อบรมธรรม ณ ศาลาประชาคม พัทลุง
โดย สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๒๕
ณ ศาลาประชาคม จังหวัดพัทลุง


เอ้า!วันนี้ วาระแรกที่เราได้มาทำวัตรเช้าที่นี่ ซึ่งการกระทำของเรานี่ กระทำโดยมีองค์ประกอบ มีหมวด มีหมู่ มีคณะ มีองค์ประกอบไป เหมือนกับเราเอง เรามีประชาชน ซึ่งมีประกอบไปหมด ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ซึ่งเป็นประชาชน เป็นฆราวาส แล้วประกอบไปด้วยนักบวช แล้วก็มีกรรมวิธี มีจารีต ประเพณี มีแบบอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย พุทธศาสนิกชนทั้ง ๔ บริษัท ดังที่กล่าวนี้ ถ้าเผื่อว่าจะนับเป็น ๔ แม้ว่าจะไม่มีภิกษุณีก็ตาม เราก็ถือว่า เป็นคำพูดรวมๆ ไปเสีย อย่างนี้เป็นต้น

เราได้กระทำแบบ ทำพิธี ทำตัวอย่าง ทั้งความเป็นอยู่ ทั้งในเชิงสิ่งหนึ่งของชีวิต ที่เราเองเราจะมีชีวิต ตื่นนอนขึ้นมา เพราะจะพึงระลึกถึง คุณงามความดี จะพึงระลึกถึงผู้ที่สูงสุด ที่เราจะพึงระลึกถึง ที่เราเคารพ เชิดชู เทิดทูน องค์ปราชญ์เอก องค์พระบรมศาสดาเอก ซึ่งเป็นผู้ถึงแล้ว ซึ่งความสูงสุด ของความเป็นมนุษย์อันประเสริฐ เราระลึกถึง ไม่ใช่ระลึกธรรมดา ทบทวน ระลึกถึงคุณธรรม ที่พระพุทธองค์ท่านได้รู้แจ้ง ได้สั่งสอน ได้บำเพ็ญตน จนอบรมตนเป็นได้ มีได้ คนเราจะมีอย่างนั้นได้ เป็นอย่างนั้นได้ เป็นที่สูงสุด เราเองจะเพียรตาม แม้เราจะไม่ได้ชั้นสูงสุด ประเสริฐสุด อย่างองค์สมเด็จ พระบรมศาสดาก็ตาม แต่ก็มีขีดขั้น มีระดับที่เราจะไต่ขึ้นไปสูง เป็นระดับๆๆๆ ซึ่งท่านได้วางขั้นตอน วางระดับ ให้แก่เราไปเรื่อยๆ เราอาจสามารถที่จะก้าวตน อบรมตน บำเพ็ญตน เดินขึ้นไป ก้าวขึ้นไป สู่จุดสูงนั้นๆ ได้โดยแท้จริง เราทั้งกระทำจริง เราทั้งศึกษา ประกอบไปด้วย ย้ำ ซ้ำ เตือน ท่องทวน สัชฌายะ สาธยายกันเอาไว้ ไม่ให้หลง ไม่ให้ลืม และนอกจาก ไม่ให้หลง ไม่ให้ลืมแล้ว ก็ยังสามารถ ที่จะช่วยกันให้ได้เข้าใจ แตกฉาน ให้เข้าใจลึกซึ้ง ชัดเจนยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เสมอๆ เพราะฉะนั้น การกระทำ เป็นรูปแบบ เป็นจารีต เป็นประเพณีที่เราได้กระทำมา เหมือนกับเราอยู่วัด เหมือนกับเราอยู่บ้าน

แม้เฉพาะแต่เพียงอยู่บ้าน เราก็จะตื่นขึ้นมาระลึกถึง ผู้ที่ควรระลึกถึงสูงสุด จะระลึกถึงรองลงมา จากองค์สมเด็จ พระบรมศาสดา ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ อะไรอีกได้ทั้งนั้นแหละ เราระลึกถึง คุณงาม ความดี เราระลึกถึงความประเสริฐ ซึ่งเป็นความประเสริฐ อันที่เรารู้ด้วยปัญญา ของเรายิ่ง ว่าอันนี้ เป็นความประเสริฐ ที่น่าเชิดชู เทิดทูน รักษาไว้ ในความเป็นคน ควรที่จะมี สิ่งประเสริฐอันนี้อยู่ แล้วเราก็ได้กระทำ แม้อยู่บ้านของเราเอง เราก็กระทำ จะท่องทวน สัชฌายะ สาธยายบท หรือว่าปริยัติ หรือว่าความรู้อะไรต่ออะไร ที่เราเคยได้ศึกษามา เอามาท่อง มาทวน มาจด มาจำ จะเป็นรูปแบบ ของเราเอง ทำของเรา หรือว่าไม่เป็นรูปแบบหรอกตามสบาย แต่ว่าก็ได้เอาเนื้อหา อย่างที่จะได้สารัตถะ ของธรรมะ เพิ่มภูมิปริยัติหรือจะปฏิบัติการปฏิบัติเจโตสมถะบ้าง การทำเตวิชโช บ้าง ในตอนเช้า ซึ่งมันสงัดก็ได้ เราจะทำเตวิชโช ระลึกย้อนถึงสิ่งที่เคยผ่านมาทบทวน อันใดที่มัน ได้ผ่านมาแล้ว มันเกิดความเป็นจริง เป็นบุพเพนิวาสานุสติ ให้เกิดญาณ ให้เกิดปัญญา เกิดความรู้ จริงๆว่า เออ! เราได้ระลึกย้อนไป ตอนนั้น เราไม่ได้ตรวจ ละเอียด แยบคาย เหตุการณ์มันก็ผ่านไป เหตุการณ์นั้น เราไปพูด เหตุการณ์นั้น เราไปกระทำกายกรรม อย่างนั้น ประสบกับ องค์ประกอบ อย่างนั้น มีบุคคลอย่างนั้น มีสิ่งแวดล้อมอย่างนั้น มีผัสสะอย่างนั้น ทันทีทันใด ก็เกิดอาการอย่างนั้น เกิดบทบาทขึ้นมา พฤติกรรมอย่างนั้นออกไปแล้ว พฤติกรรมเหล่านั้นดี หรือมีบกพร่อง หรือมีสิ่งที่ไม่ดี เราก็ทบทวนของจริง ที่เราพึงระลึกได้ จำได้ เป็นบุพเพนิวาสานุสติ ระลึกตามความก่อน ความที่มัน ผ่านมาแล้ว ความเก่าที่มันเกิดแล้ว เป็นแล้ว

มันไม่ใช่เรื่องไปอนุมาน ไปนั่งด้นเดา ไปนั่งคิดนึก สิ่งที่ไม่เข้าท่า โดยสุดท้าย ก็ไปนั่งให้มัน จิตเป็นอะไร อันหนึ่ง แล้วก็ไปปั้นอะไรขึ้นมา เป็นมโนมยอัตตา เสร็จแล้วก็เกิดเป็นรูป เป็นเรื่อง เป็นร่างอะไรก็แต่ เราก็เข้าใจว่า สิ่งนั้นเป็นชาติก่อน เป็นสิ่งที่เกิดก่อน โดยที่แท้จริงแล้ว มันเป็นของลวง มันเป็นการ ระลึกชาติ ที่เป็นการระลึกชาติแบบ สร้างอุปาทาน จนกระทั่ง สำเร็จด้วยจิต เรียกว่า มโนมยอัตตา เป็นการปั้นของตน อัตตา เป็นการทำของตน แล้วตนเอง ก็ไม่เข้าใจจริงว่า สิ่งนั้น เป็นของจริงหรือ ไม่มีหลักฐาน ไม่มีอะไรยืนยัน ไม่มีอะไรแน่ใจได้ เป็นที่แน่นอนมั่งคงอะไรนัก แล้วเราก็ไประลึก ได้แต่เพียงรูปด้วย ระลึกได้แต่เพียงว่า ชาติเกิดนั้น เป็นอย่างนั้น อย่างนี้เฉยๆ จะมีองค์ประกอบ ประกอบไปด้วยกาย ประกอบไปด้วยจิต ประกอบไปด้วย เวทนา ธรรมารมณ์อะไร ก็ไม่ได้ประกอบ ไปด้วยสิ่งเหล่านั้น เมื่อไม่ประกอบไปด้วยกาย ไม่ประกอบ ไปด้วยเวทนา จิต ธรรมารมณ์อะไร ที่เราจะเอามา แยกแยะวิเคราะห์ ให้เรียนรู้องค์ประกอบ กาโย องค์ประชุม แล้วในองค์ประชุมอย่างนั้น มีพฤติกรรมอย่างนั้น มีองค์ประกอบอย่างนั้น จิตของเรา ในวาระนั้น เกิดอารมณ์อย่างนั้น มันระลึกออกยาก หรือระลึกออก ก็ไม่รู้ว่า จะเป็นสัจจะจริงหรือไม่

แต่เมื่อเราระลึกย้อน บุพเพนิวาสานุสติ ต่อเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเมื่อวานนี้ ไม่ว่าอาทิตย์ที่แล้ว ไม่ว่า เดือนที่แล้ว ในเหตุการณ์ ที่มีองค์ประกอบ ที่ยืนยันได้ ในชาตินี้ก็ตาม มันยิ่งมีประโยชน์มากกว่า ยิ่งเราระลึกชาติได้เร็ว ขณะที่เรากำลังพูดเดี๋ยวนี้ เราก็มีปัญญา ที่จะใช้เตวิชโช ด้วยมุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต สามารถที่จะระลึกย้อนได้แววไว ละเอียดอ่อน ละเอียด สามารถระลึกได้เร็ว เดี๋ยวนี้ กระทำบทบาท พฤติกรรมอยู่เดี๋ยวนี้ เราก็ระลึกได้ว่า อ้อ เมื่อพูดไปเมื่อกี้นี้ ตกปากตกคำไปเมื่อกี้นี้เอง แล้วเราก็ระลึกได้ เมื่อกี้นี้ไม่ดีนะ มันมีความแววไว มันมีความสามารถ มีสมรรถนะอันสูง ถ้าเรายิ่งฝึกนี่ เรายิ่งมีฌาน ฌานยิ่งเก่ง มุทุภูเตยิ่งเก่ง กัมมนิเย แก่การงานประพฤติธรรมในตัวด้วย เหมาะแก่การงาน ที่กำลังจะทำ อย่างขณะนี้ อาตมากำลังทำงาน คือเทศนา กำลังแสดงธรรมเทศนา ขณะที่กำลังแสดง ธรรมเทศนา นี่เป็นการงาน เป็นกัมมนิเย มันยิ่งตรวจได้ว่า พูดไปเมื่อกี้นี้ว่า เออ ไม่ดีนะ จิตเมื่อกี้นี้ อารมณ์เมื่อกี้นี้ หรือว่าองค์ประกอบเมื่อกี้นี้ ปรุง ปรน ปรุงออกไป แก่ไป หรือเมื่อปรุงเมื่อกี้นี้ไม่ดีล่ะ อ่อนไป เมื่อกี้นี้จัดไป เมื่อกี้นี้เบาไป เมื่อกี้นี้ไม่เหมาะ ถ้าใช้คำความที่ดีกว่านี้ จะดีกว่านี้ ใช้สำเนียงลีลา กระด้างไป สำเนียงลีลาหรือว่าอ่อนยวบไป มันรู้สึกไม่ได้น้ำหนัก ทำแล้วก็ไม่เกิดผลอะไร ทำให้เข้าใจผิดด้วย เราเช็คเดี๋ยวนี้ เราตรวจทานเดี๋ยวนี้ไวๆ ทันที ทันใดเดี๋ยวนี้ได้ นั่นยิ่งแสดงถึง ความแววไวของมุทุ เป็นความอุเบกขา

อุเบกขามีองค์ ๕ มี ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสรา องค์ ๕ อุเบกขาฐาน คือฐานจิต นี่เป็นอุเบกขา ที่มีองค์ธรรมถึง ๕ ประการ สามารถทำให้บริสุทธิ์ แม้จะปรุงไป ก็ยังขาวผ่อง ไม่บกพร่อง ไม่ด่างพร้อย เป็นปริโยทาตา ปริโยทาตม มันขาวรอบอยู่ ปรุงไป มันก็ยังขาว ยังรอบหรือยังสะอาดอยู่ มันยังไม่บกพร่อง ไม่เปื้อน ไม่เพี้ยน ไม่ลดคุณค่า ได้คุณค่า ที่เต็มอยู่ แม้จะมีการปรุง มีสังขาร มีการงานออกไป มันก็ยังเป็นปริโยทาตา คำว่าบริสุทธิ์ คือลักษณะที่ สมบูรณ์อยู่ สะอาดบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตานี่ ก็คือลักษณะ ของบริสุทธิ์นั่นแหละ แต่ว่ามันมีอะไร เพิ่มขึ้นนะ เรียกว่า ยังขาวผ่อง เขาแปลในพระไตรปิฎก"ปริโยทาตา" ว่าผ่องแผ้ว ผ่องแผ้ว หรือผุดผ่อง จำไม่ได้ สับกันกับคำว่า ปภัสรา ปภัสรา กับคำว่าปริโยทาตานี่ เขาแปลในพระไตรปิฎก เขาแปล คำหนึ่งว่า ผุดผ่อง หรือ ผ่องแผ้ว ก็เป็น synonym หรือคำขยาย คำซึ่งใช้แทนก็ได้ของคำว่าสะอาด นั่นเอง ผุดผ่อง หรือผ่องแผ้วนี่ มันสะอาดอยู่ แม้มันจะมีการงาน มีสังขาร มีบทบาท มีองค์ประกอบ เพิ่มขึ้น สูงขึ้นมีอะไรๆ เข้ามาร่วมอีกเพิ่มขึ้น สิ่งที่เอามาร่วมนั้น จะร่วม มาร่วมคน มาร่วมปรุง มาร่วมผสม มันก็ยังสะอาดอยู่ นี่ลักษณะ ปริโยทาตา เพราะฉะนั้น เราจะเช็คปริสุทธา เราจะเช็คปริโยทาตา จิตของเราจะเป็นมุทุ

