การเผยแพร่ธรรม
โดย พระโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๒๕
ณ ศาลาประชาคม พัทลุง

เราได้มาทำงานในด้านเผยแพร่ตลอดมา ขณะนี้ก็ยังดำเนินไปเรื่อยๆ และก็รู้สึกว่า พวกเราจะได้ ทำงานกัน สอดคล้อง รู้จักหน้าที่ และรู้จักจิตที่พึงทำของแต่ละคนๆ สอดประสาน มีอะไรต่ออะไร มากขึ้นๆ เสมอๆ ผู้ที่ได้มาติดตาม หรือไม่ใช่จะติดตามหรอก ตั้งใจจะมาเสริมหนุน ที่จะมาทำกิจ ทั้งประโยชน์ตน ที่พึงจะได้หัด ได้ฝึก ไปทั่วระหัวระแหง มีชีวิตอยู่โดยที่ ไม่ยึดมั่นถือมั่น มีชีวิตอยู่โดย ไม่ติดแม้กระทั่ง ในสัมผัสต่างๆ ที่จะอยู่ จะกิน จะหลับ จะนอน แม้มันจะไม่พรั่งพร้อมสมบูรณ์ แบบที่คนชาวโลกๆ เขาเตรียมพรั่งพร้อมเอาไว้ให้แก่ตนเอง อย่างบริบูรณ์พูนสุข อย่างนั้น เราก็สามารถ ที่จะช่วยเหลือตัวเอง มีความอดทน มีความมักน้อย สามารถพอได้ โดยที่เรียกว่า ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยเต็มนัก ไม่ค่อยสมบูรณ์นัก ขาดบ้าง แคลนบ้าง เราก็สามารถที่จะนำชีวิตเป็นไปได้

การได้รับสิ่งแวดล้อม มีสิ่งแวดล้อมที่ไม่สมบูรณ์ แล้วเราก็สามารถที่จะจัดแจงให้แก่ตัวเอง ก็พอเป็น พอไปนี่ มันเป็นการฝึก โดยแท้จริงเหมือนกัน แล้วมันก็เตรียมพร้อม ที่จะอยู่กับโลก ถ้าเผื่อว่าแม้โลก จะมีการขาดแคลน ขาดแคลนน้ำ ขาดแคลนอาหาร ขาดแคลนอะไรก็ตาม แต่ที่จะเป็นสิ่งสำคัญ ถึงขนาด เป็นอาหารการกิน เรียกว่า ทุพภิกขภัย ต่างๆ เกิด เราก็จะไม่เป็นคนที่อ่อนแอ เราก็จะไม่เป็น คนที่ต้อง ทุกข์ทนหม่นไหม้ลงไป เราจะเป็นคนที่ ยิ้มแย้ม กล้าหาญชาญชัย สามารถอดได้ทนได้ ซึ่งแม้แต่ธรรมชาติ แม้แต่ความหมุนเวียนของดิน น้ำ ไฟ ลม ความหมุนเวียนของอาหาร ที่จะมีอยู่ ในธรรมชาติโลก มันก็สามารถที่จะขาดแคลน สามารถที่จะไม่พร้อมมูล โดยความไม่เที่ยงของโลก มันเป็นได้นะ เราฝึกไปให้มันหนักขึ้น เพื่อที่เราจะได้เตรียมตนสัมผัส ไม่ใช่ไปนั่งคิดนึก ค้นเดาเอา แต่ว่าเราเตรียมตนฝึกหัดไป ได้รับองค์ประกอบที่ขาดแคลนมั่ง แห้งแล้งบ้าง ยากลำบากบ้าง

ซึ่งคนทุกวันนี้ เขาพยายามวิ่งหนี สภาพแวดล้อมที่มันขาดแคลน พยายามที่จะกักตุน พยายามที่จะ กอบโกย แสวงหา หรือว่าสะสม อะไรต่ออะไรเอาไว้ เพื่อตัวเองจะได้ไม่ขาดแคลน เพราะความ ขาดแคลน ความน้อยไป มันเป็นทุกข์ แล้วเขาก็มีปัญญา คิดอ่าน โดยการกักตุนกอบโกย กลัวจะไม่พอ ต่างคนมีความสำนึกอย่างนี้ โลกจึงเกิดการแย่งชิง และก็กอบโกย มากักตุน คนส่วนใหญ่เข้าใจอย่างนี้ และนึกอย่างนี้ และก็กระทำตนอยู่ในรูปอย่างนี้ เพราะฉะนั้น การเอาไปกักตุนจนเกิน จนเฟ้อ เขาไม่รู้ตัว เมื่อไม่รู้ตัวของที่มีอยู่ในธรรมชาติโลก มันก็ถูกดูดเอาไปสู่ ผู้มีอำนาจ ดึงดูดกักตุนกอบโกย และก็ดึงไปไว้ในที่ๆ ส่วนที่ผู้นั้นสามารถดึง ดึงไปแล้วผู้ที่ไม่มีอำนาจ ก็ถูกแย่งชิงไป ก็เกิดขาดแคลน เกิดไม่สมดุล เกิดไม่ทั่วถึง ก็เกิดทุกข์ขึ้น ความทุกข์มันเกิดด้วยนัยอย่างนี้ มากเหลือเกินในโลก ไม่ว่าโลก ส่วนไหนๆ เพราะความเห็นแก่ตัว ความกลัวจะขาดแคลน

