ผู้บริหารที่ดีควรทำอย่างไร
โดย พ่อท่าน สมณะพระโพธิรักษ์
แสดงแก่คณะแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขจังหวัดนครปฐม
ณ พุทธสถานปฐมอโศก
เมื่อ วันที่ ๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๐


เจริญธรรม ท่านนายแพทย์ทั้งหลาย

การมาคราวนี้อาตมาได้รับข่าว อาตมาอยู่สันติอโศก ก็พอดีจะมาธุระที่นี่ด้วย ก็พอดี กันเลย ที่จริงจะมาเมื่อวานนี้ ที่นี้พอได้รับทราบว่า พวกท่านทั้งหลาย จะมาในวันนี้กัน ก็เลยได้เลื่อนมาวันนี้ นี่อาตมาก็มาเมื่อเช้านี้เอง ติดธุระอยู่ทางสันติอโศกมากกว่า อยู่ทางนี้ก็มีงาน ที่จริงทางนี้มันก็มี วิ่งไปวิ่งมา นี้ว่าจะมางานนี้ก็เลย เอามาผนวกกัน เสียวันนี้ ก็พอได้รับข่าวก็ดี คิดว่าก็ได้พบกัน แทนที่จะเป็นเมื่อวาน อาตมาก็กลับไป เมื่อวาน ก็เลยคิดว่าวันนี้ก็น่าจะได้พบกัน ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า มีจุดมุ่งหมายอันได? แค่ไหน? อย่างไร? ที่มานี้มี ความประสงค์ คิดว่าจะมีอะไรเป็นประโยชน์ อาตมาก็ยัง นึกไม่ออก จะมาเอาอะไร? จะมาดูอะไร? จะมารับอะไร? หรือจะมาให้อะไร? ( เสียงหัวเราะ) ก็ไม่รู้เหมือนกัน

( เสียงแทรก) พวกกระผม จะมาขอธรรมะจากท่าน

จะมาขอธรรมะ เอ๊! ธรรมะนี่มันขอเอาไม่ได้หรอก ของใครทำเอาก็ทำได้ ของใครของมัน ธรรมะนี่เอายากนะ ยิ่งนายแพทย์ต่างๆนี่ อาตมาว่า เอายากมาก เพราะว่ามันมีเงินมีทอง คนมีเงินมีทองไม่ค่อยเอาธรรมะหรอก เพราะมีเงินมีทอง ก็อยู่กินไป บำเรอโลกียสุข ของเราเอง หมุนเวียนไป ธรรมะคือสิ่งที่ต้องล้างโลกียสุขออกจากชีวิต ธรรมะนี่ พระพุทธเจ้าล้างโลกียสุขจากชีวิตไป นั่นท่านมีธรรมะ ความเห็นแก่ตัว ความบำเรอ โลกียสุขนี่แหละ คือ กิเลส แล้วมันก็ต้องการมาเสพ แล้วมันก็เสพว่าสุข คือเสพ อยากได้เงิน ได้เงินว่าสุข อยากได้ยศ ติดยศก็ว่าสุข อยากได้โลกียสุขทางรูป ทางตา สวยสมใจก็ว่าสุข หูได้ยินเพราะ หูที่เราเองกำหนดว่า นี่เราชอบ เราก็ได้บำเรออันนั้นแก่เรา เราก็ว่าสุข ได้กลิ่น ได้รส ได้สัมผัสทางกาย ได้อะไรก็แล้วแต่ มาเสพบำเรอตัณหา หรือความต้องการ บำเรอ สนองตัณหาเรา เราว่านั่นคือชีวิตที่เราต้องการ เป็นชีวิต ของมนุษย์ปุถุชนธรรมดา ก็คิดแค่นี้แหละ และก็ทำกันอยู่แค่นี้ในโลก จริงๆ แล้วมันต้อง มารู้ว่า นี่แหละเราจะต้องเอาออก ต้องล้าง มันเป็นกิเลสจริงๆ แล้วก็ล้างเอาจริงๆเลย เอาจริงๆกับตัวเองเลย ล้างแล้วจับอาการกิเลสให้ได้เลย

เอาตั้งแต่หยาบๆใหญ่ๆ กินเหล้า สูบบุหรี่ ติดฝิ่น อะไรนี่มาก็ได้ ผู้หญิงนี่ฝิ่นผู้หญิงคือ เครื่องแต่งตัว เครื่องสวย นี่ฝิ่นของผู้หญิง ร้ายกว่าผู้ชายกินเหล้า เพราะเมาเนียน ผู้ชายกินเหล้าเมามาแล้วก็น่าเกลียด ผู้ชายเองก็รู้ว่าน่าเกลียด ผู้ชายเห็นเพื่อนเมา ก็น่าเกลียด ผู้หญิงเห็นผู้ชายเมาก็น่าเกลียด แต่ผู้หญิงแต่งตัวมาแล้ว ผู้ชายเห็นผู้หญิง แต่งตัว กามขึ้นไม่น่าเกลียดเลย มันซ้อนเนียนเห็นไหม มันซ้อนเนียน แต่เปลืองผลาญ เสียเวลา เสียเงินทอง เสียดุลการค้า เสียสุขภาพร่างกาย เสียอะไรเยอะแยะ เสียมาก รูขนดีๆก็ เอาอะไร ไปอุดเอาไว้หมดยังงี้ พูดกับแพทย์ก็ง่าย สบาย ก็ไปอุดมันไว้นี่ต่างๆ นานาสารพัด ยังมีธาตุเคมีด้วยอะไรต่างๆ พวกนี้เป็นต้น

พวกนี้เรารู้แล้ว เราเลิก สิ่งนี้ไม่ใช่สาระชีวิต และก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง นี่คือธรรมะ ง่ายๆตื้นๆ อาตมาถึงพยายาม เผยแพร่อยู่ทุกวันนี้ ก็อบายมุข การพนัน สิ่งเสพติด สิ่งเสพติดก็เหมาง่ายๆ สิ่งเสพติดการละเล่น มหรสพ บันเทิง เริงรมย์ธรรมดา ชีวิตของ นักปฏิบัติธรรม แล้วนี่นะ พระพุทธเจ้ายืนยัน พุทธคือผู้เบิกบาน ร่าเริง แต่ไม่ได้เสพ โลกียสุขนะ แต่เบิกบานร่าเริง เบิกบานร่าเริง ไม่ใช่ว่าซ่า ชีวิตชาวโลก นี่ต้องร่าซ่า เส้นลึก โอ๊! ต้องจี้หนัก เพราะว่ามันเครียด มันวุ่น มันอะไรเยอะ เรื่องราวเยอะ มากมาย ก็ต้อง จี้กันหนัก ต้องเอาเด๋อ ดู๋ ดี๋ มาจี้ถึงจะหัวเราะได้อะไรยังงี้ หนักเข้าก็เลยมี ธาตุอะไรไม่รู้ เดี๋ยวนี้หัวเราะตายกันเดี๋ยวก็มี ที่ว่าหมอก็คงจะรู้เรื่อง โรคหัวเราะตาย ต้องหัวเราะตาย หนักเข้ามีธาตุปรอท ธาตุอะไรกันที่เขาว่า เป็นเรื่องของโลกีย์ ที่ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจ มีความฉลาด มีความเฉลียว ฉลาด แต่ว่าเฉลียวฉลาดไปแล้ว ก็กลายไปว่า เอาความเฉลียวฉลาด ไปเอาเปรียบผู้ที่ไม่ฉลาดเท่า แล้วก็ได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาเสพ แล้วก็อยู่เหนือคนอีกระดับหนึ่ง ที่เขาไม่ฉลาดเท่า

อาตมาก็ได้แต่พยายามแนะนำกันว่า อย่าเลยคุณมีความรู้ความสามรถ คุณมีอะไร ก็มาเรียนธรรมะเถอะ เรียนธรรมะ ก็ล้างกิเลส ล้างกิเลสได้ รู้ว่าความสุขที่ไม่ต้อง เหน็ดเหนื่อย เป็นทาสตัวเอง เป็นทาสสังคม สังคมมันพาเป็น ก็เป็นไปตามมัน ตามสิ่งแวดล้อม ตามแฟชั่นสังคม ตามค่านิยมของสังคม แล้วเขาก็ไปแยกมันไป ต่างๆ นานา ถ้าเผื่อว่าเราเอง มาเข้าใจ มาศึกษา เราก็จะมีชีวิตมา ในทิศทาง อย่างพระพุทธเจ้า 

ซึ่งอาตมาคิดว่าพวกคุณก็คงไม่อยากเป็นหรอก ออกมาแบฟู้ต ไม่มีรองเท้าใส่ สักกะ.. ทั้งๆที่พระพุทธเจ้า ท่านมีรองเท้าทอง ฉลองพระบาท รองเท้าทอง เป็นลูกกษัตริย์ ซึ่งคิว เป็นกษัตริย์นั้น แน่ๆอยู่แล้ว ท่านก็ไม่เอาเลย แล้วท่านก็มา นุ่งผ้าบังสกุล คือผ้าห่อศพ เก็บเอาผ้าขี้ฝุ่นขี้ฝอย มาปะมานุ่งมาห่ม มีบาตรใบหนึ่ง มีความดี เขาก็ให้กิน ไม่มีความดี เขาไม่ให้กิน ก็ช่างมัน แต่ท่านมั่นใจ ในความดี เพราะอาตมาก็พิสูจน์ได้ ไม่ต้องดีถึง ขนาดพระพุทธเจ้าก็อยู่ได้ มีความซื่อตรง มีเจตนาดีที่จะให้มนุษย์นี้ พ้นทุกข์ จริงๆจังๆ แม้ผู้ที่ไม่มีความฉลาด ไม่มีความรู้ ความสามารถ เขาก็พ้นทุกข์ได้ ชาวไร่ชาวนาคนจน ก็พ้นทุกข์ได้ ไม่ต้องไปแย่ง ไปชิง ไม่ต้องไปทำบาป ไม่ต้องไปเอาเปรียบเอารัดใคร ก็มาเสียสละ รู้จักกิน รู้จักอยู่ รู้จักปัจจัย ๔ รู้จักสาระแท้ๆของชีวิต ซึ่งไม่มาก ไม่มาก มีอาหารกินพอสังเคราะห์ร่างกาย มีประมาณเท่าไหร่ แคลอรี่พอจะทรงชีวิตได้ พอทำงาน ทำการวันหนึ่ง เครื่องนุ่งห่ม พอกันร้อน กันหนาว แมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาดพอแล้ว ที่อยู่ก็พักผ่อนนอนไป นอน แค่นี้ก็พอแล้ว บ้านวังเวียงนอน ถึงแม้ว่ามีที่ดิน ที่อะไร ที่ทำไว้ เกลี้ยงๆ สะอาด ไม่สกปรก เลอะเทอะ ไม่มีเชื้อโรคอะไร เราก็อยู่ได้แล้ว นอนได้สบาย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ถ้ามี ท่านก็สอนว่า ยารักษาโรคแม้ไม่มี กินน้ำเยี่ยว น้ำมูตรอะไร ก็กินได้ถึงขนาดนั้น แต่ว่ามีมันก็มีอย่างทุกวันนี้ก็เก่งแล้ว เรื่องยาเรื่องหยูก ไม่มีปัญหา อะไรมากมาย อันไหนพอใช้ก็พอใช้ ที่มันแน่ๆ เพราะฉะนั้น จะว่าปัจจัย ๔ เกิน เดี๋ยวนี้ ก็นับปัจจัย ๕, ปัจจัย ๖ อะไรไปเลอะๆ เทอะๆ ไปไม่เข้าเรื่อง ก็ว่ากันไปตามประสา

แต่ถ้ายืนยันพิสูจน์แล้ว ชีวิตมีความต้องการไม่มากเลย เมื่อไม่มาก เรามีเวลาเหลือ เราไม่ต้องมาบำเรอตนเอง ไม่ต้องใช้เวลา ทุนรอน แรงงาน มาบำเรอตนเอง ตนเองนี่ เลี้ยงไว้ง่ายๆ เลี้ยงไว้ง่าย แต่พวกเราทุกวันนี้โลกมันหลอก เลี้ยงไว้ยากๆ บางคนนี่มีเงิน มีทอง ตั้งเยอะแยะ มีเงินเป็นหลัวเป็นถังก็ไม่สุข มันก็ทุกข์ก็ดิ้นรนเดือดร้อนวุ่นวายไปหมด เพราะมันไม่รู้สัจจะสาระชีวิตที่แท้ ไม่รู้จักธรรมะ ที่แท้จริง ไม่รู้จักสัจธรรม มันก็เลยทุกข์ กันใหญ่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ฉลาดแล้วนั้น มีความรู้ความสามารถแล้ว มาเรียนรู้ธรรมะ แล้วจะมีโอกาสทำบุญมาก มีโอกาสสร้างคุณค่าประโยชน์ ให้แก่ผู้อื่นได้ ไม่ต้องเสียเวลา ทุนรอน แรงงาน ไปบำเรอ ตน ไม่ต้องกอบโกย

อาตมากำลังพยายามอยู่เดี๋ยวนี้ว่า ผู้ที่จบนายแพทย์ จะออกมาทำงานฟรีๆนี่ จะมีสักกี่คน ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ ยังไม่ได้สักคนเดียว เป็นนายแพทย์ ที่จะออกมาทำงาน Full time แต่มี Pastime บ้างแล้ว ที่ออกมาทำงานฟรี อย่างที่อาตมาพาทำฟรีน่า ทำงานฟรีลองดูซิ เพราะคนที่ ไม่ต้องทำงานถึงระดับแพทย์ ยังทำงานฟรีกันได้ ชีวิตเขาก็อยู่ของเขาได้ แพทย์นี่นะ ถ้าทำกุศลให้แก่มนุษยชาติ ได้อีกตั้งเยอะ ตั้งแยะ ทำไม ไม่ต้องเอาเป็นเงิน ทำงานฟรีทำไมไม่ได้ รักษาเขาให้หายจากตายนี่นา ตัวเองก็อยู่ไม่ได้ อาตมาอยากพิสูจน์ ดูสิ ไม่ต้องเอาเงินทอง มันจะอยู่ไม่ได้ยังไง เขาไม่ทำงานรักษาไข้ ไม่ถึงทำเป็นแพทย์ เขายังทำงานอยู่ยังงี้ โดยไม่ต้องได้ รายได้ค่าจ้างอะไรสักบาทหนึ่ง เขาก็อยู่ได้ในชีวิต ตอนนี้ยังไม่มี มีมาทำ ช่วยศาลายาอยู่ที่ปฐมฯ

สันติอโศกก็มีศาลาสุขภาพ อาตมากำลังค่อยๆทำขึ้น ผู้ที่มาช่วยก็สมัครใจ มีแพทย์ มีพยาบาลอะไรก็มา เดี๋ยวนี้รู้สึกจะมี เป็นชิ้น เป็นอันหน่อย มีทันตแพทย์ ที่เป็นชิ้น เป็นอันหน่อย (เสียงหัวเราะ) แพทย์ก็มีมาบ้าง มีหมออะไร? มีสุรัชดา นี่ก็หมอ นั่งอยู่นี่ ก็หมอ นายแพทย์ ใครรู้จัก ( เสียงหัวเราะ) ในนี้มีรุ่นเดียวกันหรือเปล่า ไม่มีเลยเหรอ นี่นายแพยท์พจน์ บุญศรี ไม่ได้รับราชการ รับเหมือนกัน เป็นพันตำรวจโท แล้วก็ออกมา ทำงานส่วนตัว จนบัดนี้ไม่ยอมเข้าทำราชการ หมอคนนี้ มีหมอสุรัชดา ที่โรงพยาบาล พระมงกุฎ และ หมอชัย อยู่สวัสดิ์ มีหมอคงคา ตอนนี้ก็มีหมอใหม่ หนุ่มเลย มี หมอวิวัฒน์ มาอยู่ค่ำๆ มานอนค้างอยู่ศาลาสุขภาพ แม้กลางคืน ก็อยู่ช่วยดูแล ใครมา นอกนั้นก็มี พยาบาลนั้นก็มีอยู่หลายคน พยาบาลนี้ไม่มีปัญหาอะไร พยาบาล คือผู้ที่ ราคาค่าตัว ถูกหน่อย นี่ง่าย ราคานี่อาตมาพูดดีๆนะ อาตมาพูดธรรมดา เหมือนกับมิตร เหมือนกับ สหาย อาตมาไม่พูดมีเหลี่ยมมีคูอะไรมากนะ อย่าไปถือสาอาตมานะ

อาตมาถือเป็นกันเอง พูดง่ายๆ พูดจริงใจ พูดซื่อๆ เพราะฉะนั้น คนที่มีราคาค่าตัวแพงๆนี่ มันลดไม่ค่อยลง มันเสียสละ ไม่ค่อยออก ยังไงไม่ทราบได้ ทั้งๆที่มีค่าๆ มีความสามารถ มาก ความรู้มาก แต่ไม่ค่อยมาเสียสละ ราคามันแพงหรือไงไม่รู้ ค่าความสามารถ ค่าความรู้เนี่ย แล้วก็ลดไม่ค่อยลง นี่เป็นกิเลสธรรมดานะ กิเลสถือดี รู้สึกว่าค่าของเรา มันแพง มันสูง แล้วก็ ไม่อยากจะเสีย ทั้งๆที่มันเสียได้ เพราะของเราเอง เราเสียสละ ของเรานี่ มันง่ายจะตายไป แต่มันไปคิดค่านิยมแบบโลกๆว่า ของเรามันแพงนะ จะเสีย ทั้งที ต้องรักษาเหลี่ยม รักษามาด รักษาท่าทีไว้ให้มันดีๆ หน่อย กิเลสเนี่ย เรื่องมานะ เรื่องถือดี ถือตัวมาก ของตัวนี้มันอยู่ ในสังโยชน์ระดับที่ ๘ นะ มันไม่ใช่สังโยชน์ ตื้นๆหรอก ยากอยู่เหมือนกัน มันก็ไม่ยอมหรอก พยาบาล เขาก็ยังเสียสละง่าย อย่างยิ่ง กว่าพยาบาล ก็ยังเสียสละง่ายใหญ่ เขาก็ไม่มีค่าอะไรมาก

นี่อาตมาพูดให้ฟังเสียก่อนว่า ถ้าฟังดีๆ มีปฏิภาน จะรู้ได้ง่ายว่า ธรรมะคืออะไร? ธรรมะคือ การลดสิ่งที่เราได้มา ให้แก่ตน ทรงไว้ ซึ่งความเสียสละ โลภคือต้องการเอามาไว้ให้ตน โทสะก็คือไม่สมใจที่ตนต้องการ แล้วเราก็ตีกลับโทสะนี่ มันจะต้องแก้แค้น อะไรต่ออะไร ที่มันเป็นภาวะ ตีซ้อนอีกทีหนึ่ง โทสะนี่ ที่จริงมันเกิดมาจากแกนโลภหรือราคะ ที่มัน ต้องการมาให้ตน นั่นหล่ะแกนใหญ่ ไม่ได้สมใจตน ก็ภาวะตีกลับเป็นโทสะ ถ้าได้สมใจตน ก็ไม่โทสะแล้ว นั่นก็เป็นกิเลสบำเรอราคะ หรือโลภะนั่นแหละ

เอาเลย เดี๋ยวเอากระดาษมาๆๆแจก ท่านทั้งหลายนี่ดู จะ ถามสดก็ได้ จะเขียนกระดาษ ก็ได้ บางคนอาจจะ ไม่อยากให้รู้ว่า ใครเป็นคน ถาม ถามอะไรก็ได้ ถามเลยน่ะ

ถาม ผมอยากเรียนให้ท่านทราบว่า พวกเราที่มานี่นะ นักศึกษาซึ่งเรารับราชการแล้ว และเรามีหลักสูตรการบริหาร และก็การที่มา ปฐมอโศกนี่ ก็เป็นส่วนหนึ่ง ในการที่มี จุดมุ่งหมายเพื่อว่า นักบริหารนี่ จะบริหารใจได้อย่างไรนะ ในการที่จะปฏิบัติหน้าที่ (พ่อท่าน ดีมาก) ของเรานะครับ อันนี้เราก็อยากจะได้ กระผมคิดว่า พวกเราเห็น ความสำคัญ แล้วก็อยากจะเรียนว่า พวกเรานี่มีครอบครัวแล้ว ภาระหน้าที่ของเรายังมีอยู่ จะต้องดูแลครอบครัว พวกกระผมคงจะทำอย่างอาจารย์ไม่ได้ ผมขอเรียน ผมรู้จัก อาจารย์จากทีวี (พ่อท่าน ได้ๆๆ) ไม่ใช่คือว่า เราปฏิบัติอยู่แล้วนะครับ เราอยากจะละ กิเลสลง เท่าที่เราจะทำได้ แต่คงจะปฏิบัติอย่างอาจารย์น่ะ ไม่ได้ ผมอยากจะเรียนอันนี้ ก็อยากจะมาขอความกรุณาอาจารย์ ว่ามาหาไม่แนะนำแนวทางของเรา ให้พวกเราเนี่ย ไปหาเนี่ย..เป็นนักบริหาร จะไปบริหารบุคคล หรือลูกน้อง อย่างไรนะ บริหารเขาให้ดี แล้วก็เป็นแนวทางในการปฏิบัติธรรม ซึ่งอาจว่า จะขึ้นสูงไป พวกเราส่วนใหญ่ ก็ปฏิบัติธรรมชั้นต่ำ อาจจะได้กันบ้างแล้ว คือถือ ศีล ๕ แล้วอยากจะเรียน ถามว่า

