จิตวิญญาณ
ก่อนฉัน ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๖
โดย สมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถานสันติอโศก

เจริญธรรม ท่านผู้ใฝ่พุทธธรรมอันบริสุทธิ์ ทั้งหลาย

อาตมาคิดว่าวันนี้เราน่าจะได้พูดถึงพุทธะที่เป็นความหมายที่เรารู้กันดี เพราะว่าเราเป็นพุทธศาสนิกชน เมื่อเราเป็นพุทธศาสนิกชนแล้ว เราก็รู้แต่พุทธะๆ เป็นตัว เป็นตน เป็นแท่ง เป็นก้อน จนกระทั่งกลายเป็น ของหล่อของหลอม เป็นของที่เป็นนิมิตหมายแทน เป็นเครื่องแทนหยาบๆ เข้า เป็นเปลือกออกไป เรื่อยๆนะ ทั้งๆที่เราเรียนกันมา จนกระทั่ง สุดท้ายลึกซึ้ง ถึงขั้นว่า เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในขณะที่ท่านมีชีวิตอยู่ เมื่อเรียกว่าเป็นท่านเป็นพุทธะ เป็นสิ่งหนึ่งๆ ที่เป็นเลิศยอดแล้ว ท่านก็ตรัส ยืนยันบอกว่า เนื้อไม่ใช่เรา หนังไม่ใช่เรา แล้วท่าน ตรัสสอนว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา แล้วเราก็เข้าใจ พระธรรมต่างๆ นานา กันไป คำว่าธรรมะ แปลว่าทรงไว้ ที่จริงนะ แปลว่าทรงไว้ ถ้าลึกซึ้งก็แปลว่าทรงที่จิต ธะมะ ธรรมะนี่ ธ แปลว่าทรง ม แปลว่าจิต ทรงอยู่ที่จิตนี่ จิตเรานี่ ทรงไว้ซึ่งเป็นประธานสิ่งทั้งปวง พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ก็ตรัสรู้ จิตวิญญาณ นี่เป็นเรื่องใหญ่ ในศาสนานี่ ถือว่าจิตวิญญาณเป็นเรื่องใหญ่ แล้วก็จริง อย่างที่เขามี ศาสนาที่ถือว่า วิญญาณเป็นเรื่องใหญ่ แล้วเขาเข้าใจไปว่า จิตวิญญาณนี่เป็นเรื่องที่มันเป็นอะไร ครอบครองอยู่ในโลก มหาศาล เป็นอัตภาพชนิดหนึ่ง ที่ลอยล่องฟ่องฟ้า มีอะไรต่ออะไรอยู่ มีฤทธิ์ มีแรง มีอำนาจควบคุม มีอะไรนี่ เป็นศาสนาที่ เขารู้กันมาก่อน ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้จะบังเกิด

พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้แล้ว บังเกิดขึ้น จึงได้เห็นสิ่งที่วิเศษนี้ ยิ่งกว่า ว่าเหนือกว่าวิญญาณที่เขาไปเข้าใจ ล่องลอยฟ่องฟ้า มีอำนาจมาดลบันดาลอะไรอยู่ พระพุทธเจ้า ท่านก็บอกว่า ไม่จริง แต่ก็จริง ตามที่เขาว่าส่วนหนึ่ง จริงตรงที่ว่า จิตวิญญาณนี่ มีอำนาจเหลือหลาย จิตวิญญาณ เป็นประธาน สิ่งทั้งปวง ยิ่งใหญ่ที่สุดจริงๆ แต่คำว่า ยิ่งใหญ่นั้น ต้องมีจิตวิญญาณที่จริง และจิตวิญญาณที่จริง ที่เรารู้เลยว่า นอกตัวเราไปแล้ว บอกอยู่นั่นอยู่นี่นะ ใครรับรองได้ว่าจริงเท่าจิตวิญญาณที่อยู่ที่ตัวคุณ ใครยกมือขึ้นซิ ที่ว่าจิตวิญญาณที่จริง ที่นอกตัวเรานี่ ใครว่า จิตวิญญาณเหล่านั้นน่ะ มันจริงยิ่งกว่า ที่อยู่ในตัวเรา จิตวิญญาณ ข้างนอกนะ อยู่ไหน มันจริงยิ่งกว่า อยู่ในตัวเรานี่ เรารู้สึก เรารับใช้มันอยู่ หรือเราใช้มันอยู่ จิตวิญญาณเป็นตัวธาตุรู้ รู้สึก แล้วมันก็นึกคิด แล้วมันก็มีความแรง มีอำนาจ มีพลัง มีอะไรต่ออะไรอยู่ในนี้ทั้งหมดนั่นแหละ แท่งนี้ เป็นแท่งที่ บรรจุวิญญาณที่จริงกว่า นอกจากคนที่โง่ จนไม่รู้ว่า ในตัวเรานี่มีจิตวิญญาณนะ ไม่รู้ว่าในตัวเรามีจิตวิญญาณ นึกว่าจิตวิญญาณเป็นอะไร ก็ไม่เข้าใจเลยไม่รู้เรื่อง อ้าว อย่างนั้นก็แล้วไป ก็ไม่ต้องพูดกัน คนโง่ปานนั้น

แต่ถ้าคนไม่โง่ รู้ว่าจิตวิญญาณนี่ มันอยู่ในตัวเรานี่ จริงไหมล่ะ ของใครของมัน ก็มีจิตวิญญาณ ก็มันก็มีของจริง สัมผัส แตะต้องแล้วก็อยู่ที่ตัวเรานี่ แล้วมันก็จริงกว่า อยู่นอกตัวนั่น มันไกลตัวของคุณ จิตวิญญาณของคุณ ยังไม่จริงเท่ากับ จิตวิญญาณของอาตมา เพราะ จิตวิญญาณของคุณ มันก็จริง ของคุณ ยิ่งกว่าของอาตมา ยิ่งกว่าของคุณใช่ไหม ใช่ไหมน่ะ จิตวิญญาณของคุณ คุณก็จริงของคุณ ยิ่งกว่าของอาตมา ในตัวอาตมา มีจิตวิญญาณหรือเปล่า คุณว่าในตัวอาตมามีจิตวิญญาณหรือเปล่า มีใช่ไหม ขนาดจับได้ไล่ทันว่า ในตัวอาตมานี่ มีจิตวิญญาณแน่ ในตัวคุณก็มีจิตวิญญาณ ของคุณ ยังจริงกว่าของอาตมาใช่ไหม ของคุณสัมผัสเอง ยิ่งกว่า ของอาตมา จิตวิญญาณมันอยู่ในตัวอาตมา อาตมาก็สัมผัสของอาตมา ของอาตมามันจะไปจริง เท่าของคุณเหรอ ของคุณก็ต้องจริงกว่า ของอาตมา แต่คุณก็เชื่อมั่นเหมือนกันว่ามี จิตวิญญาณมี นอกจากของคุณแล้ว ของจิตวิญญาณ ที่อื่นก็มี ที่ไหน ที่อาตมา ในตัวของอาตมาต้องมีแน่ ใช่ไหม น่ะ แต่คุณก็ต้องจริงของคุณ ยิ่งกว่า ของอาตมา คุณก็เชื่อว่าจริง แต่ไม่แน่เท่าของคุณ ของนอกตัวอาตมา ของคนอื่นก็จริงของเขา แต่ไม่เท่า ของเราอีกแหละใช่ไหม ไม่จริงยิ่งกว่าของเรา นอกตัวคนอีก นอกตัวมนุษย์อีก เขาก็บอกว่า อยู่โน่นแน่ะ ลอยอยู่บน ยอดไม้ อยู่ศาลเจ้า อยู่อะไรนั่น คุณจริงกว่าอยู่ในตัวคนไหม หา จริงกว่าไหม ไม่จริงกว่าหรอก คุณก็ยังลังเลกว่า เอ๊! มันมีหรือเปล่า อยู่ในศาลเจ้านี่ มันมีหรือเปล่า เขาว่ามีนะ เขาว่ามีนะ แต่อยู่ในตัวคนนี่ ตอบซิ มันแน่กว่าไหม จิตวิญญาณในตัวคน แน่กว่าอยู่ในศาลเจ้า แน่กว่าอยู่ในต้นโพธิ์ แน่กว่าอยู่ในที่ไหนๆ เขาว่ามันมีนะ จริงกว่าใช่ไหม เพราะฉะนั้น คนฉลาด เขาต้องเอาสิ่งที่จริงกว่า ที่ยืนยันได้

อย่าไปพิสูจน์สิ่งที่ไม่จริงกว่า ใช่ไหม แล้วยิ่งบอก โอ้! วิญญาณใหญ่เลย จิตวิญญาณนี่ ครอบครอง โลกเลย โอ้โฮ! แล้วมันจริงหรือเปล่า อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ยังไม่รู้ที่อยู่เลย แล้วบอกว่า มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน มันยิ่งฟ่าม ยิ่งกว้าง ยิ่งไม่ได้ความนะ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องพยายาม

อาตมากำลังมาเน้นให้คุณฟังว่า จิตวิญญาณนี่ เรากำลังศึกษาจิตวิญญาณ ศาสนาเขาบอกว่า ศาสนาพุทธนี่ ไม่เชื่อจิตวิญญาณ อาตมาเชื่อจิตวิญญาณที่สุด และอาตมาก็ได้พยายามศึกษา จิตวิญญาณ แล้วก็พยายาม ลดกิเลส ออกจากจิตวิญญาณ ล้างกิเลสออก เพื่อให้เห็นจิตวิญญาณ ที่บริสุทธิ์ มาตามลำดับขั้น ตามความหมาย ตามวิธีการของศาสนาพุทธ ล้างกิเลส ตั้งแต่ชั้นหยาบ กลาง ละเอียดไปเรื่อยๆ เรายิ่งจะเห็นความสะอาดๆมา ชั้นหนึ่ง เราก็รู้ว่า มันสะอาดชั้นหนึ่ง ในชั่วคราวว่า ตอนนี้มันแบ่งมารู้ว่า นี่มันสะอาดจากกิเลส อบายมุข อย่างนั้น อย่างนี้แล้ว เออ มันสะอาดจริงๆ เป็นอย่างนี้หนา มันว่าง มันไม่โหยหา มันไม่อาวรณ์ มันไม่ดูด มันไม่ดึง มันไม่ผลัก มันไม่ดูด จนสุดท้าย เลยอยู่กับมันไม่ได้ เออ เขามีในโลก เราก็เข้าใจโลกนี้ จิตตัวนี้ เขายังติดอยู่ เขาติด เราไม่ติดแล้ว เราไปโกรธเขา เราก็บ้า เราไม่ต้องไปโกรธเขา เขาก็มีของเขา เราสงสารเขา เราก็ช่วยเหลือเขา มีกรรมวิธีใด บอกเขาได้บ้าง ชี้ให้เขารู้ ถ้าชี้แรงๆ เขาไม่ชอบใจ เราก็รู้ว่าเป็นกรรมวิธี ที่ยังไม่ดี ยังไม่แนบเนียน ชี้ให้พอเหมาะ พอเจาะ บางคนที่ชอบพูดแรงๆ ก็พูดแรงๆ บางคนไม่ชอบ พูดแรงๆ ก็พูดแรงไม่ได้ บางคน ศรัทธาเราอย่างดีเลย พูดแรงๆให้เห็นความชั่ว ให้เห็นความหยาบคาย แรงๆ เพราะว่าพูดเรื่องโทษเรื่องภัยนี่ มันแรง มันบาดใจ เพราะฉะนั้น พูดเรื่องชั่ว เรื่องโทษ เรื่องแรงนี่ พูดเข้าไปคนนี้เขาศรัทธาเราจริง เขารู้ว่าเราหวังดี ก็พูดได้ ฉะนั้น คนไหน เปราะบาง ฟังคำพูด ที่จะกระหน่ำความชั่วให้โทษภัย หรือว่าพูดให้แรง ให้หนัก ถ้าหนักแน่น ไม่ได้นะ คนนั้น ล้างออกยาก

พระพุทธจ้าถึงได้ตรัสกับพระอานนท์ว่า อานนท์ เราจะกระหน่ำ อาตมาแปลว่ากระหน่ำเลย อันที่จริงก็คือข่ม ภาษาบาลี นิคคัยหะ นิคคัยหะนี่แปลว่าการข่ม การกระหน่ำ การกด การดัน การทำร้าย ทำแรงนะ ท่านบอกว่า ท่านจะกระหน่ำแล้ว กระหน่ำอีก จะไม่ยั้งมือ เพราะว่าการยั้งมือ หรือการที่ได้เห็นกันแล้ว ก็ไม่พยายามที่จะ กระหน่ำกิเลส ไม่ชี้ชัด ไม่ชี้ความหยาบ ความน่าเกลียด น่าชัง ความทุเรศ ทุรังการ ความไม่ดี ไม่งาม เพื่อให้เรารู้สึกหน่ายคลาย เพื่อให้เรารู้สึกว่า โอ้โฮ นี่มันเราโง่นะ นี่ มาเสพ มาสม มามี มาสะสม เอาไว้นี่เราโง่ เพื่อให้เห็นจริงเห็นจัง กระหน่ำ เพราะฉะนั้น ถ้ากระหน่ำแล้ว ใครก็ยังเหนียวยังแน่นอยู่ ท่านเรียกภาษาไทยว่าด้าน ถ้าด้านแล้ว มันก็แล้วไป ของใครของมัน คือด้านอยู่ ไม่รู้จักหิริ ไม่รู้โอตตัปปะ ไม่รู้จักสังวร ระวัง ไม่รู้จักทิ้งเสียบ้าง เข้าใจด้วยปัญญา แต่ก็ยังคบหามันอยู่อย่างนั้น ไม่ละ ไม่ปละ ไม่ปล่อย ก็จะไปรู้ได้อย่างไร ใครจะไป ช่วยใครได้อีก เพราะฉะนั้น สูงสุดก็กระหน่ำแล้วกระหน่ำอีก ถ้าศรัทธาเลื่อมใส เข้าใจแล้วกระหน่ำได้ เราต้องประมาณดู เขาศรัทธา เลื่อมใสเพียงพอไหม ถ้าไม่พอเพียงกระหน่ำยาก ก็ดูอย่างคนห่างๆ ไม่ใช่ญาติสนิท ไม่ใช่ผู้ที่จะมามอบตัว มอบตน หรือว่าเป็นผู้ที่เชื่อถือ เป็นผู้ที่จะให้เราช่วยกระหนาบ กระหน่ำ ช่วยล้าง ช่วยละให้น่ะก็แล้วไป เพราะฉะนั้นก็ช่วยกัน