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้สูงสุด เห็นในเรื่องนี้จึงได้วางมาตรการสอน ให้เราหัดขาดแคลน แทนที่จะวิ่งหนี ความขาดแคลน แต่ท่านให้เราฝึกหัดฝึกตน อบรมตน เข้าไปประสบพบสภาพ ความขาดแคลน ความมีน้อย สามารถที่จะปรับตน ให้อยู่กับสิ่งที่ขาดแคลน อยู่กับสภาพที่มีน้อยให้ได้ ผู้ใดสามารถปรับตนอยู่กับความขาดแคลน อยู่กับความมีน้อยได้ ก็จะรู้ความจริงลึกขึ้นๆ ตรงที่ว่า คนเรานี่ได้เลยเถิด ได้วิ่งหนี วิ่งหนีความพอดี มาจนกระทั่ง กลายเป็นคนโลภมาก กลายเป็นคนเฟ้อ กลายเป็นคนเคยชิน ต่อสภาพมากเกินๆ แล้วก็พยายามทำให้ ธรรมชาติตนเองนี่ รับสิ่งที่เกินได้ให้ มากขึ้นๆ แล้วมันก็รับได้ สามารถรับความเกินนั้นได้ ขึ้นมาเรื่อยๆ จนเกินๆ ๆ ๆ ๆ เกินความจริง ที่มันเป็นความพอดีไปตั้งมาก ซึ่งเราได้กลับมาพิสูจน์กัน ยกตัวอย่างง่ายๆ แต่เพียงว่า เครื่องใช้ เครื่องกิน ที่เป็นปัจจัยสำคัญนี่ เรากินกันจนเฟ้อจนเกิน เลยเถิดไปในชีวิตประจำวัน แต่ละวันๆ ซึ่งเราเฟ้อ เราเกินไป เราก็ไม่รู้ว่า เราเฟ้อเราเกินไป แล้วก็ไปหาทางถ่ายออก กินมากๆ สร้างพลังงาน มากๆ ขึ้นมาในตัว มีแคลอรีมากๆ เสร็จแล้ว เราก็ไปหาเรื่อง ต้องจ่ายออกให้มากๆ โดยไปทำแรงงาน ไปใช้เวลา ซึ่งวันหนึ่งก็มี ๒๔ ชั่วโมงนี่ ไปใช้เวลา ใช้แรงงาน ใช้พฤติกรรม กายกรรม วจีกรรมอะไรต่างๆ จ่ายออกไปโดยไร้ประโยชน์คุณค่าสูญเปล่า คือเป็นภาวะซับซ้อน ที่เราผลาญ ผลาญวัตถุดิบ ผลาญสมบัติ ผลาญโภคทรัพย์ของสังคมโลก ของธรรมชาติโลก ผลาญไปมาก และเราก็ไม่รู้ว่า สิ่งเหล่านั้นเป็นความได้ หรือความเสีย

ถ้าเราได้ปฏิบัติตนอบรมตนพิสูจน์ตนมักน้อยสันโดษ เข้าไปในทฤษฎีของพระพุทธเจ้าเข้าไปแล้ว จนสามารถเป็นไปได้ ลงตัวได้ เราก็ยิ่งจะเชื่อมั่น จะแจ่มแจ้งว่าชีวิตนี้ มันไม่ได้มากได้มายอะไร กินก็ไม่มาก นุ่งห่มก็ไม่มาก อยู่หลับนอน สถานที่ก็ไม่ต้องใหญ่ต้องมาก ยารักษาโรคก็ไม่ใช่ยาที่จะต้อง มาคอยกินเสพ กินติดอย่างโน้นอย่างนี้มาก ถ้ามันขาดแคลน มันไม่สมดุลจริงๆ ก็เติมแถมมันบ้าง เล็กๆ น้อยๆ นี่เป็นปัจจัยสี่ หรือแม้แต่บริขาร ที่จะมาเป็นองค์ประกอบ เครื่องใช้ในชีวิต ก็ไม่ต้องสะสม มาก ไม่ต้องมีอะไรหอบหามมากเกินไป ชีวิตของเรา ก็มีคุณค่า มีประโยชน์ได้จริงๆ มีประโยชน์ มีคุณค่าได้ยิ่งกว่า ผู้ที่เขาสะสมหอบหาม องค์ประกอบของตัวของตน มากกว่าเราเสียอีก ใช้อะไร ต่ออะไรไปเปลือง ในการหอบบ้าหอบฟางนั้น เหลือกำลังวังชา เพราะฉะนั้น ผู้ที่หมดตัวหมดตน หรือผู้ที่เข้าใจ เรียนรู้แล้วว่า ตัวตนของมนุษย์นี่ ไม่ต้องเสพสุข หรือว่าไม่ต้องสมใจ หรือไม่ต้องมี อุปาทานโง่ๆ ที่ต้องไปมีอะไรได้มากๆ หอบไว้มากๆ แล้วเป็นสุข ได้อะไรมาเยอะๆ แล้วเป็นสุข เป็นบ้าหอบฟาง ไม่ต้อง เราสามารถพิสูจน์ได้ นี่เราได้นำพากันมามากๆ นี่ มันเป็นองค์ประกอบ ให้คุณยอม คุณยิ่งเดินทางไกล คุณยิ่งไปโน่นนี่มาก พาตะรอนๆ ยิ่งลำบากลำบน ยิ่งไปในสถานถิ่น ที่คนเขา ไม่ต้อนรับ เขาต่อต้าน เขาไม่ช่วยเอื้อเฟื้อเกื้อกูล คุณยิ่งต้องกระเบียดกระเบียน ต้องนอนดิน นอนหญ้า ที่ขี้เยี่ยวก็ไม่ค่อยจะมี ที่กินก็ไม่ค่อย จะพรักพร้อม คุณยิ่งจะเห็นว่า โอ้ชีวิตนี้มันหนัก อะไรต่ออะไร มันหนักไปหมด ยิ่งคุณเห็นว่า ไปกับหมู่นี่แหละ คุณก็ได้ฝึกได้ฝน เกิดปฏิภาณปัญญาว่า ไปแล้วเราได้ฝึกฝนประโยชน์ตนจริงๆ ได้รีดเอาสิ่งที่ติดยึด เป็นตัวเป็นตน เป็นความรักตัวรักตน เป็นความหอบความหาม ได้รีดความหอบความหามออก คุณเห็นผลดี คุณก็พอใจไปทำ ประโยชน์ตน นี่กำลังพูดในแง่ประโยชน์ตนเท่านั้น ก็จะเห็นว่า เราได้ประโยชน์ตนไป ยิ่งไปก็ยิ่งถูกรีด โดยคุณไม่รู้ตัว เมื่อได้พูดขึ้น ได้แนะขึ้นอย่างนี้ คุณได้รู้สึกบ้างไหม

