งานธรรมคือชีวิต
โดย พระโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๒๕
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เราก็มามีกิจ คือทำกิจอันเป็นกิจวัตร คือเป็นงานที่เราหมุนเวียนอยู่ในวงวัฏฏะของชีวิต เมื่อเราเห็น เมื่อเรารู้ และเมื่อเราเข้าใจ และยอมรับแล้ว ก็คิดอย่างนี้ งานอย่างนี้เป็นงานอันดีแล้ว สำหรับการ จะวัฏฏะ คือการจะหมุนวน วนไป วนไป วันหนึ่งคืนหนึ่ง และกิจที่เราทำอยู่นี้ ยังเป็นสิ่งที่ดี ยังเป็นสิ่งที่ มีคุณค่ามีประโยชน์ทั้งตนและผู้อื่น เราก็ทำกิจนั้นไป เป็นกิจวัตรน่ะ กิจวัตรก็คือการงานที่มันหมุนไปๆ วัตตะ วัตระ อันเป็นสิ่งที่ยังดำเนินต่อเนื่องกันไปอยู่ มันก็ดำเนินต่อเนื่องกันไปอยู่ และมันก็มีผลไปอยู่ และเราก็เห็นจริง ถ้ามันไม่ดีจริง เราก็หยุดมัน เราก็เลิกก็ล้มมันเสีย พังมันเสีย ถ้ามันไม่ดีจะพัง โดยค่อยๆบอกกัน ค่อยๆหาเหตุผล กลุ่มหมู่ เห็นแล้วว่าเออมันไม่ดี ก็ล้มเลิก หรือว่า เราเองล้มไม่ได้ เราก็ไม่เอาไปเลย หนี ไม่เอาละ คนมีกิจวัตรแบบนี้เป็นกิจวัตรเหลวไหลแล้ว ไม่น่าจะกระทำแล้ว เราก็หนีจากหมู่นี้ ยิ่งมีกิจวัตรอะไรอื่นๆ อีกหลายอย่าง ในวันในคืน แต่ละวัน ล้วนแล้วแต่เป็น กิจวัตรที่ไร้ค่า ไม่เกิดคุณ ไม่เกิดค่า เราก็ยิ่งจะเห็นชัด เราก็ไม่อยู่แล้วกับหมู่ที่มีกิจวัตรแบบนี้ เราก็อดไปหาหมู่อื่น ที่มีกิจวัตร อันมีคุณค่า มีประโยชน์ตน มีประโยชน์ท่านอันสมบูรณ์ เราก็จะทำ

ถ้าเมื่อเราเห็นดี ร่วมพร้อมกัน เป็นหมู่ เป็นกลุ่ม เป็นโขลง เป็นคณะ เป็นสังคมใหญ่ๆ ที่เห็นว่า เป็นกิจวัตรที่ดี และเราก็นำพากิจวัตรนี้ไป บางทีมันอาจจะยาก เพราะว่ากิจวัตรของผู้ที่เป็นหัวหน้า กิจวัตรของผู้ที่นำพา ในส่วนที่เป็น หัวยา หรือเป็นเรื่องสำคัญ มันอาจจะยาก แต่มันก็เป็นคุณ เป็นประโยชน์แท้ๆ เถียงไม่ได้ ในหมู่สังคมเดียวกัน ยอมรับนับถือ ว่าเป็นกิจวัตรที่ควรจะกระทำ อันเป็นกิจวัตรที่มีเหตุผล นอกจากมีเหตุผลแล้ว ยังมีผลมีเหตุ มีองค์ประกอบ มีความรู้ สามารถชี้ สามารถแจง สามารถวิจัยวิเคราะห์ให้เห็นว่า มันเป็นเหตุที่ดี และได้พิสูจน์ด้วยซ้ำว่า เมื่อประกอบ เหตุที่ดีนี้ ก็เกิดผลนั้นดีตามมาแน่ๆ เราก็จะต้องรังสรรค์รักษา กระทำหรือว่า กอบก่อกิจนั้น ให้เป็นกิจวัตร ต่อๆไปอยู่ จนกว่ามันจะไม่มีผล ไม่มีคุณค่า กลายเป็นเรื่องเพี้ยน กลายเป็นเรื่องปฏิรูป กลายเป็นเรื่องแอบแฝง ซ่อนแฝง มันมีอะไรปนเลอะไม่ถูก มันไม่ตรง มันมีรูปอยู่อย่างนั้นแหละ แต่ว่ามันมีอะไรแฝง อะไรปน แล้วกลายเป็นของเสียไปแล้ว หรือว่าเพี้ยนไปแล้ว เราก็ล้มเลิก แต่ถ้ามัน ยังมีผลดี ยังไม่เพี้ยน ยังไม่แปรเปลี่ยน ยังไม่แปรปรวน ยังไม่มีอะไรซ่อน อะไรแฝง ยังไม่มีอะไรฉ้อฉล เข้าไปปนเป ทำให้เสียคุณเสียค่า มันยังเป็นของที่เป็นฤทธิ์แรงที่ดีอยู่ เราก็รังสรรค์ต่อไปอีก

อย่างเรามีกิจวัตรตื่นเช้ากันตีสามครึ่ง ตื่นเช้ามาแล้ว ก็มาสวดมนต์ ตามที่เราสวด ประณามคาถาบ้าง สวดถวายพระพร พระพุทธเจ้าบ้าง แค่พอสมควร เราเห็นสมเหมาะสมควรแล้ว ตามที่เราได้ตกลงกัน ได้เห็นดีกัน ไม่ได้มาก ไม่ได้น้อยไป พอดีๆ จากนั้นเราก็อบรม ทบทวนสั่งสอน เล่าเรียนกัน แต่เช้า ที่มีเวลาดีๆ ซึ่งเป็นการฝึกตน ในการที่จะไม่ติดนอนมาก เพราะว่าการนอนนี่ เป็นการเสียหายอย่างหนึ่ง ของมนุษย์โลกที่หลงใหล แม้ที่สุดในด้านทางศาสนา หรือลัทธิทางธรรม ก็มีอีกเยอะ ที่มาปฏิบัติธรรม แล้วสุดท้ายก็หนีโลก ทิ้งโลก จนกระทั่งมาหลงใหลการหยุดอยู่ ติดหลับ ติดนอน ติดอยู่เฉยๆ ติดอยู่ในภวังค์ แล้วก็ไม่ได้เรื่องอะไร ไม่เกิดคุณ เกิดค่าอะไร ลัทธิอย่างนี้ก็เคยย้ำกันมามากแล้วว่า เป็นลัทธิเดียรถีย์ ฤาษี ที่สูญเปล่า ทำให้ร่างกายชีวิต ทำให้สมรรถภาพ ทำให้ตัวคน กลายเป็นแท่งหิน แท่งดิน กลายเป็นของที่ไร้ค่า กลิ้งโค่โล่เคเล่ เป็นเหมือนกับลูกฟัก เขาเรียก พรหมลูกฟัก อย่างนั้น ไม่มีบทบาท ไม่ได้มีการสร้างสรร ทั้งๆที่นอนพัก ก็พอแล้ว การทำให้จิต การทำให้กาย ที่มีสุขภาพจิต สุขภาพกาย หมุนเวียนไปได้อย่างดี มันก็พอแล้ว แต่ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักความเสพย์ ไม่รู้จักอร่อย ไม่รู้จักการติด ไม่รู้จักสภาพที่เราหลง เป็นอัสสาทะ แม้แต่ในการอร่อย หรืออยู่ในภวังค์ เป็นภวตัณหา น่ะ เราไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็เสพย์ให้มัน ยิ่งเสพย์ก็ยิ่งมาก ยิ่งมากก็ยิ่งเสพย์ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านก็ยืนยันแล้วว่า การนอนนั้น ไม่มีความอิ่ม ความเต็ม ยิ่งเสพย์ก็ยิ่งมาก ไม่มีเต็ม เมถุนหนึ่ง การนอนหนึ่ง ความเมา หรือของที่ติดที่เมา อีกอย่าง ไม่มีความอิ่ม ความเต็ม เสพย์เท่าไรก็มีแต่เป็นอย่างนั้นละ มีแต่พอก แต่เพิ่ม มีแต่ติด แต่ยึด ไม่คลาย ไม่มีการคืนกลายได้ ท่านถึงยืนยัน และก็จริง ถ้าใครพิสูจน์จริงแล้ว เราก็มาแก้กลับ มาทำคืนเสีย

การลุกขึ้นมาศึกษา เราก็รู้ว่า มันมีคุณมีค่า อย่างนั้นก็ท่องทวนสาธยาย เพื่อจำ เพื่อยืนยันสิ่งดีนี้ไว้ เป็นประโยชน์ ประโยชน์ตนที่จะใช้ และเป็นประโยชน์ท่านที่เราจะเอาไปช่วยเหลือเฟือฟายคนอื่น สิ่งเหล่านี้ เกิดวนเกิดเวียนอยู่ในโลก แม้แต่ความจำ แม้แต่สิ่งที่เป็นหลักฐานทฤษฎี เป็นความรู้ต่างๆ ก็เป็นเรื่องของสิ่งที่มีอยู่ในโลก และเราก็เอามาใช้ เพราะสิ่งที่ดีนี้ มนุษย์โลกเอามาใช้ไม่ได้ มนุษยโลก ก็โง่ลง เลวลง แต่สิ่งที่ดี เมื่อมนุษย์โลก ยังจำกันได้แม่น และยังเอามาใช้ มีคุณมีประโยชน์ได้ สิ่งที่ดีนั้น ก็มีคุณมีค่า แล้วสิ่งมีดีที่ว่านี้ มันมีจริงหรือเปล่า คำสอนของ พระพุทธเจ้า มีจริงหรือเปล่า เรียกว่าพระธรรม อย่าว่าแต่คำสอนเลย พระธรรมนั้นสอนแล้วเอาไปพิสูจน์ได้จริง เอาไปปฏิบัติ เข้าถึงความหมายนั้น เข้าถึงความจริงที่กล่าวด้วยภาษา ด้วยเหตุผลอย่างนั้นๆ จนถึงผลจริงนั้น มันมีจริงเป็นจริง หรือเปล่า ถ้าเป็นจริงเอามาพิสูจน์ เมื่อเราเอามาพิสูจน์ได้ เราก็ถึงผลมีจริง เช่นว่า ผู้ใดได้ผลแล้ว เป็นผู้ที่ถึงสภาพสูงสุด ว่าง สบาย มีจิตเป็นเลิศ มีจิตเป็นเอก มีกายกรรม มีวจีกรรม อันอยู่ในความควบคุมของจิตของเรา เราสามารถทำกิริยา กายก็เป็นกุศล วจีก็เป็นกุศล จิตของเรา ก็เป็นกุศล มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ไม่เสพย์ ไม่ติด ไม่เหลือส่วนตัวส่วนตน พักผ่อนพอแล้ว ก็ทำงาน ทำงานก็ทำกับสังฆมณฑล ทำกับกลุ่ม กับหมู่ กับโขลง ที่รู้ร่วมกัน รู้ร่วมกันว่า กิจวัตรอย่างนี้ การงานอย่างนี้ คุณธรรมอย่างนี้ เป็นของควรให้มี ให้เกิด เมื่อเรารู้ร่วมกัน เราก็ช่วยกันทำ การช่วยกันทำ เป็นการเบา การทำคนเดียวเป็นการหนัก เพราะฉะนั้น ก็ช่วยกันทำ เมื่อรู้ดีแล้วต่างคน ต่างเห็นดีแล้ว โอ๊! อันนี้ดีนี่ ช่วยกันทำ คนจะมีจิตใจฉันทะ

ฉันทะแปลว่ารู้ดี ยินดี เห็นดี เห็นดีแล้วทุกคนก็เข้าใจว่า เมื่อเกิดอยู่ ก็ต้องให้ดีเกิด เมื่อตายแล้ว มันก็ไม่ต้องเกิด ต้องเป็นอะไร ไม่ต้องเกิด ไม่ต้องมีอะไร มันก็ดับสูญไป ก็เลิกไปถ้าตาย ถ้ามันไม่ตาย มันเกิดอยู่ มันก็ต้องให้ดีเกิด เพราะฉะนั้น ทุกเวลานาที ทุกลมหายใจเข้าออก ลมหายใจออกก็ดี ลมหายใจเข้า ถ้ายังไม่ตาย หมายความว่า หายใจเข้า เอาออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงร่างกาย ก็ให้มันได้ดี เมื่อได้ดีแล้ว ร่างกายก็ถูกสังเคราะห์เกิดอยู่ เป็นจักรกลอยู่ ก็ให้มันเกิดจักรกล ที่มีคุณค่า จักรกลนี้ ก็จะดี เราได้หายใจเข้าก็เป็นดี ได้พูดก็ดี ได้ทำการงานออกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอนก็ดี ร่วมรวมกัน สอดคล้องกัน เป็นเรื่องดี เพราะฉะนั้น การเกิดอยู่ก็ให้มีดี

ถ้าการตายก็เป็นการจบ ทีนี้ผู้ตายไม่จบ ซึ่งเราก็พูดกันต่อไม่ได้ พูดกันต่อแล้วไม่รู้เรื่อง ตายแล้ว เหลืออะไรเป็นพลังงาน เหลืออะไรเป็นวิญญาณ และวิญญาณนั้น ไปทำดีหรือไปทำชั่ว และพูด ต่อกันไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็ไม่ทำอะไร ตายแล้ว มีแต่ไปรับกรรม ตายแล้วไปทำอะไรไม่ได้ แต่คนเราไม่เชื่อ ตายแล้วจะต้องไปเข้าทรงคนนั้น ตายแล้วจะคอยไป บันดลบันดาลอันนั้นอันนี้ไม่ได้ มีแต่ตายแล้ว ก็ไปตามกรรม ผู้ที่ได้ดีก็ไปสวรรค์ ผู้ที่ได้ชั่วก็ไปหานรก นี้เป็นความหมาย เป็นคำพูด แต่แท้จริง ตายแล้ว จิตมันก็ตกนรก เหมือนกับคน เวลานอนหลับนี่ เวลาหลับแล้ว จิตตัวเองติดอะไร มันก็ไปตกอยู่ ในอันตัวติด ตกอยู่ในความทุกข์มันก็ทุกข์ ตกอยู่ในความฟุ้งซ่าน มันก็ฟุ้งซ่าน ตกอยู่ในความดับ มันก็ดับอยู่อย่างนั้นแหละ และมันก็ไม่ได้หมายความว่า มันสูญสลาย มันดับอยู่นานๆได้เก่ง มันก็จะได้ ดับนานๆ อยู่อย่างนั้นแหละ พอตื่นจากดับแล้วเป็นยังไง ตื่นจากดับแล้วก็อยาก อยากโน่น อยากนี่ ที่ตัวเองติด ตัวเองก็แสวงหา อีกแหละ มันไม่สูญ และจิตมันเป็นอย่างนั้น มันไม่ได้ไปทำอะไร จิตตายแล้ว ไม่ได้ไปทำอะไร หรือจิตที่อยู่ในภวังค์ เวลาเราเป็นๆนี่ เราหลับ เราอยู่ในภวังค์ มันไม่ได้ทำ อะไรหรอก มันมีแต่ความคิด มันไปทำอะไรก็ไม่ได้ มันคิดว่า ตอนนี้เราได้ตีคนแล้ว แหมตอนนี้ เราได้สมบัติแล้ว เราได้เงินได้ทองแล้ว ได้โน่นได้นี่แล้ว มันไม่ได้จริงๆ มันไม่ได้ มันไม่ได้ทำ จิตที่อยู่ ในภวังค์ มันไม่มีอะไร มันไม่มีสุรภาโว (สูรา) มันทำอะไรไม่เป็นอะไร แต่คนเราหลง

เพราะคนเรา มีจิตกับกายร่วมกัน พอจิตมันสั่งกาย มันก็ไปทำกรรมขึ้นมาได้ จิตเฉยๆ ให้ไปทำกรรม มันทำไม่ได้นะ แต่แล้วเราก็ไม่เชื่อ นึกว่าจิตนี้ มีฤทธิ์มีแรง ฝึกนั่งสะกดจิต แล้วเอาจิตไปทำงานโน่น ทำงานนี่เลย นึกว่า จิตที่มีพลังอันนั้น ไปทำงานโน่นงานนี่ ตามที่เราทำ มันทำไม่ได้หรอก โดยส่วนใหญ่แล้ว มันทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น เมื่อทำไม่ได้แล้ว เราก็นึกว่า จิตตัวนี้ เป็นของวิเศษ แล้วก็มานั่งรวม จนจิตจะเป็นอย่างนี้ แล้วจะเป็นผู้วิเศษน่ะ อย่างนี้ไม่เกิดคุณค่า เพราะฉะนั้น จิตที่วิเศษจริงก็คือ มาล้างกิเลส ให้เป็นผู้ที่มีเมตตา กรุณาจริง มาพิสูจน์เดี๋ยวนี้ ถ้าจิตเราจะเก่ง ก็ต้องเก่งเดี๋ยวนี้ จิตของเราสามารถที่จะใช้จิตของเรามี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สั่งให้มันทำ สั่งให้มันพูด สั่งให้มันเกื้อกูล

จนเป็นจิตที่สร้างสรร เป็นจิตที่รู้ดี เป็นจิตฉลาด มีปัญญา รู้ว่านี่คือกุศลแท้ นี่คืออกุศล แล้วเรามาเลิก เด็ดขาดในอกุศล แล้วมาทำกุศล ให้มันทำ มีเวลาอยู่ก็ทำ มันไม่เมื่อยก็ทำก็สร้าง ทำแล้วก็แจกจ่าย เจือจานให้แก่คน จิตนี่มันทำ มันมีมือ มันมีแขน มันมีขา มันมีตา หู จมูก ลิ้น กาย มันประกอบได้ ทำแล้วเอาไปให้เขา เพราะมันมีสุรภาโว (สูรา) มันมีดิน น้ำ ไฟ ลม แท่งก้อนที่ประกอบกรรม ประกอบ อะไรต่ออะไร ออกมาเป็นแท่ง เป็นตัว เป็นสิ่งสำเร็จ มันไม่เป็น มันไม่สำเร็จอยู่ที่จิต มันหลงดีใจอยู่ที่จิต จิตเป็น มันไม่ได้อะไร

