บรรยายธรรมหลักสูตรเข้ม
โดย พระโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๒ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๕
ณ ศาลาประชาคม จ. พัทลุง


เอ้า! เราได้มา เรียกว่ามาทำบทเรียน ตามหลักสูตรเข้ม ที่พูดพยายามวางโครงสร้าง วางโครงการ อะไรขึ้นมา แล้วก็ให้กระทำกัน เรียกว่าหลักสูตรเข้มก็ตาม ความจริงนี่ คำว่าหลักสูตรเข้ม สำหรับ พวกเรานั้นน่ะ มันเป็นหลักสูตรอ่อน สำหรับพวกเรา พวกปฏิบัติหรือผู้มานี่ แต่พวกเราก็เป็น ตัวเข้ม สำหรับเขา สำหรับผู้ที่ยังอ่อนอยู่ ก็จะรับสัมผัส รับรู้สึก ก็จะรู้สึกว่า พวกเรานี่เป็นหัวยา เป็นตัวเข้ม เป็นตัวแข็ง สำหรับผู้ที่เขารับต่อๆเชื่อมโยงขึ้นไป เขาก็จะได้อาศัยหัวยา หรือได้อาศัย ผู้ที่เข้มแข็ง ผู้ที่ทำได้แล้ว คล่องแคล่ว อย่างแข็งแรงไม่อ่อนแอ ปวกเปียก มีท่าทีสนิทสนม ท่าทีสนิทเนียน มีอะไร ต่ออะไรลงตัว เป็นแบบเป็นอย่างอันถูกท่าถูกที สมสัดสมส่วน สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องนำพา เป็นเรื่อง นำจูงกัน ในสังคม ดังที่เราได้พูดกันแล้วบอกว่า ผู้ที่จะสอนผู้อื่น จะต้องเป็นผู้ที่ตั้งตน ในคุณอัน สมควรก่อน และสอนผู้อื่นภายหลัง จึงจะไม่เศร้าหมอง ซึ่งพุทธภาษิตท่านก็ได้ตรัสเอาไว้อย่างนั้น ก็เป็นความจริง แล้วก็จะต้องทำให้ได้จริงตามนั้น และเรามีจริง ตามที่ว่านั้น สิ่งนั้นจึงจะเกิดต่อ เกิดตามหรือเกิดคุณค่าขึ้นไปได้ เพราะเหตุว่าเราได้มีผู้นำ ได้มีผู้พากัน ผู้นำ ผู้พาก็ตั้งตนในคุณ อันสมควรก่อน แล้วก็สอนผู้อื่น จึงแจ่มใสไม่เศร้าหมอง จึงแจ่มใส สดใส หรือว่าเจริญงอกงาม ดีขึ้นมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ

แม้แต่เราได้กระทำในที่ ที่มันยากแสนยาก เราก็พยายามที่จะนำจะพา เราจะแข็งจะเข้ม เราพยายาม จะแข็งจะเข้ม เราพยายามที่จะเป็นหลัก ดึง กระชาก หรือพยายามที่จะให้เขาถด ถดไม่ใช่ถดถอย ถดกระเถิบ ให้เขาถดกระเถิบเลื่อนขึ้น ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย ที่ให้เขาถดกระเถิบเลื่อนขึ้นๆ นี่ มันเป็น ความหนัก ถ้าให้เขาเลื่อนลง นี่มันไม่ยากหรอก โลกเขาดึง เลื่อนลงง่าย โลกเขาดึงเลื่อน ลงไปหาต่ำ มันไม่ยากไม่เย็นอะไร มันเป็นไปได้น่ะ แล้วก็ง่ายด้วย สำหรับการที่จะดึงให้ถด กระเถิบขึ้น ดึงขึ้น กระชากขึ้น ต้องอาศัยแรงมาก ต้องอาศัยน้ำหนักที่มั่นคง ต้องอาศัยสิ่งที่ไม่แปรปรวนแข็งแรง เป็นเนื้อแท้ เหตุเพราะว่า เราได้มีเนื้อแท้ ได้มีสิ่งที่แข็งแรง ได้มีสิ่งที่จริงจัง จริงใจ อาตมาทำงานมา ๑๒ ปี อาตมายังไม่รู้สึกว่า อาตมาจะต้องถดถอย มีแต่คนหาว่า อาตมาแรงไปๆ นับวันออก รู้สึก วันนี้ เมื่อคืนนี้อาตมาก็ยังทบทวน เอ๊! เราทำไปนี่ นานวันขึ้น นานวันขึ้นที่จริงนี่น่ะ กระแสเสียงนี่ มันเป็น องค์ประกอบอยู่เสมอ อาตมาใช้คำว่ากระแสเสียง ก็น่าจะชัดน่ะ คือกระแสเสียง ความเล่าลือ กระแสเสียง ในรายละเอียดต่างๆ หรือกระแสเสียงเป็นเรื่อง เป็นราวของเรา โดยเฉพาะ ของธรรมะ อโศก ที่อาตมาได้พาก่อพาเกิดมานี่ มันก็ต้องกระจรกระจายไป มันกระจรกระจายไปแล้ว กระแสเสียง เหล่านี้ ก็จะเข้าไปถึงหูคน จะบอกว่ามันดัง คำว่าดัง นั้นคือ มันกระฉ่อนไป มันลือไป มันกระจายไป กระจายไป คนก็ได้รับ ผิดบ้าง ถูกบ้างก็ตาม จะทำให้เรานี่รู้สึกเพี้ยนไป เขาได้ยินกระแสเสียง ที่มันแปรปรวนไปบ้าง มันไม่ถูกตรงทีเดียว มันเบี้ยวๆ ไป มันผิดๆ บางทีบางอัน ตรงกันข้ามกันเลย เป็นข่าวลือไปในทางเสีย ในทางเสื่อม ในทางร้ายอะไรก็ตาม