ขณะนี้คุณลองย้อนบุพเพนุวาสานุติ ย้อนที่เคยพาทำกันมาหลายปีหลายเดือน ผู้ที่ได้ตะรอนๆ ติดตามไป คุณได้เกิดความรู้สึก ดังที่กล่าวนี้บ้างไหม แล้วคุณได้แก้ไหม แล้วคุณได้ปลดปล่อยไหม ถ้าคุณได้แก้ไข ได้ปลดปล่อยได้ จนกระทั่งกลายเป็น คนมักน้อย สันโดษ ไม่หอบไม่หาม ปลงสิ่งที่ เคยติดเคยยึดออกไปได้มากๆ ยิ่ง คุณก็จะรู้ ของใครของคนนั้นแหละ ตัวเองเป็นผู้รู้ ผู้ใดตัดได้ ผู้ใดละได้ลดได้ ก็จะรู้ ผู้ใดยังไม่ฉลาดเลย ยังไม่มีไหวพริบเลย ก็จะรู้ว่าอ้อ เรายังดึงยังทึ้ง เรายังหอบ ยังหามอยู่นี่ เรายังไม่รู้สึกเลยว่า สิ่งนี้ก็เป็นภาระ อันนี้เป็นสิ่งหอบ อันนี้ก็เป็นสิ่งหาม อันนี้เป็นสิ่งหนัก อันนี้เป็นสิ่งเกิน เพื่อนฝูงเขาปลดแล้ว เขาปลงแล้ว เขาวางแล้ว เขาตัดออกแล้ว เราก็ พอระลึก แล้วก็เห็นได้โอ้ แต่เรายังเป็นบ้าหอบฟางอยู่ เรายังหวงแหน เรายังขาดไม่ได้ เรายังลงไม่ได้ อะไรมีอยู่ คุณจะรู้ คุณจะเข้าใจเอง

เมื่อแนะเมื่อชี้ เมื่อฉีกชี้ขึ้นมาอย่างนี้ คุณก็จะได้เข้าใจ แม้แต่เราเองเราไปทำประโยชน์จากตนไป จนกระทั่ง ไปถึงท่าน เราได้หัด เราได้ฝึกได้อบรม ดังกล่าวนี้ มีรายละเอียดมากกว่านี้ นี่เป็นแต่เพียงว่า ชี้แนะขึ้นมา ให้คุณได้สังเกต ให้คุณได้รู้สึกตัว ได้เข้าใจ เมื่อได้เข้าใจแล้ว เราก็จะต้องเตรียม ให้มัน แยบคาย ให้มันละเอียดลึกซึ้งขึ้น เมื่อเราทำกันจริงๆ เราก็ได้หัดปล่อยกันจริงๆ ไม่ใช่ไปนั่งนึกคิดว่า อย่างนี้เราคงปล่อยได้ อย่างนี้ๆ เราอาจจะปล่อยได้น่า ไม่ต้องหัด ก็คงได้น่า ถึงเวลาเมื่อไหร่คงได้น่า ไมใช่เราจะไปนั่งเดาเอาอย่างนั้น เดาเอาจริงๆ ไม่ได้หรอก บางที ก็อาจจะวางได้ เดี๋ยวเดียว เสร็จแล้ว ก็ทนไม่ได้ ต้องดึงเอาคืนมา พอเราติด เราติดจริงๆ นะคุณ เราติดเราทนไม่ได้นี่ เราเคยสบาย เคยมีมาก เคยประคบประหงมตัวเอง อย่างโน้นอย่างนี้ไว้นี่ มันไม่ใช่เรื่องพูด แต่มันเรื่องเป็นจริง เราติดจริง เราเป็นจริงๆมันมี เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราได้ฝึกได้หัด ได้อบได้รมนี่ เท่ากับเราได้ทำแบบฝึกหัด ไปเสมอๆ ไปทางใกล้ทางไกลอะไร เราก็ไป สู่สถานที่อย่างโน้น อย่างนี้ไป

เรามาที่นี่ นี่คนที่ได้มาที่นี่ครั้งนี้ เป็นแบบฝึกหัดอ่อน ซวยหน่อย เพราะไม่ได้เป็นแบบฝึกหัดแก่ เพราะได้รับ การต้อนรับ จากทางการมาก มีวังอยู่ เขาทำส้วมให้เสร็จ แต่ก่อนแต่ไรนี่ส้วมนี่ บางที จะมีสักทีหนึ่ง แย่งกันรอคิว ต้องอดอั้นเอา ต้องอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ยากกว่านี้ ที่ที่จะมีที่ พอวางกายได้ ไม่เปียกน้ำ ไม่เปียกฝน ไม่เปียกน้ำค้าง ไม่เลอะไปด้วย ขี้ดินขี้หญ้าอะไรต่างๆนานา อย่างนี้ไม่ใช่หาได้ง่าย คราวนี้นี่สมบูรณ์บริบูรณ์พรั่งพร้อม มีที่มีทางอะไรต่ออะไร อย่างกับมาอยู่ในวัง ได้รับอิสระ ได้รับความอุดมสมบูรณ์ พรั่งพร้อมเยอะแยะ เพราะฉะนั้น คนมางานนี้ ก็ได้แบบฝึกหัด ชั้นหนึ่ง ก็ได้ฝึกก็ยังดี ยังมีอะไรหลายอย่างเหมือนกัน ที่ไม่เหมือนอยู่บ้านเรา ไม่เหมือนกับ เราอยู่ๆ ที่ๆ อะไรที่เป็นเครื่องอำนวยความสะดวกของเราพรั่งพร้อม มันไม่เหมือนหรอก มันขาดมันแคลน และมันก็ต้องแย่งต้องชิง เพราะคนก็มาก ก็อะไรต่างๆ พวกนี้เป็นสิ่งแวดล้อม การได้ไปพบส่วนหนึ่ง ส่วนหนึ่งดีขึ้น อีกส่วนหนึ่งขาดไป การไปได้พบส่วนหนึ่งขาดไปมาก แต่เราก็ได้หัดฝึก หรือเราได้ ประโยชน์ อีกส่วนหนึ่ง เพิ่มขึ้น พูดแค่นี้อย่างนี้ หลายคนก็คงเข้าใจ ว่าหมายถึงอะไร อย่างนี้แหละ มันจะซับซ้อน มันจะเปลี่ยนวนไปเรื่อย