อาจารย์มีสิ่งบันดาลใจอะไร ที่อาจารย์ละฆราวาส แล้วก็มาเป็น พระภิกษุ อย่างที่อาจารย์ ปฏิบัติอยู่นี่ สิ่งอะไรบันดาลใจ เพราะอาจารย์ ก็เคยอยู่ทางฝ่ายฆราวาสมาก่อน และ ผมก็รู้จักท่านจากทีวีครับ ผมขอเรียนถามถึงข้อนี้ สองข้อ ขอแนวทาง ในการปฏิบัติธรรม ให้แก่พวกเรา ซึ่งจะเป็นนักบริหาร คือว่าบางคนก็เป็นผู้อำนวยการ บางคนก็จะเป็น สาธารณสุขจังหวัด อะไร เหล่านี้ บางคนอาจจะขึ้นไปถึง ปลัดกระทรวง อะไร ว่าอย่างนั้น นะครับ และก็อยากจะเรียนถาม สิ่งบันดาลใจ ที่อาจารย์ได้ละทิ้ง ฝ่ายฆราวาสมาครับ ขอบพระคุณครับ

พ่อท่าน เอ้า เอาอย่างนี้ก่อนนะ เอา ตอบตรงเป้าซะก่อน มานี่อาตมาก็ทราบแล้วหล่ะ ว่าต้องการที่จะได้รับธรรมะ ได้รู้อะไร เพื่อจะเอา ไปใช้ ในการบริหารให้มันได้ดี ตอบ กำปั้นทุบดินเปรี้ยงเลย ลดกิเลส และได้มากที่สุด ได้มากเท่าไร ผู้นั้นจะเป็นผู้บริหารที่ดี ถ้าคน ไม่ลดกิเลสจริงๆ บริหารก็เพื่อที่จะมุมเบอแรง บริหารเพื่อที่ตัวเองจะได้ใหญ่โต ได้ลาภ ยศ สรรเสริฐ โลกียสุข ไม่มีพ้น ตัดคอถวายกันเลย เพราะฉะนั้น กำปั้นทุบดินเลย จะเป็นนักบริหารที่ดีต้องตัดกิเลส ต้องลดจริงๆ ทำเล่นไม่ได้ จะเป็นฆราวาส ก็ตาม เป็นพระ ก็ตาม ไม่ละเว้นเลย

อาตมาเป็นพระนี่นะ ทุกวันนี้อาตมาบริหาร ทำงานบริหารหนักมาก เพราะว่าทำงานบริหาร ตรงที่รัฐบาล ไม่รับรอง เถรสมาคม ไม่รับรอง แม้แต่ฆราวาสเอง ก็รังเกียจไม่รับรอง และ อาตมาต้องบริหารกรมนี้ไปอยู่ นี่หละชาวอโศก นี่หละที่อาตมาบริหาร ไปอยู่ตลอดเวลา ถล่มทลายอยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น อาตมาเข้าใจดีว่า บริหารนี่จะทำอย่างไร ให้กลุ่มหมู่ ที่เราบริหารนี่ เป็นผู้ที่จะเสียสละ เพื่อหมู่กลุ่ม เพื่อความเป็นอยู่ของเรา และของที่เราไปสัมพันธ์ เพื่อตัวเราด้วย และเพื่อสิ่งที่เรากระทบถึงด้วย ทั้งหมดเลย เราต้องคำนึงถึงข้างนอกและทางเราด้วย จะบอกว่าเอาแต่ตัวเรารอด หมู่กลุ่มเรารอด คนอื่นไปกระทบเสียหาย เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น หมู่ที่ได้รับแรงกระทบ จากเราไป ทุกอย่างเลย จะต้องคำนึงถึง Interaction ต้องคำนึงถึง อันนี้ตลอดเวลา ว่ามันจะต้อง มีปฏิสัมพันธ์อะไรกัน ตลอดเวลาด้วย และ ต้องไม่ให้เสียหาย

อาตมาบอกอาตมาก่อนนะว่า อาตมาทำงานบริหาร เพราะฉะนั้น อาตมายิ่งเห็นจริง ที่สุดเลยว่า เราต้องเสียสละจริงๆ ทุกวันนี้ อาตมาก็ยังรู้สึกว่า เราเสียสละยังน้อยไป หมอคอยประคับประคองอย่า Overload อย่า Overload ถามเลยนี่ หมอพจน์ ดูแลอาตมา เป็นหมอประจำตัวอยู่ คอยบอกบังคับให้ต้องพัก ต้องบังคับให้อาตมา ต้องนอนกลางวันนี่ วันหนึ่งๆ ๒ ชั่วโมง ๕ ชั่วโมง ต้องนอน ต้องบังคับอาตมา ถึงขนาดนั้นน่ะ และอาตมา ยังรู้สึกว่าอาตมาทำงานไม่พอ เสียสละไม่พอ เพราะว่ามันต้องเสียสละจริงๆ เลย เสียสละจริงๆ ต้องไม่เห็นแก่ตัวจริงๆ ไม่ใช่ปากพูด ต้องละกิเลสจริงๆ ถึงจะเป็นผู้บริหาร ที่ดีได้ นี่เป็นหลักตายตัว

อาตมาบอกเป็นกำปั้นทุบดิน ไม่มีข้อแม้อื่น ไม่มีเหตุผลอื่นใดยิ่งใหญ่กว่านี้ นักบริหารที่ดี แม้จะไม่ได้เรียน วิชาการบริหาร อะไรต่ออะไร ต้องคำนึงถึงอันนั้นถึงอันนี้ ไม่ต้อง ไม่เป็น ไร เราศึกษาได้อย่างนั้น แต่ตัวเราจริงไหม? ถ้าตัวเราไม่มีการเสียสละจริง ไม่ละความโลภ ความเห็นแก่ตัวออกได้จริงนะ แม้คุณจะมีหลักวิชาว่า ในการบริหาร มีอะไรต่ออะไร เป็นวิชาการบริหาร มาแล้ว คุณจะใช้ วิชาการเหล่านั้น เป็นเครื่องมือ ในการที่จะโกย ลาภ ยศ สรรเสริฐ โลกียสุขให้แก่ตน เหมือนศาสตร์ทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะนิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ บัญชี - พานิชย์ เป็นศาสตร์ที่จะต้องกอบโกย มาให้แก่ตัวเองทั้งสิ้น เพราะความเห็นแก่ตัว มันยังเป็นเจ้าเรือนอยู่ เพราะฉะนั้น หลักประกันของคน ที่จะทำงาน เพื่อสังคมนั้น จะต้องละกิเลสเท่านั้น จะเป็นบริหาร จะไปเป็นนายก จะเป็นรัฐมนตรี จะเป็น ส.ส. เป็นผู้บริหารข้าราชการ ในระดับนั้นนี้ อะไรก็ตามใจ

ศาสนา หรือว่าธรรมะนี่ ไม่ได้หมายความว่า เราละกิเลสออก แล้วเราจะเป็นคนขี้เกียจ เห็นแก่ตัว ไม่ใช่ๆ นะ มันค้านแย้ง กันอยู่แล้ว คำพูดนั้น คนละกิเลสแล้ว จะไม่เห็นแก่ตัว จะทำงานเพื่อผู้อื่น จะเห็นแก่ผู้อื่น จะทำงานเพื่อสร้างสรรค์ เหน็ดเหนื่อยก็ไม่ว่าจริงๆ นี่เป็นเรื่องจริง ที่สอดคล้องกัน แต่ ถ้าเผื่อว่าไปเข้าใจว่า เอ! ถ้าหมดกิเลสแล้ว ไปคำนึง ง่ายๆ ว่าคนหมดกิเลสไม่อยาก ไม่อยาก แล้วก็เป็นคนนั่งเฉยๆซิ ไม่อยากแล้วนี่ เงินก็ไม่อยากได้ ลาภก็ไม่อยากได้ โลกียสุขอะไรก็ไม่เบิกบานร่าเริง บันเทิงเสพสมอะไร กับเขา ก็กลายเป็นคนเด๋อๆ เซ่อๆ นั่งซึมเหมือนฤาษีชีไพร ไอ้นั่นเป็นลัทธิฤาษี จริง ลัทธิฤาษีชีไพร

แต่ลัทธิของพุทธนี่ เป็นลัทธิที่ลึกซึ้งมาก เป็นการสละกิเลสจริง เป็นการละ ความเห็น แก่ตัว ออกได้จริงๆ ละความโลภ โกรธ ออกจริงๆ จึงเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่น จะเรียกอะไร เป็นเหลี่ยมเดียวกัน เมื่อเสียสละก็คือให้ผู้อื่น เมื่อให้ผู้อื่น ก็คือเสียสละ มันเป็นเหลี่ยม เดียวกัน ที่สอดคล้องกัน มันไม่ค้านแย้งกันเลย นี่หลักของพุทธ และ ต้องปฏิบัติให้ถูก ทฤษฏีของท่านจริงๆ เมื่อถูกทฤษฏีของท่าน โดยหลักมรรคองค์ ๘ มีการงาน มีสัมมา สังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ มีการคิด ก็คิดอย่าง เป็นผู้ที่ละโลภ โกรธ หลง มีการพูดก็พูดอย่างละ โลภ โกรธ หลง มีการงานก็การงาน อย่างละ โลภ โกรธ หลง มีอาชีพ สัมมาอาชีพที่ละ โลภ โกรธ หลง เพราะฉะนั้น ละความโลภไปในตัว ทำงาน ไปในตัว เมื่อได้ละกิเลสไปในตัว มันยิ่งเจริญ ยิ่งจะช่วยผู้อื่น ยิ่งจะช่ำชองชำนาญ ยิ่งจะรู้ สาระสัจจะของชีวิตว่า โอ! ชีวิตนี่หลงกิเลสบำเรอตน มาตั้ง แต่อ้อนแต่ออก ตั้งแต่ไม่รู้ กี่ชาติ จนเดี๋ยวนี้ ก็ยังหลอกกันใหญ่เลยว่า อะไรเป็นสุข ไอ้นี่ เป็นสุขอะไรมากมาย

เมื่อมาเรียนรู้ละกิเลสได้จริงแล้ว มันจะยิ่งเหลือแต่ ความชำนาญ สมรรถภาพ สมรรถนะ จับความที่จะช่วยผู้อื่น จนกว่าชีวิต จะตาย และตัวเอง ไม่ต้องคำนึงเลยว่า จะมีเงิน เหลือหรือไม่ จะมีข้าวกินหรือไม่ ไม่ต้องเลย สุดท้ายก็ไม่ต้องห่วงหรอก จะมีคนมา เลี้ยงดูเอง อาตมาขอยกตัวอย่าง อย่าหาว่าอาตมาเข้าข้างพวกเดียวกัน อย่างคุณจำลอง นี่นะ ไม่ต้องเอาเงินเดือน ไม่ต้องกินเบี้ยหวัดก็ได้ แต่คุณจำลอง ก็ยังหยิ่งอยู่ ไม่อยากไป เป็นภาระใคร คุณจำลองเข้าไปทำงานเป็นผู้ว่า พวกเราบอกเลย คุณจำลองไม่ต้องวุ่น พวกเรา จะทำข้าว ส่งให้กินทุกวันทุกมื้อ แต่คุณจำลองไม่รับเอง บอกคุณไม่ต้องห่วงเลย บอกไปทำงาน บอกประกาศเลย ไม่ต้องรับ เงินเดือน ไม่ต้องเอา แต่พอดีแกมีเบี้ยหวัด แกมีเงินบำนาญน่ะ จากตำแหน่งพลตรี แต่ถึงไม่มีนะ บอกไม่เอาก็ได้ ไม่เอา เอาไปทำ ประโยชน์ อะไรก็ได้ ข้าวเรื่องน้ำไม่ต้องห่วง ทุกวันนี้บ้านก็ไม่ต้องเช่าเขา มีคนเสนอให้ทันที จะอยู่บ้านหลังไหน ย้ายบ้าน ไปใกล้ๆ ที่ทำงาน ตั้งเป็นหลังที่สาม ก็ไปอยู่ ทุกวันนี้ ก็อยู่หลัง ก็เป็นบ้านเขาให้อยู่ฟรี มีโทรศัพท์เสร็จ มีอะไรต่ออะไร คนไปอยู่เดี่ยวนี้ ก็อยู่ ในบ้านตั้ง ๒๐, ๓๐ คน ก็อย่างว่า เป็นผู้ใหญ่ก็ต้องมีคนเป็นบริวาร ทำงานที่นี่อาตมาว่า อย่าเพิ่งว่าอาตมา ยกตัวอย่าง คนที่เป็นพรรค เป็นพวก คือมันเป็นเรื่องจริง สละกิเลส แล้วจะเป็นฆราวาสก็ทำได้ จะเป็นพระก็ทำได้

แต่เป็นพระนี่ ต้องเป็นแบบอย่าง ที่มีศีล มีธรรมอะไรยิ่งมาก ละเอียดมากมาย เท่านั้นเอง แต่ฆราวาสก็เอาล่ะ ศีลขนาดนั้นก็ โอ! งามแล้ว ไปได้แล้ว ยังงี้เป็นต้น ต้องปฏิบัติ สิ่งที่ทำอยู่เป็นฐานนั้น ฐานะนั้นจริง แล้วจะ บริหารได้ดี ทุกวันนี้คนต้องการ ความซื่อสัตย์ สุจริต ไม่โลภ ไม่ซ่อนเชิง ไม่ใช้เหลี่ยมเชิง ที่แต่ฉลาดนะ ฉลาดมาก แต่มีเหลี่ยม ซ่อนซ้อน นะ อันนี้อาตมา ขยายความ คำว่าบริหาร บ้างเล็กน้อยนะ เพราะฉะนั้น การบริหาร จะอาศัยหลักอย่างไร ก็อาศัยหลัก ที่ต้องมี การประพฤติ ปฏิบัติละกิเลสจริงๆ คุณยิ่ง มีความรู้มากๆ มีความสามารถมากๆ ยิ่งจะเป็น ประโยชน์ต่อสังคมมาก เพราะถ้ามี ความจริงว่า เราเองไม่เห็นแก่ตัวเองจริงๆ ความโลภ โกรธ เห็นแก่ตัวเอง น้อยลงจริงๆ นี่ง่ายๆ นะ มันง่ายๆ ถ้าจะขยายความแล้วมันยาว จะพูดอีกเท่าไหรก็ได้

ทีนี้ในประเด็นต่อมา ในทางปฏิบัติ ก่อนจะอธิบายภาคปฏิบัติ อาตมาขออธิบายตัวเองว่า เป็นทำไม อาตมามีอะไร ดลบันดาล บันดาลใจ จึงมาเป็นอันนี้ พออาตมา ตอบอันนี้แล้ว คุณจะเห็นว่าปฏิบัติอย่างไร เพราะอาตมาปฏิบัติ ตั้งแต่เป็นฆราวาส และอาตมา อยู่ในดงมายาด้วย อยู่ในดงมายา และอาตมาหารายได้มาก ในดงมายา อาตมาทำงาน หนัก อาตมาทำงาน ไม่เกี่ยง อาตมาทำงาน ออกทั้งทีวี ทำงานทั้งวิทยุ สอนทั้งหนังสือ เป็นครู และก็ทำงานพิเศษของอาตมา เพราะอาตมาเป็นนักประพันธ์ ประพันธ์ทั้งเพลง ก็คงจะพอรู้ ประพันธ์ทั้งเพลง เขียนทั้งหนังสือธรรมดา อันไหนที่มันได้อาตมาก็ทำ ทำงานมาก ทำงานหนัก เพราะฉะนั้น อาตมาก็หาเงินได้ ตั้งแต่หนุ่มๆ หารายได้ตั้งแต่ สมัยเงินมันยังแพงอยู่นะ สมัยที่เกือบๆ ยี่สิบปีมาแล้วนี่ อาตมาทำงานอยู่ นายกเงินเดือน แค่ หมื่นสามนี่นะ อาตมาหาเงินได้นี่หนุ่มๆ อายุ ๒๐, ๓๐ ในราวๆ นั้น ตอนนั้นก็หารายได้ เดือนหนึ่งก็เป็น สองหมื่นแล้ว เดือนหนึ่งน่ะ ตอนนั้น นายกแค่หมื่นสาม นายกรัฐมนตรี ตอนนั้นเงินก็ยังแพงอยู่ อาตมาก็ทำได้แล้ว แล้วอาตมา ก็ทำงานหนัก อย่างนี้แหละ และอยู่ในดงมายา อยู่ในดงที่งานที่ต้องต่อสู้ เพราะอาตมาเอง ไม่ได้อยู่ในฐานะคนที่มี อลังการ คนที่มียศ ไม่มียศ อาตมาปริญญาก็ไม่มี ยศก็ไม่มี ไม่ใช่ลูกเจ้า ไม่ใช่เศรษฐี หลักฐานคนจนๆ เพราะฉะนั้น มาทำงานนี้ต้องสู้ ต้องแสดงความสามารถ ของตัวเอง ทุกเหลี่ยม เขาจึงจะเชื่อถือ แล้วมันก็บุกบั่นมาได้ เพราะฉะนั้น ต่อสู้มามาก ต่อสู้อย่างนั้นแหละ

อาตมาก็เห็นว่า เอ๊! การต่อสู้แบบนี้ที่อาตมาอยู่กับสังคมเขาก็พาเรา ต่อสู้เพื่อให้ได้มา ซึ่งลาภ ยศ ก็พยายาม เท่าที่ทิศทางของเรามี เราอยู่ในทิศทางนี้ เราก็มียศทางนี้ มีความเด่นความดังทางนี้ มีความสามารถที่เขายอมรับ นับถือทางนี้น่ะ เพราะเราเอา ทางนี้นี่น่ะ อย่างทางที่ อาตมาหากินอยู่ทางฆราวาส จนอาตมามาปฏิบัติธรรม

ตอนไม่ปฏิบัติธรรม อาตมาก็พยายามที่สุด ที่จะทำอย่างไร จะได้เปรียบคนอื่น ทำยังไง ได้เปรียบ ได้เปรียบโดยไม่ต้องโกง ได้เปรียบ ชนิดที่เขาจำนน ยอมรับเราเลยว่า เขาจะต้องให้ค่า ให้ราคาที่เหนือกว่ามาอย่างเขาจำนน ก็ต้องยอมใช่ไหม? นี่เราถือว่า เราไม่ได้โกงเขา แต่เป็นการได้เปรียบนะ เป็นการได้เปรียบ เป็นการได้เปรียบ อาตมา ก็หาวิธีทำอย่างนั้นแหละ ตลอดมา ก็สร้างหลัก สร้างฐานะ ฟุ่มเฟือย อาตมาอยู่ใน ดงมายา มันล่อหลอก หรูหรา ฟู่ฟ่า แอ๊ค อ๊าท จ่ายอะไร อะไรต่ออะไร หาเงินได้มาก ก็สุรุ่ยสุร่ายมาก อย่างนั้นอย่างนั้นไป

จนอาตมามารู้ตัวเองว่า เอ ไอ้ปฏิบัติอย่างนี้ไป ชีวิตเท่านี้ก็ไอ้ยังงั้นแหละ หาเงินมา ก็มาบำเรอตนเอง มาสร้างหลักฐาน สร้างบ้าน สร้างเรือน อาตมาซื้อรถเก๋งขี่ทีละ ๓ คน ตั้งแต่สมัยที่รถยังไม่ได้หาง่ายๆ นะคุณ รถนี่ยังไม่ได้ผ่อน ก็ผ่อนส่ง แล้วหล่ะ แต่มันยัง ไม่เก่งกาจ เหมือนเดี๋ยวนี้นา รถแอร์พึ่งมีมาใหม่ๆ อาตมาต้องขี่รถแอร์ก่อนเพื่อน ขี่รถแอร์ Demonstate นะ อาตมาขี่รถแอร์ Demonstate เพราะว่า แอร์มันพึ่งเข้ามาใหม่ๆ แหมเราต้อง ขี่รถแอร์ก่อน เพื่อนมันไม่มีสตางค์ซื้อก็ขี่ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เพื่อที่จะให้คนอื่น เขายอมรับ ฐานะเรา ร่ำรวยสูงศักดิ์ มีเงินมีทองหรูหราฟู่ฟ่า ก็ทำอยู่อย่างนั้นหล่ะ จะเล่น จะกินอะไร ก็เล่นก็กินตามสังคม สังคมเขาเล่นเขากิน ยังงี้หละก็เล่นก็กินไป จนอาตมาเรียนธรรมะ

