ง่าย ถึงเข้าใจว่า พระพาหิยทารุจริยะ ท่านง่าย เพราะอะไร เอ๋า ก็ท่านทำมีแล้ว ท่านมีบุญของท่านแล้ว กรรมอันทำแล้ว เป็นกัมมทายาโทของท่านแล้ว ท่านก็ง่ายน่ะสิ เออ เราก็ง่าย ก็ของเราก็รู้ว่า ของเราได้ทำมาจริง อันที่เรารู้ มันก็ง่าย อาตมาก็ถึงเข้าใจ อาตมาไม่ลงโทษหรอก

พวกคุณบอก ทำไมมันทำไม่ได้สักที เออ ไม่ได้สักที ก็ทำไปหลายๆที ก็คุณยังไม่ทำ แล้วคุณยังไม่ได้สักที แล้วคุณอย่ามาบ่นนะ ว่าทำไมยังไม่ได้สักที ก็คุณยังไม่ทำ มันจะได้สักทียังไงละ ก็ทำมันเข้าไปสิ ทำทีนึงสั่งสมไว้ ๒ ที ทำไว้ ๕ ที ๑๐ ที ๑๐๐ ที คุณก็ต้องทำของคุณ มันจึงเห็นแน่ชัด ถึงกรรมกัมมัสสกตา มันเชื่อใน กัมมัสสกตาสัทธา มันเชื่อในกรรมที่เป็นของๆตน ต้องทำไว้นะ เราทำได้อย่างนี้ เพราะเราทำ เพราะฉะนั้น กุศลนี่ คุณอย่าไปมักน้อยเลย สะสมมันเข้าไปเถิด กุศลมันจะง่าย มันจะเป็นของตน มันจะเป็นได้จริง ๆ

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้อย่างนี้ ท่านมีญาณอันนี้ ท่านมีอันนี้ เราแม้ไม่เท่าท่าน เราก็ อ๋อ อันนี้ คนอื่นเขาไม่รู้นะ คนอื่นเขาไม่ได้ง่ายๆ ยิ่งเรื่องที่ลึกซึ้ง ยิ่งเรื่องที่เป็นอุตริมนุสธรรม ลึกๆมากๆ พูดบ้างขนาดนี้ เขายังจะเอาปาราชิกแล้ว ถ้าไปพูดมากกว่านี้ มันไม่ ยังไง ไม่ใช่ ปาราชิกธรรมดาละมั้ง เขาคงเอามหาปาราชิกมั้ง มันจริงๆนั่นนะ เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า เราเชื่อพระตถาคต เชื่อพระพุทธเจ้า เพราะเราได้พิสูจน์ เอหิปัสสิโกของท่าน ท่านเองท่านทำแล้ว ท่านท้าทายให้มาพิสูจน์ เราก็มาพิสูจน์ตามท่าน เราก็มาเห็นกับท่าน เป็นอย่างที่ท่านเป็น ในส่วนที่เราเป็นได้นั่นนะ ไม่ใช่ว่าเราเป็นอย่างที่ท่านเป็นได้ทั้งหมด สมบูรณ์ ขนาดพระพุทธเจ้า อ้อมันยากนะ ไม่ใช่ของธรรมดา เป็นอุตริมนุสธรรม เป็นธรรมอันเหนือมนุษย์ ที่จะเป็นได้ง่ายๆ จริงนะ เราจึงเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริง เพราะฉะนั้น ที่คนบอกว่า พระพุทธเจ้าพูดอย่างนี้เหมือนนิทาน ไม่มีหรอก โม้ เป็นไม่ได้หรอก คนเหล่านั้น ไม่มีทางบรรลุหรอก ไม่มีทางที่จะได้ธรรมะ เพราะเขาไม่มี ตถาคตโพธิสัทธา เขาไม่เชื่อพระพุทธเจ้า