นี่อาตมาชี้แนะให้เห็นไว้มุมหนึ่งว่า เรามาที่นี่ ที่นี่เราได้รับความต้อนรับ เราได้รับความส่งเสริม อุดหนุน สมบูรณ์ขึ้น เราก็ง่ายขึ้น อย่างหนึ่ง แต่เราขาดอย่างหนึ่ง บทฝึกหัดของเรา มันง่ายไปหน่อย บทฝึกหัด ของเรา มันไม่จัด หรือมันไม่หนักขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เราก็ได้ เพราะฉะนั้น คนมองไปในแง่เผินๆ ก็จะรู้สึกว่า คราวนี้ดีจังเลย ได้รับการต้อนรับ อะไรต่ออะไร คุณได้ได้อันนั้นง่ายขึ้น หรือได้ความ พรั่งพร้อม มีคนได้รับการขัดขวางน้อย การต่อต้านน้อย ผู้ที่จะปลดใจวางใจ ก็มามากขึ้น และเรา ก็สามารถที่จะเปิดเผย สามารถที่เทศน์ จะแสดงธรรม จะชี้เหตุชี้ผล อะไรได้ง่ายขึ้น อะไรพวกนี้ มันก็มีภาวะซับซ้อน อยู่หลายชั้น หลายอย่าง หลายมุม เราได้ ส่วนหนึ่งได้ ส่วนหนึ่งเสีย ส่วนหนึ่งเสีย ส่วนหนึ่งได้ มันจะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้ ไม่เที่ยงแท้ องค์ประกอบต่างๆ ไม่สม่ำเสมอ เป็นอย่างนี้ อยู่เรื่อยไป ซึ่งมันก็ดี มันดี เราไม่ได้จัดสรรเอา เราไม่ได้เลือกเฟ้นเอา แต่เราก็ไปตามสภาวะจริง ผู้ที่เห็นด้วย ก็จะช่วยอย่างหนึ่ง ก็ดีไปอย่างหนึ่ง

ก็น่าอนุโมทนาที่ผู้ใหญ่หรือผู้ที่ร่วมไม้ร่วมมือสนับสนุนเอื้อเฟื้อ ช่วยเหลือเกื้อกูลอยู่ อย่างนี้ ก็เป็นส่วนดี ส่วนหนึ่ง น่าอนุโมทนา ส่วนตัวเราขาดไปบ้าง ก็ต้องให้รู้ตัวนะว่า อย่างนี้เป็นแบบฝึกหัดง่าย ไม่ใช่ แบบฝึกหัดยาก เราก็ได้หัดอย่างนี้ก็เอา สำหรับผู้ที่ทำ เราจะอยู่ได้ในทุกๆสภาพ ไม่ว่าจะเป็น แบบฝึกหัดยาก หรือแบบฝึกหัดง่าย จะอยู่ในธรรมชาติยาก หรือธรรมชาติง่าย เราจะอยู่ให้ได้ทุกๆ สภาพ ชีวิตก็อยู่กับองค์ประกอบ ของธรรมชาติ อยู่กับองค์ประกอบของทุกๆ อย่างที่มันจะพึงเป็นมา ตามวิบาก เราเรียกคำหนึ่งว่า วิบาก จะมีวิบาก จะมีมาก จะมีน้อย จะขาดแคลน เหลือ มันเป็นวิบากทั้งสิ้น

อาตมาชี้ให้ดูคราวนี้ว่าเอ่อ คราวนี้เรามาที่นี่ สำหรับบุคคล สำหรับผู้ใหญ่ สำหรับการต้อนรับของบุคคล พรั่งพร้อม ทีนี้มองไปในแง่ตื้น สำหรับการต้อนรับของธรรมชาติ เทวดาท่านยังไม่ค่อยส่งเสริมเรานัก เพราะพอมาถึงแล้ว สถานที่ โน่น นี่พรั่งพร้อม ความร่วมมือพรั่งพร้อม ฝนตกซิ เทวดาไม่พร้อม ตกหนักเลย ตกแฉะ ตกจนไม่ต้องลืมหูลืมตาเลยนะ ถ้าแม้เราไม่ได้รับความร่วมมือ จากบุคคล พวกเราตกเป็นหมาเปียกน้ำ หมาตกน้ำเลย มะลอกมะแลกแน่ แต่เราไม่เป็นไร เราสบาย เพราะว่า อยู่ในที่ๆ อาคารสถานที่ห้องล้อมพร้อมพรั่ง ไม่เปียกไม่เลอะ ไม่เทอะ ไม่เปื้อน ไม่เปรอะ อยู่ได้สบาย แต่เทวดาท่านก็กั้นคน คนจะมาก็ไม่สะดวก ใครเขาจะมา เขาก็ไม่กล้าเสียสละ เหมือนกัน ต้านไม่ให้คนมา เอาไว้อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อันที่จริงแล้วมองซ้อนลงไปลึกอีก ก็ดีเหมือนกันล่ะ มันไม่พรั่งพรูมากเกินไป ได้คนที่คัดเลือก ได้คนที่ได้พยายามติดต่อก็ไม่น้อย ที่จริงก็หนาแน่น อุ่นหนาฝาคั่งพอประมาณ ดังที่เห็นๆ ไม่ถึงคับคั่ง ไม่ถึงเฮละโล โฮละเลทีเดียว แต่ก็ไม่น้อย อย่างนี้ถือว่าไม่น้อย อย่างนี้ถือว่าสมบูรณ์ พอได้ทีเดียว