กระแสเสียงเหล่านั้น ก็น่าจะทำให้คนได้คิด ได้วิจารณ์วิจัย ได้ใช้ปฏิภาณ เพราะว่าคนเรานี่ มันได้คิด วิเคราะห์วิจัยอยู่ในตัวเอง ทั้งนั้นแหละว่า มันเป็นส่วนดีบ้าง ส่วนชั่วบ้าง ก็ต้องคิด มันไม่ใช่ว่า เราจะฟัง กระแสเสียงอะไรแล้วก็เฉย แล้วก็เชื่อตามๆๆ ไม่มีใคร จะคิดเอาอย่างนั้น เอาทีเดียวหรอก พอได้ฟัง อย่างนี้ ก็เชื่อตามเขาไปเลยทีเดียว มันไม่มีหรอก มันก็จะต้องวิเคราะห์วิจัย มันก็จะต้อง มามอง แง่นั้นเชิงนี้ ยิ่งมีกระแสเสียงมาก ผิดบ้าง ถูกนั่น ไม่มีแน่ ถูกบ้าง มีผิดบ้าง มีอย่างโน้น อย่างนี้บ้าง มันย่อมแน่นอน มันย่อมมีอะไรๆมาปนๆเปๆกันเข้าไปนั้น แน่นอนละ เพราะฉะนั้น กระแสเสียงที่มันถูก ย่อมมี กระแสเสียง ที่มันผิด ย่อมมี เมื่อมันมีทั้งผิดทั้งถูก มันก็ทำให้คนที่เขาได้รับ ทั้งสองกระแส หรือหลายกระแส ถูกมากถูกน้อย ผิดมาก ผิดน้อย ซ้อนเข้าไปอีกเยอะแยะ เขาย่อมเอาเหล่านั้น มาเป็นข้อมูลวิเคราะห์วิจัย และถ้าผู้ใดที่แสวงหาความจริง หรือพยายาม ที่จะสอดส่องค้นคว้า เอาความถูกต้อง ที่สมบูรณ์ขึ้นมา เขาก็จะต้องค้นหาข้อมูล ค้นหารายละเอียด อะไรเพิ่มเติมอีก ก็แน่นอนที่สุดว่ามันจะต้องได้ความถูกต้อง หรือได้ความจริงเข้ามา ใกล้สภาพความแท้นั้น มากขึ้น เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ในกระแสเสียงต่างๆ นี้มันก็ยิ่ง มันกระจรกระจายออกไป มันก็น่าจะได้ทำ ความแรงได้ยิ่งๆขึ้น ยิ่งนับวัน นับเวลาคนรู้ หรือคนไม่มีปัญญา มีปฏิภาณ ก็น่าจะได้รู้ถึงความจริงนี้ ยิ่งๆ ขึ้น เมื่อได้รู้ความจริงนี้ยิ่งๆขึ้น ก็เป็นมวลเป็นหมู่ หรือเป็นความเห็นพ้อง เป็นความเห็นสนับสนุน เป็นน้ำหนักรวมขึ้นมา เป็นแก่นเป็นแกนร่วม เพิ่มขึ้นๆ

เพราะนับวันไม่ใช่ว่า เราจะต้องทำอ่อนลง นับวันเราจะทำแข็งเข้มได้มากขึ้น ยิ่งนานวัน มันต้องยิ่ง แข็งเข้ม ได้มากขึ้น นี่อาตมาว่า อาตมาลองอธิบายถึงความจริงอันนี้ให้ฟังแล้ว อาตมาก็รู้สึก เพราะอาตมาพูดได้แข็งเข้มยิ่งขึ้น ทีนี้การทำความแข็งเข้มขึ้นๆ ของอาตมานี่ บางคนก็ว่าอาตมานี่ แหม!แรง แรงขึ้นอันนั้นจริง อาตมาก็ว่าจริง แต่ทีนี้ อาตมาวิเคราะห์ ให้ฟังแล้วว่า ทำไมนานวันเข้าๆ อาตมาควรทำอ่อนลง อ่อนลงเหรอ ถ้านานวันเข้า ความจริงควรได้ มากขึ้น ความแข็งความเข้ม ความสถิตเสถียร มันควรจะยิ่งยืนยัน ยืนหยัดยิ่งขึ้น มันจึงจะมีน้ำหนักมากขึ้น แล้วจึงจะมีแรงดูด ที่สูงขึ้น จึงจะได้ดึงให้ความต่ำนี่กระเถิบ ถดกระเถิบสูงขึ้นมา มีปริมาณ มากขึ้นมาอีกยิ่งขึ้น มันควร จะเป็นอย่างนั้น ไม่ใช่หรือ อาตมาก็มาทบทวนคิดนึก ไตร่ตรองดูก็เห็นในสภาพพวกนี้ ซับซ้อนอยู่ บางคนก็มีความคิดว่า ควรจะได้อย่างอนุโลม ลงไปหาเขาบ้าง คำว่าอนุโลมหาเขาบ้างนั้น มันเป็น ความพ่ายแพ้ ถ้ายิ่งอนุโลม หรือหย่อนยานมากขึ้น นั่นเป็นความพ่ายแพ้ สิ่งอย่างนี้เกิดอยู่ มีอยู่ใน สังคม เกิดอยู่มีอยู่ในโลก เราไม่ต้องมองอะไรมาก เรามองศาสนาพุทธนี่แหละ แต่เดิมเข้มข้น พระพุทธเจ้า ทำอย่างได้สัดได้ส่วน ได้เนื้อ ได้แก่น เราก็คงยอมรับว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า มีศาสนา อันบริสุทธิ์บริบูรณ์ มีมวลมีเนื้อมั่นคงแข็งแรง สะอาดดีต่อมา ต่อมาๆ มันก็เปื้อนขึ้น มันก็เลอะขึ้น หย่อนยานขึ้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้