ที่จริงจุดที่บันดาลใจไม่มี อาตมามาบวชนี่ ไม่ใช่จุดบันดาลใจ อาตมามาบวชเพราะ ความจริง ออกมาอย่างสว่างๆ ออกมาอย่างชัดเจน ไม่ได้มีอะไร ดลบันดาล ฟลุ้กๆๆๆเอา แบบ magic อะไรไม่มี ไม่ได้เป็นเรื่องราวตลก ไม่ได้เป็นเรื่องราวลึ้ลับ อะไรอย่างนั้น เป็นเรื่องจริงๆ ชัดๆ ที่ว่า เออ! อันนี้ชัด ยังงี้เราต้องมา ไม่มายังงี้ไม่มีทางดีกว่านี้ ทางนี้ คือทางดีที่เราต้องเดินทางนี้ มาอย่างชัดเจน ไม่ได้มาด้วยมีอะไร ดลบันดาล ไม่มีอะไร ฟลุ้กๆ ไม่มีอะไรมาหนุน มาจุน มาดัน มาดลไม่มี เรื่องปฏิบัติ ไปตามขั้นตอน ก้าวไป ทีละก้าวๆๆๆ ขึ้นสู่ชั้นนี้ๆๆๆ ที่มาเป็นยังงี้ ก็ก้าวไปตามลำดับ ที่เรามีตั้งมั่นถึงอย่างงี้ ไม่ได้หลงไหล ไม่ได้ละเมอ ไม่ได้เผลอๆ ไผลๆ อะไร มาอย่างชัดเจน

อาตมามีอันนี้ อาตมามีชีวิตอย่างที่กล่าวมานั้น ก็หาเงิน อาตมาก็ไม่กลัวใคร แม้อาตมา จะไม่มีศักดิ์ศรี ทางการเมือง ไม่มีศักดิ์ศรี ทางข้าราชการ อาตมาไม่เคยรับราชการ เกิดมาชาตินี้โชคดี ไม่ได้เป็นข้าราชการ ก็ฟังเอาก็แล้วกัน อาตมาว่าอาตมาโชคดี ที่ไม่ได้เป็น ข้าราชการ อาตมาไม่มีอันนี้มา อาตมาก็เดินมาปฏิบัติมา ก็ไม่พ่ายแพ้ ในชีวิต อาตมาก็เห็นว่า โอ๊ย! สู้ได้สบายมาก จะอยู่ทางโลก ไปอีกก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนแรก อาตมาไม่รู้อย่างนี้หรอก อาตมาก็รู้แต่ว่าชีวิตของอาตมา ดำเนินมาได้ ลุยไปได้สบายๆ ไม่ยาก ยิ่งมีทุนรอน หนุนเนื่องว่าเรามีเงินทุน มีกอบ มีกำ มีก้อน มีหลักฐานบ้านช่อง เรือนชาน อะไรแล้วเรียบร้อย มันก็ยิ่งง่าย รายได้ มันเยอะเข้ามา ไอ้เรื่องทุนรอน ที่มันมี รองรับ มันก็ยิ่งได้เปรียบ มีแต่การได้เปรียบทั้งนั้น ไม่มีทางขาดทุน จะอยู่แก่ไปอีก ก็มีแต่ทาง กำไร กำไรแบบได้เปรียบเขาหละนะ ไม่มีทางขาดทุนหรอก

เสร็จแล้ว อาตมามีความสนใจเรื่องจิตวิญญาณ มาตั้งแต่อายุ ยี่สิบกว่า มันสนใจเอง เอ! ไอ้จิตวิญญาณนี่ มันน่าสนใจนะ มันคืออะไรกันนะ อาตมา ก็ไปได้เห็นเขาสะกดจิต อยู่คราวหนึ่ง ตอนนั้น พวกหมอเขาเล่น ตอนนั้นเขาเรียกสมาคม ค้นคว้าทางจิต มีหมอเชียรหล่ะตัวเบ้ง หมอเชียร หมอจรูญ หมอประพันธ์ หมออะไรตั้งหลายหมอ รวมกันอยู่ สนใจเรื่องค้นคว้าทางจิต ตั้งสมาคม ค้นคว้าทางจิตขึ้นมา เขาสะกดจิตกัน ตอนนั้นเขาสะกดจิตนายโคลแมน สะกดจิตแล้ว เขาก็ประกาศว่า จะสะกดจิต นายโคลแมน นี้ ให้ดิ่งลงไปลึก แล้วก็ให้ระลึกชาติได้ ระลึกชาติลงไปว่า ชาติตอนที่อายุ ค่อยๆ ไล่ ค่อยๆ ไล่ วิธีเขาก็สะกดจิต เสร็จแล้ว ก็ให้ระลึกชาติ ในปีที่แล้ว ระลึกลงไป หาจุดสำคัญ ที่จะจำได้ ในสามปีที่แล้ว ห้าปีที่แล้ว เจ็ดปีทีแล้วไล่ย้อนลงไป ย้อนลงไป จนกระทั่งถึง อายุเล็กๆ อายุ ๕ ขวบ อายุ ๔ ขวบ อายุขวบหนึ่ง และเขาก็จะย้อนระลึก ลงไปว่า อยู่ในท้อง ระลึกจากอายุขวบหนึ่ง จิตวิญญาณ ของมัน มันต่อตามได้อยู่ในท้อง ก่อนจะมาเข้าท้อง มีวิญญาณเป็นอะไร อยู่ที่ไหน อะไรหรือไม่ เขาเล่นอย่างนี้กัน

อาตมาก็เออ. น่าสนใจ ทำอย่างนี้ น่าสนใจแฮะ อาตมาก็สนใจตั้งแต่บัดนั้น เข้าคลุกกับ สมาคม ค้นคว้าทางจิตเลย เข้าคลุก อาตมาก็หัด ฝึกหัดไปตามอะไรต่ออะไร สะกดจิต ไปตามอยากจะรู้ว่า จิตวิญญาณ มันคืออะไรกันแน่ มันก็ได้รับรู้ จิตวิญญาณ ไปตาม ประสา ค้นคว้าทางจิตแบบวิทยาศาสตร์ อย่างนั้น มันก็มีเหตุมีผล แต่ไม่ลึก

ทีนี้มีเพื่อนมาชวน ไปเล่นไสยศาสตร์ เล่นไสยศาสตร์ทรงเจ้าเข้าทรงผี มนต์คาถา ไอ้นั่น ไอ้นี่ ไสยศาสตร์ อาตมาก็ไปฝึก ไสยศาสตร์อีก กลางวัน ก็มาฝึก มาคลุกกับสมาคม ค้นคว้าทางจิต กลางคืนก็ไปคลุกอยู่กับสมาคมค้นคว้า ทางไสยศาสตร์ โดยอาตมา ไม่บอกหมอทางวิทยาศาสตร์ อาตมาก็ไม่เผยตัวเองว่า อาตมาไปศึกษาทางไสยศาสตร์ แต่ทางไสยศาสตร์อาตมาไม่ปิด ไปศึกษา วิทยาศาสตร์ อาตมาไม่ปิดทางไสยศาสตร์ แต่ทางวิทยาศาสตร์นี่ อาตมาปิด ปิดไม่บอกเขา ปิดไม่บอก ท่านทั้งหลายพวกนั้น เพราะจริงๆ นั่นน่ะ ท่านที่ศึกษาทางวิทยาศาสตร์ ดูถูกไสยศาสตร์ อาตมาก็เลย ไม่เปิดเผย ตัวเอง ว่าไปศึกษาทางไสยศาสตร์ ปิดทางหมอทั้งหลายแหล่ อาตมาไม่ให้รู้

แต่อาตมาก็ไป สองยาม ตีหนึ่ง ตีสอง อาตมาก็ไปคลุกอบรม ฝึกหัด ฝึกฝนเรียน ทางไสยศาสตร์ จนเป็นอาจารย์ทางไสยศาสตร์ เรียนรู้ทางไสยศาสตร์ โอ! ค้นคว้าย่างโน้น อาตมาก็เป็นหมอนะ เป็นหมอทางไสยศาสตร์ รักษาไข้กันมา Leukemia เนี่ย อาตมารักษา หายมากับมือเลยนะ แต่รักษาหายอยู่รายเดียว รักษาหายอยู่รายเดียว ทั้งๆ ที่หมอบอก เวลาตายแกแล้ว ก็ตรวจได้นี่นา Leukemia ประมาณได้ว่า เวลานานเท่าไหร่ แกก็บอกว่า อยู่ไม่ถึงสองปี แกก็เสียใจใหญ่เลย อายุก็ยังน้อยก็เลยไปบวชเป็นชี ที่จริง แกก็ไป อย่างนั้นแหละ ชีวิตมันแย่ มันเสียใจ เสร็จแล้วก็มา มาหาอาตมา ว่าหมอเขาบอกว่าเป็น Leukemia ไอ้เราก็ไม่รู้หล่ะ ลิวคีมง - ลิวคีเมีย อะไรก็ไม่รู้หล่ะ เพราะเราไม่เป็นหมอนี่ เราก็รักษาไปตามประเภทไสยศาสตร์ ก็เข้าเจ้าทรง มีตรวจตราทำไอ้โน่น ไอ้นี้ ไปตามเรื่อง อำนาจจิตพลังใจอะไรไปตามเรื่องตามราว รักษาไป..หาย แต่ว่า Leukemia มารักษา ที่อาตมานี่ มีไม่กี่รายหรอก ดูเหมือน มีรายเดียวนี่ แล้วก็หายไปด้วย อาตมาก็งง มะเร็ง มีเยอะมารักษาค่อยยังชั่วไปก็มี แต่สุดท้ายก็ตายก็มี ตายในไม่ช้าไม่นานก็มี แต่ส่วนมากแล้ว มักจะมาจากหมอหลวง จนกระทั่งหมอไม่รับแล้วจากโรงพยาบาล

ส่วนมากที่มาหาอาตมานี่รักษาหายแต่ละรายได้ ก็เป็นบุญนักหนาแล้ว เพราะแต่ละราย มานี่ หมายความว่า หมอหลวงไม่รับแล้ว ส่วนมากก็รักษาอะไรนี่ ก็มีเรื่องประหลาดๆ  เรื่องซึ่งเกินจิตทางไสยศาสตร์ไม่กระจ่าง อาตมาสรุปได้จิตทางไสยศาสตร์ ไม่กระจ่าง ลึกลับ แต่ก็มีพลังประหลาด ประหลาดจนอาตมาเอง อธิบายไม่ได้ อธิบายไม่ออกว่า เอ๊! จิตวิญญาณนี่มันเป็นพลังจริงๆ นะ มันไม่มีอะไร อำนาจพิเศษที่มัน..โอ! งง ยิ่งทำยิ่งงง ยิ่งทำก็ยิ่งงง มีอำนาจพิเศษ ต่างๆนานาสารพัด ทำทั้งนั้นแหละ ทำรักษา ทางเข้าทรง ทางตาทิพย์ หูทิพย์ ทางโน่นทางนี่อะไร อาตมาก็เล่นหมด เอ๊! มันก็ยิ่งงงว่ามันไม่มี มันก็ยิ่ง มีเปอร์เซ็นต์ที่ดีที่ถูก ยิ่งเราชำนาญ มากขึ้นๆ ก็ยิ่งมีเปอร์เซ็นต์ถูกหรือ มีเปอร์เซ็นต์ ดีมากขึ้นเรื่อยๆ

สุดท้ายอาตมาก็เบื่อ มันเมื่อย งานอาตมาก็ทำ งานอาชีพธรรมดาเรานี่ เราก็ทำงาน อันนี้ เราก็ทำอีก ทำไม่ได้เอาสตางค์นะ อาตมาก็รักษาไข้ ใบ้หวย ทำงานอะไร ทางไสยศาสตร์นี่ โอ! เหน็ดเหนื่อย สองยาม ตีหนึ่ง ตีสองกว่าจะได้นอน ได้หลับ ตื่นเช้ามา ก็ต้อง ไปทำงาน ที่เราทำงานก็หนักอยู่แล้ว วุ่นมากมาย อาตมาก็เลยเห็นว่า มันไม่ไหว เมื่อย ก็เลยลาเลิก อย่างเก่ง เราก็ได้รับ คำชมเชย สรรเสริญ ว่าเป็นอาจารย์ เก่ง อาจารย์ดี ก็เท่านั้น

แต่สิ่งที่เราต้องการคือเราจะรู้ว่า จิตวิญญาณคืออะไร มันก็ไม่ได้รู้ เมื่อไม่ได้รู้ อาตมาก็ ทางวิทยาศาสตร์ก็สรุปได้ว่า มีเหตุผล รู้แต่ตื้น ไม่ลึกซึ้ง ส่วนทางไสยศาสตร์นั้นลึก แต่มืด ไม่กระจ่าง ไม่มีเหตุ ไม่มีผล ได้ผลมาโดยไม่รู้จักเหตุ ก็เลยไม่สมใจว่า เอ๊! จิตวิญญาณ คืออะไร อาตมาก็อยากจะรู้ต่อไปอีกว่า เอ! จิตวิญญาณมันคืออะไรกันแน่ ก็ไม่มีทาง

อาตมาไม่สนใจเรื่องศาสนาเรื่องธรรมะมาแต่ไหนแต่ไร ไม่เคยสนใจหรอก ศาสนา ธรรมะ แต่เราก็เป็น พุทธศาสนิกชน จนแต้ม จนแต้ม อาตมาก็เลย ลองสนใจพุทธศาสนา ก็ลองดูซิว่า งั้นเดี๋ยวหันมาทางพุทธศาสนา ก็เลยเอาตำราของ ครูบาอาจารย์ ใครต่อใคร ที่เขาเขียนกัน เยอะแยะมาอ่าน อ่านหลายเล่ม เล่มนี้ก็ว่ายังงี้ เล่มนี้ก็ว่ายังงี้ เล่มนี้ก็ว่ายังงี้ เล่มงี้ก็ว่ายังงี้ เออ! ดีเหมือนกันนะ มันทะเลาะกัน แต่ละครูแต่ละอาจารย์ แต่ละสำนัก ก็ว่ากันไป คนละแนว คนละอย่าง แล้วเราจะไปเรียนทุกๆสำนักนี่ กว่าจะจบ ก็ตาย เท่านั้นเอง จะไปเรียนได้ยังไงกัน ไม่ได้เรื่องแน่ อาตมาใช้ Common sense น่ะ เท่าที่เรามี sense เท่าใหร่ ก็ใช้ของเราดูว่า เอ! อะไรคือ เรื่องที่จะศึกษาพุทธ พุทธท่านแนะนำอะไรหล่ะ มีอะไรเป็นแกนเป็นหลัก ก็ใช้ปัญญาของเรานี่ตัดสิน

พุทธท่านสอน อย่างนี้นะ ละชั่วประพฤติดี ยังงี้น่ะกิเลสก็ว่ากิเลส อาตมาก็เข้าใจนะ ว่ากิเลสคืออะไร เอ้า! งั้นเราเลิกกิเลสหล่ะ เลิก อะไรชั่ว เลิก อาตมาเล่นการพนันอยู่ อาตมาก็เลิก กินเหล้าอยู่ก็เลิก สูบบุหรี่ก็เลิก เที่ยวเตร่เฮฮากันอะไรก็เลิก อบายมุขล่ะ สรุป ง่ายๆ อบายมุขก็เลิกสิ มันเป็นเรื่องกิเลสนี่ ก็เลิก

อาตมาบอกตรงๆ อาตมามีบารมี ง่าย อาตมาจะเลิกพวกอบายมุขนี่ง่าย พอเลิกก็เลิก พอเลิกแล้วนี่มันก็มีอะไร เราก็ดูว่า เอ๊! ใจเรา โหยหา อาวรณ์ไหม เกิดอร่อยเคยเสพ เคยอร่อย มันก็ไม่อร่อยอะไร มันก็ไม่เสพ ไม่โหยหาอะไร มันก็ไม่อยากจะไปเล่น ถึงเวลา ไปเล่นไพ่ มันก็ไม่อยากไปเล่น อยากจะกินเหล้าก็กินมันก็ไม่ เราตัดแล้วเราก็เฉยๆ อยากจะเที่ยวเตร่เฮฮา มันก็ไม่แล้วนี่ บอกว่า มันจะหยุด มันก็หยุดได้ง่ายๆ

อาตมารู้ ว่าอาตมามีบารมี ตอนหลังว่าเออ! เราง่ายนะบารมีของเรามี ก็หยุดมา เลิกมา ไอ้อบายมุขง่าย ถือศีลสิ ถือศีล อาตมาก็ไม่มีปัญหา ศีลห้าก็เอามาถือ ที่ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์นี่ มีความหมายง่ายๆ ก็เอามา แต่ความหมายลึกซึ้ง มันมีอีกนะ พอปฏิบัติ มาแล้ว มันก็สูงขึ้นๆ เอ! ศีล ๕ ก็ได้ เอาศีล ๘ หรือศีล ๑๐ มันมีความหมายอย่างไร ศีล ๑๐ มันก็คือ ศีลฐานสูงขึ้นไป จนกระทั่ง ละลาภ ละยศ ละโกรธ ละหลงอะไรพวกนี้ ละโลกียสุข ยิ่งขึ้น เอ! เราก็รู้ว่าโลกียสุข มันก็ยังงั้นๆ มีแฟน อาตมาโชคดี ที่อาตมา ยังไม่แต่งงาน ตอนนั้น อายุสามสิบกว่าแล้ว ที่อาตมามาปฏิบัติธรรมะ ๓๔ แล้วหล่ะ

อาตมาปฏิบัติธรรมจริงๆ อยู่ ๒ ปี เท่านั้น โดยปฏิบัติเอง อาตมาไม่มีครูบาอาจารย์ อาตมาไปเหมือนกันนะ สำนักโน้น สำนักนี้ เขาพาหลับหู หลับตา พายกมือยกไม้ ทำโน่น ทำนี่ อาตมาก็ไปดู เอ! พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยมีน่า พายกไม้ก็ไม่เคยบอกว่า พายกไม้ ยกมือ ก็ไม่เคยเห็นมี พาหลับหูหลับตา อาตมาก็ยังเชื่อๆ อยู่บ้างว่า หลับหูหลับตา แต่ตอนนั้น ก็ยังไม่แน่ใจ ก็หลับตาบ้าง

แต่อาตมาก็ว่า เอ๊! มันก็ตัดกิเลสรู้กิเลส จะไปหลับตาอยู่ทำไม เวลาสัมผัส ตา หู จมูก ลิ้น กายนี่ก็สอน สอนอายตนะ ๖ เนี่ย และ มันก็มีกิเลส เราก็เข้าใจนะ เออ! นี่เวลาสัมผัสนี่ ประเดี๋ยวเถอะ เราก็ชอบรูปสวย ชอบเสียงเพราะ ชอบอร่อยๆ เราก็มาตัด ละ ตัดอาหาร อร่อย ของกินอร่อยก็ลด ไม่กินหละอร่อย อาตมากินนี่ อาตมาปฏิบัติ เล่าให้ฟังก็ได้ ใหม่ๆ อาตมาเอาอาหารมา อาตมา จะกินข้าว กินอะไร เราก็ดู เรามีความรู้บ้าง ในฐานะถึงแม้ ไม่ใช่นักโภชนาการ ก็พอรู้อาหารอะไร มีประโยชน์ มีคุณค่าบ้าง เราก็รู้ เอามา ตอนนั้น อาตมายังกินเนื้อสัตว์อยู่ มีแกงก็เอามาลงจาน เอาข้าวลงไป แกงใส่ลงไป ผักก็ใส่ลงไป ขนมก็ใส่ลงไป โอวัลติน ก็เทลงไป คนแล้วก็กิน ทั้งข้าวทั้งกับผัด แกงเผ็ด ผัก ขนม โอวัลติน ก็ปนอยู่ในนี้ก็กิน กินอย่างนี้หละ ฟังแล้วคุณอาจจะอ๊วก ก็หัดกินให้ได้ มันก็เป็น อะไร กินไปกินมา มันก็อร่อยด้วย เอ๊! มันก็ดีเหมือนกันนะนี่ มันโล้ะๆ งั้นนี่ เค็มก็มี เปรี้ยวก็มี หวานก็มี มันก็มี มีอยู่ในนั้นเสร็จ ก็กิน อันนี้ก็คือ Abstract อันหนึ่ง คือทำลาย รูป รส กลิ่น เสียง เป็น Abstract อันหนึ่ง ไม่ยึดถือ รูป รส กลิ่น เสียง อะไรแล้ว ปนๆ พอกิน เออ! กับข้าวเท่านั้น