ข้อสำคัญ ควรประมาณ เท่านี้เราสามารถที่จะแสดง สิ่งที่เปิดเผย แสดงสัจธรรม หรือว่าสามารถ ที่จะชี้แจงเหตุ สามารถที่จะ ยืนยันความจริง ออกมาให้แก่เขาได้รู้ ได้รับได้เข้าใจ ได้เชื่อมั่นศรัทธา เลื่อมใส ได้เพียงพอหรือได้ดีไหม ได้ดีมากแค่ใด คุณทำได้แค่ไหนล่ะ ในบริษัทอย่างนี้ นี่ไม่ใช่บริษัท ที่มันกว้างใหญ่ จนกระทั่ง มีมวลมากเป็น ปาริสุทธิ์ เป็นบริษัท หรือเป็นหมู่กลุ่ม ที่มันหลายระดับ มีความรู้ มีความรู้สึก มีปัญญา มีอะไรต่ออะไรหลายระดับเกินไป ถ้าหลายระดับเกินไป บางทีนี่ก็ แจกแจง หรือว่าชี้ธรรมะ หรือว่าอธิบายใช้โวหาร ใช้ภาษาใช้อะไรต่ออะไร ก็ต้องกว้าง ก็ต้องยืดยาด ก็ต้องหลายเชิง หลายอย่าง มันก็ไม่รัดกุม เมื่อไม่รัดกุม มันก็ฟ่าม เมื่อฟ่าม มันก็จะคั้นเอาเนื้อ คั้นเอาแก่นสาร สาระเข้าไปก็ไม่ได้เต็ม แต่ถ้าเผื่อว่ามันไม่ฟ่าม มันไม่มากเกินไป มันก็ไม่ต้อง มีอะไรยืดยาด ไม่มีอะไรเติม แถม ไม่มีอะไรมากมายเกินไป มันก็ได้เนื้อ ได้เป้าหมาย ได้จุดสำคัญ ง่ายขึ้น อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ มันมีอยู่เสมอ มีอยู่ทั่วไปที่เราสังเกต ถ้าเผื่อว่าสังเกตได้ เราจะสังเกตเห็นว่า องค์ประกอบต่างๆ ในการทำงาน มันจะประกอบไปด้วย อย่างที่อาตมาชี้แจงให้ฟังบ้างเล็กน้อยนี้

นับวันๆ พวกเราได้เผยแพร่เป็นกองทัพธรรมรู้จักกิจ รู้จักการงาน แต่ละบุคคลก็รู้จักการช่วยเหลือ เฟือฟาย มีคนละอัน คนละอย่าง ตั้งแต่ตัวผู้นั้นเองมีภูมิธรรม มีกริยาตั้งแต่พฤติกรรมกาย พฤติกรรม วาจา เราไปไหนพฤติกรรมกาย พฤติกรรมวาจา พฤติกรรมของมโนกรรม หรือจิตเองจริงๆ มันก็ไปด้วย เรามีพฤติกรรมที่สำรวมสังวร แม้เพียงเท่านี้ มันก็เป็นรูป เป็นแบบเป็นอย่าง เป็นมวลที่จะไปเผยแพร่ เป็นสินค้าที่จะนำไปเปิดเผยต่อ ต่างถิ่นต่างที่ ต่อผู้คน ที่เขาไม่เคยได้สัมผัส ก็เป็นประโยชน์ของแต่ละ บุคคล นั่นแหละ ก็เป็นส่วนหนึ่ง หน่วยหนึ่ง มวลอันหนึ่ง อณูหนึ่ง ที่จะสามารถรวมตัว เป็นหมวดหมู่ เป็นปริมาณมาก รวมกันให้ดูอุ่นหนาฝาคั่ง มีพลังฤทธิ์ แม้แค่เท่านี้ เพราะฉะนั้น ในตัวบุคคลทุกคน ปฏิบัติตนเป็นสำรวมสังวรตน ไปฝึกหัดตามแบบฝึกหัด ดังกล่าวมา แต่ต้นด้วย แล้วเราก็จะได้ แพร่ตัวเอง ตัวเองนี่แหละเป็นสื่อ ตัวเองนี่แหละเป็นของจริง แม้จะเป็นส่วนกำลังฝึกหัดอยู่บ้าง สังวรสำรวมอยู่บ้างก็ตาม ที่จริงแล้ว ก็ส่วนที่เราได้แล้ว เรามีแล้วเป็นแล้ว มันก็ติดพฤติกรรมกาย พฤติกรรมวจี พฤติกรรมใจของเรามาด้วย เรามาที่ไหน เรามีพฤติกรรมที่นั่น หรือมีจริยะ จริยะแปลว่า พฤติกรรม หรือแปลว่าความประพฤติ มันก็จะมาด้วย มันมาจริงตามจริง