มุทุก็คือ มันละเอียดอ่อน แยบคาย ประณีต แววไว ยิ่งแววไว แล้วก็ละเอียดซ้อนอย่างนั้นน่ะ สามารถรู้ สามารถเห็น สามารถแจ้ง ตรวจปริโยทาตา ตรวจความผ่องแผ้ว หรือตรวจความสะอาด ตรวจความบริสุทธิ์ได้อยู่ มันไม่บริสุทธิ์อย่างไร สติธรรมวิจัย โพชฌงค์ ๗ เราเดินอยู่ โพชฌงค์ ๗ เราก็เดินประกอบอยู่นะ การปฏิบัติธรรม กับการกระทำงาน งานของโพชฌงค์ ๗ การก้าวไปสู่ ไม่ว่าเรา จะทำการงานอะไร สัมมากัมมันตะ อาตมากำลังเทศน์ เป็นสัมมากัมมันตะของอาตมาแน่นอน อาตมา ทำการงานนี้อยู่ เป็นสัมมากัมมันตะ การนี้ซึ่งใช้วาจาเป็นใหญ่ ขณะนี้ใช้วาจาเป็นเอก มีวาจาเป็น การงานเอก เรียกว่า แสดงธรรมเทศนา กริยามีน้อย วาจามีมาก แล้วเขาก็ตรวจทั้งวาจา ตรวจทั้งกริยา ขณะที่ทำการงานนี้ เป็นสัมมากัมมันตา เป็นสัมมากัมมันโต มันจะมีมิจฉาในองค์ศีลของเรา ขนาดองค์ศีลของเราขนาดนี้ล่ะ อย่างคุณ ก็มีองค์ศีลของคุณ อย่างอาตมาก็มีองค์ศีลของอาตมา ซึ่งจะต้องสูงละเอียด แยบคาย ต้องสลับ ซับซ้อนอีกมากนะ เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อนอีกเยอะ มันจะต้องระวังเท่าที่ควร บางทีคุณเองคุณฟัง คุณเองคุณเพ่งตรวจ เพ่งมอง คุณจะเอาฐานของคุณ มาตรวจ คุณอาจจะเข้าใจไม่ได้ว่า ทำไม อาตมาพูด ใช้วาจาสำนวนอย่างนี้ ซุ่มเสียงอย่างนี้ มีลีลาอย่างนี้ มีสำเนียงอย่างนี้ น้ำหนักมันหนักไป คุณเอา คุณมาตรวจว่า เอ๊ ! อย่างนี้มันหนักไป คุณเองคุณรู้สึก

ถ้าเป็นคุณ คุณจะไม่ทำให้หนักขนาดนี้ เพราะคุณเอง คุณทำหนักขนาดนี้ คุณทำไม่ได้ คุณทำหนัก ขนาดนี้ หนักไปแน่ คนเขาฟัง ก็จะสะดุ้งสะเทือน หรือจะเกิดผลลบอะไรต่างๆพวกนี้ แน่นอน คุณเอง คุณก็จะใช้ความรู้สึกของคุณ ความเป็นตัวของคุณเองมาเทียบ บางทีคุณก็เทียบผิดได้ ว่าตัวของคุณ คุณถูกๆ แล้ว ถ้าคุณพูดขนาด ที่อาตมาพูด ไม่เหมาะหรอก เพราะว่าอาตมานั้น มีความเคารพนับถือ บูชา ความศรัทธา หรือว่ามีลีลา มีอะไรๆ มีน้ำหนัก มีปฏิภาณ มีปัญญา มีขบวนท่า มีกลเม็ด มีกลยุทธ มีวิธีการ มีทั้งภาษานิรุติ ภาษา มีทั้งปฏิภาณ มีทั้งอัตถะ มีทั้งสารัตถะ มีทั้งธรรมะชั้นเชิง เหนือกว่าคุณ หรือ มากกว่าคุณอีกเยอะ เพราะฉะนั้น คนเขายกไว้ เขารู้ตัวบุคคลนี้ขนาดนี้ อย่าเพิ่งไปรอนราน ตอนนี้ต้องยอมให้ตีได้ คนนี้ ถ้าคนนี้แล้วยอม ให้ตีได้หนักขนาดนี้ ยอมให้ตี แต่ถ้าคนนั้น ยังไม่อรรถ ธรรมะ นิรุติ ปฏิภาณ หรือ ยังไม่มีภูมิสูง ยังไม่มีความนับถือ ความยกย่องยอมรับ ขนาดนั้นเขาก็ไม่ยอม

อันนี้เป็นสภาวะซ้อน เป็นสภาพจริงที่ซ้อนอยู่ในความจริง มันมีได้ เพราะฉะนั้น คุณเองบางครั้ง บางคราว คุณจะไปเทียบอาตมาว่า เอ๊ ท่านไม่น่าพูดอย่างนี้เลย ถ้าเป็นเรา เราไม่พูด จริง ถ้าเป็นคุณ คุณไม่พูด และคุณก็ไม่ควรพูด ขนาดอาตมาพูด ขนาดอาตามให้ลีลา น้ำเสียง กลยุทธอะไรต่างๆ นั่นก็ใช่ เพราะฉะนั้น รายละเอียดพวกนี้ บางทีเราก็ศึกษาไป แล้วแยกให้ชัด อ่านให้ออกว่า เออ อันนี้ท่านทำได้ อย่างนี้ท่านทำได้ ทั้งกายกรรม ท่านก็ทำได้ วจีกรรมท่านก็ทำได้ กายกรรมบางที บางโอกาส บางสิ่งแวดล้อม อาตมาทำกายอย่างนั้น ไปไม่ได้หรอก ถ้าคุณทำกลับได้ เพราะคุณทำ อย่างนั้นหยาบ หยาบอย่างขนาดนั้นของคุณ คุณทำได้ในสิ่งแวดล้อม บางที่ บางขณะ เขาไม่ถือคุณ แต่บางที คุณไปทำหยาบอย่างนั้นในที่ บางทีไม่ได้ แต่อาตมาทำหยาบอย่างนั้นได้ ในองค์ประกอบ บางที่ อาตมาทำกิริยาหยาบอย่างนั้นได้ เขาไม่ถือ จะตบหัว จะตีหัว จะทำว่าลามปามอย่างนี้ เขาไม่ถือได้ ในบางที แต่คุณบางทีแล้วคุณไปทำหยาบ ไปตบหัว ไปตบหู ไปลามปามอย่างนั้น กับเขาไม่ได้ คุณทำหยาบอย่างนั้นไม่ได้ แต่บางทีคุณทำหยาบได้ เขาถือว่าคุณเด็ก คุณทำหยาบ นั่นเขาผู้ใหญ่ เอ้า คุณทำหยาบ เขาผู้ใหญ่เขาฟังคุณ เอ้า! คุณเด็กคุณก็ยังทำเลอะๆ หน่อย ยังหยาบหน่อย เขาไม่ถือสาคุณ อย่างนี้มันก็ สลับซับซ้อนกันอยู่ มันซ่อนๆ ซ้อนๆ กันอยู่ เพราะฉะนั้น คำว่าหยาบ จะแสดงในสถานที่ใดๆ มันก็ประกอบด้วย องค์ประกอบตายตัวไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งลักษณะพวกนี้เป็นลักษณะสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ซับซ้อนอีกหลายชั้น หลายเชิง เราจะตีพาย ซื้อตายตัวไม่ได้ แม้แต่ความหมาย คำว่าหยาบ ความหมายขององค์ประกอบอันนี้ ก็ยังไม่ได้ละเอียด เกินไปนัก และยังไม่ได้อธิบาย ละเอียดเกินไปนัก แต่คิดว่าโดยปฏิภาณ พวกคุณคงพอเข้าใจ ที่บอก ไปแล้วว่า แค่องค์ประกอบอย่างนี้ ผู้ที่นั่งอยู่ในที่นี้ เขาเป็นผู้ใหญ่พอสมควร และเขาก็ไม่ได้ ถือสา อะไรคุณนัก น่าเอ็นดูคุณด้วยซ้ำ คุณแสดงหยาบออกมา หรือว่าบกพร่อง เล็กน้อย เขาไม่ถือ คุณหรอก เหมือนเด็กนะ เด็กเล็กๆ แกกำลังหัด พูดบางทีแกกล่าวคำหยาบด่า อะไรออกมานั้นด้วย ยังรู้สึก คำด่านั้น น่าเอ็นดูด้วยซ้ำ ซึ่งบางทีเป็นคำหยาบๆ แต่เรารู้สึกว่า แกกำลังหัดพูด แกกำลังทำ อย่างโน้น อย่างนี้ขึ้นมา แม้เป็นคำหยาบ เรายังอภัย และรู้สึกเอ็นดูด้วยซ้ำ อย่างนี้เป็นต้น คล้ายๆ กัน เพราะฉะนั้น ลักษณะอย่างนั้น ควรจะไปแสดงความหยาบอย่างนั้น ผู้ที่เขาฟังเขาเอ็นดู เขาไม่ถือ หรืออย่างอาตมา ไปแสดงคำหยาบ ในผู้ใหญ่ อย่างนั้น ผู้ใหญ่อย่างนั้นเขาถือเลย อาตมาแสดง คำหยาบอย่างนั้น ไม่เหมาะสม ถือว่าอาตมา เป็นผู้ใหญ่แล้วด้วย ไปแสดงคำหยาบอย่างนั้น ไม่เหมาะสม เขาไม่ยอมให้อาตมา แสดงไม่ได้ ถ้าเผื่อว่า แม้เขาจะผู้ใหญ่ เขาเองก็ศรัทธา เลื่อมใส เพียงพอ อาตมาจะแสดงความแรงความหยาบ จะแสดงภาษาหยาบ ว่าออกมาในขณะนั้น โดยที่สื่อ ออกมา ให้เขารู้ หรือจะว่าเขาโดยตรงเลยด้วยซ้ำ เขายอมแล้ว เขาศรัทธาแล้ว จะว่าคำหยาบคำแรง หรือทุจริตชัดๆ ออกมา เขาก็ไม่ถือ และยังยิ่งชัดเจนด้วยเหตุด้วยผล ยอมรับและนับถือ และได้ ประโยชน์ด้วยอย่างนี้ ก็เป็นอีกลักษณะหนึ่ง

อาตมาจะแสดงความหยาบกับผู้ที่สูงผู้ที่ใหญ่ ในกาละ บางกาละ ซ้อนไปอีก จะเห็นได้ในบางที่ บางคน อาตมาไม่ใช่จะแสดงความหยาบไปตะพึด แต่โอกาส กาละอย่างนี้ จะต้องแสดงความแข็งละ แสดงความแรง ขึ้นมาละ เพราะถ้าไม่แสดงความแข็งความแรง ปราบริปูไม่ได้ ก็ต้องแสดงขึ้นมาบ้าง ในกาละบางกาละ เพราะฉะนั้น บางคนไม่เข้าใจ บางคนว่าอาตมาว่า เอ๊! ทำไมบางทีแสดงอย่างนี้ บางทีก็ไม่แสดง มันอยู่ในองค์ประกอบ ซึ่งอาตมารู้อยู่ว่า ควรประมาณ หรือไม่ประมาณ จะสังเกตได้ ในบางที่ บางแห่ง ในบางผู้บางคน ถึงครั้งถึงคราว ถึงตอนนั้น อาตมาต้องแสดงอย่างนั้นๆ สิ่งเหล่านี้ มันเป็นกลยุทธน่ะ ซึ่งอาตมาก็ประมาณอยู่ และใช้อยู่ บางคนเห็นได้ บางคนสังเกตได้ บางคนเข้าใจ อย่างที่ว่า บางที เอ๊! ท่านไม่น่าจะแสดงอย่างนี้เลย ก็จริง อาตมาก็ไม่ได้ถือสาอะไร ผู้ที่คิดอย่างนั้น ย่อมเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะแหละ หลายครั้งหลายคราว ก็จะคิดอย่างนั้นอยู่ และก็จะเป็นอย่างนั้นอยู่ มันเป็นจริง และบางครั้ง บางคราว มาแสดงก็มี ที่มันแรงไปบ้าง อ่อนไปบ้าง บางทีก็เกินไปบ้างก็รู้ ก็ได้ใช้ แม้แต่จะใช้ บุพเพนิวาสานุสติญาณ ในขณะแสดงธรรมอยู่ ตอนนี้แรงไป ขนาดนี้พอเหมาะไหม และเราก็ดู บรรยากาศ ดูผลสะท้อน ดูก็ reaction ขณะที่ทำอยู่นี่ ได้ผลอย่างไร ไปตามเจตนา ตามที่เรา คำนวณแล้ว มีผลอย่างนั้น เพื่อที่จะให้เกิดการปราบปราม ทั้งปราบ ทั้งปลูก ทั้งอยู่ทั่วสองส่วน

บางครั้งบางคราวก็ต้องปราบ บางครั้งบางคราวก็ต้องปลูก ผสมผสานกันไป ทุกโอกาส ทุกลักษณะ ในสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่ความรู้ที่ตื้นเขิน เป็นความรู้ที่จะต้องศึกษา และเรียนรู้ ประพฤติไป คนที่มาด้วย จะเห็นความจริง บรรยากาศเห็นความจริง สังเกตอ่านจิตวิญญาณ ของมนุษย์ที่ละเอียด ใครได้รับ สัมผัส รับซับทราบ ถ้าเราแยบคาย เมื่อตั้งใจสังเกตอ่าน ตั้งใจฟังธรรม ตั้งใจดู ตั้งใจทำงาน ไปด้วย เราก็ได้มาร่วมไปด้วย เราก็ได้เห็นบทบาทท่าที มีประสบการณ์ ไม่ได้ว่าเรามองเห็นเท่าที่ได้ มานี่ก็มา ช่วยเฉยๆ มันก็ช่วยด้วย และเราก็ได้รับซับทราบ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ ผู้ใหญ่ท่านทำงาน มีโน่น มีนี่ ในบางโอกาส เราก็ได้รับซับซาบ ปนเปไปด้วยเป็นธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะมาศึกษา แต่ท่าเดียว จะตามดูแต่อาตมาอย่างเดียว ตามดูแต่ผู้ใหญ่อย่างเดียว งานการอื่น ไม่ช่วย จะมาสังเกต แต่การงานผู้ใหญ่ท่านทำ แล้วจะเรียนรู้ การงานผู้ใหญ่ แล้วเราก็จะเอาอย่าง ตามไปเรื่อยเท่านั้น การงานที่มันต้องพราก ที่มันต้องห่าง ต้องไปทำกิจนั้น กิจนี้ เป็นกิจที่จะช่วยกันบ้าง เราก็ไม่เอาเสียเลย อย่างนี้ก็ไม่ได้ แล้วก็จะต้องช่วยคิดบ้าง ศึกษาไปบ้าง อะไรต่ออะไรประสม ประสานกันไป ไม่ใช่วันเดียว ไม่ใช่ครั้งเดียว เรามีหลายครั้ง เรามีหลายวัน เรามีหลายบทบาท มีโอกาสตามมามาก มันก็ได้มามาก มีโอกาส ตามมาน้อยก็ได้ ถึงแม้จะตามมาน้อย แต่เราสังเกตดี หรือเรารู้จักดี จังหวะไม่ขาดตอน ประโยชน์หมู่ ประโยชน์กลุ่ม และประโยชน์ตน ได้ประโยชน์ เป็นสองส่วน เป็นมวล เป็นอะไรต่อ ประสานกันไปหมด