อาตมาได้ปัญญาอยู่ตอนหนึ่ง พออาตมากินไปก็ เอ! ไอ้เนื้อสัตว์นี่มันก็คาวๆ และมันก็ ยังงั้นๆ นะ และมันก็เกี่ยวเนื่องด้วย อธิศิล มันชักสูง อธิปัญญามันชักสูง ถ้าเรากิน เนื้อสัตว์ เขาก็ไปฆ่าสัตว์ เราไม่ได้ฆ่าโดยตรงหรอก ก็เหมือนเรา เอาสตางค์ ไปจ้างเขา วานให้เขาฆ่า แล้วเราก็ไปซื้อเขามากิน แม้เราไม่ซื้อเอง เราก็ให้แม่ครัวไปซื้อมา มันก็ เท่ากับ เราไปจ้าง ไปฆ่ามากิน อธิศีลที่มัน มีความเกี่ยวพัน มีความต่อเนื่องอย่างนี้ มันก็เห็นได้รู้ได้เราก็เลิก เลิกกินเนื้อสัตว์ดูซิ ผักพืชอะไรเราก็กินได้ เราก็กินผักพืช

ทีนี้พอกินอาหารผักพืช ไม่กินเนื้อสัตว์มาพักหนึ่ง อาตมาก็มาเห็น อยู่มาวันหนึ่ง แม่ครัว เขาก็ไปซื้อผักมา แล้วเขาก็เอามา ทำอาหาร ให้อาตมากิน ก็เป็นอาหารมังสวิรัตินี่หละ อาหารพืชผัก อาตมาจำไม่ได้แน่ชัดว่า มันเป็นผักบุ้งหรือผักกาด ดูเหมือน จะผักบุ้ง เขาก็เอามา เขาก็แกงมาให้ชามหนึ่ง เสร็จแล้วก็ผัดมาให้อีกชามหนึ่ง เสร็จแล้วก็ต้ม จิ้มน้ำพริกมาอีกจานหนึ่ง อาตมาก็ดู เอ๊ะ! ก็ผักบุ้งทั้งนั้น แกงก็ผักบุ้ง ผัดก็ผักบุ้ง ลวกมา จิ้มน้ำพริกมันก็ผักบุ้ง เอ! มันใส่มาตั้งสามจาน มันก็กินผักบุ้งทั้งนั้น อาตมาก็เกิด ปัญญาว่า เอ๊ะ! ทำไมเราต้องไปทรมานแม่ครัว แม่ครัวจะต้องล้างจานตั้ง ๓ จาน จานหนึ่ง ใส่แกง จานหนึ่งใส่ผัด จานหนึ่ง ใส่ผักจิ้มน้ำพริก ไปทรมานเขาทำไม ก็จะกิน ผักบุ้ง ก็ใส่ไฟมาทั้งนั้น ต้มก็ทำปฏิกิริยาด้วยไฟ ผัดก็ทำปฏิกิริยาด้วยไฟ ลวกมา จิ้มน้ำพริก ก็ทำปฏิกิริยาด้วยไฟ อาตมาก็บอก เออ ทีหลังผักก็ซื้อมาอย่างเดียวอย่างนี้ก็เถอะนะ ถ้ามันมาอย่างเดียว อย่าไปทำมา สามอย่าง ห้าอย่าง อย่างนี้เลย มันเมื่อยเปล่าๆ วุ่นวาย เพราะเราไม่ติดรูปแล้ว ไม่ติดรูปผัด รูปแกง รูปรสอะไรแล้ว เราฝึกมาแล้ว นะ เราไม่เห็น ภาระ มันบ้าไปติดค่าแกง ติดค่าของผัด ติดค่าของจิ้มน้ำพริก ติดค่าของดอง ของอะไร ก็แล้วแต่ เอ๊! ไม่เข้าเรื่อง นี่มันได้ปัญญาว่าเราก็โง่ ไปทำภาระให้กับคนอื่น และตัวเราเอง ก็ไปติดค่านิยม ไปติดอุปาทานอะไรอยู่อย่างนั้น

และตั้งแต่บัดนั้น อาตมาก็ยิ่งมีปัญญามากขึ้นว่า โอ้โฮเอย ก็กินผักกินพืชหลายๆ อย่าง วันนี้ได้ผัก อันนี้มา ก็กินไป หนักเข้า อาตมาก็ไม่ต้องผัด ต้องแกง กับข้าวอาตมาก็คือ โปรตีนได้จากถั่ว อาตมาให้คั่วถั่วลิสงใส่ถ้วย ใส่กระปุกไว้ บดตำใส่กระปุกไว้ เกลือ น้ำตาล มีไว้เสร็จ ตั้งไว้เป็นเครื่องเรียงบนโต๊ะ แม่ครัวไปจ่ายตลาดซื้อผักนานา ผักหลายๆ อย่างหน่อย ซื้อมาได้จำนวนหนึ่ง ล้างน้ำ ให้สะอาดดีๆ มาซอย หั่นใส่จานมา ข้าวมา อาตมาก็กินข้าวกับผักสด แล้วก็ถั่วงา น้ำตาล เกลือ สบาย มีผลไม้ก็ใส่ไป จะกินทีหลัง ก็กินผลไม้ ไม่กินทีหลังก็ปอกคลุกๆ คนๆ ด้วยกันก็กิน สบาย โอ้โฮท้องง่าย สวย ไม่มีไอ้เรื่องท้องเสียไม่มีเลย สบายอุจจาระ สวยมาก ผักสีเขียวมาก ก็ออกเชิงเขียวหน่อย ผักสีเขียวไม่มากก็ออกเหลืองๆ สวยไม่แก่นไม่แข็ง ไม่มีประเภท ท้องผูก ท้องเดินไม่มีเลย ( เสียงหัวเราะ) สบาย ก็ยิ่งเห็นอานิสงส์ว่า โอ! คนเรานี่มันโง่นะ มันยิ่งไปผัดไปแกง ไปต้ม ไปคั่ว ไปปรุงแต่งอะไรมากๆ มันยิ่ง ท้องเสียกันมาก มาเห็นธาตุแท้ของความจริงว่า เอ๊อ คนเรานี่มันโง่ มันลวงกัน แล้วเข้าใจอันนี้มา นี่ก็เป็นตัด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็ปฏิบัติ ด้วยโภชเนมัตตัญญุตา เป็นการปฏิบัติหลักธรรมปฏิบัติ

อาตมามารู้ทีหลัง พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้หมดแล้ว เป็นหลักปฏิบัติอันไม่ผิดของศาสนา สังวรใน อันทรีย์ ๖ ตา หู จมูก ลิ้น กาย โภชเนมัตตัญญุตา ฝึกหัดปฏิบัติธรรม ด้วยการ เลิกอาหาร เรื่องของกินของใช้ แล้วเราจะละกิเลสได้ อาตมาก็ทำมา ตั้งแต่ไม่ได้รู้ ตำรา แน่ะ อาตมาทำเอง รู้เข้าใจเอง ก็ทำอย่างนี้ เราถึงไปมีปัญญา ก็ละกิเลสมาได้เรื่อยๆๆๆ ละกิเลส เราก็รู้ว่า โอ้โฮ! มีแต่เวลาไป หาเงิน

อาตมากิน นอกจากจะกินอย่างนี้ กินลดมื้อด้วย กินตอนแรกก็ลดลงมา เหลือสองมื้อ กินเช้ากับเย็น เพราะเรามากินบ้านเรา ไม่ไปกินซื้อที่อื่น ยิ่งกินมังสวิรัติแล้ว เราก็มา กินบ้าน เช้าแม่ครัวทำให้ที่บ้านเสร็จ ก็ออกไปทำงาน ทำงานก็ทำงานไปทั้งวัน เวลาเที่ยง เขาจะไปเที่ยวกัน จะไปหาข้าวกินกัน กว่าจะไปมา ฮู้ เราทำงานได้ตั้งสบายไปอีกเยอะ ก็ได้งานเยอะ เราเสร็จแล้ว เพื่อนเราไม่เสร็จ เราก็ช่วยงานมัน ถึงเย็นไม่มีเวรเราก็กลับบ้าน มีเวรเราก็อยู่เวร บางทีอยู่เวรเพื่อนมันไม่อยู่หรอก มันไปเที่ยว มันไปงานโน่นงานนี่ ก็งาน กินเลี้ยงบ้าง งานวันเกิดเพื่อนบ้าง ที่จริงมันก็ไปเล่นไพ่กัน มันจะไปอะไรมันก็ไป อาตมา ก็อยู่เวรให้ เงินทองเขาเหล่านั้นก็เสีย อาตมา เงินก็กลับมีเหลือมากขึ้น งานก็ได้ มากขึ้น คุณฟังดีๆนะ เรื่องของการปฏิบัติธรรมนะ และมันทำให้เราเจริญ งานเวลาเรา เราได้ อาตมาสรุปได้หลาย ได้

๑. ทุนรอน ไม่เสียหายทุนรอนคืนมา
๒. แหมแต่ก่อนนี่เราเที่ยวจัง ไปหาบำเรอความสุข พอเราตัดกิเลสพวกนี้แล้ว เวลาเราได้ ขึ้นมาเหลือเฟือมาก แล้วเอามาทำเป็นสาระ ทั้งนั้นเลย อย่าขี้เกียจแล้วกัน อาตมามันดี อยู่หน่อย อาตมามันหัดขยันมาตั้งแต่เด็ก นี่ไม่ได้ชมตัวเองนะ เป็นเรื่องจริง อาตมา ทำงานมา ขยันมา ตั้งแต่เด็ก เวลาก็ได้คืนมา เวลาสำคัญ ทุนรอนก็ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ใช้จ่าย สุรุ่ย สุร่ายอะไร ไม่ไปเที่ยวบำเรอ ซื้อโลกียสุข บำเรอตนแล้ว เพราะฉะนั้น เงินทอง เหลือเฟือ คุณไม่ต้องลองอะไร ลองอบายมุขของตัวเองนี่ลดลง เท่านั้น คุณจะเห็นว่า เงินเหลือ ยิ่งปฏิบัติสูงขึ้น มันก็ยิ่งเหลือมาก แรงงาน คุณหัวเราะ นี่เป็นหมอนี่ดี แคลอรี่ มันจ่าย แค่หัวเราะ มันจ่ายแคลอรี่ หัวเราะมากๆ ก็ไปเสียเงินดูอะไรหัวเราะว่าเฮ้! ออกมาหิว โกรธก็แคลอรี่ จ่าย โลภสมโลภ สมราคะ ก็จ่ายแคลอรี่

ทีนี้เราก็ไม่ไปสมโลภ สมโกรธอะไรพวกนี้มากๆ แคลอรี่เราก็เหลือ แรงงานเราก็เหลือ แรงงานทางกายแท้ๆ เราก็เหลือ ยิ่งกำลังใจ ยิ่งมีมาก แรงงานทางกาย แรงงานทางใจ เหลือ นี่แหละได้คืนมา หลักใหญ่ ๆ ๑. ทุนรอน, ๒. เวลา, ๓. แรงงาน โอ..มันได้มากมาย ได้เหลือ ขึ้นมามากมาย เราก็เอามาเป็นอุปกรณ์ในการสร้างสรรค์ เวลาเหลือ เราก็ ทำงานไป อย่างที่ว่านี่ เราไม่ไปกินข้าวกลางวัน เราก็นั่งทำงานไปต่อ สบาย ไม่ต้อง รีบร้อนก็ได้ สุขุม ปราณีตไป พอมาถึงเย็น เราก็เสร็จแล้วงานเรา งานอะไรต่ออะไร ของเพื่อน มันซ็อกๆ มา บางคนมันเผลอๆ ไผลๆ ไปดื่มเบียร์มา กว่าจะมาถึงที่ทำงานก็มี โอ.. เละๆ เลอะๆ เราก็ช่วยไป เขาบอกว่า ถ้าเราไม่กิน ไม่เที่ยวอย่างคนแล้ว จะขาดสังคม ไม่ใช่ เรายิ่งไม่ขาดสังคมนะ เราอย่าขี้เกียจ เราอย่าเเห็นแก่ตัวแล้วกัน เราไม่เที่ยวกับเพื่อน แต่เรา ช่วยงานเพื่อน เพื่อนมันจะไปไหนเสีย บอกแล้วว่า ไอ้เพื่อนพวกนี้ มันก็ไปกิน ไปเที่ยว เงินมันก็น้อยกว่าเรา ประเดี๋ยวมันก็มายืมเรา เราก็ต้องให้มัน อย่าขี้เหนียว ให้มันยืม ถ้ายืมก็ตีเสียว่าเออ..ไอ้นี่สูญ อย่าไปคิดว่า มันจะได้คืนก็แล้วกัน มันคืนไม่คืน ช่างหัวมัน ก็หลายเยอะแยะ มันยืมไปแล้ว ก็ไม่ได้คืนอาตมาหรอก อาตมาไม่ถือสาอะไร

ปฏิบัติธรรมแล้ว เราจะเห็นว่า เราลดความโลภ เพราะเราเหลือนี่ ยังไงมันก็เหลือ อาตมา ไม่ได้เหลือแต่ที่ให้เพื่อนฝูงนะ คนมาขอเงิน ขอทุนเรียนหนังสือ อาตมาก็ให้ตั้งเยอะ ตอนอาตมา ปฏิบัติธรรม ไม่รู้เด็กมันมาจากไหนๆ มันมาได้อย่างไรก็ไม่รู้ มันมาลองของ หรือไงก็ไม่รู้ อาตมาให้เงินเรียนหนังสือ ทีละ ๓ คน ๔ คน ให้เรียนจริงๆ ให้เรียนเป็น รายเดือน รายอาทิตย์ รายวัน.. รายวันไม่มีขออภัย รายวันไม่มี ไม่ถึงขนาดรายวัน เขามาเอา เป็นรายเดือน รายอาทิตย์ บางคนเอาแต่ เฉพาะค่าเทอม ค่าอะไรพวกนี้ ก็ให้ใครต่อใครก็ให้ ใครที่มา เห็นดูแล้วว่าไม่ใช่คน เกเรเกตุง อะไร เราก็ดูหน่อย ก็ให้ มันเหลือ เหลือเฟือ และ เราก็ไม่ขี้โลภ และเราก็มีเหลือจริงๆ เราเห็นเลยว่า มันพอใช้ พอสอยนะ แล้วงานเรา ก็ได้มาก กินก็ไม่เสียเวลาอะไรมากมาย เพราะกินเหลือ ๒ มื้อ

หนักเข้า เหลือมื้อเดียว ยิ่งเหลือมื้อเดียว อาตมากินข้าวเช้า ไปทำงานมา กลับเย็น ไปอาบน้ำอาบท่า ไม่มีงานอะไร หกโมง อาตมาก็นอนแล้ว โอ.. สังคมมันกำลังวุ่นเลย หกโมงเนี่ย เจี๊ยวจ๊าวที่สุดเลย ทั้งเสียงทั้งอะไร แต่ละบ้านเปิดทีวี ระดมกันเคล้งๆ หนวกหู จะตาย เสียงอึกทึกที่สุดเลย ตอนหัวค่ำ เสียงเนี่ย ถ้าเผื่อว่าเราจะเอา เครื่องดักมิเตอร์ ดักเสียงเนี่ย หัวค่ำนี่เสียงหนวกหูที่สุด

อาตมานอนหกโมง ไปตื่นเอาสองยาม ตี ๑ เป็นเวลาที่สงัดที่สุด อาตมาเช็คหมดเลย โอ๊.. เวลาของสังคมนี่ เวลาของโลกนี่นะ เวลาตี ๑ นี่นะ เป็นเวลาที่เงียบที่สุด เป็นเวลาที่สงัด ที่สุดเลยนะ ทั้งๆ กรุงเทพฯ นี่เป็นเมืองที่ไม่มีเวลาหลับนี่ก็ตาม ยิ่งต่างจังหวัดแล้ว ก็เหมือนกัน ต่างจังหวัด มีชั่วโมงที่สงัดมากกว่ากรุงเทพฯ กรุงเทพฯชั่วโมงที่สงัดคือ ช่วงระหว่างตี ๑ มาหาตี ๒ สองยามก็ยังไม่สงัดดี ตีหนึ่งมาหาตีสอง ชั่วโมงที่สงัดที่สุด อาตมาสองยามก็ตื่นมาแล้ว นอน ๖ ชั่วโมง สองยาม บางทีก็ตีหนึ่ง ก็ลุกมาทำงาน กว่าจะถึง ๖ โมงเช้า โอ้โฮ! งานก็สงัด สงัด งานจะทำอะไรส่วนตัว งานค้างจากที่ทำงาน งานจะเขียนจะคิด จะทำอะไรต่ออะไรได้บานเบอะเลย เป็นผลผลิต เป็นงานการ มีแต่เงินกลับมา มีแต่ทางรวย มีแต่ทางได้ เสร็จแล้วพอตื่นเช้าอาบน้ำ อาบท่า สดชื่น ไปทำงาน

เราก็นอนพักผ่อนแล้ว เพราะว่าเราไม่เที่ยวกลางคืนแล้ว เรานอน เรารู้เวลา เวลาตั้งแต่ หกโมงไปถึง ๔ ทุ่ม ๕ ทุ่ม มันดัง หนวกหูที่สุด เอะอะ มะเทิ่งที่สุดเลยสังคม โดยเฉพาะ อย่างยิ่งกรุงเทพฯ เอะอะมะเทิ่งที่สุดโดยเฉพาะทุ่มหนึ่ง สองทุ่มถึงสี่ทุ่ม นี่อาตมา ปฏิบัติธรรม แบบนี้มา จนกระทั่งมันเลื่อนชั้น เลื่อนศีล เลื่อนธรรมอะไรขึ้นมา เห็นทะลุ ปรุโปร่ง อ๋อ! คนเรานี่มันเป็นทาส ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นทาสอะไรอย่าง นี้จริงๆ เมื่อเราวางปล่อยแล้ว มันไม่มีอะไร

อาตมามีแฟน อาตมาก็บอกแฟน ตอนแรกก็ว่าจะแต่งงานกัน แต่ผลสุดท้าย เออ.. มันก็กิเลสอย่างนั้น ก็รู้จริงๆ ก็รู้กิเลสนี้จริงๆ โถ ไอ้แค่ สมบำบัดใคร่อะไรนี่ มันไม่จริง ก็พาแฟนเขามาปฏิบัติ แต่แฟนเขาไม่เอา ปฏิบัติได้นิดๆ หน่อยๆ เขาไปไม่ไหว ไปไม่ไหว อาตมาก็บอก อาตมาไปดีแล้วนะ ต้องปล่อยอาตมานะ เขาก็ร้องไห้ ตอนแรกๆ เขาก็ร้องไห้ อาตมาก็ถามว่า อาตมาไปชั่วหรือไปดี อาตมาไม่ได้นอกใจอะไร อาตมาไปทำทางธรรมะ คือมันเป็นแฟนกันนะ แฟนสนิทๆกันมันก็รู้ ไม่ได้ปิดบังอะไรกัน เขาบอก เขาไปไม่ได้ ไปไม่ได้ ก็ไม่ต้องไป ไปไม่ได้ต้องปล่อยอาตมา เขาก็ยอมปล่อย เขาบอกเขายอมเสียใจ เขาก็ยอมเสียใจ เพราะว่าทางโลก เขาก็รู้ว่า อันนี้ดีแล้ว จะมาดึงอาตมาไว้ต่ำก็ไม่ควร อาตมาก็เลยมา เขาก็ไปทางเขา แต่สุดท้ายมันก็ไม่จริงหรอก เขาก็บอกเขารักอาตมา โอย! อาตมา มาทางนี้ดีแล้ว เขาหาคนที่เหมือนอาตมาไม่ได้ จะไม่แต่งงาน อยู่มาได้ตั้ง ๕ ปี ๖ ปี คุณ ไม่ยอมแต่งงาน แต่สุดท้าย ก็แต่งจนได้ เดี๋ยวนี้ก็อยู่ ลอนดอนโน่นแน่ สุดท้ายก็แต่ง จนได้นะ มันไม่จริงหรอก ความรักมันไม่จริงหรอก มันขี้เก๊ มันหลอก ก็จริงน่ะ อาตมาก็ว่า จริงนะ เขาก็ว่าเขาจริง อาตมาก็ว่าจริงความรักนะจริงล่ะ อย่างนั้นมันว่าจริง ที่จริงมัน ไม่จริงหรอก สุดท้าย มันก็ล้มเหลว มันก็เลิก มันก็ไปอย่างงั้นของมันได้

เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้น เมื่อได้ถึงกิเลส ละกิเลสเหล่านี้ได้จริง มันก็ไม่มีอะไร ถามว่าอาตมา มีอะไรดลบันดาลใจ อาตมา ไม่มีอะไร ดลบันดาลเลย ปฏิบัติตามขึ้น อย่างที่ว่านี่ จนสุดท้ายแล้วก็เห็นว่านี่ เออ! งานก็มันจะมีความลึกซึ้ง จนกระทั่ง เราจะเห็น ว่า งานที่เราทำนี่ เป็นงานอะไรบ้าง ที่เราเป็นทาสสังคม งานอะไรบ้างที่เรามอมเมากัน อาตมามีรายการอยู่ในทีวีนี่ มีรายได้เยอะ รายได้ รายการนั้น รายการนี้ อาตมาก็ต้อง ตัดออกเรื่อยๆ รายการมอมเมา ตอนแรกมีรายการเพลง ตอนก่อนนี้ อาตมาไม่เข้าใจ หรอกว่า เพลงนี่ มันมีค่าบ้างเหมือนกัน มันเป็นเพลงชีวิต เพลงอุดมการณ์ เป็นเพลงที่มัน จะช่วยปลุกเร้าคน ให้มีจิตใจสูงขึ้น มันก็มีได้ แต่ ตอนนั้น มันไม่รู้หรอก อาตมาก็แต่งเพลง ดีมั่งไม่ดีมั่ง แต่งเพลงมีแต่ส่วนมากก็ เป็นเพลงรัก รักๆใคร่ๆ อะไรนี่เยอะ อาตมาก็เลยเลิก รายการเพลง อาตมาก็ตัด หนักเข้ารายการ.. อาตมาไม่ค่อยได้ทำรายการบันเทิงเท่าไหร่ ทำทีวีใครๆก็รู้ รายการเด็ก รายการสารคดี ส่วนใหญ่ แม้แต่สารคดีทางแม่บ้าน อาตมาทำ รายการแม่บ้าน แม่เบิ้น รายการสิงสาราสัตว์ ต้นหมากรากไม้ ทำยี่สารวิทยา รายการ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานาพวกนี้ อาตมาทำรายการพวกนี้น่ะ พวกนี้อาตมาเอาไว้ และ เงินทอง ไม่ค่อยได้ รายการพวกนี้ ไม่ค่อยได้เงิน สปอนเซอร์ ไม่ค่อยเอา รายการบันเทิง ก็ไม่ค่อยเอา

สุดท้ายอาตมา แม้แต่รายการแม่บ้าน อาตมาก็ต้องมาทิ้ง มันให้เงินอาตมา เหมือนกันนะ มีสปอนเซอร์ มีพวกอาหาร เครื่องใช้เกี่ยวกับแม่บ้านนี่ มันก็มาโฆษณารายการแม่บ้าน และอาตมาก็ทำรายการ แม่บ้าน ได้เงินเหมือนกัน อาตมาก็มองเห็นด้วยความรู้ ด้วยปัญญา ปัญญาทางธรรม โอ..ไอ้แม่บ้านนี่ มันก็มาทำอาหาร หลอกล่อคน ให้อร่อยลิ้น อร่อยได้กลิ่น ได้รส ได้ดูแล้วก็เราเผลอ มันก็กิเลสน่ะ ซึ่งเราก็ตัดมาแล้ว เรื่องอาหาร เรื่องกิน เราก็มารู้มาทิ้ง อย่างนี้ เป็นต้น ทิ้งไม่เอาละ รายการอย่างนี้มอมเมาประชาชน แต่ถึงแม้ เดี๋ยวนี้ คุณคิดไม่ออกหรอกว่า รายการแม่บ้าน เป็นรายการ มอมเมา ประชาชน ยังไง มอมเมาประชาชน ก็ต้องทิ้งอย่างนี้เป็นต้น

รายได้มันลดลงก็ช่างมัน เพราะเราเหลืออยู่แล้ว ไม่ได้เห็นแก่เงินนะ ก็เอาเวลานั้น มาทำ อื่น ทำงานฟรี ทำงานอะไร ที่จะเป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ต่อสังคม สุดท้าย ก็เห็นแล้วว่า ตัวเองอยู่นี่ อาตมาตีราคาแต่ก่อนนี้ อาตมามีชีวิตอยู่วันหนึ่ง กินข้าว เลี้ยงชีวิตนี่ ๓ บาท ตอนนั้นล่ะนะ โอ..ค่าชีวิตของอาตมา วันหนึ่ง ๓ บาท รวมกับค่ารถ อีกหน่อย เอาล่ะ อาตมาให้ค่ารถตอนนั้น มันไม่แพงหรอก เบ็นซิน ซุปเปอร์ มันบาทยี่สิบห้าสตางค์ ลิตรหนึ่ง ตอนนั้นน่ะ ลิตรหนึ่งบาทยี่สิบห้าตางค์ ทองมันบาทละ สี่ร้อยกว่า ตอนนั้นน่ะ อาตมา ก็บอกว่า เอ๊! ค่าตัว หรือ ค่าหัวเลี้ยงชีวิตนี่วันหนึ่ง ๓ บาท กินมื้อเดียว ด้วย น้ำเปรี้ยว น้ำหวานไม่กินเล่นนะ ไม่กินหรอก น้ำเปรี้ยว น้ำหวาน ฮ๊อกแฮคอะไรนะ เคยตัดมาก่อน เรื่องน้ำโค๊กเรื่องเป๊บซี่นะ เคยตัดมาก่อนด้วยซ้ำไป เพราะมันของ ฟุ่มเฟือย เสร็จแล้ว ค่าน้ำมันรถ ให้อาตมาทำงาน มากหน่อยให้เดือนหนึ่งพันกว่าบาท พันกว่าบาทนี่ ให้มากแล้วนะ ค่ารถ ค่าอะไร ต่ออะไร ค่าน้ำมัน ค่าอะไร เอ! เรามีชีวิตของเรานี่เลี้ยงเอาไว้ เดือนหนึ่ง ไม่ถึงสองพันสามพันบาทเลย ชีวิตมันถูกนะ แต่เราหาเงิน ได้เดือนหนึ่ง ตั้งเป็น หลายหมื่น คุณคิดดูซิ ไม่รวยมันทนไหวหรือ เออ! มาคิด เออ! มันไม่มีอะไรนะชีวิตของเรานี่

ถ้าอาตมาไม่ทำงาน ไม่ต้องนั่งรถนั่งราไปยังงี้ ไม่ต้องขับรถ อาตมาก็ยิ่งถูกกว่านี้อีก ชีวิตนี่ มันถู้ก ถูก ก็เห็นชัดเจนว่า โอ! คนเรา ทุกวันนี้เป็นทาสตัวเอง ไปเป็นทาสค่านิยมโลก ที่มันหลอกเราทั้งนั้น เราต้องตามก้นสังคม เดี๋ยว ต้องอย่างนั้นอย่างงี้ ต้องหรู ต้องหรา ต้องฟู่ ต้องฟ่า ผู้หญิงต้องมีเพชรมีพลอย ต้องมีโน่นมีนี่อะไรต่างๆนานา โถ! ขี้หมาแท้ๆ นี่เอามาหลอก ดีไม่ดีเขาเอาอะไร มาปั้นไม่รู้ ทาสีทาเสอ ใส่กลิ่นใส่อะไรต่างๆ เหน็บ ตรงโน้น ตัดตรงนี้ อะไรน่ะ พอเลิกแฟชั่นแล้วก็โยนทิ้งไป เสียของให้เขาฟรีๆ ก็ไม่เอาเลย อย่าว่า แต่ขายเลย สารพัดสารเพ ถูกหลอกมากที่สุดอาตมาก็เห็นเออ! โลกเรานี่ อยู่ด้วยการ หลอกกันอย่างนี้เองละนะ ชัด และก็ดูว่า ชีวิตมัน จะกระทำอะไร เราก็มารู้ว่า เราเอง เราเข้าใจแล้ว จิตวิญญาณ

อาตมาเจอปัญหาอย่างนี้หละ คือปัญหา คือว่า ผู้ที่ มาหาอาตมานี่ มาเดี๋ยวเดียว แล้ว จะเอา ยอดๆ นะ อาตมาเจอปัญหาอย่างนี้ เสมอน่ะมาเดี๋ยวๆ จะเอายอดๆ (เสียงผู้ฟัง หัวเราะ) อาตมาเคยพูดอย่างบอกของท่านถูก อาตมาไม่มีปัญหา คุณไปเลือกดูเอาเอง ใช้ปัญญา ของตัวเองที่มี แม้จะเท่ากิ่งก้อย หรือจะมี เท่าภูเขาก็ตาม ใช้ปัญญาของคุณเอง คุณมีปัญญาเท่าใดก็ของคุณ ใช้ปัญญาของคุณ ไตร่ตรอง เลือกเฟ้นเอา เข้าคลุกเลย เข้าดูให้สนิทเลย อันไหนมันเข้าท่ากว่ากัน ก่อนจะลอง ก่อนจะไปฝึกหัดปฏิบัติ เข้าไป คลุกเลย ไปดูให้แน่ๆ ตามปัญญาของคุณ เลือกเฟ้น อาตมาตอบไม่ได้ คุณไปถามใคร เขาก็ว่าของของเขาถูก

 มันเป็นเรื่องภาษาพระเรียกว่า สัจจาภินิเวส มันเป็นสัจจะของส่วนตนที่ปักมั่น ของใคร ก็ถือว่า อันนั้นเป็นสัจจะ ของเขานะ เพราะฉะนั้น อาตมาตอบตายตัวไม่ได้ ว่าแตกต่างกัน อย่างไร อาตมาพอรู้ว่าแตกต่างกันอย่างไร แต่ว่าขยายความไม่ไหว อาตมาบอก ของอาตมา ที่ทำได้ว่า ของอาตมานั้นยึด ศีล สมาธิ ปัญญา หรือเดินตามมรรคองค์ ๘ เพราะฉะนั้น จะไม่มานั่งหลับหู หลับตา สะกดจิต สมาธินี่คือสัมมาสมาธิ ที่เกิดจาก มรรคองค์ ๘ ตั้งแต่ มีสัมมาทิฐิถึงสัมมาสติ และเกิดสัมมาสมาธิ ที่พระพุทธเจ้า ท่านยืนยัน ตรัสไว้ ในมหาจัตตารีสกสูตร และอาตมา ก็พาปฏิบัติอย่างนั้น และอาตมา ก็พิสูจน์ มาแล้วว่า เป็นคน ละโลภ โกรธ หลง ได้จริงๆ เป็นคนไม่ติด ไม่ยึดกิเลสอะไรลงมา ได้ตามหลัก ส่วนของคนอื่นท่านก็ยืนยันไป มีคนสรุป ว่า สันติอโศกนี้ ปฏิบัติเน้นศีล ธรรมกายเน้นสมาธิ ท่านพุทธทาสเน้นปัญญา นอกนั้นสำนักอื่นๆ ก็ว่ากันไปตามเรื่อง ก็ไม่รู้นะ

ขณะนี้อาตมาว่า ที่เขาเข้าบอร์ดนี้อาจจะมี ๓ สำนักนี่มั่งขณะนี้ หมอประเวศ ก็กำลัง เอาลงใน หมอชาวบ้านอยู่เดี๋ยวนี้ก็เอานี่ เห็นไหม มีสวนโมกข์ ธรรมกาย สันติอโศก เนื่ย กำลังวิจัยอยู่ตอนนี้ เอาว่าไป ( เสียงหัวเราะ) อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะจะตอบ รายละเอียด ก็ไม่มีเวลาแล้วหล่ะนะ

ถาม การบริหารวัดของท่าน ท่านมีวิธีการอย่างไร จึงทำให้วัดเจริญก้าวหน้าเช่น

๑. บุคคลมีจำนวนเท่าไร ประเภทไหนบ้าง มีปัญหาอย่างไร
๒. การดูแลรักษาวัดให้มีความสะอาด สิ่งก่อสร้าง
๓. การบริหารเงินได้มาอย่างไร ใช้อย่างไร
๔. การกำจัดสิ่งปฏิกูลอย่างไร

ตอบ ๑. บุคคลมีจำนวนเท่าไร อันนี้บอกค่าเฉลี่ยก็แล้วกันนะ อยู่ที่ปฐมอโศกนี่.. คือ อาตมาเป็น สังคมๆหนึ่งนะ อย่างอยู่ปฐมอโศกนี้ เป็นสังคมๆหนึ่ง ดร.สมบัติ มามูฟ ให้พวกอาตมา เป็นสังคมพุทธยูโธเปีย ที่นี้เขากำลังทำวิจัยอยู่ตอนนี้ ดร.สมบัติ จันทวงศ์ ที่แปลหนังสือ ยูโธเปียเนี่ย ดร.สมบัติ ถ้าใครเคยอ่าน กำลังมามุบมิบ ให้พวกอาตมา เป็นสังคม "พุทธยูโธเปีย" คือเป็นสังคมที่มี อุดมการณ์ และก็เป็นสังคม ที่เลือกสังคมหนึ่ง ซึ่งต่างหากจากสังคมส่วนใหญ่เขา เพราะฉะนั้น ก็มีวัฒนธรรม มีความเป็นอยู่ ของเขา อย่างนี้ และมันสอดคล้องกันยังไง มักน้อยสันโดษ เป็นไปด้วยความเกื้อกูล เห็นส่วนกลาง เป็นส่วนสำคัญ อะไรแล้วแต่ ก็รู้สึกว่า จะทำอย่างนี้กัน ดร. สมบัติ กำลังมองอยู่ เพราะ ดร.สมบัตินี่ จบมาทางรัฐศาสตร์ กำลังมองสังคม จบมาทาง รัฐศาสตร์จะ ดูว่า เอ๊ะ รัฐน้อยๆ ของปฐมอโศกนี่ มันเป็นยังไง ก็ขอทำมา ๒ - ๓ ปีแล้ว ทำมา ๒ ปีกว่าแล้ว ดร.สมบัตินี่จับตามองแล้วก็ดู ๒ ปีแล้ว นี่ก็เพิ่งจะออกมา part แรก ทำวิจัยออกมา อาตมาก็เพิ่งเห็นปึ้งหนึ่ง ทำมา part แรกก็ส่งให้ ทางศูนย์วิจัยเขาอยู่ตอนนี้ เพราะฉะนั้น ในนี้นี่ เป็นสังคมที่มีทั้งคนที่อยู่ในหมู่บ้านนี้ด้วย รวมทั้งหมู่บ้านทั้งอะไร ต่ออะไร ในขณะนี้ หมู่บ้านนี่ก็สมใจกันนะ แต่เสร็จแล้ว ก็มาอยู่กัน ยังไม่ค่อยรอด เลยมี บ้านซะเยอะ คนเองก็ไม่ค่อยอยู่ แม้แต่บ้านผู้ว่าก็อยู่ในนี้ก็มี อย่างที่ๆรู้ๆกันอยู่ ผู้ว่าเอง ก็มาวันศุกร์ วันเสาร์ อาทิตย์ อะไรแค่นั้น นอกนั้นก็ไม่ได้อยู่ประจำอะไร รวมแล้วก็อยู่ ประมาณร้อย สองร้อย ในที่นี้ถ้าจะนับเอาหลวมๆ หน่อย จริงๆ ไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่ก็อยู่อย่าง ที่มีอุดมการณ์ หรืออย่างฝึกหัด และกำลังปฏิบัติตนเพื่อที่จะให้เป็นสังคมพุทธ

ดร.สมบัติ แกพยายามจะเทียบเคียงว่าสังคมพุทธ คือ สังคมพระศรีอาริย์ เทียบกับ สังคมยูโทเปีย ก็ว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น บุคคลประเภทไหนบ้าง มีตั้งแต่ชาวไร่ชาวนา ที่ไม่รู้หนังสือ จนกระทั่งถึง ตอนนี้ยังไม่ถึง ปริญญาเอกมีน้อยมาก ปริญญาโท ก็มีพอ สมควร ปริญญาตรีมีพอสมควร ปริญญาโทก็ไม่มากคนเท่าไหร่หรอก ก็มีนะ ปริญญาตรี ก็พอสมควรหน่อย นอกนั้น ก็มีการศึกษา ในชั้นระดับกลาง ในระดับอะไร ก็มีทั้งนั้นหละ มีทุกประเภท ก็แน่นอนหละ คนระดับพื้นฐานนี่ เป็นผู้มีการศึกษาน้อย เป็นพื้นฐาน การศึกษาที่สูงก็น้อย ยิ่งปริญญาเอกคนก็ยิ่งน้อย มันก็เป็นธรรมดาของค่าเฉลี่ย ที่มา อยู่ที่นี่ มันก็แบ่งมา จริงๆ และ อาตมาบอกได้เลยว่า ยิ่งเรียนสูงๆ ยิ่งจะลดตัวลงมา อย่างนี้ยาก เพราะอะไร เดี๋ยวฟังไปจะรู้ ประเภทไหนบ้าง? มีปัญหาอย่างไร? ปัญหา ละกิเลส ของตัวเอง เมื่อมาศึกษาที่นี่แล้ว จะคลายความสงสัย จะเห็นจริงเห็นจัง ขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่อยู่ที่นี่ไม่ได้ เพราะกิเลสตัวเอง มันมาก เป็นปัญหาของเขา แต่ถ้ากิเลส ตัวเองไม่มากพอ พอใจที่จะอยู่ ที่นี่ ทั้งนั้น แม้คนออกไป ก็ยังอยากจะอยู่ที่นี่ แต่ตัวเองอาย ตัวเองมีกิเลสมาก แล้วมันอาย อยู่กับหมู่ไม่ได้เท่านั้นเองเป็นปัญหา

ถาม ๒. การดูแลรักษาวัดให้มีความสะอาด สิ่งก่อสร้าง

ตอบ การดูแลรักษาวัดนั้น พวกเราบริหารกันโดยทุกคนต้องดูแลความสะอาดของวัด ของส่วนกลาง หรือของส่วนตัว ก็ต้องทำ เพราะฉะนั้น ทุกคน ไม่มีใครแม้แต่อาตมา ต้องขัดส้วม นี่เป็นเรื่องจริงเลย ต้องขัดส้วม แม้แต่อาตมา ก็ต้องขัดส้วม ใครก็ต้องขัด ของตัวเอง ที่บ้านของตัวก็ต้องขัด ของส่วนกลางก็ต้องขัด โดยเฉพาะของตัวไม่ขัด ต้องขัดของส่วนกลาง ถ้ามาใช้ ของส่วนกลาง ต้องขัดนะ มีแปรงให้ มีน้ำให้แล้วต้องขัด นอกจากใครไม่ขัด ก็เป็นคนขี้เกียจเอง คนที่ไม่รับการอบรมเอง แต่ใครอบรมแล้ว ก็อบรม เพราะฉะนั้น ดูแลอะไรที่ควรไว้ ยังงี้ไม่ใช่สกปรก เราต้องการให้มีใบไม้ ปกคลุมดิน มันหน้าแล้ง ดินมันจะได้ไม่แห้ง ไม่แข็ง ไม่แตกระแหง เพราะฉะนั้น เราให้ใบไม้ปกคลุม เราเว้นไว้เฉพาะที่เดินเท่านั้น ไม่ใช่เราปล่อยปละ ละเลย แต่ถ้าหน้าฝนปั๊บ เราจะกวาด ใบไม้ออกหมด แต่ถ้าหน้าแล้ง เราจะให้ใบไม้ปกคลุมเป็นอย่างงี้ไปยังงี้เป็นต้น นี่ไม่ใช่ หมายความว่า ปล่อยให้ไว้สกปรก เพราะฉะนั้น ตรงไหนควรจะทำสะอาด เราก็กวาดดูแล ไม่มีปัญหาอะไร มากมาย พูดความจริงกันให้รู้ มันก็ไม่ใช่เรื่อง ลึกซึ้งอะไรมากมายหรอก รักษาความสะอาด

ถาม การบริหารเงิน ได้มาอย่างไร ใช้อย่างไร

ตอบ เรื่องนี้เป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ การบริหารเงิน ฆราวาสเป็นผู้บริหาร พระไม่เกี่ยว ในเรื่องเงินเลย นักบวช อย่าว่าแต่พระ แม้แต่สิกขมาตุ นักบวชหญิง แม้แต่เณรถือศีล ๑๐ แล้วไม่มีเงินทอง นักบวชที่นี่ต้องเป็นเณร หรือเป็นสิกขมาตุ มาถือศีล ๑๐ แล้วไม่มีเงินทอง ไม่ใช่ไม่มีเงินทองเท่านั้น แม้แต่สมบัติของตนเอง ที่มีมาก่อนมาบวช ให้เซ็นออกให้หมด มีที่ดินอสังหาริมทรัพย์อะไร ก็ต้องจ่ายออกให้หมด เซ็นออกเป็นของคนอื่นหมด มาแต่ตัว กับหัวใจ อย่าเอาเงินทองมา ผู้ใดไม่กล้า ก็ไม่ต้องมาบวช ผู้ใดกล้าก็ ค่อยมา จะมีกี่ล้านๆ ก็ตามใจ คุณก็ต้องเซ็นออกหมด เพราะฉะนั้น ผู้มาอยู่ที่นี่แล้ว ฆราวาสที่ดูแลช่วยเหลือ เงินทองที่จะซื้อขาย จับจ่าย มีฆราวาส มีกรรมการอย่างหมู่บ้านนี้ ก็มีกรรมการ ดูแล เรื่องการเงิน