พวกคุณ เชื่อบ้างไหม ๆ แล้วแต่ใครที่จะมีความเชื่อ ตถาคตโพธิสัทธา ของคุณเอง คุณเชื่อนี่ คุณอาจจะเชื่อด้วยความเชื่อแบบตรรกศาสตร์ก่อนก็ได้ แต่คุณควรจะมี ที่มันเป็นปรมัตถ์ เป็นของจริงที่เราทำได้แล้ว แล้วเราจึงเชื่อ เมื่อคุณเริ่มมี คุณจะเริ่ม เชื่อขึ้น ยิ่งมีมาก ยิ่งเริ่มเชื่อมาก ยิ่ง มีมากๆ ยิ่งเชื่อมาก ยิ่งมีเหตุ ทั้งเหตุทั้งผล ทั้งของจริงเข้ามากๆ แล้วคุณ อาตมาไม่กลัวพวกคุณหนีอาตมา เพราะถ้าคุณเองไม่ได้จริง คุณหนี ถ้าคุณได้จริง ไล่ก็ไม่ไป จริงๆ อาตมาไม่กลัวจริงๆ ใครจะมาแย่งเอาบริวาร จะมาแย่งเอาสาวก จะมาแย่งเอาลูกศิษย์ แย่งเอาเลย ไม่กลัว ไม่กลัวจริงๆนะ อาตมาไม่กลัว แล้วไม่ได้น้อยใจ และไม่ได้เสียใจ ทำไมหนา เราช่วยเขาไม่ได้ ให้เขาเข้าใจ ให้เขาอยู่ประพฤติต่อไป ทำไมเขาต้องแวะเวียนไปทางโน้น บางคนอาตมาต้องเห็นใจ เพราะว่าเขาอยู่กับเราไม่ได้หรอก ภูมิของเขายังไม่พอหรอกที่จะอยู่อย่างนี้ เขาต้องไปอยู่ กับคนนั้นคนนี้ เหมือนกับลูกศิษย์ สญชัย เวลัฏฐบุตร ก็ต้องไปอยู่กับสญชัยก่อน มาอยู่กับเราไม่ได้หรอก เขาอยู่ก็ทุกข์ เขาอยู่ เขาทรมาน เขาทำไม่ไหว เขาต้องอยู่กับรุ่นนั้นก่อน ขนาดนั้นก่อน เพาะฉะนั้น อาตมาเอ็นดู

..... เขาต้องอยู่อย่างนั้นก่อน เขามีกุศลของเขาเหมือนกันนะ มีส่วนกุศลของเขาพอสมควร ในฐานะของเขา แม้จะงมงายบ้าง แต่ก็มีส่วนที่หวังดี ที่ปรารถนา ในความที่ควรจะอยู่ อย่างคนที่ดีอย่างนี้ แต่ความลึกซึ้งที่จะเป็นเรื่องนามธรรม ที่มันสลับซับซ้อน ตีลังกา หกคะเมน อะไรอยู่ก็ เขาก็หมายดี ต่างๆนานา มันก็ยังพอเป็นพอไป เพราะฉะนั้น ในฐานะของแต่ละบุคคล เราเข้าใจแล้ว เราก็ไม่ต้องไปทะเลาะกับใคร ไม่ต้องไปแย่งบริวาร ไม่ต้องไปแย่งคน ไม่ต้องไปแย่งโน่น แย่งนี่ ไม่ต้องไปอะไรต่ออะไร อย่างนี้จริงๆ เพราะฉะนั้น ใครจะเห็นได้เลย ใครอยู่ปฏิบัติกับอาตมามานาน ว่าอาตมา ไม่แย่งบริวารใคร ไม่แย่งลูกศิษย์ใคร ใครจะไปก็ไป ใครจะอยู่ก็อยู่ ใครจะมาก็มา แม้ใครอยู่ไม่ได้ ก็เป็นทั้งคุณทั้งอาตมา คุณเองคุณไม่มีภูมิปัญญาที่จะรับอาตมา อาตมาก็ไม่มีภูมิที่จะสอนคุณให้ได้ สัดส่วนมันต้องลงกัน เป็นกัมมัสสกตา เป็นสัดส่วน ที่พอเหมาะ เมื่อมันไม่ได้ ก็ต้องแยกกันก่อน ถ้ามันได้มันก็อยู่ คุณก็มีภูมิรับอาตมาได้ อาตมาก็มีภูมิสอนคุณได้ มันก็สัมพันธ์กันได้ มันก็ต่อกันไป นี่เป็นสัจจะอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น เขาจะด่าอาตมาก็ไม่แปลก คุณจะอยู่หรือไม่อยู่ อาตมาก็ไม่แปลก ไม่แปลก ตามที่อาตมาเข้าใจนี่ คุณเชื่อไหม คุณฟังเข้าใจไหม

