แพ้หรือชนะก็คือสมมติสัจจะ
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๓๘
ณ พุทธสถานสันติอโศก


วันนี้ก็เป็นวันพิเศษนะ ที่เรามาทำวัตรพิเศษกัน ซึ่งเราก็รู้ๆกันอยู่ว่าที่ พิเศษก็เพราะว่าวันนี้ วันจันทร์ ธรรมดาเราไม่ได้ทำวัตรกัน เราพักตอนนี้ แต่ที่อื่น ที่ราชธานีอโศก เขาทำวัตรเว้นวันพุธ เท่านั้นนะ เขาทำทุกวัน เช้าเขาก็ทำวัตร เย็นเขาก็ทำวัตร หรือบางที่ แต่คงไม่มีมั้งที่อื่น ดูเหมือนพุทธสถานต่างๆ ก็จะหยุด ทำกันวันอังคาร พฤหัสฯ เสาร์ อาทิตย์นะ แต่วันนี้ถือว่าเป็นวันที่พิเศษ พวกเรามารวมกัน เพื่อที่จะไปศาล แล้วก็เป็นวันที่ถือว่าสุกดิบของงานเบญจเพสของชาวอโศก ๒๕ปีของชาวอโศก นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๗ ที่อาตมาเริ่มมาบวช มาถึงปีนี้ก็ ถ้าชนพรุ่งนี้วันที่ ๗ ที่จริงชนวันนี้น่ะ ครบพอดีแล้ว เต็ม วันที่ ๖ พฤศจิกาก็ครบ เป็นวันครบ ๒๕ ปีเต็ม พรุ่งนี้ก็ขึ้นปีที่ ๒๖ วันที่ ๗ พฤศจิกา พรุ่งนี้ก็ขึ้นปีที่ ๒๖ ปีนี้ครบ ๒๕ พอดี ครบเบญจเพส อาตมาก็ว่ามันมีอะไรต่ออะไรหลายๆอย่าง มันมี ความพิเศษ ขณะนี้ ในเรื่องของคดีที่เรากำลังอยู่ในศาล ดูท่าทีก็มีอะไรที่สับสนอยู่พอสมควร สำหรับ ที่เราจะพิจารณา หรือเดา พิจารณาอย่างเดาๆ เพราะว่าเราเอง เราไม่ใช่ผู้ที่จะใช้สิทธิอะไรได้เต็มที่ เราเป็นผู้ถูกพิพากษา เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในการจะถูกพิพากษา มันมีทั้งคดีโลก คดีธรรม ทางคดีโลก ก็เป็นเรื่องของ โลกาธิปไตย เป็นเรื่องของทางโลกที่มีอำนาจ แล้วเราอยู่ในโลก เราก็โดนคดี ทั้งทางโลก คดีทั้งทางธรรม คดีทางธรรมเราก็แน่ใจว่า ในด้านของธรรมะ หรือในด้านของคุณงาม ความดี ที่เราทำดีนั้น อาตมา ขณะนี้นี่เชื่อว่า ศาลเขาเชื่อแน่นอน ว่าเรานี่มาทำดี เป็นคนดีกัน ช่วยสังคม ด้วย ไม่ใช่ในด้านของธรรมะ แต่ในด้านของข้อกฎหมาย เพราะเวลาเขาพิจารณาความ ของศาลนี่ เขาจะพิจารณาสองอย่าง

) . ในข้อเท็จจริง

) . ในข้อกฎหมาย

ส่วนในข้อกฎหมายนี่ซิ เขาจับข้อกฎหมายเข้าแล้วบอกว่า เราก็จะต้องอยู่ในกฎหมาย เพราะกฎหมาย เขาออกมาแล้ว จะบอกว่ากฎหมายนี่ผิดไม่ได้ กฎหมายนี่ใช้อยยู่ตราบใด กฎหมายนั้นไม่มีผิด จะบอกว่า กฎหมายนี่ขัดแย้งกับพระธรรมวินัย คุณก็ไปออกกฎหมายใหม่ เพื่อที่จะเลิกกฎหมายนี้ ในเมื่อกฎหมาย นี้ยังออกอยู่ใช้อยู่ จะบอกว่ากฎหมายนี้ใช้ไม่ได้ เพราะผิดกับธรรมวินัย ขัดแย้งกับ ธรรมวินัย พูดให้ปากเปื่อย มันก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่ากฎหมายนี้ยังรองรับสังคมอยู่ เป็นอำนาจ ของรัฐ เป็นอำนาจของประเทศ ที่เขาจะต้องมีกฎหมายเข้ามาซ้อน มาให้ประโยชน์แก่สังคม เพื่อความสงบเรียบร้อย เขาถือว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น กฎหมายนี้จะขัดแย้งกับธรรมวินัยอย่างไร ก็เมื่อกฎหมายนี้ประกาศ มาเป็นกฎหมายของรัฐแล้ว เมื่อออกมาแล้ว ก็ถือว่ายอมรับกันแล้ว โดยเฉพาะ ประชาธิปไตย เขาออกมาจากสภา สภาเขาถือว่าตัวแทนของประชาชนทั้งประเทศ เป็นผู้ออก กฎหมายนี้ เพราะฉะนั้น กฎหมายนี้ก็ต้องใช้

ถ้าเผื่อว่าเราผิดกฎหมายนี้แหละที่เขาให้อำนาจใช้อยู่นี่ เราก็ต้องผิด ว่างั้นนะ เพราะฉะนั้น ในข้อ กฎหมายเท่านั้นละ ที่จะเป็นข้อถกเถียงกันอยู่ตอนนี้ ส่วนในข้อเท็จจริงนี่ อาตมาเชื่อว่า ศาลก็เชื่อ ศาลก็เข้าใจแล้วว่า เราเองเราไม่มีปัญหา เขาก็คงไม่มีปัญหา ก็คงจะเข้าใจได้เพียงพอว่าเราดี เป็นคนดี ถูกต้อง อะไรก็แล้วแต่ แต่เขาฟ้องในข้อกฎหมายนี่ซิ ถ้าเผื่อว่ามันผิดกฎหมายอยู่ เราก็จะโดนว่าผิด ขณะนี้นี่ ต่อสู้กันหลายนัย ที่อาตมาเคยพูดให้ฟังแล้วนะ แล้วอาตมาพูดเป็น สามประเด็น

) . ผิดกฎหมาย ผิดกฎหมายก็มีโทษ เข้าคุก มีปรับด้วย ถ้าคดีอาตมานี่ติดคุกหกเดือน หรือปรับ หนึ่งพัน เหอ? (คนฟัง พูด หกพัน) อะไรหกพัน หา? หกพันหรือหนึ่งพัน หรือสองพัน ไม่ถึงหกพันน่ะ พวกเรานี่ ความจำในเรื่องเหล่านี้ ไม่ค่อยเอาถ่าน ก็เอาล่ะ ก็..อาตมาจำได้ ว่าามีปรับด้วยนะ เอาละ จะปรับ หรือว่าจะติดคุกอะไร ก็หมายความว่า นั่นคือการกำหนดโทษ

เป็นแต่เพียงว่าขณะนี้นี่นะที่เราให้การไปเน้นในเรื่องว่าเราดี เราทำอะไรอยู่ในสังคมนี่ เป็นการช่วย สังคม เป็นประโยชน์แก่สังคม ก็ดีอยู่อย่างหนึ่ง ก็ทำให้ศาลเห็นว่าเราทำดี เพราะฉะนั้น แต่ข้อกฎหมาย ผิด เมื่อข้อกฎหมายผิดก็ต้องผิด แต่เมื่อเป็นคนดีทำดีก็รอลงอาญา เพราะฉะนั้น ที่เราให้การไปอยู่ อย่างมากเลย ว่า ให้การไปให้เห็นชัดเจนเลยว่า ยืนยันว่าเรานี่ทำดี ประโยชน์ต่อสังคม คนนั้นคนนี้ เขาออกมารองรับ มีพยานรองรับทุกอย่าง ตัวเราเองก็ว่าเราดีเราถูก พยานก็ออกมารองรับ กันมากมาย ว่าดีว่าถูกจริงๆ นักวิชาการ ผู้ที่มีปัญญา หรือปัญญาชนก็มารองรับ ก็ว่าดีๆทั้งนั้น ก็ช่วย ช่วยให้อย่างหนึ่ง ก็แค่ว่า ถ้าจะติดคุกก็ไม่ให้ไปติดทีเดียว ก็รอลงอาญา คือไม่ต้องไปเข้าคุก แต่ก็อยู่ ในภาวะ ที่กำหนดนั้น รอลงอาญาปีหนึ่งสองปีอะไรก็ตามแต่ หรือหกเดือนอะไรก็ตามใจ ก็อาจจะได้ แง่นั้นถ้า ผิด..นั่นหนึ่ง ประเด็นหนึ่งผิด ผิดกฎหมายแน่นอน

ประเด็นที่สอง ยกฟ้อง ยกฟ้องไม่ผิดกฎหมายเพราะเขาสั่งให้สึก และเราก็สึกแล้วโดยนัยกฎหมาย คือเราทำว่าสึก ตามข้อกฎหมาย แต่ไม่ใช่ในแง่ธรรมวินัย แง่ธรรมวินัยก็ยืนยันแล้วว่า เราไม่ผิด ธรรมวินัย เราสึกไม่ออก หรือไม่เป็นอันสึก ให้ลาสึกไม่เป็นอันสึก จะสึกยังไงก็ไม่เป็นอันสึก ตามหลัก ธรรมวินัย ซึ่งเขาเองเขาไม่ได้เป็นผู้ที่ตัดสินธรรมวินัย กฎหมายนี่ ศาลพิพากษา ไม่ได้เป็นศาลศาสนา เพราะฉะนั้น เขาไม่ได้ตัดสินตามหลักศาสนา เขาตัดสินตามหลักกฎหมาย เพราะฉะนั้น ถ้าเขาจะตีความ เขาจะบอกว่า สึกตามกฎหมาย เอาละตกลง

ประเด็นที่สองก็คือสึกตามกฎหมาย ถ้าสึกตามกฎหมายนี่เราจะได้ออก มาในรูปของ ต้องไปนุ่งห่ม ผ้าสีกรักหมดน่ะ ใส่เสื้อตามที่เราได้ตกลงกับคุณชัยภักดิ์เขาไปแล้ว เราก็จะได้ชุดนั้น สึกตามกฎหมาย นี่เราก็ยกฟ้อง ไม่มีโทษ แต่เราก็มีชุด ต้องเปลี่ยนมาเป็นชุดตามกฎหมายนั่นน่ะ ชุดผ้าครองสีน้ำตาล ก็นี่แหละ อย่างนี้ แต่ว่าแทนที่จะเป็นผ้าขาว ก็เป็นผ้าครองสีน้ำตาล ก็ครองอย่างนี้ อย่างที่ เราเปลี่ยนมา ตอนนั้นแล้ว ก็ถือว่าเราเป็นสภาพอีกสภาพหนึ่ง ที่เราได้สึกตามกฎหมาย ส่วนเมื่อสึก ตามกฎหมายแล้ว ถูกต้องตามกฎหมายเล็ก หรือกฎหมายข้อ มาตรา ๒๗ ของ พ.ร.บ.สงฆ์ ๒๕๐๕ นี้ เราถูกแล้ว แต่นัยของธรรมะ เราก็ยังเป็นสมณะหรือเป็นพระ ตอนนี้เราไม่เรียกสมณะแล้ว เป็นนิกาย แล้ว เขาจัดให้เราเป็นนิกาย เขาตัดสินให้เราเป็นนิกายเลยตอนนี้ เราจะต้องเป็นนิกายโดยปริยาย เมื่อตัดสินอย่างนี้ เราต้องเป็นนิกายโดยปริยาย เราก็ขึ้นต่อรัฐธรรมนูญ บทที่อนุญาตให้ มีลัทธิ มีการ นับถือศาสนา ตามที่เราเชื่อถือได้ เป็นไปเรียบร้อย เพราะเขาเชื่ออยู่แล้ว นัยที่ว่าเราดี เราไม่ได้ทำ ความเดือดร้อน วุ่นวายให้แก่สังคม อะไรต่อ อะไรต่างๆนานา เราก็ไม่ผิดข้อนี้ เมื่อเราไม่ผิดข้อนี้ เราก็เป็นศาสนา อีกลัทธิหนึ่ง จะเป็พุทธก็ตาม ก็เป็นอีกลัทธิหนึ่ง นี่มันก็อาจจะออกหวยมาอย่างนี้ก็ได้ ถ้าดีที่สุด ก็คือ ยกฟ้อง

ประเด็นที่สาม ซึ่งประเด็นนี่คงแหม อภินิหารเท่านั้น ปาฏิหาริย์เท่านั้นน่ะ ที่มันจะออกมา เรียกว่า ปาฏิหาริย์ใหญ่เลยนะ ซึ่งอาตมาก็รู้สึกว่า บารมีอาตมาจะไม่ใหญ่ขนาดนั้นน่ะ ปาฏิหาริย์ใหญ่ คือ ยกฟ้องหมดเลย ตามที่เราต่อสู้ ในแง่มุมของเหตุผล ทั้งธรรมวินัยเป็นหลัก และก็มีหลักฐานทางด้าน โลกด้วย ซึ่งศาลจะฟังหรือไม่ฟัง เราไม่รู้ คือหมายความว่า เราลาออกจากการปกครองแล้ว เมื่อลา ออกมา จากการปกครองแล้ว เขาจะเชื่อมั้ยว่ากฎหมายนี่น่ะ หรือว่าอยู่ในการปกครองของเถรสมาคม ซึ่งเป็น องค์กรใหญ่ เป็นสถาบันศาสนาของประเทศ แล้วลาออกมาจากอันนี้น่ะ ลาออกได้หรือ? เขาตีความ ได้ทั้งสองด้าน ลาออกได้ก็ตีความอันนี้ก็ได้ ลาออกไม่ได้ก็ตีความอย่างนี้ก็ได้ อันนี้เป็น เรื่องจริงๆเลย เป็นเรื่องระหว่างกลางนี่ เป็นได้ทั้งสองด้าน จริงๆ ไม่ผิดทั้งคู่ ตีความได้ทั้งสองด้าน ไม่ผิดทั้งคู่ เพราะฉะนั้น อยู่ที่ว่าแล้วแต่พระเจ้าจะให้ศาลเขาตีความด้านไหน ถ้าเขาตีความด้าน บอกว่า ลาออก ได้แล้ว ก็มีหลักฐาน เราก็มีหลักฐานรองรับเหมือนกัน ว่าเป็นลายลักษณ์อักษรเลย ที่เราก็เสนอ ขึ้นศง ขึ้นศาลแล้ว ว่าเราลาออกแล้ว