ถาม เงินได้มาจากไหน

ตอบ เงินได้มาจากพวกเราเอง ไม่ต้อนรับเงินของข้างนอก พวกคุณนี่มาที่นี่ครั้งแรก ไม่มีสิทธิเลยจะบริจาคบาทหนึ่งก็ไม่มี ห้าล้านก็ ไม่ได้ ประเดี๋ยวจะบอกว่าบาทหนึ่ง ก็ไม่รับนะซิ จะห้าล้านรับไหม สิบล้านก็ไม่รับ บาทหนึ่งก็ไม่รับ ไม่มีสิทธิที่จะมาทำบุญ เราไม่ต้องการ เงินคนอื่น ต้องการเงินคนที่มีทานในใจ รู้ว่าจ่ายเงินนี้ออกมาเพื่ออะไร นี่คือการบริหารการเงิน เพราะฉะนั้น เงินทุกบาท ทุกสตางค์ ของพวกเราเองทั้งสิ้น มารวมกันไปในกองกลาง เรียกว่าทำบุญทำทาน ถ้าใครพอใจจะเอาเข้ามา ก็เอาเข้ามา ไม่พอใจ ไม่บังคับ ใครเกิดปัญญาเห็นว่า ควรจะทำทานทำบุญ มาสินี่เงินต้องการจะทำนะ ที่สร้างโรงพิมพ์อยู่ขณะนี้นี่ กำลังเห็นกำลังขึ้นนี่ ตึกห้าชั้น หกชั้นนี่ ลงทุน ๔ ล้านบาท แต่ไม่มีเงิน สักบาท เอาจะสร้างนะบอกกัน เอามาลงทุน ตอนนี้เงินก็จวนจะหมดแล้ว ก็ต้องบอกกัน ต่อไปเงินจะหมดแล้ว นะเนี่ย เทพื้นนี้ก็หมดแล้ว ทำพื้นนี่ก็ยังไม่ได้ทำ ไอ้โน่น ไอ้นี่อีกก็จะบอก เพราะฉะนั้น ใครมีเงินก็เอามา และมันอัศจรรย์ตรงที่ว่า พวกอาตมา สอนกัน ไม่ให้สะสมเงิน มีเงินแล้วให้พยายามสะพัดออกไป สู่คนอื่น หรือ ทำประโยชน์ ออกไป สู่ข้างนอก อย่าสะสม อย่ากักตุน เอามานั่งกองๆ ได้เปรียบมาไม่เอา ต้องไม่เอาเปรียบ ต้องพยายามให้ซื่อสัตย์ สุจริตเสียสละ อย่าเอาเปรียบ ค่าแรงงาน ที่ควรได้มา ถ้ายิ่งลดค่าแรงงานของเรา ตีราคาค่าแรงงานของเราถูกลงเท่าไรๆ นั่นคือ คนเจริญ ถ้ายิ่งตีราคาค่าแรงงานของเราแพงขึ้นๆ เปรียบสังคม เพราะฉะนั้น เรายิ่งเก่ง เท่าไหร่ยิ่งดี คุณยิ่งเก่งยิ่งสามารถสร้าง อะไรดีๆ ได้สร้าง และอย่าไปคิดราคาของเราแพง ยิ่งคิดถูก ยิ่งของเราตี ราคาถูก คุณยิ่งมีค่ามาก ถ้ายิ่งของราคาของคุณดี แล้วก็ไปคิด ราคาแพงๆ คุณก็ตีราคาค่าของมันคืนมาหมดแล้ว คุณเจ๊า คุณไม่มีค่าอะไรเลยในสังคม ของอันนี้ ที่คุณผลิดขึ้นมา มันมีประสิทธิภาพสูง สูงก็ให้เขาไปใช้ ถ้ามันมีประสิทธิภาพ

สมมุติว่าราคาของสังคมจะราคาสักประมาณร้อยหนึ่ง ร้อยหนึ่ง ถ้าคุณให้เขาไป เอาเงิน ร้อยมา คุณไม่มีค่ากับสังคมแล้ว เพราะว่า ค่ามันเจ๊ากันแล้ว ใช่ไหม แต่ถ้าคุณให้เขาไป และคุณก็เอาคืนมาเก้าสิบ คุณเหลือค่าให้แก่สังคมสิบ คุณมีประโยชน์สิบ คุณได้กำไรสิบ ถ้าคุณให้เขาไป ค่ามันร้อยหนึ่ง คุณเอาคืนมาแค่ ๖๐ คุณให้สังคม ๔๐ คุณมีค่า ๔๐ ได้กำไร ๔๐ แต่ถ้าค่ามัน ในสังคมจริงๆ ๑๐๐ แล้วไปหลอกลวงล่อว่าไอ้นี่มีเศษนะ ไอ้นี่ต้องเสียค่าโฆษณา ค่าโน่นแล้ว คุณก็มาขายค่า ๕๐๐ คุณเอาเปรียบ สังคมมาอีก ๔๐๐ เป็นหนี้สังคมอีก ๔๐๐ นั่นคือการขาดทุนอย่างย่อยยับของคุณ แต่สังคม เขากลับ เห็นว่า ถ้าขายได้ ๕๐๐ เกินร้อยไป นั่นคือกำไร เห็นไหมว่า ความหลงผิด เห็นกงจักร เป็นดอกบัว คนเห็นบาปเป็นบุญ เขามีบาปไปตั้งอีก ๔๐๐ บาท เป็นหนี้สังคมอยู่อีก
ตั้ง ๔๐๐ บาท นี่คือสัจจะที่เรายังมองไม่ออกกัน และยังไม่เข้าใจ ทุกวันนี้สร้างบาปกัน ทั้งนั้น ทุกคนได้เปรียบว่าเป็นของดี แท้จริงเป็นการขาดทุน เป็นหนี้สังคม

แต่ถ้าเรายิ่งให้ฟรีนี่ร้อยหนึ่ง เราให้ฟรีเลย ไม่ต้องเอาคืนมาสักบาท ไม่ต้องแลกมาเลย เรามีค่าให้แก่สังคม มีประโยชน์ ให้แก่สังคม ทั้งร้อยเลย ยิ่งมีประสิทธิภาพสูง สังคม ยิ่งได้บุญคุณจากเราไปเลย เรามีบุญคุณต่อสังคมไปเลย ตั้งหลักดีๆ นะ (เสียงหัวเราะ) ฟังธรรมะ มันจะกลับหัวเป็นหาง มันจะกลับขั้วบนขึ้นล่าง เดี๋ยวเอาหัวเดินต่างตีนอยู่นะ ต้องตั้งหลักดีๆ คือสัจจะ เพราะฉะนั้น พวกเราเข้าใจ พวกเราจะไม่กอบโกย พวกเรา จะเสียสละ เสียสละคือบุญนะ คุณเถียงมาสิ ถ้าว่าเสียสละคือบาป เถียงมา เอาเปรียบ นี่คือบาป การได้เปรียบนี่คือบาป แต่คนเราก็พยายามเอาเปรียบกันทั้งนั้นเลย เห็นไหมว่า คนเราพยายามก่อบาป อยู่ด้วยกันทั้งนั้น ได้เปรียบเท่าไหร่ดีใจ เอาไปฉลองได้บาป น่าเกลี๊ยด เห็นไหม ( เสียงหัวเราะ) ไปได้เปรียบมา โอ๊ย ได้เปรียบ อะไรมานี่ ยิ่งวิ่งเต้น อะไรมานี่ ได้เปรียบเยอะๆ ยิ่งฉลองกันใหญ่ ฉลองบาปตัวเอง มันน่า หนำใจ ไหม ด้วยความไม่รู้ ด้วยอวิชชานะ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น เงินทองที่ได้มานี่ ได้มาจากพวกเรา ที่ต้องปฏิบัติสัจจธรรม แล้วไม่กอบโกย แม้เท่านั้น เราก็เลี้ยงครอบครัว และสังคม ชีวิตพวกเราอยู่ได้

บอกแล้วว่า เราไม่ต้องการเงินทองของคนนอก ของคนอื่น ไม่ต้องการ จริงๆ แล้วเราก็มี มาตรการของเรา ด้วยว่า จะไม่รับเงินของคนข้างนอก จะต้องรับเงิน คนที่มาศึกษากับเรา อย่างน้อยต้องมาถึง ๗ ครั้ง ต้องมาติดตามศึกษาอย่างน้อย ๗ ครั้ง หนังสือแสงสูญ มีบอกไว้หมดหล่ะ อ่านดูก็ได้ ในปกมีนโยบายสำคัญของพวกเรา หรือไม่ก็ต้องอ่านหนังสือ ของพวกเรา อย่างน้อย ๗ เล่ม แต่ไม่ใช่อ่านหน้าปกหลังปกก็จบ นั้นไม่ใช่ ต้องอ่านจริงๆ นะ ๗ เล่ม อ่านอย่างน้อยก็อ่านซะ ๗ เล่ม ถึงจะสามารถ ทำบุญ กับเราได้ เรื่องการเงิน ได้มาอย่างนี้ ได้จากพวกเรา ใช้อย่างไร ใช้อย่างที่จะต้องรู้คุณค่า ของมัน เป็นประโยชน์ เพราะเราไม่ ฟุ่มเฟือยแล้ว อย่างที่เล่าไปคร่าวๆ แล้ว เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ใช้ไปในเรื่อง ไม่เข้าท่า เราก็ใช้ที่มันเป็นสาระแก่นสาร เราเอง เราปฏิบัติมา ตามอย่างนี้ เรารู้สาระ อันนี้แล้ว เรื่องอะไรจะจ่ายไม่เข้าท่านะ เพราะฉะนั้น การเงินของเรา ไม่รวย พวกชาวอโศก ไม่มีรวย พระพวกเราเป็นเศรษฐี เศรษฐีแปลว่าผู้ประเสริฐ พวกเรา จะไม่มี กระฎุมพี กระฎุมพีแปลว่า ผู้มั่งคั่ง ชาวกระฎุมพี มีอยู่ในสังคมเยอะ แต่ที่นี่ไม่มี กระฎุมพี มีแต่เศรษฐี เศรษฐี เศรษโฐ นี่แปลว่า ผู้ประเสริฐ ภาษาบาลีนะ

๔. กำจัดสิ่งปฏิกูลอย่างไร? สิ่งปฏิกูลนี่หมายความถึงขนาดไหน อาตมาอธิบายเรื่อง การดูแลรักษาวัด ความสะอาด สิ่งก่อสร้าง แล้วคร่าวๆ การกำจัดปฏิกูล ก็พยายาม จะเรียนรู้ความจริง และอาตมาก็เห็นความสำคัญ ของปฏิกูล ขยะนี้มาก อาตมาพูด มานานแล้วว่า เมื่อไหร่นะ ในมหาวิทยาลัย เมื่อไหร่จะตั้งคณะขยะวิทยา Grabology ใครจะตั้งคณะ Grabology มั่งก็แสลงมา จาก Grabage นะ ใครจะตั้งคณะขยะวิทยามั่ง ตั้งเดี๋ยวนี้อาตมาบอกให้เลย ว่าจบแล้วหางานทำได้เดี๋ยวนี้ เพราะขยะยังไม่แพง ต้นทุน หาง่าย จบบัณฑิต ขยะวิทยา ปริญญาตรี - โทมาเดี๋ยวนี้ หางานทำได้เดี๋ยวนี้ ขยะวิทยานะ และ ควรจะเรียนอย่างยิ่ง ควรจะตั้ง ด้วยนะ ศึกษาให้ดีเลย แล้วจะต้องแปลขยะ รู้จักขยะ และพยายามที่จะทำอะไรต่ออะไร สังคมก็จะเจริญขึ้น จะดีขึ้น แต่ยังไม่มีใครเลย คุณทั้งหลาย ถ้ามีโอกาสไปพยายามนะ ตั้งคณะขยะวิทยา อาตมาฝากไว้ด้วย ตั้งคณะ ขยะวิทยาขึ้นมาบ้าง เอ้า..จริงๆ มันเป็นเรื่องไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ทีนี่เรียนรู้เรื่องขยะ เรื่องปฏิกูล ต่างๆ ก็พยายาม แต่ว่ายังไม่เก่ง ยังไม่ดี ก็ขอยอมรับ ยังปรับอะไร ยังไม่ได้ดี ก็พยายามที่จะทำยังไง ปัญหาเรื่องขยะแต่ละวันๆ ทุกวันนี้จะทำยังไง ที่นี้นี่แมลงวัน ม้ากมาก ไม่ใช่ฤดูฝน แมลงวันมาก แต่แมลงวันไมใช่ของที่นี่ เพราะสิ่งแวดล้อมที่นี่ คอกหมูทั้งนั้นนะ ที่นี่เลยรับเละเลย มันก็มาของมัน ยากที่สุดเลย เราไม่ได้สร้างนะ ยุงก็มาก แมลงวันก็มากทีนี่ นครปฐมนี่ เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เราไม่มีมุ้งกั้นไว้รอบนี้ ไม่มีมุ้งกัน มันก็เข้ามา

แต่เราก็พยายาม ศึกษาสิ่งปฏิกูลต่างๆนานา ก็พยายามเรียนรู้ และ เรื่องที่มันค้านแย้งอยู่ เป็นอย่างมาก คือ พวกอาตมา เป็นพวก ถอดรองเท้า พวกไม่ใส่รองเท้า และก็มีคน ค้านแย้ง ในหลักวิทยาศาสตร์เสมอว่า คนถอดรองเท้าสกปรก อาตมาขอยืนยันว่า คนใส่ รองเท้า คือคนสกปรก คุณถอดรองเท้ามาเดี๋ยวนี้ เอาอะไรมาเครื่องวัด วัดเท้าคุณ เดี๋ยวนี้ว่า ขณะนี้ เท้าคุณนะ มีเชื้อ หรือ อาตมาจะมีเชื้อ ใครจะมากกว่ากัน วัดได้เลย อาตมาท้าได้ อย่างน้อย ที่สุด เชื้อราก็เกิดขึ้น นี่ง่ายๆ ก่อนแล้ว ไอ้อับหมักๆ เหม็นๆ Bacteria ของในเท้าคุณ มีมากกว่า อาตมา จริงๆ ยิ่งใส่ถุงไว้อบยังงี้ด้วย เย็นใจเลย อาตมาเคย ยังงี้เคยมาแล้ว อย่างน้อย ไอ้ง่ามเท้า ง่ามนิ้วนี่รับรอง เพราะฉะนั้น จะบอกว่า เท้าใคร สกปรกกว่ากัน พวกคุณ แต่เปื้อนฝุ่น ใช่พวกอาตมาเปื้อนฝุ่น มากกว่าพวกคุณ แต่สกปรก พวกคุณสกปรก กว่าอาตมา เพราะฉะนั้น นี้น่ะเป็นเรื่องที่จะศึกษากันดีๆ

พระพุทธเจ้านี่ ใส่รองเท้าทองนะ แต่ท่านมา แบฟูทนี่ ท่านฉลาดนะ เป็นผู้ที่มีปัญญาสูงสุด คุณเชื่อหรือว่า ท่านไม่มีความรู้ ทาง ชีววิทยา เชื่อหรือว่า พระพุทธเจ้า ท่านไม่มีความรู้ ทางชีวะ ท่านมีนะคุณ แต่ท่าน ทำไมถึงทำอย่างนี้ นำพามนุษย์ทำอย่างนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้ง น่ะ ลึกซึ้งและก็มีภูมิคุ้มกันสูง พวกคุณนี่ ถ้าถอดรองเท้าแข่งกันกับอาตมา พวกคุณนี่ ตายท่าเดียว ภูมิคุ้มกันต่ำ จริงๆ ที่ว่านี่ภูมิคุ้มกันสูง และมันสู้ได้กับธรรมชาติ ธรรมชาติ จริงๆ สร้างมาก็ไม่ได้สร้างรองเท้า มาจาก ท้องพ่อท้องแม่หรอก เรามาดัดจริตทั้งนั้นหละ เพราะฉะนั้น เราอ่อนแอลง เราก็กลายเป็นภาระ และเสร็จแล้ว มันก็เป็นเครื่องอลังการ ต้องรองเท้าฉันสวย ร้องเท้า ฉันราคาแพงอะไร ฮู้! บ้าไปใหญ่ อีกหลายเรื่องน่ะ ไม่เข้าท่า อันนี้ก็เรื่องประกอบ คำว่า ปฏิกูล พวกเรานี่ถอดรองเท้ากัน และก็พยายามเรียนรู้ มีสติอยู่ ปฏิกูล จริงๆ เราก็ต้อง ละเว้น เราก็ต้องเลี่ยง อย่าไปย่ำ อย่าไปชนมัน แล้วเราจะมีสติ ระมัดระวังรักษาเท้าของเรา และเท้าของเรานี่จะนุ่ม เดี๋ยวนี้ ต้องไปนั่ง ต้องไปหาสิ่งที่นวด รองเท้าก็ต้องมีปุ่มๆ อะไร ต้องย่ำพื้นเท้า โอย! อันนี้ไม่ต้องเลย ธรรมชาติย่ำมันอยู่ทุกวัน สบาย ไม่ต้องมา นั่งเสีย อนามัย เสียสุขภาพ ต้องมานั่งต้องย่ำเท้าอะไรต่ออะไร ไม่ต้องเลย ก็มันของมันอยู่ในตัว ก็ต้อง ตามธรรมชาติ อยู่แล้วนะ เอาล่ะ คิดว่าคงพออันนี้

ถาม คุณหมอพจน์ บุญศรี ถามว่า คุณหมอพจน์ บุญศรี มีสิ่งบันดาลใจอย่างไร ที่ทำให้ มาถือศีลเช่นนี้

พ่อท่าน เอ้า! เอาไมโครโฟนให้หมอพจน์เอง ตอบ ( เสียงหัวเราะ) มีสิ่งบันดาลใจอย่างไร ที่ทำให้มาถือศีลเช่นนี้ เพราะเท่าที่ทราบ ท่านก็มีความสำเร็จ ในชีวิตส่วนตัว และขณะนี้ ยังเปิดคลีนิคอยู่หรือไม่ เจริญแล้ว ปิดคลีนิคแล้ว ( เสียงหัวเราะ) เจริญขึ้น ข้ามขั้นที่ว่า ก็เปิดคลีนิค อยู่ตั้งหลายปี มาคบกับอาตมาหลายปี ตอนนี้ปิดคลีนิคแล้ว เอ้าๆหมอ ตอบหน่อย

มอพจน์ ตอบ คือสิ่งบันดาลใจของผมนะครับ ที่มาปฏิบัติธรรมนี่นะครับ คือผมอยู่ ทางโลกๆ นี่ ในการที่มีชีวิตอยู่ ทางด้านเกี่ยวกับ รักษาโรคภัย ไข้เจ็บนี่ ผมก็รู้สึก ไม่มีผิดหวังอะไรนะฮะ ไม่ได้อกหัก หรือไม่ได้มีอาการที่ว่าเดือดร้อนอะไร แต่ว่ามันมี สิ่งบันดาลใจ อย่างที่ว่า คือที่เราทำงานมานานๆ เนี่ย แทนที่ว่าทุกข์เราจะลดลง คือ ทุกข์ทางใจ คือโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไอ้ตัวกิเลสทั้งสาม ความโกรธ ความโลภ ความหลง รู้สึกว่ามันไม่ลดลงเลย ในทางการแพทย์เนี่ย มันก็ไม่สามารถ ที่จะทำให้ไอ้สิ่งเหล่านี้ ลดลงได้ ผมก็พยายาม ที่จะหาธรรมะ ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีเวลา เพราะอยู่คลีนิค ก็มีเพื่อนฝูงอะไรต่างๆ ไปกันที่ทางอิสานนะฮะ เที่ยวไปหลับตา อะไรต่างๆ เหล่านี้ แต่ผมแปลกอยู่อย่างนะ ทางสายหลับตานี่ ผมรู้สึกว่าไม่ศรัทธาเลยครับ เพราะเหตุว่า ในขณะ ที่เราลืมตา อยู่โทนโท่เนี่ย เราพิจารณาให้ละเอียดเนี่ย ทุกข์มันก็ไม่ลดได้ ผมก็เลยพยายามที่จะเสาะแสวงหา โดยการอ่านหนังสือ อ่านหนังสือ นิตยสาร และ ก็เจอะว่าที่สันติอโศกนี่ มีการปฏิบัติธรรมที่ดี