การกระทำของเรานี่ ยกคณะมา ทำอะไรต่ออะไรอยู่ตลอดเวลา อาตมายิ่งเห็นว่าเป็นเรื่องที่สมบูรณ์ สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เรื่อยๆ เข้าใจกัน มีคน คนนั้น คนนี้ ช่วยการงานถนัดอันนั้น ถนัดอันนี้ กลายเป็นทีม ซึ่งมีองค์ประกอบ ต่างๆนานา ที่เกิดคุณค่ามากขึ้นเสมอ แล้วเราก็ทำงานได้ผลมาขึ้น มากขึ้น เป็นที่ยอมรับ เป็นที่สร้างสรรได้นะ ระบบเหล่านี้ มันเป็นระบบที่อาตมาเอง อาตมาก็ระลึกย้อนไปถึง อดีตกาล ตั้งแต่ประวัติศาสตร์นะ

สมัยพระพุทธเจ้าท่านเอง ท่านก็เป็นกองคาราวานเหมือนกันนะ แต่ว่าเทคโนโลยี องค์ประกอบ เครื่องไม้ เครื่องมือ หรืออะไรต่ออะไรเอง ท่านน้อยกว่าเรา องค์ประกอบของท่านน้อยกว่าเรา เทคนิค ต่างๆ นี่แหละ สื่ออะไรต่างๆ ที่ท่านน้อยกว่าเรา ไม่เหมือนสมัยนี้ สมัยนี้มันปรุงกันมาก องค์ประกอบ ในการสื่อมันเยอะนะ สื่อสารนี่ มันไม่มาก เหมือนอย่างเรา เดี๋ยวนี้เรามีสื่อสารที่มาก องค์ประกอบเยอะ หนัก ยิ่งยาก ยุ่งยากไม่เหมือนท่าน ท่านมีตัว มีแต่ยังเทศนา มีแต่พฤติกรรม ของชีวิตเป็นส่วนใหญ่ องค์ประกอบในทางเทคนิคอื่นๆ แทบจะเรียกว่าไม่มีเลยนะ ไม่มีสไลด์ ไม่มีธรรมยนต์ ไม่มีชาร์ต ไม่มีบอร์ด ไม่มีหนังสือ ไม่มีเทป ดิก ไม่มีอะไรต่างๆ ไม่ได้มี ไม่ได้ต้องไปทำ อาหารเลี้ยงเขา อย่างนี้ ไม่ได้มีนะ มันไม่มีนะ แต่ก่อนนี้ อย่าว่าแต่ขนาดนี้เลย แม้แต่มานั่งทำรูปแบบ แนะกราบ เคารพ ทำวัตร มีบทพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ไม่มี สมัยก่อนนี้ไม่มีอย่างนี้ ไม่มีแม้แต่ปานนี้ ไม่มีสดๆ ท่านไป ก็เป็นรูปแบบ มีองค์ประกอบหมู่มวล มีพระสงฆ์องคเจ้า และมีผู้ติดตามที่เป็นฆราวาสนี้ไป ก็มีเหมือนกันนั่นแหละ ไม่ใช่ไม่มี ไปที่ใกล้ที่ไกล ก็ไปกันตาม แต่ว่ามีไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้นะ มีไม่มาก เหมือนเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้มีอะไรต่ออะไร ต้องมีมวลมาก โดยเฉพาะในสมัยพระพุทธเจ้านั้น ถ้าเป็นนักบวช เขาก็มีนัยของเขา มันสมองสูง เอ๊ย! ท่านเป็นนักบวช ท่านทำได้ เราฆราวาส เราทำไม่ได้ เพราะฉะนั้น อาตมามีมวลที่เป็นฆราวาสไปด้วย จึงชี้ได้นี่ ฆราวาส สมัยนี้เขาก็ทำกันได้นั้น สมัยพระพุทธเจ้า เขากินได้ เขาอยู่ได้ เขาเป็นได้ สมัยนี้ มันไม่ใช่สมัยโน้นแล้ว สมัยนี้ มันเศรษฐกิจต่างกัน สมัยนี้ มันจะต้อง แย่งยื้อกัน สมัยนี้คนมันเยอะ มันต้องเบียดเบียนกัน ต้องเบียดเบียนกันต่างๆ นานา

พวกนี้มันอ้างเหตุได้ร้อยแปด เพราะฉะนั้น เราก็มีมวลของฆราวาส ไปด้วย พระจริงๆ เขาก็กำลัง สะสมอยู่ ให้มากขึ้น มีมวลทั้งพระแท้จริง แล้วพวกคุณก็เป็นพระ ที่คุณมาทำอริยคุณ ก็เพราะคุณ ก็เป็นพระ ท่านมีศีล ท่านบริสุทธิ์ขึ้น มีศีลอันเป็นปกติขึ้น เอาศีลวัดได้ ตั้งแต่หลักตื้น ศีล ๕ ศีล ๘ ศีลอะไรไป หรืออธิศีล ในตัวของมันเอง สูงขึ้นไป มันก็เป็นคุณธรรม คุณได้จริง มันก็เป็นของจริง และเราก็เอาสิ่งเหล่านี้ ย้ำยืนยัน มันได้ประโยชน์ ผู้อื่นที่ได้เห็น บอกว่า ยืนยันว่า เขาทำได้ มีรูปแบบ หยาบบ้าง มีนามธรรมในตัว ที่เขาสามารถจะหยั่งรู้ได้ ด้วยญาณลึก อย่างไร ก็ตามใจ ที่เราสามารถ จะสื่อกันให้เขารับ ให้เขาสัมผัส ถ้าเผื่อว่าเขารู้สึกว่า เขาทำได้ เรามาเรียนรู้ได้ และเขาก็มารับ เอาไปได้ เขาก็จะได้ สำหรับคนที่แสวงหา คนพยายามที่จะสอดส่อง เก็บเอา รับเอา เขาก็จะได้ ซึ่งยังไม่ เกรียวกราวนัก ทุกวันนี้ยังอยู่ในฐานะ ยัดเยียดอยู่ ยังไม่เกรียวกราว เขายังไม่ได้ต้องการ สิ่งหาเอา เหมือนอย่างสินค้าของเรา ติดตลาดแล้ว ดำริในที่ไหน อย่างไร คนก็เสาะแสวงหา มันกำลังเป็นเพียง ออกเผยแพร่ propaganda แม้แต่มีรถเผยแพร่ เหมือนอย่าง สินค้าตามร้าน มีรถเผยแพร่ มีขบวน เผยแพร่ออกไปหลายหน่วยพร้อมกัน เราก็ยังทำได้ยากเลย ทุกวันนี้มันยังมีหน่วย เผยแพร่ออกไป แค่นี้เท่านั้นได้ หน่วยใหญ่ๆ หรือว่าหน่วยสมบูรณ์ นี่แยกกัน เป็นสองหน่วย ยังไม่ได้เลย ได้หน่วยใหญ่ๆ นี่ ได้หน่วยเดียว ทีละหน่วย สองหน่วยก็เป็นหน่วยย่อย อันจะเท่าเทียมกัน ยังไม่ได้เลย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ในฐานะที่เรากระทำอยู่นี้ ยังไม่ยิ่ง ยังไม่ใหญ่ ยังจะต้องกระทำไป จนกระทั่ง จะสมบูรณ์ ถึงขั้น เมื่อศาสนาแต่อดีต เมื่อพระพุทธเจ้า เผยแพร่ปักหลักลงมั่นคง จนเชื่อถือ จนเป็นสิ่งที่เคารพ นับถือบูชากัน เหมือนสินค้าที่ติดตลาด คนเชื่อมั่นรับรองดีแล้ว เพราะฉะนั้น เอาสินค้าอันนี้ ต้องไปเอาที่ร้านนั้น อย่างนั้น จะเหน็ดเหนื่อย จะไกลเขาก็จะไปเอา เมื่อถึงขั้นนั้นแล้ว ก็วัดหรือพระ ปักหลักแล้ว เขาก็จะมาเอาได้ แต่ถึงกระนั้นก็ตาม การจะจาริกจรไปเผยแพร่ มันก็ยังเป็นวิธีการ ที่ดีอันหนึ่ง ที่เราจะต้องใช้บ้าง

อาตมาจะไม่ให้กลายเป็นการยึดวัด อาตมาบอกตรงๆ จะไม่ให้มาเป็นการยึดวัดอยู่ในพุทธสถาน จะเป็นเจ้าร้านค้า มีแต่ของอยู่ในร้าน ให้แต่คนเขามาเอาท่าเดียว โดยเราไม่มีการนำสินค้า ออกไปสู่ ที่อื่นอีกเลย อาตมาไม่เป็นอย่างนั้น เป็นอันขาด เราจะต้องมีวิธีการเผยแพร่ ทั้งสองอย่าง เมื่อร้านค้าติด คนก็มาเอา เข้ามาร้านค้าเหล่านั้น ต้องร้านที่ดี แล้วให้สินค้าที่ถูกต้อง ให้สินค้าที่ได้ เอ้า! ก็ทำ และเราก็จะต้องเป็นผู้ที่เอาสินค้า ที่ออกไปเผยแพร่อยู่ เหมือนร้านค้า ทุกวันนี้ ร้านค้าก็ติดตลาด แล้วร้านใหญ่เป็น store ใหญ่เลย เป็น department ใหญ่เขาก็ตั้ง และพร้อมกันนั้น เขาก็ยังมี หน่วยเผยแพร่ ออกต่างจังหวัด ร้านเต็กเฮงหยูนี่ เขาเป็นร้านใหญ่นะ แต่เขาก็มีหน่วยเผยแพร่ ออกต่างจังหวัดอยู่ ไม่รู้กี่หน่วยเยอะแยะ เขาต้องทำมาตลอด ยังไม่เคยหยุด ฉันใดก็ฉันนั้น แล้วเขาก็เจริญอยู่ตลอดไป เราต้องทำ ทั้งสองหน่วย ทีนี้อย่างศาสนาเรานี้ พอเวลาสินค้าติดตลาด ไม่เข้าใจระเบียบ ระบบแบบโลกๆ เขา ระบบที่จะไม่ใช่ ของโลกเขา ของธรรมะนี่อาจใช้เป็น ไม่เข้าใจ ก็เลยมาตั้ง แต่ร้านค้า เท่านั้นเอง แล้วไม่ออกเผยแพร่ ไม่เอาถ่าน ในเรื่องออกเผยแพร่ มีหน่วย เผยแพร่ไปด้วย เพราะคนนี้มีกิจมาก ธุระมาก บางคนต้องการเหมือนกัน แต่กิจมาก ธุระมากของเขานี่ ไม่อาจสามารถจะปลีกเวลามาวัดได้ ถ้าเราเฉียดกายนำไปถึงที่ มีอะไรต่ออะไร นำไปสินค้าไป มีบทบาทแสดงธรรม มีองค์ประกอบอะไร หลายๆอย่างนี่ อย่างนี้เป็นอย่างนี้ ขบวนการอย่างนี้นะไป หรือไม่ขบวนการอย่างนี้ก็ตาม นำไปย่อยบ้าง ขบวนเต็มยศบ้าง อะไรบ้างก็ตามใจ นำออกไป ไปแล้ว ผู้ที่เขามีกิจมาก ธุระมาก เขามีเวลาน้อย เขาก็ได้ผลประโยชน์ เก็บตก เก็บหล่น หรือเก็บคนในอย่างนั้น คนที่อยู่ในฐานะอย่างนั้นมีอีก อาตมาว่า จะมีจำนวนมากกว่า พวกไปวัดด้วยซ้ำ ยิ่งเดี๋ยวนี้แล้ว บอกได้เลยว่า จำนวนคนเหล่านั้นนะ มันมากกว่า พวกที่ไปวัดด้วยซ้ำ อย่างนี้มีอยู่แท้ มีอยู่จริง เราจึงจำเป็น จะต้องกระทำ ทั้งสองส่วน ทั้งสองแบบ อยู่ตลอดไป เรื่อยไป ไม่มีหยุด

ถ้าเผื่อว่า เราไม่เข้าใจ ระบบ ระเบียบแบบนี้ ไม่เข้าใจวิธีการนี้ ศาสนาจึงขาด แม้กระนั้น เรายังเห็น รูปรอย มีพระที่อยู่วัด เรียกว่า พระวัด พระบ้าน แล้วก็มีพระธุดงค์ พระจาริกอีกพระหนึ่ง ซึ่งก็เป็น รูปรอย ที่เหลืออยู่ ในศาสนาพุทธก็มี เพราะฉะนั้น องค์ที่ท่านจะจาริกไป ท่านไม่ได้เกิด ความรู้ว่า พระจร พระจาริกไปนี่ ไม่มีองค์ประกอบ ท่านก็ไปองค์เดียว จาริกไป บางทีก็ไปเป็นหมู่บ้าง แต่เป็นหมู่ หรือเป็นองค์ประกอบหมู่ หรือว่าไปเดี่ยวก็ตาม ท่านก็ยังไม่เข้าใจถึงว่า ความปรุงสร้าง หรือสังขารโลก ที่มันก่อเกิดขึ้นมา นี่มันมีองค์ประกอบอะไรอีก ตั้งเยอะตั้งแยะ ท่านนำสิ่งเหล่านั้นมาใช้ การที่จะนำ กองทัพธรรมนำหมู่ เพื่อไปจำหน่ายสินค้า พระที่ท่านเป็นพระธุดงค์ หรือพระจาริกนี่ส่วนมาก ท่านไม่ค่อย มีปฏิภาณ ไม่ค่อยมีความรู้ ที่จะเอาสังขารโลกนี่ มาเป็นองค์ประกอบในการสื่อ ท่านไม่เข้าใจ สื่อสาร ที่จะสื่อออกไปได้จริง มันจึงไม่มีองค์ประกอบสมบูรณ์ ก็ได้ผลอยู่บ้าง มีพระธุดงค์ ท่านจาริก ไปเผยแพร่ อย่างโน้น อย่างนี้ก็ได้ ไม่ใช่ไม่ได้ ที่พูดนี่คุณเห็นได้เลยนะ ท่านก็ไป มีคนมานั่ง ฟังธรรม มีอันโน้น อันนี้ ไปตามคุณค่า ตามองค์ประกอบ มันได้บ้าง แต่มันก็ไม่มีผลสูง ไม่สมบูรณ์ เท่าที่เราทำอยู่นี่ เรามีนะ เรามีทั้งไปหมู่ เดี่ยว เดี่ยวก็มี ไปเป็นกลุ่มเล็กๆก็มี เป็นกลุ่มโตๆ หน่อยก็มี ไม่ถึงครบเครื่อง ครบครันก็มี จรจาริกไปนานๆวัน มีสองรูป สามรูปไป จะไปจาริกไป ปักกลด ที่โน่น ที่นี่ มีซ้อนอยู่ทุกรูปแบบ หลายๆอย่าง แม้แต่ไปเป็นคณะอย่างนี้มี เรายังมีคณะย่อย คณะใหญ่ อะไรต่างๆ นานา มีถึงขนาดนี้ อย่างที่มาอย่างนี้ มีขนาดคนที่มาช่วยทำครัว ทำอาหาร มีทั้งกองเทป กองหนังสือ กองสไลด์ กองอะไรต่างๆ หอบหิ้วกันไปเป็นขบวน ถ้าเป็นสมัยก่อน มันไปไม่รอดหรอก มันไม่มีรถรา มันไม่มีพาหนะ มันไม่มีเครื่องขน เครื่องย้าย แยกกันไปไม่ไหวหรอก เป็นสมัยโบราณ แต่สมัยนี้ มันมีองค์ประกอบ ที่จะทำได้ มีอะไรต่ออะไร สามารถเป็นไปได้ มันก็เป็นไปแล้ว มันจะเห็น ประโยชน์ว่า ได้นิด ได้หน่อยก็ตาม บางคนอาจสัมผัส ชาร์จแผ่นเดียว เท่านั้นแหละ เขาบรรลุ เหมือนอย่างกับพระพุทธเจ้า