ถ้าเข้าใจแล้ว คุณจะเห็นชัดเจนเลยว่า อ้อ แล้วเราก็ไม่ต้องทุกข์อะไร ไม่ต้องไปกังวล โอ้ย นี่ คนนี้ มันจะไปแล้ว คนนี้มันจะจากเรา ไอ้คนนั้นมันจะด่าเราแล้ว ไม่ต้องล่ะ ด่าก็ด่ามาเลย ไม่ต้องจะล่ะ จะอยู่มันเมื่อย เอาเลย เขาจะเป็นไปตามกาละและ เหตุปัจจัย มันจะเป็นเช่นนั้นของมัน

สรุปแล้ว ที่อาตมาเชื่อตถาคตโพธิศรัทธา เท่าที่อาตมามีสิ่งพิสูจน์ คุณก็เชื่อตถาคต โพธิศรัทธา เท่าที่คุณได้พิสูจน์ ละลดอะไรมาได้ แข็งแรงอะไรเป็นสมาธิ เป็นสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ มีญาณที่จะรู้ว่า อ๋อ อย่างนี้มันตั้งมั่น มันแข็งแรงแล้วมันลดละ แล้วมันดี อย่างไร ไม่ดีอย่างไร คุณตั้งใจเอาแน่อันนี้ ไม่เปลี่ยนแปลง

สิ่งใดที่นิจจัง สัญญายะ นิจจานิ กำหนดเห็นมัน แน่ๆ แน่นอน เที่ยงแท้แล้ว ไม่แปรปรวน อีกแล้ว เป็นหนึ่ง สัญญายะ นิจจานิ หมายความว่า นิจจัง เที่ยง คุณกำหนดรู้อันนี้ จริง กำหนด หมายความว่า กำหนดตรวจสอบหมดเลยนะ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ สัญญาเวทยิตตัง นิโรธัง สัญญาเวทยิตะ มันดับ มันเลิก มันหมด มันดับไอ้เศษส่วน ไอ้ที่เป็นกิเลส เป็นส่วนที่มันได้แล้ว กำหนดรู้ด้วยสัญญาเวทยิตตัง ให้เคล้าเคลีย เวทยิตตะนี่ ให้เคล้าเคลียอารมณ์ กำหนดเคล้าเคลียอารมณ์ ที่มันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ มันว่าง มันปล่อย มีผลต่างๆ ที่มาประกอบด้วยเป็นเหตุเป็นปัจจัย อ้อ นิโรธแล้วอย่างนี้มันดี อย่างนี้หนอ ดับสนิทกิเลสแล้ว แม้เหตุปัจจัยก็ยังอยู่ มีอะไรพิสูจน์ตั้งนาน ไม่มีอวิมุติจร ด้วยซ้ำ มีเจโตปริยญาณ รู้อย่างชัดเจนเลย ตัดสิน แน่ ยิ่งกว่าแช่แป้ง ไม่มีแปรปรวน อวิปริตตัง ไม่มีวิปริต ไม่แปรปรวนอีกแล้ว มั่นคง แน่นอน เป็นหนึ่ง แน่อย่างนี้ มันก็จะเป็นอย่างนี้ คุณจะรู้ใจของคุณเองเลยว่า ไม่ได้เปลี่ยนหรอกอันนี้ มันชัดยิ่งกว่าชัด มันดียิ่งกว่าดี มันประเสริฐยิ่งกว่าประเสริฐ มันจะต้องเป็นอยู่ที่เรา เราจะต้องเป็นสิ่งนี้ เราจะต้องอาศัยสิ่งนี้ อาศัยอาการนี้ อาศัยสภาพนี้ ถ้ายังมีรูปนามขันธ์ ๕ อยู่ จะอาศัยสภาพนี้ จะอาศัยกรรมอันนี้ จะอาศัยสิ่งที่เป็นชีวิตอันนี้ จะเป็นกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่จะต้องทรงไว้อย่างสภาพนี้ เราจะเอาอันนี้แหละ มันจะเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ตถาคตโพธิสัทธานี้ จึงเกี่ยวเนื่องกับสิ่งประเสริฐ