ถ้าเผื่อว่า เราจะพิสูจน์ให้จริง พระพุทธเจ้าจึงพาเรามาพิสูจน์ นี่มาเป็นพระพรหม ก็เป็นพระพรหม ที่มีจริงๆ เมตตา ช่วยเหลือคน ไม่ใช่ไปนั่งแต่ท่อง ไม่ใช่ไปนั่งแต่แผ่เมตตาทางใจ ใจเมตตาแผ่ๆๆๆ ไปเฉยๆ แล้วไม่เป็นชิ้น เป็นอัน ไม่มีตัวจริง จะช่วยเหลือเฟือฟายเขา ก็มีแต่จิตเท่านั้นเอง ว่ามันช่วย แต่เวลาออกมาจริง แล้วยิ่งเผื่อค้านแย้ง ใจว่าช่วย แต่กายเอา จิตน่ะช่วย แต่กายเอา เช่นบอกว่า เป็นเพื่อนกันเถิด เกิด แก่ เจ็บ ตายด้วยกัน สงสารกันเถิด อย่ารุกราน อย่าอะไรกันเลย เสร็จแล้ว ก็ตัวก็ไปฆ่า ไม่ฆ่าเขาก็กินเขา ไม่อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งคิดตื้นๆ เราก็เห็นอยู่แล้วว่า เอ ใจมันช่วย แต่ใจเรามันก็เป็นแต่ใจ แต่กรรมกิริยาของเราไปซัดเขาอีก เอ้า ไปเอาของเขามา ไปเอานะไม่ใช่ไปให้ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่ได้สอดคล้องกันเลยนะ สิ่งสอดคล้อง หรือสิ่งขัดแย้งพวกนี้นี่ คนเห็นได้ชัดๆ แล้วมันจะรู้ความจริง ถ้าคนเห็นไม่ชัด มันก็จะขัดแย้งอย่างนั้นละ แล้วมันก็แก้ไขไม่ได้น่ะ เพราะฉะนั้น เรามาศึกษา เรามาเรียนรู้ทั้งกาย วจี มโน

มาเรียนรู้แล้วก็พิสูจน์จริง มาพิสูจน์ตั้งแต่เป็นๆแล้วนี่ ว่าจิตเราเป็นจริงนะ เราช่วยเหลือเฟือฟายเขาจริง เสียสละอยู่ กาย วจี มโน ไม่เสพย์ แม้แต่อยู่ว่างๆเปล่าๆ ที่เป็นลัทธิฤาษี เสพย์กันอยู่ว่างๆ ลอยๆ ว่างๆเปล่าๆน่ะ บัดนี้เวลาล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่ เราลอยชายอยู่ เราลอยหญิงอยู่ เราไม่ได้ทำอะไรเลย เราอยู่ลอยๆไป มันก็ผ่านเวลาไป เพราะเวลา มันย่อมกลืนกินสรรพสัตว์ หรือเวลามันย่อมเดินไป ไม่มีอะไรยับยั้งมันได้ เราก็แก่ไป เราก็เดินทางไปสู่หลุมฝังศพ ไปวินาทีหนึ่ง สองวินาที นาทีหนึ่ง ชั่วโมงหนึ่ง วันหนึ่ง คืนหนึ่ง มันก็ผ่านไป ๆ เสร็จแล้วก็ไร้ค่าเปล่าดาย ก็ตาย เพราะฉะนั้น ชีวิตฤาษี เดียรถีย์ ถึงเป็นโมฆะจริงๆเลย เป็นคนโมฆะ เป็นคนเกิดมาสูญเปล่า ไม่มีอะไรดีเลย

นอกจากไม่ดีแล้ว ยังกินอะไรของวัตถุโลกเขา อาศัยหนักแผ่นดิน อยู่ในแผ่นดินโลกเขาด้วย ไม่เกิดคุณค่าอะไร จึงเป็น โมฆบุรุษเปล่าจริงๆ ศาสนาพระพุทธเจ้าจึงแก้ไขว่า ไม่ให้เป็นโมฆบุรุษ จึงมาทำ ถ้าทำได้มาก แม้เรานะทำได้มาก มันก็เป็นความดีมากที่จริง เราสร้างสรรให้แก่โลกได้มาก มีเมตตา กรุณา มุทิตา เป็นพระพรหมที่เป็นผู้สร้างสรร สร้างไม่หยุด แม้แต่ศาสนาอื่น ศาสนาคริสต์ เขาก็บอก เราจะสร้าง เราจะเป็นผู้สร้าง แล้วเราก็สร้างๆ ไม่หยุดน่ะ ส่วนพวกที่หยุด ก็หยุดไป จะมีเวลาพักบ้าง ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะฉะนั้น ทำเสียเจ็ดวันหยุดเสียหนึ่งวัน ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร ทำงานหกวัน หยุดหนึ่งวัน อย่างศาสนาคริสต์ก็ดีนะ มีการงานถึงหกต่อหนึ่ง

ทีนี้ คนเรานี่ถ้าเผื่อว่า ติดหยุดแล้ว มันก็ยังไม่เห็นได้ดีอะไรนักหนา มันก็ได้เท่าทุน เจ๊า ไม่มีคุณค่า จะทำเต็มที่หรือเปล่า ก็ไม่รู้ ทำสามหยุดสามนี่ ถ้าเผื่อว่าเราทำเต็มที่ ก็เท่าทุน ถ้าไม่เต็มที่ หยุดสาม แล้วหยุดจริงๆนะ นี่คนเรานี่ หยุดเอาๆ ยิ่งพวกฤาษี ยิ่งติดเสพย์นี่ มันหยุดจริงๆ แม้เราทำงานนี่ ก็เคยแนะให้ฟังแล้วว่า ในขณะที่เราทำงานนี่ มันยังมีหยุดเลย มันยังมีแอบๆ แฝงๆ เรายังมีหยุด เรายังมีฉวย พัก ฉวยเอาอะไรของตัวเองไป อย่าว่าหยุดเลย บางทีไม่หยุดหรอก แอบเอาเป็นตัว เอาเป็นของตัวของตน แอบฟุ้งซ่านบ้าง แอบนึกถึงบ้าง แอบทำอะไรของตัวเองบ้าง อย่างคนติดบุหรี่ ก็แอบสูบบุหรี่ ไม่แอบหรอก สูบตรงๆเลย สูบต่อหน้า เอาเวลาเป็นของตัวสูบบุหรี่ ทำงานไปก็สูบ บุหรี่บ้าง อย่างนี้เป็นต้น

นี่ยกตัวอย่างง่ายๆชัดๆ ทำอะไรที่ตัวเองชอบ บำบัดกิเลสของตัวเอง ติดบุหรี่ก็ต้องสูบบุหรี่ก่อน ติดโน่น ก็ทำก่อน ผู้หญิงติดบอกว่า เอ๊ ทำงานไประลึกได้ว่า ตาย...หน้าเรานี่ หน้าเราฝุ่นคงจะลดแล้วนะ แล้วเอากระจกขึ้น แตะพั้บ หยุดแตะพั้บเสียก่อน ทั้งๆที่ทำงานอยู่ อะไรอย่างนั้น ก็มันติดอันนั้น นึกว่ามันเป็นของดี ก็จะไปบำรุงมันไว้ จะไปประคบ ประหงมมันไว้ก็ทำ ฟังขนาดนี้แล้ว คุณจะระลึก ออกเลยว่า ตาย...น่าเกลียดนะ แต่ก่อนเราเป็นอย่างนั้น เราไม่ระลึกรู้หรอก ก็ทำงานไปดีๆ ประเดี๋ยว ระลึกได้ อ้าว ควักกระเป๋าเอากระจกมาส่องดูแล้ว บางทีก็ส่องดู เออ มันไม่หลุดไม่ร่อน ไม่อะไร ก็ยังดี เอ้าเก็บ แค่ส่องก็เอาดีแหละ กลัวมันจะลดงาม กลัวมันจะลด สิ่งที่เราปะเอาไว้น่ะ ถ้าบางทีไม่ๆ ส่องธรรมดาแล้ว เติมมันอีก เอ้า เติมๆ แค่นี้ก็ทำน่ะ หรือติดบุหรี่ ติดอะไรก็แล้วแต่ ก็แวะเวียนไปทำ ติดทำนั่นทำนี่ ติดนั่น นี่ ติดอริยาบถนั้น อริยาบถนี้ ก็แวะออกไป ติดไปเดินจงกรมเสียก่อน นั่งทำงาน อยู่ดีๆไม่ไหวละ ออกไปเดินจงกรมเสียก่อน ก็ออกไปเดินจงกรม ให้แก่ตัวเอง ถ้าติดว่า เดินจงกรม มันอร่อย หรือจงกรมมันดี หลงว่ามันดี ออกไปทำนั่นทำนี่อะไร ก็แล้วแต่ งานก็ไม่ติดต่อน่ะ หรือว่า ทำไปทำไปเดี๋ยวๆ หลับเสียก่อน หลับมันดีก็นั่งหลับเสียหน่อยหนึ่งน่ะ ทำงานไป ก็นั่งหลับ เสียหน่อยหนึ่ง มันๆดี ก็แอบใส่ตัวเองเข้าไปอย่างนี้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นกิจแค่ยกตัวอย่าง เล็กๆ น้อยๆ ตัวอย่างอื่น ก็ตาม เดี๋ยวแวะไปทำอื่นก่อน ไปทำนั่นทำนี่อะไรก็แล้วแต่ ที่มันเป็นลูกแทรก มันเป็นตัวแทรกซ้อนอยู่นั่นล่ะ มันเต็มที่ที่ไหนในมนุษย์ มันมีตัวซ้อนตัวแทรกอยู่อย่างนี้อยู่ ไปตลอด

แต่ถ้าผู้ใดทำงานได้ทน ทำงานได้อย่างนี้ๆ ก็ทำไปเรื่อยๆ รู้จักจัดแจงของตัวเอง ไม่ให้มันหนักเกินไป จนกระทั่ง ทำแล้วก็เปลี้ยเลย ทำไปเรื่อยๆ แล้วก็ชำนาญได้งาน มีประโยชน์สูงประหยัดสุด ไหลเรื่อยเลื่อน ไปตามลำดับ ทำต่อเนื่องทั้งวัน ไม่มีอะไรแทรก คนนั้นแหละดี คนนั้นได้ประโยชน์ ได้คุณค่ามาก ทำงานมีประสิทธิภาพ แล้วมีปริมาณ มีคุณภาพมาก ก็เกิดค่า เกิดประโยชน์ ถึงเวลา พัก พัก ถึงเวลาเพียร เพียร ถึงกิจที่ควรเป็น เป็น เช่นว่าทำงานไป เอ้า แวะว่างกินข้าวก่อนซิ เอ้ากินก็กิน จำเป็นมันปวดขี้ ปวดเยี่ยว มันเรื่องสำคัญอย่างนี้ ก็ไปขี้หน่อย ไปเยี่ยวหน่อย นอกนั้น ก็ไม่เอา ไม่แวะออกไปเล่น ไม่แวะออก ไม่ทำอย่างที่กล่าวนั่น แวะสูบบุหรี่หน่อย แวะออกไปเดินเล่นหน่อย แวะหลับนิดหนึ่ง แวะแตะพั้บหน่อยหนึ่ง แวะทำอะไรก็แล้วแต่ คุณจะเอาอะไรมาแทรกละ ที่คุณติด คุณบอกว่า มันมีอะไรส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ถ้าเผื่อว่าคนไม่ห่วงอะไร ไม่กังวลอะไรแล้ว ก็ไม่มีอะไร ที่จะต้องแทรกใส่ชีวิตน่ะ มันก็จะเป็นกิจ เป็นอะไรๆ ต่อเนื่องไป หรือว่าเรานึกได้ว่า เราจะทำกิจนั้น อันนั้นก็กิจดี เราจะเสริมกิจดีนั้นบ้าง อีกกิจก็ทำได้ ก็เป็นกิจที่ดีที่เสริมแทรกเข้าไป ถ้าจิตผู้ใดไม่วุ่นวาย และไม่ไปเสพย์ไปติดอะไร ถ้างานการอะไร ที่จะทำให้มันทะลุปรุโปร่ง ก็ทำได้อย่างเร็ว มีคุณภาพ ไม่มีอะไรเข้ามาเป็นตัวแทรก มาเป็นตัวทำลายออกไปได้ เพราะมันราบรื่น แล้วมันต่อเนื่อง ก็เป็นคน ที่มีการงานที่เป็นสมะ หรือสัมมา

สมะหรือสัมมา แปลว่า ความต่อเนื่อง แปลว่า เสมอๆ นี่แหละ มาเป็นภาษาไทยๆ สมะ สมะนี่ มันก็เป็นเสมอ เลยกลายเป็น สำเนียงเสมอ ไทยเอาเสมอนี่มาจากคำว่า สมะของภาษาบาลี สมะ สัมมา ก็สมะๆ มาก็เป็น ไทยเราก็เล่น เสมอเสียเลย เพราะฉะนั้น คำว่าเสมอๆก็แปลว่า เนืองๆ หรือต่อเนื่อง ต่อไม่มีอะไรแทรกเลย ก็เรียกว่าเสมอเลย เป็นเสมอๆเลยน่ะ เป็นตัวเนื่องต่อกันอยู่ อย่างนั้นๆ ไม่มีอะไรคั่น ไม่มีอะไรแทรก เรียกว่าต่อเนื่อง หรือเรียกว่าเสมอๆ ก็สมะนี่เอง ความหมาย ของสมะน่ะ ความหมายของความราบรื่นเรียบร้อย หรือแปล สมะว่า อย่างราบรื่น หรือ อย่างสงบๆ หรือราบรื่น หรือสันติ ก็หมายความว่า มันไปลื่นเรื่อยเลยลื่นเรื่อย ตัวลื่นเรื่อยนี่แหละ คือความสงบ เรียบร้อย ลื่นเรื่อย ไม่มีอะไรแทรก ไม่มีอะไรคั่น ลื่นเรื่อยสันติไม่มีอะไร ไม่มีอุปสรรค ไม่มีอะไรมาต้าน ไม่มีอะไรมาตัด มันต่อเนื่องไปด้วยดี เรียกว่า เสมอหรือสมะ ภาษาบาลีก็เรียกว่าสมะ จะออกเสียง ให้มันกระจะๆ แบบสมะ แต่เขาก็มีเสียงขึ้นนาสิก เสียงลงลูกคอ เลยเสมอะ อะไรของเขานี่ เป็นของบาลี พอมาเป็นของไทยเราก็ไม่เสมอะไม่ขึ้นจมูก ไม่ขึ้นนาสิก ไม่โน่นนี่ละ ไม่โฆษะ อโฆษะละ เสมอออกไปอย่างนี้เลยล่ะของไทย มันถึงเป็นภาษาไทยอย่างนั้น แต่อันเดียวกันน่ะ ตัวเดียวกัน มาจากรากเหง้า ของสภาวธรรม อันเดียวกัน

ฉะนั้น ผู้ทำอะไรได้เป็นกุศล ได้เป็นสิ่งดี ต่อเนื่องกิจต่อเนื่องการงานได้เป็นเสมอๆ หรือว่าทำได้ต่อเนื่อง เป็นกิจจะลักษณะ เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่ใช่ทำแล้วก็จับจด ทำแล้วก็ทิ้งๆ วางๆ ขว้างๆ หลุดๆ ร่อยๆ เอาโน่นแทรก เอานี่คั่น อย่างนั้น ไม่เป็นชิ้น ไม่เป็นอัน แต่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่มีอะไรแทรก ไม่มีอะไรคั่น ทำอย่างยินดี อย่างร่าเริงเบิกบาน ทำอย่างฉันทะวิริยะ ผลิตเข้าใจเอาใจใส่พิจารณา กระทำอย่าง เรียบร้อย ไม่ตกไม่หล่น ทำอย่างเต็มใจ ใจเต็ม ไม่ได้มีวอกแวก ไม่ได้มีฟุ้งซ่าน ไม่มีหลับหรี่ ไม่มีไปอื่น จิตสนใจทำใจ ใจมีเท่าไรก็เอาใจใส่ มีความรู้มีความเข้าใจยังไงอยู่ที่นี่ ประกอบกัน อย่างวิริยะอุตสาหะ เพียรทำกิจการนั้นไม่เจริญ ให้ตัดคอทิ้งเลย ถ้าทำถูกต้องตามหลักธรรมแบบนี้ มันเจริญแน่นอน เพราะนั้น ผู้ใดที่เข้าใจความจริงอันนี้ เป็นความรู้ เราก็ไปประกอบฝึกปรือให้ได้ตามที่เรารู้นี้