สมัยพระพุทธเจ้า บางคน ท่านไม่ได้ฟังเขาร้องเพลงเท่านั้นเอง ได้ยินเสียงเพลงที่เขาร้องนิดหน่อย เท่านั้นนะ พระองค์นั้น ท่านตรัสรู้เลย พระองค์นั้น บรรลุธรรมเลย ก็ได้ยินเสียงเขาร้องเพลง มีอยู่ สูตรหนึ่ง ใช่ไหม พระอะไร ใครจำได้ นั่นซิ พระอะไร ท่านได้ยินเสียงเพลงของเขาเท่านั้น นิดเดียวนะ ฆราวาสเขาร้องด้วยนะ ท่านก็สะกิดใจ ท่านได้เท่านั้นแหละ เป็นเหตุปัจจัย ท่านถึงบรรลุธรรม อย่างนี้ เป็นต้น ป่วยการกล่าวไปใย เราเองนี่มีสารัตถะที่ชัด มีศีลก็ไม่ใช่ว่า จะให้คนเขาหลงศีล มีรูปก็ไม่ใช่ ให้คนเขาหลงรูปเสียทีเดียว แม้มีธรรมคีตะ มีเสียง มีเพลงประกอบ มีบรรยายอะไรต่างๆ นานาพวกนี้ ก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะเป็นโลกๆ ไปเสียทีเดียวด้วยซ้ำไป เราก็รู้อยู่ว่า เรามีสารัตถะ ประกอบอยู่ ในสิ่งเหล่านั้น แล้วมันก็สามารถที่จะเป็นสื่อ สื่อสาร สื่อสาระ ที่มันจะทำให้เกิดสาระ ถึงสาระสัจจะ อันบรรลุธรรมได้ เราไปประมาทไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ แต่ละบุคคล แต่ละบุคคลนี่ เมื่อมันมาถึงจุด มันมาถึง องค์ประกอบที่สมบูรณ์ สมดุล เราไปกำหนดไม่ได้เลยว่า พวกนี้จะขาด อะไรอยู่ พวกนี้จะมีอะไร จะทำ ยังไง เรารู้ไม่ได้ เราจะไปรู้ละเอียดว่า พวกนี้จะขาดอันนี้ ตรงนี้ไม่ได้เลย เราทำไปเถอะ องค์ประกอบ ต่างๆ ที่ไม่เกินไป พยายามสื่อสาร ทำสื่อสารเหล่านี้ ออกไป เป็นอย่างนั้น อย่างนี้ คนนั้นได้อันนั้น คนนั้นได้อันนี้ แหม!ได้ซาบซึ้ง อย่างที่เราพากันทำไปแล้ว เราจะเห็นได้

แหม!บางคนนี่บอกว่า อ่านหนังสือตรงนี้ อู๊ฮู ! ซึ้ง แม้บางคนดูสไลด์ตรงนี้ โอ้โฮ! ต้องเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมชีวิตแล้ว บางคนดูชาร์ต ดูบอร์ด ดูอันนั้นสิซาบซึ้ง จดแล้วจดอีก คำความแค่นี้ๆ สมบูรณ์ เหลือเกิน ซาบซึ้งเหลือเกินสำหรับเขา องค์ประกอบต่างๆเหล่านี้ เรากำหนดไม่ได้ว่า ของใครมันจะ ถูกยา ถูกโรคของคนนี้ เป็นยา หรือว่าเป็นอาหารทิพย์ ที่ถูกจังหวะ ของคนนี้ๆ เรากำหนดไปทีเดียวไม่ได้ แต่อย่างน้อย มันก็ให้ เติมไป แม้มันจะไม่ใช่ตัววิเศษ ที่จริงทุกตัว มันไม่ใช่ตัววิเศษหรอก แต่ที่มีวิเศษ เพราะองค์ประกอบของส่วนบุคคลนี่ มันมีแง่ แล้วแง่นั้น มันก็จะเต็ม ถ้าอันนี้ มาผสมอีกส่วนปั๊บ มันเต็ม มันขาดอันนี้เท่านั้นเอง แล้วขาดอันนี้นี่ บางทีมันไม่ใช่เขาจะดูครั้งนี้ แล้วได้เต็ม เขาอาจจะดู อันเก่า เขาได้ดูมาแล้วนี่ ดูอีกครั้งหนึ่ง อู๊ เต็ม ไม่ใช่ว่าอันนี้เป็นของวิเศษ ไม่ใช่ของวิเศษ แต่มันวิเศษ เพราะองค์ประกอบ สมบูรณ์ขึ้นมาแล้วตรง มันเกิดถึง course ของมันเต็ม ถึงเกรดของมัน ถึงขีดขั้น ของมัน เต็มเลย พอใส่อันนี้ เข้าไปเต็ม อันนี้อาจจะใสกว่าแต่ก่อน แล้วอันอื่นก็ใส่มาอีก อันโน้น อันนี้ ใส่มาอีก แล้วกลับมา ต้องใส่อันนี้ อีกทีหนึ่งเต็ม อย่างนี้เป็นต้น

ซึ่งรายละเอียดเหล่านี้ ก็นานๆ จะพูดขยายความอะไรต่ออะไรเพิ่มเติมให้ฟัง เออ เราอาจจะเข้าใจ พาซื่อ อันนี้โอ๊ะ! คนนี้ดูแล้ว ครั้งเดียวนี่ ไม่มีฤทธิ์ แล้วก็เขาก็ไม่เห็นได้ด้วยอันนี้ อย่าเอามา ให้เขาดู อีกเลย ประมาทไม่ได้นะ อันนี้นี่แหละ เขามาดู อีกเที่ยวหนึ่งนี่ ปัญญาของเขา ภูมิของเขาไม่ใช่ เท่านั้นแหละ อันนี่แหละ ไขความสุดท้ายขึ้นอีกได้ ไขได้ คุณเอง คุณปฏิบัติธรรมมา ขนาดนี้ คุณลอง ดูซิ คุณดู คุณอ่านทบทวนพวกนี้อีก บางครั้ง บางคราว คุณจะรู้สึกว่า โอ้โฮ นี่คุณได้อะไร ต่ออะไร ขึ้นมาอีกจากอันนี้ ทั้งๆที่คุณเคยดูแล้ว เคยอ่านแล้ว เคยสัมผัสแล้ว โอ้โฮ! นี่มันลึกซึ้งขึ้น อร่อยขึ้น กว่าเก่า แต่ไม่ใช่อร่อยอัสสาทะนะ อร่อยธรรมรส มันเป็นธรรมรสอร่อย หรือว่าซาบซึ้งขึ้นอีก มากกว่าเก่า รู้สึกลึก เรารู้สึกว่า โอ้โฮลึกขึ้นนะ เราเข้าใจมากขึ้น เกิดภูมิที่ทำให้เราทบทวนขึ้นมา เป็นสัมมาทิฐิ โอ้โฮ อันนี้ทบทวนขึ้นมา แล้วลึกซึ้งขึ้น แต่ก่อนเราก็เข้าใจเท่านี้ แต่ตอนนี้เรารู้สึกว่า เราเกิดภูมิ เกิดปัญญา เกิดความลึกซึ้งๆขึ้น สื่ออันเก่า อย่างกระดาษเก่า ข้อเขียนๆเก่า รูปเก่า ตกสีด้วยซ้ำ สีเก่า สีลบลงไปด้วยซ้ำ แต่มันก็ให้อะไรเราขึ้นมา อย่างนี้เป็นต้น คุณสังเกตตัวเองสิ ถ้าคุณทบทวน การทบทวน จึงไม่ใช่ไม่มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่า อันนี้เราอ่านแล้ว เราสัมผัสแล้ว เราศึกษา มาแล้ว ไม่ใช่นะ มันมีประโยชน์ เพราะว่าในความหมายของปรัชญา ในความหมาย ของสื่อที่มี สารัตถะ ที่ซ้อนเชิงนะ

อย่างพุทธพจน์ สุภาษิตพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้แค่นั้น คนอ่านตื้น ก็รู้ตื้น คนมีภูมิสูง อ่านรู้สูงกว่า คนที่ตื้นนั้น ทั้งๆที่คำความเก่านั่นแหละ คำความเดียวกันนั่นแหละ แต่สัมผัสแล้ว รู้สึกต่างกัน ความรู้ ผิดขั้นกัน คนละขั้น คนละตอน ผู้สามารถรู้สึก โอ้โฮ รู้สึกลงไป อีกหลายชั้น แล้วแยกเอาหลายๆชั้นนั้น มาอธิบาย ให้คุณฟัง อย่างอาตมาอ่านพระไตรปิฎกนี่ อ่านแล้วโอ้โฮ รู้เยอะ แล้วอาตมาเอามาอธิบาย ให้คุณฟัง ฟังคราวนี้ ขั้นนี้ คราวอื่น อาตมาอธิบาย บทเก่านี่ อธิบายซ้อนเชิง ซ้อนชั้น อธิบายลึกซึ้ง ขึ้นไปอีก อธิบายอีกใหม่ ซ้อนเชิงขึ้นไปอีก มีอีก ไม่ได้รู้กี่เที่ยว กี่อัน ก็คำเก่า ความเก่า หัวข้อเดิม ภาษาเก่าของท่านนั้นแหละ ในเนื้อความนั่นแหละ แต่มันมีทั้ง อธิปัญญา อธิจิต อธิที่เป็นความหมาย ของศีล หรือของหลักการนั้น มันมีอยู่ในนั้นเสร็จ นี่มันมีขั้นตอน มันมีเชิงชั้น อย่างนั้นเป็นต้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีภูมิรู้ลึกซ้อนแล้ว ถ้าสรุปแล้วนะ ทุกอย่างในโลกนี้อธิบายได้หมด ทุกอย่างในโลกนี่ อธิบายได้หมด

อาตมาพูดอย่างนี้ ยังไม่ได้หมายความว่า อาตมานี่อธิบายได้หมดแล้ว อาตมาอธิบาย ยังไม่ได้หมด แต่อาตมา อธิบายได้มากแล้ว จะเห็นได้ว่า อาตมาอธิบายสูตรนี้ อธิบายบทนี้ มันก็มา เหมือนลงท้าย ก็มาสรุปคล้ายๆ กันนี่แหละ มาหาความเกิดดับ มาหาความเป็นกิเลส กับสิ่งที่ไม่ใช่ เป็นกิเลส มาเป็น กุศลาธรรมกับ อกุศลาธรรม มาเป็นโลกียะกับโลกุตระ ย่นย่อลงมาแล้ว ก็มาหาหลักใหญ่ๆ มาหา กิเลสตัณหา อุปาทาน มาหาสิ่งที่อาศัย มาหาสิ่งที่เราควรจะล้าง จะละ จะปล่อย กับสิ่งที่เป็นขั้นตอน ความอาศัย แต่ละระดับ แต่ละขั้น ไม่ได้มีอะไรแปรเปลี่ยนจากนี้ มากมายอะไรเลย ไม่ว่าจะเป็น บทเรียน ไม่ว่าจะเป็นสูตรไหน ไม่ว่าจะเป็นอะไร อธิบายมาแล้ว คือให้มารู้กิเลส แล้วละ หน่าย คลาย สุดท้าย ย่นย่อเข้าไปหากิเลส ราคะ โทสะ โมทะ ซึ่งเป็นราคโคตร โทสโคตรเหมือนกัน แต่มีเหลี่ยม ต่างๆ ไปร้อยแปด พันประการ มีเหลี่ยมต่างๆ ไปอีกหลายเหลี่ยม เป็นสังขารโลก ยิ่งนับวัน ยิ่งสังขารโลก ยิ่งมากขึ้น อย่างทุกวันนี้ มีสังขารโลก คือปรุง คือสร้าง คือตกแต่งปรับ ทำอะไรพิสดาร แปลกใหม่ จินตการออกมามากๆๆ แล้วก็ไล่จาก รากเหง้าวิตถาร หรือพิสดารนี่ ไล่เข้าไปหาแกนเดิม สุดท้าย มันก็ไม่มีอะไร มีแต่รูปกับนาม มีแต่ปรุงกับจิตใจความหลง

ถ้าเรารู้จิตใจที่มีความหลงแล้ว ก็ละ ก็เหลือจิตสะอาด ละได้ก็เป็นจิตสะอาด ก็เท่านั้น นี่ย่นย่อ เมื่อจิตสะอาดจริง แล้วเราก็รู้โลก เราอยู่กับโลกนี่ เราอยู่กับความไม่สะอาดทั้งนั้นแหละ อยู่กับโลกนี่ เราอยู่กับสิ่งองค์ประกอบ ทั้งนั้นแหละ คุณปรุงอาหาร มาให้อาตมากิน คุณไม่ได้ปรุงของสดๆ ของสะอาดๆ ของบริสุทธิ์มาหรอก คุณมาปรุง แต่อาตมาก็กิน ของไม่สะอาดก็กิน แต่ใจอาตมาสะอาด ใจอาตมาสมบูรณ์แล้ว คุณปรุงด้วยรูป รส กลิ่น เสียงอะไรต่างๆ สัมผัสอะไรต่างๆ มา ก็ปรุงมา อาตมาเอง อาตมารู้เท่าทัน อาตมาก็พออนุโลมได้ ถ้าอาตมาจะมีนัยสอนคุณ โดยพยายาม ให้ลดปรุง อาตมาให้คุณลดปรุง ก็เพื่อให้คุณนั่นแหละ ลดตัวคุณ คุณลดตัวคุณ ถ้าคุณสามารถลดใจ ของตัวเองได้ ใจของตัวเองรู้สึกว่า แหม ท่านคงจะไม่อร่อย เราทำให้ท่านอร่อยดีกว่า เพราะเราอยาก จะให้ท่าน มีความสุข คุณก็ลองปรุงอร่อยมาให้อาตมากิน ที่จริงใจคุณนั่นแหละอร่อย ใจอาตมาไม่ได้ อร่อยกับคุณ แต่อาตมา ก็อนุโลม แต่บางทีก็ไม่รับบ้างล่ะ มันก็ไม่มีสิ่งเชื่อมโยง ก็รับไป ก็ฉลองไป อะไรต่ออะไรไป แต่ก็พยายามในนัย ในวิธีการ ตีโต้ ตีต้าน อย่างโน้น อย่างนี้ไป บางทีเอาแรงๆ บางที่ เอาเบาๆ หยอกๆล้อๆ อะไรบ้าง เป็นทีท่าเป็นอะไรต่ออะไรสัมผัส สัมพันธ์กันอยู่ แบบนี้ มันเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะเป็น ยกตัวอย่าง ปรุงอาหาร ไม่ว่าจะเป็นปรุงอื่น ลีลา ท่าที พฤติกรรม กายธรรม วจีกรรม มโนกรรมอะไร ก็พยายามสอดร้อยกันไป ล้างกันไป ชำระกันไป ก็เป็นการ พากันปฏิบัติ ประพฤติเข้าไป หารูปรอย ที่จะเป็นตัวอย่าง