เรื่องของจิตวิญญาณนี่ เรามารู้ให้ชัด ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่เห็นจิตวิญญาณอันจริงยิ่ง แต่ไม่หลง จิตวิญญาณ ที่ไกลห่าง ดังที่กล่าวแล้ว ไปเชื่อวิญญาณครอบโลก เป็นอำนาจวิเศษอะไรต่ออะไร ไม่เชื่อ พิสูจน์ได้ยาก ไม่เป็น สวากขาตธรรม ไม่เป็นเรื่องจริง เพราะฉะนั้น พุทธธรรม หรือพุทธศาสนา ศาสนาเขาเชื่อวิญญาณ พุทธศาสนา ก็เชื่อวิญญาณนะ คำว่าพุทธะ แต่วิญญาณของในตัวเรา วิญญาณของเราจริงๆ มันมีอยู่จริง พิสูจน์ มันไม่มีใคร จะมาหลอกเราได้ เรานี่ละเป็นคนที่จะใช้ ปัญญาของเรา รู้ความจริงให้จริงๆ หยั่งเข้าไปให้ละเอียดถึงวิญญาณ เพราะฉะนั้น วิญญาณของเรา ยังเป็นทาส ยังไม่มีอิสระเสรี ยังเป็นทาสอะไรๆ อยู่ขนาดไหน ในโลกหยาบๆ ต่ำๆ ล้างออกมา ต่ำๆ หยาบๆ นี่ล้างให้จริง ล้างจนสะอาด เป็นตัวอย่างสักเรื่องหนึ่งนี่ เราก็น่าจะเห็นว่า อ๋อ! พุทธธรรม ก็วิญญาณนะ และสะอาดออกมาได้ เราหลุดพ้นแล้ว โอ้โฮ! มันไม่เกี่ยว ไม่เกาะ มันไม่ดูด ไม่ซึม มันไม่เป็นทาส กันจริงๆเลยนะ มันอิสระเสรี แล้วมันก็ไม่ดูด ไม่ผลัก ไม่ไปเที่ยวได้รุนแรงกับคนอื่น เขาก็ได้ หรือจะรุนแรง กับคนอื่นเขาก็ได้นะ

อย่างอาตมานี่รุนแรง ที่อาตมารุนแรงเพราะอาตมาเอง อาตมารู้ รู้ที รู้ท่า แล้วอาตมาก็เป็นครู ที่จะกระหน่ำ เหมือนอย่างกับ พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพระอานนท์ จะกระหน่ำ เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ข้างนอก อะไรอื่นๆ อาตมาก็ไม่ได้กระหน่ำเขา อาตมาจะรู้วิธีการ ถ้าอาตมาจะกระหน่ำแรง ออกไปกว้างๆอย่างนี้ อาตมาก็จะรู้ว่า ใช้ประมาณเท่าไร ถ้าอยู่ใกล้ๆชิด จะประมาณเท่าไร ขนาดใกล้ชิด จนขนาดใกล้ตัวเข้ามาอีก จนยกให้ว่า คนนี้พูดมากแล้วเขาก็ยึดถือ มานะ ตัวที่เปราะบาง ที่สูงใหญ่ แตะไม่ได้อีก มันตีกลับไป ตีกลับมา ก็ไม่แตะ แม้จะเป็นลูกศิษย์ที่นับถือ เชื่อถือ ยอดเชื่อถือแล้ว ถ้ารู้ว่าคนนี้ก็ต้องให้เกียรติเขา เราว่าเราเองเป็นผู้รู้แล้ว พูดนิด พูดหน่อยก็รู้ แต่มานะอายคนนั้น เหนียมคนนี้ ถ้ารู้สึกว่า เราจะสอนแล้ว ก็มีมานะซ้อนนะ ไม่ดี เราก็ไม่สอนตรง สอนอ้อมๆ อ้อมไปจนกระทั่ง สุดท้ายไม่สอนเลย ถ้าถึงขั้นไม่สอนเลย พรหมทัณฑ์ แล้วก็มานะใหญ่นัก ก็ไม่สอน แต่ถ้ายังมานะจนถึงว่า พอจะสอนกันได้ ก็สอนกันโดยอ้อม โดยอะไรอีกบ้าง มันซับซ้อน กันอย่างนี้ เพราะฉะนั้น บางคนถึงแม้จะเป็นผู้สนิท ชิดเชื้อแล้ว เป็นผู้ที่ยอมรับนับถืออย่างสูงส่งแล้ว แต่มานะมันซ่อนตัว มันเล่นงานผู้นั้น ไม่รู้ตัว ไม่รู้ตน ไม่ยอมให้กระหนาบ กระหน่ำเลย ไม่ยอมให้แตะ ไม่ยอมให้พาด ให้พิงเลยนะ หนักเข้า ก็ไม่ต้องพาดพิงเลยนะ ไม่ต้องสอนเลย ก็สอนคนอื่น เท่านั้นเอง สอนคนอื่นเท่านั้น ไม่เยื่อใย ไม่หวังดีต่อกัน

มันเป็นความทารุณ โหดร้ายเหลือเกิน พรหมทัณฑ์ หรือว่าไม่หวังดีต่อกันนี่ ถ้าฟังโดยเหตุผลแล้ว ก็เป็นความโหดร้าย แต่โดยสุดท้ายแล้ว มันก็มีความจำนน ถ้าเผื่อว่าเราจำนน สอนคนที่สอนไม่ได้ แล้วเขามีมานะใหญ่เหลือเกินแล้ว เราก็ต้องรู้ว่า จุดจบ จำนนแล้วว่า เราสอนไม่ได้ เมื่อสอนไม่ได้ แล้วก็ปล่อยไป แล้วจะเป็นจะตายอย่างไร ก็แล้วแต่ ก็เห็นอยู่ ได้แต่สมเพชเวทนา ได้แต่สงสาร สงสารนี่แปลว่า สมเพชเวทนา สมเพชเวทนาแปลว่า ไม่น่าเลยหนอ สมเพชเวทนานี่ แปลต่อไป ก็แปลว่า ไม่น่าเลย ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้เลย แต่มันก็เป็นไปแล้ว ก็ได้แต่วางเฉยๆ อยู่อย่างนี้แหละ สงสาร สมเพชเวทนา แล้วก็ไม่น่าจะเป็น แต่มันเป็นนี่ เขาเป็น เราไม่ได้เป็นนะ เราไม่อยาก ให้เป็น เลยด้วย แต่ก็หมดแล้ว สุดสายป่านแล้ว จะไม่อยากให้เป็น ช่วยอย่างไรก็ช่วยจนสุดสายป่านแล้ว ช่วยไม่ได้แล้ว เขาก็เป็นอย่างไม่น่าเป็นนั่นแหละ ไม่น่าเลยหนอ มันก็เป็นอยู่อย่างนั้น ก็เห็นโทนโท่อยู่ เราก็วางใจเฉย

ถ้าเราไม่วางใจเฉย เราก็ทุกข์ ก็ทำอย่างไรได้ เราก็เห็นอยู่โทนโท่ นี่อาตมาเห็นพวกเรานี่เยอะแยะ บางคนนี่ เอ๊อ ไม่น่าเลยนะ เอ๊อ มันน่าจะแก้กลับ มันน่าจะรู้ก็รู้ ก็ไม่เพียร อุตสาหะ ก็ได้แต่เออ ก็วางเฉย ถ้าขืนเอาแต่ตัวสงสาร ตัวเดียวไปสงสารเท่านั้น อาตมาไม่เหลือตัวเลย หมดเนื้อ หมดตัวเลย เพราะว่าไม่รู้จะเอาไปสงสาร อย่างไรหวาดไหว แคลอรี ที่จะเอาไปสงสารหมดเลยเกลี้ยง เท่าใด ก็ไม่เหลือ มันน่าสงสารทั้งนั้นละ แล้วจะไปเอาสงสารอย่างไรไหวล่ะ หมดเลย ไม่เหลือเลย สงสารกัน ไม่ไหว แต่ก็สงสาร โดยโวหาร สงสารโดยธรรม มีเจตนาที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ทำได้เท่าไร ทำอยู่ เพราะฉะนั้น คนใดที่ อาตมาทำงานได้ด้วยอยู่ นั่นก็คืออาตมา ยังสงสารอยู่นะ ยังเกื้อกูลอยู่ คนไหนสุดสงสาร ก็คงตัดไว้ อันนี้มันไม่ได้ผล ไม่ได้ประโยชน์แล้วก็จงตัดๆๆๆมัน มากบ้าง น้อยบ้าง หรือบางครั้ง บางคราว บางทีตัดไปแล้วก็ เอ้า กลับมา อุตส่าห์ญาติดี อย่างโน้น อย่างนี้อีก ก็ช่วยกันอีก ตามๆที่จะเป็นไปนะ

บางทีบอกว่าไม่เอาแล้วคนนี้เข็ดแล้ว ช่วยหลายเที่ยวแล้ว ไม่ได้เรื่องเลย แล้วยังแว้งเสียอีก แล้วยัง ไม่ได้เรื่องเสียอีก เข็ด อาตมาก็เข็ดเป็นเหมือนกันนะ ไม่ใช่เข็ดไม่เป็น เข็ดเป็นและเข็ด รู้ละเอียด ด้วยว่าเข็ด ควรเข็ดยิ่งกว่าคุณ รู้ด้วย แหมคนนี้นี่ ควรเข็ดแล้ว แล้วอาตมาก็ไม่บอกเสียดื้อๆ จะไป บอกคุณทำไม อาตมาเข็ดแล้ว ก็เป็นเรื่องของอาตมา ไม่ต้องบอกคุณว่า คุณน่ะ อาตมาเข็ดแล้วนะ อาตมาไม่ช่วยแล้วนะ อาตมาก็ไม่ต้องไปบอกคุณ เรื่องอะไร จะต้องไปบอก อาตมาก็เฉยๆ ปล่อยไป คุณจะมาลากหางแกรกๆ อยู่ก็เรื่องของคุณลากไป อาตมาก็ไม่ฟังเสียง คำว่า ลากหางแกรกๆ หมายถึงอะไร ก็นึกเอาเองก็แล้วกันนะ ก็เรื่องของใคร ของมันน่ะ

อาตมาได้พิสูจน์พุทธธรรม หรือได้พิสูจน์จิตวิญญาณที่แท้จริง อาตมาเคยไปหลงงมงาย ไปเล่น จิตวิญญาณ ทางไสยศาสตร์ เล่นจิตวิญญาณทางวิทยาศาสตร์ เล่นอะไร ต่ออะไรมา มันก็ไม่รู้จริง เพราะฉะนั้น มาเรียนตาม พระพุทธเจ้า เรียนตามครรลองของท่าน ก็รู้วิญญาณ หรือเป็นวิญญาณ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เป็นวิญญาณ อย่างพระพุทธเจ้าชี้บอกว่า วิญญาณอย่างนี้ ควรศึกษา วิญญาณอย่างนี้ ศึกษาแล้วเราสบาย แล้วเรามีประโยชน์ เรามีคุณค่าด้วย เราจะสามารถใช้ จิตวิญญาณของเราได้ด้วย ทุกวันนี้ อาตมาใช้จิตวิญญาณของอาตมา ใช้มันอย่าง ไม่ได้ไปนั่ง โอ๋เอ้ อะไรมันเลย

วิญญาณของอาตมา อาตมาใช้ให้มันทำงาน เรียกว่ามาใช้การงาน เพราะว่าจิตวิญญาณ มันเป็น เจ้าเรือน อาตมาใช้มือ อาตมาก็ต้องให้จิตวิญญาณมันสั่งมือ อาตมาใช้ปากให้ออกเสียง อาตมาก็ใช้ จิตวิญญาณ ให้ปากมันออกเสียง อาตมาใช้มัน ใช้ให้มันคิด ใช้ให้มันแบก ใช้ให้มันหาม ใช้ให้มันพูด ใช้ให้มันทำอะไรก็แล้วแต่ อาตมาใช้มัน ใช้เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่คนอื่น สำหรับตัวอาตมาเองนั้น อาตมาก็ใช้มันให้เป็นประโยชน์แก่ตนบ้าง ให้มันจับข้าวเข้าปากเคี้ยว เอ้า! แกเคี้ยวนะ พลังงานจิต สั่งให้มันเคี้ยว ขากรรไกรเคี้ยว เคี้ยวแล้วก็กลืน เข้าไปสังเคราะห์ แล้วร่างกายนี้ก็จะมีพลังงาน เข้าไปทำงาน ทำงานไปไหน ไม่ได้ทำงาน มาแลกลาภ แลกยศ แม้แต่แลกสรรเสริญ อาตมาก็แน่ใจว่า อาตมาไม่ได้ทำงานเพื่อแลกความดัง ความสรรเสริญ แต่คนยังสงสัยว่า อาตมานี่อยากดัง มาทำนี่ ก็เพื่อดัง ที่มันมีหลักฐาน อันยืนยันว่า อาตมาอยากดังก็คือ ชอบยกตัวเองนะ ที่มันมีหลักฐาน ชอบยกตัวเอง ทุกทีล่ะ แล้วไม่อยากดังอย่างไรน่ะ

อาตมาก็ได้ใช้เหตุผลค้านแย้งว่า อาตมาชอบยกตัวเองนั้น ก็เพราะว่า อาตมามีของตัวเอง และแน่ใจ ในของตัวเอง อาตมายังไม่คุยใหญ่กว่านั้น ถ้าอาตมาจะคุยใหญ่กว่านั้น อาตมาจะบอกคุณ ออกไป อีกนิดหนึ่งก็ได้ว่า อาตมายังไม่เห็น ใครใหญ่เท่าอาตมา อาตมายังไม่เห็นใครบริสุทธิ์เท่าอาตมา อาตมาก็เลยยกเขา เป็นตัวอย่าง ไม่ได้เท่าตัวเองนะ นี่ก็คุยใหญ่คุยโตต่อไปอีก ก็มันอย่างนี้ละน้า มันไม่อยากดังอย่างไรนะ น่ะ คุยตัวเองอย่างนี้ แล้วไม่อยากดังอย่างไร เขาไม่เชื่อ เอ้า! ตกลง อาตมา ไม่ได้ทำให้คนอื่นเชื่อ แต่อาตมามีสิทธิ์ที่จะพูดความจริง ถ้าอาตมามีความจริงใจขนาดไหน อาตมาพูดออกมาแล้ว จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ช่างหัวคุณ อาตมาก็ไม่ได้ไปบังคับคุณ และก็ไม่ได้ไปง้อ ให้คุณเชื่อ คุณมีปัญญาเป็นของตัวเอง ที่จะตัดสินเลือกเอา เพราะฉะนั้น คุณเห็นดี คุณก็เชื่อ ของคุณเองน่ะ มันเรื่องของคุณทั้งนั้น คุณมีสิทธิมนุษยชนที่จะเชื่อ แม้อาตมาก็ตาม