พระพุทธเจ้าท่านสร้างสิ่งประเสริฐสูงสุดเอาไว้ เป็นขั้นเป็นตอนไว้ให้เราเดินตาม เราก็ จะเชื่อ พระพุทธเจ้า เพราะเราได้ทำ เพราะเราได้กรรม ได้กัมมสัทธา เราได้วิปากสัทธา เราได้กัมมัสสกตาสัทธา เราก็จะเชื่อพระตถาคต เป็นตถาคตโพธิสัทธาด้วย

ก็ได้มาถึงหน้านี้ เมื่อวานนี้ถึงหน้า ๕ วันนี้ถึงหน้า ๑๐ ก็ดีเหมือนกันนี่ ก็พอสมควร มาถึง หน้านี้แล้ว เราก็ได้บรรยายถึงเรื่องกรรมต่างๆ ค่อยๆขยายความ เอาไอ้โน่น ไอ้นี่ ประกอบ ขึ้นมา เมื่อผู้ใดเข้าใจเรื่องเนื้อหาของกรรม คุณจะเกิด กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมจำสัตว์ คุณจะเกิด จากสัตว์อบาย เกิดมาเป็นเทวดา อุบัติเป็นเทวะ เป็นอุบัติเทพขึ้นมาจริง เกิดจริง ๆๆ ขึ้นมา ก็เพราะกรรมคุณทำ มันจะเกิด เกิดจริง เป็น กัมมโยนิ กรรมเป็นกำเนิด จะเกิดจริง จงพิสูจน์ความเกิดนี้ เราจึงจะมีจุตูปปาตญาณ จึงจะเกิดญาณ เห็นความเกิด ความดับ เห็นความเกิดความตาย เห็นว่าเราเกิดจากสัตว์นรก เป็นเทวดาจริง จริง จนกระทั่ง เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาวิสุทธิ เหตุปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง เป็นผีชนิดใดชนิดหนึ่ง ของคุณ จนพ้นความเป็นผี มาเป็นเทวดา หรือว่าเป็นพระ เป็นเทพบริสุทธิ์ เป็นวิสุทธิเทพ ได้ แต่ก่อนนี้เป็นได้แค่สมมุติเทพ หรือเป็นสัตว์นรก พอได้เสพสมสุขสมก็เป็น สมมุติเทพ เทพสมมุติ ประเดี๋ยวก็สวรรค์ หอฮ้อ ประเดี๋ยวก็ตกนรกใหม่ อยากใหม่ แล้วก็ขึ้นสวรรค์ ใหม่ มันมีบำเรอ มันก็ขึ้นสวรรค์ ลงนรกอยู่แค่นั้นแหละ ใว ยิ่งใวยิ่งหลง มีบำเรอตน ดูเหมือนมันไม่ทุกข์ ดูเหมือนมันไม่ทุกข์ ดูเหมือนมันไม่ทุกข์ ทุกข์อริยสัจไม่เกิดสักที ไม่เคยมีปริยญาณ ไม่เคยเห็นทุกข์อริยสัจสักที เพราะอย่างงั้นคนที่มีอะไรบำเรอตน มีอะไร คนรวยจึงเห็นทุกข์ ได้ยาก มันปกปิด มันบังหมด พอมันจะทุกข์ มันอยาก มันต้องได้ ก็มีมาบำเรอทุกทีไป มันก็เป็นสมมุติเทพ มันก็เลยลงนรก ขึ้นสวรรค์ ลงนรก ขึ้นสวรรค์อยู่อย่างนั้นนะ ลงเร็ว ขึ้นเร็วด้วยนะ อยู่อย่างนั้นแหละ ปกปิดช่องว่าง ที่จะให้เกิดเห็นทุกข์ขึ้นมา บางคนเกิดมาจน ไม่มีอะไรบำเรอตนนั่นนะ ดี จะเห็นทุกข์ได้ง่าย แต่ก็ไม่ค่อยง่ายสักทีกันแหละนะ ดำดิ่งอยู่อย่างนั้นแหละ