เมื่อฝึกปรือได้แล้ว ผลมันจะเกิดให้คุณเห็น และคุณนี่แหละจะรู้ผล ถ้ามันไม่ดีจริง ไม่เป็นจริง อย่างอาตมาว่า มาต่อว่า อาตมาได้ๆ ที่อาตมาพูดนี้ ขอยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะฉะนั้น ผู้ใด มาศึกษานี่ ก็มาศึกษาเพื่อที่รู้หลักการ รู้วิธีการ รู้อะไรต่ออะไรดี เราก็เรียนน่ะ ตื่นเช้าขึ้นมานี่ บอกแล้วว่า เหตุผลแรก เรามาฝึก ไม่ติดหลับติดนอน ไม่ติดง่วงติดซึม เพราะว่าเรารู้อยู่ว่า เรานอน พยายาม หมุนเวียนทำชีวิต ไม่ได้พาทรมานอะไร นอนก็พอเหมาะพอเจาะ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ถึงเวลาค่ำมืดแล้ว ประมาณนั้น สองทุ่ม สามทุ่ม เราก็พักนอน ห้าชั่วโมง หกชั่วโมง บางคนก็เจ็ดชั่วโมง อะไรนี่ มันก็มากแล้ว ห้าชั่วโมงก็มากแล้ว สี่ชั่วโมงบางคน บางคนเก่งๆทนได้ ฝืนได้ ทำได้ฝืนได้ สามชั่วโมง ก็นอนได้ เสร็จแล้ว เราก็พอเป็นพอไป เสร็จแล้วมันก็หมุนเวียนกันพอดีๆ ถ้าเราไม่เสพย์ติด ถ้าเรา ไม่โง่เง่า เราไม่อ่อนแอ เราก็สามารถ ที่จะเป็น ผู้ตื่นได้ เป็นผู้รับธรรมะได้น่ะ เป็นผู้ที่รู้ว่า การอยู่กับ หมู่มวลเขา หมู่มวลเขาฝึกได้ไม่ว่าเล็ก ไม่ว่าคนเล็กคนโต คนใหญ่คนแก่ คนหนุ่มคนสาว เขาฝึกได้แฮะ ทั้งๆที่มีกิจวัตรเหมือนกัน ตื่นเหมือนกันทำงานเหมือนกัน ประมาณเหมือนกัน บางทีทำงาน คนอื่น เขาทำงานมากกว่าเราด้วยซ้ำ เออเขาก็ไม่ง่วงแฮะ เขาไม่ได้ติดง่วงเหงาอะไร เขาก็ยังเป็นคนตื่นได้ อันนี้ผู้ที่มีสำนึกดีก็รู้ว่า เออเขาตื่นได้ เรานี่ตื่นไม่ได้ เขาตื่นเราหลับ เขาตื่นเราโงก เออเรานี่น่าอายนะ มีหิริมีโอตตัปปะ ก็พยายามสู้ ฝืนอดทน ปรับปรุง ก็แข็งแรงขึ้น

แต่คนใดที่ฝืนก็ไม่ได้ แก้ไขก็ไม่ได้ คนนั้นก็โง่อยู่ หรือว่าก็อ่อนแออยู่ ก็เป็นคนอ่อนแอ ก็อ่อนแอไปน่ะ ก็ช่วยกัน ผู้ที่ช่วยแก้ไขได้ ก็เกื้อกูลกัน พยายามบอก พยายามให้หัด พยายามให้ฝึก หาทางช่วย กระตุ้นให้เขาตื่น ให้เขารู้สึกตัว ให้เขาใช้จิตบังคับตัว ให้เขาแก้กลับ ให้เขาเปลี่ยนแปลง ถ้าเขาเอง มีศรัทธาเลื่อมใสดี เห็นจริง เชื่อมั่นว่า นี่เป็นความดี การมานั่งโงก นั่งง่วงนี่เป็นความเลว แล้วก็รู้ด้วยว่า ตัวเองก็พักก็ผ่อน ก็อยู่ในระบบที่พอสมควร เราเองเราก็น่าละอาย จะเกิดหิริ จะเกิดโอตตัปปะก็ทำได้ แต่ถ้าหน้าไม่หิริโอตตัปปะไม่อาย หน้าด้านมันก็ด้านอยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ด้าน มันอาย มันปฏิบัติ มันต้องอบรมตน มันต้องทำตนให้ได้ ทำได้มันก็ได้น่ะ คนอื่นเขายังได้ ตัวเองไม่ได้ ตัวเองก็ไม่ได้น่ะ ไม่ได้เพราะเหตุอีกมากเหมือนกัน ไม่ใช่เหตุเท่าที่พูดนี้น่ะ เพราะความตั้งใจไม่จริง เพราะความอ่อนแอ เพราะความที่ ไม่ละอาย เพราะความที่ไม่ศรัทธา เพราะความที่ยังไม่รู้แจ้ง ไม่เข้าใจจริง ไม่เข้าใจ เหตุผล ไม่รู้เรื่อง ไม่เกิดปัญญา

ถ้าใครฟังนี่ รู้แจ้งเกิดปัญญานะ อาตมากำลังพูดผิด หรือพูดถูก ตรงไหนผิด ความหมายอันไหนผิด ลองพูดซิ นี่ยังไม่หมดนะ ที่อธิบายมันยังมีรายละเอียดกว่านี้ ขนาดที่ไม่ละเอียดกว่านี้นี่ ขนาดนี้ มันยังรู้ง่ายแล้ว ก็ง่ายๆแค่นี้ ตรงไหนผิด ลองบอกมาซิน่ะ มันไม่ได้ผิดนะ เพราะเรามาปรับปรุงกัน กลายเป็นคนที่ไม่เสพย์ ไม่ติดอะไรมากน่ะ นอนก็พอสมควรแก่ชีวิต มีการพักผ่อนพอสมควรแล้ว ตื่นมาก็มีกิจวัตร มารับธรรม มาศึกษา มาทั้งซ้ำ ทั้งย้ำ ทั้งพยายามที่จำไว้ได้แม่น ท่องทวนอยู่ ทั้งขยาย อธิบาย แจกแจงวิเคราะห์วิจัย ชี้เน้น ทั้งเอาหลักการของพระพุทธเจ้า ทั้งหลักการของตนเอง ที่มีเป็น คู่เคียง เป็นสิ่งที่เสริมหนุน ที่มีปัญญาพอจะประกอบความหมายต่างๆ เอามาขยาย เอามากำกับ เอามาสำทับ เอามาหนุนมาเพิ่ม มาเติมเป็นอาคม อาคมหมายความว่า คำเพิ่ม เอามาเพิ่มเข้าไป เพื่อที่จะให้เรารู้ชัด รู้เจน เพื่อให้เราเชื่อมั่นเห็นจริง แล้วมันสอดคล้องกัน มันไม่ได้เพี้ยนกับหลักแกน ใหญ่ๆ ของพระพุทธเจ้า เป็นทฤษฎีเดียวกัน เสริมหนุนกัน แล้วก็เกิดผล เกิดคุณ เกิดค่าขึ้นมาดี และเราก็ได้

ทุกวันเรามาเรียน เป็นการเรียน เป็นการให้แก่กันและกัน อาตมายินดี อาตมาเต็มใจ อาตมาไม่เหนื่อย ไม่ขี้เกียจ ที่จะทำอย่างนี้ ส่วนคนที่ยังเหนื่อย ยังขี้เกียจ ยังไม่ฉันทะ ก็เพราะว่าเขาไม่เห็นดี อาตมา ขอถามหน่อย เรามาทำวัตรกัน แสดงธรรมกันทุกเช้าๆนี่ เราไม่ได้ดีเพราะสิ่งนี้หรือ หรือว่าการทำสิ่งนี้ เป็นสิ่งเลวแล้ว ทุกวันนี้ เราเทศน์นี่เลอะเทอะแล้ว เป็นเรื่องเปื้อนแล้ว เป็นเรื่องเพี้ยนแล้ว เป็นเรื่อง ไม่มีคุณค่าแล้ว เป็นเรื่องเหลวไหลเป็นเรื่องเลวทรามแล้ว อย่างนั้นหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นมาโหวตกัน บอกกัน ถ้าใครเป็นจริงอย่างนั้นมีเสียงข้างมาก บอกว่าเราทำวัตรเช้านี่ เหลวไหลแล้ว กลายมาเป็น เรื่องเสียหายแล้ว เราจะได้เลิก แต่ถ้าไม่ใช่เรื่องเสียหาย เราก็ต้องพร้อมใจกันทำ อย่าให้เกิด ความบกพร่อง เป็นอปริหานิยธรรมน่ะ ตั้งใจทำพร้อมใจกันขึ้น ชุมนุมประชุมทำกิจที่ดีนี้ นี่เป็นกิจวัตร นี่เป็นกิจที่ดี นี่เป็นกุศล เป็นกุศลกรรม เราทำกัน เสริมหนุนเอาไว้ให้ไปเรื่อยๆ ให้อนุชนรุ่นหลังได้สืบต่อ สืบเป็นธรรมทายาท เป็นกิจวัตร เป็นจารีตประเพณี ต่อเนื่องไปอีกนานัปการ ถ้าสิ่งนี้ทำอย่างนี้ มีเหตุ ปัจจัยอย่างนี้ มีผู้รู้มีผู้ที่เห็นร่วม แล้วเราก็สาธยายธรรม คำสั่งสอนเป็นคำเรียนเป็นธรรมะ เป็นเหตุ เป็นผล ทั้งซ้ำทั้งขยายดังที่กล่าวแล้ว เป็นทั้งคำสอน ของพระพุทธเจ้า ทั้งเป็นคำสั่งของพระพุทธเจ้า ที่เป็นอาณาเป็นอนุสาสนี และเป็นทั้งคำขยาย เรียกว่า อาคม มีทั้งคัมภีร์ มีทั้งคาถา บางทีก็สรุป บางทีก็ขยาย ขยายเรียกว่าคัมภีระ สรุปเรียกว่าคาถา มีทั้งอาคม เสร็จแล้วเราเอง เราก็สืบต่อกันไป เป็นเลขขะ

มันก็จะเกิดศาสนา เพราะคำสอนพระพุทธเจ้าก็ยังอยู่ ทั้งคำสอน ผู้ที่รักษา ผู้ที่ขยาย ผู้ที่สรุป ผู้ที่จะต่อเนื่อง ทำเสริม ทำสืบต่อเป็นอาคมก็มีอยู่ เพราะฉะนั้น เลขะมันก็จะต้องหมุนไป ตัวเลขขะ ก็คือตัวที่สืบต่อไปเรื่อยๆ ตัวเดินไปไม่มีจบ ใครนับเลขได้จบมั่ง ใครนับเลขได้จบมั่ง ไม่มีจบ เลขนี่ นับไปเถอะ อีกกี่ล้านๆๆๆนี่ก็เป็นการนับเลขนะ ล้านๆๆ ไปจนหัวล้าน หมดหัวเลยก็ไม่มีทางจบ คุณนับไปซิ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ , ๘ , ๙ , ๑๐ แล้วมันก็ต่อเป็นร้อย ร้อยก็เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านๆๆๆ แล้วก็นับทวนไปอีกซิ ถ้าคุณขยันนับไป ตั้งแต่หนึ่งใหม่ ๑, ๒ , ๓ , ๔ , ๕ , ๖ , ๗ จนกระทั่ง ถึงล้าน แล้วก็นับทวนไปซิ คุณนับอีกคานยานไม่รู้กี่ยาน มันก็ไม่มีจบ นั่นคือความสืบต่อ ไม่มีที่สิ้นสุด เรียกว่าเลขะ เพราะฉะนั้น มันจะเกิดเลขะก็เพราะอนุสาสนีหรืออาณา คำสั่งและคำสอน ของพระพุทธเจ้า ก็ยังมีอยู่ อาคมผู้รู้ มาขยายบ้าง มาสรุปบ้าง ให้ได้ถูกต้อง ให้ได้มีคุณค่าเสริมหนุน ของอาณาและอนุสาสนีของพระพุทธเจ้าดีอยู่ เลขะไม่มีสิ้นสุด ความสืบต่อของศาสนาไม่มีสิ้นสุด ที่มันสิ้นสุดก็เพราะว่ามันเพี้ยน คำสอนก็เพี้ยนไป ถูกปฏิรูป คำสั่งก็บิดพลิ้วไป ไม่เป็นหลักแท้ อาคมก็เพี้ยน เพี้ยนไป คำขยายเพิ่ม คำเติมเข้ามา คำขยายก็ตาม คำสรุปก็ตาม สรุปก็ผิดๆ ขยายก็ผิดๆ เพี้ยนๆ เติมมา ซึ่งห้ามไม่ได้ เพราะความรู้ของคนนี่ เราไปบังคับไม่ได้ ความรู้ที่มันบกพร่อง มันก็ บกพร่องจริง ความรู้ที่มันถูกต้องมันก็ถูกต้องจริง เพราะฉะนั้น เมื่อมันบกพร่อง มันก็เป็นจริง ตามที่มันบกพร่องนั้น มันก็ทำให้เพี้ยนไปเรื่อยๆ ตามความบกพร่อง หนักเข้าสุดท้ายเลขะก็สั้นลง ความสืบต่อก็สั้นลง ความเสื่อมเกิดขึ้น มันก็จบจนได้ อย่าว่าแต่สิ่งที่ไม่ค่อยดีที่สุดเลย

เพราะว่าศาสนาหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือสิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ว่าเป็นสิ่งดีเลิศยอดอย่างไร มันก็ยังเสื่อมได้ มันก็ยังเพี้ยนได้ และสุดท้ายมันก็สูญได้หรือหมดลง เพราะฉะนั้น ศาสนาของ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ๆ ก็มีกัปของมัน มีพุทธกัป พุทธกัปหนึ่งของแต่ละองค์สมณโคดม เขาคำนวณกัน ประมาณกันว่า พุทธกัปของพุทธโคดมนี่ ๕,๐๐๐ ปี เอ้ามันก็เป็นไป จะจริงหรือไม่จริง เราก็ไม่มีปัญหา ถ้าว่ามีคนประมาณ มีคนพยากรณ์ว่า พุทธกัปของพระพุทธเจ้า ๕,๐๐๐ ปีจะสูญ แต่เราเองเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เราต่อไปให้ได้กว่า ๕,๐๐๐ ปีนี่ มันเลวหรือ คนเขาคำนวณไว้ มาพยากรณ์ไว้ ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ไปได้แค่ ๕,๐๐๐ ปี สูญละ หมดละ ทำไมเราจะต้องไปจำนน ว่าความดี นี่ศาสนาพระพุทธเจ้าอยู่ เป็นความดีนะ คนเขามาดูหมอเอาไว้ พยากรณ์เอาไว้ว่า ๕.๐๐๐ ปี จะสูญละ หมดเกลี้ยงละ ไม่เหลือละ

พระโพธิรักษ์นี่ ถ้าเผื่อว่าจะต่อพุทธกัปของพระพุทธเจ้านี่ ให้เป็นพุทธันดร คือให้มีความนิรันดร์ หรือไปเป็น ความยาวนานไปมากกว่า ๕,๐๐๐ ปี มันจะจบกัป เป็นหมื่นปี พระโพธิรักษ์จะทำถ้าทำได้ ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนเลย ถ้ามันจะมีศาสนาพระพุทธเจ้า ต่อไปจาก ๕,๐๐๐ ไปจนถึงหมื่นปี มันไม่เห็นจะเสียหายเลย หรือใครว่าเสียหาย เสียหายมั้ย น่าน้อยใจมั้ย อู๊ย! เขามาพยากรณ์ไว้ ๕,๐๐๐ ปีสูญ แหมองค์นี้นี่มาทำต่อให้พระองค์ท่าน ไปถึงหมื่นปีเลว เออสาธุ เขาว่าเลว อาตมาก็ไม่กลัว ถ้าอาตมาสามารถต่อศาสนาพระพุทธเจ้าไปได้ถึงหมื่นปี แล้วเขามาว่า การต่อศาสนา ของพระพุทธเจ้า ยาวนานไปถึงหมื่นปีนี่ เป็นความเลว สาธุ ยอมรับโดยดุษณี รับ เขาจะตราว่าเลว รับ รับเลย มันจะเลวยังไง ในเมื่อต่อศาสนาพระพุทธเจ้าให้แก่มนุษยชาติไปได้อีกนานกว่านั้นด้วยซ้ำ เป็นพุทธธันดรยิ่งกว่า พุทธันดรหมายความว่า นิรันดรไปเรื่อยๆ ยิ่งกว่า น่ะ และอันตระมันต่อไปอีก ระหว่าง มีพุทธะระหว่าง เดินทางต่อไปอีก มันไม่เห็นจะเสียหายอะไร

ถ้าเราเองไม่จำนน เราไม่ไปถูกใครกำหนด คนเขากำหนดว่า ศาสนาพระพุทธเจ้า ต้อง ๕,๐๐๐ ปีเท่านั้นนะ กำหนด ก็กำหนดไปสิ แต่ถ้าเราหวังดี และเราทำดีสิ่งนี้ให้เป็นเนื้อ เป็นสาระต่อไปอีกได้ ไม่เห็นแปลก แต่คนไปทำชั่วต่อไปนี้ซิไม่ดี แม้แต่วินาทีเดียว ต่อความชั่วไปวินาทีเดียว ดีมั้ย เรื่องไม่เห็น จะต้องยากตรงไหนเลย ใครมันมีปัญญาเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ต้องปัญญาฉลาดอะไรก็เข้าใจ เราไม่ต่อชั่ว แต่เราต่อดีไว้เรื่อยๆ

อาตมาจะไม่ขี้เกียจในการที่จะทำงานเพื่อสืบสานศาสนาลมหายใจมีอยู่ อาตมามองไม่เห็นอะไรเลย ดีกว่านี้ ชีวิตของอาตมา ร่างกายและจิตใจ สบาย กินอยู่แค่ทุกวันนี้ มากเกินพอ นอนอย่างทุกวันนี้ มีที่หลับที่นอนขนาดอย่างนี้ แม้กระเบียดกระเสียน จะนอนแช่น้ำบ้าง เป็นครั้งเป็นคราว เปียกแฉะ จะนอนมีมดไต่ มดตอมบ้าง เป็นบางครั้งบางคราว อาตมาก็ไม่เดือดร้อนอะไรจนเกินไป น่ะมันหลบได้ เลี่ยงได้บ้าง ก็หลบ หลบไม่ได้จำเป็นจะต้องนอนแช่น้ำ จะต้องมีมด มีสัตว์ตอมบ้าง อาตมาก็ไม่มี ปัญหาอะไร อาตมาเชื่อว่า อาตมาได้ฝึกตนมาแล้ว พอทนได้ ถ้าเลี่ยงได้นิดหน่อย ก็เลี่ยง ไม่ต้อง แสวงหา จะต้องได้บรรจถรณ์ หมอนฟูกใหญ่อะไรต้องมาสัมผัส มารองรับให้เหนื่อยยากให้ลำบาก อาตมาก็พอแล้ว อย่างอาตมานอนกุฏิน้อยนี่ก็ สุขแสนสุข สบายแสนสบาย เกินพอแล้ว ขนาดนี้ ก็เกินพอแล้ว ให้นอนดินนอนหญ้า ทุกวันนี้อาตมาก็ไม่สงสัย จะให้นอนดิน นอนหญ้านี่อีก ไปตลอดตาย อาตมาก็สบาย ดินหญ้าที่เรามีอยู่ แค่ที่มีในสันติอโศกนี่ ก็เหลือเกินเหลือกิน