ก็แน่นอนใครก็ต้องรับความจริงว่า มันหย่อนยานกันไปเหลือหลายแล้ว มันไม่สะอาดมากแล้ว แม้มัน จะมีปริมาณ กว้างขึ้น มีคนรู้คนนับถือ มีจำนวนมากยิ่งกว่าแต่เดิม ในสมัยพระพุทธเจ้า ซึ่งยังไม่แพร่ ออกจากประเทศอินเดีย จนเดี๋ยวนี้ มันแพร่ออกไปทั่วโลก มีปริมาณคน มีคนนับถือมากขึ้น แต่มันก็มี ตัวหย่อนยาน คำว่าหย่อนยานนั้นน่ะ มันเกิดจาก ผู้ที่ไม่แข็งแรง ผู้ที่มีความคิดนึกคิดว่า แหม! เราควร อนุโลมให้เขาหน่อยน่ะ นั่นแหละ อันนั้นแหละ มันไม่สามารถ ที่จะทำความเข้มแข็ง มันไม่สามารถ ที่จะทำความแข็งเข้ม ที่สามารถขึ้นได้ตามสัดส่วน มันก็จำต้องหย่อนยานลงไป หย่อนยานลงไป เมื่อความหย่อนยานลงไปๆ มันผู้ที่ยิ่งอ่อน ก็ยิ่งยินดีที่จะอ่อนลงไปอีก หย่อนลงไปอีก ความหย่อนดังนี้ มีอยู่ในโลก เพราะฉะนั้น ผู้ที่ทำความเข้มแข็ง หรือแข็งเข้มขึ้นมาไม่ได้ จึงทำให้เกิดการหย่อนอย่างนี้ อยู่ในสัดส่วน ที่เป็นจริง เพราะฉะนั้น ในโลกจึงมีความเสื่อม ขึ้นไปได้มาก เพราะคนที่แข็งเข้มนั้น มีน้อย คนที่หย่อนยานนั้นมีมาก เมื่อความหย่อนยานมีมาก ความเสื่อมจึงเกิดอยู่ แม้ในศาสนานี้ เราก็เห็นแล้ว สมัยโน้นๆ สมัยพระพุทธเจ้าโน้น กับสมัยนี้ เดี๋ยวนี้เนื้อหาของมัน จึงหย่อนยาน อย่างที่ เห็นๆนี้ เพราะฉะนั้น เรื่องของการที่จะยืนยันยืนหยัด ความเข้มแข็งนี้ จึงเกิดจากสัจจะ ไม่ใช่เกิดจาก เราจะมาทำ หย่อนเอง ยานเอง ผู้ที่เข้มแข็ง ผู้ที่ทำความแข็งเข้มขึ้นอยู่เรื่อยๆนั้น ก็จะทำจริง แล้วก็พยายามดึง พยายามเห็นเป็นไปด้วยได้เรื่อยๆ แล้วมันก็จะกระเถิบขึ้นๆ เมื่อผู้ใดเข้าถึงเขตของ ความยืนหยัดยืนยัน ถึงเขตของความไม่เปลี่ยนแปลง ไม่หวั่นไหว ไม่ลดหย่อนในเนื้อหาของตนเองนะ เมื่อในเนื้อหาของตนเอง มันไม่ลดหย่อน มันไม่แปรปรวน มันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา นี่สำนวนของ พระไตรปิกฎ หรือสำนวนของศาสนาโดยตรง ผู้เรียนมาแล้ว ผู้เคยอ่านมา ในสำนวนนี้ ก็จะได้ยิน มาแล้ว คือเป็นผู้เป็นอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา นี่เรียกว่า ไม่เวียนกลับ หรือไม่ตกต่ำ เป็นธรรมดา เมื่อได้ขีดที่แข็งแรงแน่นอนแล้ว ผู้นี้ไม่ยอมลดหรอก เอาเนื้อหาส่วนตัวนะ นี่พูดเนื้อหาส่วนตัว ไม่ยอมลด ไม่ยอมลดหรอก

เพราะฉะนั้น ผู้นี้จะยืนหยัดยืนยัน ผู้ที่ได้ความแข็งแรง ได้ความมั่นคง อย่างนี้แหละ จึงคือผู้ที่จะยืนยัน ความแข็งเข้ม เป็นหลัก เรียกว่า ผู้เป็นหลักตรึง แล้วจะดูดเอาคนอื่นเข้ามา ส่วนกรรมวิธีที่จะอนุโลมนั้น ผู้มีปฏิภาณดี คือผู้ที่มีภูมิสูง ผู้มีปฏิภาณยังไม่ดี คือผู้มีภูมิต่ำ แม้จะเป็นผู้ที่ยืนหยัดแข็งเข้มแล้ว แข็งแล้วก็จะใช้ปฏิภาณความรู้นั้น อนุโลม หรือว่าเอื้อมมือ มาดึงคนอื่น เหมือนผู้ที่อยู่ข้างบนบ่อ เอื้อมมือลงไปดึงคนที่ตกบ่อ อยู่ในบ่อ คนที่มีความฉลาด ก็จะเอื้อมลงไปได้ ประมาณที่ได้คำนวณ แล้วว่า เรายึดหลักไว้นี่แข็งแรง แล้วเราก็จะดึงขึ้นมา เอื้อมลงไปขนาดหนึ่ง สุดจะรู้ ส่วนคนที่ยังไม่มี ปฏิภาณดี จะเอื้อมลงไป ขนาดสุดแล้วก็ไม่รู้ ก็จะเอื้อมเกินไป เอื้อมเกินไป ไปดึงคนข้างล่าง คนข้างล่าง จะทำให้ คนที่ข้างบน อยู่ปากบ่อที่ดึงคนขึ้นมานี่ ตกลงไปตาย คนที่นึกว่า ตัวเอง ไม่คิดตก หรอกนะ ไม่อยากตกหรอกนะ แต่ตัวเองประมาณไม่ถูก จะต้องตกลงไปตาย หรือไม่ตก ก็ดึง คนนั้นไม่มีแรง เพราะแรงเอื้อมนี่ ถ้ามันสุดเอื้อม เกินเอื้อมไปหน่อยนี่ น้ำหนักจะน้อย สมมุติว่า คนที่ เอื้อมลงไปนี่ ขาลอย คนที่เอื้อมลงไปดึงคนข้างใต้ในบ่อขึ้นมานี่ ขาของผู้ที่อยู่ บนบ่อนี่ ขาลอยแล้ว ไปเอื้อมนะ ไม่มีแรงเท่าไรหรอก ดึงไม่ค่อยได้น้ำหนัก แต่คนนี้อย่าให้ขาลอยนะ ยึดหลักนี้ ให้แน่นนะ น้ำหนักหนึ่งนี่ จะดึงขึ้นมาได้มาก