เมื่อมาปฏิบัติธรรมแล้ว สิ่งที่ผมได้นะฮะ ที่พระท่านสอนก็คือ มันตรงกันข้ามกับที่อื่นที่ได้ คือที่อื่นเนี่ย จะถามเรามียศอะไร เป็นอะไรต่างๆ เนี่ย โดยมากก็พูดกันตรงไปตรงมา เลยนะฮะ ท่านก็จะรู้สึกให้เกียรติให้อะไร ต่างๆนานานะ มาทีนี่ไม่ถามเลย คุณเป็นใคร มาจากไหน ไม่ถามเลย คุณจะเป็นอะไรต่างๆ นะ เพียงแต่ว่าคุณศึกษา ปฏิบัติธรรมไหม แค่ใด และอ่านหนังสือ ชาวอโศก มาแค่ใด แล้วเสร็จแล้ว สิ่งที่ท่านสอนในเบื้องต้นก็คือ ทำให้มีศีล มีศีลนะ ซึ่งทีแรกนี่ ผมก็เมาเรื่องศีลเนี่ย คือศีลเราก็เคยแบบที่เราไปรับ ทั่วๆ ไปนี่ รับศีล พระท่านให้ศีล เสร็จแล้วเราก็ อามะภันเต อะไรต่างๆ เสร็จแล้วเราก็นึกว่า มีศีลแล้ว แต่ที่จริงนั่นผิด เพราะเหตุว่า สิ่งดลใจอย่างใหญ่ก็คือว่า พุทธศาสนานี้ เป็นวิทยาศาสตร์ คือสามารถที่จะพิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น ผมก็ เอาตัวเองนี่ ลงไปพิสูจน์ ไม่ใช่ว่า คือ การที่เราจะได้ปัญญามีอยู่ ๓ ขั้น

๑. สุตมยปัญญา หรือปัญญาที่ได้รับจากได้ยินได้ฟัง และ ก็จินตามยปัญญา คือ หมายความว่า เอาไปคิดตรอง ส่วนใหญ่แล้ว ติดอยู่แค่นี้ เรานึกว่าเรามีแล้ว แต่อันนี้ผิด อย่างยิ่งเลย และผมก็ผิดมานาน โดยเฉพาะ เดิมนั้น ผมก็ฟังเท็ป ท่านพุทธทาส ท่านปัญญานี่มาก แต่ก่อนก็เคยไปที่วัดชลประทานฯ บ่อยๆ แต่เสร็จแล้วนะ ผมก็ไม่ได้ อะไร ก็ยังโกรธอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนกลางคืนนี่ แผ่เมตตา แผ่เมตตาสัตว์ทั้งหลาย เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ไม่เบียดเบียนกัน แต่รุ่งเช้า ก็ซื้อหมูมากิน ซื้อไก่มากิน กันต่อไป ฉะนั้น พอมาปฏิบัติธรรมทางนี้ ท่านให้ลด ละ หน่าย คลาย แล้วก็ให้มีศีล ให้เลิกอบายมุข และที่สำคัญที่สุด ก็คือ มังสวิรัติ ผม..จากการที่ได้คือ ทางด้านสุขภาพ กาย ดีขึ้นครับ คือแต่ก่อนนี้อายุที่ผมเข้ามานี่ ๕๓ นะฮะ เข้ามาศึกษานี่ ขณะนี้ ๕๙ แล้วนะครับ จะ ๖๐ แล้ว แล้วก็สิ่งที่เราได้ สุขภาพกายดีขึ้นครับ เดิม Blood pressure นี่ทำท่าจะ Border line แล้วบางที ร้อยสี่สิบกว่า บาง ทีกว่า พอเราได้ทานมังสวิรัติแล้วนี้ นะฮะ Blood pressure ในปัจจุบันนี้ นะฮะเหมือนหนุ่มๆหละครับแค่ ๑๑๐ ระหว่าง ๑๑๐ - ๑๒๐ นี่ ข้างล้างนี่ ๗๐ เท่านั้นเอง normal อย่างสบายเลยครับ

อันที่ ๒ สุขภาพจิตดีขึ้นครับ เมื่อก่อนนี้ขี้โกรธครับ มันรู้สึกว่า มันทำอะไรไม่ได้ดั่งใจนี่โกรธ เสร็จแล้ว พอหลังจาก ที่เราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว คือ จนกระทั่งมีศีล ละอบายมุข และ ทานมังสวิรัตินี่ เราจะได้คือ ความโกรธลดน้อยลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราเห็นเป็นรูปธรรม ชัด คนข้างบ้านแต่ก่อนนี้ ข้างร้านนี่เขาขายพวกเครื่องเหล็ก เสร็จแล้วก็ทำเสียงดัง อยู่ตลอดเวลา เราก็โมโหเขามาก ต่อว่าอะไรต่างๆ จนกระทั่ง ไม่พูดกันเลย ตอนหลัง พอมา ศึกษาปฏิบัติธรรมะแล้ว ปรากฏว่า ผมก็เย็น แล้วก็ยิ้มย่องผ่องใสเขา เขาก็กลับมา รักษา กันหมดทั้งบ้านเลย เพราะว่าความที่ว่าเราไม่ถือสา และเราก็เมตตาต่อเขา เห็นชัด ทางด้านจิตใจ

อันที่ ๓. ทางด้านเศรษฐกิจดีมากครับ ถึงแม้ว่ารายได้ผมนี่ ไม่มากมายอะไร เพราะเหตุว่า เพราะผมเข้าใจ แต่ไหนแต่ไรแล้วนะครับ ถ้าเผื่อ ไปติดอะไรต่างๆ คนไข้มากนี่ ผมไม่สบายใจ ทุกทีเลย คือว่าพอมีพอใช้ แต่ผลก็คือว่าเหลือใช้ครับ หลังจาก ได้ปฏิบัติธรรม มาแล้วนี่ เหลือใช้ เศรษฐกิจก็ไม่มีปัญหา และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง นอกจากเราจะช่วยตัวเอง นี้เป็นส่วนตนแล้วนะฮะ ช่วยสังคมได้ เพราะฉะนั้น จึงขอฝาก ท่านแพทย์ ระดับผู้อำนวยการ ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับคนไข้ทั่วๆ ไปนี่นะครับ ถ้าเรา สามารถ ที่จะได้คุณธรรม พุทธธรรม ไปใช้ในการบริหารนะฮะ สังคมเราจะดีขึ้นมาก เพราะขณะนี้ สังคมเราไม่ขาดคนดีนะครับ คนมีความรู้มีมากมาย แต่สิ่งที่เราขาดคือ คุณธรรม อันนี้สำคัญมาก ถ้าเราได้คนมีคุณธรรมแล้วนะครับ จะทำให้

๑. ตัวเราเองก็ดีขึ้น

๒. พวกคนไข้ต่างๆ หรือสิ่งแวดล้อมคนใกล้บ้าน หรือในหมู่บ้าน หรือชนบทนี่ จะมี จิตวิญญาณที่ดี และจิตวิญญาณที่ดีนี่ จะทำให้ ประเทศชาติเจริญ หรือทำให้แก้ปัญหา ส่วนตน สามารถแก้ปัญหาสังคม และแก้ปัญหาของโลกยังได้เลยครับ เพราะฉะนั้น ผมขอฝากไว้ แค่นี้ครับ เพื่อในฐานะที่ไหนๆ มาแล้ว ก็ขอฝากไปพิจารณา แต่ว่าไม่ได้ force ไม่ได้บังคับนะฮะว่า ในไม่ช้าเนี่ย คนเรา ก็จะตายอยู่แล้ว เหลืออีกไม่กี่ปี เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่กายกรรม วจีกรรม ที่ยังดีกว่านี้ เราควรจะทำ เพื่อตนและเพื่อสังคม ขอบพระคุณครับ

พ่อท่าน อาตมาอ่านดูปัญหาอีก ๔ แผ่นที่เหลืออยู่นี่ มีแนวคล้ายกัน ไม่ห่างกันเท่าไหร่ เดี๋ยวอาตมาจะอ่านปัญหาให้ฟังทั้ง ๔ แผ่นก่อน แล้วอาตมา จะตอบรวมเลย

ถาม ถ้านักบริหารบางท่านมีใจไม่เป็นธรรม ชอบให้ ๒ ขั้น หรือช่วยเหลือแต่พวกของท่าน เอง อย่างนี้เรียกว่าผิดศีลข้อไหน

ปัญหาแผ่นต่อมาว่า ในสภาวะที่ต้องมีความรับผิดชอบต่อครอบครัว ทางราชการ หนี้สิน ที่มีอยู่ ทั้งที่ใจจริง อยากจะออกมา อยู่อย่างอาจารย์ จะให้กระผมปฏิบัติตัวอย่างไร

ทุกๆ คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบ ถ้าทุกคนทำตามหน้าที่แล้วหาว่ามีกิเลส และใครจะรับ ผิดชอบต่องาน การปกครอง การทำความเจริญ ความเป็นระเบียบ เรียบร้อยได้ และอื่นๆ ในเมื่อ จะทำอะไร มีผลตอบแทนหาว่ามี กิเลส

หน้าที่นักบริหาร มีปัญหาเรื่องคนมาก รู้วิธีแก้แต่แก้ไม่ได้ ทุกข์ใจจึงมีมาก จะปฏิบัติธรรม อย่างไร เพื่อลดทุกข์ มีคนบอกว่า ท่านอาจารย์ สอนให้ปฏิบัติศีลให้ได้เสียก่อน แล้วพวกเรา จะลดปัญหาเรื่องทุกข์นั้น ได้อย่างไร

อาตมาอ่านแล้วก็เห็นว่ามัน ตบรวมๆ กันได้นะ เดี๋ยวก็ค่อยๆ ฟังดูเชิงแง่ เชิงประเด็นของ ปัญหาที่เราสงสัยหรือ ถามมานี่นะ ของศาสนาพุทธนี่ การทำงานถือว่า เป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธ ไม่ได้หนีจากการทำงาน การไปนั่ง หลับหู หลับตาซะอีก ไม่ใช่ทางปฏิบัติของพุทธ อาตมาเดี๋ยวนี้พูดอย่างนี้แข็งขึ้น เพราะว่า หลงใหลผิด ศาสนาพุทธในประเทศไทย ผิดเพี้ยน มานานแล้ว เป็นแบบฤาษี เป็นแบบ สุดโต่ง เถรวาทนี่สุดโต่งไปทางด้านฤาษี นั่งหลับตา สะกดจิต คือศาสนาพุทธ ท่านมีทาง ปฏิบัติ ท่านก็ยืนยันอยู่แล้วว่า มีทางเอกทางเดียวเท่านั้น คือ มรรคองค์ ๘ มรรคองค์ ๘ ไม่มีคำไหน บอกหลับตาเลย

ข้อที่ ๑. ทำความเห็นให้เข้าใจ ความเห็นให้ถูกต้อง สัมมาทิฐิ
ข้อที่ ๒. คิดก็คิดให้ถูกทาง
ข้อที่ ๓. พูดก็พูดให้ถูกทาง พูดให้เป็นสัมมานั่นเอง
ข้อที่ ๔. ปฏิบัติการงาน กระทำกรรม การกระทำทุกอย่างให้ถูกต้องตามสัมมา หรือถูกต้อง ตามการงาน ถูกต้องตามความเหมาะควร

ข้อที่ ๕. อาชีพ ไม่ใช่งานที่เราทำแล้วได้เงิน แต่เราไปแปลว่าอย่างนั้น หมายความว่า อย่างนั้น โดยโลกๆ อาชีพหรืออาชีวะนี่ ไม่ใช่สิ่งที่ เราไปทำ แล้วได้เงิน แล้วเรียกว่าอาชีพ ไม่ใช่ สิ่งใดเราทำประจำชีวิตเป็นส่วนมาก เราเรียกว่าอาชีพ อย่างคนกินเหล้าอยู่ ในวันหนึ่ง นี่ เอาเวลาไปกินเหล้าซะ อย่างกลางวันธรรมดา ๑๒ ชัวโมง กินเหล้ามา ๘ ชั่วโมง ไปทำงาน อยู่ ๓ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ไอ้นี่มีอาชีพกินเหล้า คนไปตีกอล์ฟ เอาเวลา เดี๋ยวก็แอบ ไปตีกอล์ฟ เดี๋ยวก็แอบไปขัดไม้กอล์ฟอยู่เรื่อยๆเนี่ย วันหนึ่งเอาเวลาไปมัวเมา อยู่กับ อย่างนี่สัก ๕ ชั่วโมง ๗ ชั่วโมง ทำงานจริงๆ อยู่วันหนึ่งไม่ถึง ๕ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง คนนี้ มีอาชีพทางตีกอล์ฟ ไม่ได้มีอาชีพทำงาน ผู้หญิงบางคน นี่นั่งเล่นไพ่ วันหนึ่งนี่ คุณหญิง คุณนายอะไรนี่ นั่งเล่นไพ่วันหนึ่งตั้ง ๕ ชั่วโมง ๘ ชั่วโมง ๑๐ ชั่วโมง อยู่ที่บ้าน ก็ไม่ได้ทำ กับข้าวกับน้ำอะไร ดูแลลูกอะไรนักหนา มาทำงานกระปริดกระปรอยเล็กๆ น้อยๆ ปกิณกะ ไม่เท่าไหร่ ส่วนมากนั่งเล่นไพ่ เขามีอาชีพ เล่นไพ่ แล้วก็อาจจะเสียเงิน ด้วยนะ ไม่ใช่ว่า ได้เงินนะ อาจจะเสียเงินด้วย เพราะเล่นไพ่ ไม่ใช่ว่าได้หรอก อาจจะ เสียเงินด้วย กินเหล้า ก็เสียเงิน ตีกอล์ฟก็เสียเงิน แต่เป็นอาชีพนะ คือสิ่งใดที่ทำประจำ ชีวิตเป็นส่วนมาก อันนั้นเราเรียกว่าอาชีพ ตามความหมายที่แท้จริง แต่ทุกวันนี้ เรามาคิด กันเอาเองว่า อาชีพคือ งานที่ทำแล้วได้เงิน เรียกว่าอาชีพ ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก สัมมาอาชีวะ ก็คือ กระทำ สิ่งประจำชีวิต ให้ดีๆ ตั้งแต่คิด ตั้งแต่พูด ตั้งแต่การงานอะไร ก็ตาม ถ้าทำได้ประจำชีวิตมาก นั่นเจริญ สัมมาอาชีวะน่ะสำคัญ

และก็มีวายามะ นั่นความพยายาม พยายามให้ถูกตามที่เราเห็น เข้าใจตามข้อที่ ๑ สัมมาทิฐิ และก็มีสติ สติรู้ตัวเลยว่า เราทำถูกต้อง ตามที่ความเห็นของเรา ตั้งคิดเอาไว้นั้น สัมมาต้องเป็นอย่างนี้ พูดต้องเป็นอย่างนี้ ถึงจะถูก คิดต้องเป็นอย่างนี้ถึงจะถูก การกระทำ ทางกายก็ตาม ต้องทำอย่างนี้ถึงจะถูก ถูกต้องตามศีลที่เราตั้งให้กับตัวเอง

ทำอย่างนี้แหละทั้ง ๗ ข้อ สัมมาทิฐิ ถึงสัมมาสติ ทั้ง ๗ ข้อนี้ อย่างนี้อยู่ทุกวัน ทุกขณะ ลมหายใจเข้าออก แล้วจะสั่งสมลง เป็นสัมมาสมาธิ คือหลักปฏิบัติของศาสนาพุทธ สัมมาสมาธิไม่ใช่ไปนั่งหลับตา เพราะฉะนั้น การงาน คุณจะคิด คุณก็ปฏิบัติธรรม คุณจะพูด คุณก็ปฏิบัติธรรม คุณจะทำการงานอะไรอยู่ คุณก็ปฏิบัติธรรม มีสติสัมปะชัญญะ รู้เลยว่า ไอ้นี่ประกอบการงาน ตามเทคนิค ตามวิธีการ ตามความ ชำนาญ อันนี้จิตวิญญาณสัมผัสแล้วรู้ว่า อย่างนี้นี่ประกอบไปด้วย ความเห็นแก่ตัว อันนี้ประกอบไปด้วย ความโลภ อันนี้ประกอบไปด้วย ความโกรธ ความแก้แค้น ความขัดเคือง อย่างงี้เราไม่ทำ ต้องหยุด เอ มา ทำอาการอย่างนี้ ใจมาประกอบไม่เอา ต้องทำงาน จะพูดก็ไม่พูดประกอบไปด้วยโทสะ จะพูดก็พูดไม่ประกอบไปด้วยราคะ จะทำการงาน ก็ไม่ประกอบไปด้วยราคะ ต้องทำให้มีการเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่เอามา ดูดดื่ม แต่ทำเพื่อเสียสละ เพื่อสร้างสรร คิดก็ต้องคิดในแนวนี้ ทำอย่างนี้จริงๆ ไม่ได้ลดหย่อน การงาน ไม่ได้ลดหย่อนความสามารถเลย

คุณถามมาว่า แล้วใครจะไปรับผิดชอบหน้าที่ คนที่ปฏิบัติธรรมอย่างนี้แหละ จะรับผิดชอบ หน้าที่ อย่างเจ๋งมากเลย แต่ถ้ายังทำงาน เพื่อราคะตัวอยู่ โลภะตัวอยู่ โทสะตัวอยู่ อันนั้นหล่ะ ไม่ได้ความ เพราะฉะนั้น คำว่ากิเลสนี่สำคัญ เรียนรู้ตัดกิเลสอย่างนี้จริงๆ จะเป็นคน ทำให้สังคมเจริญ เพราะเราทำงานไม่ได้เห็นแก่ตัว ทำงานเพื่อสังคมส่วนกลาง ส่วนผู้อื่นเผื่อแผ่กันทั่วไป ใครสมควรเผื่อแผ่ ก็เผื่อแผ่ไปอย่างดี มันก็เป็นงานการหน้าที่ที่ดี และเป็นผู้บริหารที่ดี เป็นผู้นำที่ดี ขอให้มันจริงเถอะ อาตมาเชื่อว่าพวกคุณมีปฏิภาณ ทำงานระดับนี้ ไม่มีปฏิภาณ อาตมาไม่เชื่อ อย่าโกหกอาตมาเสียให้ยาก คนในระดับนี้ แล้วนะ มีความรู้ผ่านงาน ผ่านการ ผ่านอะไรมา ปานนี้แล้วนะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะอ้างว่า รับผิดชอบต่อครอบครัวนี่เป็นข้อแก้ตัว ของพวก Innocence ใครๆ เขาก็รู้ อ้างก็อ้างตื้นๆ เอามาอ้างตื้นๆ เองหละ ผมต้องรับผิดชอบ

อาตมาจะบอกให้นะ อาตมาขณะนี้อยู่ในตำแหน่ง หน้าที่อะไรรู้ไหม พ่อลูกมากนะ อย่าพูด เล่นนะ อาตมานี่เป็นพ่อลูกมาก ต้องรับผิดชอบนะ ใครๆ ก็เข้ามานี่ บางคนก็ทิ้งงาน มาแล้ว เขาลาออกจากงานมา อาตมาก็เอ้าปรึกษาหารือ ช่วยกันทำงานอยู่กันไป

ขณะนี้นี่ลาออกจากงานมา บอกคุณก็ได้ขณะนี้นะ เราพยายามจะทำงาน พยายามที่จะ ให้ผู้นี้ๆ ไปช่วยงานการกัน และมันไม่มีงาน และเราก็ต้อง ระมัดระวัง อาตมายกตัวอย่าง ให้ฟัง อย่าง กทม.นี่ คุณจำลองไปทำงาน แม้เราจะเอาพวกเราเข้าไปทันที เดี๋ยวเขา จะหาว่า พวกอโศกไปช่วยกันเบ่ง พวกอโศกนี่ดูสินี่ ไปยึดครองทำยึดหัวหาด ทำโน่น ทำนี่ ไปเข้า ตั้งก๊ก ตั้งเหล่า เราระวั้ง ระวัง ระวังคนที่จะมาเข้าใจผิดอย่างนั้น แต่เรามั่นใจ ในคนพวกเรา ว่าไปทำงานเสียสละจริงๆ ตั้งใจทำงาน ไม่ได้ไปล่าลาภ ล่ายศ อะไรเลย เพราะฉะนั้น เราก็ทำงานไป ตอนแรกไม่มีใครช่วย เราก็งุบงิบกันไป ช่วยกันทำ คุณจำลอง ก็ทำ ไปตามหน้าที่ ของคุณจำลอง และก็พยายาม ที่จะเอาคน  ไปช่วยกัน เราก็ช่วยกัน เบื้องหลัง สุดท้าย มันก็ทำงานกันไม่ติดต่อ เบื้องหลังมันก็ไม่ติดต่อ เพราะเขาต้องไป ใกล้ชิด เพราะฉะนั้น คนช่วย อย่างตั้งเลขาได้ คนหนึ่งมันไม่พอหรอกงานนี่ คุณจำลอง ทำทุกวันนี้ เลขาคนเดียว มันพออะไร้ เอ้าก็ต้องมีผู้ไปช่วย ช่วยเลขาจริงๆ อาตมาบอกชื่อ เลยก็ได้ ตอนแรกตั้ง คุณวินัยเป็นเลขา ทีนี้เลขาของผู้ช่วยรองผู้ว่า ก็มีตั้งหลายคน