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าสารีบุตร เธอเชื่อเราไหม พระสารีบุตร ยังพะย่ะค่ะแน่ะ พวกเพื่อนๆ สหธรรมิก พวกพระทั้งหลาย ขึ้นเลย บอก ชะ ชะ ชะ พระสารีบุตร หนอย กล้าพูดคำแหงอย่างนี้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงรู้ว่า มีจิตของเพื่อนสหธรรมิก ชักไม่ชอบใจพระสารีบุตรแล้ว พระพุทธเจ้าตรัสถาม พระสารีบุตร ก็ทูลว่าอย่างนั้น ก็เลยต้องแก้ไขช่วยพระสารีบุตรว่า ทำไม เธอพูดอย่างนั้น ทำไมเธอ ไม่เชื่อเรา ก็พระพุทธเจ้า ยังไม่ได้พิสูจน์ เมื่อยังไม่ได้พิสูจน์ ยังไม่ได้เห็น สวากขาตธรรมเหล่านี้ ที่เป็นกุศลแล้วอย่างยิ่ง อย่างจริง ข้าพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่เชื่อ สาธุ สารีบุตรเธอพูดชอบแล้ว ควรแล้ว พวกสาวกทั้งหลายแหล่ พอได้ยินพระพุทธเจ้า เข้าข้างพระสารีบุตร ก็ต้องหงอ เราผิดเสียแล้ว พระพุทธเจ้าไม่เห็นด้วยกับเราเลย ไปเห็นกับพระสารีบุตรเสียแล้ว ไม่ใช่เข้าข้างนะ พระพุทธเจ้า ท่านเข้าข้างสัจจะ พระพุทธเจ้าท่านรู้ว่า จิตวิญญาณ ของพระสารีบุตร มีปัญญาขนาดไหน และทำอย่างนี้อวดดีหรือไม่อวดดี และใครคิดบ้างว่า พระสารีบุตรอวดดีต่อพระพุทธเจ้า เปล่าเลย พระสารีบุตรไม่อวดดี ต่อพระพุทธเจ้าหรอก แต่ว่าแสดงธรรมขั้นสูงชนิดหนึ่ง คนที่มีปัญญาตื้น ก็ไม่รู้เท่าทันนะ ไม่รู้เท่าทัน

พระพุทธเจ้าต้องหาวิธี กุศโลบายที่จะแสดงออก ซึ่งความจริงอันนี้ออกมา ให้คนได้ฟัง อย่างนี้เป็นต้น นะ เพราะฉะนั้น พวกคุณเอง พวกคุณจะทำอย่างไรก็ตามใจ มันเรื่องของคุณทั้งนั้น คุณจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ คุณก็อยู่ในใจของคุณ นั่นแหละ คุณทำหน้าตาว่าเชื่อค่ะ แหม กราบเคารพอย่างนี้ แต่ใจของคุณไม่เชื่อมันเรื่องของคุณ มันบังคับกัน ได้ที่ไหน อาตมาเคยใช้คำแทนอย่างหนึ่งว่า ใครสามารถที่จะบังคับหมา ให้มันกระดิกหางให้คุณ ฉันใดก็ฉันนั้นจริงๆ หมาใครสามารถ จะทำให้ มันกระดิกหางให้แก่คุณได้ ไม่ได้ ถ้ามันไม่ชอบใจ มันไม่กระดิกหาง ต้องมีข้อแม้อีกนิดว่า ใครสามารถ ที่จะทำให้หมา ตัวที่มันไม่ชอบคุณ มากระดิกหางให้คุณ ก็เอาคำว่า ไม่ชอบด้วยนะ ไม่ได้ หมามันชอบคุณ มันก็กระดิกหางให้คุณได้ ไม่ได้ ถ้ามันไม่ชอบ มันไม่กระดิกหรอก ให้บังคับให้มันตาย มันก็ไม่กระดิกหางให้คุณ มีแต่มันจะแยกเขี้ยวให้คุณน่ะซี ยิ่งไปตอแยมันมาก มันก็จะแยกเขี้ยวใส่ ใหญ่ๆเลย มันไม่มีกลัว สัญชาติแห่งความตรงอันนี้ ของหมานี่มันจริง

ฉันเดียวกันกับจิตของคุณ ถ้าคุณไม่เชื่อ คุณไม่ศรัทธาปัญญาของคุณ ตัดสินของคุณแค่นี้ คุณไม่ยอม มันก็ไม่ยอม มันก็ไม่เชื่ออยู่นั่น แต่ถ้าเชื่อมันก็เอา บังคับอย่างไร มันก็ไม่ได้อีกแหละ มันเชื่อน่ะ มันเชื่อ ไม่ได้เชื่อของผู้อื่นเท่านั้น มันเชื่อของตนเอง ที่มีของตนเองแล้ว

อาตมาเชื่อพระพุทธเจ้านี่ อาตมาไม่ได้เชื่อเพราะ พระพุทธเจ้าท่านมี อาตมาเชื่อเพราะอาตมามี มีสิ่งที่คล้าย พระพุทธเจ้า เหมือนพระพุทธเจ้า หรือเป็นสิ่งหนึ่งอย่างเดียวกับพระพุทธเจ้า อาตมา จึงเชื่อว่า อ้อ! พระพุทธเจ้า ท่านมีอย่างนี้ อาตมาจึงเชื่อ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่า อาตมามีสมบัติโลก อาตมาแม้จะไม่มีมาก เท่าพระพุทธเจ้า ก็ตาม คนเรานี่ยิ่งทองเท่าหนวดกุ้งนี่ นอนสะดุ้งจนเรือนไหว แค่ทองเท่าหนวดกุ้งนี่ มันหวงแหนจะตาย มันทิ้งไม่ลง เลยนะ เพราะฉะนั้นก็แน่นอนละ ของใคร ที่มันนึกว่าเป็นของวิเศษ ของที่ตัวเองแสนรัก มันทิ้ง

อาตมาก็รักสมบัติ ของอาตมา หามาได้ด้วยเลือด ด้วยเนื้อ ด้วยยาก ด้วยเย็น เหงื่อไหลไคลย้อย อาตมาสละ มันก็เป็นเลือดเนื้อของอาตมา ถ้าว่าไปแล้ว พระพุทธเจ้าท่านมี ข้าวของสมบัติ ท่านไม่ค่อยได้หาด้วยซ้ำไป ของได้ฟรีนะ เกิดมาท่านก็มีเอง อาตมาซิของหาด้วยตัวเองแท้ๆ ด้วยน้ำมือ ของเราเอง มันจะไม่รักไม่ชอบอย่างไร มันไม่หวง ไม่แหนอย่างไร ของๆเราเองนะ มันหวงแหนนะ แต่เราก็เข้าใจ แล้วเราก็มีใจตัวสละ มีใจตัวสละ เออ เราก็รู้ว่า ใจสละนี่มันสละได้ อาตมาก็เชื่อว่า พระพุทธเจ้าท่านสละได้ เพราะอาตมาสละได้นี่ ใจจริงตัวนี้ มันเห็นจริงเลยว่า อ๋อ! จิตวิญญาณนี่ สละได้นี่มีจริงนะ มันจึงเชื่อว่าของนี้เป็นจริงหรือยิ่ง มันลึกซึ้งกว่านั้น จิตวิญญาณที่มันละเอียด สะอาด เป็นชั้นตอนขึ้นมานี่ อาตมามีของอาตมา อาตมาจึงเห็นว่า อ้อ! อนุสัยมี อาสวะมี ชั้นตอน ความหยาบมี ชั้นตอนความละเอียดมี อ้อ!ละได้ตื้นๆ พื้นๆ เราก็รู้ ยังมีหยาบๆอยู่เป็น ยังมีละเอียด ขึ้นไปอีก หยาบๆละได้ กลางๆมีอีก ละเอียดยิบมีอีก แล้วต้องรู้ตัวละเอียดที่จริงนั่นอีก

อาตมาเห็นของจริงของอาตมา อาตมาเอาธรรมะมาแสดงกับพวกคุณนี่ อาตมาเอาของจริง อ๋อ! มันเป็นอย่างนี้เอง อาตมาจึงเชื่อว่า อ้อ! อาสวะมี ไม่ได้เชื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้ อาสวะเป็นอย่างไร ต้องรู้ของจริงที่จิตวิญญาณของเรา อาตมามีอาสวะ และอาตมาก็ตัดอาสวะของอาตมา อาตมาจึงรู้ รู้แล้วอาตมาก็มายืนยันถึงรู้ว่า อ้อ! พระพุทธเจ้า ท่านสอนถึงขั้นตอน อาสวะมันมีอย่างนี้นะ แล้วมัน ล้างออกไปแล้ว มันเด็ดขาด มันไม่เวียนวน มันแม่นมั่น มันยืนหยัด ยืนยัน มันว่าง มันสบาย มันเบา อย่างไร อาการเป็นอย่างไร อาตมาก็เอามาขยายเป็นภาษา ให้พวกคุณฟัง ซึ่งไม่มีภาษาที่เขาขยาย อะไรมากมายนัก โดยสำนวนภาษาไทยนี่ที่ละเอียดลง อาตมาว่า อาตมาได้เอามาขยาย ละเอียดลออ ให้คนรู้ได้ง่ายๆตื้นๆ ขึ้นเยอะ ด้วยสำนวนของอาตมา เพราะอาตมารู้ว่า อันนี้ ลักษณะอย่างนี้ จะพูดเป็นภาษาไทยง่ายๆ อย่างไร พออาตมาขยายไป ต่างจากที่เกจิอาจารย์ ที่เขาได้ขยายไว้เก่า เขาก็บอกว่า ไม่เหมือนของเขาเลย เอ้า! ไม่เหมือนซิ ของคุณขยายได้เท่านั้นนะ แล้วคนก็ไม่ค่อยเข้าใจ เข้าใจได้ไม่ถ้วนทั่ว

พออาตมาขยายได้มากกว่า ลึกกว่า ละเอียดกว่า ง่ายขึ้น คนฟัง พวกคุณก็เข้าใจง่ายขึ้น คุณก็เห็น จริงได้ แล้วคุณก็มาเชื่อ และก็มาฝึกลองดู พอลองดูเข้าไปเห็นของจริงอีก เหมือนกันกับที่อาตมาเห็น ทีนี้ละก็ มันก็แน่ซิ ทีนี้คุณก็จะเชื่อของจริงอันนั้น มันจึงเกิดเป็นได้ ในโลกนี้ โลกียะหรือว่า ของเป็นเสพย์สุข หรือเป็นของโลกๆนี่ มันมีมาก มันมีแรงดูดดึงตัวผู้นั้นๆ คนเอาไว้เยอะเหลือเกิน ถ้าไม่ล้างละ ออกได้จริง เวียนวนอยู่ได้ แม้บางทีนี้ ล้างละออกได้อย่างหยาบๆ กลางๆ ละเอียด มันยังไม่ได้ มันยังก่อตัวฟักตัวเลย เขาเรียกว่า อาสวะนี้ว่า เครื่องหมักดอง มันแตกตัว ก่อตัว เต็มตัว พอมีฤทธิ์ มีแรงอีก ตอนนี้ดึงออกไปเลย นี่ดึงออกไปก็เยอะแล้ว แต่จำนวนที่เป็นอัตราส่วน หรือว่า เป็นปฏิภาค มันยังทวีอยู่ ที่หลุดออกไปบ้างก็มี แต่ที่เข้ามานี่มันมากกว่า มันจึงเกิด ปฏิภาคทวี นะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้ามานี่มากกว่า ผู้ที่แน่ไม่ไปเลย ก็เป็นแกนอยู่ ผู้ที่ได้บ้าง แต่ว่าไม่มั่นคง มีอื่น มีมานะด้วย

ที่ออกไปนี่ อาตมากล้าพูดได้ว่า ออกไปด้วยมานะนี่มาก ออกไปด้วยสิ่งที่เป็นกิเลสหลัก กิเลสตัว กิเลสกาม กิเลสโลก อะไรพวกนี้นะ ได้เป็นขั้นๆ เมื่อได้แล้ว พอมีมานะก็ออกไป เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้บ้างแล้ว แล้วออกไป มีมานะนี่ ไม่กล้าดูถูกที่นี่ ออกไปแล้วก็ไม่กล้าดูถูก ถึงจะดูถูกก็ดูถูกลับหลัง พอประจันหน้าจริงๆ ไม่กล้าหรอก ยืนยันได้ ยังเคารพนับถือ ยังมีส่วนเคารพนับถือ

อาตมาว่า อาตมาได้ทำงานมา ๑๒ -๑๓ ปีนี่ พิสูจน์ได้อยู่ เพราะฉะนั้น คนที่ได้ออกไปจากที่นี่แล้วจริงๆ จริงๆ แล้วไม่กล้าดูถูก เพราะอาตมาแน่ใจว่า ได้พูดกันอย่างละเอียด ได้ชี้ชัดให้พิสูจน์จริงๆ และ เขาก็ได้น้อย แม้น้อยก็ตาม น้อยบ้าง มากบ้างก็ตาม เขาได้กันไปจริงๆ เพราะฉะนั้น แม้มานะ มันจะพาเขาออก ตกหล่นไปจากที่นี่นะ เขาก็จะยอมรับ สัจจะส่วนหนึ่งยืนยันอยู่ โดยจริงแล้ว ก็ไม่อยากจะให้ออกไปเลยแหละใจน่ะ แต่ว่าบังคับกันไม่ได้ ของใครของมัน เพราะเขาจะออกไป อาตมาก็ได้แต่เห็นว่า เออก็ได้แค่นี้ มันไม่น่านะ น่าจะเอาต่อ ก็ได้แต่ดูๆไป อย่างนั้นเอง แต่เขาออกไป ก็ต้องออกไป เพราะของๆเขา เขาตัดสินของเขา เขาจะไปจะมา ก็เรื่องของเขา ปัญญาของเขา สิทธิส่วนตนของเขาทั้งสิ้น ก็ได้แต่สมเพชเวทนา ได้แต่ไม่น่าเลย อยู่แค่นั้นแค่นั้นเอง ก็ต้องจบ แล้วอาตมาก็ไปเสียดายไม่ได้ ไปมัวใจเสียดาย เสียดายอยู่ ทุกข์ตายเลย เสียดายไม่ได้ ต้องปล่อย แล้วก็เออก็ไป บุญมันช่วยกันได้แค่นี้นะ มันสิ้นบุญแก่กันและกันก็แค่นี้ ถ้าไม่สิ้นบุญก็ วนเวียนมาอีกก็ดี ไม่วนเวียนมาอีก จะไปถูก อะไรคาบไปกินอีก ก็ไม่รู้ได้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่ทำงาน กับผู้ที่อยู่ ที่เหลือ คนเก่าที่อยู่ ก็ทำงานต่อกันไป ให้สูงขึ้น คนใหม่เข้ามาอีก ก็ช่วยกันต่อไปอีก ปริมาณก็มากขึ้น ทั้งคนเก่า คนใหม่ที่เหนียวแน่น ที่เชื่อ ไม่ได้เชื่ออาตมา บอกแล้วว่า เชื่อสิ่งที่ตนเองได้ ตนเองมี เป็นธรรมะอย่างพระพุทธเจ้าท่านยืนยัน เป็นจิตวิญญาณ ที่เราได้ล้าง ได้ลด แล้วเราก็ได้พึ่ง พุทธัง ธัมมัง สังฆัง เราพึ่งพระพุทธ เราพึ่งพระธรรม เราพึ่งพระสงฆ์ ที่จริงเราพึ่ง คำสอน