ที่อาตมาพาพวกคุณมาเคร่ง มาจนกระทั่ง หลายคน หลายหมู่เขาก็ดู เอ๊ะ! พวกนี้มันพวกขวางโลก มันเป็นพวกบ้าๆบอๆ มันพวกขวางโลก ไม่เอากับโลกเขา นี่เขาใหญ่ เขาเป็นอย่างนี้ ยิ่งสมัย ประชาธิปไตย เบิกบานนี่ เขามีความหมาย ของคำว่า ประชาธิปไตยง่ายๆ แต่เพียงว่า เอาความเห็น ส่วนใหญ่ เอาของที่คนจำนวนมาก จำนวนใหญ่ เขาเป็น เขามี เอาตามเขาหมดก็แล้วกัน นี่เป็นหมากรุก ชั้นเดียว เป็นความเห็น ตื้นๆ ประชาธิปไตยโดยไม่เอาธรรมาธิปไตย ไม่เอาอำนาจธรรม ความสมเหมาะ สมควร มาตัดสิน ที่จริงประชาธิปไตย ความหมายอย่างนี้ หมายความว่า โลกาธิปไตย หมายความว่า เอามวลของโลกียะ เอามวลของโลกเป็นใหญ่

ที่จริงสัจธรรม ไม่ใช่โลกาธิปไตย ไม่ใช่เอามวลของ โลกียะ ไม่ใช่เอามวล ของโลกเป็นใหญ่ แต่ต้องเอา เนื้อหาธรรมะ เรียกว่า ธรรมาธิปไตยเป็นใหญ่ ไม่เอาเผด็จการ ถ้า อัตตาธิปไตยเรียกว่า เผด็จการ แม้จะเป็น เผด็จการหมู่ เหมือนอย่างคอมมิวนิสต์นี่ เราเรียกเผด็จการหมู่ เราก็ไม่เอาเผด็จการหมู่ เป็นใหญ่ เราจึงดูโลก ผสมโลกด้วย ผสมตัวเราด้วย แล้วเราก็ประมาณ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตย เขาถึงพยายามเดินกันครึ่งทางบ้าง สองหารบ้าง แต่อย่างของเราแล้ว เรามีภูมิอีกอันหนึ่ง มีธรรมะ เอาอำนาจแห่งธรรมนี่ เข้ามาผสมผสาน ถ้าบอกว่า เอาโลกด้วย เอาหมู่ของเรา หรือว่าเอาตัวของเรา ด้วยนี่ เราก็จะต้องเอามาผสม ผสาน แล้วบวกธรรม ที่เป็นแนวโน้ม เป็นตัวถ่วง เป็นเนื้อบวกด้วย เราไม่ใช่ จะยอมให้โลกียะครึ่งหนึ่ง ตัวเราก็ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น โลกเขาไม่มีคำว่า ธรรมะ เข้าไปผสม ส่วนเขามีแต่คำว่า เดินกันครึ่งทาง ของโลกส่วนใหญ่ เขาว่าอย่างนั้น เอาครึ่งหนึ่ง หรือ ของประชาชน ครึ่งหนึ่ง ตัวเราครึ่งหนึ่ง เขาสองหารเท่านั้น แต่ในส่วนประกอบของธรรมะแล้ว โลกเขาต่อรองมาแค่นี้ เราจะต้องมีกลเม็ด เราจะต้องมีกรรมวิธี ของเรา ที่เราจะต้องผสมส่วน ของธรรมะ เป็นเนื้อหา อาจจะเคร่ง อาจจะมีลีลา มีเนื้อหาของธรรมะ เป็นแนวโน้มถ่วง บวกเข้าไป ในส่วนที่เราทำ

แต่ต้องแน่ใจนะว่า ธรรมะนั้นเป็น ธรรมะสะอาด ธรรมะบริสุทธิ์ ไม่ใช่เล่ห์กลแบบจอมโจรบัณฑิต ที่จะดึงเอาผลประโยชน์ ให้แก่ตัวเรา ให้แก่หมู่กลุ่มเรา ไม่ใช่นะ จะต้องเป็นประโยชน์ของธรรมะ จะเป็น ผลประโยชน์แก่เขานั่นแหละ อาตมามีมวลของ ฆราวาส อื้อ ฆราวาสก็มีแต่ คนแก่ๆทำ ก็คนจะเข้าโลงแล้ว ยังไงๆก็ไม่เอาแล้ว เรายังหนุ่ม ยังแน่น ยังมีเวลา เราไม่เอา อย่างนี้ก็ได้บ้างคนแก่ เพราะฉะนั้น ก็ได้เฉพาะคนแก่ ทีนี้มันตัวอย่างไม่ใช่เฉพาะ คนแก่ คนสาว คนหนุ่มก็มี ก็ได้เพิ่มอีก สามารถที่จะ ปรับปรุงตน สามารถที่จะไม่เป็นไปตามโลกเขา เขาค้านไม่ได้ แย้งไม่ได้ จำนน นอกจาก จะแต่องค์ประกอบว่า เป็นคนแก่ คนหนุ่ม คนสาว คนเด็กแล้ว คนมีฐานะ มีเงิน มีทอง คนมีบุญ มีศักดิ์ คนที่มีอะไรต่ออะไรอีก เป็นองค์ประกอบเข้ามาอีก คนเหล่านั้น ก็ว่า ช่างปะไร คนเหล่านั้น พวกนี้สิ้นไร้ไม่ตอก ไม่ได้มียศ มีศักดิ์ ไม่ได้มีเงิน มีทอง อะไร เขาก็จำนนน่ะ ก็ไม่มีทางไปแล้ว ค่อยมาบวช ค่อยมาปฏิบัติธรรม เพราะว่าเงินก็ไม่มีจะไปเสพสุข มันก็ต้องจำนนนะ ยศ ศักดิ์ มานะก็ไม่มี ก็ไม่มีอะไรน่ะทางโลก ก็ต้องยอมมาบวช ยอมมาปฏิบัติธรรม หาทางออกน่ะ เขาก็เลี่ยงได้ ทั้งนั้นแหละ แต่ทีนี้เราอุดรูทุกรู ไม่ใช่อย่างที่คุณพูดนะ อย่างคุณก็มี บางทีเขามีมากกว่าคุณด้วย เขายังมาเอาอันนี้ คนพวกนี้ ก็ต้องจำนน อุดรูต่างๆ ไม่ว่าลักษณะของวัย ของคน ไม่ว่าลักษณะ ของสมบัติโลก ไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญแบบโลก ของคุณเอามาอุดรู ให้มีองค์ประกอบมากอย่างนี้ มันก็เลยกลายเป็น หมู่มวลที่มีคุณภาพ หลายอย่าง อุดรูที่เราจะเถียง จะแย้ง จอมโจรบัณฑิตนี่ ชอบเจาะรูเถียง ชอบที่จะชอนไช หารูที่จะแย้ง มันเก่งนัก คนพวกนี้น่ะ

ทุกวันนี้ หากเรามีกองทัพธรรม ที่มีมวล มีน้ำหนัก มีองค์ประกอบขึ้น แต่ขนาดนั้น ก็มีบุญบารมี ตามบุญบารมี อย่างขนาดอาตมานี่ ทำได้แค่นี้ อาตมก็ว่า อาตมามีบุญแล้ว ได้ขนาด ถึงคุณประกิจ มีคุณจำลอง มีลาภ ยศ ศักดิ์นะ มีผู้ที่มีชั้น ชีนั่น ชีนี่ มีนักศึกษาได้เขียนมา ทางโลก ซึ่งเขาติดยึดพวกนี้ เป็นองค์ประกอบของโลก สังขารโลก มันเป็นอย่างนี้แหละ แล้วเราเอามาอ้างกับเขา เอามายืนยัน กับเขาว่า การที่มาเอาธรรมะ คนมีสิ่งที่คุณมีนี่ เขาไม่ได้ ระเริงนะ เขาไม่ได้หมายความว่า เขามีสิ่ง เหล่านี้แล้ว เขาไประเริงอย่างที่คุณ แล้วก็ไปเสียเวลา อยู่กับสิ่งที่คุณมีคุณได้ คุณมีลาภ มียศ แล้วก็เอาลาภ เอายศของคุณไประเริง แล้วก็ทำให้เกิดกิเลสโลกีย์ สั่งสมกิเลสเพิ่มเติม เขาไม่เอาแล้วละ เขามีมากกว่าคุณ หรือบางคนยังไม่มีมากเท่าคุณก็มี คนบางคนยังเรียนอยู่ ยังเป็นนักศึกษา ยังเป็นโน่น เป็นนี่อยู่ เท่าคุณ เขาก็ไม่เอาแล้ว เขายังเรียนไม่จบเท่าคุณ เขายังหาเงินไม่ได้ เขายังไม่มีชีเท่าคุณ แต่เขาจะไม่ไปเหมือนคุณ แต่เขาก็ไม่เอาแล้ว เขาก็มาศึกษา เริ่มต้นศึกษา และปฏิบัติ เขาไม่ปล่อยปละ ละเลย ผลัดวันประกันพรุ่ง ฉันจะต้อง อย่างโน้นก่อน ฉันจะต้องระเริงของฉันก่อน ฉันมีลาภ มียศ ของฉัน ฉันจะต้องเอาสิ่งเหล่านี้ มาเสพย์ก่อน มันก็ไม่มีทางที่จะดิ้น เขาก็จำนนต่อสิ่งเหล่านี้ เพราะเรา มีตัวอย่าง มีองค์ประกอบต่างๆ พวกนี้มากขึ้น

จนกระทั่ง ถึงขนาด ลาออกจากงาน มากันก็มี ก็ชี้กันไป เป็นตำแหน่ง เป็นหลักฐาน จำนน เราจะสังเกต ได้ว่า เมื่อเราจะยกตัวอย่างบุคคล อย่างนั้นอย่างนี้ ขึ้นมาแล้ว เกิดผล เกิดปฏิบัติกิริยาจำนน เกิดยอมรับ หรือว่าเกิด ต้องหยุด และอ่าน และสนใจ ต่อไปก่อน มันจะเกิดการยับยั้ง เกิดการสร้างสรร อย่างนี้ขึ้นมา ได้ทุกครั้งไป ที่ทุกวันนี้ กองทัพธรรม ที่เรามี เราพาไป แล้วเราก็ไปขยาย เราไปเผยแพร่ กันอยู่ทุกวันนี้ มันเกิดผลพวกนี้ อยู่ตลอดเวลา คุณสังเกตได้

ถึงแม้เราจะยกตัวอย่าง ลาภ ยศ คนที่มีลาภ มียศ เป็นตัวอย่างเสมอ ไม่ค่อยได้ยก คนชาวนาคนนี้ไง คนกรรมกร คนนี้ไง จบ ป. ๒ คนนี้ไงจบ ป. ๔ เราไม่ค่อยได้ยก เพราะโลกเขาไม่ได้ทึ่ง กับสิ่งอย่างนั้น มากนัก เขาทึ่งกับคนที่มีของสูง แล้วก็ทิ้งสิ่งที่สูง มาเอาธรรมะ อย่างนี้เขาทึ่ง คนที่ไม่มีสิ่งสูง ทิ้งสิ่งที่ต่ำ มาเอาธรรมะ มันก็ธรรมดา หมากรุกชั้นเดียว ใครก็เข้าใจ ก็คุณทิ้งสิ่งที่ต่ำอย่างโลก เขาก็เข้าใจ แล้วก็มาเอาธรรมะ ธรรมะมันก็ต้องเหนือกว่าสิ่งที่ต่ำแน่นอน ธรรมะมันก็ต้อง เหนือกว่า สิ่งที่ต่ำแน่นอน แต่ทีนี้เราหลงผิด เขานึกว่า เขามีลาภมาก มียศมาก นั่นเป็นสิ่งที่สูง ทุกวันนี้ เขามี ยศสูง ยศโลกๆนี่ เขามีลาภโลกๆนี่ เขามีมาก เขานึกว่านั่นสูงกว่าธรรมะ เสียอีกนะ นี่เป็นความ หลงผิดของเขา เป็นโมหะ เราก็เอาผู้ที่มีลาภ มียศมากๆนี่เข้ามาบอกว่า เขามีนะ ลาภ ยศนะสูงกว่า คุณอีก เขายังทิ้งเลย ก็เป็นนัย ที่ทำให้เขาได้ คิดอยู่เหมือนกันนะว่า เรานี่เข้าใจผิดแล้วแฮะ เรายังไม่มีลาภ ไม่มียศ เท่านี้เลย เราก็ยังไม่เห็นธรรมะว่าสูง เราก็ยังไม่เห็นเอาธรรมะ เราก็ยังเสียเวลา อยู่กับ ลาภ ยศ เขามีลาภ มียศสูงกว่านี้ เขายังไม่เอาเลย แล้วเขายังมา เอาธรรมะ ค่าของธรรมะ ก็สูงขึ้น เพราะเขาได้เผลอตัวเข้าใจผิด ดังที่กำลังพูดให้ฟังอยู่นี่ ใช่ไหม เขาเผลอตัว เขานึกว่า เขามีลาภ เขามียศ ที่สูงกว่าธรรมะ เพราะฉะนั้น ไปยกอ้างลาภ ยศ ของผู้ที่มีลาภ มียศสูง มาเป็นตัวอย่าง ยืนยัน เขาจึงจำนนอีก