มันสังวรได้มากก็สังวรได้มากจริง สังวรยังไม่ได้มาก บกพร่องบ้าง เหมือนกับมีตัวบกพร่องนั้น มาด้วย จริง แต่เราก็ได้ เป็นผู้ฝึกหัด สำรวมสังวร ปรับปรุงพฤติกรรม หรือปรับปรุงความประพฤติของเรา มาบ้างแล้วจริง เพราะฉะนั้น จึงไม่ใช่ตัว สิ่งที่ยังไม่ได้หัด ยังไม่ได้ฝึก ยังไม่ได้ขัด ยังไม่ได้เกลาเลย ไม่ใช่ แต่เป็นตัวที่ได้ฝึกได้หัด ได้เกลาบ้าง แล้วมีความเป็นไปได้ ขัดดีบ้าง มากบ้าง ดีน้อยบ้าง อะไร จริงๆ แล้วเอามารวมๆ กัน เป็นตัวอย่างให้เขาได้เห็น คนที่เขายัง ไม่เคยได้รับ ไม่ได้สัมผัส เขาก็จะเห็น อ้อ! คนที่สำรวม สำรวมน้อยเป็นอย่างนี้ สำรวมมากเป็นอย่างนี้ คนที่ได้มาก เป็นอย่างนี้ คนที่ได้ น้อยอยู่ เป็นอย่างนี้ เขาก็จะได้เปรียบเทียบกับตัวเขาว่า คนที่ยังได้น้อย เป็นอย่างนี้ใกล้ๆ กับเขา เหมือนกันนะ คนที่ได้มากแล้ว เออไกลจากเขาไปมากแล้วนะ คนที่ยังได้มากบ้าง น้อยบ้าง กลางๆ เออก็ห่างเขาเท่านี้อย่างนี้ มันใช้ภาษาพูดไม่ไหว มันมากแง่มากเชิง เพราะฉะนั้น เราอาศัยของจริง เรามีของจริง คุณมา คุณเสียสละเงินทอง เสียสละแรงกายแรงใจ เสียสละเวลา เสียสละอาชีพ ด้วยหลายคน เสียสละรายได้ที่ควรจะได้ มา มาหัดด้วย มาเป็น ประโยชน์ต่อท่านด้วย

ถ้าคุณไม่เข้าใจว่า คุณมาได้อะไร มาให้อะไรแก่ผู้อื่น อะไรอีกด้วย คุณก็ไม่มีน้ำหนักพอ ที่คุณจะ เสียสละ แต่ถ้าผู้ใดเข้าใจแล้ว รู้มีปฏิภาณ มีปัญญาลึกซึ้ง รู้ว่าเรามานี่ เราเพื่อมาหัดตน และตน ก็ได้ด้วย และเราเพื่อมาให้ท่าน ท่านก็ได้ไปจากเรานี่ด้วย ถ้าคุณมีปฏิภาณเพียงพอ คุณก็จะรู้ว่า เรานี่มาก่อประโยชน์ คุณก็เสียสละ กล้าเสียเวลา กล้าเสียทุนรอน เสียทรัพย์สิน เงินทอง เสียอาชีพ เสียแรงงาน เมื่อยด้วย คุณก็กล้าเสีย ทั้งๆ ที่สิ่งที่เสีย ที่กล่าวคำว่าเสียๆ อยู่นี่ คุณก็รู้ว่า อะไรมันเกิดขึ้น อะไรมันเจริญขึ้น อะไรมันงอกงามขึ้น อะไรมันได้ขึ้นในโลกในสังคม คุณก็ต้องรู้ เมื่อคุณรู้แน่ใจแล้ว ใครจะพูดยังไง ก็ไม่แปลกประหลาดอะไร ถ้าคุณเชื่อมั่นของคุณเอง เป็นปัจจัตตัง แล้ว ใครจะกล่าว เอ๊ย โง่ นี่ดูซิอะไรกัน เฮละโล ตามๆ กันไปทำไมบ้า ๆบอ ๆ มาก็ไม่เห็นสนุกอะไรเลย ที่จริง คุณสนุกหรือเปล่า คุณรู้นะ แต่ละคนนี่คุณรู้ คุณร่าเริงเบิกบาน คุณสนุกหรือเปล่า จริงเราไม่ได้พา ไปเต้นไปดีด ไปเหมือนกับยังวนดนตรี ไปที่ไหนก็มีฉาบ มีกลอง มีฉิ่ง มีแตรอะไรต่างๆ ไปแล้วก็เฮละโล เปรี๊ยวปร๊าววูดว้ายอะไรต่างๆนานา จริงเราไม่ได้เอะอะมะเทิ่งอย่างนั้น เราไม่ไปสนุกครื้นเครงอย่างนั้น แต่เราจะใช้คำว่าสนุก เราก็สนุกเบิกบานร่าเริงของเรา มันเป็นความเบิกบาน ร่าเริงในธรรม มันเป็น ความสนุกสนานร่าเริงในธรรม มันมีไหม คุณเข้าใจความหมายนี้ไหม อาการอย่างนี้ คุณได้รับบ้างไหม หรือมาแล้วก็โอ๊ย ซึมเศร้า อึดอัดขัดเคือง โศกาอาดูรอย่างนั้นหรือ หรือว่าแหม! มันปีติชื่นชมยินดี ได้รับความอิ่มเอิบใจ มันไม่ร่าซ่า มันไม่ครื้นครั่น มันไม่เอิกเกริกเฮฮา นั่นก็ใช่อยู่ อย่างนั้นเป็น ลักษณะโลก ร่าซ่า เอิกเกริก ครื้นครั่น เฮฮา เวี้ยวว้าว วู้ว้าอะไร ฟู่ฟ่า อย่างนั้นมันเรื่องโลก เราก็รู้อยู่ ว่าเราไม่ได้ไปแสวงหาสิ่งนั้น แต่เราก็มีสิ่งรองรับอาศัย ที่บอกว่าเบิกบานร่าเริงชุ่มชื่น ปีติอิ่มเอิบใจเรามี แค่นี้เราพอไหม ยิ่งกว่านั้น ไม่ใช่ว่าแค่นี้น่ะ ลักษณะอย่างนี้น่ะ คุณว่าดีกว่าที่จะไปได้เอิกเกริกเฮฮา ฟู่ฟ่า หวือๆ หวาอะไรอย่างนั้น มันดียิ่งกว่าไหม