แล้วทางด้านโน้นก็รับรองว่าได้ลาออกจริง มีลายลักษณ์อักษร มีมติมหาเถรสมาคม บอกว่าเรานี่ ไม่อยู่ในปกครองของ พ.ร.บ.๒๕๐๕ มีลายลักษณ์ อักษรอย่างนั้น ตรงๆ เลยนะ เราไม่อยู่ในปกครอง ตาม พ.ร.บ.๒๕๐๕ ไม่ได้รับความอุปถัมภ์จากรัฐ อะไรอย่าางนี้ ซึ่งเราก็ส่งหลักฐานนี้ขึ้น ซึ่งเป็นหนังสือ ของเลขานุการของมหาเถรสมาคม ผู้เป็นใหญ่ที่สุด คือ อธิบดีกรมการศาสนา ซึ่งเป็เลขานุการ โดยกฎหมาย โดยหลักการของทางโลกเลย โดยตรง รับรอง ไปจริงๆ ว่าเราลาออก เราไม่อยู่ในปกครอง เขาจะเชื่อหรือไม่เชื่อ เขาจะตีความ หรือไม่ตีความ อย่างที่อาตมาบอกแล้ว พูดไปแล้วนะว่า ได้ หรือ ไม่ได้ ก็เท่านั้นนะ

ถ้าเผื่อว่า เขาตีความว่า ลาออกได้ เมื่อลาออกได้แล้ว เขาก็ไม่มีสิทธิ์มาฟ้องเรา เพราะว่าเราไม่อยู่ ในปกครอง เพราะฉะนั้น เราก็ขึ้นกับธรรมะ หรือขึ้นกับรัฐธรรมนูญตรงนี้เลยตอนนี้ ว่าเราเองมีสิทธิ์ ที่จะนับถือ อย่างไรก็ได้ รัฐต้องมีฐานะ ต้องคุ้มครองผู้ที่ไม่ได้ทำให้เกิดเดือดร้อนอะไรในสังคม เพราะว่า ในแง่ของว่า ไม่เดือดร้อนในสังคมนี่ เราไม่ได้ก่อความเดือดร้อนอะไรในสังคมเลย อยู่ในความสงบเรียบร้อยทุกอย่าง อันนี้สอดคล้อง อันนี้ตรงหมด เป็นแต่เพียงว่า เขาจะตีความ ตรงกฎหมายแม่ กฎหมายหลัก กับกฎหมายฟ้องข้อนี้ ถ้าเราไม่มีเงื่อนไขนี้เลยนะ ไม่มีหลักฐานที่ว่า หนังสือนี่ มันไม่ชัด อันอื่นมันก็มีอีกบ้าง โดยที่เรียกว่า เราลาออกมาแล้ว โดยนานาสังวาส ลาออกมา เจ้าคณะอำเภอ เป็นผู้ที่รับหนังสือลาโดยตรง แถลงการณ์ของอโศกเรา ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๘ เจ้าคณะอำเภอ รับหนังสือที่เราลาออกมา เจ้าคณะอำเภอก็ส่งไปถึงเจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะจังหวัด ก็ส่งไปหาทางการเขาเลย ถึงแม้กระทั่งถึงผู้ว่าราชการของจังหวัดนครปฐม ซึ่งตอนนั้น เรายังอยู่ที่ จังหวัดนครปฐม เขาก็ได้รับ มีหนังสือ มีหลักฐานอันนี้หมด ส่งขึ้นไปหมด ในหนังสือประกาศนียกรรม เขามีหลักฐาน อะไรต่ออะไรพวกนี้ทั้งนั้นแหละ ก็นั่นก็เป็นข้อมูลที่ถือว่า เราลาเหมือนกัน แต่ถึง อย่างนั้นก็ตาม ก็มีหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษร ดังที่กล่าวไปแล้วเมื่อกี้นี้ ว่า หนังสือของอธิบดี กรมการศาสนา มียืนยันบอกความหมายชัดเจนว่า เราไม่ได้อยู่ในปกครอง ดังที่กล่าวไปแล้ว ที่ว่าเราลาออกมาแล้ว ไม่อยู่ในปกครองน่ะ แล้วก็ไม่ให้เรามีสิทธิ์ ลดค่าโดยสารรถไฟ เพราะเรา ไม่ใช่พระ ในปกครองของมหาเถรสมาคม อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

สรุปแล้วก็คือประเด็นสุดท้ายนี้ ประเด็นที่สามนี่ ถ้าเผื่อว่าศาลฟังได้ หรือ ฟังขึ้น บอกแล้วว่า ศาลจะฟัง เป็นแง่ไหนได้ ตีความได้ทุกแง่ ไม่ผิดสักแง่ จะตีความว่า เราออกแล้ว หรือจะตีความว่า เราออกไม่ได้ จะลาออกยังไงก็ลาออกไม่ได้ เมื่อจะอยู่ในประเทศไทย ก็จะต้องขึ้นต่อศาสนาพุทธ ในสงฆ์สถาบันใหญ่ ลาออกไม่ ได้ ลาออกไม่ขาด เหมือนกับเขาอ้างว่า เมื่อเกิดเป็นคนไทย แล้วจะลาออก จากความเป็นไทยนี่ ลาออกไม่ได้ ลายังไงก็ลาไม่ออก ลาออกจากเป็นคนไทยลา ออกได้ยังไง อย่างนี้เป็นต้น เขาตีความอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าเผื่อว่าตีความว่า ลาออกได้ เขาก็ยกฟ้องเลย เป็นยกฟ้องใหญ่ เราก็กลับไปนุ่งห่มคลุมจีวรไตรจีวรได้ สมบูรณ์อย่างเดิม นี่มีสามนัย ที่จริงมีสี่นัยย่อยๆ สี่นัยย่อย ยกฟ้องก็มีสองนัย ผิดก็มีสองนัย ยกฟ้องโดยยกฟ้องเพราะว่า เราไม่ผิดอะไรเลย ตีความ อย่างประเด็นที่สาม ที่อาตมาพูดไปแล้ว ยกฟ้องหมดเลย ฟ้องเราได้ ฟ้องผิดฟ้องโมฆะ เพราะว่าเรา ลาออกมาแล้ว มาฟ้องเราไม่ได้ เพราะเราไม่มีความผิดอะไร นานาสังวาสก็มาติติง มาท้วงติงอะไร ก็ไม่ได้ เราลาออกมาจากปกครองแล้ว ก็ไม่ควรจะตามมาวุ่นวาย อะไรกับเรา เราก็ถือตามรัฐธรรมนูญ ว่าเรามีสิทธิ์ ที่จะเป็นลัทธินิกายอย่างใด แล้วก็ไม่ก่อความไม่สงบให้แก่ประเทศชาติ เราก็อยู่ของเรา ได้ดีอยู่แล้ว เราก็ไม่ได้เป็นพลเมืองที่เลวอะไร ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร สอดคล้องกฎหมาย เพราะฉะนั้น ที่ฟ้องเราน่ะ ฟ้องโมฆะ ก็ยกฟ้องไปหมด อันนั้นก็ใช้ไตรจีวร

แต่ถ้าเผื่อว่าประเด็นที่สอง เราเองยกฟ้องเหมือนกัน แต่ยกฟ้อง เพราะเราได้สึกแล้วตามกฎหมาย ในนัยของกฎหมาย เราก็ต้องแต่งชุดสีกรัก นุ่ง..ใส่เสื้อ ต้องใส่ชุดนั้น นี่ยกฟ้องสองนัย ส่วนผิดนั้นน่ะ ผิดแง่ที่หนึ่ง ก็คือ รอลงอาญา ผิดอีกนัยหนึ่งก็คือ เข้าคุกทันที ไม่มีการรอลงอาญา เข้าคุกเลย นี่ก็ด้านผิด ก็สองนัย ด้านยกฟ้องก็สองนัย นี่เป็นเรื่องราวที่ควรจะเป็นหรือว่ามันควรจะยังไง ก็ยังไม่รู้ได้

มาถึงวันนี้แล้วก็ดูท่าทีก็มีคนไปพยายามที่จะหยั่งเสียง ไม่ใช่โพลล์นะ เป็นหยั่งเสียงดู ผู้รู้ผู้พิพากษา ที่เขาเคย เขาจะตีความยังไงในแง่กฎหมาย ก็มีคนไปคุยไปซักไซ้ไล่เลียงไถ่ถาม ดูเหตุผล ดูหลักฐาน อะไรต่างๆ นานา ก็รู้สึกว่ามันค่อนข้างจะไปในแง่ว่า เรานี่คงจะผิด และคงจะแพ้นะ เพราะว่าในแง่ กฎหมายแล้ว จริงๆแล้วน่ะ ถ้าเผื่อว่าปล่อยให้เราทำเช่นนี้แล้ว ศาสนาเขาจะรวนมาก เขาก็ถือว่า มันจะก่อความไม่สงบ เพราะว่าทุกคนจะเอาอย่าง แล้วก็จะลาออกมาได้ อะไรต่ออะไรได้อะไรต่างๆ ถ้าเผื่อว่า เราเป็นอย่างนี้นะ แต่ถ้าเผื่อว่าถ้าเราผิด มันก็จะเป็นการกำราบ ไม่ให้สังคมศาสนานี่ เดือดร้อน เราก็กลายเป็นแพะรับบาปไป มันก็อาจจะต้องได้รับการตัดสินผิด ส่วนจะน้ำใจว่าจะให้ รอลงอาญา หรือไม่รอลงอาญา ไม่รู้ได้ตรงนั้น แต่ว่าดูท่าทีแล้วก็คงจะผิด เพราะฉะนั้น อาตมา จึงบอกพวกเราว่า เตรียมใจเอาไว้เถอะนะ ว่าคงจะต้องแพ้ความ เพราะฉะนั้น จะแพ้ความ หรือ จะชนะความก็ตาม ในลักษณะอย่างนี้ สำหรับอาตมาก็คิดว่า ไม่หาเสียงกับพวกคุณหรอก

อาตมาเองอาตมาพูดมามาก ได้พยายามที่จะยืนหยัดยืนยันความจริง ที่ตัวเองทำงานอยู่ทุกวันนี้ มีชีวิตอยู่ ก็มีชีวิตเพื่ออันนี้เท่านั้น อาตมามีชีวิตเพื่ออันนี้ ถ้าไม่นอกกว่านั้นแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ว่า อาตมาจะอยู่มีชีวิตไปทำไม เพราะอาตมาเห็นแล้วว่า การเกิดมาเป็นชีวิตในโลก จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน หรือจะมาเป็นคนก็ตาม มันก็ไม่เห็นมีประโยชน์คุณค่าอะไร ถ้าเผื่อว่าเราเองเราไม่มีการสร้างสรร ไม่มีกรรม อันเป็นกุศลที่เป็นคุณค่าประโยชน์ อย่างเป็นสัตว์เดรัจฉานนี่ เกิดมามันก็ร้องไป เสร็จแล้ว มันก็หากิน กินแล้วก็ขี้เยี่ยว สืบพันธุ์ เสร็จแล้วก็ตายไป มันก็ทำอะไรของมันไป เป็นประโยชน์โดยอ้อม จะบอกว่า ไส้เดือนมันเป็นประโยชน์ เพราะมันพรวนดินให้แก่กสิกร พรวนดินให้แก่ชาวไร่ชาวนา ไส้เดือนมันทำ มันไม่ได้พรวนดินให้ชาวไร่ชาวนา มันทำของมันตามเรื่องของมัน มันจะขี้ออกมา มันจะสังเคราะห์ มันก็ไม่ได้เจตนาจะมาช่วยคน มันก็ไม่รู้ แต่มันก็ถือว่ามันมีประโยชน์โดยปริยาย เพราะมันทำให้ดินดีขึ้น ปลูกอะไรต่ออะไรได้ดีขึ้น ส่วนไอ้เจ้าอึ่งอ่าง คางคกที่มันร้องๆอยู่นี่ มันทำอะไรมั่ง เป็นประโยชน์โดยปริยาย ให้แก่.. ว่าไงนักชีวะ มีอะไรมั่งมั้ย? นักวิทยาศาสตร์ เรียนชีวะมามั่งมั้ยนี่ เหอ? มันมีประโยชน์อะไรกับสังคมกับมนุษย์โลกมั่ง? ไม่มีเหรอ? นักวิทยาศาสตร์ บอกว่า ไม่มี อึ่งอ่างคางคกมันก็ไม่มี

อาตมาก็เห็นว่า มองโดย.. พยายามมองเห็น ประโยชน์นี่นะ สัตว์เดรัจฉานนี่ มันไม่มีประโยชน์ อะไรหนักหนาหรอก จะมีประโยชน์บ้างก็โดยปริยาย อย่างที่ ยกตัวอย่าง ไส้เดือน หรือว่านก มันมีประโยชน์บ้าง มันบินไปบินมา ก็ตอนที่มันกินพืชผลไม้อะไร แล้วมันก็มีเมล็ดไป แล้วก็เอาไปขี้ เมล็ดมันก็เลยไปหย่อนตรงนั้นตรงนี้ให้เกิดพืช ไปช่วยแพร่พันธุ์ ขยาย เผ่าพันธุ์พืชผัก พืชบ้าง โดยปริยาย มันไม่รู้เรื่องหรอก มันไม่ได้เจตนาที่จะไปขี้ ไปช่วยหยอดเม็ดพืช (พ่อท่านหัวเราะ) ให้มันเกิดอะไร มันไม่ได้มีเจตนาอะไรหรอก อะไรอย่างนี้เป็นต้น หรือปลามันอยู่ในน้ำ มันก็ไม่ได้ มีประโยชน์อะไร เท่าไหร่เลยนี่ ปลามันก็ไม่มีประโยชน์อะไรแก่โลกนักหนา ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร เพราะฉะนั้น อาตมาก็ว่า สัตว์เดรัจฉานในโลกนี่ มันไม่มีปัญญาที่จะรู้ว่า มันจะเป็นประโยชน์อะไร ในโลก มันก็วนเวียนอยู่ โดยความอวิชชาโง่เง่า ไม่รู้เรื่อง แล้วมันก็เกิดมา ก็วนเวียนอยู่ในโลก แล้วมัน ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้ว่ามันจะต้องดับต้องสูญ ไม่ต้องเกิดอีก มันจะทำ อย่างไร มันไม่รู้ สัตว์เดรัจฉาน มันไม่รู้ ไม่เกิดอีกนี่ ไม่วนเวียนเข้ามาเป็นชีวะอะไรรต่ออะไรอีกนี่ จะทำยังไง จะดับสูญปรินิพพาน จะทำยังไง สัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้