ฟังให้ดีนะ นี่กำลังอธิบายเป็นขั้นตอน ให้ฟัง แค่คนที่ไม่มีลาภ ไม่มียศ เป็นคนจน ไม่มียศศักดิ์ แล้วบอกว่า เขามาเอาธรรมะนั้น เป็นหมากรุกชั้นเดียว ใครก็เข้าใจ ง่ายๆ เพราะว่าธรรมะ มันยิ่งสูงกว่า คนไม่มีลาภ ไม่มียศเลย มันก็แน่ละนะ แต่ทีนี้คนมีลาภ มียศ เขานึกว่าลาภยศนี่ มันสูงกว่าธรรมะ เขามี เขาไม่ยอมทิ้งหรอก เรื่องอะไร มาเอาธรรมะ ลาภ ยศ เขามี แล้วเขาก็อาศัย ลาภ ยศนั้น บำบัดกิเลส เขานึกว่าเข้าพ้นทุกข์ ตรงที่เขาได้ เสพย์สม มีลาภ มียศ อยากกินหวานได้กินหวาน อยากกินเปรี้ยวได้กินเปรี้ยว อยากได้ของสวย อยากได้รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอะไรสมใจ อยากได้อำนาจ เบ่งเป็นมานะ ชี้นิ้ว อัตภาพเขามีลาภ มียศของเขา บำบัดอารมณ์ ของเขาอยู่ เขาก็นึกว่า เขาไม่ทุกข์ ที่มันไม่ทุกข์เพราะว่า มันมีสิ่งเหล่านั้น คอยบำเรอ คอยตอบสนอง หรือ คอยเป็นฤทธิ์แรง เป็นไม้ เป็นมือให้ เราก็นึกว่า นี่เป็นความวิเศษแล้ว เขาก็จะคอยบำบัด เพราะฉะนั้น ความสุขของเขา จะเป็นความสุขบำบัด หรือสนองตัณหา อยู่นานัปการ แล้วมันไม่เที่ยง โลกธรรม มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของสูง มันไม่ใช่ของถาวร เขาไม่รู้หรอกว่า เขาเองเขารักษามันไปได้กี่ชาติ เขาไม่รู้หรอก ชาตินี้ เขาอาจจะรักษาไปได้ตลอดชาติ แต่เขาไม่รู้หรอกว่า เขารักษาได้กี่ชาติ ไม่เที่ยงนะ

ยิ่งคนทุกวันนี้เข้าใจว่า เกิดชาติเดียวตายแล้ว ไม่เอาเลย ก็ฉันรักษาตัวรอดในชาตินี้ ใช้ ลาภ ยศ สรรเสริญนี่แหละ บำบัดกิเลสไป ไม่ทุกข์ มันก็พอแล้วนะ แต่ก็หารู้ไม่ว่า จิตของเขานั่น สั่งสมกิเลส บำบัด มันก็ยิ่งอยาก กิเลสก็ยิ่งอ้วน ได้รับความสัมผัส เสพย์สมแค่นี้ เฮ้ย มันยังไม่จัดจ้าน มันยัง ไม่บ้าพอ จะต้องหาให้บ้า ให้จัดจ้านกว่านี้ ก็ถูกเขาหลอก ใครเป็นนักปรุง ได้เสพย์สม อารมณ์หลอก มากๆขึ้น เขาก็ยิ่งจะต้องหาเรื่อง หาทางเสพย์สม กินข้าวภัตตาคาร กินข้าว ภัตตาคาร ชั้นแค่นี้ เขาก็หรูพอสมควรตามฐานะ ไม่ได้แล้วต่อไปนี้ กินขนาดภัตตาคารขนาดนี้ ระดับนี้ กินหลายครั้งเข้า ก็เซ็ง รู้สึกว่ามันไม่ยิ่ง ไม่ใหญ่ เขยิบฐานะ ไปกินภัตตาคารที่ราคาแพง ที่เขาเห่อกว่านี้ สูงกว่านี้ หนักเข้าไปกินแม้แต่ มื้อละหมื่น หนักเข้ากินมื้อละสี่หมื่น เออ แล้วพวกที่หลอกนี่ก็ นี่อาหารฮ่องเต้นะ นี่อาหาร นั่น นี่ ฉิบหายไปเท่าไหร่ไม่ว่า ไม่รู้ มันไปกินพิสดารอะไร อาตมาก็ไม่เคยไปกินนะ อาหารฮ่องเต้ ฮ่อแต้อะไรนะ อย่างนี้เป็นต้น มันก็ปรุงหลอก ควักกระเป๋าของเราไป ไม่รู้หรอก นึกว่า มันยิ่งใหญ่อะไรต่างๆนานา บางคนไม่มีเงินจะพอไปกิน แต่ก็ก็อุตส่าห์ติดเข้าไป บางทีดีไม่ดี ไปเปียแชร์มากินก็เอา มันบ้าถึงอย่างนั้นนะ มนุษย์น่ะ แล้วมันก็หลงไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ราว ไม่รู้บ้าบออะไร กันนะ นี่ อาตมาเห็นอย่างนี้จริงๆ นะ มันไปเปียแชร์ไปกินกับเขาได้ ไปสนุกสนาน กับเขาได้ เอ้อ! มันตลก นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ มันเป็นเรื่องของโลกๆ แล้วเขาก็ไม่รู้จักอิ่ม จักพอ คนที่รู้แล้ว มันจะปรุง ไปอีกกี่สมัย พระพุทธเจ้ามีไหม อาหารฮ่องเต้ มีไหม แน่นอน มันก็ไม่มี มันก็มาปรุงขึ้น สมัยนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอะไร มันก็สมัยนี้ มันก็ทำหลอก สมัยพระพุทธเจ้า ไม่ได้มี ไม่ได้บ้าบอคอแตกอะไร ถึงขนาดทุกวันนี้น่ะ สมัยพระพุทธเจ้า

แต่สมัยนี้มันปรุงวิตถาร จนกระทั่ง ไม่รู้จะปรุงยังไง ไม่ใช่ไม่รู้นะ อาตมาเอง อาตมาไม่เอาแล้ว ไม่มีปัญญา จะไปปรุงหลอกใคร โดยเฉพาะ อย่างนั้นแล้ว แต่มันมี ปัญญานะ มันรู้นะ คนโลกนี่มันรู้ว่า มันจะปรุงยังไง มันจะหลอกพวกคุณๆนั่นแหละ ที่ยังไปคิดอยู่น่ะ พวกเขาที่ได้หลุดออกมาบ้างแล้ว มันก็ค่อยยังชั่วขึ้นมาแล้ว แล้วเราก็เห็น เออเขาก็บ้ากันไปหนัก เราเองเราเห็นแล้ว เราก็สงสารเขา นี่ มันก็เท่านั้นน่ะ มันก็ปรุงอย่างนั้น

ทีนี้เราได้ละ ลด ขึ้นมา เราได้มาแก้ปัญหาสังคม สังคมมีแต่จะหนักหนาไปในทางปรุง หลอกลวงกัน แย่งชิงลาภยศ ก็มีเงินเท่านี้ มันจะไปกินอาหารฮ่องเต้ไม่ได้ มันก็ต้องโลภให้มากกว่านี้ มันถึงจะไป เปลืองเล่น ผลาญเล่น เดือนหนึ่ง กินอาหารฮ่องเต้สามมื้อ ขู่คนเล่น ใหญ่มั้ย ข้าใหญ่มั้ย ก็มานะ กิเลสทั้งนั้นนะ มานะนี่ แล้วมันก็มีกามกับมานะ กิเลสในเรื่องของแกนกาม กับแกนมานะ เท่านั้นเอง เท่านั้นแหละ ย่นย่อมาที่สุด เคยพูดมามากมายแล้ว ย้ำให้ฟังนะ แต่ขยายออกไปได้อีก กามมันพิสดาร ไปอีกตั้งเท่าไร มานะ มันพิสดารไปอีกตั้งเท่าไหร่ ก็ขยายให้ฟังอยู่เรื่อยๆ ย่นย่อแล้วก็มี สองฐานใหญ่นี่ เท่านั้นนะ อย่างนี้เป็นต้น ในโลกก็มีแต่อย่างนี้

เมื่อเรารู้แล้ว เราไม่ต้องไปวิ่งตามจับเงา ไปวิ่งไล่เงา ไปวิ่งคว้าพยับแดด ฟองคลื่น ที่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า ชีวิตมันก็อย่างนั้น เหมือนฟองคลื่น เหมือนพยับแดด ไล่คว้าเงา ชาติแล้ว ชาติเล่า เมื่อเรารู้ เท่าทันแล้ว เราก็หยุด เรามามีพฤติกรรม มามีชีวิตนี่ นำค่าอันนี้ไปให้แก่มนุษย์เถอะ มนุษย์จะเป็น อย่างนี้ อยู่นิรันดร์ มนุษย์นี่จะหลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขอย่างนี้อยู่นิรันดร์ อยู่นิรันดร์ นิรันดร์นะ แล้วผู้ที่รู้นี่ ก็จะมาช่วยมนุษย์ที่หลง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ที่เรียกว่า โลกธรรม หรือ โลกียธรรม ธรรมะอันครองโลกนี่อยู่ตลอด พระพุทธเจ้าเกิดมาเมื่อใด ท่านก็มายืนยันว่า ท่านสอนโลกุตรธรรม ธรรมะที่อยู่เหนือโลกียธรรม ธรรมที่อยู่เหนือโลกนี้ ผู้ใดมาเรียนรู้ แล้วก็อยู่ เหนือโลกนี้ ไม่ต้องไป หลงรสเสพย์ อัสสาทะของโลกแล้ว เราก็มาทำงานนี่นะ ให้คนมันรู้อันนี้ซะ ถ้าโลกยุคใด ที่มันคนหลง โลกธรรมมาก มันก็กลียุค หรือมันก็เดือดร้อน มิกสัญญีหนัก ถ้าโลกยุคใด ที่ไม่มี โลกธรรม มากนัก โลกก็สงบ พอสมควร แต่มันก็ไม่ได้สนิท มันไม่ได้หมายความว่า มันไม่ได้ แย่งลาภ แย่งยศกันเลย มันก็แย่งอยู่ พอประมาณ แต่โลกยุคอย่างนั้นๆ มันก็ยังค่อยยังชั่ว

เราไม่ต้อง เอาไกล เราเอาแค่ เราเกิดมานี่ บางคนอายุ ประมาณอาตมา ก็จะเห็นมามาก บางคนอายุ มากกว่า อาตมา ยิ่งจะเห็นมาก เมื่อเอาเกินอาตมาน่ะ สำหรับเผื่อ ผู้ที่อายุ มากกว่าอาตมา เอาเมื่อ ห้าสิบ หกสิบปีที่แล้ว ถ้าบางคน อายุเจ็ดสิบ ลองระลึกย้อนดูซิว่า เมื่อหกสิบปีที่แล้วนี่ โลกมันแย่งชิง กันมากเท่านี้ไหม มันมีของปรุง พิสดาร แปลกประหลาดอะไร ไม่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส สังขารธรรม มากเท่านี้มั้ย ไม่ต้องเอายุคกาล ตั้งแต่โบราณกาลกว่านี้นะ เอาแต่แค่ยุค ไม่กี่ปีนี่ เอาหกสิบปีที่แล้ว ระลึกดูซิ มันก็ไม่มีอะไร ปรุงมากเท่านี้ เอาเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว ใครที่อายุเกินห้าสิบปี ก็ระลึกได้ ระลึกลองดูซิ มันไม่มีอะไร ที่ปรุงมากกว่านี้ ไม่แย่งชิงกันมากกว่านี้ ไม่เดือดร้อนมากกว่านี้ เอ้า! ๔๐ ปีที่แล้ว มากกว่า ๕๐ ปี ๔๐ ปีที่แล้วปรุงมากกว่า ๕๐ ปี ๕๐ ปีปรุงมากกว่า ๖๐ ปีที่แล้ว ๓๐ ปีที่แล้ว ๓๐ ปีที่ผ่านมานี่ ในเขตยุคกาลเมื่อ ๓๐ ปีที่แล้วนี่ มีปรุง มีสภาพ รูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส มีสิ่งที่มันประดิดประดอย วิตถาร มีอะไรหยาบคาย มีอะไรจัดจ้านมากขึ้นกว่า ๔๐ ปีที่แล้ว มากขึ้นกว่า ๕๐ ปีที่แล้ว มากขึ้นกว่า ๖๐ ปีที่แล้วใช่ไหม ใครที่อายุมากว่าอาตมา ลองตอบดูซิ ๒๐ ปีที่แล้ว ปรุงมากกว่า ๓๐ ปีที่แล้ว ๑๐ปีที่แล้ว ปรุงมากว่า ๒๐ ปีที่แล้ว มีอะไรวิตถารยิ่งกว่า มีอะไรเข้ามา เป็นค่านิยม ในสังคมมนุษย์ ยิ่งกว่าใช่ไหม

ทีนี้รุ่นในขนาดอายุ ๒๐-๓๐ นี่ก็พอตามได้ ๑๐ ปี ที่แล้ว มันมีอะไรปรุงมากกว่า เมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ใช่ไหม คุณระลึกออกไหม ผู้ที่มีอายุ ๓๐ ระลึกออกได้ไหม ๑๐ ปีคุณพอระลึกได้แล้ว นี่มันหยาบกร้าน อย่างนี้ เมื่อ ๕๐ ปีที่แล้วเองนะคุณ มันหยาบกว่ากันไหม เดี๋ยวนี้นะ ล่วงเลยมา ๕๐ ปี หยาบกว่า แย่งชิง มากกว่า ค่าของเงินถูกลง ค่าของการแย่งชิง มากขึ้น อะไรต่ออะไรต่างๆนานา แต่มันก็อาจ มีระยะเวลาน้อย ก็อาจจะเห็นความหยาบไม่น้อย จะเทียบไป ยิ่งไกลนาน ยิ่ง ๒๐ ปีที่แล้ว ๓๐ ปีที่แล้ว ๔๐ ปีที่แล้ว ยิ่งเห็นเด่นชัดใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องไปเอาถึงโน่น สมัยพระพุทธเจ้า สมัยพันปี ที่แล้ว พันห้าร้อยปีที่แล้ว ไม่ต้องไปเอาถึงโน่นก็ได้