คุณเอง คุณเป็นคนรู้เอง คุณพอใจในสิ่งเท่านี้ หรือ คุณจะพอใจ ในสิ่งที่กำลังใช้ภาษาแทนอยู่นี้ว่า พวกเอิกเกริกเฮฮา ฟู่ฟ่า หวือหวา ครื้นครั่น อะไร อย่างที่เขาเป็นกันอยู่โลกๆ คุณพอใจอย่างนั้นยิ่งกว่า หรืออย่างนี้ยิ่งกว่า คุณเป็นคนพอใจ คุณเป็นคน คัดเลือกเอา เป็นอิสระเสรีภาพของเรา ไม่ใช่การบังคับ คุณเลือกเอง คุณพอใจเอง คุณจัดแจงจัดสรร เพื่อตัวเอง เอาเอง ไม่ใช่คนไหนเขามาบังคับ อาตมา เพียงชี้เพียงบอก เพียงเอาความจริงเหล่านี้ มาเปิดเผย ให้กระจะกระจ่างขึ้น บางคนอาจจะไม่ปฏิภาณ ไม่รู้รายละเอียด อย่างที่อาตมากำลังพูด พอพูดขึ้นมาแล้ว คุณก็ระลึกได้ คุณก็อ๋อขึ้นมาได้ คุณก็เข้าใจได้ เพราะอาตมาพูดของมีจริง พูดของเป็นจริง อาตมาจะไม่พูด ของที่เป็นสิ่ง ยังไม่เกิด หรือสิ่งยิ่งลึกลับ ยิ่งไกลเกินเอื้อมเกินรู้ มาพูดกับคุณ อาตมาไม่นิยมอย่างนั้น อาตมาสอน หรือ อาตมาแนะ หรืออาตมาพาทำ ซึ่งใช้ศัพท์กับพวกคุณว่า อาตมาดูหมอ อาตมาไม่ใช่หมอดู อาตมาดูหมอ ที่อาตมาใช้ศัพท์นี้ มานานแล้ว ว่าอาตมาพาคุณดู สิ่งที่มันเป็น มันเกิดอะไรอยู่ หรือเกิดแล้ว อาตมาเอามาชี้ให้ดู อาตมาพาดูหมอ ไม่ใช่อาตมาคือดูว่า เป็นหมอที่รักษา เป็นหมอที่ได้ กระทำการบำบัด เป็นหมอที่ได้กระทำกิจ ทำการขึ้นไปแล้ว ให้ดูหมอ หมอรักษาถูกหรือไม่ ตัวคุณเองนะ เป็นหมอรักษาตัวเอง หรือคนอื่นช่วยกันรักษา แล้วอาตมาก็ชี้ให้ดูหมอ ไม่ใช่อาตมาเป็นหมอดู ที่จะมานั่งทาย นั่งทำนายอันนั้น อาตมาไม่ทำ มานั่งทำนายทายทักไปดูกันไป พยากรณ์กันไปก่อนๆ อะไรอย่างนี้ อาตมาไม่นิยม อาตมานิยมการดูหมอ ไม่นิยมหมอดู อาตมาใช้ศัพท์สั้นอย่างนี้ เพื่อให้เข้าใจ อาตมาใช้มานาน อธิบายอยู่ บางคนก็อาจจะสับสน ยังไม่รู้ละเอียด ก็อธิบายเรื่อย อธิบายเสริมไปเรื่อยๆ นะ

อาตมาก็พยายามชี้ พยายามทำให้พวกเราเข้าใจ ให้เห็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ให้เห็นว่า ชีวิตของเรานี่ ฝึกฝนอะไร ในวันคืนที่ผ่านไปๆ เราสร้างสรรประโยชน์ สร้างสรรตน ให้ตนเดินทาง ไปสู่สุคติ หรือเดินทางไปสู่ ความเจริญของชีวิต ไปสู่ความประเสริฐสุดยอด เหมือนอย่าง พระพุทธเจ้า ท่านถึง เหมือนอย่างพระมหาสาวกท่านได้ เหมือนอย่างพระอริยเจ้า ท่านสามารถเป็นไปนี่ เราเดิน อย่างไร เดินไปในทิศไหน เดินไปในทางไหน เดินไปเอาอะไร เดินไปเอาจุดมุ่งหมายอย่างไร อาตมา ก็พยายามหยิบมาชี้ หยิบมายืนยัน หยิบมาบอกกล่าว คุณจะเข้าใจได้แค่ไหน แค่ใด คุณเอง คุณก็พยายามรู้เอา อาตมาชี้นี่เป็นภาษาเป็นคำพูด สภาวธรรม หรือของจริง มีอะไรแค่ไหน คุณก็พยายาม ใช้ปัญญาของคุณ นั่นแหละ ตามเอาให้รู้ ว่ามันเกิดขึ้นหรือยัง เกิดขึ้นได้สมบูรณ์หรือยัง หรือว่ายังไม่ได้ หรือว่ายังฟังแล้ว ก็ยังไม่ออก ฟังแล้วก็ยังไม่รู้เอ๊ อันนี้คืออะไรนะ อันนี้มีที่ไหน อย่างไร คุณก็พยายามตามไป ก็แล้วกัน