ฉันใดก็ฉันนั้น การลดหย่อนหรือการต้องตกต่ำ เพราะความอนุโลม ของกรรมวิธีอย่างนี้แหละ จึงเกิดการเสื่อมอยู่ หรือลดหย่อนอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ยังไม่มีน้ำหนักเข้มแข็ง หรือว่ามีหลักยึด อย่างแข็งแรง และมีปฏิภาณ ฟังให้ดีนะ นี่เสริมคำว่า ปฏิภาณ ความรู้ที่จะใช้กรรมวิธีดึงคนอื่นนี่ ไม่มีปฏิภาณเพียงพอ อันนั้นน่ะเกิดความเสื่อมอยู่ ส่วนผู้มีปฏิภาณ แข็งแรงเพียงพอนี่ จะไม่เสื่อมง่ายๆ จะมีแต่ดึงคนอื่น ดึงคนอื่นช่วยคนอื่น ขึ้นมาได้เรื่อยๆ แล้วคนอื่นเมื่อขึ้นมา ก็จะมาโถม มาถม เป็นหลักเพิ่ม เป็นแก่นเพิ่ม เป็นแกนเพิ่ม ยิ่งแรง แข็งแรงมั่นคง มีน้ำหนัก ยิ่งสามารถดึงได้ เก็บกวาดได้ ช่วยเหลือได้ มากยิ่งขึ้นๆ นี้ เอาอันนี้มาอธิบายให้ฟังก็เพราะว่า เกิดการวิเคราะห์วิจารณ์ แม้ในหมู่เราเอง

ที่พูดนี่โดยเฉพาะพระ ซึ่งวิจารณ์กรรมวิธีอะไรๆ ต่างๆ นานามากอยู่ จะได้รับประโยชน์มากน่ะ เพราะว่าบางทีนี่ เห็นอาตมาทำแข็งๆ เข้มๆ ขึ้นมานี่ บางทีรู้สึกว่ามันแรงไป มันมากไป ติงอาตมาอยู่ อาตมารับฟังนะ อาตมาไม่มีปัญหา อาตมายืดหยุ่นให้ด้วย แต่อาตมารู้ดีว่า อาตมาจะแข็งจะเข้ม จะแรง หรือไม่แรง อาตมาก็ประมาณอยู่ แต่อาตมาเมื่อวานนี้ ก็ได้อธิบาย หรือวันก่อนนี้ ก็ได้อธิบาย ให้ฟังว่า การประมาณของคนนี่รู้สึกนะ เอาตัวเรานี่วัด แล้วเรารู้สึก แหม! มันแรงนะ แต่ผู้อื่นเขา ที่เขาว่าไม่แรง เขากลับ แหมกำลังลดได้ลดดีเชียว มันมีรสดีอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นความรู้สึก ของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้น เรารู้สึก เราอย่านึกว่าคนอื่นรู้สึกก่อนน่ะ เพราะฉะนั้น ในสิ่งเหล่านี้ ประมาณให้ดี แล้วเราก็รับไป แล้วเราก็อย่าไปประมาณ เท่านั้น เราดูผล ผลที่เรากระทำกันไป มีอะไรๆ กันไปนั้น มันมีส่วนได้ส่วนเสีย หรือเปล่า มีสิ่งที่มันเกิดคุณ เกิดค่าหรือเปล่า

บางคนมีนิสัยชอบอ่อนๆ เพราะฉะนั้น เจอแข็งๆ เข้มๆ แล้วมากเข้า บางทีรู้สึกว่า เอ๊ เราทนทีหนึ่งนี่ เราอาจจะทนได้ หลายๆทีเข้า ก็รู้สึกจะทนไม่ได้ อย่างนั้นก็รู้สึก นานๆ เข้าก็เจอแข็งๆ เข้มๆ เข้าหลายๆ ทีก็รู้สึกว่า เอ๊! ไม่ค่อยไหวน่ะ อันนี้จริง สำหรับคนที่ยังไม่มั่นคง โดนตีหลายๆหมัดเข้า บางทีก็เจ็บ เหมือนกัน โดนตีหมัดเดียว ก็รู้สึกทนได้ โดนตีหลายหมัดเข้า เอ๊! เจ็บแล้วนะโว้ย เพราะเขาชอบเบาๆ ไปตีแรงๆอย่างนี้ ถ้าตีแรงๆทีเดียว ก็อาจจะทนได้ ตีหลายทีก็ไม่ทน ดังที่กล่าวแล้วนะ เพราะฉะนั้น อันนี้ต้องประมาณหลายอย่าง หลายมุม ต้องพิจารณาให้ดีๆนะ