อาตมารู้แล้วว่า การสัมผัส การรองรับนี่ มันไม่ต้องโอ่อ่า ไม่ต้องปรุงแต่ง ไม่ต้องเสริมสร้างอะไร เกินการนัก กินอย่างทุกวันนี้ ก็หรูหราพอแล้ว สันโดษแล้ว นอนอย่างทุกวันนี้ก็สันโดษแล้ว ที่พักอาศัย อย่างทุกวันนี่ แม้จะไปทำงาน ทำกิจทำการ ที่โน่นที่นี่มีที่พักอาศัย อันกระเบียดกระเสียนบ้าง ก็แสนที่จะสันโดษพอใจ น้อยขนาดนั้น อย่างนั้น เบียดเบียนตนบ้าง ที่จริงมันไม่ได้เบียดเบียนตนอะไร ใจเรานี่พอ เราไม่ได้ทำอะไรให้เสื่อมเสียที่เราสักหน่อย ขนาดนี้อาตมาก็ว่า อาตมาสมบูรณ์พูนสุขแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ อย่างทุกวันนี้ อาตมาก็สมบูรณ์พูนสุขแล้ว อาตมาใหญ่นะทุกวันนี้ ไม่ใช่ว่าไม่ใหญ่ ขนาดนี้ก็ใหญ่ยิ่งแล้ว อาตมาพอแล้ว อาตมาทุกวันนี้ใหญ่นะใครว่าไม่ใหญ่ ใหญ่นะ แต่ก่อนนี้นายรัก รักพงษ์ ไม่ได้ใหญ่เท่านี้หรอก เดี๋ยวนี้ใหญ่นะ มีคนมากราบเคารพ กราบไหว้กว่าเก่า เยอะแยะแล้ว อาตมาพอเป็นแล้ว มีความพอเป็นแล้ว ฟังให้ออก เป็นแล้ว แล้วอาตมารู้แล้วว่า อาตมาได้มากแล้ว อาตมาจึงจบได้ พอได้ แต่ถ้าใครยังไม่จบ ยังไม่พอ ฉันจะต้องเอาความใหญ่ให้ได้มากกว่านี้ ฉันจะต้อง เอาความหรูหรา ให้ได้มากกว่านี้ ฉันจะต้องเอาวัตถุให้ได้มากกว่านี้ คนนั้นไม่หยุดหรอก แต่คนไหน ใจพอแล้ว หยุด หยุด น่ะ นอกนั้นมีแต่ ทำให้แก่คนอื่น เมื่อใจพอ ของตนแล้ว มีแต่ทำให้คนอื่น

เพราะฉะนั้น อาตมาอาจจะไปกระเบียดกระเสียน นี่แทนที่จะนอนอยู่ที่กุฏิน้อยสบายๆ อาตมา ไม่ได้นอนกุฏิน้อยหรอก เขาขอให้ไปโน่นหน่อย เอ้าไป ไปแล้วก็ไม่ค่อยมีที่พักที่นอน ต้องปักกลด บนหญ้า บนดิน บางทีที่แฉะที่ลำบาก เอ้าก็เอา อาตมาก็ไป การไปเบียดเบียนตนอย่างนั้น เพื่อผู้อื่น ตัวเองต้องเสียสละในการที่ นอนก็ไม่ได้นอนกุฏิน้อย บนไม้กระดานเรียบๆ ต้องไปนอนขรุขระ กินก็ไม่ค่อยได้กิน ขี้ก็ไปกันหมู่ๆเยอะๆ ไม่ค่อยมีส้วมขี้ ต้องอั้น ต้องรอคิว บางทีก็ไม่ได้ขี้ล่ะ อยู่ที่นี่ ส้วมก็พอ ไปข้างนอกบางทีส้วมก็ไม่ค่อยพอ ไปงานนี้นี่ ที่พัทลุงนี่ โอ๊ เขาลงทุนสร้างส้วมใหม่ ให้เรียงแถวเลย ต่อน้ำก๊อกมา งานนี้นี่เดี๋ยวไว้ให้หมู่มาเสียก่อน แล้วอาตมาจะวิเคราะห์ให้ฟัง คราวนี้เป็นงานที่ ตั้งแต่อโศกทำงานมา มีถึงผู้ว่าราชการ เป็นประธานรับผิดชอบดูแล รองผู้ว่าฯ เป็นรองประธานจัดงาน มีปลัดจังหวัด มีนายอำเภอ มีกรรมการ หัวหน้ากองนั้น ผู้อำนวยการนี้ หน่วยนั้นหน่วยนี้ อยู่ในนั้น ช่วยเหลือเฟือฟายอยู่อย่าง อื้อหือ เพิ่งครั้งที่หนึ่งในชีวิต ที่ได้รับ ความร่วมมือจากทางการอย่างนี้น่ะพรั่งพร้อม เราก็เดินทางมาถึงจุดนี้แล้วน่ะ จะอย่างไรก็ตาม องค์ประกอบของมัน ช่วยเหลือเฟือฟาย ได้ให้เราทำกิจนี้การนี้ขึ้นมา เพราะเราทำกันด้วยความจริง ด้วยความตั้งใจ แล้วเราก็แน่ใจว่า เราทำความดี เราไม่ได้ทำความชั่วอะไร มันก็ก้าวหน้าขึ้นไปเรื่อยๆน่ะ มันได้อะไรๆ ขึ้นมาอย่างนี้ เป็นต้น

ไปคราวนี้ ฝนแฉะ ไม่ได้นอนข้างนอกเลย ฝนตกจริงๆ แต่เราก็มีอาคาร ถ้าไปคราวนี้นะ ไม่มีอาคาร ต้อนรับนะ รับรองนอนน้ำ นอนแช่น้ำกันแน่ แต่ดีที่ว่าไปคราวนี้มีอาคารให้พักให้อาศัยน่ะ เป็นศาลา ประชาคม ฝ่ายหญิงฟากหนึ่ง ฝ่ายชายฟากหนึ่ง ฝ่ายพระอยู่อีกส่วนหนึ่ง อยู่...มีห้องมีเขตมีคั่นอะไร แม้จะเบียดๆกันหน่อย พวกเราก็ไม่แปลกอะไร สำหรับพวกเราน่ะ ขนาดนั้นยังมีที่อื่นอีก ไปนอนพัก ที่อื่นได้อีก มีที่อื่นที่ได้พักได้หลบได้นอน มีที่ให้อีกน่ะ แต่พวกเรายินดี ที่จะเบียดกันนอนก็มี จะแยกย้าย ไปนอนที่พักที่ควรพักบ้างก็มี อย่างนี้ก็เอามาประกอบในการเอามาอธิบายให้เห็นว่า เรามีชีวิตอยู่นี่ ถ้าเราไม่ติด ถ้าเราติดที่ เออเรานอนที่นี่ ที่นี่เราถนัด ที่นี่เราชำนาญ เราชินแล้ว เราคล่องแล้ว ถ้าเราไป ที่ไม่คล่อง ไปก็ไม่รู้ว่าจะเป็นยังไง มันเป็นที่ใหม่แล้วเราก็กลัว เราก็ไม่อยากไป แต่ถ้าเราไม่กลัวแล้ว ไปไหนเราก็สู้ นอนไหน นั่งไหน กินไหน อย่างไร แม้จะมีที่ขี้ ที่เยี่ยวบ้าง ยากๆเย็นๆบ้าง เราก็ไม่จนปัญญา น่ะ เราเก่งกว่านั้น มีเจโตด้วย สามารถอั้นได้ อดได้ด้วยซ้ำ เราก็ไป

ไปเพื่ออะไร จริง เราอาจจะเบียดเบียนตนหน่อย เพราะว่าเราอั้น ต้องอั้นขี้ อั้นเยี่ยวนี่ มันก็เบียดเบียน ตนหน่อย แต่เราไปทำประโยชน์นะ ชีวิตเราก็เท่านั้น เหลืออยู่ก็เป็นเพียงแต่สร้างประโยชน์ให้คนอื่น ตนนั้นสมบูรณ์แล้ว สมบูรณ์แล้ว เราไม่เอาอะไรอีกแล้ว จึงเรียกว่า หมดตน เราก็ไปทำให้เขาเท่านั้น ไม่กลัวจะทำที่ไหน อย่างไร สมบุกสมบันบ้าง ไปที่ช่วยพวกในป่า ในเขา ในถ้ำ หรือ ช่วยพวกๆที่อยู่ ที่ร้อนเป็นนรก เป็นแดนที่เขาปรุง แล้วก็มีพวกยักษ์คอยป้องกันอยู่ ถือปืน ถือมีด ถือพร้า ถืออำนาจ บาตรใหญ่ป้องกันอยู่ เราสามารถเข้าไปบุกทะลวง สามารถเข้าไปแก้กลับ สามารถเข้าไป ดึงคนมาจาก ขุมนรกเหล่านั้นได้ไหม ขุมนรกที่ว่านี่ อยู่ในเมืองกรุงนั่นแหละมาก อยู่ในป่าจริงๆ ไม่ค่อยมีหรอก อยู่ในเมืองกรุง นี่แหละมาก ล้วนแล้วแต่มีอำนาจโลกีย์ทั้งนั้น ป้องกันเอาไว้ ห้อมล้อมไว้ ถ้าเราจะไป ช่วยคน ที่อยู่ในเหล่านั้น ให้หลุดพ้นออกมาบ้าง อำนาจสิ่งเหล่านั้นดึงเอาไว้ อำนาจโลก ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ความผูกพันอยู่ของโลก เขาดึงเอาไว้ เราจะอาจหาญไปดึงเขามาได้ไหม

นี่เราเข้าไป แหม ถ้าใช้คำนี้มันก็แรง ตามสำนวนลูกทุ่งน่ะ คือ เราต้องไปเหยียบ กลางกรุงพัทลุงมาแล้ว อย่างนี้เป็นต้น โดยมีผู้ว่า ซึ่งเป็นใหญ่ในเมืองพัทลุง เป็นผู้ยินดีให้เราปักหลัก ลงไปในที่ตรงนั้น เอาเลย อนุญาตให้เราลุย จะเอาคน ในเมืองลุงนั่นน่ะ ในพัทลุงนั่นน่ะมาเป็นพระ หรือมาเป็นเทวดา หรือ มาเป็น ผู้ที่เป็นโลกุตระได้เท่าไร เชิญเลยเปิดโอกาส อย่างนี้เป็นต้น อำนาจใหญ่ของผู้ว่า อำนาจใหญ่ ของข้าราชการผู้ใหญ่ มีอำนาจทางโลก เขาเต็มที่ เขาช่วยให้เรา หนุนเนื่องให้แก่เราเลย อย่างนี้ นี่เราได้ ขนาดไหน เขาอนุเคราะห์ร่วมมือขนาดไหน อย่างนี้เป็นต้นน่ะ มันเป็นเรื่องที่เรา เข้าไปกลางกรุง เข้าไปดึงเอาคนที่ตกนรก อยู่ในกรุง ตกนรกอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ลาภ ยศ สรรเสริญ ดึง ถ่วงจมหัวมิดน้ำ สำลักตาย อยู่กันอย่าง ไม่โงไม่เงย เขาให้เราลุยไปดึงพวกนั้นขึ้นมา คิดว่าฟังออกนะ ที่พูดอย่างนี้ คิดว่าคงไม่สับสน มันเป็นโอกาสอันมาก ธรรมดาเขาไม่ยอมหรอก เจ้าของเมืองกรุงเขาก็จะพยายาม ถ้าเขาไม่มีปัญญา ไม่มีธรรมะ เขาก็จะพยายาม ประคบประหงม มอมเมาให้คนอยู่ในเมืองกรุง หลงอะไรที่กรุงมีอยู่ นั่นแหละ แต่นี่ ผู้ว่านี่ ช่วยเราสวดเลย พยายาม ล่าจากทุจริต บอกเลย บอกว่านี่สนับสนุนกองทัพธรรม กองทัพธรรมทำอย่างนี้ ขอให้ปราบเลย อบายมุขก็ดี รูป รส กลิ่น เสียง หลงอะไรก็ดี หลงกินวัวที่พัทลุง หลงกินวัว จะต้องฆ่าวัว ไม่มีเงิน ไม่มีทอง จะต้องไปกู้หนี้ยืมสินเขา มีงานเลี้ยง งานโน้นงานนี้ กินวัว อะไรต่างๆพวกนี้ เดี๋ยวฟังๆ คำบรรยายของผู้ว่าน่ะ ซึ่งเป็นเรื่องที่เราเอง เรากำลังมี ความก้าวหน้า ที่สามารถได้รับความร่วมมือ เพิ่มขึ้น ไม่ใช่งานง่าย แม้คนจะเป็นผู้ใหญ่ มีอำนาจ ปกครองบ้านเมือง ดูแลจังหวัด ดูแลโขน ดูแลชน กลุ่มหมู่ เขายังไม่เข้าใจธรรมะ เขาก็ยังไม่ให้โอกาส ถ้าเขาเข้าใจธรรมะ เขาก็จะให้โอกาส

ยกตัวอย่างซ้อน ขณะนี้มีข่าวมาแล้วว่า ที่สงขลานี่เราจะไปในมกราคมนี่ เขาก็ขอโอกาสผู้ใหญ่ ที่มีความรู้ เป็นผู้ที่มีสิทธิ จะอนุญาต อย่างนั้นอย่างนี้ ขณะนี้ปรากฏว่าทางครูหรืออาจารย์ ที่อยู่ วิทยาลัยครูนั่น เขาจะนิมนต์เราไปเทศน์ ไปอภิปราย ไปทำอะไร โดยเอาวิทยาลัยครูเป็นที่พัก เป็นที่ จะเป็นกองบัญชา เป็นกองทำงานน่ะ เป็นสถานที่ทำงาน เป็นชั่วคราว ที่เราจะไปนี้ ปรากฏว่า เอาไป เอามา ขณะนี้พระอนันต์ก็ไปที่โน่น แล้วก็ข่าวออกมาแล้วว่า อธิการฯไม่ยอมให้เราพัก ในวิทยาลัยครู แล้วน่ะ นี่มาแล้วน่ะ แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่ง ที่อธิการฯก็คงจะรู้บ้างเหมือนกันล่ะ ละอายเหมือนกัน เข้าใจ เหมือนกัน ให้ไปอภิปรายได้ แต่ไม่ให้ปักกลดในวิทยาลัย แกล้งได้หน่อยหนึ่งก็เอานะ ตัดหน่อยหนึ่ง ก็เอา ไม่ให้เต็ม ว่าอย่างนั้นเถอะ ไม่ร่วมมือเต็มที่ ร่วมหน่อยเดียวให้ไปอภิปรายได้ จนอาจารย์ที่นั่น เขาก็ถามว่า เอ๊ ถ้าเผื่อว่า ให้พักก็ไม่ให้พัก แล้วให้มาอภิปรายนี่ไม่กลัวหรือ อธิการฯ แหมแฉลบ ออกเลยว่า "ผมมีมาตรการของผม" น่ะ ว่าอย่างนั้นเลยน่ะ ไม่รู้มาตรการอะไรนะ ไม่ให้เราไปนอนพัก มันก็ไม่ได้ไปทำอะไรมาก ที่จริงมันก็ทำ มันก็ได้แสดง กายกรรมต่างๆ แต่ว่าอภิปรายนี่ตัวฉีกชี้ละ ก็รอดนะ มันจะเป็นไปอะไรแค่ไหน ทางเราไม่เป็นปัญหาอะไร

ใครให้ทำก็ทำ ใครไม่ให้ทำก็ไม่ทำ เราถือว่าเราไม่เก่ง ที่คนเหล่านั้นเขายังไม่ร่วมมือ เราก็ไม่เก่ง เราจะต้อง ทำให้เขาเข้าใจ ให้เขาเชื่อถือ ให้เขายอมร่วมไม้ร่วมมือได้นั่นล่ะ เราถึงจะเก่ง แล้วเราก็ ไปพยายามช่วยเหลือคนตกโลก หรือคนตกอยู่ ใต้นรก คนตกอยู่ในส่วนที่มันไม่เจริญ เราจะเอาเขา ขึ้นมาเป็นโลกุตรบุคคล เขายังไม่สนับสนุน ก็เอาละ ก็ช่างเขานะ เพราะเราจะไปทำกิจ ทำการอะไร ได้ทะลุปรุโปร่ง หรือว่า ราบรื่นเรียบร้อยได้ ก็เพราะเขาต้องเห็นด้วย แม้อำนาจอะไร อื่นๆใด ก็สามารถ ที่จะมาช่วยเหลือ สามารถที่จะมาร่วมมือ สามารถที่จะมาสนับสนุนเรา ให้เราทำงาน นี่เราก็ต่อสู้ ไปเรื่อยๆ

เพราะโลกมันเป็นสภาพทวนกระแส ทุกวันนี้มันยิ่งทวนกระแส หนักกว่าสมัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เราก็ได้บากบั่น ได้พยายามกอบกู้ต่อสู้กระทำมา จนเขายอมจำนนว่ามันดี แล้วค่อยๆได้รับความร่วมมือ ได้รับการสนับสนุนเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้นมาอย่างนี้แหละ ขนาดนั้น มันก็ยังมี สภาวะซับซ้อน มีความโง่หรืออวิชชาที่ ซับซ้อน จะรับก็รับไม่เต็ม ยังมีการต่อต้าน เพราะกิเลสส่วนตน ก็เป็นอยู่อย่างแท้จริงนะ เพราะฉะนั้น เราได้มาเรียนรู้ เราได้มาทำตนให้พวกเราเอง ตัวเราเอง ได้รับประโยชน์ตน อันสมบูรณ์ เมื่อประโยชน์ตน สมบูรณ์แล้ว มันไปมีประโยชน์คนอื่น เพราะมัน ไม่มีประโยชน์ตนอีก ประโยชน์ตนมันน้อย ประโยชน์ตนมันนิดหน่อย