มันยิ่งนานวันเข้า โลกที่เต็มไปด้วยกลียุค โลกที่เต็มไปด้วยสังขารธรรม มันนับวัน ก็ยิ่งมากเข้า พระพุทธเจ้า ก็ห้ามมิกสัญญี ไม่ให้เกิดไม่ได้ ท่านตรัสไว้หมด แม้แต่ว่าหมดสิ้น ศาสนาพุทธ ท่านก็ตรัส ยุคกาลที่ไม่มี ศาสนาพุทธเลยอยู่ ใช้แต่ศาสนาหยาบๆ ลำลอง บางศาสนา ทดแทนในยุคนั้น แต่ก็ไม่ได้ มีประสิทธิภาพอะไร ช่วยอะไรยาก สุดท้าย มันก็เกิดกลียุค ไฟล้างโลก เป็นมิกสัญญี มันก็ต้องเกิด นี่เป็นสัจจะของนิรันดร์ เป็นสัจจะของ นิรันดร์ มันมีสัจจะอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น คนใดที่เกิดมาเป็นมนุษย์ แล้วก็รู้ความจริงว่า แม้เราจะเกิดในกลียุค ถ้าเราจะเป็น พระโพธิสัตว์ จะช่วยมนุษย์ได้ก็ช่วย ถ้าในกลียุค บางกลียุค พระโพธิสัตว์เกิดขึ้นมา เพื่อเรียนรู้ ประสบการณ์เท่านั้น เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์บางองค์ ท่านเกิดมาในกลียุคจริงๆ ช่วยเขาไม่ได้หรอก องค์ประกอบ ทุกอย่าง ดึงดูดแรง จนกระทั่ง ท่านก็ไม่มีฤทธิ์จะช่วย ช่วยไม่ได้ และในยุคอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ก็ไม่เกิด พระพุทธเจ้าเกิดมาเสียเหลี่ยม พระพุทธเจ้าเกิดมา ช่วยมนุษย์ไม่ได้ เกิดมาทำไม เกิดมาตั้งศาสนาไม่ได้ ก็ไม่ใช่พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเกิดมาตั้งศาสนาได้ เกิดมาแล้วมวลไม่พอ จะตั้งศาสนา ตั้งไม่ได้ เหมือนคุณเอง จะทำลูกระเบิด คุณไม่มีดินปืนเพียงพอ คุณไม่มีองค์ประกอบ อะไร ที่จะทำลูกระเบิดเพียงพอ คุณทำลูกระเบิดไม่ได้ ทำได้ก็ลูกระเบิดกระจอก แล้วก็ทำอะไร ประทัด ปัดโธ่ มันเรียกลูกระเบิดได้เหรอ ประทัดเท่านั้นเอง มันจะเป็นลูกระเบิดได้ยังไง

ฉันเดียวกัน องค์ประกอบไม่พอ ทำไม่ได้ องค์ประกอบที่จะสร้างศาสนาไม่ได้ พระพุทธเจ้าไม่เกิด เกิดมา เสียเหลี่ยมพระพุทธเจ้า ก็เกิดได้แต่ พระโพธิสัตว์ บางองค์ ก็มาเรียนรู้ประสบการณ์ แล้วท่าน ก็ไม่สอนใคร สอนเสียเหลี่ยมท่านด้วย เพราะสอนแล้ว สอนไม่ได้ สอนไปทำไมเหมือนกัน อาตมา สอนพวกคุณไม่ได้ อาตมาหยุดสอน อาตมาสอนบางคน ในหมู่พวกเรานี่ อาตมาสอนต่อไม่ได้ อาตมาหยุดสอน ไม่สอนจริงๆ สอนไปแล้ว สอนเมื่อยเปล่าๆ อาตมามีเวลา มีความรู้ มีความสามารถ สอนคนอื่นได้ประโยชน์คุณค่า ก็เรื่องอะไรจะให้เวลาที่ผ่านไป หนึ่งนาที ไปให้คนที่ดันทุรังอยู่นี่ รู้ทั้งรู้ว่า มันสอนไม่ได้แล้วละ ไปสอนทำไม โง่เปล่าๆ เพราะฉะนั้น บางคนต้องพรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์นี่ ถ้าเผื่อว่า เขากลับตัวได้ ก็สอนเขาต่อ ถ้าพรหมทัณฑ์แล้ว เขาก็กลับตัวไม่ได้ ปล่อยเลย ตายกันไปเปล่า ให้เต่าปลากินไป

พระพุทธเจ้า ถึงแบ่งคน เป็นสี่ระดับ ระดับให้เต่าปลา กินไป เพราะว่าบัวใต้โคลน ก็ต้องเต่าปลากินไป ก็กินกันต่อหน้า ยักษ์ มาร คาบเอาไปกิน ก็ต้องยักษ์ มาร คาบเอาไปกิน ต่อหน้า จะว่าเราไม่เมตตาไม่ได้ เพราะสุดสายป่านแล้ว สุดสายป่าน สุดเมตตาแล้ว เราเมตตาสุดท้ายแล้ว เราช่วยไม่ได้ ต้องปล่อย ให้มารยักษ์ เอาไปกิน ถ้าพูดอย่างสำนวนหยาบๆ คนก็บอกปล่อยให้หมาคาบไปกินเสีย ถ้ายิ่งคำไทย หยาบกว่านี้ ปล่อยให้หมาคาบไปกินเสีย

อันนี้ไม่ใช่ว่าเราไม่เมตตา เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะเมตตา ผู้ที่จะสามารถช่วยกันได้ ทำงานก็เกิดคุณค่า เราจะสอน ก็เกิดผล เกิดประโยชน์ เพราะฉะนั้น สอนเกิดผล เกิดประโยชน์ ในค่าที่ควร เราก็ทำ ค่าที่ควร วันเวลาผ่านไป ๆ ควรรังสรรค์ ควรสร้างสรร ควรทำให้เกิดค่า เกิดคุณเป็นไปได้ แม้ขนาดนี้ มันก็ยังมีเวลาพักผ่อนคุณ ใครจะทำงานตลอด ลุยวันละ ๒๔ ช.ม. ไม่มีเวลาพักเลย มันทำไม่ได้หรอก มันก็ต้องมีเวลาพัก เวลาผ่อนอยู่ในตัวของมันเอง ให้ทำงานหนักขนาดไหน ก็มีเวลาพักผ่อน ข้อสำคัญ เราจะขวนขวาย หรือเราจะขยันเพียงพอหรือเปล่า เท่านั้นนะ เราขยันยังไม่พอนะ อาตมายังรู้สึกว่า อาตมายังขยันยังไม่พอด้วยซ้ำ เรายังขวนขวายน้อยไปนิด เสียด้วยซ้ำ เราสามารถจะขวนขวาย กว่านี้ได้อีกนะ แต่กระนั้นแหละ มันก็ยังมีสุขภาพร่างกาย ความสมดุลของสิ่งที่จ่าย กับสิ่งที่รับเข้า มันร่างกายเรา ก็มีเท่านี้ ร่างกายอาตมา มีสรีระที่เก่งเท่านี้ เทียบเคียงกับร่างกาย ซึ่งเป็นปุริสลักษณะ ของพระพุทธเจ้า ที่ท่านคงทน ที่ท่านแข็งแรง ที่ท่านมีอะไรต่ออะไร สมบูรณ์กว่าอาตมาเยอะแยะ อาตมาทุกวันนี้ ยังขนาดนี้เลย แต่ว่าสรีระร่างกาย ก็ได้บุญบารมี มาเท่านี้ ไม่ได้แข็งแรงเกินไปนัก ไม่ได้แข็งแรงเกินกว่า เทียบเท่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ พระพุทธเจ้า สมบุกสมบันได้กว่าเรา ท่านไม่ต้อง ขึ้นรถมา อาตมาประเดี๋ยวก็ต้องขึ้นเครื่องบิน แล้วเสียเชิงมากนะ ถ้าเป็นพระพุทธเจ้า ท่านใช้พระบาท ดำเนินไป ลุย เลย สอนไปร้อยกิโล สองร้อยกิโลเดิน แหม!เรานี่ ขึ้นเครื่องบินเสียแล้ว ลุยไปอย่าง พระพุทธเจ้า ตายแล้ว ตายแล้ว ไปทำงานหนักอย่างพระพุทธจ้า ตายแล้ว แต่พระพุทธเจ้า ตลอดพระชนม์ชีพ เดินด้วยพระบาท แสดงธรรมเทศนา ตลอดพระชนม์ชีพ สมบุกสมบัน ได้ยิ่งกว่าเรา อย่างนี้เป็นต้น เราสู้ไม่ได้หรอก สรีระของท่าน มีบุญบารมี อันไม่เท่าเทียมกัน

อาตมาก็เท่านี้ อาตมาก็พยายามนะ ถ้าอาตมาทำเป็นออเซาะ อ่อนแอหน่อย ก็ขึ้นเครื่องบินหน่อย ก็ให้คนเขาหามหน่อย ก็ต้องกินยาโด๊ปหน่อย ก็ต้องอย่างโน้น อย่างนี้นะ สรีระเราไม่ได้รับ การบำรุง เพิ่มเติมนะ อ่อนแอนะ คุณอย่านึกว่า คุณกินยาบ่อยๆ คุณแข็งแรงขึ้นนะ คุณเลวลงนะ นี่วิทยาศาสตร์ เขาก็รู้ หมอเขาก็รู้ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร คุณยิ่งออเซาะ คุณยิ่งอ่อนนะ คุณจะต้องแข็งแรง คุณจะต้อง ฝึกฝน คุณจะต้องต่อสู้ คุณจะต้องต้านทาน ต้องสร้าง antiseptic ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ต้องสร้างเจโต ต้องสร้างพลังทั้งเซลล์ ทั้งประสาท ทั้งกล้ามเนื้อ ทั้งสรีระ คุณต้องสร้างนะ ไม่ใช่เรานับวันจะต้อง อ่อนแอ แต่ก็มีภาวะเชิงซ้อนอีก เพราะฉะนั้น ก็ทวนไปบ้าง ก็ต้องลดลง เพราะมันแก่ขึ้นๆ มันจะเรียก แก่ลงเหรอ จะแก่ขึ้นหรือจะแก่ลง มันก็แก่ลงไป มันก็ทวนย้อนนี่ พวกนี้สภาพหมุนรอบเชิงซ้อนอย่างนี้ มันเป็นสภาพที่ ติด เป็นวิภาษวิธี

มันเป็นสภาพย้อนแย้งอยู่ในตัวอยู่เสมอ สอดร้อยอยู่ไปทุกระยะ แต่เราก็ต้องทำใจด้วยปัญญา ของเราให้ได้ เมื่อเราทำใจ ด้วยปัญญาของเราแล้ว เราก็ต้องฝึกฝนตน หรือกระทำตนเสมอ ให้เราเองนี่ได้รับผลประโยชน์ ทั้งสร้างบุญบารมี อาตมาพยายาม พยายาม ไม่ใช่อาตมาแกล้ง ทำเป็นเลศนัย บางทีอาตมาไม่กินยา อาตมาก็พยายาม พวกคุณก็จิตใจของคุณ ต้องอยากให้กินยา กลัวจะไม่สบาย อาตมเข้าใจในกุศลจิต แต่บางทีอาตมาก็ไม่กิน ไม่ใช่แกล้ง บางทีเอามาอย่างนี้ ก็เห็นน่ะ บางคนนาน นานทีด้วย มาถึงพอเทศน์ไปสักหน่อย ยังไม่ทันเสียงแหบเลย หล่อฮั้งก้วย แก้วเท่านี้นะ ยกมาแล้ว ปัดโธ่! อาตมายังไม่ทันอะไรเลย จะเอาแก้วเท่านี้มาอีกอย่างนี้ อาตมาก็ไม่กิน เอ้า ! ไม่กินนานๆ มาทีด้วย มาชงให้ก็จะแย่ เอ้าจิบให้หน่อย บางทีก็ต้องกินให้หน่อย ซึ่งที่จริงบางที ไม่สมควรจะกิน บางทีอาตมาเห็นว่า หน้านี้ ยิงสักแผลเถอะ ไม่กินละเอาไป แหม!ไม่กินให้เรา ก็นั่งซึมนะ นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ นะ มันมีอย่างนี้ มันซับซ้อนอยู่ เราก็ต้องพยายาม ขวนขวายของเราบ้าง อุตสาหะ ให้สรีระของเราสร้างภูมิคุ้มกัน สร้างความแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็น ทางด้านรูปธรรม หรือนามธรรม เราก็ต้องทำสั่งสมไป เพราะฉะนั้น การขวนขวาย อุตสาหะ วิริยะ ที่พอเป็นไปนี่ ต้องเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งให้ได้ด้วยว่า เราไม่ทรมานตน

คำว่าไม่ทรมานตนนี่ ไม่ใช่ว่าหมากรุกขั้นเดียว ไปนอนบนหนาม นอนบนตะปู ไปเขย่งเกงกอยขาเดียว เหมือนอย่างกับฤาษีอะไร นั่นทรมานตน นั่นก็รู้หมากรุกชั้นเดียว แต่เราต้องไม่ทรมานตน นี่เราต้องรู้ ต้องปรับตน ถ้าเราอ่อนแอ เราก็ทรมานตนนะคุณ ไม่ขวนขวาย ไม่อุตสาหะสร้างสรีระ แม้แต่จะหลับ นอนนี่ แหม!เราต้องนอนไม่พอ ให้มันเรื่อยๆ นั่นคุณทรมานตนนะคุณ สร้างความหลับ พระพุทธเจ้า ท่านก็เตือน ที่อ่านคีตะ เธอทั้งหลาย จงลุกขึ้นเถิด นั่งเถิด อะไรกับความหลับ อะไรต่างๆนานา พวกนี้ อย่างนี้เราก็ต้องขวนขวาย แม้เราติดความหลับ เราก็ไม่แข็งแรง อย่างนี้เป็นต้น

เราต้องเข้าใจนัยลึกซึ้งพวกนี้ ขวนขวายแล้วเราจะมีวันเวลา อันมีคุณค่า มีประโยชน์ เมื่อเราแข็งแรง เราไม่ต้องบำเรอตนมาก เราก็มีวันเวลามาทำงาน เมื่อมีวันเวลามาทำงาน การบำเรอตนน้อย ความบำเรอตนน้อยเราแข็งแรง เราสมบูรณ์แล้วไม่ต้องบำเรอตนมาก เรามีความแข็งแรง เราก็มีเวลา มีกำลัง ที่จะมาสร้างสรร ให้แก่มนุษย์โลก เพราะฉะนั้น เราซึ่งเป็นพระผู้สร้างเป็น God (พระเจ้า) เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับ God เป็นผู้สร้างผู้ให้เป็นจิตบริสุทธิ์ ที่เป็นองค์ประกอบลักษณะของพระเจ้า ๓ อย่าง ซึ่งเราก็เอามาประกอบถูกตรง ตามศาสนาที่มี God ลักษณะคุณค่า หรือคุณภาพของ God คือ เป็นพระผู้สร้าง เราสร้างสรร และก็ให้ไม่ใช่ไปแลกเปลี่ยน ไม่ใช่ไปซื้อขาย สร้างให้ฟรีด้วย ใจบริสุทธิ์ ไม่ได้ทำเพราะ บำเรออารมณ์ตน ไม่ได้สนองตัณหาตน แต่ทำเพราะเรารู้ความจริงว่า เราจะทำอย่างนี้ ให้แก่เขา แล้วเขาจะได้คุณค่า เราก็ได้ทำงาน และเราก็มีความดี แต่เราไม่หลงความดีอีก เป็นที่สุดท้าย ไม่หลงว่าแม้ดีก็เป็นของเรา เราทำดีเป็นดีแล้วจบในตัว สุวรรณจะไม่ทำงานจดในแผ่นทองคำ ก็ช่างหัว สุวรรณเถอะ อาตมาทำดีแล้ว สุวรรณจะลืมจดลงในแผ่นทองคำ ก็ช่างหัวสุวรรณ เราอย่าไปทำ ความชั่ว ก็แล้วกัน ถ้าเราทำความชั่ว สุวานไม่จดลงในหนังหมา เราก็ชอบไปซิ แต่แม้เราทำความดี สุวรรณจะไม่จดลงในแผ่นทองคำก็ช่างสุวรรณเถอะ เพราะเราทำดีแล้ว ดีต้องดีในตัวแล้ว