แม้แต่มนุษย์ ถ้าไม่ได้ศึกษาโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า ก็ไม่รู้ ว่าอะไรเป็นต้นเค้าอันนี้ ศาสนาพุทธ เท่านั้นจะรู้จักต้นเค้าอันนี้ ซึ่งอาตมาก็บรรรยายมามากแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องล้างอวิชชา ล้างกิเลส ตัณหา อุปาทาน อันเป็นตัวเหตุหลักเลย ที่พาให้เกิด พาให้เวียนอยู่นี่ ก็คือ กิเลสตัณหาอุปาทาน หรือ ความไม่มีปัญญาจนรู้แจ้ง จนสามารถควบคุม สามารถที่จะอยู่เหนือโลกุตระ อยู่เหนือกิเลสตัณหา เหล่านั้น เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ฝึกปรือจนกระทั่ง ลดละกิเลสที่รู้ยืนยันเลยว่า กิเลสทั้งหลายแหล่ ตั้งแต่ หยาบๆ เราก็อยู่เหนือได้ชัด เราก็ไม่สามารถจะให้มันเกิดได้ หรือถ้าจะให้มันเกิดก็เกิดได้ โดยที่เรียกว่า มันไม่ได้เอามาบำเรอตน แต่เกิดเพื่อที่จะให้มันยังมีความเกิด ฟังดีๆนะ เกิดเพื่อที่จะให้มัน มีความเกิด เท่านั้น ไม่ได้เอามาบำเรอตน แต่เกิดแล้ว ก็ต้องอาศัยอยู่เท่านั้นเอง และเราสามารถที่จะไม่ให้เกิด มีสองนัยแล้วอยู่เหนือนี่ อยู่ทั้งสามารถให้เกิดกก็ได้ ไม่ให้เกิดก็ได้ คุมได้ เรียกว่า โลกุตตรจิต ให้เกิดก็ได้ ไม่ให้เกิดก็ได้ แต่ถ้าเกิดก็เกิด เพื่อประโยชน์ รู้เลยว่าไม่ได้บำเรอตน เพื่อปรระโยชน์ผู้อื่นเป็นเรื่องหลัก เพื่อ ประโยชน์แก่ผู้อื่นๆ

อย่างความปรารถนานี่ก็เกิดความคิด เราจะปรารถนาดี เราอยากจะให้คนนี้หมดกิเลส อยากจะสร้าง อันนี้ อยากจะทำอันนี้ขึ้นมา อยากจะทำกสิกรรมที่ไม่มีสารพิษ มันก็เป็นความปรารถนาดี แล้วก็ ลงมือทำ อยากจะทำให้สังคมดีงาม อยากให้คนมีความสามัคคี จะทำอย่างไรจะให้คนมีความสามัคคี จะทำยังไงจะให้คนมีความเป็นอยู่ อย่างสุขเย็น มันเป็นความปราถนาดี จะบอกว่าตัวเองก็เป็น วิภวตัณหา เป็นตัณหา อุดมการณ์ เป็นตัณหาที่ดี เป็นตัณหาที่จะให้มนุษยชาติ เพื่อผู้อื่น เพื่อมนุษยชาติ เพื่อโลกนี้ทั้งโลกให้มันดี ถ้ามีความสามารถ จะสร้างสรรโลกทั้งคนทั้งสัตว์ ทั้งต้นไม้ พืช ผัก ดินน้ำลมไฟ บรรยากาศ ทุกอย่าง ให้มันดี ให้มันเจริญอยู่ได้ อุดมสมบูรณ์ได้ อย่างไร ถ้าเรามีความรู้ ความสามารถ เราก็มีความปรารถนาดี หรือมีความอยากให้มันเจริญ ให้มันดี อันนั้น ๆ ๆ แล้วเราก็ลงมือทำ พากันทำ พากันสร้างสรรอันนี้

อาตมารู้ว่าอาตมารู้อย่างนี้ แล้วก็พาพวกเราทำอันนี้อยู่ สร้างการงาน สร้างอาชีพ สร้างสังคม ความเป็นอยู่ ให้สุขให้เย็น อย่ากัดกันนัก ต้องพูดอย่างนี้กับพวกเรา นี่จะได้รู้ว่านี่อาตมาเน้นพิเศษ พวกเราก็ไม่ได้กัด เหมือนกับเขากัดกันเท่าไหร่หรรอก แต่มันก็กัดอย่างพวกเรากัดน่ะ ก็ดูมันไม่แรง อะไรหนักหรอก มันไม่ถึงขั้นลงไม้ลงมือทุบตีด่าทอ เหมือนกับปากตลาดอะไรหรอก แต่มันก็เป็นอย่าง พวกเรานี่แหละ ถ้าไม่กัดกันซะเลย มันจะไม่ดีกว่าหรือ เพราะฉะนั้น ก็พยายาม เรื่องอัตตามานะ อาตมาก็เข้าใจอยู่ มันมีการขัดแย้ง มันมีการถือดี มันเป็นกิเลสอีกส่วนหนึ่ง คือกิเลสในส่วนมานะอัตตา ทิฏฐิ ยังเป็นกิเลสมานะอัตตาทิฐิ ซึ่งเป็นกิเลสชั้นลึก ลึกในระดับปลาย ในระดับอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ไม่ใช่โอรัมภาคิยสังโยชน์ เป็นสังโยชน์ระดับอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ระดับห้าสูง สังโยชน์มันมีสิบ ห้าต่ำ เราเรียก โอรัมภาคิยสังโยชน์ ส่วนอุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง มันเป็นกิเลสเบื้องสูง ที่จริง ไม่ใช่เบื้องสูงหรอก คนต่ำมีกิเลสนี้ด้วย จะพูดว่ากิเลสเบื้องสูงนี่ประเดี๋ยวมันจะเข้าใจว่า โอ๊ย! เรายังไม่มีกิเลสอย่างนี้ ไม่ใช่ มันมีหมด ตั้งแต่ต่ำมันก็มีด้วย ลดกิเลสโอรัมภาคิยสังโยชน์ กิเลสชั้นต่ำ ห้าอันหมดแล้ว มันก็ยังเหลือไอ้ห้าอันสูงนี้อยู่ หรือในขณะที่ยังลดกิเลสอันต่ำห้าไม่ได้ กิเลสห้าอันสูงนี่ มันก็มีอยู่ มีอยู่ในคนทั้งระดับต่ำและระดับสูง จนกว่าจะลดกิเลสระดับต่ำลงหมดแล้ว ไอ้สูงนี่ มันก็ยังไม่หมด นี่มันก็มีมาก อัตตามานะน่ะมันมีมาก มากมีทั้งต่ำทั้งสูง ขนาดเลื่อนชั้น สองได้ พ้นไปแล้วระดับต่ำ สูงมันยังเหลืออีก เพราะฉะนั้น มันเยอะกิเลส อันนี้อาตมาก็เข้าใจ ก็พยายาม ให้พวกเราศึกษา และล้างลดนะ

ถ้าเผื่อว่าพวกเราได้ศึกษาแล้ว ธรรมะของพระพุทธเจ้า นี้ อาตมาว่า อาตมาศึกษา จึงได้รู้ว่า จะเกิดมา มีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ต้องศึกษาอย่าง พระพุทธเจ้าท่านพาเป็น แล้วเราจะอยากเกิดอยู่อีก มีปรารถนาดี อยากเกิดอยู่อีก ก็เกิดเถอะ แล้วไม่ได้เห็นแก่ตัว เกิดแล้วมาเป็นผู้สร้าง มาเป็นพระบุตรเหมือนกัน ที่ทางศาสนา ที่เขาถือว่าอยู่กับพระบุตร เป็นพระบุตรอยู่กับพระเจ้า เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันกับพระเจ้า เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ให้ ให้แก่โลก สร้างแล้วก็ให้แก่โลก ไม่ได้ขี้เหนียว ไม่ได้หวงแหน ของพระเจ้านี้ มีคุณธรรม

คุณลักษณะของพระจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่ดีที่สุดก็คือ
๑. สร้าง เป็นผู้สร้างสรร
๒. เป็นผู้ที่ให้ หรือประทาน เป็นผู้ประทาน
๓. เป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธิ์

นี่ในศาสนาของศาสนาที่มีพระเจ้าเขาก็ถือหลักอันนี้ แล้วเขาก็ไม่มีปรินิพพานเท่านั้นเอง เขาไม่มีตาย เขามีแต่เกิดตะพึค แต่เกิดดี ดีจริงๆ เราก็ดีอย่างที่ศาสนาที่เขามีพระเจ้าที่ดีนั้นให้ได้ ดี เกิดมาดี บริสุทธิ์สะอาดเพื่อผู้อื่น เพื่อผู้อื่น เพื่อผู้อื่น เขาถึงเสียสละได้มาก พวกเรานี่บางทีก็จะเอาแต่ ๗ ตัว ก็เมาๆ สับสนนิดหน่อยว่าประโยชน์ตน ประโยชน์ตนคืออะไร เอ้า!ก็ทำซิ ทำนั้นแหละคุณ ถึงจะมี แล้วเมื่อมีแล้ว แล้วคุณก็ให้เขาซิ คุณจะได้ถือว่าไม่เอาไง แล้วคุณไม่ทำอะไร แล้วคุณก็ไม่มีอะไร แล้วคุณจะไปได้ให้อะไรใครเขาละ มันไม่มีประโยชน์ใช่มั้ย คุณก็ไม่มีบุญ ไม่มีคุณค่า ไม่มีคุณงาม ความดี ไม่ได้ให้อะไรใคร แรงงานก็ไม่ให้ สิ่งผลิตอะไรก็ไม่ได้ให้อะไรใคร ได้แต่จุมปุ๊กนั่ง ดีไม่ดี นอกจากไม่ให้แล้ว ก็กินของเขา เราไม่ทำแล้วก็กินของเขา อย่างน้อยก็กินของดิน ดินมันช่วยให้ต้นไม้ มันเกิด ไปกินของต้นไม้ ต้นไม้มันทำงานของมันเองนะ มันจะมีใบมีลูกมีผลมีอะไรขึ้นมา มันก็ทำ ของมันเอง แล้วก็เอาของมันมากิน หน้าไม่อาย ไปกินของดิน ไปกินของน้ำ ไปกินของลม ไปกินของไฟ ไปกินของต้นไม้ ไปกินของอะไรเขา หรืออย่างน้อยคุณก็กินลม นี่ลมหายใจ สูดเอาลมของเขาเข้ามาฟรี หน้าไม่อาย ไม่มีประโยชน์อะไรให้แก่ดินน้ำลมไฟ ให้แก่โลก ให้แก่อะไรเขาเลย เราก็ได้แต่อาศัย กินแล้วก็ขี้ๆ เยี่ยวๆ ดีไม่ดีถ้าไม่ลดกาม ก็สืบพันธุ์ เท่านั้นเอง

อาตมาก็เห็นว่าเท่านั้นล่ะ เหมือนกับเดรัจฉาน มนุษย์ถ้าไม่เข้าใจก็เหมือนเดรัจฉาน ดีไม่ดียิ่งกว่า เดรัจฉาน เพราะเดรัจฉานมันก็ยยังกินไม่เฟ้อไม่บำเรอตนมากเหมือนคนนะ คนนี่บำเรอจังเลย โอ้โฮ! ไอ้นั่นก็น่าได้ ไอ้นี่ก็น่าเป็น มาปรุงแต่งหลอกกัน เฮอ!ไอ้นี่ก็สวย ไอ้นี่ก็งาม ไอ้นี่ก็มีคุณค่า ไอ้นี่ก็น่า จะเอามาสะสม ไอ้นี่ก็น่าจะกอบโกยเอามา โอ๊ย!นี่เพชรนี่ทอง นี่ของนั่น นี่อะไรต่ออะไรแล้วแต่ แย่งกัน ชิงกัน หอบกัน ฆ่าแกงกันตายเพราะ..แม้แต่ขนมหม้อแกงชิ้นเดียวก็ฆ่ากันตาย นี่ก็ข่าวอันนี้นานแล้วนะ ตั้งแต่สมัยขนมหม้อแกงชิ้นละ ๕๐ สตางค์ แล้วมันเหลือขนมหม้อแกงอยู่ชิ้นเดียว คนหนึ่งมันมาจอง ไว้แล้ว มาบอกกับลูกค้าเอาไว้ เหลือชิ้นเดียว ไม่ใช่เหลือชิ้นเดียวหรอก บอกว่า เอ้า!ฉันซื้อชิ้นหนึ่ง มาจองเอาไว้ ตั้งแต่ยังไม่หมด ขนมหม้อแกง ลูกค้าบอกฉันซื้อชิ้นหนึ่ง เขาก็ไปที่อื่นก่อน แล้วเดี๋ยว เขากลับมาเอา แม่ค้าก็ขายเพลิน ขายจนกระทั่งเหลือชิ้นสุดท้ายพอดี คนมาซื้อก็เลยตักให้เขาไปเลย ตักไอ้ชิ้นสุดท้าย ลืมไอ้คนมาจองไว้ คนมาจองมาเจอ พอดีบอก อ้าว! ขนมหม้อแกง บอก ไม่...เหลือ ชิ้นสุดท้าย ให้คนนี้ไปแล้ว เฮ้ย!ไม่ได้ ของข้า ข้าจองไว้แล้ว ไอ้นั่นก็บอก เฮ้ย!ของเอ็งอะไร ก็แม่ค้า ขายให้ข้า เถียงกันไปเถียงกันมา ขนมหม้อแกงชิ้นเดียวแทงกันตายเลย เถียงกัน ถูกทั้งคู่ คนหนึ่ง จองไว้ไป แต่อีกคนหนึ่งมาทีหลังก็ซื้อ แม่ค้าขายให้เขานี่เขาก็ได้พอดี ไอ้นี่มาทันเวลาพอดี เจอบอก ไม่ได้ นี่ของข้า ข้าจองไว้ก่อน ข้าบอกแม่ค้าไว้แล้ว เลยเถียงกันไม่มีการตัดสิน ก็เลยใช้มีดตัดสิน ตาย นี่ข่าวนานแล้วหลายแล้ว ขนมหม้อแกงชิ้นเดียว มันก็ฆ่ากันตาย มันอะไรกันนักกันหนา นี่ละคือกิเลส แล้วมัน เอ๊อ!อะไรกัน ก็เอาไปซิขนมหม้อแกงไปกินชิ้นเดียวนี่มันจะตายเหรอ แต่ถ้าแทงกันน่ะ มันตายนะ อาตมาจำไม่ได้ว่า ไอ้คนไหนตาย (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้คนจอง หรือว่าไอ้คนซื้อทีหลังตาย อาตมาจำไม่ได้ จำได้แต่ว่าเหตุการณ์เรื่องนี้คือ เกิดการตายขึ้น เพราะขนมหม้อแกงชิ้นเดียว อาตมาเลยจำได้แต่ประเด็นนี้ แต่จำไม่ได้ว่า ใครตาย จำไม่ได้แล้วอย่างนี้เป็นต้น