ศาสนาแปลรวมเอาอรรถะ เอาความหมายว่า เป็นคำสอน คำสอนเรามาแปลธรรมะว่า คำสอนอีก เอ้า! เราก็พึ่ง คำสอน คำสอนของใคร คำสอนของพระพุทธเจ้า คำสอนตามแนวของพระพุทธศาสนา คำสอนตามแนวของพุทธธรรม แล้วเราก็มาเรียนรู้ว่า เอ้าพุทธธรรมคำสอนท่านบอกว่า ให้เลิกละ อย่างนั้นอย่างนี้ เราก็มาพิสูจน์ พอพิสูจน์ แล้วเราก็เกิดการจิตตั้งขึ้น ทรงขึ้น ตอนนี้เป็นธรรมะ ที่เป็นเนื้อเลยตรงนี้ ตอนแรกเป็นธรรมะคำสอน เป็นโวหาร เป็นทฤษฎี เป็นหลักการ วิธีการ พอเอาหลักการ วิธีการนั้น มาประพฤติปฏิบัติเข้า ก็เกิดจริง มีจริง เรารู้เห็น เป็นตัวล้างกิเลสออกจากจิต เราเรียกว่าจิต เป็นอธิจิต พอจิตได้ถูกล้างกิเลสออก ก็เป็นอธิจิตขึ้น แล้วปัญญา ก็เห็นความจริง ของจิต เออ มันจาง มันคลายออกจริงนะ จนมันหลุด จนมันไม่มี เออกิเลสไม่มีแล้ว กิเลสหลุดพ้นแล้ว คุณก็ต้องเกิดปัญญา อธิปัญญาที่เห็นความจริงของเรื่องนี้เอง ของใครของมัน คุณก็เชื่อความจริงว่า เออดีนะ ล้างออกแล้ว มันเป็นอย่างนี้ หลุดไปมันเป็นอย่างนี้ อะไรหลุดคุณก็รู้ใจมัน หนึ่งวัตถุไม่ไปยุ่ง สองใจก็จางคลาย ไม่สัมพันธ์ สัมพันธ์ทางนอกได้ แต่ใจไม่ดูดไม่ซึมละ ใจไม่ติดจริงๆ คุณจะเข้าใจ ความหมายนี้ และคุณจะรู้ความจริง ว่าไม่ติดคืออะไร เอามันมาแปะไว้ที่ตัวเดี๋ยวนี้ มันก็ยังไม่ติดเลย แต่ใจนะไม่ติด ก็เอามันมาแปะไว้ที่ตัว มันก็ติดกายแล้ว แต่ใจไม่ติด ใจหลุดพ้น แม้จะอย่างนั้นก็จะพิสูจน์ได้

คุณจะรู้ได้ด้วยตัวคุณเองน่ะ จิตวิญญาณ ไม่ติดแล้ว จิตวิญญาณหลุดพ้นแล้ว เพราะฉะนั้น พิสูจน์ได้ เป็นคำสอน เป็นธรรมะคำสอน แล้วจนมาทรงไว้ซึ่งความจริงนั้น ตัวใดผู้มีธรรมะ อันเป็นทั้งคำสอน และเป็นทั้ง คุณได้พิสูจน์ คำสอนนั้น ถึงจุดสำเร็จ แม้เป็นเรื่องหนึ่งเรื่องเดียว คุณได้แล้ว คุณเป็น ผู้ดำเนินตามความหมาย ดำเนินตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า พิสูจน์แล้ว แล้วได้ธรรมะของ พระพุทธเจ้า คุณก็ได้เป็นสงฆ์สาวกของพระพุทธเจ้า

อาตมาอธิบาย พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ไปแล้ว แล้วตรงกันกับที่พระพุทธเจ้าท่านเป็น ท่านมี ท่านสอน และท่านได้ ได้อย่างนั้น แล้วก็เอามาบอกเรา เราก็เอามาบอกเรา เราก็เอามาพิสูจน์ เออจริงอย่างท่านว่า เพราะฉะนั้น เราจะละล้างจางคลายเสียได้ จิตว่างแล้วมันสบาย สบายอย่างไร ก็รู้ว่าความสบายโดยไม่ต้อง เสพย์สม ไม่ต้องวุ่นวาย ที่จะไปแสวงหา ต้องไปกอบไปโกย ต้องไปดึง ไปทิ้งมาอีก ไม่ต้องแล้ว เหลือพลังงานเต็มๆ ถ้ายิ่งเราไม่ติดอะไรๆ ได้มากขึ้นๆ เราก็ยิ่งมีพลังงานเหลือ จิตวิญญาณของเรา ก็ยิ่งสะอาดขึ้น ธาตุรู้ก็ยิ่งรู้มาก กำลังสูงขึ้น สามารถที่จะเอามาใช้งาน กำลังมีมากเอามาใช้งานสร้างสรร สร้างอะไร อย่างน้อยก็สร้าง อย่างพระพุทธเจ้าท่านสร้าง คือสร้างคำสอน สร้างคำสอนในภาษาพูดบอก ทุกวันนี้มันมีเทคนิค เขียน เรียบเรียง เอาออกไป เขียนเรียบเรียง ก็คนไม่ค่อยอยากอ่าน ลายมือไม่งาม เอ้า พิมพ์เป็นตัวพิมพ์ พิมพ์เป็นตัวพิมพ์ก็เสียเงิน เอ้าเสียเงินก็ทำ ทำอย่างไร จะทำได้ถูกๆ ผลิตให้ได้ดีๆ มีวิธีการ มีเทคนิค ผลิตดีๆ ช่วยกันทำ เอาแจกจ่ายออกไป เป็นคำสอน เราจึงผลิตคำสอน เป็นตัวหลัก คำสอนที่ใครพิสูจน์แล้ว คุณก็ได้พิสูจน์ด้วยร่วมด้วย ยิ่งเห็นของจริง ด้วยกันว่า โอ๊ยอันนี้ดี เราก็พิสูจน์ตรงกัน ของอาตมา ก็เป็นอย่างนี้ ของคุณมาดูก็เห็นด้วย ของคุณก็ได้พิสูจน์ เหมือนกัน มันก็ยิ่งเป็นปึกแผ่นหนาแน่น เป็นสิ่งเดียวกัน มันจะไปไหน ก็สนับสนุนสิ่งที่เราได้พิสูจน์ร่วมกัน เห็นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นตรงกัน

คำว่าอันหนึ่งอันเดียวกันนี่ มันก็สอดคล้องว่า จิตวิญญาณของคุณนั่นแหละเป็นตัวเห็น เป็นตัวรู้ เป็นตัวยืนยัน จิตวิญญาณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เราจึงพิสูจน์จิตวิญญาณ ที่เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันได้ ที่เขาบอกว่า เราเป็นพระบุตร เราเป็นคน เราก็มีจิตวิญญาณ เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับพระเจ้า ก็นี่แหละ พระเจ้าอยู่ตรงนี้ เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันแล้ว กับพระพุทธเจ้าท่านเป็น เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแล้วกับอาจารย์ ซึ่งเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกับพระพุทธเจ้า แล้วเราก็มาเป็น อันเดียว กับพระอาจารย์ เราก็เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน เห็นความเป็น อันหนึ่งอันเดียวกันที่จิตวิญญาณ โอ๊! เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มันเหมือนๆกัน เป็นอย่างหนึ่ง อย่างเดียวกันน่ะ ตรงกัน เหมือนๆกัน ถ้าเหมือนกันจริงแล้ว มันก็ไปด้วยกัน มาด้วยกัน ยิ่งกว่าเลือดสุพรรณเอ๋ย

ยิ่งกว่าเลือดสุพรรณเอ๋ยเลย ไปด้วยกันมาด้วยกัน แล้วก็ทำงานร่วมกัน สุขร่วมกัน เพราะว่าเราไม่ได้ไปสุข เพราะจะต้อง ไปวุ่นวายอะไรอื่น มีแต่ทำงานสร้างสรรประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่นสุข ส่วนตัวเราเองนั้น เราก็ยิ่งง่ายลงๆๆ กินก็ง่าย อยู่ก็ง่าย นอนก็ง่าย ไปก็ง่าย เกิดก็ง่าย ตายก็ง่ายล่ะทีนี้ จะตายก็ตายกันง่ายๆ ไม่กลัว ยิ่งไม่กลัว ก็ยิ่งแสดงธรรม สู่สัจจะได้ดี ถ้ายิ่งขี้กลัวแล้ว ไอ้นั่นก็ เดี๋ยวคนนั้นเขาจะไม่ชอบ เดี๋ยวคนนี้เขาไม่ให้สตางค์ เดี๋ยวคนนั้น เขาไม่มาให้เราสอน ไม่มาให้เราสอนดีซี ว่างๆ ดี แต่ก็มานะนี่ วิธีการที่เราอยากได้บริวารนี่ เป็นวิธีการกันแบบโลก ทำได้ง่าย วิธีการที่ไม่อยากได้บริวาร แต่บริวารมันก็ยังเข้ามาเยอะอยู่นั่นแหละนี่ แล้วก็อย่าให้มันมารุมล้อม อย่าให้มัน มาติดนี่ แหมมันเป็นวิธีการที่ซับซ้อน ยากกว่า ยากกว่าที่จะอยากได้บริวาร ถ้าจะล่อ ให้คนมาเป็นบริวาร ให้มาหลงนับถือ ห้อมล้อมมากมายนะ อาตมาเล่นปาหี่หน่อยเดียวละ ไม่ยากหรอก อาตมาเล่นไสยศาสตร์ก็เป็น เล่นทางวิทยาศาสตร์ก็ได้ มีหลาย trick หลายวิธี หลายเทคนิคด้วยละ อาตมาทำได้ ไม่ใช่คุยโม้นะ แต่ก็คุยไปแล้วนะ ไม่ใช่คุยโม้ แต่ที่จริงเป็นความจริง ที่อาตมาพูดไป แล้วนั่น แต่มันคุยตัว ไม่ใช่โม้ มีความจริง พูดมีความจริง แต่มันก็พูดมากขึ้น พูดใหญ่ขึ้นหน่อย พูดเรื่องมากขึ้น คนที่ไม่เคยรู้ว่า อาตมามีเบื้องหลังว่า อาตมาเคยเล่น ทางพวกนี้มานี่ ก็จะว่าอาตมา คุยโม้หน่อยๆ แต่ที่จริงไม่ใช่หรอก

อาตมาพูดความจริงสู่ฟัง อาตมาเคยเล่น เคยฝึก เคยทำมา คนชอบเพราะว่ามันลึกลับ มันไม่ค่อย รู้เรื่อง แล้วมันหลอกได้ เพราะฉะนั้น อาตมาจะเล่นวิธีหลอกๆ อำพราง เล่นปาหี่พวกนี้หน่อยนะ อาตมาเคยพูดเล่นๆนะ ถ้าอาตมาเล่นแบบนั้นน่ะ โอ้โห! ถนนพวกนี้นี่ รถรานี่ วันเสาร์ วันอาทิตย์ ให้มานี่นะ ขออภัย ต้องกล่าวชื่ออีก ที่เปรียบเทียบผู้อื่น ที่เขาบอกว่า ซอยสายลมน่ะ มีคนไปมากๆ แล้ว แหม รถยนต์แน่นเลยนะ พระอาจารย์ฤาษีนั่นน่ะ มีคนมากๆ อาตมาว่า อาตมาไม่กลัวหรอกจริงๆน่ะ ไม่กลัวนะ ถนนนี้ อาจจะลาดทองคำเลยก็ได้ แต่ก็พูดเล่น ไปอย่างนั้นนะ ไปลาดทองคำอย่างนี้ล่ะ มันไม่ต้องเหลือหรอก ไม่ต้องขนาดลาดทองคำเลย เออแปะไว้นิดเดียวนี่ จะข้ามคืนรึ ไม่ต้องข้าม ชั่วโมงหรอก ใครมันก็มาแกะเอาไป ก็เป็นโวหารน่ะ ทำได้น่ะ

แต่อาตมาไม่ต้องการ สิ่งเหล่านั้น คนจะน้อยก็ไม่ว่า ขอให้คนน้อยเหล่านี้เข้าหาแก่น เข้าหาเนื้อ แม้น้อยก็ไม่ว่าน่ะ เพราะฉะนั้น เข้ามาแล้วต้องเข้ามารู้จัก กาลเทศะ สัมมาคารวะ เข้ารู้จักเหตุ รู้จักผล พวกจะรู้จักว่าได้ไปเข้ารุมล้อม หรือไม่รุมล้อม อาตมามีกลวิธีนะ ในการที่จะเข้าหา อาตมาไม่ใช่ เป็นคนที่จะเข้าหาไม่ได้ เข้าหาได้ แต่พวกคุณจะรู้ว่า อาตมาไม่ได้เป็นคนที่ถือยศถือศักดิ์ เข้าหาไม่ได้ แหม ทำเป็นห่าง ทำเป็นเต๊ะ ทำเป็นอะไร อาตมาเชื่อนะว่า อาตมา ไม่ได้เป็นคนอย่างนั้น แม้อาจจะมีบ้างนะ อาตมาว่าอาจนะ ที่จริงอาจไม่มีเลยก็ได้ อาตมาว่าอาจจะมี บางคนนึกว่า อาตมานี่ แหม เป็นพระที่ไว้ยศไว้ศักดิ์ เข้าหาไม่ถึง เข้าไม่ได้ เพราะบางคนไม่ได้เข้าหาอาตมาเลย ไม่ได้เข้าถึงเลย อาจจะมีนะ อาตมาไม่รู้ นี่พูดเสี่ยงๆ ไปอย่างนั้นนะ แต่กลับกลายเป็นดูถูกก็ว่าได้ บางคนอาจ ไม่หรอกในที่นี้ อาจจะเข้าใจดี ทุกคนก็ได้ อาตมาเป็นคนเข้าถึงได้ เข้าหาได้ ไม่ได้มีเกียรติ มียศ มีศักดิ์อะไร เบ่งเบิ่งอะไรก็ไม่ แต่ว่าอาตมามีงานน่ะ ซึ่งหลายคนก็เข้าใจดี เพราะอาตมาพูดนี้ ไม่ใช่แก้ตัว เพราะฉะนั้น จึงขอเวลาน่ะ บางคน เกรงใจ อยากจะเข้ามาโอภาปราศรัย ถามไถ่ธรรมะ ไอ้โน่น ไอ้นี่ อาตมาก็เปิดโอกาสสำหรับบางคน ถ้าเห็นจำเป็น เรื่องนั้นเรื่องนี้ ใครก็ช่วยไม่ได้แล้ว จำเป็นอะไร เพราะว่าเรามี อาจารย์กันหลายชั้นหลายเชิง มีครูอยู่หลายระดับ ฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราเองเรานี่ จะศึกษาก็ไม่ต้องถึงอาตมาทีเดียวก็พอได้นะ ท่านเองท่านก็มีภูมิรู้ พอที่จะช่วยกัน ได้ก่อน อย่าอยากจะให้อาตมาช่วยคนเดียวนักเลย อาตมาช่วยคนเดียว ทีเดียว มันไม่ไหวหรอก ตายแน่ๆเลย ใครก็อาตมาคนเดียวนี่ มันตายแน่ แล้วมันไม่เป็นอนุกรม มันไม่เป็นระบบ มันไม่เป็นวิธีการยอด วิธีการยอดนี่ ต้องไล่เลียงกันเป็นระบบ มี อาจารย์น้อย อาจารย์ใหญ่อะไร ไล่เรียงแล้วก็ช่วยกันมา เป็นขั้นตอน ไล่เรียงมาแบบนี้ มันไปได้ไกล ได้นาน พออาจารย์ใหญ่ตาย อาจารย์น้อยก็ขึ้นเป็น อาจารย์ใหญ่แทนจริงๆ แล้วก็ไล่กันขึ้นมา ไม่มีจบ แล้วก็มีอาจารย์กลาง อาจารย์น้อยไล่กันขึ้นมา อย่างนี้ ถ้าอะไรก็อาจารย์ใหญ่ คนเดียว อาจารย์น้อยไม่ได้มีเลย ไม่ได้ฝึก ไม่ได้ปรือ ไม่สามารถ ช่วยอะไรใครได้ ดูถูกดูแคลนกัน ตกลงไม่มีอาจารย์ต่อรอง ไม่มีอาจารย์สืบทอด ศาสนาก็ด้วน พออาจารย์ใหญ่ตาย จบ