ถ้าผู้ใด ได้ศึกษากรรม และเห็นเรื่องของกรรม เข้าใจเรื่องของกรรมอย่างชัด มากขึ้นไป เท่าใดๆ นั่น พิสูจน์ถึงคุณเป็นพุทธได้มากเท่านั้นด้วย จะเป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จ แต่ละคน แต่ละคนนี่ ไม่รู้นะ คนไหนได้มีกัมมัสสกตาสัทธา มากน้อยเท่าไหร่ ก็แล้วแต่ คือ มีกรรม ที่ตนเองได้ทำ ได้พิสูจน์ ว่ามันเป็นอย่างนี้แหละ มรรคเป็นอย่างนี้ ผลอย่างนี้ หลุดพ้น เป็นอย่างนี้ กิเลสลดเป็นอย่างนี้ เราไม่ต้องไปวุ่นวายกับวัฏฏะ คุณต้องเข้าใจว่า ตัดวัฏสงสาร ตัดความวนของเราอีกแล้ว เราไม่ต้องให้จิต แม้แต่กิเลสมันเกิด ไม่ต้องไปอยากอันนี้อีก ไม่ต้องการอันนี้อีก หรือไปผลักไปดูดอันนี้อีก ไม่ต้องผลัก ไม่ต้องดูด มันมาก็เห็นมัน จะต้องเกี่ยวข้องกับมัน ก็เอา เขาจะเอาเนื้อช้างมาใส่บาตรก็เอา ไม่ต้องไปผลัก ว่า โอ้ วันนี้มีเนื้อช้างมา ให้เขาใส่ เอาละ ไม่ต้องไปอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรเขามากมาย คุณเอาคืนไปเถอะ ใส่แล้วก็บอกคืน อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้

เราจะมี เราจะอยู่กับโลกเขานี่ โลกเขามีอกุศลต่างๆ โลกเขาจะมีเหตุปัจจัย ยั่วยวน เพื่อที่จะให้เราหลงใหล ได้ปลื้ม หลงใหลติดกิเลสไปผูก ไปพันอะไรก็ตามใจ ทุกอย่าง แต่ละอย่างๆ เราหลุดมาได้ ๆ พ้นมาได้ ๆ มันก็จะเป็น กัมมัสสกตาสัทธา เรื่อยไป แล้วเราก็จะเกิด ตถาคตโพธิสัทธา เรื่อยไปๆๆ สั่งสมอันนี้ไป ก็เป็นของๆคุณ เป็นกัมมัสสกตาสัทธาของคุณ เป็นวิปากสัทธาของคุณ เป็นวิบากของคุณ ชาตินี้ ชาติโน้น ชาติไหนๆ ชาติไหน ไม่มีใครปล้น ไม่มีใครจี้ ไม่มีใครลวงหลอก ไม่มีใครที่จะไปเที่ยวได้ ซุกซ่อน อำพรางอะไรกันได้ ของตนเท่านั้น เพราะฉะนั้น พวกคุณที่ได้มานั่งฟังธรรมอยู่ที่นี่ ขณะนี้นี่ มีของตนมาก ๆ น้อยๆ กันทุกคน ไม่ใช่เรื่องง่าย จะมาเห็นกัน