การทำงานของเรานี้ เมื่อประมวลถึงผล ต้องเอาสิ่งจริงที่เกิด แล้วประมวลผลเรา ดูผลได้ผลเสียอะไรๆ ไป ขณะนี้อาตมาทำงานนี่ หมู่กลุ่มโดยเฉพาะหลักแกนที่เป็นพระนี่ ไม่ได้ทวีกันมากหรอก ทวีกันช้าอยู่ เพราะฉะนั้น ในมวลที่ทวีกันช้าอยู่ กลุ่มแกนหรือกลุ่มหลักนี่ยังไม่มาก เราจะไปทำอัตราส่วนขยาย หรือ อัตราส่วนก้าวหน้านี่ มากขึ้นๆ เกินไป มันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในการทำงานที่อาตมาคำนวณอยู่นี่ ก็ทำงานให้ได้ ประมาณหนึ่ง เราจะได้คน ที่เข้ามาให้เราสอน หรือ entrance รับลูกศิษย์เข้ามาเรียนนี่ เราอย่าไปตะกละตะกลามเข้า ลูกศิษย์เข้ามาให้ entrance เข้ามา ปริมาณมากเกินไปๆ มันสอน ไม่ได้หรอก โดยเฉพาะนี่ครู ถ้ามีครูนั่งฟังอยู่ที่นี่ จะเข้าใจดี ห้องสอนของเรา จะรับมากเกินแรง สอนไม่ได้ผล ห้องสอนของเรา หรือว่าปริมาณนักศึกษา ที่เราจะสอนนี่ ควรจะมีปริมาณ เท่าฤทธิ์แรง ของเรา จะช่วยได้ ถ้าเราไม่เก่งกว่านั้น เราจะไปเพิ่มปริมาณนักเรียนในห้อง ให้มากกว่านั้น สูญ ไม่เกิดผล ไม่เกิดผลน่ะ ไม่ดี เพราะฉะนั้น การ entrance จึงเป็นระบบของการศึกษา แน่นอน เราจะใจดีเกินการ รับเข้ามาทั้งหมด เขาอยากเรียนเขามีเอาเถอะ รับมาเถอะ ไม่ได้ จะว่าใจดำก็ตาม คนที่ยังไม่ควร จะเข้ามาในห้องเรียน เอาเถอะ คนอื่นช่วยไปก่อนเถอะ อย่าให้เข้ามาเลย การศึกษานี้ จะไม่สัมฤทธิ์ผล เพราะฉะนั้น จะบอกว่า ทำไมไม่อนุโลมเขา เอื้อมเขา รับเขามาบ้างเล่า อนุโลมไม่ได้ ต้องมีหลักเกณฑ์วัด ต้องมีหลักเกณฑ์รับคนเข้ามาก่อน เพราะฉะนั้น การบรรยายธรรมะของอาตมา หลายคนรู้สึกแน่ และในแน่นอน คนที่เข้ามานั่งฟัง ทั้งหมดนี่ อาตมาจะรับหมดไม่ได้ ตีทิ้งส่วนหนึ่ง รับส่วนหนึ่ง ต้องได้ส่วนหนึ่ง ส่วนที่ไม่ได้ก็ต้องตกไป

นี่คุณครูฟังอาตมา มานั่งนี่หลายคนว่า เอ้!ทำไมท่านไม่น่าจะทำอย่างนี้ บางคนเขาก็ไม่ชอบใจน่ะ อ้าว!อาตมาจะไปทำได้หมดทุกคนเหรอ อาตมาจะมาเอาให้เขารับทุกคน ให้เขาติดใจทุกคน แล้วรับ มาหมดทุกคนไม่ได้ นี้คือความหมาย นี้คือความมุ่งหมาย นี้คือความจริง เพราะฉะนั้น บางคน ฟังแล้ว เขาก็ไม่ชอบใจ มีคำถามโต้แย้ง ค้านแย้งถามมา อาตมาตัดทิ้งเลยก็เห็นได้ อาตมาตอบตัดทิ้งเลย ด้วยซ้ำ บางคน อย่าว่าอาตมาโหดร้าย อาตมาไม่ได้โหดร้าย อาตมาเป็นครู อาตมามีวิชาครูนะ อาตมานี่ มันซวย ไปสมัครสอบคุรุศาสตร์บัณฑิต เขาก็ไม่ให้ เขาบอกว่าแขนงนี้ยังไม่เปิด ไม่เปิด อาตมาก็ไม่ได้เรียน เลยไม่ได้ คุรุศาสตร์บัณฑิต ทั้งที่เรียนอีกนิดหน่อย ก็เอาคุรุศาสตร์บัณฑิตมาได้ เขาก็ไม่ให้เรียนน่ะ สอบบัณฑิตอย่างเก่งก็ ๒ ปี เขาก็ไม่ให้ ไม่ให้ก็ไม่เอา มันก็ไม่ได้เรียนกัน พอบท จะได้เรียน พอบทเขาบอกว่า แขนงนี้เปิดแล้ว อาตมาไม่มีเวลาเรียนเสียอีก มีแต่เวลาจะทำงาน เลยไม่ต้อง ได้เรียนกัน บุญมันไม่ได้บัณฑิตคุรุศาสตร์น่ะ อ้าว! ไม่ได้ก็ไม่ได้กัน แต่ว่าอาตมาว่า อาตมามีวิชาครู มีวิชาที่จะต้องสอนคน ทำให้คนเกิดความรู้ ทำคนให้ได้รับผล ได้รับผลในการศึกษา อาตมาว่า อาตมามีความรู้ ที่พูดไปนี่ ผู้ที่เรียนวิชาครูมา ก็คงจะได้รับซับทราบว่า อาตมามีการ คัดเลือก มีการประมาณ มีการกระทำให้มันได้สัดได้ส่วน เข้าระบบตามระเบียบ ที่เราได้เรียนได้รู้กันมา นี่อาตมาก็รู้ โดยปฏิภาณ หรือรู้ได้เอง และก็จัดทำอยู่ นัยที่พูดนี้ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ได้ entrance เข้ามาก็ได้ทุกเมื่อ