นี่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ระบบศาสนาพุทธ ระบบศาสนาพุทธนั้นมีการสืบทอด มีการไม่หวงแหนวิชา มีการที่จะ มีวิธีการ ช่วยเหลือกันให้ขึ้นมาเป็นอาจารย์รองๆ เพราะฉะนั้น อาตมาเปิดโอกาส ให้อาจารย์อื่นนี่ ช่วยทำงาน อาจารย์เหล่านั้น ก็มีหน้าที่ ได้ฝึกปรือ มีความชำนาญ รู้เหลี่ยม รู้มุม ฉลาดของตัวเอง อาตมาก็พยายาม ช่วยอาจารย์เหล่านั้น ให้ทำของตัวเองให้ดี เมื่อทำของตัวเอง ได้แล้ว แล้วก็ให้เอาของตัวเองออกมาพูด เมื่อมีมรรค มีผล ก็เอามรรค เอาผลของตัวเองออกมาพูด มันมีแต่มันไม่สาธยายนี่ มัน ชี้ ออก ไม่ออกนะคุณ มันมีอยู่นี่ละ เป็นอย่างไร แหมพูดไม่ถูก แล้วคนอื่น มันจะรู้ได้อย่างไรล่ะ รู้ไม่ได้ ไม่ง่ายนะ ของที่มันไม่มีตัวตน วิญญาณนี่ มันมีตัวตนหรือ แล้วจะไป หยิบพูด ให้คนรู้นี่ พระพุทธเจ้าถึงได้ยืนยัน เป็นพระบาลีว่า วิญญาณัง อนิทัสนัง อนันตัง สัพพโต ปภัง

อนิทัสนัง หมายความว่า มันไม่รู้ ไม่เห็นได้ง่ายๆ มันไม่สามารถที่จะแสดงทัศนะ แสดงให้คนเห็น คนรู้ได้ง่ายๆเลย อนิทัสนัง อนิทัสนะ ไม่ง่ายนะ ไม่ง่ายจริงๆ เพราะฉะนั้น แม้เราจะมีวิญญาณ บริสุทธิ์แล้ว เราจะมาหยิบ วิญญาณบริสุทธิ์นี่ พูดให้คุณรู้นี่นะ สื่อยากจะตายไป เพราะฉะนั้น ต้องหัดให้สื่อ หัดให้แสดง เมื่อหัดให้สื่อ หัดให้แสดง ก็จะมีความชำนาญ มีความรู้ ความสามารถ มากขึ้น

เดี๋ยวนี้ อาตมาก็กำลังสื่อวิญญาณ กำลังพูดถึงเรื่องวิญญาณ จิตวิญญาณนี่ กำลังพูดมาแต่ต้นนี่ พูดถึงเรื่อง จิตวิญญาณ แต่เป็นแบบของพุทธนะ ไม่ใช่จิตวิญญาณเป็น อัตภาพตัวตน เหมือนอย่าง ของศาสนาอื่น แล้วก็ไม่ไปเน้น เอานอกตัว นอกตนสำคัญ ต้องเอาที่นี่สำคัญ เราต้องเกิดปัญญา เสียก่อนว่า ที่ไหนจริงกว่ากัน อาตมาก็ยืนยัน ให้ฟังแล้ว ในแท่งหลอดทดลอง ในหลอดทดลอง แท่งทดลองตัวเรานี่ มีจิตวิญญาณบรรจุอยู่ในนี้ นี่จริงกว่า ของใครก็ของมัน จริงของแต่ละคน และพิสูจน์ของจริงนี่ตามฐานะ นักวิทยาศาสตร์ มันไม่จริงขณะนี้ ในตัวคุณก็มีเพราะว่า มันเป็น วิญญาณมอม มันเป็นวิญญาณเปื้อน มันเป็นวิญญาณกิเลสเข้าไปปนเป เลอะเยอะ มันก็เลย วิญญาณ ไม่สะอาด วิญญาณปนๆ เปๆ มีกิเลสผสม ก็พยายามเรียนรู้ที่มันสะอาด เวลาใดสะอาด ขนาด ขณะสะอาด มันเป็นธาตุรู้บริสุทธิ์ คืออะไร เพราะวิธีการให้มาพิสูจน์ทางแบบฤๅษี เราก็บอกว่า มานั่งกดข่มนะ กดๆ ให้กิเลสออก แล้วก็ทำเป็นน้ำใส แล้วก็มาดูนี่ ปราศจากนิวรณ์ เป็นฌาน บอกนี้ นี่แหละเป็นวิญญาณแท้ๆ วิญญาณไม่มีกิเลส เอ้า เราเรียนรู้อย่างนั้น เราก็เรียนบ้าง แต่ให้มันสะอาด จากสิ่งที่หยิบออกเลย

ไม่ใช่มานั่งกดข่ม เหมือนอย่าง นั่งฌานแบบฤาษี หยิบกิเลสนี่ออกพอรู้นี่ ลดละจางคลายกิเลสนี่ เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีกิเลส เอา เอาออกๆๆ รู้ว่าสะอาด อ๋อ! จิตสะอาด อันนี้ เป็นอย่างนี้ คุณยิ่งรู้ชัด ยิ่งกว่าไปนั่งกดข่ม แล้วไม่รู้ว่า กิเลสอะไรคืออะไร ไม่รู้เรื่องเลย ทำให้จิตมันใส ไม่มีกิเลสมากวน ไม่มีนิวรณ์มากวน ได้แบบวิธีหนึ่งเท่านั้น อย่างนั้นก็ไม่รู้ว่า กิเลสนั่น คืออะไรแท้ เพราะฉะนั้น จึงไม่รู้เหตุ ไม่รู้สมุทัย กิเลสเป็นเหตุ เป็นสมุทัย เพราะฉะนั้น เราจะมาเรียนรู้กิเลสชัด แล้วก็เอา กิเลสออกชัดๆ อ้อ! สะอาดจากกิเลสอันนี้แล้วจริง มันก็เป็นความสะอาดชัดเจน ที่คุณรู้เองของคุณ มันไม่เหมือนกันกับของฤาษีเท่าไร

ทีนี้ยิ่งทำไปเรื่อยๆ คุณก็ยิ่งเห็นความสะอาด อ้อ! หลายตัว คุณก็ยิ่งมีหลายตัวสะอาด หลายตัวสะอาด ตัวที่มัน ยังไม่สะอาด ก็เอาละ เราก็อ่านตัวความสะอาด แบ่งอ่าน แบ่งอ่านๆ พอได้แบ่งอ่าน พอมันสะอาด มันเหมือนกัน ทั้งนั้น มันก็ยิ่งรู้ความจริงว่า อ๋อ! จิตสะอาด หรือจิตวิญญาณแท้ๆ เป็นอย่างนี้เองนะ ที่มีกิเลสเป็นอย่างนี้ กิเลสหยาบๆ กิเลสกลางๆ กิเลสละเอียด เป็นอย่างนี้นา คุณก็ยิ่งฉลาดขึ้นทุกวัน ยิ่งพิสูจน์ไป ก็ยิ่งชัดแจ้ง ในความสะอาด ยิ่งเห็นเล่ห์เหลี่ยมของกิเลส นี่แหม เหลือเกินละ เหลือเกินละเขา กระบิด กระบวน ท่าที ยิ่งกว่า จอมกระบี่ ท่าทีนี่เหลือกิน เหลือใช้เลย กิเลสนี่มันยอดจริงๆนะ ยิ่งเราสูงขึ้น กิเลสมันยิ่งแสดงตัว ถึงรส กลเม็ด กลเหลี่ยมของมันนะ กิเลสนี่ มีกลเหลี่ยม กลเม็ดของมัน ไม่ใช่ใครหรอก มันก็เล่นกลเม็ด กลเหลี่ยมกับเรานั่นแหละ ไม่เล่น กับใครหรอก มันเล่นกับเรานี่แหละ โอ้โฮ! มันจะเห็นเชิงของมันเลยอู้ ฮู กว่าเราจะรู้ตัว ว่ามันเล่นตัว กับเรา มันเล่นงานกะเรา อื้อฮือ ยิ่งสูง ขึ้นสูง ก็ยิ่งต้องฉลาดสูง ที่จะรู้เท่าทันมัน แล้วอย่าไว้หน้ามัน นะคุณ ส่วนมากแล้วก็ แหม มันอยู่กับเรามานาน จะทิ้งมันก็เสียดาย จะฆ่ามันก็สงสารมัน นั่นเป็น ความโง่ ที่โง่ อาตมาก็เคยเห็นคนโง่ที่สุด มาแล้ว ถ้าคนที่สงสารกิเลสแล้ว โง่กว่าคนที่โง่ที่สุด อาตมาเคยเห็นมาแล้ว ถ้าคนที่สงสารกิเลสมันนะ ก็คือ คนที่โง่ที่สุด ที่อาตมาเห็นมากว่า คนที่โง่ที่สุด ที่อาตมาได้เห็นมา มันโง่ยิ่งกว่าคนนั้นนะ มันโง่จริงๆเลย เอ๊! ไปสงสารมันทำไมกิเลส ไม่ต้องไป สงสารมันนะ เพราะฉะนั้น จะฆ่าด้วยกลวิธี อิทธิวิธีใดๆ ฆ่ามันเลย สละมันออก สละ อย่าไปสงสารมัน

เราพยายามมาละกิเลสออก แม้ทีละน้อยๆ เราจะเห็นคุณของการไม่มีกิเลสขึ้นมาเรื่อยๆ อ๋อ ไม่มีกิเลสนี่ มันดีกว่าๆ เมื่อยิ่งมีมาก ก็ยิ่งมั่นใจ เพราะฉะนั้น การสลัดตัดขาด ก็ได้ไวขึ้นๆ มันก็จะซ้อน ที่จะเล่นเล่ห์ ไม่ให้เรารู้ตัว เพราะฉะนั้น คนที่มีฝีมือสูงขึ้น จึงสลัดขาดได้ง่ายขึ้น แต่ก็นั่นแหละ กิเลสมานะนี่ มันก็เป็นตัวร้ายกาจที่ซับซ้อนสูง เหลี่ยมสูง เหลือเกินน่ะ เพราะถือว่า มันได้ดี มันเป็นดี มันใหญ่ มันเบ่ง เป็นกิเลสชั้นที่เรียกว่า โอ้โฮ! ยิ่งสูง ยิ่งสูง มันซ้อนสูง ซ้อนใหญ่ มันก็ยิ่งกว่า ถ้าอย่างนี้แล้ว เอาไม่เอา นี่ ไว้แล้ว เราจะได้สูง จะได้ใหญ่เหรอ นี่เราไปลดตัว ลดตนเสียแล้ว ไม่ยอมแพ้เสียแล้ว ตายแพ้มันก็ไม่ใหญ่ซิ นี่มันซ้อน มันซับซ้อน เล่นงูกินหางอยู่อย่างนี้ ยิ่งผู้ใดบอกว่า เอาเถอะ ผู้ยิ่งทิ้งตัวใหญ่ ที่ทิ้งความใหญ่ได้ ยิ่งเล็กได้เท่าไร ผู้นั้นยิ่งใหญ่ที่สุด (ดูเหมือนจะถอดออกจาก นั่นแล้วกระมัง) ผู้ใดยิ่งเล็กได้เท่าไร ผู้นั้นล่ะยิ่งใหญ่ที่สุด ใครพิสูจน์ได้ คุณจะเห็นว่า คำ คำพูดนี้ โวหารนี้หรือว่า สุภาษิตนี้จริงนะ สุภาษิตนี้จริง เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณนี่ ยิ่งเหลือร้ายเลย

นี่อาตมาอธิบายหยาบ อบายมุขตัวเล็ก ตัวน้อยมา แล้วก็ไล่พรวดพราดขึ้นมา ตัวถึงมานะแล้ว ตัวถึงมานะ ตัวเล่นเล่ห์ เล่นเหลี่ยม ตัวถือตัว ถือตนใหญ่โตขึ้นมาแล้ว ฟังให้ทันนะ ตามให้ทัน จิตวิญญาณ มีหลายหลากจิตวิญญาณ แล้วเรามาเรียนตัวจริงๆเลยว่า เมื่อมันหมดกิเลสจริงๆ เราถึงจะรู้ว่า ความบริสุทธิ์สูงสุด เป็นอย่างนี้ จิตวิญญาณที่มี จิตวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว มันสบายอย่างนี้ แล้วมันมีคุณค่าอย่างนี้ มันทำงาน ทำการได้อย่างนี้ มันเสียสละได้อย่างนี้นะ มันไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เห็นแก่ตนจริงๆ แล้วมันเสียสละจริงๆ แล้วมันช่วยเหลือเฟือฟาย เกื้อกูล มีความขวนขวาย มีความขยันหมั่นเพียร มีความ เอาละ อภัยได้คนนั้น คนนี้ แล้วก็รู้ตัวตน บุคคล ผู้อื่น เราก็ไม่ถือสา เราก็สามารถอ่อนน้อมถ่อมตน หรือว่าเขาจะดูถูก ดูแคลน เขาจะว่า จะกล่าวอะไร ถ้าเราจะทำอยู่เป็นความถูกต้องที่ดีเราก็ทำไป คนอื่นเขาจะดูถูก ดูแคลนอย่างไรก็ดูไป เขาดูถูกน่ะ เป็นสำนวนภาษาไทยนะ มันเป็นความกลับกัน เขาดูถูกนั่น เขายิ่งดูไม่ถูก รู้หรือเปล่า เขามาดูถูกเรานั่นแหละ ถ้าเรามี เป็นปัญญาอย่างชัดแจ้งเป็นปราชญ์แล้ว เราจะเห็นเลยว่า อ๋อ คนนี้เขามาดูถูกเราน่ะ แล้วเราก็วางใจได้ เพราะเราเห็นความจริงว่า เขาดูไม่ถูกหรอก เขาดูผิดไป