มันหวงแหนแล้วมันก็กอบโกยเอากิเลสโลภยึดติดอะไรต่างๆ ถ้าไม่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าแล้ว จะเกิดเรื่องร้าย เรื่องเลวเรื่องอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา เพราะฉะนั้น ยิ่งกว่าขนมหม้อแกง ก็ไม่ต้อง พูดกันเลย แย่งลาภ แย่งยศ แย่งสรรเสริญ แย่งโลกียสุขอะไรกันต่างๆนานาสารพัด (พ่อท่านหัวเราะ) แย่งตัวผู้ตัวเมีย (พ่อท่านหัวเราะ) เอาให้ชัดๆ แย่งกัน คนนี่แหละ แย่งตัวผู้ตัวเมีย อะไรกัน ฆ่ากัน ไม่รู้นับมาไม่ถ้วน นิยายไม่รู้กี่เรื่อง แย่งตัวผู้ตัวเมียกันนี่ ไอ้แย่งขนมหม้อแกงนี่มีน้อย แต่แย่งตัวผู้ ตัวเมียกันนี่ โอ้โห้!มีมาก ฆ่าแกงกันยังไม่จบ เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่จบนิยายเรื่องนี้ ยังจะต่อไปอีก กี่ชาติก็ไม่รู้ ไอ้แย่งตัวผู้ตัวเมียกันนี่ ไอ้แย่งลาภ แย่งยศแย่งฐานะ แย่งเงินแย่งทอง ฆ่าแกงกัน ด้วยเงินด้วยทอง แย่งที่ดิน แย่งที่นาที่ไร่ แย่ง..โอ๊! เพราะฉะนั้น แทนที่จะเกิดมาแย่ง เราก็เกิดมาสร้าง แล้วเอามาให้ ให้ ให้ เพื่อเกิดการบรรเทาแย่งชิงกัน เพื่อให้ห็นว่าคนเรานี่มีคุณความดี อยู่ว่าเราสร้าง เราไม่เอาเปรียบ เราเป็นผู้ให้เขาได้ เราเป็นผู้เกื้อกูลเขาได้ จึงเรียกว่าพระผู้สร้าง พระผู้ให้หรือพระ ผู้ประทาน จิตวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าใจอันนี้ดี แล้วทำได้โดยเรามีชีวิตอยู่นี่ ไม่เปลือง คิดยังไง ก็เป็นคนกำไร กำไรเพราะเราได้ให้ ไม่ใช่กำไรเพราะเราได้เปรียบ

ภาษาคำว่ากำไรอยู่ในโลกนี้คือได้เกินทุน เกินทุนนั่นภาษาทางพาณิชย์ ภาษาทางเศรษฐศาสตร์ ได้เกินทุน เพราะฉะนั้น ใส่เศรษฐศาสตร์ทุนนิยมอย่างนี้นี่ ช่วยสังคมไม่ได้ อาตมาถึงบอกว่า เศรษฐศาสตร์ ต้องเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ หรือเศรษฐศาสตร์เชิงบุญนิยม จึงจะช่วยสังคมได้ เศรษฐศาสตร์เชิงทุนนิยม ไม่มีทางช่วยสังคมได้ ขอยืนยัน เพราะฉะนั้น การคิดกำไร คำว่ากำไรนี่คือ สิ่งที่เกินทุนนั้น ไม่รอด สังคมไปไม่รอด เพราะฉะนั้น เราจะทำอย่างไร ให้ชีวิตของเรานี่มาเป็นนัก การค้า หรือการพาณิชย์แบบบุญนิยม สามารถที่จะขายต่ำกว่าทุนได้ ถ้าจะทำต่ำกว่าทุนได้ เพราะเหตุ อย่างไร? เพราะเหตุว่าคนแต่ละคนนี่ คิดค่าขายนี่คิดราคาขาย ลดค่าแรงของตน นั่นหนึ่ง ค่าแรง ของตน ตามสังคมนี่ เรามีความสามารถเท่านี้ ค่าแรง เราควรมีเท่านี้ เรามีความสามารถ มีความเก่ง มีความ... นั่นละความสามารถแหละ พูดถึงว่าก็คือความสามารถของเรา ราคาเรา ควรจะประมาณนี้ จะเป็นร้อยหนึ่ง พันหนึ่งอะไรก็ตามใจ นั่นเป็นราคาของสัจจะธรรมดา เมื่อเวลา เราคิดต้นทุน เราก็ต้อง บวกราคาค่าแรง ค่าความรู้นี่ลงไปด้วย เป็นทุน เมื่อราคาทุนออกมาเท่านั้น เราก็ขายต่ำกว่าทุน ก็คือ ได้ลดค่าแรงงานนี่ก่อนอื่น เราสามารถเท่านี้เราอย่าเอาเต็มราคา ค่าแรงงานเรา พันหนึ่ง เราก็เอาซัก เก้าร้อย หรือเอาแปดร้อยได้ก็ยิ่งดี ลดลงมา เพราะฉะนั้น ราคาจะขายจะต่ำกว่าทุน ต่ำกว่าตรงที่ ราคาค่าแรงของเรานี่ เราไม่เอาเต็ม

๒.ถ้าเรามีวัตถุดิบหรือมีสิ่งที่มันทุ่นแล้ว พลังงานมันก็ซับซ้อนเข้ามา ช่วยตัวมันเอง เป็นต้น เวลาเรา ทำงานขึ้นมาดีๆ แล้วนี่กิจการของเราเจริญ กิจกรรมมีผลเจริญ เมื่อมันเจริญขึ้นมาแล้ว พลังงาน ของมัน ก็มาช่วยตัวเอง โดยที่เราไม่ต้องไปเสียสตางค์ไปเสียทุนมาเพิ่มค่าแรงงานนี้ มันก็ทุ่น ค่าแรงงานลง เมื่อทุ่นค่าแรงงานลง ค่าแรงงานเราก็คิดตามหน่วยที่มันจ่าย เป็นทุน เสร็จแล้วเราก็ไป คิดเต็ม เพราะมันมีแถมเหมือนดอกเบี้ย ได้งานมันก็เสริมขึ้นมาได้

๓.วัตถุดิบที่เป็นทุนจริงๆนี่ เมื่อเราสร้างไปแล้ววัตถุดิบมันก็จะมีมากขึ้น โดยพลังงานของโลก ของต้นไม้ พลังงานดินน้ำลมไฟ มันช่วยผลิต อย่างต้นไม้มันช่วยผลิตใบไม้ ...

.. อย่างต้นไม้นี่มันเกิดของมันเอง พอเราปลูกได้ต้นโตหรือมีอะไรมันก็ปลูก อย่างผักที่ที่ได้มากที่สุด ที่ไปขายเป็นเนื้อเป็นหนังก็คือสองอย่าง ผักที่ มรฐ.ปีนี้ นะ ผักบุษบาริมทางกับผักบุ้ง โอ้!..เก็บมา เท่าไหร่ ก็ไม่ค่อยหมด แหมเก็บได้เก็บดี เก็บขายกันทั้งสิบวัน ยังเหลืออยู่อีกเลย ยังเก็บอีกก็ยังได้เลย ยังไม่หมด มันเยอะ บุษบาริมทางนั้นอีกชื่อหนึ่งก็ชื่อ เบญจรงค์ บุษบาริมทางนี่ ทีนี้พวกอีสาน หรือว่า พวกทางโน่นน่ะ ทางอีสานนี่เขาก็รู้จักในชื่อ อ่อมแทรก พอบอกอ่อมแทรกก็ เลยอ๋อ พอบอกเบญจรงค์ บอกบุษบาริมทาง ไม่รู้เรื่อง คือมันมีห้าสี ไอ้ต้นนี้น่ะมันมีดอกห้าสี เขาเรียก เบญจรงค์ ดอกมัน ชื่อเก่า เขาว่างั้นชื่อเก่ามันชื่อเบญจรงค์นี่ ทีนี้อาตมามาได้ยินคนอีกคนหนึ่ง เขาบอกว่า ไอ้ต้นนี้เขาชื่อ บุษบาริมทาง เขาบอกงั้น อาตมาก็ว่าเออ... มันก็เพราะดีเหมือนกันนะ แต่คนบางคน เขาบอกว่า อื๊อ!บุษบาริมทางมันเหมือนของไร้ค่านะ มันไม่น่าชื่อเลย ชื่อเบญจรงค์ยังมีค่าซะกว่า เอาล่ะ จะเรียก อะไรก็แล้วแต่ นั่นก็..เราก็มีผักพวกนี้ขายกัน เอา ไป...เก็บเอาไปขายกัน โอ้โฮ!มากมาย แล้วมันเกิดทัน มันเกิดมากมาย

นี่ก็คือเมื่อกิจกรรมเจริญมันก็จะมีวัตถุดิบ มีอะไรซับซ้อน แรงงานก็ซับซ้อน ความสามารถใน การปราณีต มันก็จะปราณีตซ้อนในตัว ทำงานได้เยอะ ทำอะไรได้ซ้อนขึ้นมา นี่มันก็จะลดต้นทุน ลงไปหมด ซึ่งมีภาวะละเอียดลออซับซ้อนอยู่ หลายชั้น สิ่งเหล่านี้นี่นะ เพราะฉะนั้น ค่อยพิสูจน์กันไป พวกเรานี่ จะพิสูจน์สภาพพวกนี้ได้ เพระาฉะนั้น ในอัตราของทุนเรา ก็คิดอย่างโลกเขาคิดนั่นแหละทุน ไม่โกง ค่าแรงเราควรได้เท่าไหร่เราไม่โกง แต่ในระบบทุนนนิยม มันจะโกงค่าแรง โก่งค่าแรง เราควรได้ พันหนึ่ง เราก็ตีราคาตัวเราขึ้นเรื่อย สองพัน สามพัน ห้าพัน บางคนตีราคาค่าแรงตัวเอง โอ้โห! อย่างกะ กินข้าวเป็นเม็ดทองคำแน่ะ ค่าแรงอะไรมันแพงกันขนาดหนักก็ไไม่รู้ นี่ก็เกิดศักดินา เกิดช่องว่าง ระหว่างคนตีค่าตัวเอง สูงเกินไป คิดค่าแรงตัวเองเหลือเกิน อย่างผู้บริหารผู้ทำงานระดับบริหาร ชั้นสูงๆ นี่ คิดค่าแรงตัวเองยิ่งใหญ่เหลือเกิน แหมตัวเองคิดนิดนึงก็ อื้อฮื๋อ! ราคาความคิด ชั้นต้องแพง จริง.. คุณอาจจะคิดได้เก่งกว่าเขาจริง แต่ในทางธรรม ในทางศาสนาพระพุทธเจ้า คิดได้เก่งเท่าไหร่ก็ยิ่งดี แล้วตัวเองนี่แหละ จะเป็นคนมีคุณค่า มีความสามารถ มีความยอมรับ มีความนับถือ มีความเชิดชู บูชาเทิดทูน เพราะว่า เราเก่งเราสามารถ แล้วเราก็เป็นคนที่ปฏิบัติมักน้อยสันโดษ กินน้อยใช้น้อย ลงไปอีก เราก็ไม่เปลือง เราก็ไม่ยึด เราก็ไม่สะสม เราก็ไม่กอบโกย เราก็ฝากชีวิตไว้กับหมู่ฝูงนี่แหละ หมู่ฝูง ก็เกื้อกูลเรา หมู่ฝูงก็ดูแลเรา จะกินเขาก็หามาให้กิน กินง่ายๆเป็นคนสุภรตา เป็นคนที่เลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย ไม่เดือดไม่ร้อน เสื้อผ้าหน้าแพรมีให้ใส่ยังไงก็ใส่ ไม่เดือดไม่ร้อน จะไปจะมา จะให้นั่งหิน ก็นั่งหิน จะให้นั่งดินก็นั่งดิน จะให้นั่งม้าก็นั่งม้า จะเอาแท่นทองคำมาให้นั่ง ก็นั่งแท่นทองคำได้ ไม่คัน ไม่มีปัญหานะ นั่งแท่นทองคำได้ก็ประเดี๋ยวคนจะมาปล้นเอา ก็มันจะมายิง เราก่อนแล้วมันจะเอาแท่นทองคำเท่านั้นน่ะ เพราะฉะนั้น จะไปนั่งแท่นทองคำ คงจะลำบากหน่อย ก็อาตมาก็อาจจะปฏิเสธ บอกไม่เอาน่ะนั่งแท่นทองคำประเดี๋ยวคน มันอยากได้ทองคำ แล้วเรานั่งอยู่ มันก็จะยิงเราตายก่อน มันถึงจะเอาแท่นทองคำไปได้ มันก็ไม่ดีน่ะซิ มันไม่ปลอดภัย ถ้าเรานั่งอย่างนี้ แท่นหินแท่นดินอย่างนี้ ไม่มีใครมาปล้นหรอก ถึงมันปล้นมันก็เอาไปยาก นี่ปล้นทีหนึ่ง โอ้โห! มันจะยกไปนี่ แหมแล้วมันคุ้มมั้ยละ มันไม่คุ้มหรอก เสียเวลา ต้องเสียรถเทรลเลอร์ ต้องเสียรถเครน โอ๊ย! มันยกยาก มันไม่ปล้นน่ะ อย่างนี้น่ะ นั่งยังไงก็ได้นะ นี่ก็อธิบาย เรื่อยเปื่อยไปนะให้ฟัง