เพราะว่าคนเรานี่ บอกแล้วว่าแค่ยอดหญ้า แค่ดอกหญ้า นิดหน่อย ชีวิตของมนุษย์นี่ กินก็เท่านั้น อยู่ก็เท่านั้น หลับนอน ก็เท่านั้น อาศัยเสื้อผ้าหน้าแพร อาศัยที่อยู่ ที่พัก ที่อาศัย ยารักษาโรคเท่านั้น ไม่มากอะไรเลย ยิ่งเราไม่มีอารมณ์ติด นอกจากไม่ติดวัตถุนอก เป็นปัจจัย ๔ เป็นอาหารการกิน เสื้อผ้าของพัก ของใช้ โภชนะ คือทั้งเครื่องใช้ และเครื่องกิน ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ไม่ได้มากมายอะไรแล้ว เราก็พอแล้ว มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นอกนั้น ก็เป็นแต่อุปกรณ์ที่ทำงาน อุปกรณ์ทำงานมาได้มาก เราก็ทำมากเป็นไรไปล่ะ ถ้าคนเขาเห็นดีช่วยอุปกรณ์มามากๆ เราก็มีเครื่องทุ่นแรงมาก เราก็จะทำ ผลผลิตไปเพื่อประโยชน์แก่มนุษย์ได้คุณค่า ดังที่เราหมายนี่ เราจะประกอบ ผลผลิตอะไร ที่จะไปให้ แก่มนุษย์ ได้รับคุณค่ามากๆได้เท่าไร เราก็ช่วยกันทำน่ะ มีอุปกรณ์มามาก ก็ไม่เป็นไร เราขยันมาก เราก็ทำมาก เมื่อยเมื่อไรเราก็พัก สุขภาพร่างกายมันก็แข็งแรงอยู่ แม้ถ้าหากร่างกายมันจะทรุดโทรมบ้าง แต่เราได้ผลิตน่ะ มันก็ไม่เห็นจะเสียดาย อะไรตรงไหน ถ้าเป็นโอกาสที่ควรทำ ก็ทำลงไปมันก็ได้น่ะ

อาตมาว่าอาตมาพูดนี่ พูดๆๆๆ มันหมดๆๆนะ แต่ทำไมไม่เข้าใจกันก็ไม่รู้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า อาตมาพูดแล้ว คนไม่เข้าใจ มีคนเข้าใจน่ะ เข้าใจเพียงพอ แล้วก็ถึงได้เป็นกลุ่มเป็นก้อน ถึงได้เป็น ผู้ที่กระทำตามที่อาตมาพูดอยู่นี่ ถึงแม้ว่าตัวเองจะรู้ว่า ตัวเองมันไม่ขยันนะ นี่ตัวเองมันขี้เกียจนะ ก็ได้พยายามแก้ไขความขี้เกียจของเรานี้อยู่น่ะ ความขี้เกียจนี่เป็นตัวต้น และเป็นตัวปลายของ ชีวิตมนุษย์ เราขี้เกียจมากเรียกว่าอบายมุข เราขี้เกียจน้อยลง ก็เป็นอบายมุขน้อยลง ก็เป็นอบาย คือเป็นนรกน้อยลงๆๆ จนสุดท้าย เป็นพระพรหม พระพรหมนี่ ถ้ายังมีเศษขี้เกียจอยู่ ก็ยังเป็นนรก ของพระพรหมนั่นเอง มีความขี้เกียจน่ะ มันขี้เกียจมันเหลือเห็นแก่ตัว ก็มันรู้อยู่ว่านี่ ถ้าทำก็ทำได้ แต่ขี้เกียจ ขี้เกียจอยู่เฉยๆ หรือไปทำอะไรเสพย์ ไม่ทำหรอกอันนั้นน่ะ อันที่เป็นงานที่เป็นประโยชน์ ผู้อื่นน่ะ แต่ไปทำสิ่งที่ตัวเอง ได้เสพย์ จะไปทำอะไรก็ตาม ไปทำนั่งเฉยๆ ไปทำเดิน ไปทำนั่งหลับ ไปทำนั่งหรี่ ไปทำลอยชาย ไปทำกิจที่แม้แต่ที่สุด ไปทำบุหรี่สูบ ไปทำพั้บแตะ แต่งหน้า ไปทำกิจอะไร ที่ตัวเองเสพย์เสวย อะไรก็ตามใจ มันก็เป็นเรื่องที่ยังไม่ใช่ ผู้บริสุทธิ์สูงสุด ยังมีเสพย์สม

ผู้ใดยังมีเสพย์สมอยู่ ผู้นั้นยังไม่พ้นอามิสน่ะ ผู้นั้นยังไม่พ้นเสพย์ ยังไม่สิ้นความเสพย์ เมื่อยังไม่สิ้น ความเสพย์ ก็ยังไม่ใช่ผู้ลอยตัว ยังเป็นผู้ที่มีอะไรแอบเสพย์อยู่ ไม่ลอยตัว เมื่อไม่ลอยตัวก็ไม่ได้ มันก็มาดึงเอาเวลา ดึงเอากิจกรรม ดึงเอาแรงงานไป เอาแรงงานนั้นมาทำให้เพื่อตน มันก็ยังเหลือตน แต่ถ้าเมื่อไม่มีตัวที่มันซ้อนแทรกพวกนี้ ไม่เหลือตน เราก็ได้ทำให้แก่คนอื่น ไปได้อีกมากมาย วันๆ คืนๆ มีแต่เราจะสร้างสรรแก่ผู้อื่น ถึงเป็นพระเจ้าเป็นตัวแทนพระเจ้า เป็นพระพรหมที่มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา แล้วก็อย่าไปแปลอุเบกขาว่า อยู่เฉยๆด้วย ซึ่งกำชับกำชากัน แก้ข้อเข้าใจผิดนี้ มามากแล้ว

อุเบกขา มีองค์ธรรมถึง ๕ ประการ ซึ่งเป็นตัวการงานเลย กัมมัญญา เป็นตัวการงานที่ชั้นเด่นชั้นดีด้วย เป็นการงานที่สละสลวย การงานที่งดงาม เรียบร้อย สมบูรณ์ด้วยน่ะ เหมาะแก่การงาน และทำการงาน จนสมบูรณ์ ด้วยกัมมัญญา แคล่วคล่อง ว่องไว ไม่ใช่คนเฉื่อยเนือย ไม่ใช่คนแช่นิ่ง มุทุ กัมมัญญา เป็นตัวที่มันเป็นคุณค่า เป็นแรงจักร แรงกล ถึงเรียกว่า อุเบกขา แต่เฉยต่อสิ่งที่กระทำร่วม ไม่ดูด ไม่ติด ไม่เสพย์ สิ้นความเสพย์ แม้จะทำงานร่วมอยู่กับอะไร ไม่ดูดไม่ซึมอะไร เหมือนใบบอนกับน้ำ ไม่ดูด ไม่ซึมจริงๆ ไม่ติดใจมา แม้ทำดีแล้ว ทำกิจการนั้นมาแล้ว ก็ไม่ติดกิจการนั้น มาเป็นของเรา ก็ย้ำ ก็ซ้ำ ก็แนะ ก็ชี้ แล้วก็ให้คุณพิสูจน์น่ะ เพราะฉะนั้น ผู้นี้จึงมีค่า เป็นพระเจ้าจริง เป็นพฤติกรรมของ พระเจ้าจริงๆ

ที่ทำอยู่นี่เป็นผู้สร้าง เป็นผู้ให้ เป็นจิตบริสุทธิ์ ที่บริสุทธิ์เพราะปราศจากกิเลส ที่บริสุทธิ์เพราะไม่เหลือ ตัวกู ของกู ที่บริสุทธิ์ เพราะไม่ติดเป็นตัว เป็นตนไปอีกเลย ทำแล้วก็รู้ว่า มันเป็นดี ใครจะมาว่าดี ดีก็เข้าใจ แล้วก็ไม่ได้หลงฟูอะไรในดี ไม่ได้หลงร่าเริง ตื่นเต้น แต่ก็รู้ดี ยินดี อนุโมทนา ดี ใช่ เราทำดีนี่ เขามาว่าดี ถูกแล้วเขาทำถูก แต่ก็ไม่ได้ไปหลงเหลิง อะไรตัวเอง อะไรอย่างนี้เป็นต้น พูดแล้วภาษา มันก็ชักจะสั้น มันชักจะเข้าใจยากเกินไป แต่ฟังดีๆ ก็ไม่ใช่ยากอะไร พอเข้าใจ เพราะพูดภาษาไทยน่ะ

คนที่ได้ฝึกหัดฝึกปรือ คนที่ได้เรียนรู้ คนที่ได้พิสูจน์ความจริง ก็พิสูจน์ไปเรื่อยๆ ตามที่เราเป็น เริ่มต้น ตั้งแต่ อาตมานำมาวันนี้ว่า เรามีกิจวัตร มาเรียนรู้นี่ กิจวัตรอันนี้ไม่ควรส่งเสริมหรือ ถ้าไม่ควรส่งเสริม ก็มาโหวตกันว่า ควรหยุด แต่ถ้าควรส่งเสริมอยู่ ก็ควรทำ เมื่อควรทำแล้ว เราก็พรั่งพร้อมกันทำ อย่าให้เป็น การไม่พรั่งพร้อม อย่าให้เป็นการ ไม่สามัคคี ถ้าเป็นความพรั่งพร้อม เป็นสามัคคีแล้ว ไม่มีความเสื่อม พระพุทธเจ้ายืนยันว่า เป็นอปริหานิยธรรม แปลว่า ธรรมะอันไม่เสื่อม เมื่อพรั่งพร้อม กันประชุม พรั่งพร้อมกันทำกิจ พรั่งพร้อมกันเลิกน่ะ อย่าง...สามัคคี อย่างเรียกว่า เต็มเรี่ยวเต็มแรงกัน ไม่ขาดไม่หล่น มันยืนนานและมันมีพลังฤทธิ์ มีความเจริญงอกงามจริงๆ

เรื่องพลังสามัคคี เป็นเรื่องยอด เป็นเรื่องเลิศน่ะ เป็นได้ เพราะฉะนั้น ผู้ใดนี่ไม่ได้ทำความพรั่งพร้อมอยู่ ก็พิจารณาตนว่า ตนเองทำไม ไม่ทำความพรั่งพร้อม มันเกิดจากอัตตาตัวเรา มันจะให้ความเป็น ซึ่งเราเราไม่เห็นล่ะ เราเห็นของเราว่า อันที่เราทำนี้ดีกว่า อันนี้เราไม่ล่ะ เราปลีก แยกไปทำ เราทำความ ปลีกแยก ไม่อยู่ดีกว่า แล้วความปลีกแยกอันนี้ เราก็ทำงานให้แก่หมู่เหมือนกัน อันที่มันจำเป็น อันที่มัน เป็นงานให้แก่หมู่ หรือแก่กลุ่มสอดร้อย มันเป็นความจำเป็น มันเป็นความเร่งร้อน เราก็ทำ มันเป็น ความจำเป็นเร่งร้อน วันใดที่มันไม่ใช่ความจำเป็น ไม่ใช่ความเร่งร้อน เราก็รู้จังหวะ เพราะเราย่อม ต้องเห็นว่า ความสามัคคี กลุ่มหมู่พรั่งพร้อมนี่ เป็นความประเสริฐยอด เพราะฉะนั้น สิ่งที่ไม่จำเป็น ไม่เร่งร้อน นอกจากไม่จำเป็น ไม่เร่งร้อนแล้ว เรามีอะไรที่เราจะเสพย์จะติด เราจะหาอื่น มาแทรกมาแซง ถ้าเราไม่มีอื่น มาแทรกแซง ทุกอย่างพรั่งพร้อม เพราะฉะนั้นมวลหมู่ สามัคคี มันจะมีกำลังหมู่สามัคคี พรั่งพร้อมสมบูรณ์ สมดุล ทีนี้ ถ้าผู้ใดเกิดปัญญารู้อย่างนี้ ผู้นั้นก็ไม่ตะแบง ผู้นั้นก็ไม่แยก ผู้นั้น ก็ไม่ทำอะไร เป็นเสี้ยน เป็นสะเก็ด หรือเป็นสิ่งกระจุย กระจาย ไม่รวม ก็จะกลายเป็นสิ่งรวม เป็นก้อน เป็นเนื้อ เป็นมวล เป็นแท่ง ที่อยู่ในขอบเขต ที่อยู่ในแวดวง ที่อยู่ในความเป็น อันหนึ่งอันเดียว อย่างเดียวกัน ย่อมไม่กระเซ็นออก ย่อมไม่เป็นเสี้ยนโด่ๆ เด่ๆ ขวางๆ รีๆ ย่อมไม่เป็น ตะปุ่มตะป่ำ

ทุกอย่างจะประสมกลมกลืนกันเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว เป็นอันหนึ่งอันเดียว เป็นความเสมอเสมือน เป็นความสอดร้อย เป็นความสนับสนุน ส่งเสริมเป็นอนุกรม ตามรวนตามติดอยู่ร่วมกันเป็นกรม เป็นอนุกรมน่ะ มีระดับน่ะ ของผู้ที่ออกหน้า ผู้ที่ตามมา ผู้ที่ตามหลังสนับสนุนสอดร้อย เนื่องกัน เป็นพวงมาลัย ร้อยที่ได้ระเบียบ แม้มันจะมีเค้า มีเว้า มีแหว่ง มีโค้ง มีกระชาย มีระบาย มันก็เป็น ระเบียบเป็นมาลัยที่งดงาม มีทั้งโป่ง มีทั้งคอด มีทั้งเว้า มีทั้งตรง มีทั้งชาย มีทั้งระบาย อะไรอย่างนี้ เป็นมาลัยที่งาม เพราะมันร้อยเป็นอนุกรม ร้อยได้ระดับ ร้อยได้ระเบียบ ตามความรู้ ตามความจริง มันจะเป็นลักษณะอย่างนั้นจริงๆน่ะ

ที่เราทำอยู่นี่ มันยังไม่ลงตัว มันก็มีบ้าง มีกระเด็น มีกระเซ็น มีเสี้ยน มีตะปุ่ม มีตะป่ำ มีตัวขวาง มีตัวรี ตามความยังไม่ลงตัวของจิต ทิฐิที่กล้าหาญแล้วสามารถทำได้ ผู้นั้นก็จะทำ ทิฐิที่ดื้อด้าน ก็จะทำตาม ทิฐิที่ดื้อด้าน แล้วเห็นจริงเห็นด้วย ก็ร่วมสอดคล้อง แล้วจะประสาน สอดร้อย สนับสนุนกัน เรียบร้อย ราบรื่น ง่ายงาม ไปอย่างเป็นสันติ แล้วจะมีพลังฤทธิ์พลังแรง ที่เราทำอยู่นี่ยังมี ย่อมมี error หรือ มีความหก ตกหล่น บกพร่อง มีเสี้ยน มีตะปุ่ม มีตัวขวาง มีตัวรี มีตัวตก มีตัวหล่น มันก็มีบ้างอยู่ล่ะ สักวันหนึ่งมันจะดีขึ้น

ผู้ใดระลึกได้ ผู้นั้นก็เข้าสู่สภาพรวมสภาพสามัคคี สภาพเป็นสังฆมณฑล สภาพเป็นอปริหานิยธรรม เป็นธรรมะ อันสอดคล้อง ร่วมกันทำ ร่วมกันประชุม ร่วมกันเลิก ร่วมกันสร้างสรร ร่วมกันตกลงน่ะ พรั่งพร้อมกันตัดสิน ไม่ทำสิ่งที่ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ ย่อมทำตามสิ่งที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ ให้สอดคล้อง แม้จะมีอาคมก็สอดคล้องกัน สนับสนุนอยู่ในที เป็นไปตามมหาประเทศ เจริญรุ่งเรือง ไปได้ ถูกต้องตามอปริหานิยธรรม แม่นมั่นๆ สิ่งนี้อาตมาท้าทาย ให้คุณพิสูจน์ และเราก็กำลังพิสูจน์ กันไปอยู่ ถ้าใครมีตาดี ใครมีปัญญาดี ก็จะเห็นว่า เราทำสำเร็จ เราทำได้ แม้จะมีเศษหกตกหล่นนั้น อาตมาก็ว่าดีแล้ว ทุกวันนี้มีเศษตกหล่น หรือว่ามีตัวเสี้ยน มีตัวตะปุ่ม ตะป่ำ มีตัวขวางๆรีๆ มีสิ่งที่ ไม่สอด ไม่ร้อย มีสิ่งที่ยังกระดกกระเดิดกระเด็นอะไรอยู่ ด้วยทิฐิ ด้วยความยึดถือ ด้วยความอะไร ก็ขวางๆไป ก็ยังมี ก็ตามเถอะ มันก็ย่อมมีบ้าง แต่ส่วนใหญ่เราก็กระทำได้เรียบร้อยดี มีหมู่มวลที่เป็นไป แม้ตัวแต่ละคนเอง จะมีกิจ มีกิเลสส่วนตัว แม้มาแล้วก็รู้สึกไม่ฉันทะ มันไม่ยินดี มาแล้วก็แหมเรานี่ นอนต่อดีกว่า ถึงเวลาแล้ว มันติดนอน เอ้า! เป็นกิเลสส่วนตัว ผู้ใดรู้สึกหิริโอตตัปปะ ก็อย่าน่า จะมาติดนอนอะไรกัน เรามานี่เป็นกิจดี เราก็ขับเคี่ยวตัวเองมา มาร่วมประชุม มาร่วมทำวัตร เป็นกิจวัตรนี้ เพราะเรารู้ดีอย่างแท้ชัดแล้วว่า มันดีนี่ มาร่วมกันทำ ร่วมกันเป็น มันไม่น่า จะต้องไปแยก ไปเอากิเลสส่วนตัว ติดนอนแค่นั้นจะมาทำอย่างนี้ ให้มันเกิดปริหานิยธรรม คือเสื่อม ถ้าอปริหานิยธรรม แปลว่าไม่เสื่อม เราจะมาทำให้เกิดเสื่อม นี่ก็ไม่ดี เราจะเป็นส่วนหนึ่ง เราจะเป็นคนหนึ่ง ที่จะทำให้ สิ่งนี้เสื่อม