ฟังให้ดี อย่าเมานะ ฟังธรรมะอาตมา เขามาดูแล้ว เขานึกว่าเรานี้ไม่ดี เรามันผิด แล้วเขาก็มาว่าเราผิด ที่จริงเราไม่ผิด เขาดูเราไม่ถูกนะ แต่สำนวนไทยเราบอกว่า เขาดูถูกฉัน แต่เขาไม่ดูถูก เมื่อเราเห็นว่า เขาดูไม่ถูก เราก็สบายใจแล้ว เพราะความจริงไม่ได้ผิด เขาดูเราไม่ถูก เขาก็ปล่อยวางได้ เราก็สบาย แล้วนะ แต่คนนั้น แหม ยังมีตัวตน ยังมีมานะอยู่ ก็เราดูถูกแท้ๆ ก็เคยบอกแล้วว่า ถ้าเราถูกแล้ว เราจะไปโกรธเขาทำไม มันผิดอยู่ที่เขา เราไม่ได้เป็นคนผิดนะ เขาโง่ เขาดูเราไม่ถูก ความจริงนะ เขาดูไม่ถูกนะ เรามีความถูกแล้ว เราจะไปเดือดร้อนทำไม จะไปโกรธ ไปเคือง ไปถือโน่น ถือนี่ โง่ตาย ทุกข์เปล่าๆ ก็ความโกรธ ความเคือง ความถือสาอะไร มันทุกข์ทั้งนั้น เขาดูถูกเราก็แปลแล้ว เขาดูไม่ถูก ก็เมื่อเขาดูไม่ถูก เราเห็นจริงแล้ว เราก็ยิ้มสบายมี ๓๒ ซี่ ก็ยิ้มทั้ง ๓๒ ซี่ก็ได้ แต่อาตมายิ้มไม่ถึง เพราะถูกถอนไปหลายซี่แล้ว น่ะยิ้มสบาย แต่อย่าไปยิ้ม ยั่วยวนเขามากนะ เดี๋ยวเขาก็ยิ่งโกรธเอา ก็ยิ้ม ธรรมดาพอสมควร ยิ้มก็ยิ้ม ไม่ยิ้มก็เฉยๆ เขาจะมาดูถูกอย่างไร ก็บอกแล้วว่า มันไม่ถูก ก็เฉยๆ เสีย ถ้าเรารู้ความจริง นอกจากคนไม่รู้ความจริงเท่านั้น นอกจากไม่รู้ความจริงแล้ว หรือแม้รู้ความจริงแล้ว ยังถือตัว ก็ไปถือทำไม เพราะฉะนั้น คนที่ทิ้งตัวทิ้งตน ทิ้งความถือตัวไม่ได้ ก็จึงยังฮึดฮัดๆอยู่ แล้วใครทุกข์ สมน้ำหน้า คนนั้นล่ะทุกข์ ไปฮึดฮัดๆอยู่ทำไม ไปยึดตัว ยึดตนไว้ทำไม โง่ตาย

พระพุทธเจ้าท่านสอน ทิ้งตัว ทิ้งตน ยังไม่รู้ก็ฮึดฮัดๆ ไปฮึดฮัดทำไมน่ะ เพราะฉะนั้น แม้แต่เชิงว่า เราถูกอยู่แล้ว เราดีอยู่แล้ว ก็สบายๆ ปล่อยสบายก็ได้ แล้วยังไปฮึดฮัด เขาทำ ก็เรื่องของเขาทำ ไปจับมา ไปยึดมา ไปวุ่นวายทำไม ก็รู้ว่าเขาทำ แหม คนนี้ไปทำเป็นดูถูกเชิงนั้น เชิงนี้ ดูถูกเชิงหยาบๆ เสียด้วยนะ แหม ยิ่งเห็นชัดเลยว่า คนนี้หยาบ แล้วดูถูกเราหยาบๆ คายๆ ด้วยคนนี้หยาบ ก็เห็น ความหยาบของเขา เขาเปิดเผยความจริงของเขาด้วย ยิ่งเห็นชัด เราไม่เห็นจะต้อง ไปมัวหมองอะไร ถ้าเราผิดแล้วอย่าพูด เขาดูถูกแล้ว ดูถูกด้วยทีนี้ เขาบอกว่า คุณน่ะเลวอย่างนี้ แล้วก็ถูกของเขา เสียด้วยนะ ต้องยิ้มแหยๆเอาไว้ หรือไม่ ต้องกราบเขา แหะๆ ถูกแล้ว คุณดูอย่างนี้ชัดแล้ว ฉันชั่วจริง ฉันผิดจริง เขาดูถูก ถูก ตอนนี้ไม่ใช่เขาดูถูกหรือผิดนะ เขาดูถูก ถูก

ถ้าเขาดูถูกแล้ว แล้วมันถูกจริงๆตามเขาว่าแล้ว ไม่มีสิทธิ์โกรธ ใครโกรธ โง่ที่สุด มีอย่างที่ไหน ตัวเองผิดแล้ว ไม่ให้คนอื่นเขาพูด ไม่ให้คนอื่นเขาว่า ถือตัวอีกแหละ ถือไปได้อย่างไร ตัวเองผิดนะ ไปถือตัวได้หรือ ฟังให้ดีนะ ทั้งแง่ที่ถูกแล้วก็ถือตัว มันก็โง่ นั่นนะคือมานะ ทั้งแง่ผิด แล้วยังแถม มาถือตัว ฮื้อ! มันก็น่าจะ.. ในเทป ไม่เห็นว่า อาตมาทำอะไร แต่นี่กำลังฟังธรรม นี่เห็นอาตมา แสดงลีลา อาตมากำลังยกมะเหงกขึ้นมาทำ อย่างนี้ ทำฮื่อนี่ คือทำ ยกมะเหงก เขกให้เท่านั้นเอง ตัวเองผิดแท้ๆ ไม่เจียมตัว ถือตัวได้หรือ ตัวผิด ถือไม่ได้ ตัวผิดต้องให้เขาว่า ตัวผิดต้องให้เขากำราบ เขาสอน ตีหน้าแหยๆไว้ ขอบคุณเขา ขอบคุณ ที่เขาชี้ขุมทรัพย์ ที่เขาบอกความผิดให้เรา ขอบคุณเขา แม้เขาจะบอกแรง บอกหยาบก็ตาม คนนี้เขามีจริตอย่างนี้ล่ะ เขาบอกแรง เขาบอกหยาบ

อย่างพระโพธิรักษ์นี่ บอกแรง บอกหยาบเหมือนกัน แต่อาตมามีลีลานะ แม้บอกเบาๆ แม้บอกเชิงนั้น เชิงนี้ อาตมาว่า อาตมา มีพอนะ กาละสมควร จะบอกหยาบๆ อาตมาก็บอกหยาบ กาละสมควร บอกละเอียด อาตมาก็บอกละเอียด อาตมารู้กาละ อาตมาว่าอย่างนั้นนะ แต่ว่าใครจะเชื่อไม่เชื่อ ก็แล้วแต่ บอกแล้วว่าสิทธิการเชื่อของแต่ละบุคคลนะ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีความผิดอยู่ในตัว เขามา ดูถูกเรา ถูกเหลือเกินอย่าไป act ให้เขาดูถูกไว้ แล้วเราก็แก้ไขปรับปรุง บอกมาหน่อยซิ มันถูกแล้วละ จะแก้ไขอย่างไร ช่วยหน่อยซิ บอกเขาไปเลย เขาก็จะได้สงสาร ไปทำ act ถือตัว ดูถูก อย่างนั้น อย่างโน้น อย่างนี้ เรานะ เขาดูถูกอยู่แล้ว เราจะไปทำอย่างนี้นะ ไม่ได้เรื่องหรอก แบบนี้ไม่เจริญนะ ไม่เจริญจริงๆ

นี่มันเป็นเรื่องของจิตวิญญาณทั้งนั้น จิตวิญญาณนี่ ถือตัว ถือตน แบบใน แง่เชิงแม้แค่นี้นะ ถือตัว ถือตน ไม่เข้าเรื่อง เราถูกจริง ก็อย่าถือตัวถือตน เราผิดจริงแล้ว ยิ่งอย่านะ ประเดี๋ยวก็เจอละนี่ ผิดจริงๆแล้วยังจะมานั่ง act เดี๋ยวก็ให้ตรงนี้ อย่างนี้เลยเท่านั้นเอง ไม่ได้เรื่องอะไร เราผิดแล้วต้องยอม เพราะฉะนั้น ในลักษณะ อาตมาเคยพูด ในเรื่องของจิต นี่มันไม่ดี มันทุกข์ มันอับเฉาด้วยลักษณะ การโกรธ โกรธเคือง ถือสา อึดอัด ขัดเคือง พวกนี้ ลักษณะของ โทสโคตรทั้งสิ้น การโกรธ โกโธ ทุมเมธโคจโร การโกรธ มีอารมณ์โกรธ มีอารมณ์ขัดเคือง มีอารมณ์ อึดอัด มีอารมณ์ไม่ชอบใจ โดยแง่ใดๆ ทั้งสิ้น เป็นคนปัญญาทรามทั้งนั้น ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส บทนี้นะ อาตมา เอาไว้นี่ เขาก็เอาออกไปแล้วทางโน้น เขาก็เขียนใหม่ดี นั่นนะ ยังติดต้นไม้อยู่นั่นนะ โกโธ ทุมเมธโคจโร ความโกรธ เป็นอารมณ์ของผู้มีปัญญาทราม ผู้มีปัญญาทรามนี่ ร้ายกาจกว่าโง่นะ คนโง่ก็ยังพอทำเนา มันมีปัญญาทรามนี่ เจ็บแสบยิ่งกว่าโง่อีก ฟังดูไพเราะ ฟังดูคำ งามๆ มีคำว่าปัญญากลั้วๆ เกลี้ยงๆ งามๆ ว่าปัญญา แต่พอไปดูตัวทรามซิ ตัวทราม กับตัวโง่นี่ ตายละหว่า ตัวทรามกับตัวโง่นี่ ตัวทราม มันน่ากลัว น่าเกลียด มันต่ำกว่า โง่อีกนะ มันตัวโง่นี่ มันโอ้โฮ! มันต่ำกว่า ต่ำทราม โง่มันยังไม่เท่าทราม อะไรอย่างนี้ เพราะฉะนั้น คนโกรธนี่ มีอารมณ์โกรธ ด้วยประการ ทั้งปวง ถ้าคุณรู้สัจธรรมแล้ว คุณจะเห็นจริงเลย

อาตมาซาบซึ้ง อาตมาเห็นจริงๆ ในความนี้ จึงมาขยายสู่คุณฟังได้ถูก ทั้งๆที่บทนี้เขามีมานานแล้ว คำสอนนี้ เขาก็แปลกัน มานานแล้ว เขาก็มีกันมานาน สอนกันมานานแล้ว อาตมาก็เอามาขยาย วิเคราะห์ วิจัย ชี้ให้ชัด ให้คุณเห็น เพราะฉะนั้น คุณเห็นจริง คุณก็ไปดูซิ โอ้! อารมณ์ โกรธนี่ทุกประตู ไม่ควรทำให้แก่ตน อารมณ์เศร้าหมอง อารมณ์อึดอัด ขัดเคือง อารมณ์ปฏิฆะ ไม่ควรทำให้แก่ตนทั้งสิ้น ผู้ใดพิสูจน์ ลองดูซิ ถ้าใจเราไม่มีอารมณ์โกรธเลย แม้จะเป็นอย่างไร เมื่อไร เราก็ไม่มีอารมณ์โกรธเลย ในประเด็นเรื่องไม่โกรธอย่างเดียวนี่ คุณสุขอยู่เสมอเลย สุข สุขฉะนี้นี่หรือจะลืม จริงๆเลย อาการที่ ไม่มีความโกรธนี่ มันเป็นความสุข อาการที่มีความโกรธ เป็นความทุกข์ ใครเถียงๆ มา เถียงมาซิ มันจริงที่สุด พิสูจน์เลย ท้าให้ไปพิสูจน์ คุณไม่มีอารมณ์โกรธ แม้แต่ความอึดอัดขัดเคือง แม้แต่ ความปฏิฆะ แม้แต่ความมีอาการในโทสโคตรอย่างอ่อน อย่างบาง อย่างกลาง อย่างละเอียดขนาดไหน ก็แล้วแต่ ถ้าคุณไม่มีอยู่ตลอดเลย ยิ่งหยาบ ยิ่งเห็นชัด แหม โกรธ เป็นฟืน เป็นไฟอย่างนี้ โอ้โห! ร้อนที่สุดเลย ขนาดมันโกรธเล็ก โกรธน้อยนี่ มันก็ไม่สบาย มันก็ทุกข์ ทุกข์น้อยเห็นยากก็ตาม ใครมีปัญญาจริง จะเห็นจริงว่า มันไม่ดี มันทุกข์ อาตมาเห็นจริงนะ อาตมานำมาพูดนี่

อาตมาว่า ที่อาตมาซาบซึ้งสัจธรรมอันนี้แล้วว่า อย่าไปมีโกรธเลย ไปมีแม้แต่เคือง แม้แต่ความ ไม่ชอบใจ แม้แต่ความไปอึดอัด อะไรเอาไว้ คนทำดี ทำชั่วก็มีอยู่ในโลกเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น อย่าไปถือสาๆ ถือสามาทำอะไร รู้เขา ช่วยเขาได้ก็ช่วย ช่วยเขาไม่ได้ก็วางเสีย เพราะฉะนั้น อาตมา ก็คัดแต่คนช่วยได้ คนช่วยไม่ได้ ก็แล้วไป เลิกกัน เขาไม่เอาก็ไม่เอา เขาเอาก็เอา เท่านั้นจริงๆเลย เพราะฉะนั้น อาตมา เน้น ตัวโกรธ ให้คุณฟังนี่ อยากให้คุณ เป็นคนเบิกบาน ร่าเริง ไม่ต้องไปหน้านิ่ว คิ้วขมวด ไม่ต้องอึด เอ๊! ทำไมก็เบิกบาน ร่าเริง พุทธะจึงแปลว่า เป็นผู้ รู้ เป็นผู้ตื่น เป็นผู้เบิกบานร่าเริง เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ยังมีเศษส่วนของตัว ที่ยังมีตัวหน้านิ่ว คิ้วขมวดจัด ยังไม่ใช่ พุทธะหรอกน่ะนั่นน่ะ ยังไม่ใช่พุทธะนะน่ะ มันมีอะไรแทะไม่รู้ ไม่ใช่พุทธะ ไม่ใช่พุทธะ มันมีอะไรแทะๆอยู่ เขาเรียกว่า ไม่ใช่พุทธะด้วย ไม่อยากจะใช้คำว่าพุทธ ให้จะบอกว่าพุทธแทะก็ไม่ได้นะ อะไรมาแทะก็ไม่รู้นะ ไม่เข้าเรื่องนะ เพราะฉะนั้น รู้ให้จริง ฟังให้จริง แล้วเห็นให้จริง แล้วคุณไปอบรมตนแล้วทำอย่างนั้น แล้วไปพิสูจน์อ่านซิ ๆ ไม่จริง มาๆ มาฆ่าอาตมา ถ้าไม่จริงแล้วมาฆ่าในทีหลัง มาฆ่าได้เลย ถ้าไม่มี อารมณ์โกรธแล้วนี่ มันสุขจริงๆ ไปพิสูจน์ มาให้ถึงที่ วิญญาณที่สะอาดจากโทสะแง่เดียวนี่ ก็แสนสุข แสนวิเศษแล้ว ส่วนในแง่โลภะ หรือในแง่ที่ยังมีตัว ที่ยังปรารถนาหรือต้องการ