แม้มาพัทลุงคราวนี้ อาตมาก็ว่า ได้มีผู้ผ่าน entrance เป็นผู้ผ่านเข้ามาได้ ผู้ผ่านสอบคัดเลือกเข้ามา แม้น้อย อาตมาก็ว่า ได้อัตราส่วนเท่ากัน สมดุลกับที่ที่พวกอาตมา ไม่ได้เพิ่มผู้สอนมากนัก ครูของ พวกอาตมา อาตมาก็อบรมช่วยเขาด้วย แต่ผู้ที่ได้เข้ามานี่ได้ แข็ง ผู้ที่เข้ามานี่ได้ แข็ง อย่างมาพัทลุง คราวนี้ ผู้ที่ได้นี่ได้พวกที่แข็ง ไม่ใช่ว่าสอบ entrance ชั้นต้นชั้นต่ำเท่าไร ได้ผู้ชั้นพอสมควรทีเดียว เพราะอะไร เพราะว่าเราบรรยายหรือว่าเราแสดงธรรม หลักสูตรโครงสร้าง ที่อาตมาทำมา ก็บอกแล้วว่า เป็นหลักสูตรเข้ม แล้วเราก็แสดงให้สมสัดสมส่วนอันนี้ และก็ได้ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่า ผู้ที่ไม่ได้ นั่นนะ ร้องโอกๆ ให้เห็นเลย แสดงอะไรออกมาเลย แต่ถึงกระนั้นก็ตาม เราก็มีประสิทธิภาพ เราก็มี ลีลาท่าที มีขบวนท่า มีศิลปะ ที่ทำให้รู้สึกว่า แม้จะมีสิ่งอย่างนั้น ก็ยังรู้สึกไม่มีอะไรปั่นป่วน ไม่มีอะไร มีปฏิกิริยาที่น่าเกลียด น่าชังอะไร เรียบร้อยอยู่นะ พอเป็นไป ไม่มีการแสดงอะไร ท่าทีต่อต้านย้อนแย้ง เรรวน หรือว่ารวนกันขึ้นมา เกิดการรวนเรอะไรขึ้นมา ไม่มีอะไรรวน ยังอยู่ในสภาพ ที่เรียบร้อยราบรื่น ดูงาม สมสัดสมส่วนผู้ดี ตามที่เป็นไป มันจะมีท่าทีลีลาแหลมๆ คมๆ เป็นแง่นๆ เงื่อนๆ อะไร ออกมาบ้าง มันก็มีบ้างๆนิดๆหน่อยๆ แต่อยู่ในสภาพเรียบร้อยผู้ดี ไม่ได้ดูหยาบคาย ไม่ได้ดูอะไรๆ แต่มีแน่ ในเมื่อมันแรงหน่อย ถ้าผู้ที่ยังอ่อน มันทนไม่ได้ มันก็ต้องออกมาบ้างแน่

ถ้าผู้ใดมีปฏิภาณละเอียดลออจะเห็น ในงานที่ว่านี้ มันเป็นงานสัลเลขธรรม เป็นงานขัดเกลา เป็นงาน ขัดถู เพราะฉะนั้น บางคนรู้สึกว่า แสบแล้วโว้ย ก็ต้องร้องบ้าง แหม! ขัดแรงจัง ลงแปรงทองเหลือง เชียวนะ และแถมยังใส่ผงเคมี อย่างประเภทโซดาไฟ จัดไปหน่อยเสียด้วย มันก็ร้อนสิพี่ ขอร้อง สักคำเถอะ เขาก็ร้องออกมาบ้าง วู้ย แสบนะ อย่างนี้เป็นต้น อ้าว! ก็ร้องออกมาบ้างน่ะ แต่ก็ดู ไม่น่าเกลียด น่าชังอะไรน่ะ นี่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังนะ ไม่น่าเกลียดน่าชังอะไร พอเป็นไป แต่ระวัง มันมีขีดอันตราย ถ้าเกินกว่านั้นแล้ว เกิดรวนเรแล้วไม่รับ หมอไม่รับพวกที่มีภาวะอดอยู่ทนอยู่นี่น่ะ เมื่อมีหมู่ที่แสดงอย่างนี้ ออกมาถึงขีดพอแล้วน่ะ เขาจะรวมหมู่อย่างนั้น เกิดเป็นฝักฝ่ายขึ้นมา ทีนี้รวนเรแล้ว เกิดการทะเลาะวิวาท เกิดการสงครามขึ้นแล้ว ระวัง ขีดนี้อาตมาก็ได้แต่ยกอุทาหรณ์ หรือว่าบรรยายอย่างนี้ให้ฟัง จะถึงขีดอย่างนั้นเมื่อ ไร อาตมาก็รู้สึกว่า ไม่ได้พาทำ ถึงขนาดนั้นมาสักที และก็รู้สึกว่าทำทุกที่ทุกแห่ง ก็รู้สึกมีอย่างนี้ และก็เรียบร้อย พอไปได้กันทุกแห่ง กันทุกที่ ยังไม่เคย โดนล้อมกรอบ หรือไม่เคยโดนทะเลาะกัน เป็นสองฝักสองฝ่าย ตีกันแล้วน่ะ จนกระทั่ง เห็นได้ชัดเจน ยังไม่เคยมีน่ะ เป็นแต่ว่า มีอะไรเลื่อนลั่น นิดหน่อย หรือว่าร้องอู๊ย! ร้องโอย! ออกมาบ้างอะไรนี่ และก็ไม่ถึงขนาดว่า ถ้าอีกฝั่งหนึ่ง จะเกิดไหลเอียงเท เข้าไปเป็นหมู่ฝักฝ่ายแล้ว ก็เกิดตั้งก๊กกันขึ้น ทะเลาะกัน ยังไม่เคย ยังไม่ถึงเขตนั้นสักที ก็เตือนพวกเราว่า อย่าให้เกิดนะ อย่าให้ถึงเขตนั้น หรือว่าอย่าให้เกิดภาวะนั้น ขึ้นมาก็แล้วกันนะ ให้มันเป็นธรรมดา และให้มันเป็นไป ขนาดนี้ล่ะ อย่าให้เกิดอย่างนั้น ขีดอันตรายอันนั้น อาตมาก็อธิบายชี้ชัดลงไปไม่ได้ว่า มันจะแค่ไหน

แต่ก็พวกเรา ก็ใช้ปฏิภาณ ตรวจอ่าน สร้างมิเตอร์คอยวัด สำหรับตน คอยใช้สำหรับตน ก็รู้สึกว่า พวกเรา ใช้อยู่เสมอ ทุกคนก็พยายามรู้ กระทำตน ให้มันอ่านได้ด้วย กระทำตนให้มีความรู้สูงขึ้น มีปฏิภาณสูง ก็เป็นอย่างนั้นเรื่อยๆ นี่เป็นการศึกษา ทั้งผู้ให้และผู้รับ ผู้รับก็ได้รับขึ้นมาบ้าง แม้มาก แม้น้อย ตามสัดตามส่วน ที่เราประมาณ อาตมาก็ประมาณจะ entrance ให้มีผู้ผ่าน entrance มาเท่าไร ก็กำหนดนโยบาย หรือกำหนดสัดส่วนอยู่ แล้วก็ได้ไปเสมอ ผู้ที่มาให้ที่พากันมา หมายว่า มาเป็น ตัวอย่าง เป็นแก่น เป็นผู้นำ เป็นหัวยา ก็ได้ฝึกตนเองเป็นหัวยา ที่เคี่ยว ที่เข้ม ที่ข้นขึ้น ซ้อนสอดขึ้นมา เรื่อยๆๆๆ เสมอๆ คนที่นั่งด้นเดา นั่งยกเมฆ หรือว่านั่งรับผล จากภาษาบัญญัติ จากทฤษฎี จากคำเล่า คำลือเฉยๆ นั้นก็ได้บ้าง แต่มันไม่ชัดเจน เท่าเข้ามาสัมผัสเอง มารับรู้เอง มีรายละเอียดในบรรยากาศ ต่างๆนานาเอง มันไม่มากเท่าหรอก เพราะฉะนั้น ผู้มานี่แต่ละคน เขาเข้าใจดีแล้วว่า เรามาแล้ว เราได้อะไร