เขาก็ให้เลขาของรองผู้ว่า คนละคน เลขาคนละคน คนละคนไปหมด คุณจำลองจะมี เลขาคนเดียว คือคุณวินัย ไม่พอ ไม่พอ ก็เลยบอกว่า เอ้า เอาคนไปช่วย ก็ให้คุณสงกรานต์ จบเภสัช คุณสงกรานต์ ภาคโชดดีไปช่วย ไม่มีเงินเดือนไม่มีตำแหน่ง ช่วยฟรี สงกรานต์มา ปฏิบัติธรรม อยู่กับพวกเรานานแล้วหละ จากงานมีร้าน จบเภสัชมา พ่อให้คุมร้านเลย ร้านขายยา หนักเข้า ไม่เอาแล้ว พอมาปฏิบัติธรรมก็เห็นแล้ว คืนไปเถอะ ไอ้เรื่องขายยา ก็ไอ้เท่านั้นแหละ จะไปสู้ไอ้พวกร้านขายยาเอง มันก็โอ้โฮ สู้กับมันไม่ไหว พยายามช่วย พวกคนมาซื้อยา มันก็ไม่ค่อยเชื่อ มันไปเชื่อไอ้พวกมอมเมาหมด ก็เลยหมดหนทางช่วย ก็เลยออกมาวัด มาทำงานในวัดดีกว่า สงกรานต์นี่ตอนแรก พอตอนนี้มีความจำเป็น เอ้า..ไปช่วยคุณจำลอง ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีเงินเดือน แต่เราก็อยู่กัน ได้ อาตมาพูดนำแล้วว่า คุณจำลอง ถ้าทำงานไม่เป็นไรหรอก ไม่มีข้าวกิน ไม่ต้องรับเงินเดือนก็ได้ เราจะหาข้าว ให้กินเอง ประกาศเข้าไปว่า ไม่รับเงินเดือน เชิญเลย คืนเงินเดือนไปให้หมด และจะยืนยัน ว่า เราทำงานไม่ต้องมีเงินเดือน และครอบครัวของเรา เราเลี้ยงกันได้ เราหุงข้าวหุงน้ำ เผื่อแผ่กินกันได้

เราปลูกข้าวเอง เราทำนา แม้มันจะยังไม่มากน่ะ ขณะนี้ทำนา ยังไม่ได้มาก เท่าไหร่หรอก แต่เราก็พอกิน เพราะเราไม่เปลืองแล้วใช่ไหม เราไม่ผลาญพร่า แล้ว เพราะฉะนั้น มันสมดุลย์ สมดุลย์แล้ว พอเหลือด้วย เพราะฉะนั้น จะบอกว่า คุณเลี้ยง ครอบครัว คุณอย่าพูดน้า อาตมามีลูกเป็นร้อย นะ และเขาลาออกจากงานมา มีเงินเดือนมา อาตมาก็ไม่ให้ ไปเอาเงินเดือนด้วย ลางานออกมานะ และก็ต้องรับเลี้ยงเขา เขาต้องกิน ทุกวันนะคุณ เขากินข้าวนะ แต่เราไม่เดือดร้อนเลย เราแก้ปัญหาเศรษฐกิจตก มาศึกษาดีๆ คุณ เราไม่มีเวลาล่ะ แล้วนี่จะ ๔ โมงแล้ว อีก ๕ นาที อีก ๖ นาทีก็จะ ๔ โมง ไม่มีเวลาแล้ว จริงๆ มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อนะ น่าอัศจรรย์นะ เพราะฉะนั้น ที่มาอ้างนี่ อาตมาพูดจริงๆ ขอบอกว่า อาตมาขออภัยนิดหนึ่ง ที่อาตมาว่า มันเป็นเรื่องของพวก Innocence มันเป็นเรื่อง พวกที่ยังไม่เข้าใจ ไม่เดียงสาที่จะรู้เรื่อง สัจธรรม มันไม่ใช่ เรื่องง่ายหรอก แต่ว่าเป็นเรื่อง ลึกซึ้งที่ทำได้ ไม่ใช่เรื่องเกิด ไม่ใช่เรื่อง Magic อะไรก็ไม่รู้ ประหลาดๆ พิลึกพิลือไม่ใช่นะ เป็นเรื่องเป็นไปได้ มีเหตุมีผลนะ เป็นไปได้

ขณะนี้นี่อาตมาเล่าต่ออีกนิดหนึ่ง ที่ กทม. ขณะนี้ เราคนเข้าไปช่วยอยู่แล้ว และพวกคุณ ก็ไม่รู้สึก และพวก กทม. ก็ไว้ใจ แล้วเรา ไม่ได้ไป ยึดครองหัวหาด แต่งานมันล้น ทำงาน ไม่ทัน เราก็ต้องเอาคนไป เอ้า.. ลาออก จากงานมา ขณะนี้ปริญญาโทอีก ๒ คน ก็ลา ออกมา มีตำแหน่งหน้าที่คนหนึ่ง อยู่องค์การ โทรศัพท์ เงินเดือนตั้งหมื่นกว่า ลาออกมา ลาออกมาก็พร้อมที่จะมาทำงาน เงินเดือนไม่เอา ที่จริงเอาเป็นตำแหน่งเลขา มาก็บรรจุเข้า เลขาคนหนึ่ง ที่จบปริญญาโทนี่ วิศวโยธา เป็นหัวหน้างานอยู่องค์การ โทรศัพท์ ก็ลา ออกมา ลาออกมาก็เอา.. ไปช่วยทางนี้ ก็เลยไปเข้าตำแหน่ง ผู้ช่วยเลขา เขามีเงินเดือน ๖ - ๗ ที่จริงเงินเดือนตัวเองเก่านะ ตั้งหมื่นกว่า ๖ - ๗ พันก็ไม่ได้ใช้ เพราะอีกคนหนึ่ง ที่พวกเรา ไปช่วยงานกันนั่น ก็ให้ ลาออกมา จากธนาคารกรุงเทพฯ มาช่วย เพราะว่า มันไม่พองาน ก็มาช่วยที่ทำอยู่ด้วยกันนี่ อีกคนหนึ่ง ชื่อสมพงษ์ คนที่มาจาก องค์การโทรศัพท์นี่ ชื่อ ธำรงค์ คุณสมพงษ์จะต้อง ใช้เงินอยู่ เพราะว่าเงิน ต้องไปส่งให้แก่ครอบครัว ไปผ่อนส่งบ้าน

ตกลงธำรงค์ เป็นคนเซ็นรับเงิน ออกจากค่า ผู้ช่วยเลขา แต่สมพงษ์ไปบรรจุ เลยไม่มี ตำแหน่งบรรจุ ก็เข้าไปทำงานก็แล้วกัน แต่เงินที่ได้ สมพงษ์ได้ คนเซ็นออกมา รับออกมา แค่ ๕ - ๖ พัน ๗ ของผู้ช่วยเลขา ก็รับมา แต่ให้สมพงษ์ไป เหมือนพี่เหมือนน้อง คนละ ตระกูลนะ คนหนึ่ง เป็นคนภาคอีสาน อีกคนหนึ่งเป็นคนกรุงเทพฯ พี่น้องกัน คนละตระกูล คนอยู่กรุงเทพฯ นี่ลูกเจ๊ก คนอยู่โน่นนะลูกลาว แต่เขามาเป็น พี่น้องกัน นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ และอีกหลายคน อีกคนหนึ่งก็ปริญญาโท เป็นอาจารย์อยู่ มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ก็ออกมา ออกมานั่น เขาก็ไปอีก เขาก็ดำเนินไปเรื่อยๆ ทางวิทยาลัย เขาจะให้ส่งไปทำ ด๊อกเตอร์ เขาก็เคย รักษาการตำแหน่ง คณบดี แต่บอกไม่เอาแล้ว ลาออกมาไปยู่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีตำแหน่ง ไปอยู่ช่วย กทม. ช่วยกันทำ เหล่านี้เป็นต้น อีกหลายคน อย่างนี้ เป็นต้น ช่วยกันทำงานฟรี กินข้าวนะ ไปนอนวัด ก็ตั้งหลายคน ไปนอนวัด ตื่นเช้าก็กินข้าว ไปทำงาน ซึ่งเป็นเรื่อง เหลือเชื่อนะคุณ แก้ปัญหาเศรษฐกิจตก ไม่ต้องไปแย่งขั้น ไม่ต้องไปแย่งเงินเดือน ไม่ต้องไปฟุ้งเฟ้อกับโลก กับสังคมเลย จะช่วยครอบครัวบ้าง สำหรับคนที่ มีความจำเป็น ช่วยบ้าง และก็พยายาม ครอบครัวก็ต้องอยู่ในอาณัติ นะ อย่าเที่ยวไปฟุ่มเฟือย เราเลี้ยง ไม่ไหวนะ เราก็ช่วยไม่ได้ เหมือนกัน เราเองก็แทบจะไม่กิน ไม่ใช้อยู่แล้ว กินใช้ก็น้อยๆ แล้วไม่เปลืองแล้วนี่ การปฏิบัติธรรม มันเป็นได้ถึงอย่างนี้ นะคุณ นี่อาตมาเล่าให้ฟังนี่ มันเป็นเรื่องที่ไม่ใช่ อวดตัวอวดตนนะ เป็นเรื่องเป็นไปได้ เหลือเชื่อนะ

เพราะงั้น คุณไปลองดู ที่คนบ่นมาว่าจะทำอย่างไรหละ หนี้สินที่มีอยู่ คุณถูกสังคม หลอกเอา จึงเป็นหนี้ เริ่มต้นตั้งแต่ ละเสียก่อน ตัวเองติดอบายมุขอะไร แม้แต่บุหรี่ คุณก็เลิก อย่าไปถือว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย ใจแข็งนะ ใจไม่แข็งเลิกบุหรี่ไม่ได้น่ะ เลิกบุหรี่ เลิกเหล้า เลิกเที่ยว เลิกโลกียสุข ที่คุณเห็นว่า เลิกโลกียสุขอันนี้ตัดเสียทีเถอะ เป็นผู้หญิง ก็ตาม ผู้ชายก็ตาม เลิกจริงๆ เลิกออกมา แล้วใจคุณจะแข็ง และคุณจะได้คืนมา บอกแล้วว่า ทุนรอนคือ เงิน มันจะคืนมา เวลาคืนมา แรงงานคุณคืนมา และคุณอย่าเป็น คนขี้เกียจ แรงงานที่เหลือ คุณจะเอาแต่นอน อย่าเอาแต่ เวลาไปนอน เอาเวลามาสร้างสรร งานการทำเพิ่มขึ้น แล้วมัน จะเป็นผลผลิต เมื่อมีผลผลิต มันก็มีตัวเงินแล้ว มันก็มีรายได้ ขึ้นมาอีกแล้ว ส่วนเสียไม่เสีย แต่มีส่วนได้เพิ่มขึ้น แล้วคุณจะพ้นหนี้ ไปพิสูจน์แค่ลด อบายมุข ก็แก้ปัญหาเศรษฐกิจได้มาตั้งเยอะแล้ว ครอบครัวที่มา ปฏิบัติธรรมที่นี่ เดี๋ยวนี้ มีกลุ่มหมู่ ทั่วประเทศ กลุ่มหมู่ปราการอโศก กลุ่มหมู่อุดรอโศก กลุ่มหมู่ นครศรีอโศก กลุ่มหมู่ลานนาอโศก เดี๋ยวนี้มีกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรม ทั่วประเทศ ขณะนี้ จับกลุ่มกันแล้ว ก็พยายาม พัฒนา แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ส่วนตัว ส่วนครอบครัว แล้วก็พยายามรวมหมู่ รวมกลุ่ม แล้วปฏิบัติ ให้สูงขึ้นๆ เพราะฉะนั้น เรื่องปัญหาหนี้สิน ลดได้ และปัญหา ราชการก็จริงใจ เพราะในเมื่อเราเอง เราเห็นแล้วว่า ชีวิตเรา ไม่โลภโมโทสัน จะไปทำชั่ว ทำไม จะไปคอรับชั่นทำไม ไปทำทุจริตทำไม มันก็เป็นผลดี ต่อตน และต่อราชการ หรือ สังคม บางที มันไม่กินทวนน้ำ มันก็กินตามน้ำ มันก็สามารถ จะใจแข็ง จะไม่กินตามน้ำ ก็ยังได้ ประเทศไทยแก้ปัญหา แค่อย่าให้ข้ามขั้นว่า ไม่กินทวนน้ำ เท่านั้นแหละ กินตามน้ำ ก็ยังไปรอดแล้วทุกวันนี้ ยังไม่กินตามน้ำด้วยสุจริต เป็นมหาอำนาจ แน่น่ะ เป็นมหาอำนาจ แน่ อาตมามีเวลาเท่านี้ นี่ ๔ โมงแล้วนะ ๑๖ นาฬิกา แล้วนะ

ก็คิดว่าได้ ตอบในปัญหาที่บอกว่า หน้าที่นักบริหาร มีเรื่องคนอื่นมากก็ตาม ก็ทำงาน กับคนอื่นมาก ทั้งนั้นแหละ นักบริหาร ต้องทำงาน กับคนมาก นักบริหารไปทำงาน กับคนน้อยได้ยังไง นักบริหาร รับผิดชอบ อย่างอาตมา บอกตัวเองแล้วว่า อาตมาไม่ได้ พูดเล่นนะ อาตมาเนี่ยเป็นพ่อ ที่ไม่ต้อง วุ่นเลยว่า เอ! วันนี้ข้าวจะหมดถังหรือยัง เดี๋ยวต้อง เตรียมเงินซื้อไอ้นั่นไว้ ไอ้นี่ไว้ ไม่ต้องเลย แล้วคุณ จะอ้างอีกหรือว่า เอ้า! มีคนเอามาถวาย อยู่เรื่อยๆ ไม่จริงหรอก พวกเราช่วยตัวเองอยู่ เราไม่ได้เรี่ยไร พวกเรานี้ไม่เอาเลย ระบบเรี่ยไร ระบบเที่ยวได้เรี่ยไรออกกองทอดกฐิน ทอดผ้าป่า วัดนี้ไม่มี ไม่มี ไม่เรี่ยไร ถือว่าเสียเกียรติมาก เรี่ยไรคนอื่น ต้องเที่ยว ได้แจกบัตรเรี่ยไร แจกซอง เป็นเรื่องที่ เสียเกียรติ มากเลย เราไม่ทำ และเราก็พยายามช่วย ตัวเอง ช่วยตัวเองๆ แล้วช่วยให้ คนเกิด ทานมัยในหัวใจ เกิดทาน เกิดจาคานุสสติขึ้น เกิดบริจาคขึ้นในหัวใจได้ เมื่อคนละ ความโลภ บริจาคก็เกิดขึ้น มันไม่ใช่ มันจะเรียกอะไรหล่ะ มันเหมือน Dialectric นะ แต่มันไม่ใช่ มันสอดคล้อง กันนะ มันเป็นสิ่งสัมพันธ์สอดคล้อง สนับสนุนกัน เมื่อเรา บริจาคได้ มันก็มีความอุดมสมบูรณ์ อยู่ในตัว อยู่ในหมู่เดียวกัน ก็ทุกคนมักน้อย ทุกคนสันโดษ ทุกคนสร้างสรร ไม่ได้อยู่มือเปล่า ทุกคนขยันหมั่นเพียร มันก็มีผลผลิต เมื่อมันมีผลผลิต มันก็มีรายได้ แต่รายได้เราก็ไม่ขาย ไม่กอบโกย อะไร เราสามารถ ที่จะแจกจ่าย เราสามารถที่จะเอื้อต่อสังคมได้เสมอ มีอีกมาก ที่ไม่มีเวลาพูดแล้ว เพราะหมดเวลาลงแล้ว

อาตมาก็ขอสรุปอีกนิดหนึ่งว่า ต้องศึกษาหน่อยนะ อาตมาเอง อาตมาบังคับใครไม่ได้หรอก มีอะไรดี เท่าที่เวลา จะอำนวย ก็บอกกันเท่านั้นเอง เพราะงั้นได้มาพบกัน อาตมาก็ถือว่า เป็นบุญของ อาตมานะ ได้พบพวกคุณบ้าง ไม่งั้น อาตมา ก็จะได้พบ แต่คนเดือดร้อน ที่หน้าแห้งๆ คนจนๆ พวกที่มีกินมีใช้นี่ ไม่ค่อยได้พบหรอก เพราะท่านมีกินมีใช้กัน ท่านไม่ค่อยให้ อาตมาได้พบหน้า เพราะท่านถือว่า ท่านไม่ทุกข์กัน อาตมาก็ไม่ค่อย ได้พบหน้า แต่คนจนๆยากๆ คนพื้นฐานของสังคมนี่ คนที่เขามี ทุกข์ร้อน ไม่มีเงินกิน เงินใช้ อะไรพวกนี้ที่มา มักจะเข้ามาวัดเข้ามาให้พบ เพราะฉะนั้น นานๆ อาตมาได้พบคุณ นำหมู่นำคณะมานี่ ถือเป็นบุ้นเป็นบุญ ที่ได้พบกัน ก็เท่าที่มันมีเวลา ก็พูดกัน ด้วยความ จริงใจยังงี้หละ คุณฟัง อาตมาจะไม่ใช่คนพูดหวานอะไร อันที่จริง อาตมาพื้นฐาน เป็นคนพูดหวาน เป็นคนโรแมนติค แต่ว่าอาตมาพูดเนี่ย เหมือนกับคนรุนแรง แต่ไม่ใช่ หรอก

อาตมาเป็นคนจริงใจ และก็พยายามที่จะพูดอย่าง แฟรงค์ๆ อย่างงี้ เพราะถ้าขืนพูด เอาอกเอาใจ ประเล้าประโลมกัน มันไม่มีข้อสอบในตัว ถ้าใครชอบความจริงยืนหยัด แล้วก็คบกันได้ ใครไม่ชอบ ความจริง พูดอะไรๆ มันกระแทกหัวใจเกินไป แล้วจะเกลียด จะชัง อาตมาก็ห้ามไม่ได้ เพราะอาตมา ไม่เอาใจใคร ไม่ทำสิ่งที่อาตมาว่าจะต้องโอ๋ใคร เอาใจใคร เพราะทุกวันนี้ เรียนก็เต็มห้องอยู่แล้ว เพราะงั้น อาตมาไม่จำเป็นที่จะประเล้า ประโลมโอ๋คน มามากๆ เพราะเราไม่ต้องการปริมาณมากๆ เราต้องการ ผู้ที่มีปัญญา เข้าใจ ของเราและต้องการมาศึกษาจริงๆ ขนาดที่ต้องการมาศึกษาจริงๆ นี่ยังยากเลย ยังยาก เพราะฉะนั้น เราจึงค่อนข้าง จะเอ็นสะท้านหน่อย พวกที่จะ Entrance เข้ามาได้นี่ ต้องยากหน่อย เอ็นสะท้านหน่อย ไม่ง่ายนัก ผู้ที่เข้ามา จริงๆ ก็คงไม่มีอะไรอีก มันหมดเวลา ลงแล้ว ก็ขอแค่นี้ก็แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็จะกล่าวอะไรก็เชิญ สาธุ.

เอ้า! แจกหนังสือไป เรามีหนังสือให้แจกไปดูบ้าง เผื่อจะมีอะไรดี ก็หวังอย่างนั้น

กระผม ในนามของผู้ที่มาอบรม หลักสูตรบริหารโรงพยาบาล บริหารสาธารณสุขนะฮะ ระดับสูง นะครับ ซึ่งเขาจะให้ไป บริหารคนอื่นอีก แต่ความจริงนี่ พวกเรายังอยู่ในระดับ ต่ำมากนะครับ

พ่อท่าน ก็ไม่ได้ต่ำอะไรหรอก ( เสียงหัวเราะ)

เราได้รับความกรุณาจากท่านได้อบรม สั่งสอน ให้พวกเราได้ ชำระจิตใจให้ดีขึ้น ผมขอ ใช้คำว่า ให้ดีขึ้น เพราะว่า พวกเรา ที่ยังอยู่ในกิเลส ยังวนเวียนว่ายอยู่ในกิเลส ก็คิดว่า คงจะได้นำ คำสั่งสอนของท่าน ไปชำระล้าง กิเลสของเราออก ถ้าเผื่อว่าไม่มากก็น้อย ก็ยังดีขึ้น ก็คิดว่า คำสั่งสอนของท่านเนี่ย จะเป็นประโยชน์กับพวกเราอย่างมาก ขอกราบขอบพระคุณ

พ่อท่าน สาธุ...สาธุ



ถอดเท็ป โดย พรทิพย์ วิไลลักษณ์
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ( ๓ ก.ค ๓๐)
พิมพ์โดย ตันติยา ชัยสิงห์
ตรวจทาน ๒ โดย เบญจมาศ ศรีทะลับ

TAP0159A-B