พระโพธิสัตว์มีความต้องการที่จะสร้างสรรให้แก่ผู้อื่น เอาเถอะ ตัวนี้มันเป็นวิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการ ชั้นสูง วันนี้ไม่อธิบาย ต้องไปอ่านคนคืออะไรบ้าง ซึ่งลึกซึ้ง อันนี้ลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนาด้วยวิภวตัณหา อาตมาพูดอย่างนี้ คุณเอ๊ย มาดูถูกพระพุทธเจ้าฉัน พระพุทธเจ้าฉันไม่มีตัณหานะ ตกลงอาตมาไม่เถียงด้วยหรอก คุณคนนั้นนะ อาตมาเข้าใจที่เขาพูด อาตมารู้ว่า พระพุทธเจ้าท่านไม่มีตัณหา แต่ท่านมีวิภวตัณหา มีอุดมการณ์ ปรารถนาดีต่อโลก แล้วท่านจะสร้างศาสนาให้แก่โลก ท่านต้องการ ให้โลกนี้มีศาสนาหยั่งลงในมนุษยชาติ ตั้งพุทธบริษัท ๔ สำเร็จ แล้วพุทธบริษัท ๔ จะต้องเป็นคนที่มีพหูสูต เป็นคนที่รู้มาก ท่องจำได้มาก เข้าใจขึ้นใจ มีทรงธรรมอะไรต่างๆ สามารถที่จะสาธยาย ทำให้คนอื่นเข้าใจรู้แจ้ง ด้วยตามสามารถที่จะนำ ศาสนานี้ไปได้ ให้ครบ พุทธบริษัท ๔ เสียก่อน เราจึงปรินิพพาน มาร ไป อ่านบทนี้ แล้วเราจึง จะปรินิพพาน มาร ท่านยึดนะ ท่านยึดเอาอุดมการณ์อันนี้ เอามาสร้างสรร จนสำเร็จ ท่านมีฝีมือ ท่านเชื่อมือ ท่านทำได้ แต่อย่างอาตมายังไม่เชื่อมือ ยังสร้างศาสนาไม่ได้ ยังไม่เอา เดี๋ยวจะบ้า อาตมาก็ไม่โง่ อาตมาก็ไม่หลงตน แต่พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่หลงตน ท่านทำได้ ท่านจึงทำ แต่อาตมา ยังไม่ถึงขั้น อาตมาก็ทำหน้าที่โพธิสัตว์ แค่สอนพวกคุณได้แค่นี้แค่นี้ ตามทางของ พระพุทธเจ้า แม้แต่คุณไม่เอานะ สบายมาก คุณไม่เอาก็แล้วไป ไม่ง้อ ใครเอาก็มาเอา อย่างนี้นะ

อาตมา ไม่จะต้องเอาให้คุณ จนกระทั่งกลายเป็น อะไรต่ออะไร อย่างที่พระพุทธเจ้าท่าน ตั้งจิต ปรารถนาอย่างนั้นนะ อาตมาทำไม่ได้ อาตมาจะทำได้สูงสุด เท่าที่อาตมา จะพิสูจน์ฝีมือ แต่โดย อุดมการณ์ ก็คล้ายกันว่า เออ ถ้าทำ ให้คุณรู้จริง เป็นพหูสูต แล้วให้คุณสามารถ ที่จะตัดกิเลส ของตัวเอง สามารถสอนคนอื่นได้ ทำให้คนอื่นเข้าใจ เป็นคนเกื้อกูลคนอื่นได้อีก เป็นอาจารย์ที่ จะต่อทอด สืบทอดเป็นอนุกรม เป็นลูกโซ่ ที่จะมีทายาทสืบต่อไปอีกได้ อาตมาก็มีความหมาย อันเดียวกันกับพระพุทธเจ้า แต่อาตมา ไม่อวดดี ไม่ท้าทายเก่งเท่าพระพุทธเจ้าแน่นอน

พระพุทธเจ้าท่านบอก ท่านสามารถสอนคนเป็นสารถี สอนบุคคล ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า สาธุ พระพุทธเจ้า ทำได้ อาตมายังทำไม่ถึงจริงๆ แต่อาตมาก็พยายาม และอาตมาก็เห็นอยู่ว่า มี ได้มาเหมือนกันใช่ไหม นี่ มีคนทำได้ขึ้นมา สอนคนอื่นได้แทนนะ รับสืบทอดความรู้พวกนี้ เผยแพร่ต่อไปได้พอสมควร อาตมา ก็เห็นอยู่ มีอยู่ก็เอาละ ก็พอเป็น พอไป แต่ก็พยายาม ที่จะให้ดีขึ้น ก็มีวิภวตัณหา มีตัวปรารถนาดี ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ความหมายของมันชัดๆ มีเงื่อนไขบอกว่า เราทำนี่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แม้แต่ทำแล้วดีใจ โอ้โห! เราสอนคนได้ดีแล้วนะ คนได้ดีแล้ว ก็มายกย่อง เชิดชูเรา คุณยังหลงดีใจด้วยหรือเปล่า เป็นกิเลส เป็นอุปกิเลสรู้ตัวเองแล้วอย่ามี เราทำเพื่อความบริสุทธิ์ เป็นจิตวิญญาณ ที่บริสุทธิ์ ทำให้ความดีนี้ ยังต่อทอดไว้ในโลกให้ยาวนาน ความดีนี้จะต้องต่อทอด ไว้ที่จิตวิญญาณมนุษย์ ไม่ใช่ไปสร้างวิญญาณใหญ่อยู่ วิเศษที่ไหนไม่ใช่ ที่มนุษย์ มนุษย์นี่แหละ ก็จะพิสูจน์ต่อไป เมื่อไรๆ ยังมีมนุษย์พิสูจน์อยู่ เมื่อนั้นก็ยังมีศาสนาอยู่ ศาสนาระบบของพุทธะ ถ้ามนุษย์ไม่มีแล้ว ต่อทอดไม่ได้ ไม่มีวิญญาณสะอาดจริง มีแต่คนขี้โกง มีแต่วิญญาณปลอมแปลง มอมเมาในคนนี่แหละ ขณะนั้น ศาสนาพุทธไม่มี ไม่นิรันดร์

ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาเที่ยงนิรันดร์ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณไม่นิรันดร์ จิตวิญญาณ ขณะนี้อยู่ที่ไหน อยู่ที่คน พอดูแล้วโอ้โห! คนพวกนี้กลียุค มีแต่ผีทั้งนั้นเลย ไม่มีพระเลย แล้วจะบอกว่า พุทธมี เสียชื่อพุทธหมด วิญญาณมีแต่ผีทั้งนั้นเลย พุทธอยู่ที่ไหน ไม่มีพุทธ เพราะฉะนั้นขณะนี้ไม่มี ศาสนาพุทธไม่มี ศาสนาพุทธไม่นิรันดร์ ไม่นิรันดร์ อย่างนี้เป็นต้น ศาสนาพุทธจะมีที่จิตวิญญาณได้ว่า มีพระมีคนเดียว แหม ศาสนาพุทธมีอยู่คนเดียวเอง มีสองคน เออมีศาสนาพุทธอยู่สอง มีร้อยหนึ่ง เออมีศาสนาพุทธอยู่ร้อย มีเนื้อวิญญาณบริสุทธิ์จริงหรือไม่ พิสูจน์ได้อยู่ในแท่งทดลอง อยู่ในหลอดทดลอง แต่ละบุคคลนี่ พิสูจน์ได้ ก็มีพุทธอยู่เท่านั้นๆ มีมากก็แสดงว่า พุทธนี่มีมาก

ขณะนี้อาตมานำพาทำกันไปนี่ เพื่อพิสูจน์ความจริง ให้คุณพิสูจน์วิญญาณ ทำวิญญาณของคุณ ให้บริสุทธิ์ ขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นพุทธะ ตามรูปรอยของศาสนาพุทธ ตามคำสอน ตามแบบอย่าง ตาม มรรควิธี เมื่อทำได้มากๆ ศาสนาพุทธ ก็จะอยู่ในโลกนี้มาก คุณอยากให้มีมากไหมเล่า อยากมีมากไหม ไม่ต้องรอคำตอบ อาตมาขี้เกียจรอ รู้แล้วน่ะ ก็ต้องอยากให้มากน่ะแหละ ให้คนมีจิตวิญญาณ บริสุทธิ์สบายตัว สังคมก็สบายด้วย มีวิญญาณไม่ขี้โลภ ไม่ขี้โกรธ ไม่ขี้โกง แต่ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร รู้ความพอเหมาะพอดี ไม่ทำลาย โลกนี้ก็จะอยู่ยืนนาน สังคมนี้ก็สงบ สันติสุข แหม ฟังเสียงนก ก็ไพเราะ นี่ฟังเสียงนกก็ เดี๋ยวยิงทิ้งเสียเลยนี่ คนยิ่งกำลังโกรธๆนะ นี่มันก็อยู่กันไม่สบายซิ นกมันก็ร้องของมัน แล้วเราจะไปโกรธนกมัน มันไม่รู้อะไรด้วยเลยนะ เดี๋ยวไปเห็นน้ำตก แหม น้ำตกนี่ยวนจังเลย มาตกอยู่ได้ ทำลายน้ำตกเสียอีกแล้ว ไปเห็นต้นไม้ก็ แหม เดินไป มันขวางทาง ตัดมันหมดเลยต้นไม้อีก อะไรอีกแล้ว เห็นอะไรก็ขวางหู ขวางตาไปหมด พาลไปหมดเลย ถ้าโลกอย่างนี้ก็อยู่กันไม่รอด หรือแม้แต่ขี้โลภ เที่ยวได้ไปทำลาย ธรรมชาติไปหมด ก็อยู่กันไม่รอด ธรรมชาติมันต้องอยู่ด้วยกันน่ะ

ของเรามีสไลด์อยู่เรื่องหนึ่ง ของดร.กู้ศักดิ์นะ "อะไรคือความศิวิไลซ์ที่แท้" เป็นคำตอบของหัวหน้า อินเดียแดง ตอบประธานาธิบดีอเมริกัน ซึ่งเราไม่บอกว่า ประธานาธิบดีคนไหน ประธานาธิบดี อเมริกันคนหนึ่ง จะไปยื่น ข้อเสนอว่า ฉันจะริบ ฉันจะเอาแล้ว พื้นที่แผ่นดินนี้ เพราะว่า อเมริกันนี่ ไปรุกรานพวกพวกอินเดียแดงเดิมเขา ทีนี้หัวหน้าอินเดียแดงนี่ ก็ตอบมาด้วยปรัชญาเลยนั่นล่ะ ที่ดร.กู้ศักดิ์ แปลออกมาที่ในสไลด์เรื่องนี้ แกก็พูดออกมา ด้วยสัจจะเลยนะ โอโห! ฟังแล้วซาบซึ้ง ถ้าคุณเข้าใจ บอกว่า พวกคุณนี่ ถ้าเผื่อว่าอเมริกันรุกเข้ามาเมื่อไร ท้องน้ำ ก็จะเปลี่ยนไป ต้นไม้ ก็จะถูกตัด สัตว์ นกต่างๆ เป็นเพื่อนของเรา ก็จะถูกล่า ถูกฆ่า เราอยู่กับพวกนี้มา เป็นเพื่อนเรา นกก็เป็นเพื่อนเรา ท้องน้ำก็เป็นเพื่อนเรา ต้นไม้ก็เป็นเพื่อนเรา แต่พวกคุณมาอยู่ พวกคุณมีแต่ระราน ทำลายพวกนี้ หมดเลย พวกนี้เป็นพี่เรา น้องเรา สัตว์ ปู ปลา นกหนู เป็นพี่น้องเรา แกพูดอย่างนี้ แกบอกว่า พวกคุณนี่คือใคร คุณรู้ตัวหรือเปล่า แล้วจะมาทำเบียดเบียน คือพูดอย่าง คนแพ้น่ะ ถ้าเขาจะเอาจริง เขาก็มีฤทธิ์ มีอำนาจ มีอาวุธ มีอะไรทุกอย่าง เบียดเบียนได้ แกก็พูดอย่างคนที่บอกว่า ให้สำนึกในผู้ดี

แต่ไม่รู้ว่าประธานาธิบดีคนนั้น จะสำนึกแค่ไหน ซาบซึ้งมากนะ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น คนที่ไม่รู้จักธรรมชาติ อย่าได้ไปเที่ยวได้ทำลายระรานอะไรมาก สามารถที่จะอยู่ด้วยกัน เกื้อกูลกัน เอื้อเฟื้อกัน พอเป็น พอไป ไม่ถึงขนาดว่า ต้องโกรธ แหม เป็นคนที่ เห็นนกก็ว้า มาร้องอยู่ได้ เห็นต้นไม้ก็ ขวางทาง ตัด ระราน ไม่ต้องถึงขนาดนั้นก็ตาม แม้จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ก็ต้องรักษาดูแลธรรมชาติ ให้ธรรมชาติเหล่านี้ ได้อยู่ด้วยกัน พอสมเหมาะสมควร คนยิ่งเกิดมามาก ธรรมชาติ มันก็จะผลิตอะไร ออกมาให้เลี้ยงตน เพราะฉะนั้น จะยิ่งผลาญ มันมาก ถ้าเราอยู่ในระบบของพระพุทธเจ้าแล้ว แม้แต่การจะสร้างคนขึ้นมาในโลก เราก็มีระบบคุมกำเนิด เพราะฉะนั้น คนในศาสนาพุทธ สูงสุดแล้ว มีระบบคุมกำเนิดได้ โดยไม่ต้องไปคุมด้วยวิธีอื่น คุมกำเนิดด้วยตน มีจิตวิญญาณอันสามารถ ไม่ต้องไปหลงใหลในราคะนั้น ไม่ต้องสมสู่ เมื่อไม่สมสู่ เราจะควบคุมพลเมืองเท่าไรก็ได้ เราสามารถ ที่จะควบคุมอารมณ์ราคะของเราได้ว่า เราไม่ต้องสมสู่ก็ได้ เมื่อได้มาฝึกเรียนรู้แล้วได้ถึงขั้นนี้ทำไมล่ะ เราจะคุมคนไม่ได้ คุมพลโลกได้ เพราะฉะนั้น ความรู้ของพระพุทธเจ้านี่วิเศษ สามารถคุมพลโลกได้ เมื่อคุมพลโลกได้ ธรรมชาติหมุนเวียนขึ้นมาสมดุลกันได้ตลอด นิรันดร์กาล แต่นั่นได้แต่สูตรทฤษฎี เราไม่สามารถที่จะทำอย่างนั้นได้ เพราะซาตาน มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน ผีนี่ มันยิ่งใหญ่เหลือเกิน