อาตมาชี้ให้ฟังขึ้นมาอยู่เสมอๆ เราก็ได้รายละเอียด ที่มันบอก เป็นภาษาพูดไม่ได้ แม้บางที เราได้ เรายังไม่รู้ในรายละเอียด นั้นบ้างเลยด้วยซ้ำ บางคนนี่ ยังไม่เข้าใจหรอก แต่ได้ เพราะประสบการณ์ มันมี ย่อมมีทักษะอะไรเกิดขึ้นตลอดเวลา แน่นอนน่ะ ประสบการณ์ เกิดทักษะ เกิดขึ้นเรื่อย เกิดความชำนาญ เกิดความแคล่วคล่อง เกิดความฉลาด เกิดความละเอียด เกิดขึ้นแท้ๆ เป็นทักษะ เป็น skill ขึ้นมาจริงๆ เรื่อยๆ จริงๆ มันเกิดเสมอแหละ แต่บางทีบางอย่าง มันละเอียด จนบางที เรายังไม่รู้สึกว่าเราได้ แต่ได้ มันละเอียด จนเราสัมผัสไม่ติด ว่าเราได้อะไรแล้ว แต่มันได้มันซึมทราบ มันซึมเข้าไปจริงๆ ละเอียด ซึมๆ absorb นะ ละเอียดซึมขึ้นไป จนเราไม่รู้สึกหรอก มันเข้า เข้าไปเรื่อยๆ สิ่งอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตู่ แต่ชี้ออกมาให้ฟังแล้ว คุณอ่านคุณสังเกต เรียนรู้ไปเรื่อยๆ คนเราก็เท่านี้แหละคุณ

ชีวิตก็มีแต่การศึกษา กับการสร้างสรร ชีวิตนี่มีแต่การศึกษากับการสร้างสรร คุณยังเป็นผู้ไม่จบ ขีดหนึ่ง ท่านเรียกว่าเป็น เสขะบุคคล คือผู้ศึกษาอยู่ยังไม่จบขีด ที่พระพุทธเจ้าท่านขีดว่า สำหรับคนนี่นะ ถ้าชื่อว่า อรหันต์แล้ว ถือว่าจบ จะเลิกหรือจะต่อก็ได้น่ะ จะต่อก็หมายความว่า ต่อไปเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระอรหันต์แล้ว จะต่อไปเป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเรียนรู้ไปอย่างนั้น อีกก็เชิญ หมายความว่า จบอรหันต์แล้ว ถือว่าจบ doctor แล้ว ในการศึกษาของมนุษย์ ทีนี้จะต่อ post doctor ไปอีกเชิญ ใครสมัคร ถ้าใครไม่สมัครก็จบ แค่ถือว่าขีดสุดของการศึกษา ก็เอานะ เพราะฉะนั้น ผู้จบอรหัตผลเป็น อเสขบุคคลแล้วนี่ พระพุทธเจ้าท่าน อันนี้แล้วแต่เรื่อง เพราะว่ามันเป็นเรื่องยาก ผู้ที่ต่อ หรือผู้ที่ต่อไปเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านี่ มันเป็นเรื่องยาก ผู้ที่สมัครใจนั้น ไม่ใช่เรื่อง ง่ายๆ เพราะฉะนั้น จึงมีจำนวนประมาณหนึ่ง ซึ่งไม่มากนักหรอก ที่จะสมัคร ที่จะปฏิบัติเข้าไป จนเป็น พระพุทธเจ้า ปฏิญาณต่อโพธิสัตว์ แต่ว่าคำว่า ปฏิญาณต่อโพธิสัตว์นั้นน่ะ เป็นความตั้งจิต ตั้งอธิษฐาน ตั้งใจเข้าไปเรียนอีกต่างหากนะ แต่ธรรมดาของพระอรหันต์แล้ว ก็ย่อมโพธิสัตว์ในตัว ผู้ตรัสรู้ย่อมตรัสรู้ คำว่าโพธิสัตว์เป็นคำหมายความว่า ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ย่อมตรัสรู้ ตรัสรู้คำว่า อรหัตผล เมื่อตรัสรู้อรหัตผลแล้ว ก็ย่อมทำงานสร้างสรร พระอรหันต์คือ ผู้สร้างสรร ผู้มี พหุสสะ ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา นี่คือคุณภาพของพระอรหันต์ เรียกว่า เอกบุรุษ

เอกบุรุษมีลักษณะ ๔ ก็อันนี้อันหนึ่ง คือ พหุสสะ ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา หรือเอาแต่ต้นก็ พหุชนะหิตายะ ปฏิปันโน โหติ พหุชนะสุขายะ พหุสสะ ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา นี่ข้อที่หนึ่ง ข้อที่สอง จะต้องเป็นผู้ที่มี เจโตวสิปปัตโต เป็นผู้ที่มีอำนาจทางจิต ข้อที่สาม เป็นผู้ที่มี ฌาน ข้อที่สี่ เป็นผู้ที่มีวิมุตติ มีอุภโตภาควิมุตติ