ถ้าเข้าใจอย่างนี้แล้ว ก็ทำดีเพื่อดี ทำดีให้แก่ดี คนเราเกิดมาก็เพื่อความดี เป็นสิ่งประเสริฐของมนุษย์ แล้วจะไปเอาอะไร กันนักกันหนา เมื่อเราเป็นคนดี เกิดมาทุกวินาที เราเป็นคนดี สร้างสมสิ่งดี ทำสิ่งดี ให้แก่มนุษยโลก มีประโยชน์ต่อ มนุษยโลก มีประโยชน์ต่อสรรพสัตว์ มีประโยชน์ต่อสังคม ทุกวินาที เรามีประโยชน์ต่อสังคม ตัวเราก็เท่านี้ กินอยู่ หลับนอน ขี้เยี่ยว มันทุกข์อะไรนักหนาคุณ มันใหญ่อะไร นักหนา กินนอน ขี้เยี่ยว มันก็เท่านี้เอง เลิกแม้แต่เสพย์สม สู่สมอะไร ก็ไม่ได้เสพย์แล้ว กินนอน ขี้เยี่ยว สุดท้ายชีวิต ง่ายจะตายไป มีอะไรมากมาย กินก็ต้อง เขาช่วยมากเกินไป แม้ที่สุดจะขี้เยี่ยว ก็ให้เขา ช่วยเหลือ แย่เลยคุณ อาตมาถึงได้พูดให้ฟัง เอาละอีกสักหน่อย คุณเข้าห้องน้ำ ก็ต้องมาเข้าในห้องน้ำ กับฉัน ฉันจะขี้แล้วจะได้คอยเช็ดก้นให้ฉันอีก ขนาดนั้นอาตมาก็ว่า มันสุดจะทนแล้วหนะมนุษย์ เพราะฉะนั้น ชีวิตก็แค่นั้นเอง ขี้เยี่ยวก็ช่วยตัวเองหน่อย เขานอนก็ช่วยตัวเองเล็กน้อย มีคนอื่น เขาก็ช่วย ได้บ้าง นอนทุกวันนี้ อาตมาจะนอน ก็ไม่ได้ปูผ้าเอง ทั้งๆ ที่ไม่ได้ปูมากหรอกนะ ก็ปู แค่นั้นแหละ ซึ่งไม่ต้องปูเสื่อ ปูฟูก ปูหมอน อะไร บำเรอบำรุงอะไรมากมายแล้ว ปูแค่นั้น ขนาดทุกวันนี้ อาตมายัง รู้สึกเกรงใจคนที่ปูให้เลย เรามีความเกรงใจ ก็ระลึกอยู่ว่า เออ! บุญคุณเขานะที่เขาปูให้เรา ก็ยังระลึกอยู่ว่า มีอะไรๆ ดีๆ ให้เขาบ้าง แล้วก็จะได้ให้เขา ก็อย่างนี้แหละนะ เป็นน้ำใจแก่กันและกัน มันก็เกื้อกูลกันไปอย่างนี้ตลอดโลก

ถ้าคนมีน้ำใจอย่างนี้แก่กันและกันในโลกแล้ว โลกก็มีสันติสุขอันหวังได้ ไม่ล่มจมแน่ เพราะฉะนั้น เราจะทำได้หนึ่งคน เราก็รักษาเอาไว้ให้ถาวร ทำไปเถอะ ถ้าเมื่อสิ่งนี้เป็นสิ่งดีแล้ว ก็รักษาไป ชีวิตเรา ก็เท่านี้ ถ้าคุณคิดว่า เอ๊! ถ้าเท่านี้แล้ว มันไม่เกิดอีก จริงหรือเปล่า ถ้าคุณจะเกิดอีก แล้วคุณรักษา คุณธรรมอันนี้ได้อีก คุณเกิดอีก แล้วชาติก็ดี หรือสังคม เขาต้องการ แต่คุณไม่ทำอย่างนี้ คุณกลับกลายไปสั่งสมสังขารโลก ล่าลาภ ล่ายศ แย่งชิงกัน อย่าเกิดมาเลย เกิดมาก็กลียุคเปล่าๆ แต่ถ้าคุณเกิดมา มาล่าลาภ ล่ายศอย่างนี้ แล้วคุณก็แย่งชิงๆ เป็นตัวที่จะก่อกลียุคนั่นแหละ

แต่ถ้าเราเกิดมาอย่างนี้ เราเป็นคนช่วยบำบัด เป็นคนช่วยบรรเทากลียุค เป็นคนช่วยให้โลก สันติสุข เราจะเกิด มาเป็นคนแบบไหน ถ้าการเกิดไม่มีที่สิ้นสุด เกิดแล้ว เกิดอีกไม่มีสิ้นสุด เป็นสัสสตะ แต่ถ้าเข้าใจศาสนาพุทธ ไม่สัสสตะ อุจเฉทได้ สูญได้ไม่ใช่อุจเฉท พิสูจน์ได้เดี๋ยวนี้เลยว่า เป็นสมุจเฉท เป็นอุจเฉทอันต่อเนื่องอยู่เลย "สม" คือต่อเนื่อง บวก"อุเฉท" ก็คือ ความขาดสูญต่อเนื่องอยู่เดี๋ยวนี้ เรารู้เลยว่า ใจของเราขาดสูญ ทำความดีไปเดี๋ยวนี้ เขาก็วางความดี ไปเดี๋ยวนี้ ขาดจากการ หลงความดี เดี๋ยวนี้ คุณจริงหรือเปล่า คุณแม่นหรือเปล่า คุณทำได้ดังคำพูด หรือภาษา โวหาร ที่ว่านั้น หรือเปล่า ถ้าคุณทำได้จริง คุณก็เห็นของจริงของคุณเอง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ คุณทำได้จริง คุณก็รู้นะ อย่าหลง ต้องรู้ว่าทำไมได้จริงเหลือเศษ เหลือเสี้ยวอะไร เหลือธุลีละอองขนาดไหน คุณก็ต้องอ่านให้แม่น เมื่อคุณอ่านแม่น อ่านชัดทำได้จริงแล้ว มันก็จบในตัวของเรา จะเหลืออะไร จะเหลือแต่เราทำคุณค่านี้ไป แล้วเรายิ่ง จะเห็นแยบคาย ยิ่งจะรู้โลก โลกวิทู มันก็จะเพิ่มไปเรื่อยๆ แม้เราจะไม่มีโลกวิทู เท่ากับพระพุทธเจ้า เราก็มีโลกวิทู อันรู้โลก รู้อะไรต่อมิอะไร เพราะว่าศาสนา พระพุทธเจ้า บรรลุแล้ว มันไม่ต้องหนีโลกไปไหน โลกเขาจะสังขารอะไร เราก็ยังมีอะไร มันยิ่งรู้ นับวัน โอ๊! เดี๋ยวนี้ มันไปถึงขนาดนี้เชียวหรือ แล้วเราก็ทนได้ด้วย เรายิ่งทนได้เก่ง เรายิ่งอาเนญชา เรายิ่ง ไม่หวั่นไหว เรายิ่งรู้โลกหยาบขนาดไหน เรายิ่งทนได้ ไม่หวั่นไหวได้หนักยิ่งขึ้น เพราะมันเป็นของจริง

แต่ศาสนาฤาษี ทนไม่ได้ โลกนิดหน่อยก็วิ่งเข้าป่าแล้ว มันไม่ได้อยู่เหนือโลก มันหนีโลก เพราะฉะนั้น ศาสนาโลกันตร์ กับศาสนาโลกุตระ จึงต่างกัน แต่เขาไม่ได้เอามาบรรยาย โลกันตร์กับโลกุตระ อย่างอาตมา เพราะเขาอำพรางคำว่า โลกันตร์ไว้ แปลว่านรกเท่านั้น และเขาไม่เคยขยายความว่านรก วิ่งหนีโลก นั่นก็คือนรก โลกันตร์คือ วิ่งหนีจนสุดโลก รู้ไหม อย่างฤาษีไปถามพระพุทธเจ้าว่า สุดโลก อยู่ที่ไหน แล้วจะวิ่งหนีไปสุดโลก พระพุทธเจ้าบอกว่า เปล่านี่ เราไม่ได้บัญญัติ สุดโลกอย่างนั้น เราบัญญัติสุดโลก อยู่เหนือกาย ยาววา หนาคืบ กว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ แล้วหาความสุดโลก ให้ได้ และอยู่เหนือโลก ไม่ได้วิ่งหนีโลกแบบนั้น เขาไม่ได้ขยายความ เขาอำพรางอันนี้ มานานแล้ว โลกันตร์ก็แปลว่า นรกใหญ่ นรกสิบ ก็ตัวเขานั่นแหละ วิ่งหาโลกันตร์ วิ่งหาที่สุดโลก วิ่งหาป่า หาถ้ำ หาเขา หาที่ไหนอยู่ ไปขุดรูที่ไหนก็ไม่รู้ นั่นแหละโลกันตร์

แต่เขาไม่เข้าใจนะ ไม่เข้าใจ แม้แต่ในภูมิของภวภพ ภวตัณหา เขาก็ไม่รู้ว่า เขาวิ่งหาภวภพ นั่นดับดิ่ง เข้าไปนั่นแหละ สุดโลกอีกชนิดหนึ่ง เป็นภพภพดิ่ง นั่นดับหนีเข้าไปสุดโลก เป็นโลกันตร์อีก จนกระทั่ง ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว นั่งดับอยู่นั้น ไม่มีที่จะไปอีกแล้ว ได้แค่นั้น เขาก็นึกว่าเขาจบ แต่ที่จริง มันไม่จบ หรอก มันจบตรงนี้อยู่เหนือโลก จักขุมา ปรินิพพุโพติ นี่แหละแบบนี้อยู่เหนือโลก นิพพานอย่างลืมตา จักขุมา ปรินิพพุโพติ นิพพานอย่างลืมตาเห็นทุกข์อย่างชัด โลกวิทูเข้าใจสังขารธรรม เข้าใจโลก ทั้งหลายแหล่ แล้วเราก็ช่วยเขาให้ เราเองนะ เราไม่หวั่นไหว แล้วเราเอง เราไม่ดูดไม่ซึม เราไม่แอบเสพย์ ไม่เป็นจอมโจรบัณฑิต แล้วเราก็ช่วยเขาปลด ช่วยเขาปลดๆๆๆ วันคืนๆ ก็ได้แต่ช่วยมนุษย์ เราเองเราก็ไม่ทุกข์ เพราะเราไม่เอากิเลสเข้าตัวแล้ว เราอยู่เหนือแล้ว เราก็ได้แต่ช่วยเขาไป เราก็ยิ่ง แข็งแรง แข็งแกร่ง ยิ่งรู้เท่าทันโลกขึ้นทุกวันๆ เพราะว่าแค่นี้ เราก็รู้แล้ว ยิ่งมาก เราก็ยิ่งรู้เท่าทัน มันยิ่งชัดเจนขึ้นทุกวัน มันจะไปยากอะไร

เพราะเราไม่ได้หลับตา เรามีสติสัมปชัญญะ และปัญญา รู้มันอยู่ เห็นมันอยู่ เข้าใจมันอยู่ และยิ่งเห็น ด้วยปัญญาอันยิ่งๆ ชัดนะโอ้โฮ! อย่างนี้ มันยิ่งแน่ๆ ก็ โลกก็เท่านี้ ชีวิตก็เท่านี้ เพราะฉะนั้น เราจะเบิกบาน แจ่มใส เราจะเป็นผู้ที่อยู่เหนือโลก ช่วยโลกได้ ก็ต้องถึงจุด ถึงขั้น ดังที่ได้อธิบาย สาธยายมา ยกตัวอย่าง ทั้งปัจจุบันธรรม ที่เรามาทำงานประโยชน์ท่าน แล้วเราก็ต้องได้ประโยชน์ตน ไปด้วยนะ องค์ประกอบแห่งกองทัพ ที่เราเป็นไปนี่ นับวันมากขึ้น นับวันที่จะชัดเจนขึ้น มาที่พัทลุงนี่ คุณจะเห็น บทบาทอะไร หลายอย่าง ที่เราได้รับความยอมรับ ได้รับความต้อนรับ ได้รับสิ่งที่ค่อยๆ บุกเบิกขึ้นไป นานวันนานคืน กว่าเราจะได้สภาพ อะไรต่ออะไรพวกนี้ยิ่งขึ้น ซึ่งก็มีองค์ประกอบ ที่มันมี เป็นบุญ เป็นบารมี นี่ก็คุณจำลองฯ รู้จักกับผู้ว่าที่นี่ดี ผู้ว่าที่นี่ ท่านก็เป็นคนมีธรรมะ พวกนี้เป็น องค์ประกอบทั้งสิ้น แล้วท่านก็เห็นดี เห็นชอบ สนับสนุน ยอมรับ ทำงานให้เข้มแข็ง ท่านมีองค์ประกอบ ของท่านเอง ก็ใช้องค์ประกอบของท่าน ช่วยเราอีก มันก็เลยประสาน หนาแน่นมากขึ้น อธิบายแค่นี้ ใครมีปัญญา ก็ติดต่อไปอีก มันก็จะรู้ว่า เออ! มันเกิดอย่างนี้ ก็เพราะเหตุปัจจัย เพราะองค์ประกอบ เหล่านี้ มันหนุนเนื่องกัน ประสานกันขึ้นมา มันจึงเกิดสภาพขนาดนี้ ถึงขนาดนั้น ท่านเทวดา ท่านก็ยัง ไม่ได้ช่วยเรา เต็มเหนี่ยวเท่าไร ท่านก็ยังบอกว่า ช่วยไปก่อน นี่ขอส่งข้อสอบมาให้ คนช่วยแล้ว เทวดาก็ยัง ส่งข้อสอบมาอยู่ ท่านใจดีนะเทวดา ท่านให้เราสอบให้ผ่านสูงที่สุด ถ้าเราผ่านสูงที่สุดไม่ได้ ท่านไม่ยอมเหมือนกัน ท่านส่งข้อสอบมาให้เราสอบอยู่ อย่าไปโทษเทวดาท่านเถอะ ท่านกำลังส่ง ข้อสอบ มาให้เราสอบ เราก็สอบไปก็แล้วกัน

สำหรับวันนี้ อาตมาเห็นสมควรแก่เวลา แล้วเราจะได้ทำกิจอื่นต่อ เพราะฉะนั้น ก็ขอเทศนาทำวัตรเช้า แต่เพียงเท่านี้ เอวัง


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะ ฯ
ถอดโดย บ้านพลังธรรม
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตุปราณี ปึงเจริญ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๓๐
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย ๒ เมษายน ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มรัตนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร - พิมพ์ออก โดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

อบรมธรรม ณ ศาลาประชาคม จังหวัดพัทลุง
077i.DOC