กองทัพธรรมของเรานี่มีอะไรหนาแน่นขึ้น สอดประสานแน่นขึ้น รู้จักหน้าที่ รู้จักประโยชน์ เพราะฉะนั้น คนที่มีประโยชน์น้อย ก็ชักจะมีประโยชน์เพิ่มขึ้น งานการที่เราช่วยสอดร้อยกัน มาไม่เสียเปล่า เป็นคนขยัน หมั่นเพียร ไม่ดูดาย เป็นคนที่ช่วยเหลือเกื้อกูล เอางานนั้นกิจนี้ งานนั้นขาด เราเข้าไปเสริม งานนี้ยังไม่สมบูรณ์ เราก็ไปเติม งานนี้เต็มแล้ว เราแบ่งไปดูแลอันอื่นซิ อันอื่นมีอะไรอีก จะพอช่วย พอเหลือ อะไรที่จะพอเป็นไป ทุกคนสามารถมีคุณค่า สามารถมีประโยชน์ได้เสมอ โดยทุกคน เหมือนกัน อยู่แล้ว คือ ทุกคนมาเสียสละ ทุกคนไม่ได้รายได้อะไร ทุกคนไม่ได้ค่าเป็นตัวลาภ ยศ สรรเสริญ อะไร เราไม่ได้มาล่าสิ่งเหล่านั้น เราไม่ได้มากอบโกยสิ่งเหล่านั้น แต่กลับกัน เรากลับ มาลดลาภ ลดยศ เรามาลดความติดยึด ที่มันหลงคุณค่าแบบโลกๆ เรามาพยายามชำระออก เราพยายาม มาเสียสละ เราพยายามมาขยัน มาทำงาน

ถ้าเราทำงานกับหมู่คน คนที่รู้จักหน้าตาเรา ยิ่งคนเขานับถือยกชั้นเราไว้เลยว่า เรานี่เป็นคนใหญ่ มียศมีศักดิ์ แล้วคนเหล่านั้น ก็ยกเราเยอะแยะ มากมาย มีร้อยคน สองร้อยคน ห้าร้อยคน เขายกเรา ไว้สูงทั้งนั้น ทีนี้ถ้าคนนี้ ถือตัวหรือ ติดมานะ เราจะลงไปทำอะไร ลงไปนี่ต่ำลงไปนี่ ชักยาก เขินไม่กล้า แต่ไปในถิ่นที่คนร้อยคน พันคน เขาไม่รู้จัก หน้าเราเลย เราเป็นใครเขาก็ไม่รู้ เรามียศมีศักดิ์อะไร เราก็ไม่รู้ ทีนี้เราจะลดตัวลงไปทำอะไรต่างๆ ก็ถือว่า โลกเขาถือว่าต่ำ แท้จริง มันไม่ใช่ต่ำหรอก อาตมา บอกแล้วว่า งานการที่ต่ำคือ งานทุจริต งานการที่สูงคือ งานการสุจริต ไม่ใช่ว่า เราไปกวาด จะไปขัดส้วม จะไปเช็ดถู ไปแบกไปหาม ไปทำอะไร พวกนี้ เป็นงานต่ำ ไม่ใช่งานต่ำ แต่โลกเขาก็ถือ อย่างนี้เป็นต้น เอาละตามสมมติโลก โลกเขาถือว่า งานไปแบกไปขน ไปหยิบ ไปยก ไปหาม ไปปัด ไปกวาด ไปถู เป็นงานต่ำ ถ้าคน๑๐๐ คน ๒๐๐ คน เขายกค่าคุณแล้ว เขาสมมติอยู่ว่า คุณสูง เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่มียศศักดิ์ คุณจะลงไปทำอย่างนั้น คุณก็กระดากกระเดื่อง สะเทิ้นสะท้าน ไม่กล้า แต่ไปอยู่ต่อหน้าคน หรือไปอยู่ในกลุ่มหมู่ ที่เขาไม่รู้จักคุณเลย เขาไม่ได้ยกยศ ยกศักดิ์อะไรคุณเลย คุณจะลงไปทำงาน กวาดปัด เช็ดถูอย่างนี้ เป็นต้น คุณกล้ากว่า สามารถทำได้ คุณก็จะเคยชิน คุณก็จะเกิดกล้าหาญเพิ่มเติมขึ้นมา เป็นขั้นเป็นตอน เป็นอะไร อย่างนี้ เป็นต้น นี่มันจะเป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เราไปในสถานที่ต่างๆ ไปในที่อย่างโน้นอย่างนี้ พากันไป บางคนเป็นศักดินา บางคน ทุนนิยม อยู่บ้านเรา ไม่กล้าทำหรอก เพราะว่าอยู่บ้านเรานี่ เราใหญ่ พอออกจากนอกบ้าน เออ!เราทำได้ อย่างนี้เป็นต้น

คุณเคยทำนอกบ้านได้ ประเดี๋ยวคุณกลับไปในบ้าน คุณก็ไปทำได้ กล้าขึ้น ประเดี๋ยวคุณก็ทำได้ ทุกหนทุกแห่ง แม้แต่ในแห่งที่ เขายกยศ ยกศักดิ์ของเรา นี่คือการลดศักดินา ลดทุนนิยม ลดความเป็น นายทุน ลดความเป็นศักดินา ลดมานะ นั่นเอง เราจะรู้ เราจะสมควรทำในกาละอย่างไร สมเหมาะ สมควรที่สุด เกิดความกล้า และเกิดคน จนกระทั่ง อาจจะกล้าเลยเถิด ไม่ดูเหมาะสมกับ กาลเทศะ เวลา ฐานะ หรือสถานที่ ที่ไม่เหมาะ เราก็จะรู้ว่า เออ!อันนี้มากไปนะ อันนี้น้อยไปนะ มันจะจัดเจียน ของมันขึ้นมาดูเหมาะดูสม มีชั้นมีเชิง มีอะไรต่ออะไร ประสมประสาน สอดร้อย แม้แต่ผู้ที่อยู่ร่วมกัน บางคนก็จะรู้ว่า อันนี้ สถานที่นี้ กาละอย่างนี้ บุคคลอย่างนี้ อย่าให้ท่านทำเลย เราเข้าไป


จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรมะฯ
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มรัตนา เมษายน ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

การเผยแพร่ธรรม 077J DOC