สรุปแล้วก็ถ้าเผื่อว่าเราเอง เรามาศึกษา แล้วเราจะเห็นว่าสภาพการสร้าง หรือการเจริญนี่เป็นเรื่องลึกซึ้ง จะบอกว่า ความรู้ทางเศรษฐกิจ เราก็มีความรู้ทางเศรษฐกิจ เราก็มีความรู้ทางพาณิชย์ เพราะฉะนั้น การจำหน่าย บุญนิยมนี่ก็จะมีพาณิชย์เชิงบุญนิยม เศรษฐศาสตร์เชิงบุญนิยมต่างๆนานาพวกนี้ เราจะพิสูจน์อันนี้กัน อาตมาเห็นว่า เกิดมาเป็นคนแล้ว อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว มีความรู้อย่างนี้ อาตมาก็จะมาพิสูจน์ความจริงอันนี้ ใครจะร่วมพิสูจน์ ใครจะเป็นพลเมืองแบบนี้ ก็มา เพราะฉะนั้น เขาจะตัดสินว่าอาตมาผิดหรืออาตมาถูก อาตมาไม่มีปัญหา ขณะนี้นี่มันเหมือนอะไร กำลังจะเปลี่ยนแปลง ไอ้รูปเก่าน่ะมันโทรมแล้ว มันไปไม่รอดแล้ว หมายความว่าเชื้อพันธุ์นี้นี่ มันไม่มีพันธุ์ ไม่ทำพันธุ์ใหม่ นี่มีแต่จะเสื่อมลง ในชีววิทยา เขาก็รู้ว่าเมื่อมันถึงขนาดหนึ่งแล้วนี่ มันจะไม่มีทางเจริญไปกว่านี้อีกแล้ว มีแต่มันจะเสื่อม ๆ ๆ เพราะฉะนั้น จะต้องมีอะไร มาเปลี่ยนแปลงใหม่ ทำให้อันนี้มันเกิดสภาพ ขึ้นมา แล้วมันก็จะเกิดอะไรใหม่ขึ้นมา มันจะเกิดสภาพ ที่จะต้องสังเคราะห์ตัว มีอะไรๆขึ้นมา แล้วจึงจะเกิดใหม่ นัยของเรานี่ ในความรู้หรือในทางธรรมะ ของเรา นี่ก็เหมือนกัน ในศาสนาพุทธนี่แหละ มันกำลังเป็นสภาพนี้ นี่อาตมาอธิบายความจริงนะ คนจะฟังได้ หรือฟังไม่ได้ก็แล้วแต่ เขาจะเข้าใจ หรือเห็นตาม หรือไม่เห็นตามก็ตามใจ อาตมาว่า อาตมาไม่แปลก อาตมาจะต้องถูกตัดสินเข้าคุก อาตมาจะต้องไปเข้าคุกจริงๆ ก็เข้า แล้วอาตมา ก็ยืนยันว่า อาตมาไม่ได้ขาดจากความเป็นสมณะลูกพระพุทธเจ้า อาตมาก็บำเพ็ญตนอยู่อย่างนี้ล่ะ ตามธรรมวินัยเป็นอย่างไร ก็ทำอย่างนี้แหละ อะไรที่ผิดธรรมผิดวินัยอย่างนั้นอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ทำ ให้ผิด โดยเฉพาะยิ่งข้อหลัก ข้อผิดใหญ่ ผิดในระดับปาราชิก ผิดในระดับสังฆาทิเสส อะไรพวกนี้น่ะ อาตมาไม่น่ะ ถ้าเผื่อว่าจะมีก็มีทุกกฎ ทุพภาสิตอะไรเล็กๆน้อยๆ ซึ่งอาตมาก็ว่า อาตมาไม่ผิด เพราะความผิดนี่ มันจะต้องรู้เจตนารมณ์ แล้วก็มีปัญญาด้วย ว่าเจตนารมณ์อันนี้ อย่างนี้ แล้วก็มีปัญญาว่า อันนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อเสียหาย ไม่ได้เป็นไปเพื่ออกุศล ไม่ได้เป็นไปเพื่อไร้ประโยชน์ แต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ เป็นไปเพื่อกุศล เป็นไปเพื่อความดี และทำลงไปแล้ว ก็ได้อันนั้นด้วย แม้หลัก บางหลักนี่ คนมีฝีมือไม่ถึง ก็ต้องมีหลักเกณฑ์ควบคุมไว้ก่อน ถ้าคนฝีมือถึงแล้ว มันนอกกรอบนอก กฎเกณฑ์อันนี้ ก็ทำได้สำหรับผู้ที่เหนือชั้นจริงๆ อันนี้เป็นความสุจริตและเป็นความจริงด้วย นอกจาก สุจริตแล้ว จะต้องเป็นความจริงว่า คนนี้เหนืออันนั้นจริงๆ ก็ทำไปอยู่ แต่เอาเถอะโดยกฎโดยหลัก เราก็บอกว่าทุกกฏ มันผิดกฎก็ปลงอาบัติ สารภาพซะว่า เอ้า!ก็ตกลง มันผิด ก็ไม่มีปัญหาอะไร ก็รับผิด ไม่มีอัตตามานะ อะไร ก็รับผิดได้ว่านี่เราทำผิดตามกฎตามหลัก แต่โดยเนื้อหา มันไม่ได้ผิดหรอก เพราะฉะนั้น เมื่อไม่ผิดมันก็เป็นสภาพที่เป็นความเจริญ หรือเป็นการสร้างสรรที่ดีอยู่ ก็ไม่เป็นไร

อันนี้ก็เป็นเรื่องซับซ้อนนะ เป็นเรื่องลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ตอนนี้มันเหมือนผะอืดผะอม เหมือนกับตอนที่ มันกำลังจะเปลี่ยนตัว มันกำลังจะมีอะไรออกไปอีกอันหนึ่ง เหมือนกับจะเป็นพันธุ์ใหม่ เหมือนกับกำลัง จะเป็นพันธุ์ใหม่ แต่จริงๆ มันไม่ใช่พันธุ์ใหม่หรอก มันเป็นสิ่งที่มันแปรตัวมาเป็นพันธุ์ทาง จนกระทั่ง มันเกือบ จะไม่เหลือเชื้อเหลือพันธุ์แล้ว แล้วจะกลับมาเป็นพันธุ์แท้อีกทีหนึ่ง นี่มันวนเวียน มันซับซ้อน วนกลับๆ วนกลับ พันธุ์เดิมตอนนี้มันกลายตัวเป็นพันธุ์ทาง เป็นพันธุ์แปร จนกระทั่ง มันเกือบไม่เหลือ พันธุ์แล้ว เราก็กลับมาที่จะเปลี่ยนแปลงพันธุ์นี้กลับไปสู่พันธุ์เดิมอีก เขาก็เลยมองว่าพันธุ์เดิมนี่ ไม่ใช่แท้ ไอ้แท้คืออันนี้ มันไปยึดกันคนละขั้วแล้ว อาตมาแน่ใจว่า อันนี้คือพันธุ์แท้ พันธุ์แท้เป็นยังไง? พันธุ์แท้ก็คือ คนที่เอาหลัก ๘ประการของพระพุทธเจ้ามาวัด มาตรวจสอบได้ วิราคะ วิสังโยค อปัจจยะ อัปปิจฉะ ปวิเวกะ วิริยารัมภะ สุภรตา อย่างกับเปรียญเก้าเลย นะ ท่องบาลีเปี๊ยะเลย แล้วแถมแปล ยิ่งกว่าเปรียญเก้าด้วย เพราะเปรียญเก้า ไม่ได้แปลอย่างพิสดาร อย่างอาตมาแปลหรอก อาตมาแปล ไปแล้วเมื่อวานนี้ เทศน์ไปแล้ว ก็แปลไปเยอะเหมือนกันเมื่อวานนี้ ก็เอาขนาดนั้นก็พอนะ เอ้า!ตอนนี้ ไม่เสียเวลาแปลอีกล่ะ อาตมาจะอธิบายอื่นไปเท่านั้นเอง

สรุปแล้วก็คือว่าเราใช้ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ เนื้อหาแท้ๆ เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนที่ไม่เหลือตัวตน หรือลดตัวตน ไม่เห็นแก่ตัว แต่เป็นคนสร้างสรร เพราะฉะนั้น ชีวิตที่อาตมาเป็น อาตมาถึงบอกว่า ถ้าอาตมาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป จะเกิดอีกนี่ อาตมาก็อยู่อย่างสร้างสรร อาตมามีงานนี้ แล้วก็พยายามถ่ายทอด ตามหลักตามเกณฑ์ ว่าอาตมาควรจะเป็นคนที่ให้ความรู้ เป็นปุโรหิต เป็นผู้สอน เป็นผู้แนะนำ เป็นผู้บอก อาตมาก็จะทำหน้าที่นี้ เพราะหน้าที่นี้นี่จะต้องสร้างคน นี่ เป็นนักสร้างคน สร้างคนให้มีความรู้ สร้างคนให้เป็นนักบริหาร สร้างคนให้เป็นนักบริการ สร้างคน ให้เป็นนักผลิต หรือสร้างคนขึ้นมาเป็นปุโรหิต มาเป็นนักบวช หรือว่ามาเป็นผู้ที่สอน เป็นผู้รู้จริง เป็นผู้มีความจริงนี่อีกชั้นหนึ่งขึ้นมา ใครจะมีหน้าที่ไหน ใครจะทำหน้าที่ไหนได้ จะเป็นนักบริหาร จะเป็นนักบริการ จะเป็นนักผลิต ใครจะทำหน้าที่ไหนก็ได้ แต่ว่าร่วมกันทั้งหมดก็คือ เป็นคนดี เป็นคนมีอุดมการณ์เดียวกันว่า จะต้องไม่เห็นแก่ตัว เราต้องเข้าใจว่า นักผลิตนี่จะต้องมีทุนรอนมาก จะต้องรวยกว่าเพื่อน เพราะเขาจะต้องมีวัตถุดิบ เขาจะต้องมีค่าแรงงาน เขาจะต้องมีค่าโน่นค่านี่ เขาจะต้องใช้จ่าย เขาจะต้องสร้างสรร มีวัตถุมาก เพราะฉะนั้น เป็นคนมีพหุกรณียะ มีพหุกิจจา มีกิจมากงานมาก การมาก มีอะไรมาก ใช่ เขาจะต้องรับผิดชอบมาก เขาจะต้องรวยมาก เราก็อย่า ไปแย่ง ไปต่างฐานะกัน อย่างอาตมาเป็นปุโรหิต มีคนเข้าใจนับถือ เราก็เป็นคนมักน้อยแล้ว สันโดษแล้ว กินน้อยใช้น้อยแล้ว ไม่เปลืองแล้ว เขาช่วยไว้เลี้ยงไว้ได้ง่ายมาก ไม่จำเป็นจะต้องสะสม กอบโกย เสื้อผ้าหน้าแพรทุกวันนี้ อย่าว่าแต่อาตมาต้องตัดเองเลย จะต้องไปซื้อหาเลย ไม่ต้อง มีแต่มายัดเยียด จะให้ใช้เกินไป ต้องค่อยๆปฏิเสธ อาหารการกิน ก็กินวันละมื้อ อย่างนี้ก็ปฏิเสธ มันมาก มันเกินอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล นี่เป็นระบบวัฒนธรรมของสังคม

เพราะเมื่อเรามาเป็นนักบริหาร ไม่ต้องไปสะสมเงินทองหรอก อยากจะใช้อะไรก็บอกกัน จำเป็นก็บอกว่า ไอ้นี่นะ นี่ นาฬิกามันเสียแล้ว เอาไปซ่อมให้หน่อย ก็ซ่อม เอาไปซ่อมให้ แล้วคุณจ่ายค่าซ่อมเองนะ เพราะอาตมาไม่มี อย่างนี้เป็นต้น คุณก็ไปช่วยให้ แว่นตามันไม่ดีแล้วล่ะ แหมมันต้องเปลี่ยนเลนส์แล้ว เลนส์นึงก็หลายตังค์ ตามันใส่มันก็ไม่ได้ประโยชน์ มันไม่ตรงแล้ว มันสรีระ มันเพี้ยนไปแล้ว ก็ต้องไป ปรับใหม่ เอ้า!ไปเปลี่ยนให้หน่อย ก็เห็นพวกอุดหนุนกันดี นี่ ก็แย่งกันจะเปลี่ยนให้อาตมาโน่นแน่ะ ขอให้เราทำดีเถอะ แล้วเราไม่ได้ผลาญได้พล่า ไม่ได้เปลืองอะไรจริงๆ เขาอยากให้เพราะว่า เราไม่ได้ เป็นคนโลภมาก ไม่ได้เป็นคนทำแล้วขาดทุน แต่ทำแล้วกำไร เพราะว่าให้อาตมาตาก็ดีขึ้น ไอ้โน่นก็ ได้ใช้ประกอบ ทำให้อาตมามีเวลา คือเซฟอะไรขึ้นมาให้อาตมา ให้อาตมาได้สร้างสรรอะไรได้อีก สิ่งที่เป็นคุณค่าซ้อนอย่างนี้เป็นต้น หรือพวกเราแต่ละคน แต่ละคน ตามลำดับฐานะนี่ มันก็จะซ้อน ขึ้นมา เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นนักผลิตนี่ทำเองอะไรนี่ จะต้องมีทุนรอนมาก

อาตมาไม่ริษยา คุณควรจะมีเงินมากกว่าอาตมาถูกแล้ว ไม่ใช่อาตมานี่ รู้มากกว่า แล้วอาตมา ก็เก่งมากกว่า อะไรมากกว่า อาตมาก็จะกินมากใช้มาก อาตมาก็หอบไว้มากซิ อาตมาไม่ลดละ แต่อาตมาลดละแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน ซ้อนไว้ ดีจริงเลย ลดละแล้ว กินน้อยใช้น้อยลงมาจริงๆ ยิ่งน้อยเท่าไหร่ อาตมาว่า อาตมาเจริญเท่านั้น แล้วล้างกิเลสไปหาปรินิพพานได้อย่างนั้นจริงๆ อาตมาก็ทำ ทำให้กิเลสไม่ติดไม่ยึด ล้างออกไปจริงๆ แล้วอาตมาก็เห็นความจริงว่า เออ..ปรินิพพานได้ แล้วเราก็จริงใจ เราก็ไม่จำเป็นจะต้องไปหอบไปหามา ไปอยากได้ไปกอบโกย วิสังโยค ไม่ผูกมัดรัดรึง ไม่กอบโกบ อัปปิจฉะ น้อยเท่าไหร่ได้ ก็เอา สันตุฎฐิ สันโดษก็พอ สบาย พอจริงๆเลย ทุกวันนี้นี่ อย่างยกตัวย่างง่ายๆ ไม่ต้องไปกินน้ำเปรี้ยวน้ำหวาน น้ำนั่นน้ำนี่ กาแฟโอเลี้ยงเอามาเสริ์ฟกัน แหม ผู้ใหญ่ ของที่ทำงานที่เขา พวกไฮโซ พวกไอ้นั่นเขานี่ไม่ได้นะ ทำงานประเดี๋ยวเปลี่ยน โอเลี้ยงมา มันละลายมากไปหน่อยก็ต้องเปลี่ยนมา ไม่ได้ ยังไม่ได้ดูดซักหน่อยเลย นะ มันมา เดี๋ยวมา เปลี่ยนมาใหม่ กาแฟเย็นมันไม่เย็นแล้ว เปลี่ยนใหม่ กาแฟร้อนมันมา มันไม่ร้อนแล้ว ก็เปลี่ยนร้อนๆ มาใหม่ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ดื่ม เอาไปเททิ้งแล้ว ก็เอามาเปลี่ยนใหม่ อย่างนี้เป็นต้น ฟุ่มเฟือย ล่อกันเละ อยู่อย่างนั้นละ พวกอยู่ในสังคมพวกนี้เขารู้กันดี อาตมาก็ไม่มีอะไรนี่ เขาก็อุตส่าห์พยายาม บริการนะ เอาน้ำเปล่ามาให้เสมอนะ ดื่มมั่งไม่ดื่มมั่งก็ต้องถือมาบริการน่ะ เขาอยากบริการ อย่างเก่ง ก็ดื่มน้ำเปล่า นี่ก็เหลือแหล่แล้ว อาตมาก็สันโดษพอ อาตมาไม่ริษยาคนที่แหมประเดี๋ยวก็... นักบริหาร ชั้นใหญ่ นี่ประเดี๋ยวก็.. เดี๋ยวถ้วยชา ถ้วยกาแฟ คุณจะติด อะไรเขาก็เอาอันนั้นให้คุณน่ะ คุณติดอะไรละ คุณชอบอะไร เขาก็จะเอาอันนั้นน่ะมาบำเรอคุณ มาเสนอคุณใช่มั้ย ถ้าคุณติด หลายอย่าง เขาก็จะวนเวียนหลายๆ อย่างน่ะมาให้คุณ ถ้าคนติดอะไรจัด เขาก็จะเอาอันนั้นน่ะ จัดมาให้คุณ คุณติดกาแฟดำ คุณติดกาแฟนม คุณติดไมโล โอวัลติน อะไรก็แล้วแต่ มากมายเหลือเกิน นานา สารพัด เขาก็เอามาบริการคุณ คุณก็จะเละอยู่ตรงนั้นแหละ แต่เรามักน้อยสันโดษแล้ว เราไม่มีต้อง บริการอะไรมากมายหรอก เราก็เปลืองน้อย ภาระน้อย เป็นคนเลี้ยงง่าย แต่ทำงานมาก สร้างสรรมาก อะไรๆ ก็เกิดคุณค่ามาก ถ้าแบบนี้ล่ะเราเป็นคนมีกำไรเยอะ กำไรเพราะเราไม่เอา นี่มันค้านแย้ง กับโลกเขา คนโลกเขาน่ะกำไรเพราะเขาเอา เขาเอามากๆนี่เขากำไร แต่ของเรานี่กำไร เพราะเราไม่เอา ใครจะเชื่อก็ช่าง ไม่เชื่อก็ช่าง ใครจะเอาอย่างนั้นก็เอา ไม่เอาอย่างก็ช่าง ไม่ง้อ ไม่ง้อจริงๆนะ แต่อาตมาว่า นี่คือสัจจะ ใครอยากเถียงก็เถียง ใครไม่เถียงก็ตามใจ ใครเข้าใจได้ก็เข้าใจ ใครเข้าใจ ไม่ได้ก็ไม่รู้ล่ะ ก็พยายามจะพูดให้เข้าใจนะ ไม่ได้เจตนาอะไรที่จะไม่ให้เข้าใจหรอก เจตนาให้เข้าใจให้ดี อย่างนี้มันจริงมั้ย ถ้าคนมีปัญญา อาตมาว่าก็เข้าใจได้ ก็จริง แล้วเราก็มา เป็นคนอย่างนี้กัน ทุกวันนี้นี่ เราเป็นคนอย่างนี้กันได้พอสมควรแล้ว มันน้อย