คนที่ได้เกิดมา ที่บอกว่าเกิดมาได้มาพบพุทธศาสนา เป็นบุญนั้นนะ เดี๋ยวเอาไว้พูด ตอนเย็น พูดตอนนี้ มันหมดเวลาแล้ว เลยเวลาไป ๓-๔ นาทีแล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้อง ต่อนะ ผู้ที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนานั้น ไม่ใช่หมายความว่าพบภาษา ไม่ใช่ว่าพบ พระไตรปิฎก พบคนหัวโล้นนุ่งห่มจีวร ไม่ใช่ มาพบพุทธศาสนาต้องรู้ว่า พระพุทธศาสนา คืออะไร ต้องมีมรรคมีผล ต้องมีกัมมัสสกตาสัทธา พบแล้วอย่างนั้น เกิดกัมมัสสกตาสัทธา แล้ว คุณจะเห็นเลยว่า อ้อ คุณพบพระพุทธศาสนานี้ มันมีบุญจริงๆนะ ที่เราเกิดมา พวกคุณนี่เปล่ง หลายคน โอ้ มีบุญที่เราได้มาพบพระพุทธศาสนา มาพบอย่างนี้นะ มันเป็นบุญ พวกคุณจะรู้สึก หลายๆคนพูด เปล่งออกมา ให้อาตมาได้ยิน ตั้งเยอะแยะไปแล้ว มันเรื่องจริงนะ เอ้อ เราได้พบพระพุทธศาสนา ก็คนในประเทศไทย ได้ พบพระพุทธศาสนา เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์อยู่แล้วใช่ไหม เพราะเกิดมาในเมืองไทยนี่ พระพุทธศาสนาทั้งบ้านทั้งเมือง แต่มันไม่มีความเป็น กัมมัสสกตาสัทธาอย่างคุณหรอก มันยัง ไม่รู้สึกในใจว่า แหม โชคดีจริงๆ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา

คนอื่นเขาก็รู้สึก ว่าเขาก็โชคดีเหมือนกันนะ ที่ได้พบพระพุทธศาสนา เพราะดูซินี่ เขาได้กิน ได้อยู่ เขาได้ลาภ ได้ยศ เพราะพระพุทธศาสนานี่ เยอะแยะเลยก็มีเหมือนกัน เขาได้เป็นเจ้าคุณ ก็เพราะพระพุทธศาสนา เขาก็ชื่นใจของเขาเหมือนกัน

แต่มันไม่เหมือนคุณ แหม ถ้าเราไม่พบพระพุทธศาสนานี่ เราแคะเงินแสนนี่ไม่ออกนะเนี้ย อื้อ หื้อ แต่ก่อนนี้ คุณจำลอง แหม ถ้าผมไม่พบที่นี่ ผมทำบุญเงินแสนไม่ได้ ผมไม่คิดว่า ผมจะทำบุญเป็นเงินแสนได้ คุณจำลองเคยอุทาน เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้แกก็ทำบุญทำทาน แทนที่จะได้ เงินล้าน เงินล้านเป็นของตัว ไม่ต้องทำอะไรนี่กินตามน้ำสบายๆ เป็นล้าน แกก็ไม่เอาได้นี่ ก็เพราะกัมมัสสกตาสัทธา จะเห็นว่ามันเป็นคุณค่าเหนือชั้นกว่าที่จะไปเอา ถ้าไปเอา มันเลวกว่า แล้วมันไม่ได้ไม่ดีกว่านี้ มันได้เงินนะแต่มันไม่ได้ดีหรอก แต่ว่า ไม่เอานี่ อื้อ ฮือ ยิ่งเห็นผล เห็นผล แกเอามาคุยอย่างยินดีปรีดาด้วย โอย ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งทำยิ่งได้ เอาเลย เอาเล้ย ยิ่งทำยิ่งได้ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา มัน กัมมัสสกตาสัทธา จริงๆ

เอาล่ะ พูดยาวๆ มันก็ยาวๆ จบ

สาธุ



จบสัจจะแห่งกรรม ตอน ๒

TAP0001A-B