ศาสนาพระพุทธเจ้า จึงไม่เหมือนกับศาสนาที่มีวิญญาณใหญ่ สามารถมีอำนาจ แล้วบอกว่าไปสร้าง สิ่งทั้งปวง แล้วผ่าสร้างซาตานทำไมล่ะพระเจ้า เสร็จแล้วไอ้ซาตาน มันมาเล่นงานพระเจ้าด้วย พระเจ้าสร้างคนๆ แรก คนคู่แรกมา ซาตานมาหลอกเอาไปเป็นบริวารฉิบ เสร็จซาตานอีกแล้ว พระเจ้าใหญ่ที่ไหน ซาตานใหญ่กว่าน่ะ อย่างนี้ เป็นต้น เรื่องเหล่านี้พูดไป ก็ประเดี๋ยวจะหาว่าไปว่า ข่มขู่คนอื่น แต่ไม่ใช่หรอก เราลึกซึ้ง และเราเห็น ความจริงพวกนี้ ก็พูดสู่กันฟังด้วยสัจจะ ไม่ได้เจตนา จะไปลบหลู่อะไร เพราะฉะนั้น เราจะเห็นว่า ศาสนาพระพุทธเจ้านี่ จับถึงเนื้อถึงตัว จับมั่นคั้นตาย สามารถที่จะพิสูจน์ได้ อย่างคามือ คาไม้เลย วิญญาณก็พิสูจน์ได้ที่นี่ สะอาดที่นี่ เป็นสุขที่สุดที่นี่ ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นี่ เพราะในตัวเรา เราฆ่าซาตานในตัวเราหมดได้ เรามีอำนาจ เรามีสิทธิ์ที่จะฆ่าซาตาน ในตัวของเรา เท่านั้น ส่วนซาตานของที่อื่น โดยหลักของพระพุทธเจ้า ไม่สามารถไปฆ่าให้คนอื่นได้ เพราะฉะนั้น ซาตานมันจะใหญ่หรือไม่ใหญ่ ก็เรื่องของมัน เราช่วยกันให้แต่ละคนรับผิดชอบ ฆ่าซาตานของตัว ฆ่าซาตานของตัว

ถ้าฆ่าซาตานในคนเหล่านี้หมดทุกคนในโลก ซาตานในโลกนี้ก็ไม่มี ใครไม่เชื่อยกมือขึ้น เพราะฉะนั้น วิญญาณ ที่บอกว่า วิญญาณซาตานนี้ไม่มี ในโลกนี้ไม่มี ถ้าเราสามารถ ที่จะให้คนทั้งโลกนี้ ฆ่าซาตาน ในตัวเองให้ตายหมดแล้ว วิญญาณซาตาน ในโลกนี้ไม่มี เอาไหม พิสูจน์ได้ เอาไหม ถ้าพิสูจน์ถึงๆ จริงๆ ด้วยเหตุผลนี่ ก็รู้กันอยู่แล้วในเหตุผล เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธจึงเอาของจริงพิสูจน์ ฆ่าซาตาน ของแต่ละบุคคล รับผิดชอบ ได้มากคนเท่าไร ไม่ต้องถึงกับ หมดทุกคน โลกก็สันติแล้ว ป่วยการ กล่าวไปไยถึงขนาด เป็นอุดมการณ์ว่า เมืองพระศรีอาริย์ ทุกคนไม่มีกิเลส เหมือนกันหมดเลย แน่นอน เมื่อนั้นไม่มีซาตานเลย ไม่มีผีในโลก ไม่มีกิเลส ไม่มี เพราะฉะนั้น วิญญาณผี จะไปอยู่ ที่ต้นไม้ อยู่ที่ ไอ้โน่น ไอ้นี่ ไม่มี แล้ววิญญาณอยู่ไหน อยู่ในคนทั้งนั้นล่ะ แล้ววิญญาณพระทั้งสิ้นเลย เพราะฉะนั้น อันนี้จะดับซาตานได้ในโลก แต่ทางศาสนาคริสต์ ไม่สามารถ ดับซาตานได้ ไม่มีเหตุผลพอ มีเหตุผลของพุทธนะฟังดีๆ

อาตมาก็คิดว่าได้สาธยายธรรมะตั้งแต่ต้นๆ ตื้นๆ วิญญาณตั้งแต่อบายมุข วิญญาณให้คุณพิสูจน์มา ล้างบริสุทธิ์ สะอาดมา ตั้งแต่วิญญาณของตัวเองที่มันไปติดไปยึด ไปเป็นทาสอบายมุข จนกระทั่ง ถึงกาม ถึงโลกธรรม จนสามารถ เห็นจริงเลยว่า วิญญาณปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้มา ก็อยู่กับโลกเขาได้ และสามารถที่จะอยู่อย่าง เป็นผู้ที่ใหญ่ โดยธรรม ไม่ใช่ว่าเราอยากใหญ่ อาตมาได้รับการดัง อาตมาพูดมา ผ่านมาในวันนี้เหมือนกันว่า มีคนว่า อาตมาอยากดัง อาตมาก็บอกแล้ว ว่าอาตมา ก็ไม่อยากใหญ่ อยากดัง อาตมาไม่ได้หลงสรรเสริญ อาตมาเอง อาตมาว่า อาตมาเอง อาตมาทำจริง คนมาสรรเสริญเยินยออาตมา เพราะอาตมาทำความดีเอง แล้วเขาก็สรรเสริญ ไม่ให้เยินยอ สรรเสริญความดี แล้วจะไปเยินยอสรรเสริญอะไร ถ้าอาตมามีความดีนี้จริง คนเขามายกย่อง เชิดชูบูชาเอง

เหมือนอย่างกับพวกเรายกย่องเชิดชูบูชา สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านไม่ได้มาง้อให้คุณ ไปเชิดชูท่านนะ แต่เรานับถือเชิดชูท่าน เพราะท่านมีของจริง ท่านมีความดีจริง ใช่ไหม อาตมานี่ ท่านบอกว่า อย่ามายกยอเชิดชูฉัน ท่านห้ามอาตมาไม่ได้ ถ้าพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า อย่ามาเชิดชูฉันน่ะ ไม่ต้อง ฉันไม่ต้องการ ไม่ต้องการก็ต้องเอา ก็ท่านมีความดีนี่จริงๆนะ ต้องเชิดชู ยกย่องท่าน มันเป็นจริงอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น อาตมาว่า คนอื่นจะมานิยม ยกย่อง เชิดชูอาตมา อาตมาไม่ได้อยากได้ เชื่อหรือเปล่า ไม่เชื่อช่างคุณ อาตมาไม่ได้อยากได้ แต่ถ้าอาตมา ทำความดีแล้ว คนจะมายกย่องเชิดชูความดีนั้น มันก็เป็นของความดี ถ้าความดีนั้นมันอยู่ที่ตัวอาตมา เอ้า! มันอยู่ที่ ตัวอาตมาหรือ ถ้าความดีนั้น มันมาอยู่ที่อาตมา เขาก็เลยมายกย่องเชิดชู ตัวนี้ ตัวที่มันมีความดีอยู่ที่นี่ ของใครก็ไม่รู้ ของใครก็ช่างหัวมัน มันพูดกันไปพูดกันมาแล้ว มันก็มาชาอยู่ที่ความจริง ข้อสำคัญ มันอยู่ที่ตัวเรานี่ เราหลงระเริงอยู่กับความดีอันนี้หรือเปล่า อันนั้นเป็นมานะ อันนั้นเป็นกิเลส ถ้าเราวางใจ ถ้าเราเห็นจริง เออ ก็ดี แล้ว เราอย่าไปหยิ่งผยอง จนกระทั่ง ถือยศ ถือศักดิ์ ถือเกียรติ ถือมานะ ถือตน ถือตัว จะคบค้าสมาคมก็ไม่ได้ คุณชั้นต่ำนะ ฉันชั้นสูงนะน่ะ คุณต้องพินอบพิเทานะ ไม่พินอบพิเทา ไม่ได้นะ มาเรียกฉัน ไม่เรียกคุณไม่ได้นะ จะต้องเรียกท่านนะ เรียกฉันต้องเรียกคุณ นี่อาตมาได้ยิน มีใครล่ะที่นี่เขาบอกว่า เขียนชื่อบอก เขียนชื่อ น.ส. นั่นแหละ เขาบอกว่า เอ๊! ทำไมไม่ได้ เขียน น.ส. ไม่ได้ต้องเป็นคุณซิคะ แค่นี้ก็เอา แหมไม่ได้เกียรติเลยเขียน น.ส. ต้องเขียนคุณซิ หึๆ มีคนเจอมาแล้วว่าอย่างนั้น เออ เท่านี้นะก็เอา

อย่างอาตมานี่ เขาเรียก เขาไม่ได้ยกย่องนับถือ เขาก็เรียกธรรมดาๆ เชิงเหยียดๆดูถูกดูแคลนนะ เขาไม่เรียกไอ้ ก็บุญแล้ว บางคนเขาบอก เอ้อไปเรียกท่านเฉยๆ ไปเรียกท่าน ไปเรียกโพธิรักษ์ๆ บางคนก็ถือสาบอกเอาเถอะ เขาไม่ค่อยจะยกย่องก็เรื่องของเขา เขาไม่เรียก ไอ้โพธิรักษ์ก็บุญแล้วนะ ดีไม่ดีถ้าเผื่อว่าเขาเกิดโกรธๆเคืองๆแรงๆมา เขาก็จะเรียกไอ้เข้าให้ทีนี้ คุณจะไม่ดิ้นหรือ ทำไมถึงได้ ถือนักถือหนา จะดิ้นเอานะ เพราะฉะนั้น ก็เอานะในโลกนี้ สมมุติเหล่านี้ ถ้าเราอยู่สบายๆแล้ว ไม่มีปัญหา อะไรนะ ใครจะยกย่องด้วยความจริง ก็ยกย่องเถิด ใครจะไม่ยกย่อง จะดูถูกด้วย ความจริงของเขา เราต้องเห็นใจ เขาบ้าง เพราะว่าเขาไม่ยกย่องเรา เพราะว่าเขาไม่รู้ความจริง มันเป็นความผิดของใคร เป็นความผิดของเรา ที่ไม่ทำให้เขา เกิดการรู้ความจริงขึ้นมาได้ อาตมาถือว่า อย่างนั้น เพราะฉะนั้น เขามีสิทธิ์ที่จะลบหลู่ดูถูกอาตมา เพราะอาตมา ไม่เก่ง ที่ไม่สามารถ ทำให้เขา รู้ความจริงนี้ไม่ได้ ใครที่อาตมาทำให้รู้ความจริงได้ คุณก็มาเข้าใจความจริง และคุณจะยกย่อง เชิดชูหรือเปล่า ก็ไม่ได้ไปบังคับคุณ มันเป็นเรื่อง common sense นี่ภาษาโบราณเขาเรียก common sense มันความสามัญสำนึก มันความรู้ รู้ธรรมดาพื้นๆ ไม่ต้องลึกซึ้ง ไม่ต้องยิ่งใหญ่อะไรหรอก คุณก็รู้อยู่แล้ว ความดีเราก็ต้องเชิดชู ยกย่อง ความดีนะ เราก็ต้องพูดดีๆ ระลึกถึง บุญคุณเขา เป็นสามัญสำนึก รู้กันทั่วโลกนะ เรื่องอย่างนี้ก็ไม่ต้องพูดกัน เพราะฉะนั้น เราจะยกย่องบูชา เชิดชู ความดีหรือไม่ ก็ไม่เป็นไร ขอให้คุณถึงความจริงว่า นี่ความดีจริงๆแล้ว คุณต้องยอมแน่นอน

แต่ถ้าเราทำให้เขาเห็นความดีจริงนี้ไม่ได้ เขาจะด่าเรา มันก็เป็นความจริงอีก อาตมาถึงยอมจำนน ให้เขาด่า ถูกแล้ว อาตมาไม่เก่งเอง ที่สามารถสาธยาย หรือชักความจริงนี้ ออกมาให้เขาเห็นไม่ได้ จะบอกว่า ก็เห็นไม่ได้ เพราะตาเขาบอด ก็ต้องทำให้เขาตาใสให้ได้ แน่ะ อย่างนั้นเสียด้วยนะ ถ้าเขาตามืด ตาบอดอยู่ คุณทำตาใสไม่ได้ คุณไม่เป็นอภินิหาร คุณไม่มีฤทธิ์ เราต้องมีอภินิหาร ทำให้เขาตาใสให้ได้ เห็นความจริงนี้ให้ได้ นี้เป็นหน้าที่ของ โพธิสัตว์ จนกว่าจะครบโพธิสัตว์ บรมโพธิสัตว์ใหญ่ ก็เป็นพุทธะใหญ่เลย เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ตอนนี้ อาตมายังไม่ได้เป็นนะ พูดไปพูดมา แล้วอย่าหลงผิดนะ น่ะ แต่วิเคราะห์วิจัยให้ฟัง ตั้งแต่คำว่าพุทธะ จนกระทั่งถึง สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเดินทางไปสู่อย่างนี้นะ นี่เป็นทิศทาง เรามาเรียนรู้พุทธะ เรามาเรียนรู้คำสอน แล้วก็เป็นสงฆ์ สาวกพระพุทธเจ้า ให้มีของจริงเรื่อยๆไป แล้วผลก็จะเจริญ งอกงามขึ้นมาสู่สายนี้

อาตมาก็ขอสรุปว่า เอาอาตมาเองว่า อาตมาไม่มีทางเลือก อาตมาเห็นว่าเกิดเป็นมนุษย์ อะไรไม่ดีเท่านี้อีก อาตมาสบายใจ อาตมาจน อาตมาไม่มีเงินสักบาท อาตมาไม่มีสมบัติ พัสถาน อะไรแล้วเดี๋ยวนี้ แต่อาตมาก็สบาย และอาตมาก็ทำงานได้นะ ทำจริงๆ ทำได้ มีวัตถุ มีอะไรต่ออะไร มีคนหนุนเนื่อง พอสมควรนะ

เอ้า! มีเรื่องจะพูดกันอีกเยอะนะ วันนี้ก็หมดเวลาลงแล้ว เกินเวลาไปด้วย เพราะฉะนั้น ก็ขอจบ การบรรยายธรรม ลงแต่เพียงเท่านี้

จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตปราณี ปึงเจริญ
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย สิกขมาตปราณี ปึงเจริญ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูล โดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มวัฒนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

077B.DOC