โลกทุกวันนี้เป็นโลกียะที่มันมีอวิชชาเห็นแก่ตัว มีกิเลสเป็นเจ้าเรือน อาตมาก็เข้าใจ ยิ่งทุกวันนี้โอ้โห! ซับซ้อน หลอกล่อกัน เอาเปรียบเอารัดกัน ต้องต่อสู้กันอยู่ อาตมาก็ถือว่าอาตมาไม่ต่อสู้กับใครหรอก แต่อาตมาจะสร้างพันธุ์ใหม่ เอาความจริงใหม่ อาตมาจะพยายามไม่ให้เกิดความรุนแรงอะไร จะพยายามทำ เท่าที่อาตมาทำได้ คนมาทำด้วยก็มาทำ เขาจะมาข่มขี่ เขาจะมาดูถูก เขาจะมาทำเป็น เหนือชั้นกว่า จะใหญ่กว่า ดีกว่ายังไง ก็ให้เขาโฆษณาให้เขาคุยตัวของเขาไป เราเองเราก็คุยของเรา พอสมควรเท่านี้น่ะ เราก็ว่าอันนี้มันดีอย่างนี้ จะบอกว่าเราคุยตัวโอ่อวด เราก็ไม่ได้โอ่อวด เราก็บอกว่า ไอ้นี่มันดีกว่า ดีนะนี่เป็นคุณค่าเป็นประโยชน์ที่แท้ เป็นสัจจะ คุณฟังได้คุณก็เห็นตาม คุณก็เอาตาม คุณเห็นไม่ได้ก็ช่างเถอะ เขาจะเถียงว่า อย่างโน้นซิดีกว่า ไม่มีเงินไม่มีทองมันดีอะไร มันต้องมีเงิน มีทองซิ มันต้องมีอะไรมากๆมายๆ มันจะต้องมีอำนาจบาตรใหญ่ มันต้องอย่างโน้น เอ้า!ให้คุณไป เอาเถอะ เราไม่ต้องเอา แล้วคุณอยากจะไปข่มไปรังแกใครไปเอา เปรียบเอารัดอะไรใครก็ตาม เราไม่ไปรังแก เรายอมได้

จะเอาเราแพ้ ก็แพ้ จะเอาเราเข้าคุกก็เข้า แต่เราก็ขอยืนยันยืนหยัดอยู่อย่าง เราจะยืนยันสัจจะ เราจะทำดี อย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นผู้ที่เกื้อกูล ซึ่งไม่ได้ฝืนใจอะไร อาตมาว่า อาตมาไม่ได้ฝืนใจอะไร อาตมาทำแล้วอาตมาสบายใจด้วยซ้ำ อาตมาเห็นจริงว่า อาตมาอย่างนี้ อาตมาเป็นคนมีคุณค่า อาตมาได้สร้างได้ทำงานได้ปลูกฝัง สำหรับฐานะของนักบวช หรือว่าปุโรหิต ก็ไม่ต้องไปทำอะไร มีหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าท่านวางไว้เป็นขั้นตอน สมณะก็คือ สมณะ ฆราวาสก็คือฆราวาส เพราะฉะนั้น อยู่กันคนละฐานะ ฆราวาสก็จะสมัครใจเป็นฆราวาส ก็รับผิดชอบไป ใครอยากจะเป็นนักบริหารในฐานะฆราวาสก็เอา ในนักบวชนี่ก็มีการบริหารอยู่บ้าง แต่จะไปสร้างอะไร ทำอะไร จริงๆจังๆนี่มันก็คงไม่ได้ เพราะว่าไม่ได้สะสม ไม่มันจะซ้อนกัน ถ้าไม่งั้น ต้องสะสม เป็นนักผลิต แล้วสมณะก็เป็นนักผลิต แล้วสะสมก็เป็นนักผลิตด้วย ก็เลยต้องกอบโกย เงินทองเอาไว้ ไหนว่ามักน้อยไง ทำไมหอบเป็นกอบเป็นกอง โอ้โฮ!มีตั้งไม่รู้กี่ล้าน แล้วก็จะสร้าง กันใหญ่กันโต จนมีไอ้โน่นไอ้นี่ใส่กระเป๋าไว้ตัวเองจ่ายเอง มีสิทธิ์เองอะไรด้วย มันฟังแล้วมันซับซ้อน มันแย้งในตัวมากไป เพราะฉะนั้นแบ่งด้วย เอ้า!คุณจะไปเป็นนักผลิต คุณก็ไปเป็นนักผลิต ผลิตอย่าง บุญนิยมนะ ผลิตซิ ให้ผลิตอย่างที่เรียกว่าเป็นพระอนาคามีโน่นแน่ะ ยังเหลือจะเป็นพระอรหันต์ เพราะต้องมาบวช พิสูจน์ให้มันบริสุทธิ์ทั้งรูปและนาม ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์วินัยว่าไม่สะสม ไม่กอบโกย ไม่มีเงิน ไม่มีทอง ไอ้นั่นก็ค่อยว่ากัน มาบวชถึงจะเป็นพระอรหันต์ ถือว่าอรหันต์ได้แท้ เพราะว่ามันไม่ค้านแย้ง จนกระทั่งพูดกันไม่รู้เรื่อง มีวินัยมีหลักเกณฑ์อยู่ในทั้งหลัก ทั้งวินัย ทั้งธรรม ทั้งวินัย นั่นคือพระอรหันต์ แต่ถ้ายังไม่ อ้าว! แล้วจิตคุณจะถึงระดับพระอรหันต์ แต่ว่าคุณก็ยัง จะเป็นนักผลิต คุณก็ผลิตไป จิตคุณทำไม่ได้เพื่อตัวเลย ไม่ได้สะสมเพื่อตัวเองหรอก ที่จะต้องใช้เป็นทุน ก็เป็นไป เพื่อที่สร้างสรร เพื่อที่จะทำนักผลิตก็ผลิต มีคุณธรรมถึงอรหันตผล ก็ยังได้เลย แต่มันไม่สมบูรณ์เป็นพระะอรหันต์จริงๆ ก็เพราะว่ายังไม่ครบทั้งธรรม และวินัยเท่านั้น เข้าใจตรงนี้มั้ย แต่ถ้ามาบวชมาถือวินัยเต็ม พิสูจน์เลย คุณก็มาเมื่อเวลาสังคม ต้องการพระอรหันต์ ตอนนี้สังคมต้องการพระอรหันต์อยู่เหมือนกัน ไม่ต้องไปเป็นนักผลิต เพราะนักผลิตน่ะ แค่พระอนาคามี ก็เหลือแล้ว นักผลิตนี่ แค่พระอนาคามี คือเป็นคนที่ ไม่ติดบ้านช่องเรือนชาน ไม่ติดทรัพย์ศฤงคาร แล้วไม่มีกาม ไม่มีมานะ ไม่มีอัตตาอะไรอย่างนี้ ที่จริงก็มีอยู่บ้างก็ได้ พระอนาคามี ยังมีอยู่บ้าง แต่ก็ต้องน้อยใช่มั้ย อัตตาก็น้อย มานะก็น้อย ก็เป็นคนอยู่ในสังคม ประสานสังคม เป็นคนสามัคคีดี สร้างสรรดี จะมีทุนมีรอนมาก ก็อยู่ในฐานะนักผลิต ก็ต้องไปมีซิ

อาตมาเข้าใจนี่ คนมีปัญญาก็เข้าใจ คุณก็มีไป สร้างสรรไป คุณจะเป็นนักบริหาร นักบริหารน้อยหน่อย นักบริหารนี่สะสมน้อย ก็เหมือนกันใกล้ๆ กันกับ เป็นนักปกครอง เป็นนักดูแล เป็นนักที่จะต้องได้รับ ความเคารพนับถือ บูชา ได้รับการยกย่องเชิดชูอยู่แล้วนะ คือเป็นผู้รู้เป็นผู้เข้าใจ อธิบายเศรษฐศาสตร์ อธิบาย..มีความรู้ในทางโน้น แต่ไม่ทำเอง เป็นนักวิชาการ เป็นนักบริหาร เป็นนักรู้ ไม่ได้ทำเอง แต่รู้ความจริง รู้แล้วว่าอันนี้อย่างนี้ ทำอย่างนี้นะกสิกรรมทำอย่างนี้ ค้าขายทำอย่างนี้ สร้างซ่อม ทำอย่างนี้ อะไรก็แล้วแต่ บอกได้ ตัวเองก็บริหาร เออ..อันนั้นขาดอันนั้นแคลน บริหารทำยังไง ให้สังคมอยู่ดี บริหารปกครอง ทั้งตัดสินความ หรือว่าดูแล ใครผิดใครถูก หรือว่าใครขาดแคลนอะไร เกื้อกูลกัน คนนี้มีมากก็แจกให้คนน้อยมั่งอะไรบ้าง ก็หาวิธีการยังไงจะกระจายรายได้ หรือว่าทำให้ สังคมนี่ มันอยู่กันอย่างไม่เกิดช่องว่าง ไม่เกิดการข่มขี่อะไรกัน อย่างนี้เป็นต้น ก็บริหารไป แล้วนักบริหาร นี่ถือว่าชั้นสูง มีความสามารถมาก มีบุญมาก ได้รับการเคารพนับถือ บูชาเชิดชู ไม่ต้องสะสม สะสมน้อย ฐานะนักบริหารนี่อนาคามี นักผลิตนี่โสดาบัน นักบริการพวกขนย้าย ถ่ายเท พวกใช้แรงงาน พวกที่จะแบกจะหาม จะโยกจะย้าย เอ้า!นี่นักผลิต ผลิตเสร็จ เอ้า!เอาขนไปแลก ขนไปแจกจ่าย ขนไปจำหน่าย ขนไปขาย ขนไปเผื่อแผ่ ไปให้มันทั่วถึง เป็นนักบริการ ไม่ใช่ผลิตเอง ไม่ต้องมีทุนรอน มาก เพราะไม่ได้ผลิต ไม่ได้มีวัตถุดิบ ไม่ต้องไปต้นทาง เป็นแต่เพียงว่าเอาไป เปลี่ยนเอาไป ย้ายเอาไปขาย เอาไปแจกเอาไปอะไร เป็นแรงงานของตัวเอง ออกแรงงาน ขนสิ่งที่เขาผลิต ไปแล้วนี่ ไปแจกไปจ่าย ไปเกื้อไปกูล พ่อค้าแม่ขายทั้งหลายแหล่ ก็อยู่ในฐานะที่สอง ก็อาจจะต้อง ใช้ทุนรอนบ้าง รองลงมาจากนักผลิต มีทุนรอนมากกว่านักบริหาร นักบริการมีทุนรอน มากกว่า นักบริหาร แต่น้อยกว่า นักผลิต นักผลิตมีมากที่สุด รวยที่สุด นักบริการนี่มีน้อยกว่านักผลิต นักบริหารมีน้อกว่านักบริการอีก ยิ่งนักบวชไม่มีเลย มีน้อยกว่ามากเลย ไม่มีของตัวของตนได้ เป็นบริสุทธิ์ที่สุด นี่มันจะถูกสัดส่วน ของมัน เมื่อราเข้าใจแล้ว ก็ไม่ได้ริษยากันนี่ คนไหนเขามี ความจะเป็นอะไรต่อะไร คุณก็ทำของคุณไป (คนฟัง พูด มีทุนน้อยแต่มีแรงเยอะ) อ้าว!มีแรงเยอะ มีทุนน้อย มีความสามารถ เดี๋ยวก็ใช้อะไรๆ ที่ความสามารถ คือใช้ตัวเรานี่แหละ เป็นตัวเสียสละ ทั้งความรู้ และความสามารถ เราก็เสียสละ อยู่อย่างนี้ นี่สัจจะเป็นอย่างนี้ อาตมาจะพิสูจน์สัจจะพวกนี้ เพราะฉะนั้น พวกเราเข้าใจแล้วก็ เอ้า! พยายามพากเพียรกัน พยายามที่จะสร้างสรรอะไรด้วยกัน