อันนี้จะต้องเป็นยัญพิธี อันนี้ต้องเป็นกิจวัตร อันนี้ต้องเป็นรูปแบบ อันนี้ต้องเป็นเรื่องที่จะสืบต่อไป ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง เป็นเรื่องดี เป็นรูปแบบดี เป็นพิธีการที่ดี เป็นกิจวัตรที่ดี เราก็สนับสนุนกิจวัตรนี้ พิธีการนี้ ยัญพิธีนี้ เรื่องนี้ไปต่อไป เราจะฝึกตนด้วย เพราะเราไปติดนอน เรามาซิ ฝึกใหม่ อบรมใหม่ ตื่น พยายามทำตนให้ตื่น มาก็ตั้งใจให้จริง มีฉันทะ มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา เราก็มาฟังธรรม เพราะมานี่ ไม่ใช่มาให้นั่งเฉยๆ ให้มานั่งโงกนั่งง่วงเมื่อไร เราพามาทำรูปแบบนั่นนี่ ให้มีสิ่งที่เสริมหนุน เป็นองค์ประกอบ หลายๆอย่าง หลายๆวิธี ตามประสาคนที่ฉลาดที่จะเอาอะไร มาประกอบ ให้มันเป็น ความพัฒนา เป็นความเจริญก้าวหน้า เราก็จะได้ไปเรื่อยๆ เราก็ได้อบรมตน เราก็ได้เป็นหน่วยหนึ่ง ของหมู่กลุ่ม ที่ทำให้เจริญประโยชน์ท่าน เป็นมวลที่สอดร้อย เป็นตัวเองที่กำราบตัวเอง หรือว่า ขัดเกลาตนเอง อบรมตนเอง แม้ติด ยกตัวอย่างแต่แค่ กิเลสติดนอน หรือไม่กิเลสติดนอน กิเลส ติดอัตตา ติดตัวเอง ไม่ไปล่ะ เราทำของเราดีกว่า ของเรานี่ มีประโยชน์คุณค่ากว่า อันนี้ไม่ได้เรื่อง เราก็จะทำตามใจของเรา มันก็เป็นอัตตาชนิดหนึ่ง ซึ่งก็เป็นตัวที่ไม่ลงหมู่ลงมวล ไม่ได้สนับสนุนยัญพิธี ไม่ได้สนับสนุน ไม่ได้เป็นแก่หมู่กลุ่ม ไม่ได้เป็นอปริหานิยธรรม แม้ข้อ ๑ ว่าร่วมกันประชุม มันก็ไม่มา ประชุมร่วมกัน ไม่เป็นกาโย ไม่เป็นกาย ไม่เป็นองค์ประชุมที่งามพร้อม ไม่มีอะไรกระดักกระเดิด ไม่มีอะไรเป็นเสี้ยน ไม่มีอะไรหล่นๆ ตกๆ มันไม่เป็น เพราะไม่ประชุม แต่ถ้าเป็นก็บอก อ้าวถึงเวลา ประชุมแล้ว เราร่วมกันประชุม พร้อมพรั่งกันประชุม พร้อมพรั่งถึงเลิก พร้อมพรั่งกระทำกิจ อันทุกคน เห็นดีพร้อมกันแล้วน่ะ เราก็จะร่วมไม้ร่วมมือประสาน ไม่มีอะไรกระเซ็น ไม่มีอะไรกระเด็น ไม่มีอะไร กระโดด ทุกอย่างสอดร้อยสมพร้อม รวมเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน แหม อยากให้คุณซาบซึ้งคำว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี้ให้ถึงที่เหลือเกิน ถ้าคุณเข้าใจ ถึงที่แล้ว

แม้ไม่มีกิเลสติดนอน ไม่ติดกิเลสนอนก็ไปติดกิเลสอย่างอื่น กิเลสนอนนั่นคือกิเลสกาม จะบอกให้ มันกิเลสเสพย์ติด ชนิดหนึ่ง ของตนเอง เสพย์อารมณ์กามอามิสอย่างหนึ่ง มันเป็นการสัมผัสอารมณ์ ทางใจ จะบอกว่ากาม ก็ไม่ใช่กามคุณ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกายได้ด้วย บางทีบอกแหม หนาวๆ อย่างนี้ ผ้าห่มอุ่นๆอย่างนี้ ออกมานั่งอย่างนี้ เย็นๆ หนาวๆ ว้า ไม่เข้าท่า การมานั่งอย่างนี้ ก็สู้นอนราบ แบนติดกับพื้น สัมผัสแบนติดกับพื้นให้ร่างกายเรานี่ เอนระนาบ ยิ่งนอนอย่าง เปรตไสยาสน์แล้ว บ๊ะ มันยิ่งสบายบรื๋อเลย ล้วนแล้วแต่เรื่องของกาย กามนอกและอารมณ์ในที่เราเอง ยังมีความยึดติด ยังมีความอร่อย เป็นอารมณ์ในจิต นั่นก็เป็นเรื่องของการเสพย์ติดชนิดหนึ่ง ถ้าเราเสพย์ติดอย่างนั้น มันแรง เราก็ไม่อยากลุกมา เราก็ไม่มาทำ ทีนี้ไม่ติดกิเลสอย่างนั้นละ กิเลสอย่างนั้นพอได้ แต่เป็น ความคิดนึก เป็นความเห็นเลยว่า ฉันจะไม่ร่วมไม่ทำละ ไปนั่งทำ ทำไม ฉันนั่งฟังที่อื่นก็ได้ ไม่เห็น จะต้องมานั่งเลย ไม่เห็นจะสบาย ต้องมานั่งเรียบร้อย ต้องมานั่งพับเพียบ ต้องมานั่งเต๊ะท่า คอยทำ อะไรต่ออะไรพวกนี้อยู่ แหมฝืนทนลำบาก อย่างนั้น ผู้นั้นก็ไม่ยินดีมาฝึก เพราะฉะนั้นไม่มีฝึก ก็ไม่เป็นหน่วยหนึ่งแห่งมวล ไม่เป็นรูปแบบหนึ่งแห่งสังคม ไม่เป็นประโยชน์อันหนึ่ง ของทั้งรูปและนาม ให้แก่อนุชนรุ่นหลัง ไม่เกิดยัญพิธี ไม่เกิดรูปเกิดแบบ ไม่เกิดองค์ประกอบ เพราะฉะนั้น ก็เชื่อว่า ยัญพิธีนี้ไม่มี ยัญพิธีนี้ไม่ดี ก็เป็นมิจฉาทิฐิข้อหนึ่ง

ถ้าเราเชื่อว่ายัญพิธีมีดี มี และโลกก็ต้องอาศัยยัญพิธีรูปแบบ เราก็มาประกอบรูปแบบนี้ไว้ เพื่ออนุชน รุ่นหลัง และเราก็มาฝึกตน ให้มันอยู่ในยัญพิธีนี้ได้ ทางโลกเขายังทำเลย พวกผู้ใหญ่ผู้โตมีงานรัฐพิธี มีงานอะไร โอ๋ย! แต่งตัว ร้อนนะ ใส่เครื่องทรง บางทีต้องชุดใหญ่ สายสะพายไปนั่งในรัฐพิธี งานอะไร ก็ยังไม่เสร็จ เหงื่อแตกพลักๆๆ ก็จำต้อง อย่าทำเป็นร้อนนะแก เย็นไว้ นิ่ง สุขุม เต๊ะท่าไว้ ให้เก๊กเอาไว้ ให้ดีเทียว คันก็อย่าไปเกา อะไรต่างๆนาๆ โลกเขายังทำเลย ทางธรรมก็ต้องทำเหมือนกันนั่นแหละ แต่ว่าทางธรรมทำได้ยิ่งกว่า เพราะธรรมมีอำนาจเจโตสูงกว่าโลก ทำไมโลกจะต้องมีเจโตสูงกว่าธรรมะ โลกเขายังทนได้เลย ไปเต๊ะท่าเพื่อลาภ ยศ สรรเสริญแท้ๆ เขายังเต๊ะได้ แต่เรานี่ทำเพื่อ อนุชนรุ่นหลัง เพื่อผู้อื่นนะ ไม่ใช่ว่าทำเพื่อเอาลาภ เอายศ ทำให้เป็นยัญพิธี เป็นองค์ประกอบ แล้วพอเราทำได้ แล้วเราก็ทนได้ด้วย นี่มานั่งพับเพียบนี่ก็ไม่เห็นมีอะไร ไม่เห็นเหนื่อยอะไร ถ้าเผื่อว่าทนได้แล้วไม่เหนื่อย คือว่าเราสามารถ ปล่อยวางได้แล้วสมบูรณ์แล้ว ไม่เหนื่อยอะไรนี่ ก็ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้ให้ติดเหรียญ ติดตรา ทำใส่... คอแข็ง...ทำชุดที่ แหมมันมัดมันรัดมันรึง มันลำบาก แบบชุดที่เขาแต่งบ้าๆบอๆ ที่โง่ยิ่ง อย่างยิ่งขึ้นไป ก็ไม่เป็นมีนี่

นี่แม้แต่ว่า เขาจะต้องสะพายสังฆาฏิมาเป็นเครื่องทรง ทีนี่เราก็ปลดด้วยซ้ำ พวกอโศกนี่ไม่จำเป็นน่ะ มาฟังธรรม ต้องมาพาดสังฆาฏิมาให้มันหนัก แหมเต๊ะท่าต้องพาดสังฆาฏิมาให้หนักไหล่อีกข้างหนึ่ง ไม่ต้องถ้าหนาว คุณคลุมซ้อน ถ้าไม่หนาว คุณก็เอาวางไว้โน่น สมัยนี้ไม่ต้องลำบากนักหนา เรื่องผ้า เรื่องผ่อน เพราะว่ามันมีมากพอ ไม่เหมือนสมัย พระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ต้องหอบเกินการ อย่างนี้อยู่ในอาวาส อาวาสนี่ก็ถือว่าเป็นหัถตบาสแล้ว ไม่จำเป็นต้องหอบ เหล่านี้เป็นต้น ปลดให้ ขนาดนี้แล้ว ยังมีอีกหรือ จะเอาแก้ผ้ามานั่งหรือ ถ้าแก้ผ้ามานั่งจะหนาวเอาน่ะ แล้วมันจะไม่เข้าท่า เอานะ น่ะ นี่พูดแรงๆให้ฟังหน่อย ยกตัวอย่างให้ฟังหน่อย เอาแค่นี้ล่ะสบายๆแล้วน่ะ มานั่งมาประชุม มาทำรูปแบบเป็นกิจวัตร เป็นองค์ประกอบที่เราทำเอาไว้ เป็นยัญพิธี

แม้เรามานั่งทำจะฝืนบ้าง ก็เป็นการเสียสละเป็นการทินนะ เป็นการทาน เรามาให้ทาน ซึ่งเป็นสัมมาทิฐิ หรือเป็นมิจฉาทิฐิ ถ้าเราเข้าใจว่าเราไม่ทาน เราไม่ให้ละ ไม่เสียสละ เราก็ไม่มีทินนะ แต่ถ้าเรามาให้ มาเสียสละ เราก็เป็นทินนะ มันก็เป็นสภาพที่ดี เป็นสภาพที่ถูกต้อง คุณมีสัมมาทิฐิหรือคุณมีมิจฉาทิฐิ คุณว่าทานนี่มีจริงไหม ทินนังมีจริงไหม ยิฏฐัง มีจริงไหม ยัญพิธีต่างๆมีจริงไหม มันจริง เราก็ทำ ความจริงเหล่านี้ สิ่งนี้เราประกอบอยู่ เราทำอยู่

ที่อาตมาอธิบายนี่มันสอดร้อย มันขยายสิ่งที่เราเรียนรู้มา พยายามให้สุขุม แยบคาย ประณีต สมบูรณ์ ขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น แม้เราแค่เสียสละการนอนที่เราเสพย์ติดมา แล้วเราก็ได้มา ฟังธรรม แล้วเราก็มาได้รับความรู้ อย่างน้อย เราก็มารับความรู้ เป็นตน เป็นความรู้ของตน อย่างมาก ก็เป็นการเสียสละ เป็นการช่วยกันทำให้เกิด อปริหานิยธรรม พรั่งพร้อมกันประชุม มาอดทน มาฝึก ตนด้วย มาทำสิ่งนี้กันให้เกิดเป็นรูปแบบ เป็นยัญพิธีด้วยนะ แล้วเราก็ทำกิจวัตรนี้ ให้ยั่งยืนเป็น วัฒนธรรม เป็นจารีตเป็นประเพณีต่างๆพวกนี้ มันสืบโยงไปทุกอย่าง มันเกิดจาก กรรมกิริยาของมนุษย์ เกิดจากความรู้ของมนุษย์ เมื่อมนุษย์มีความรู้อย่างนี้ แล้วก็ประกอบสิ่งเหล่านี้ เพื่อให้คนอื่น ได้สืบทอด เป็นธรรมทายาท เป็นแบบอย่าง เป็นจารีต เป็นประเพณี เป็นยัญพิธี เป็นสิ่งที่จะเกิดคุณค่า เพราะฉะนั้น เรามาทำวัตรเป็นกิจวัตร เป็นคุณค่า ได้ประโยชน์ตน ได้ประโยชน์ท่านดังกล่าว

ผู้ที่หมดตนแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก พรั่งพร้อมกันประชุม ท่านก็พรั่งพร้อมกันประชุม ท่านก็จะเป็น ตัวหน่วยหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสื่อม ท่านจะไม่เป็นตัวหน่วยหนึ่งเพื่อเสื่อม ท่านจะไปเป็นตัวหน่วยหนึ่ง เพื่อไม่ให้เสื่อม ไม่ใช่ท่านจะไปเป็น ตัวหน่วยหนึ่งเพื่อให้เสื่อม ท่านต้องเป็นหน่วยหนึ่งเพื่อไม่ให้เสื่อม ให้เกิดอปริหานิยธรรม ให้เกิดธรรมะ อันไม่เสื่อมแน่นอน ไม่ใช่จะเป็นตัวหนึ่งเพื่อให้เกิดปริหานิยธรรม เป็นธรรมะอันเสื่อม ท่านจะไม่ให้เกิด นี่เป็นความจริง ที่เราจะต้องรู้ เพราะฉะนั้น ส่วนมากพวกเรานี่ ทั้งผู้ที่รู้มากและผู้ที่รู้น้อยก็เข้าใจ และก็กระทำกันอย่างศรัทธาเลื่อมใส พากเพียร แม้จะมีกิเลสส่วนตน ก็พากเพียรอยู่ แม้จะเป็นกิเลสส่วนเสพย์หลับเสพย์นอน หรือเสพย์จะต้องไปทำอะไร เป็นรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เสพย์ ไม่เข้ามานั่งทำที่นี่ เพราะเข้ามานั่งทำที่นี่ ทำเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่ตัว ถนัดเสพย์ไม่ได้ ก็เลยไม่มา หาเวลา นี่เขามานั่งทำวัตรกัน เราก็ไป รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จะไปสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างไรของตัวเองมันอร่อย นั่งก็นั่งตามสบาย เหยียดแข้งเหยียดขา ดีกว่า มานั่งอย่างนี้ มันถูกบังคับ มันมาทำอย่างนี้ มันรู้สึกว่า แหมมันต้อง สำรวม สังวร

ไม่เอาละ สำรวม สังวร อย่างนี้ ไม่อิสรเสรี เราทำตามใจชอบ เป็นคนไทยนี่ ทำตามใจได้ คือไทยแท้ อิสรเสรีอย่างพอใจ ของตัวเองดีกว่า ก็ไม่มามันเสียดื้อๆ แล้วก็ไม่ได้ฟัง หรือไม่เห็นเป็นไรเลย เราฟัง เสียงรอบทิศ ไปฟังที่ไหนก็ได้ นั่งอิสรเสรีของตัวเองอยู่ที่ไหนก็ได้ นั้นมันก็เหลือเศษตัวตนอยู่นั่นแหละ แล้วเราก็ไม่ได้ฝึกหัดอบรม พร้อมพรั่งสร้างยัญพิธี สร้างรูปแบบ เพื่อที่จะให้คนอื่นเป็นองค์ประกอบ ในการฝึกหัดขัดเกลา เราก็ไม่เป็นส่วนที่จะสอดคล้อง ไม่เป็นส่วนหนึ่ง ในมาลัย ที่ร้อยดีแล้ว ไม่เป็น อนุกรม ไม่เป็นสิ่งหนึ่งที่อยู่ในกรม อยู่ในกอง อยู่ในหมู่ ตามไปกับหมู่ หรือนำหมู่ซะด้วยซ้ำ ถ้าคุณทำ ได้ดีแล้ว คุณก็มาทำนำหมู่ คุณทำยังไม่ดี คุณก็ทำตามหมู่ น่ะ คุณทำตามหมู่ได้กลางๆ คุณก็อยู่ ส่วนกลาง คุณทำตามหมู่ได้ไม่เก่ง คุณก็ตามหลังเขาไป ก็หัดตนฝึกตนไปตามกัน เรียกว่าอนุกรม เรียกว่า ร่วมอยู่ในวงมาลัย ที่เอามาร้อยกัน เรียบเรียงมีอย่างโน้นอย่างนี้ ไปตามสัดตามส่วนที่มันจะเป็น ได้ดีบ้าง ได้ดีกลางๆบ้าง ได้ดียังไม่มากบ้าง ก็ตามลำดับ นี่เรานำพากัน เราช่วยเหลือกัน เราก็ทำ ให้มันเกิดผลเกิดประโยชน์คุณค่าอย่างนี้ ชีวิตคนก็เท่านั้นละ เกิดมาก็กิน ขี้ เยี่ยว นอน ไม่เสพย์พันธุ์ได้ ก็ดีส่วนหนึ่งแล้ว แล้วก็ตายเป็นฤๅษีเดียรถีย์ไป กิน นอน ขี้ เยี่ยว ไม่เป็นประโยชน์อะไรนัก

แต่พระพุทธเจ้าเราฉลาดกว่านั้น นอกจากจะกิน ขี้ เยี่ยว ซึ่งจะยังมีชีวิตอยู่แล้ว ก็ให้เป็นคุณค่า มีพฤติกรรม มีความสามารถ มีสมรรถนะ มีความคิดนึก ปัญญาอันฉลาด ที่จะสามารถสร้างสรรอะไร ให้เกิดสภาพซ้อนว่า เขาควรมาได้ดีอย่างเรา เพราะฉะนั้น ก็จะมาสร้างอิทธิวิธี มาสร้างกรรมวิธี มาสร้างยัญพิธี มาสร้างแบบอย่าง มาสร้างวิธีการ ที่จะให้คนอื่นเขา ได้รับการอบรมขัดเกลา เราก็จะอยู่ อย่างสร้างยัญพิธี สร้างรูปแบบอะไร ที่พอเป็นไป ถ้าเราสร้างคนเดียว มันดูไม่ดี ไม่มีใครเอาด้วย เขาก็ไม่เอาด้วย มันก็ยาก แต่ถ้าเราสร้างแล้วผู้อื่นก็เป็นด้วยว่า เออ เข้าท่าเข้าที ร่วมไม้ร่วมมือกัน แล้วก็พิสูจน์ เออได้ผลได้ประโยชน์ มันก็ยิ่งเห็นจริงเห็นจัง เพราะฉะนั้น ยัญพิธีที่ช่วยกันคิด ปราชญ์ หรือผู้รู้ ร่วมกันลงสภา ผู้รู้ในสภาช่วยกันคิด ช่วยกันตัดสิน ก็ได้สิ่งที่ดี ขึ้นมาประกอบในสังคม มาประกอบ ในกลุ่มหมู่ กลุ่มหมู่ก็ได้ทำสิ่งดีนี้มาใช้ มาเป็นประโยชน์ในการฝึกปรือ หัดขัดเกลา หรือว่าทำกิจ ทำการทำงาน มันก็เกิดคุณค่า ไปได้เรื่อยๆ ชีวิตทั้งสบาย ทั้งมีคุณค่า ชีวิตก็ได้มีกินมีอยู่ อย่างสมบูรณ์พรั่งพร้อม

คุณขาดเหลืออะไร ทุกวันนี้ มีแต่คุณเกิน ที่นี่มันอดอยากปากแห้งหรือ อาตมาว่าไม่อดอยากเลย มีธาตุที่จะไป สงเคราะห์ร่างกายสมบูรณ์ มีที่นอนสมบูรณ์น่ะ ที่พักที่พิงก็สมบูรณ์ ที่กินที่เยี่ยวอะไร สมบูรณ์ทั้งนั้น ไม่สนับสนุนแต่ว่า ที่นี่มีที่สืบพันธุ์ ไม่ให้สืบพันธุ์ ใครเห็นด้วยมาเอา ใครไม่เห็นด้วย จะไปแรดๆๆอยู่ข้างนอก ก็เชิญน่ะ ... ถ้าใครอยากจะเป็นอย่างนั้น เชิญ ประตูนี้เปิด ไ่ได้ปิดหรอก ใครจะไปเสาะแสวงหาอย่างนั้น ก็เชิญในโลก

อาตมาเรียนรู้และอาตมาก็ทำใจ และอาตมาก็ไม่มีใจอย่างนั้นแล้ว อาตมาก็พาพวกคุณพิสูจน์ ถ้ามีใจ ที่ไม่มีอารมณ์อย่างนั้นนี่ สบายมาก เบามาก แล้วเราก็มีเวลา มีแรงงาน มีพลังงาน กินข้าวเข้าไป มันก็เกิดแคลอรี เกิดพลังงาน แล้วเอาพลังงานเหล่านี้ไปทำงานได้ด้วย ... อาตมาเอาแรงงานนี่ มาทำงาน ให้แก่ประชาชน ให้แก่มนุษยชาติ ดีกว่าไปเอาแรงวิ่งแล้วไปกัดกัน แย่งกัน ชิงกัน แล้วสุดท้าย ก็ไปติดอย่างนั้นล่ะ ปัดโธ่ ! ทรมาน ทรกรรม เลิกเสียได้ โลกเขาก็ไม่ต้องการ การที่จะไป สืบพันธุ์อะไร เพราะคนมันจะล้นโลกอยู่แล้ว สอดคล้องกับโลก สอดคล้องกับทางธรรม สอดคล้อง ทุกอย่าง โลกทุกวันนี้ไม่มีความต้องการ ตามหลักเศรษฐศาสตร์ แสนจะชัดจะเจน เลิกมาได้ เมื่อเลิกมาได้อย่างนั้น แม้จะอยู่ในนี้ คุณยังมาติดหลับติดนอน คุณยังมาติดอะไรหลายๆอย่าง ที่ยังสอด ยังแทรก ติดตัวติดตน ติดทำอะไรก็ตาม ใจฉันชอบ ยังมาติดอยู่ในนี้ ก็ล้างมันอีก มันยังติดอยู่นี่ ตามใจฉันชอบ ไม่ต้องตามใจฉันชอบหรอก ตามความดี ถ้าความดีของเราคนเดียวนี่ ยังไม่แน่ใจ เอาปรึกษาหมู่ เมื่อหมู่ว่าดีก็ทำ ถ้าเราดีอยู่คนเดียวมันหนัก ถ้าอาตมาจะเห็นว่าอันนี้ดี แล้วจะทำมันอยู่คนเดียวนี่มันหนัก แล้วมันก็ขวางๆรีๆ มันเป็นเสี้ยน มันเป็นกระเซ็น มันเป็นกระเดิด มันไม่เรียบ ไม่ราบ มันไม่ลงร่อง ลงรอย มันไม่เป็นไปตามหมู่ มันไม่เป็นอปริหานิยธรรม มันก็อย่างนั้น แค่นั้นละ แม้มันจะดีจริง ถ้ายังไม่ถึงเหตุปัจจัย เพื่อนเขาก็ไม่เห็นด้วย เพื่อนเขาก็ยังประมาณตน แล้วเขาก็บอกไม่ได้ เอา ก็น้ำหนักของแต่ละคน เขาก็ประมาณตน เขาไม่ได้ ไม่ได้เราจะไปดันเอาทำไม เพื่อนเขาเอาได้ เอาเฮละโลกันไป

อาตมาเห็นน้ำใจพวกเรานี่ ไปพัทลุงคราวนี้ นึกว่าคนจะไม่มีมาก โอ้โฮ! ไปกันจนได้เป็นร้อยเป็นชั่ง เหนื่อยแสนเหนื่อย มาจากโรงทาน อาตมาละซาบซึ้งน้ำใจเหลือเกิน แล้วทุกคนบอกมันไม่เหนื่อย แต่เราเองนะคนที่ขี้เกียจนี่ มันจะเหนื่อย เห็นเขาทำอย่างนี้นิดเดียวก็เหนื่อยแล้ว แต่ใจตัวเองนะนึก แต่คนที่มีปีตินี่ มันจะไม่เหนื่อยหรอก คนที่มีความปีตินี่ คนที่มีความชื่นชมเบิกบาน อารมณ์อิ่มเอม เปรมใจ เราได้สร้างสรร เราได้เป็นผู้สร้างค่า สร้างคุณ ถึงเวลาพักเราก็พัก ไม่ใช่ว่าไม่ได้พัก เราก็มีพัก แม้จะไปทำงาน เราก็มีเวลาพัก ไม่ใช่ทำไปจน แม้ที่สุดนะเราไปทำทั้งวันทั้งคืน บางที เอ้า! จากวัน จากคืนนั้น วันอื่นที่มันเปลี้ยมันเพลียก็พัก คนไหนที่มันไม่ไหวแรงงาน เราก็ให้พัก ไม่ใช่ไม่ให้พัก เราไม่ได้ทารุณ อะไรกัน ใครมีเรี่ยวมีแรง ใครมีกำลังวังชามาก ก็ทำเถอะ แต่เราก็ยังบอกกัน มันไม่เมื่อยเหรอ เมื่อยก็พักบ้างซี พักผ่อนซี เราก็มีใจเอ็นดูกันอยู่อย่างนี้ ไม่ใช่ว่า ไม่ได้ ต้องทำ ต้องทำ เฆี่ยน ไม่ทำตายนะ เปล่าเลย เราไม่มีเรื่องอย่างนี้ ใครมีน้ำจิตน้ำใจ ใครมีกำลังวังชาก็ทำ ใครมีน้ำใจ ก็ทำ เรื่องจิตนี่ใหญ่นะคน ใหญ่กว่ากาย จิตนี่ใหญ่กว่ากาย จิตมันเอาแล้ว โถ กายมันเอาทั้งนั้น แหละนะ กายมันไม่ได้เป็นเอง จิตมันเป็นตัวสร้าง จิตมันเป็นตัวประธาน จิตวิญญาณเป็นประธาน สิ่งทั้งปวง เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ ยังเข้าใจ ยังรู้อยู่ว่าไปเสียสละ ไปอะไรเป็นเนื้อ เป็นมวล เป็นน้ำหนัก โอ! ถ้าไม่ได้มวลมากๆ ไม่ไหว

ขนาดนี้นี่ ที่พัทลุงนี่ คนใต้นี่ เขายึดติดของเขามากๆ แล้วการพนัน อบายมุข หนักที่สุดเลย แล้วเรา ก็ไปตี เรื่องอบายมุขนี่ หนัก ถ้าไม่มีน้ำหนักมวลไปนะ ไม่รอด มีน้ำหนักของมวลหมู่เป็นไปได้ ลดอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา พอทำได้ ขนาดนั้นเรายังมีผลสำเร็จถึงขนาดเลย มีผลสำเร็จถึงว่า แม้สูบบุหรี่นี่ เขายังละอาย ออกไป พอบรรยายเสร็จ หรือว่า ถึงเวลาออกไปหลบสูบข้างนอก เรามีผลสำเร็จ ถึงป่านนั้น ถ้าไม่เช่นนั้น พวกนี้เขาไม่แยแส เขาไม่แคร์หรอก คนใต้นี่เขาเป็นใจยังงั้น เขาไม่สูบประชด ก็บุญแล้ว ปานนั้น แต่นี้ได้น่ะ ถ้าไม่มีมวลอันมากพอ ไม่รอดน่ะ มวลนี่ เราอาศัยมาก มันเป็นเหมือนกับ แม่เหล็ก ที่มีอณูโมเลกุลของมันนี่ มีทิศทางเดียวกันนี่ เป็นอำนาจดึงดูด เป็นน้ำหนักแม่เหล็ก ธรรมชาติ ทุกอย่างเป็นเหมือนกัน ไม่ว่าจะด้านรูปธรรมหรือนามธรรม มีแรงดึงดูด มีแรงแนวโน้ม เพราะฉะนั้น มวลยิ่งมาก มันก็ยิ่งจะดึงได้มาก เพราะเราทำถูกต้องและคนก็ยังมีปัญญารับพอ มันยังไม่ถึงกลียุค ที่แท้

ถ้าถึงกลียุคที่แท้นะ มวลขนาดที่เราเป็นอยู่อย่างนี้ ดึงพวกโลกไม่ไหวหรอก ดึงไม่ไหว แต่ทุกวันนี้ มันยังไม่ถึงกลียุคที่แท้ มันยังมีปัญญา คนยังพอรับได้ มันจึงพอไปรอดน่ะ ทุกวันนี้ เราทำงานศาสนา พอไปได้ อาตมาบอกแล้วว่า เกินยุคอาตมาไปแล้วนี่ ไม่มีใครมาสามารถ โพธิสัตว์ที่จะเกิดตามหลังนี่ มีแต่มานั่งดูประสบการณ์ ช่วยอะไรไม่ได้หรอก ช่วยอะไรไม่ได้

อาตมาพูดหลายทีแล้ว ก็ขอเปิดอีกทีว่า อาตมานี่เป็นโพธิสัตว์รถด่วนขบวนสุดท้ายน่ะ พูดมาก่อนแล้ว ไม่ใช่เพิ่งพูด ตอนนี้ไข เพิ่มเติมขึ้นไปอีก อาตมาคือโพธิสัตว์ รถด่วนขบวนสุดท้าย ขบวนต่อไปไม่มี มิกสัญญีน่ะ ต่อไปมิกสัญญีโพธิสัตว์ก็สอนไม่ได้ เป็นแต่ท่านมาเรียนประสบการณ์เท่านั้น โพธิสัตว์ องค์ต่อไปทำไม่ได้ ขณะนี้คุณก็ประมาณออกอยู่แล้วว่า ขนาดนี้มันยังเหลือฝืนเหลือเข็น แล้วต่อไปอีก ที่จัดจ้านกว่านี้ คุณจะไปเหลืออะไร ต่อไปอีก ๒,๕๐๐ กว่าปี มีอะไร ต่อไปอีก ๑,๐๐๐ ปี มีอะไร อีก ๑๐ ปี ๒๐ ปี ข้างหน้านี่ คุณก็ยังนึกดูซิ ว่ามันจะขนาดไหน ๑๐ ปี ๒๐ ปีข้างหน้านี่จะขนาดไหน ๑๐๐ ปีข้างหน้าจะขนาดไหน มันจะไปไหวหรือ ยากนะคุณ ยาก คิดให้ดี อาตมาว่า อาตมาวิเคราะห์วิจัย เอาเหตุผล เอาสิ่งจริงนี้มาพิสูจน์ยืนยัน ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ฟังดีๆไม่ใช่เรื่องเล่น

ถ้าเผื่อว่าผู้ใดไม่เข้าใจ อาตมาว่าพูดไทย พูดภาษาง่ายๆชัดๆให้คุณฟังแล้ว ไม่ได้มาหลอกล่ออะไร จากคุณ สมบัติอย่างหนึ่ง อาตมาเอาอะไรจากคุณ คุณแน่ใจได้เรื่องสมบัติ อาตมาไม่เอาอะไรของคุณ อาตมาอยากได้ยศ จากคุณหรือ ใครมาตั้งยศให้อาตมา แต่เอาละยศกับสรรเสริญใกล้เคียงกัน อาจจะไม่อยากได้ยศ แต่อยากได้คุณมายกยอปอปั้น เป็นสรรเสริญ อาตมาอยากได้จริงหรือเปล่า คุณพิสูจน์ เพราะเรื่องนี้มันเป็นนามธรรม ลึกซึ้งขึ้นไป อาตมาอยากได้คุณมายกยอปอปั้นจริงหรือ พิสูจน์ให้มากๆ อาตมาไม่ขอตัดสินเองเรื่องนี้ เพราะว่าหลายคน ยังไม่แน่ใจว่า อาตมามาสร้างบริวาร มาสร้างความสรรเสริญใส่ตัวเอง อาตมาเป็นอยู่ รู้อยู่ว่าหลายคนยังไม่แน่ใจ แต่เรื่องลาภนั่น อาตมา เชื่อว่า หลายคนคงไว้ใจอาตมาได้ เพราะมันหยาบ เรื่องลาภ เรื่องยศก็คงพอไว้ใจน่ะ แต่เรื่องสรรเสริญ อาจจะยังมีคนไม่แน่ใจ หรืออาตมามาเสพย์สุขอะไร โลกียสุขอะไร ถ้าอาตมาจะมี วูปสโมสุข ความสงบ ระงับของอาตมา สบายใจของอาตมาบ้าง เป็นความสุขที่ปราศจากกิเลส ใครจะมาแย่ง อาตมา ถ้าแย่งได้ อาตมาจะงัดให้เลย เอาไปเลย เอาไปเลยความสุขที่ไม่มีกิเลสเสพย์นี่ เอาไปเลย ได้ไหมล่ะ เอาจับยัดให้อย่างนี้ เอาได้ไหม มันเอาไม่ได้นะ ถ้าเอาได้มันดีนะซีนะ เอาไปเลยนี่ สุขอันนี้ ไม่มีกิเลสนี่ จิตว่างจากกิเลสนี่ เอ้าสุขอย่างนี้แหละ จะแย่ง เอ้า คุณจะแย่งผม ไม่ต้อง แย่งหรอก ผมงัดให้เลย เอาไปเลย ได้มันก็ดีนะซี ก็เรามาแสวงหา ตอนนี้เรามาแสวงหาอะไร เรามาแสวงหา ความระงับจากกิเลส เป็นความขยันหมั่นเพียร เป็นความเกื้อกูล เป็นความไม่เห็นแก่ตัว เป็นความ หมดตัว หมดตน เป็นความรังสรรค์ไป จนกว่าจะตาย เป็นชีวิต อุฏฐานสัมปทา อารักขนาสัมปทา กัลยาณมิตตา สมาชีวิตา เป็นชีวิตที่เป็นประโยชน์ปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เห็นๆอยู่ เป็นความขยันหมั่นเพียร เห็นความรักษา รักษาอะไร รักษาศาสนา รักษาความดีงาม รักษาความประเสริฐแห่งมนุษย์

พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้แล้วว่า ความประเสริฐเป็นอย่างนี้ ความเป็นพระเป็นอย่างนี้ พระคือ ความประเสริฐ รักษาความเป็นพระ รักษาความประเสริฐ รักษาจริยธรรม รักษาพฤติกรรมอันดีอันนี้ไว้ นี่เรียกว่า อารักขนาสัมปทา ถึงอย่างนี้ แล้วก็สร้างให้มนุษย์มามีอย่างนี้ มาเป็นคนดี กัลยาณมิตร กัลยา แปลว่าดี มิตร ก็แปลว่า เรานี่แหละมีไมตรี มีเมตตา มีเมตตริยะ มีทำให้เขาเป็นอย่างเราเป็น เรียกว่ามิตร มีสิ่งดีก็แบ่งกันเรียกว่ามิตร ไม่ใช่ว่า ไปเป็นมิตรร้าย ไปทำให้เขาตกต่ำ ทำให้เขามาเป็น อย่างเราเป็นกัลยาณมิตตา นี่คืออาชีพสัมมาชีวิตตา คือชีวิตที่ยังอยู่ก็ทำงานนี้ อาชีพ ทำงานนี้ เป็นส่วนมาก ทำงานนี้ทั้งชีวิต เรียกว่าอาชีพ เรียกว่าเป็นสัมมาอาชีพ ใครได้ต่อเนื่องด้วยอาชีพ อย่างนี้อยู่ คนนั้นก็มีอาชีพทางนี้ เราก็ทำอาชีพอย่างนี้ ส่วนสัมปรายิกัตถประโยชน์นั้น เราหมดอนาคต อนาคตจึงจะไปพรั่ง ถึงพร้อมด้วยศรัทธรา เราศรัทธาแล้ว เราเชื่อมั่นแล้ว เราเห็นดีแล้วว่า นี่แหละ ดีที่สุด อาชีพนี้ดี สร้างกัลยาณมิตร อย่างนี้ดีน่ะ รักษาสิ่งประเสริฐอันนี้ไว้ดี ช่วยท่านรักษา ช่วยท่าน บูรณะไว้ดี ขยันหมั่นเพียรอย่างนี้ดี ขี้เกียจไม่ดี ไม่ต้องไปรอ เชื่อแล้ว ไม่ต้องไปรอ จะถึงพร้อม ต่อเมื่อหน้า วินาทีข้างหน้าค่อยเชื่อ ที่พูดอย่างนี้ใครไม่เชื่อ ด้วยความเห็น ด้วยความเข้าใจธรรมดา ใครไม่เชื่อ เชื่อไหม

ท่านปุณณฯ เชื่อ เชื่อง่ายๆ เห็นจริงหรือเปล่า มันเป็นเรื่องที่ ไม่ต้องไปเชื่อ โน่นชาติหน้าถึงจะเชื่อ ชั่วโมงหน้าถึงจะเชื่อ วินาทีนี้คุณฟังแล้วนี่ คุณไม่เชื่อหรือ แต่เชื่อแล้วเป็นแต่เพียงความเห็น คุณก็ทำซิ ทีนี้ เมื่อสัมมาทิฐิเกิดแล้ว ทำ คิดก็ให้เป็นอย่างนี้ พูดก็ให้เป็นอย่างนี้ การงานก็ให้เป็นอย่างนี้ อาชีวะ ชีวิตทั้งชีวิตเป็นอาชีพ เป็นชีวิตนี้ ก็เป็นอย่างนี้ ลงตัวได้เลย คุณก็ยิ่งจะเชื่อความจริงที่คุณเป็นได้ เป็นศรัทธาสัมปทา เดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปรอสัมปรายิกภพ ไม่ต้องไปรอ เบื้องหน้า

เราย่นย่อเอาสัมปรายิกัตถประโยชน์นั่นมาเป็นเดี๋ยวนี้ มาเป็นประโยชน์ปัจจุบัน ศีลสัมปทาถึงเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องไปโน่น ชาติหน้า ถึงจะไปถึงพร้อม ถึงจะสมบูรณ์ศีล วันหน้าถึงจะสมบูรณ์ศีล ถึงเดี๋ยวนี้ เอาให้ได้เดี๋ยวนี้ เมื่อเป็นเดี๋ยวนี้แล้ว คุณสมบูรณ์เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เราจึงถือว่าชาติหน้าไม่มี ศรัทธาก็ชาติหน้าจะเชื่อ เชื่อเดี๋ยวนี้แล้วชัดเจนเลย ไม่ใช่เชื่อ แต่เพียงคิด แต่เชื่อเพราะมีความจริง นี่กายกรรม อาชีพ ก็จริงอยู่เดี๋ยวนี้ เชื่อเลยว่า นี่ทำอย่างนี้ดี พูดอย่างนี้ดี ทำอย่างนี้ดี คิดอย่างนี้ดี อาชีพอย่างนี้ดี ดีที่สุด ไม่ขอเปลี่ยนแปลง เชื่อ ศรัทธา สัมปทา ศีลสัมปทา นี่เราทำถูกต้อง ตามหลักธรรม หลักวินัย หลักศีล ของพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้เราทำได้อยู่เดี๋ยวนี้ จาคสัมปทา อยู่เดี๋ยวนี้ จาคะถึง เดี๋ยวนี้ ปัญญา เห็นแจ้งเป็น ยถาภูตญาณทัศนะ เป็นความจริง ตามความเป็นจริง ลงตัวอยู่ เดี๋ยวนี้ไม่ต้องไป เอ๋เมื่อไรถึงจะเกิด ญาณทัศนะ เมื่อไรถึงจะได้เป็นยถาภูตญาณทัศนะ วินาทีข้างหน้า นาทีข้างหน้า ชั่วโมงข้างหน้า เดือนหน้า ปีหน้า ไม่ เดี๋ยวนี้ เป็นอยู่รู้อยู่เป็นปัจจุบันนี่เทียว ได้สละอยู่ สละอยู่ ได้จาคสัมปทา ถึงพร้อมซึ่งความเสียสละอยู่ ตลอดเสมอได้ ทำได้ทุกวินาที ยิ่งแจ๋ว คุณเสียสละอยู่ได้ทุกวินาที ทุกลมหายใจเข้าออก

ยิ่งถึงพร้อมด้วยจาคสัมปทา ยิ่งถึงพร้อมด้วยความเสียสละ คุณถึงจริงไหม ถ้าแม้ไม่ได้ทุกวินาที ก็ให้ได้มากนาทีที่สุด ไม่ได้มากนาทีก็ให้ได้มากชั่วโมงที่สุด ไม่ได้มากชั่วโมงก็ให้ได้มากวันที่สุด ให้ได้มันมากๆ ก็เป็นการดีแล้วนี่ เสียสละ ไม่ต้องไปรอชาติหน้า ไม่ต้องไปรอชั่วโมงหน้า ไม่ต้องไปรอ นาทีหน้า เสียสละเดี๋ยวนี้ ปัญญาสัมปทาเป็นตัวให้รู้ เป็นตัวเป็น ถึงพร้อมด้วยความจริง ด้วยปัญญา ด้วยความรู้ที่แท้ ไม่เพี้ยนไม่ผิด ไม่ต้องไปรอชาติหน้าถึงจะเกิดปัญญา เกิดปัญญาเดี๋ยวนี้ และปัญญา ถึงขั้น ยถาภูตญาณทัศนะด้วย เป็นญาณทัศนะที่เป็นจริง เป็นจริง ตามความจริงเดี๋ยวนี้อยู่ ลงตัวอยู่ เพราะฉะนั้น สัมปรายภพของเราหมด

แม้แต่สัมปรายิกัตถประโยชน์ จะไปก่อประโยชน์ได้ต่อเมื่อมันครบพร้อมด้วย ศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา เดี๋ยวนี้ เราครบพร้อมเดี๋ยวนี้ จึงไม่ต้องมีชาติหน้า เพราะมันเป็นปัจจุบันนี่เทียว เพราะย่นย่อประโยชน์ อนาคต มาเป็นปัจจุบันประโยชน์ เรียกว่า ทิฏฐธรรมิกัตถประโยชน์ ประโยชน์นั้น จึงสมบูรณ์อยู่ที่นี่ เราขยันเดี๋ยวนี้ เราก็สร้างสรร อยู่เดี๋ยวนี้ เราก็เสียสละแห่งความขยันอยู่เดี๋ยวนี้ เราก็พยายามรักษา บูรณะสิ่งที่ดีเอาไว้ เพราะเกิดมาเป็นธรรมทายาท เกิดมาเป็นผู้รักษามรดกของพระพุทธเจ้า เกิดมารักษา สิ่งประเสริฐ เกิดมาทำงานเพื่อสิ่งประเสริฐ เกิดมาเพื่อ เท่านั้นละ เสียสละให้คนอื่น สร้างมิตร ให้มิตรคนอื่น มาเป็นอย่างนี้อีก ถ้าคนอื่นเขามาเป็นอย่างนี้อีกได้ ศาสนาก็เหลือต่อ ถ้าคนอื่น มาเป็น อย่างที่ถูกต้องอย่างนี้ไม่ได้ ศาสนาก็ไม่เหลือพอ

ถ้าอาตมาทำงานนี้ให้พวกคุณมาเข้าใจถูก และมาเป็นถูกได้อย่างนี้ ศาสนาเหลือต่อ อาตมาเห็นแล้ว ว่ามี ขณะนี้มีคนทำได้ มีคนเห็นจริงทำได้ แม้เท่านี้ก็ต่อไปเท่านี้ ถ้าอาตมายังไม่ตาย อาตมาก็ยังจะขยัน อาตมาก็ยังจะอารักขนา อาตมาก็จะ กัลยาณมิตตา อาตมาจะยืนยันอาชีพนี้ไป ตายแล้วฟื้นมาอีก ทำอีก ถ้ามันตายไปไม่ฟื้นแล้ว แล้วไป ถ้าอาตมาตาย เอาฟื้นลองดูนะ ให้มันฟื้นมาแล้วอาตมา จะทำงานนี้ต่ออีก แต่ถ้ามันแก่มากเกินไป ก็อย่าไปสูบให้มันฟื้นมาเองนะ มันผุแล้ว กระดูกก็ผุ เอ็นก็ยืดแล้ว ทำก็ไม่ค่อยได้แล้ว ยังสูบให้มันฟื้นอีก แล้วก็มาเป็นภาระของคุณ ปล่อยตายเน่า เผาไปเลย อย่าไปสูบขึ้นมาอีก แต่ถ้ามันยังตาย ยังไม่เน่า ยังแข็งแรง สมมุติว่าขณะนี้มันยังพอได้ๆๆ เอ็นกระดูกก็ยังพอได้ ยังไม่เน่าเปื่อยเท่าไร ยังไม่เสื่อมเท่าไร ถ้ามันตายวินาทีนี้ลองสูบดู จะมีวิชา แก้ให้มันฟื้นขึ้นมาได้ก็เอา แต่ถ้ามันแก่กว่านี้นะ มันแหมกระดุกกระเดี้ยก็ไม่ไหวแล้ว เอ็นอะไร ก็ไม่ไหวแล้ว ผุๆ พังๆ หลงๆ เลอะๆ มากแล้ว ตาย เผาเสียเถอะ อย่าสูบให้ฟื้นเลย อย่าเอายา อายุวัฒนะ หรือยาแก้ฟื้นได้ ให้มันฟื้นขึ้นมาเลย ปล่อยให้ตายไปเถอะ ถ้ามันสมสัดสมส่วนอย่างนั้นน่ะ แต่ใครล่ะจะสามารถทำคนฟื้นได้ง่ายๆ ถ้าอาตมาจะตายลงไปในวินาทีนี้ ทำฟื้นได้ง่ายๆ ก็ลองดูซิ อาตมาก็อนุญาต ร่างกายยังแข็งแรง ยังมีเหตุปัจจัยที่พอเป็นไป ยังไม่แก่เกินไปนัก แม้จะผมขาว แซมดำ นิดหน่อยแล้วก็ตาม ก็รู้สึกว่าฟิตพอได้นะ ยังขยันกว่าคนหนุ่มบางคน เพราะคนหนุ่มบางคนนี่ อยู่ในอโศกนี่ บางคนขี้เกียจกว่าอาตมา น่ะใช่ไหม อาตมาไม่ได้ตู่น่ะ ไม่ได้พูดข่มนะ อาตมาพูด ความจริงให้ฟัง อาตมาว่า อาตมาแม้จะแก่เท่านี้ ยังแข็งแรง ยังมีบทบาท การงานพอไปได้นะ

อาตมาสาธยายอะไรมาให้ฟังเรื่อยๆ แล้วก็คิดว่าได้เปิด ฉีกชี้อะไรลึกซึ้งขึ้นมาให้เห็นเด่นชัด ตามที่ อาตมามีญาณทัศนะ มีความจริงใจ มีความเห็น ความรู้ว่าเกิดมาก็เท่านั้นละมนุษย์ มันจะไปมีอะไร กันนักเชียว เลิกละสิ่งที่ควรเลิกมาได้ แล้วก็มีชีวิตไปสร้างสรร เป็นผู้ที่เกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ไปได้ เท่านี้แหละ แล้วเราก็จะตายจากกัน ทุกสิ่งทุกอย่าง ต้องพรากจากกัน แม้ที่สุดต้องตายจากกัน ไม่มีอะไรเลยไม่ตายจากกัน

พระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนา ศาสนาเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดเลย ท่านยังต้องตายจากศาสนาของท่าน เราจะสร้างอะไร ใหญ่กว่าสร้างศาสนาไม่ได้ นี่เป็นการพูดของอาตมา บางคนอาจจะเห็นว่าไม่จริง สร้างศาสนานี่ยิ่งใหญ่ ไม่จริง อาตมาเห็นจริง เพราะอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ต่อไปในอนาคต ถ้าอาตมา จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง อาตมาก็จะเป็น ผู้ที่สร้างศาสนา พอสร้างศาสนาได้เสร็จแล้ว แหม! วิเศษมนุษย์แล้ว อาตมาก็ปรินิพพานเลยละ อาตมาไม่ทำอะไรต่อ อีกแล้ว สร้างศาสนาได้ เสร็จแล้ว อาตมาก็ไปแล้ว ใครอย่ามาเรียกเสียให้ยากเลย รับรองว่า สวีวี่วีแน่ น่ะ มา ไม่ได้กลับแล้วน่ะ ไปแน่ สวีวี่วีแน่ ไม่อยู่นะ ถ้าได้สร้างศาสนาขึ้นมาแล้ว มันเป็นสิ่งเลิศ แต่อาตมาปางนี้ ยังไม่ใช่ พระพุทธเจ้า ยังสร้างศาสนาไม่ได้ ยังเป็นโพธิสัตว์ เรียนรู้ ฝึกหัด อบรม เรียกว่า ฝึกปรืองานต่ออยู่ จนกว่าจะแน่ จนกว่าจะเหตุปัจจัยครบ มันจึงจะเป็นพระพุทธเจ้าได้น่ะ แล้วก็ ก็เป็นงานอันสุดยอด สำหรับพวกคุณ ก็เป็นผลพลอยได้ จากอาตมา ที่อาตมาพยายามนำคุณมาทางทิศทางศาสนานี้ คุณก็จะได้ศาสนา

แม้คุณจะไม่ได้ตั้งจิต เป็นพระพุทธเจ้า คุณก็จะได้สิ่งสูงสุดที่เรียกว่า ขั้น แค่พระอรหันต์ คุณก็จะได้ ไม่ใช่อรหันต์สุดยอด ก็ได้อรหันต์โสดา อรหันต์สกิทา อรหันต์อนาคา อรหันต์แห่งอรหันต์ขึ้นมา ตามลำดับ แล้วคุณจะจบของคุณแค่อรหันต์ ซึ่งมันจะสุดตรงอรหันต์ธรรมดา อรหันต์แห่งอรหันต์ ระดับสมณะ ระดับที่ ๔ เท่านั้นก็ตาม คุณก็จะได้น่ะ อันนี้ก็พิสูจน์มา คุณเอง คุณก็พิสูจน์มาบ้างแล้ว ได้มาบ้างแล้ว ผู้ที่ได้แล้วจริง จึงจะเชื่อมั่นมาเรื่อยๆ และถึงที่สุดแห่งอรหันต์แล้ว คุณก็ทำ โพธิจิตไป ถ้าเป็นอรหันต์ธรรมดา ก็จะทำโพธิจิต โพธิสัตว์คือมันหมดตนแล้ว มันก็จะช่วยท่านเท่านั้น ช่วยท่านไป ตลอดตาย ดับขันธ์แล้วก็สูญ ไม่ต้องเป็นพระโพธิสัตว์ ไม่ต้องเกิดมาบำเพ็ญธรรมเพิ่ม ก็ละลาย หายสูญไป ก็ไม่น่าจะเข้าใจยากอะไร แต่มันก็เป็นจริง เพราะว่าเราหมดตัว หมดตนแค่ปัจจุบันธรรม มันก็เสียสละไป มันจะเป็นอย่างไร คนที่จะเป็นพระอรหันต์แล้ว มันจะกลัวตายอะไร ตายก็ตาย เมื่อยก็เอ๊า! ให้มันเมื่อยตาย ลองดู มันจะอย่างงั้นเสียด้วยซ้ำ เอาซิ ให้มันเมื่อยตายลองดู มันไม่มี ปัญหาเลย ก็เมื่อเมื่อยก็ได้พัก ใครจะมาบีบบังคับ อะไรเกินการ มันไม่ต้องไปเสพย์หรอก ถ้าเห็นเหตุ ปัจจัยที่ดีมันอยู่ที่เรา เพราะฉะนั้น ผู้นั้นท่านเสียสละจริง แม้เมื่อยแล้ว ท่านยังเสียสละได้

อันนี้แหละ คนต้องเคารพกราบไหว้สุดเศียรสุดเกล้า เพราะแม้เมื่อยแล้ว ท่านก็ยังอุตส่าห์ทำ มันจริงๆ นะ มนุษย์นี่ นอกจากคนใจดำ คนโง่เท่านั้น แหม คนนี้ท่านเหนื่อย ยังอุตสาหวิริยะ ท่านยังอุตส่าห์ คำว่าอุตส่าห์นี่ ภาษาไทย มันน่าจะเข้าใจ ท่านยังอุตส่าห์ โอ้โฮ! นี่แหละ คนเรามันตื้นตันน้ำใจ อันตรงนี้กัน แต่ว่ายังไม่ทันเมื่อยเลย หยุดแล้ว อย่าว่าแต่เมื่อยเลย ยังมีกำลังแต่ไม่ทำ ช่างหัวแกปะไร แกจะทำ แบบนี้มันมันก็ตรงกันข้ามกัน บอกคนแบบนี้ โถ! ไม่น่าคบ มันเป็นเรื่องธรรมดาน่ะ

เอาละ อาตมาสาธยายอะไรมาพอสมควร ด้วยภาษาไทยๆง่ายๆ ก็คงจะได้รับอะไรเพิ่มเติม สำหรับ กิจวัตรวันนี้ ก็ขอพอน่ะ จบแค่นี้


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๓๐ มกราคม ๒๕๒๖
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มรัฒนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปก โดย พุทธศิลป์

งานธรรมคือชีวิต 077D.DOC