ส่วนการจะเกิดเรื่องเกิดราว จะเป็นอย่างโน้นอย่างนี้อาตมาว่า อาตมาไม่มีปัญหา พวกคุณยังมีปัญหา ก็พยายามทำความเข้าใจ แล้วทำกำลังใจดีๆ มันไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอก มันจะแพ้หรือมันจะชนะ มันเป็นเรื่องของสมมติสัจจะของโลก พระเยซูก็แพ้มาแล้ว ถูกตรึงกางเขนตายไปโน่นแน่ะ แต่เสร็จแล้ว ก็สัจจะ ความจริงของท่านก็ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ ยิ่งใหญ่ทั่วโลกเลย ศาสนาคริสต์ ไม่ใช่ศาสนาเล็กๆ ศาสนายิ่งใหญ่ เขาก็ว่าผิด อำนาจโลกาธิปไตย มันก็เป็นอย่างนั้น ถูกตรึงกางเขนตายไป พระบาฮาอูราล ก็ตายในคุก ถูกจำคุก ออกจากคุกแล้วก็เข้าคุก ท่านก็สร้างศาสนาของท่านมา จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นศาสนาใหม่ ยังไม่รุ่งเรืองเท่าไหร่ ทั้งนั้นแหละ พระโมฮาหมัดก็ โอ้โห! หอบคณะกันหนีกับพวกคณะบ้านเมือง พวกคณะ... ถ้าไปอ่านประวัติของพระมะหะหมัด ก็เหมือนกัน หอบกันไป ทุรนทุราย ดิ้นรนต่อสู้อยู่อย่างนั้นน่ะ จนกระทั่งศาสนาอิสลามนี่ ต้องถือดาบได้ แต่ต้องป้องกันตัวได้ ต่อสู้ได้ถึงขนาดนั้นน่ะ

ถ้าไม่อย่างนั้นอยู่ไม่รอด เหมือนกับศาสนาพุทธที่บอกว่า จะต้องฝึกวิชาป้องกันตัว สำนักเสี้ยวลิ้มยี่ ศาสนาพุทธได้แบบหนึ่งแบบนั้นน่ะ เพราะต้องป้องกันตัว ไม่อย่างนั้นอยู่ไม่รอด นี่ต้องฝึกปรืออาวุธ ดาบเพลงอะไร ต้องฝึกไปอีก แต่ไม่ฆ่าคนนนะ นั่นน่ะอะไรอย่างนี้ มันก็ซ้อนย้อนแย้งอยู่อย่างนั้นน่ะ ส่วนศาสนาพุทธ ที่เราบอกว่าเพียวๆแล้ว ไม่ถือดาบหรอก วางดาบวางอาวุธทั้งนั้นน่ะ ไม่ป้องกันตัว ใครจะฆ่าก็ตายไปเลย เหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านถามพระอานนท์ เธอทำไง ถ้าเขาอย่างโน้น อย่างนี้ สุดท้าย ดี เขาไม่ฆ่าให้ตาย สุดท้ายพระอานนท์ ก็ว่าอย่างนั้นนะ นี่ก็อธิบายลัดๆ ก็เคยยกตัวอย่าง มาแล้วนะ

เพราะฉะนั้น ในเรื่องของคดี ในเรื่องของเหตุการณ์ ในเรื่องของอะไรพวกนี้นี่ มันก็เป็นเรื่องของ ความจริง ที่จะเกิดผ่านมา พวกเราจงตั้งใจพัฒนาตัวเองกันทุกๆคนเถิด พยายามเห็นว่าดีนี้ อย่าปล่อยเวลา ให้ล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เรามันชักสบายนะ ชักจะ... โดยเฉพาะ ผู้ที่ยิ่งได้ บัลลังก์ ก็เป็นนักบวชนักบริหาร หรือว่าเป็นผู้ที่อยู่ในฐานะที่ เออ.. เรา คนเขาเคารพนับถือ พอสมควรแล้ว แล้วไปซ้อนตีกิน หาเวลาว่างๆ หาเวลาเสพย์หรือว่าแฝง โกง สัจจะคือสัจจะ ใครไปกินแรง ใครไปกินวัตถุ ใครไปกินอะไรต่ออะไรของคนอื่น มันก็คือการกิน สัจจะก็คือสัจจะ เพราะฉะนั้น ใครไม่กินไม่เสพย์ไม่เปลืองไม่ผลาญ ให้ สร้างสรรให้ได้ มากๆ คนนั้นก็ได้ แล้วราคา ของบุญ ราคาของบาป อาตมาก็พยายามอธิบายให้พวกเราเข้าใจว่า มันมีราคาของบุญ ราคาของบาป จริงๆ เพราะฉะนั้น ทำให้ดีเถอะ เกิดมาอย่ามาหวงแหนเลย มาสะมาสม มากอบมาโกย อะไรกันเอาไว้ นี่เราเองอาตมาว่าพวกเราเข้าใจ พวกเราถึงจนกันไง เชื่ออาตมาแล้วก็พยายามทำตน ให้เป็นคนจน แล้วคนจนก็มารวมกัน ที่ไหนเขามีคนจนมาอยู่รวมกัน แล้วเขาอยู่รวมกันได้อย่างที่ อาตมาพาเป็น

อาตมาว่าพวกเรานี่จนเหมือนกับพวกข่าวสลัมเขาจน ข่าวสลัมเขาจะรวยกว่าพวกเรานะ ในวัดนี่ คนวัดนี่ อาตมาว่าจนกว่าพวกสลัม มารวมๆกันอยู่เป็นร้อยๆนี่นะ ในวัดนี่เป็นร้อยๆ จำนวนร้อยๆ สองร้อยคน อะไรก็แล้วแต่นี่ รายได้เข้ามานี่ น้อยกว่าคนชาวสลัม ชาวสลัมเขามีรายได้มากกว่า แต่เขาอยู่กัน ทะเลาะ เบาะแว้ง อยู่กันไม่อบอุ่น อยู่กันอย่างเดือดร้อนแย่งชิง ไม่ได้สนิทสนม เหมือนอย่างพวกเรา พวกเรานี่กินข้าวหม้อเดียวกัน กินอยู่กันอย่างกับพี่กับน้องกิน เพราะเรามักน้อย สันโดษ แล้วเราอยู่ได้รวมกันเป็นร้อยๆนี่เหมือนกัน เหมือนชาวสลัม แต่ของเราเป็นสุขกว่าเขา อบอุ่นกว่าเขา มากมาย แม้มันจะทะเลาะกันบ้างอะไรกันบ้างก็ไม่เหมือนเขาหรอก ไม่เหมือนเขา เราอยู่ได้ เพราะเรากินน้อยใช้น้อยกว่าเขา ไม่เปลืองกว่าเขาจริงๆเลยนะ ถ้าเป็นชาวสลัม เขากิน ไม่พอหรอก อย่างพวกเราอยู่นี่ ไม่พอ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก แม้แต่พวกคนงานมาอยู่กับเรานี่ พวกคนงานนี่กิน มากกว่าเรา เห็นมั้ยพวกคนงานนี่เอารายได้ด้วย เขายังกินมากกว่าเราเลย แต่เราก็ ไม่ต้องไปริษยาเขาหรอก เขาฐานะอย่างนั้น ฐานะผู้ออกแรง ฐานะผู้ผลิต เหมือนกัน เขาอยู่ในฐานะ กรรมกรนี่ ผู้ผลิตเหมือนกัน แต่ผลิตโดยการใช้แรง ผลผลิต มาอยู่ที่เรา (พ่อท่านหัวเราะ) ผลผลิต มาอยู่ที่เรา กรรมกร ผลผลิตมันมาเกิดที่เรา เขาก็ผู้ผลิต ไม่ใช่นักบริการนะ เหมือนๆจะคล้ายๆบริการ เขาก็ออกแรงช่วย แต่เขาไม่ได้พวกขนย้ายถ่ายเท เอาผลประโยชน์ไปแจกจ่าย แต่เขาทำทันที มันก่อเกิด อยู่ที่นี่ทันที แล้วเราเป็นผู้รับ ผลผลิตมันอยู่ที่นี่ เขาก็คือผู้ผลิต เขาก็ต้องมีมาก ได้มาก กินมาก ใช้มาก โดยฐานะของเขา ไม่ต้องไปริษยาเขาหรอก เกื้อกลูเขาไปเถอะ แล้วเราก็จะได้ความดี เขาก็จะเห็น ฐานะว่า เอ๊อ!อันนี้ดีกว่า เขาก็พัฒนามาเอง ใครมีปัญญาเขาก็มาเลิกละลดเหมือนอย่างเราเอง แล้วเขาก็นับถือ เขาก็เป็นไปเอง มันก็ค่อยๆสร้างกันไป สร้างมนุษยชาติกันไป เป็นภาวะซับซ้อนอยู่ อย่างนี้เป็นต้นนะ

เพราะฉะนั้น พวกเรา ถ้าเผื่อว่าจะให้เจริญ เราก็ต้องรู้จักแก่นสาร เป้าหมายให้ชัด แก่นสานเป้าหมาย ของเราอยู่ที่ การจะละลดตัวเรา พัฒนาตัวเรา ลดกิเลสแต่เพิ่มสมรรถภาพ ลดกิเลส..เพิ่มสมรรถภาพ ขยันหมั่นเพียร ทำงานให้เก่ง ให้ปราณีต ประหยัด ทำงานให้มีความขยันอุตสาหะวิริยะ มีความสามารถ มีสมรรถนะสูงขึ้นสูงขึ้นไปก็แล้วกัน แล้วก็ลดกิเลสไปในตัว ลดกิเลสไปในตัว ลดกิเลส ไปในตัว ตามหลักมรรคองค์แปด โพธิปักขิยธรรม ๓๗ นี่ อย่างแท้จริง นี่คือสิ่งที่จริงที่เรากระทำ ส่วนเหตุการณ์อะไรต่ออะไรน่ะ อาตมาดูแลอยู่ จะมีเหตุการณ์ในสังคม อย่างโน้นอย่างนี้ อะไรต่อะไร ไปถึงไหน ที่อาตมาพูดถึงขั้น โอ!นี่เขาจะจับเข้าคุก เขาจะเนรเทศ เขาจะอะไรต่ออะไร ก็พูดไป อย่างนั้นแน่ะ มันถึงขั้นไหนก็ไม่รู้ อาตมาก็ไม่ได้บอกนะว่า มันอาจจะถึงขั้นเนรเทศก็ได้ ดีไม่ดี ก็อาจจะถึงขั้น ผิดแค่นี้ ขังคุกหกเดือนไม่พอ ต้องเอาไปยิงเป้าก็ได้

เพราะสมัยนี้เขาไม่ตรึงกางเขนหรอก เขายิงเป้า ถ้าจะเอาสุดท้ายเลย เขาต้องยิงเป้าเลย ก็ดีไม่เป็นไร ยิงเป้าพวกคุณยังอยู่ เขาไม่เอาไปยิงเป้า คุณก็ต่อก็แล้วกัน ต่อเชื้อ อาตมาว่าอาตมาให้เชื้อไว้แล้ว คุณก็ค่อยๆต่อกันไปอีก ก็แล้วกัน ฝากไว้นะท่านสันตะ เอาต่อด้วยนะ  (คนฟัง หัวเราะ) เหอ? ท่านถิรจิตโต ถ้ายังไงยิงเป้าแล้วก็พวกคุณก็ต้องสืบสานกันต่อไปนะ (พ่อท่านอ่านคำถาม นักบริการ อยู่ในภูมิไหนไม่ได้บอกเลย) โอ๊! ตกไปเหรอ มันน่าจะเดาได้ แหมนักบวชภูมิอรหันต์ นักบริหาร ภูมิอนาคามี นักบริการภูมิสกิทาคามี ตกหล่นแค่นี้เองน่ะเหรอ โธ่เอ๊ย! ก็นักผลิตนี่คือ โสดาบัน นักผลิตคือโสดาบัน ถ้าหลักการง่ายๆนะ เพราะฉะนั้น พวกนี้จะกินจะสูบจะเสพย์ จะมีเงิน มีทอง จะร่ำจะะรวย โสดาบันนี่รวยกว่าเพื่อน สกิทาคามีก็รวยน้อยลง กินสูบดื่มเสพย์น้อยลงมาหน่อย บริหารก็ลดลงมาอีก กามหมดแล้ว ไม่กินสูบกินดื่มกินเสพย์อะไรหรอก มีอัตตามานะหน่อย เพราะว่า มีความดีเยอะ ใหญ่ เบ่ง อะไรบ้าง พวกนี้น่ะ ทำเป็นแหมต้อง จะบ้าอำนาจหน่อย พวกนี้ก็ต้อง ลดอำนาจนี่เยอะ พวกบริหาร พวกนักบวชก็เรียกว่าสุดล่ะ หมายความว่า ไม่เหลืออะไร ไม่มีภัย ไม่มีพิษ อะไรแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น สี่ฐานะ สี่ภูมิ นี่พวกนี้พิสูจน์เถอะ พิสูจน์สัจจะ

อาตมาทำงานอยู่นี่มันยากมากเลย สังคมทุกวันนี้มันมีแต่กิเลสนี่ใหญ่โต มีฤทธิ์แรงเหลือเกิน แต่เรา เป็นไปได้นี่ท่ามกลางนี่เหมือนกับขี้โคลน โอ้โห! กองพะเนินเทินทึก ทั้งเน่าทั้งเหม็น แต่เรานี่จะไปเป็น น้ำใสอยู่ในหยดขี้โคลนนี่ ใสอยู่ให้ได้นะ ใสอยู่ให้ได้นะ อย่าให้สลายตัวนะ เป็นหยดน้ำใส ที่จะอยู่ใน กองขี้โคลนนี่ ให้ได้ ได้ๆๆ แข็งแรงขึ้นให้ได้จริงๆ แล้วก็ให้มีน้ำใสหลายๆเม็ดมากๆๆ แล้วก็รวม กันเป็นบึง เป็นบ่อน้ำใส ให้ขึ้นมาให้ได้ ต้องได้ ต้องได้ ไม่ได้ก็เรานี่ล่ะได้ก่อนล่ะ เราเป็นน้ำใสหรือยัง? ใสเหมือนกัน แต่ใสมีหมองๆ ใสหมองๆ เอาให้มันใสชัดเอาให้ใส มันเต็ม นี่คือเป้าหมาย อาตมาจะมีชีวิต แล้วอาตมาถ้ามีชีวิตอยู่ไม่ได้ทำอันนี้ อาตมาก็ไม่อยู่แล้ว ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม อยู่ไป เหมือนไอ้กบไอ้เขียดนี่ ร้องๆขอกินหน่อย (พ่อท่านหัวเราะ) ไปขอกินก็ไปหากินเอาเอง เหมือนกบ เหมือนเขียด เท่านั้นน่ะ ไม่รู้จะอยู่ไปทำไมอาตมา จริงๆนะอาตมานึกไม่ออกเหมือนกันว่า เกิดมาก็หากิน กินๆ ขี้ๆ เยี่ยวๆ ถ้าบอกจะสืบพันธุ์ ก็ไม่เห็นจะสืบไปทำไมแล้ว สืบมาเป็นภาระ เดี๋ยวลูกผี มาเกิด ก็ยุ่งกันตายชัก เราไปบันดาลเอาเองก็ไม่ได้ สืบพันธุ์แล้วจะต้องออกลูกออกมา จะต้องเป็นลูกพระ มาเกิดนะ ลูกผีมาเกิดไม่ได้ เราจะไปกำหนดได้ยังไงล่ะ วิบากเรา เราไม่รู้เลยว่า ไม่รู้ว่าลูกมันจะออกมา เป็นผี... ไม่เกิดซะได้ ไม่ต้องมี ไม่ต้องมีเพราะว่าเราไม่ต้องเสี่ยง ว่าจะต้องมีลูกมา จะเป็นลูกผี หรือลูกพระ นี่เราไม่รู้ ไม่ต้องเสี่ยง นี่ทางออกมันมีอยู่แล้ว ลดกิเลสให้มันได้ แล้วไม่ต้องไปมีซิ แล้วลดกิเลสได้จริงด้วย เราก็สบายอีกด้วย เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ต้องไปฝืนหรอกว่า จะต้องมีลูก ไม่มีลูกก็สบายละ ไม่ต้องมีกิเลสตัวนี้น่ะ มันก็ไม่ต้องทุกข์ ไม่ต้องร้อนอะไร ก็ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร

อาตมาว่าไม่ต้องถึงขนาดอาตมาหรอก ขนาดพวกเรานี่ หลายผู้หลายคน ไม่ต้องไปเสพย์กาม ก็มันสบายอยู่แล้ว ไม่ต้องฝืนอะไรมากมาย พวกคุณก็รู้ พิสูจน์ได้จริง ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร ส่วนใคร ยังมีกิเลสอยู่ก็ไปหาวิธีลด ลดให้มันได้ ลดมาได้ขนาดนี้ ก็สบายแล้ว ขนาดรูปราคะ อรูปราคะ ก็สบายแล้ว ในฐานะอนาคามี กามไม่แรง ไม่มาก สกิทาคามีก็สบายแล้วที่จริงน่ะ โสดาบันก็ เอ้า! ทนไม่ได้ ต้องมีผัวมีเมีย ทนไม่หวาดไม่ไหว ก็เรื่องของคุณ คุณก็.. ระวังเถอะ แต่งงาน ผู้ที่ไม่มีลูก ท่านเรียกว่าเป็นผู้มีบุญ ป่วยการกล่าวใย กับคนโสด เพราะฉะนั้น คนโสดมันยิ่งกว่าคนไม่มีลูก เพราะมันสบายกว่ามาก ไม่มีภาระ มีลูกเขาว่า กวนตัว แต่มีผัวเขาว่าอะไร? (พ่อท่านถาม) มีผัว ก็กวนใจ ยิ่งหนักเข้าไปใหญ่เลย มีลูกกวนตัว มีผัวกวนใจ ถ้าไม่มีลูกก็ไม่กวนตัว ไม่มีผัวก็ไม่ต้องกวนใจ สบายไปแปดอย่าง เพราะฉะนั้น ใครทำได้ ขนาดไหน ฐานะไหนก็เอา

อาตมาว่าอาตมาได้อธิบายอะไรต่ออะไรเพิ่มเติมขึ้น ทำให้พวกเราสบายใจขึ้น เพราะฉะนั้น ก็สงบเสงี่ยม ของเราไป จะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ เหลือแต่ว่าขณะนี้ เราจะต่อสู้ ต่อสู้กับทางศาลนี่ ก็คือต่อสู้ในปัญหาของข้อเท็จจริงนี่ ของเราดีอยู่แล้ว ตอนนี้น่ะรู้สึกว่า ได้แต้มมาก ยังเหลือแต่ปัญหาข้อกฎหมาย อย่างอาตมานี่เขาฟ้องข้อกฎหมายก็มีว่า อาตมาผิดธรรมวินัย เป็นอาจิณ เราจะต้องหาทางแก้อันนี้ เพราะฉะนั้น วันนี้วันที่หก การไปสืบพยานนี่คงจะยังไม่จบหรอก เพราะว่าดูแล้ว น่าจะสืบต่ออีก คิดว่าจะจบก็..มันยังไม่สมบูรณ์ มีคนทักท้วงอยู่ก็ฟัง ก็มันไม่เสียหาย อะไรหรอก เพราะว่าแม้แต่ผู้พิพากษาชุดนี้ท่านก็ โน่นเดือน พฤษภาโน่น ถึงจะย้าย เพราะฉะนั้น เราจะสืบทอดไปอีก ไปถึง ๓๙ ถ้าท่าน พฤษภาถึงจะย้าย ก็ตัดสินเดือนเมษาก็แล้วกัน ก่อนพฤษภา ตัดสินเดือนเมษา เราก็ไป จบกันเดือนกุมภาก็ได้ ให้ท่านมีนา มีนาหรือว่ามกราอีกเดือนหนึ่งก็ยังได้ สืบไปอีก เอาล่ะเอาอย่างอืดอาด ก็สืบไปจนจบมกรา กุมภา มีนา ท่านพิจารณาความ เมษาตัดสิน โอเค หลายคนก็เหมือนกันนะว่า ถ้าตัดสินเดือนธันวานี่ ถ้าเผื่อตัดสิน แล้วแพ้นี่มันจะมีแรง ทำงานปีใหม่ มั้ยนี่ ก็มีคนพ้อๆเหมือนกันว่า ถ้าตัดสินว่าแพ้ ต๊าย!จะมีแรงจัดงานกันเหรอ นี่ก็มีคนพ้อเหมือนกัน อีกคนก็บอกว่าดี ถ้าตัดสินว่า แพ้อีตอนที่ธันวานี่น่ะ จะได้มีแรงมารวมกัน แหม จะได้เต็มที่เลย มองไปในแง่นั้นก็ได้ แล้วก็เป็นจริงเหมือนกันนะ ส่วนคนที่ไม่มีแรง มันก็หมดแรงเหมือนกันนะ มันได้ทั้ง สองอย่างเลย ไอ้คนมีแรงก็แรงมากเลยล่ะอีตอนนั้นบอกตาย! แพ้เหรอ แพ้..เอา ไอ้คนนี้ก็ฮึดสู้เลยนะ อีกคนหนึ่งบอก แพ้เหรอ แพ้...ว้าย!หมดแรง นอกจากหมดแรง แล้วบอกว่าแพ้เหรอ แพ้ก็ผิดน่ะซิ แพ้ก็ต้องหนีน่ะซิ ก็จะหนีไปก็จะมีนะ อาตมาว่าคน ต้องอาศัยโลกเป็นสำคัญ โลกาธิปไตย เอาอำนาจ โลกเป็นใหญ่ ก็ถือตามอำนาจโลก เอ้า!แพ้ก็ผิด ก็ไปซิ ก็ต้องตาม.. ออกไปแล้ว ไอ้นี่ผิดแล้วนี่ มันไม่ถูก ใช่มั้ย ส่วนคนที่ชัดเจนบอก เฮ๊ย!ไม่มีปัญหาหรอก แพ้ก็คือแพ้อันโน้น แต่ว่าไอ้นี่ชัดเจน มันจะลุย กันใหญ่เลย หรือบางคนบอกว่า ไม่ลุยกันใหญ่หรอก แต่หมดแรง แต่ก็รู้แล้วว่า ต้องอยู่ที่นี่แหละ แต่หมดแรงก่อนเถอะ ขอหมดแรงก่อน มันแพ้นี่หว่า มันสู้ไม่ได้ กำลังมันอ่อน เฮ๊ย!หมดแรง ทั้งๆที่ไม่ไปไหนหรอก แต่ขอหมดแรงก่อน ก็มี มันมีได้ ทั้งสองนัยนะ

เพราะฉะนั้นก็ เอ๊!ถ้าตัดสินเดือนธันวานี่มันจะเป็นอย่างนี้ มันก็เสี่ยงๆ อยู่นะ แต่ถ้าผ่านธันวาไปแล้ว เอาเลย ดีไม่ดีให้ไม่..หา? (คนฟัง พูดแทรกฟัง ไม่ชัด) หลังพุทธา โอ้โหย! หลังเมษานั่นไม่ได้ พฤษภา เขาจะย้าย แล้ว เขาก็ไม่มีกะจิตกะใจทำงานแล้วพฤษภา ให้เขาทำอยู่เมษาน่ะดีแล้ว ไปทำ พฤษภา เดือนย้ายนี่เขาไม่ดีน่ะ จะตัดสินเมษาน่ะดี อย่างเก่งก็หลัง... แหมมันก็จะสายไปนะ ไม่มีเวลา ให้เขาดูแล ให้ก่อนไม่เป็นไรหรอกน่า เราไปปลุกเสกกันเอา ถ้ามีหมดเรี่ยวหมดแรงก็ดีแล้วล่ะ ก็ได้ ปลุกเสกไง ไปอัดแบตเตอรี่ไง ปลุกเสกก็อัดแบตเตอรี่ ตัดสินแพ้ตอนนั้นก็ไปปลุกเสกก็อัดแบตเตอรี่ กันเลยตอนนี้ ยังไงก็คลานไปศีรษะอโศกให้ได้ จะได้ไปอัดแบตเตอรี่ ก็ดีแล้วนี่ อาตมาว่าดีนะ งานปีใหม่ มันไม่ใช่ อัดแบตเตอรี่มันก็คงจะยากหน่อย แต่งานปลุกเสกฯ มันอัดแบตเตอรี่ ดี เพราะฉะนั้น อาตมาว่าหมดมกราดีแล้ว เราสืบพยานกันต่ออีก เพราะว่าจะต้องพยายามไขความว่า เราไม่ได้ผิดวินัย เป็นอาจิณ อาจิณมีความหมายเท่าไหร่ ต้องบ่อยๆเสมอๆ มีเงินอยู่ในกระเป๋า อย่างพระ ท่านมีเงินในกระเป๋า ทำไมไม่จับให้ท่านสึกนั่นละ ผิดกฎผิดวินัยเป็นอาจิณมากกว่าเราน่ะ ของเรานี่ เราก็พยายามสื่อว่า เราไม่ได้ผิดนะ อวดอุตริมนุสธรรม ที่ไม่มีในตนถึงขั้นปาราชิกน่ะไม่ใช่ ไม่ใช่แล้วเป็นปาจิตตีย์ ปาจิตตีย์เราไม่ได้อวดบ่อย เพราะว่าเราตีความอนุสัมบันต่างกะเขา  อนุปสัมบัน เขาตีความภิกษุภิกษุณี แต่อาตมาว่าคนมีภูมิไม่ถึงขั้น ถ้าอุปสัมบันคนมีภูมิถึงขั้น เพราะฉะนั้น อย่างพวกคุณนี่เป็นอุปสัมบัน เป็นคนมีภูมิถึงขั้น แม้แต่ภิกษุที่เป็นอนุปสัมบัน เป็นภิกษุแล้ว แต่ผิดภูมิไม่ถึงขั้นมันก็มีได้ ในวินัยมีจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาก็ต้องขยายความ หรือว่าให้พวกเราขยายความบ้าง ที่อาตมาว่า อาตมาจะไปขอ ไปให้การ อีกได้มั้ย เห็นบอกว่าโดยหลักการได้ แต่โดยหลักปฏิบัติเขาไม่เคยทำกัน อ้าว! ก็เลยบอก จะไม่ให้อีก ไม่ได้ อ้าว!ไม่ได้ ก็พวกเราก็แล้วกัน ท่านถิระจิตโต ท่านติกขวีโรอะไร จะขึ้นให้เป็นพยาน ได้อีกทั้งหมด ทั้งนั้นน่ะ ก็ไปสาธยายให้มันดี หรือแม้แต่ฆราวาสเรา ผู้ใดที่แน่ใจว่าจะไปสาธยาย เป็นพยาน ที่จะพูดอันนี้ได้ ไปให้การอันนี้นะ มันมีอยู่สามประเด็น
) .ผิดธรรมวินัยเป็นอาจิณ
) .ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
) .ไม่สังกัดวัดใดๆ

นี่เรา จะต้องสืบให้เห็นนะว่า เราไม่ได้สังกัดวัดใดๆ ยังไง เราสังกัดวัดสันติอโศกอยู่แท้ๆ แล้วเราก็ ลาออกมาแล้ว เราก็สังกัดแน่ๆ บอกว่าไม่มีที่อยู่ เป็นหลักแหล่ง ปุทโถ! มีหลักแหล่ง เราไม่จรจัด ไปไหนเลย มีทั้งสำมะโนครัว มีทั้งอะไรต่ออะไรอยู่ เป็นหลักแหล่ง อย่างจริงจัง ไม่ได้ไปอันนั่นอะไรเลย ชัดแท้ จะบอกเอาเราไปจรจัด จรเจิดอะไรไม่ได้ นั่นเป็นหลักเกณฑ์ของเถรสมาคม เขาก็ว่ากันไป แต่หลักเกณฑ์ของเรา ก็ควรจะมีหลักเกณฑ์ของเรา ถ้าเมื่อมีความมุ่งหมายเดียวกันว่า ไม่เป็นพระ ที่จรจัด ไม่ได้อยู่ในการบริหารดูแล ก็อยู่ในฐานะ บริหารดูแล ซึ่งเราก็บริหารดูแลกัน ตามธรรมวินัยแล้ว แล้วก็สอดคล้องกับกฎหมายทุกอย่าง ไม่ได้ผิดพลาดอะไร แม้แต้ผิดวินัยเป็นอาจิณ อาตมาก็ไม่ได้ ผิดวินัยเป็นอาจิณ ไม่ได้ไปอะไรมากมาย ไม่ได้มาอวดอุตริมนุสธรรมกัน จนกระทั่ง.. เหมือนกับ คุณมีเงินประจำตัวเมื่อไหร่ จะบอกว่า ปาจิตตีย์บ่อยๆ ก็ไม่ได้ปาจิตตีย์บ่อยๆ อะไรกันอย่างนั้น ถึงขนาดนั้น แล้วโดยเฉพาะเราไม่ได้ผิด จะบอกว่า ไปผิดปาราชิกอะไร ยิ่งไม่มีแน่นอน อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นี่ก็จะต้องสืบพยานอันนี้ ให้เป็นหลักฐาน ให้มันเหมือนกันกับที่เราสืบพยานไปแล้ว ว่าเราเป็น คนดี เราไม่ได้ทำให้เกิด ความเดือดร้อนวุ่นวาย เราเป็นพระที่แท้ นี่เราสืบไปเชื่อว่า ศาลเชื่อแล้วอันนั้น ถ้าเราจะทำน้ำหนักอันนี้ ที่เหลือนี้ เน้นอันนี้ให้สมบูรณ์บริบูรณ์เท่านั้นเองนะ


เอ้า!เอาละสำหรับวันนี้ ประเดี๋ยวเราก็จะเตรียมตัวไปศาลกัน นี่จะหกโมงแล้ว เอาไปเอามา เอ้า!พอ วันนี้ (คนฟัง สาธุ)



จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรมะออกพิมพ์ให้ท่วมโลก
ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์
ตรวจทาน ๑ โดยสุภาณี บูรพ์ภาค
พิมพ์โดย แก่นตะวัน กาญจนนันทวงศ์ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๙
Printed โดย ปญ.ใจขวัญ ๘ มีนาคม ๒๕๓๙
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์