สี่หลักนี่คือ คุณลักษณะของ เอกบุรุษ หรือผู้จบการศึกษาเป็น อเสขบุคคล เป็นผู้ที่ไม่ต้องศึกษาอีกแล้ว ว่าอย่างนั้น แต่พูดทิ้งไว้แล้วว่า เมื่อกี้โพธิสัตว์ จะไปเป็นพระพุทธเจ้า เป็น นั้นทิ้งไว้น่ะ เอ้าพูดแค่นี้ก่อน เพราะฉะนั้น ผู้ที่จบอย่างนี้ อเสขบุคคลนี้ จึงต้องเป็นผู้ที่ มีฤทธิ์แรงจริงๆ เป็นผู้สร้างสรร เอกบุรุษ ข้อที่หนึ่ง คุณลักษณะข้อที่หนึ่งนี่ เป็นผู้ที่มีประโยชน์ต่อ พหุชน คือเป็นประโยชน์ต่อ ใช้ภาษาซ้ายๆ หน่อยก็ มวลชน เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อมวลชน สร้างสรรให้แก่เขาแน่ๆ เพราะท่านเป็นผู้หมดตัว หมดตน พระอรหันต์นี่ เป็นผู้หมดตัวหมดตนแล้ว เมื่อหมดตัวหมดตนแล้ว แต่ร่างกาย รูปนามขันธ์ ๕ เครื่องกล อันวิเศษนี่ ก็ยังอยู่ สมองก็ฉลาดแน่ เพราะไม่มีขี้ขยะแล้ว ไม่มีธุลีละอองแล้ว ไม่มีอะไรมัว อะไรหมองแล้ว ปัญญาก็ใสสว่างแจ้ง มองอะไรก็ชัด ไม่ใช่ตามัวตามืดแล้ว อ่านอะไรก็ชัด ตามลักษณะ ของแก้วอันนั้น

ถ้าพระอรหันต์บางองค์ มีแก้วที่มีประสิทธิภาพขนาดหนึ่ง ตามวาสนาบารมี ท่านก็จะมีความสามารถ ฉลาด รู้เท่าแก้ว เนื้อแก้วของท่านนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ท่านจะเป็นพระอรหันต์ ที่มีปฏิภาณ มีภาษา มีความรู้ในอรรถสาระ ชั้นเชิงเท่าของท่าน แล้วท่านก็ช่วยเขา เท่าอำนาจความใส แห่งแก้วของท่าน เต็มที่ อย่างจริงใจ ท่านอาจจะรู้ไม่มากเท่า ท่านอาจจะเก่งไม่มากเท่า พระอรหันต์อีกบางองค์ ที่เป็นเนื้อแก้ว ที่ใสกว่า เพราะมีบารมีวาสนาที่สูงกว่า พระอรหันต์องค์นั้นได้ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ แต่ละองค์ จึงไม่เท่ากัน มีความสามารถ มีความเก่ง หรือมีเนื้ออันใส มีเนื้ออันคม แข็งต่างกัน พอกัน

แต่สำหรับตัวของท่านนั้น ท่านไม่มีทุกข์ ท่านไม่มีความเดือดร้อน ท่านพ้นทุกข์ ใครจะด่าใครจะว่า ใครจะทำร้าย ทำลายอะไรท่าน ท่านก็ไม่ทุกข์ แม้ใครจะฆ่าท่านตาย ท่านก็ไม่ทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่ทุกข์น่ะ ไม่เกิดเดือดร้อนอะไรอีก แต่ส่วนความเก่งนั้น ต่างกัน พระอรหันต์แต่ละองค์ มีความเก่ง ต่างกัน เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นพระอเสขบุคคลแล้ว เป็นผู้ที่มีเอกคุณ ๔ ประการ และ เอกคุณ ของพระอรหันต์ ก็คือ โพธิกิจ ช่วยคนอื่นสร้างสรร รื้อขนสัตว์ตามหน้าที่ หน้าที่ของพระอรหันต์

จึงไม่ใช่เป็นพระอรหันต์แล้ว ไม่มานั่งโวกเวกโวยวายอะไรหรอก นู่นท่านไปอยู่ถ้ำ อยู่เขานู่น สงบเงียบ ไม่พูด นั่นคนเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ อย่างไม่รู้จักธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า ที่แท้จริง ไม่เข้าใจที่แท้จริง อธิบายผิดๆ แบบฤาษี เอาของลัทธิอื่น มาเป็นลัทธิพุทธ ไปเอาตัวอย่าง ของคนอื่น มาปนพุทธ อันนั้นดูง่าย ดูอย่างนั้น ดูง่าย

ถ้าคนมาพูด ยิ่งพูดยิ่งปรุง พระอรหันต์ยิ่งเก่ง พระอรหันต์นั้น ยิ่งมีความเหมือนคนมากที่สุด แต่ไม่เหมือนในคุณภาพ คุณภาพของท่าน ยิ่งแข็งแรง ท่านยิ่งสอดคล้อง ยิ่งคล้าย ยิ่งดูสนิทเนียน มีสมานัตตโต ยิ่งมีเป็นเหมือนเสมอ เหมือนกับ คนโลกๆ เขามากๆ ที่สุด ฟังให้ดีนะ พูดอย่างนี้ อย่าแกล้งนะ คนแกล้ง แกล้งไม่ได้น่ะ ทำเป็นตัวเองนะ ที่จริงไม่ได้เป็นพระอรหันต์อะไร แต่แกล้ง ฉันก็เหมือนคุณๆ คุณก็เหมือนฉันก็พระอรหันต์แล้วนะ ใจฉันพระอรหันต์ อย่าหลอกเลย หลอกไม่ได้ หรอก แต่โดยสัจจะ มันมีสภาวะเชิงซ้อน ที่ซ้อนเชิงดังกล่าวนี้ ท่านยิ่งเหมือนคน ยิ่งมีสมานัตตตา ยิ่งมีตนอันเสมอ เสมอเหมือน เหมือนคนธรรมดา เหมือนมาก แต่ไม่เหมือนอย่างเนียนสนิท คนคุ้น กันนานๆ จะรู้ว่า ไม่เหมือนที่เนียนสนิท ท่านแข็งแรงกว่า และท่านจริงกว่า เพราะท่านมีความเหนือ อยู่ในเนื้อ มีความเหนืออยู่ในเนื้อ ที่เนื้อละเอียด เห็นยาก แต่โดยโลกแล้ว แม้ท่านเหมือนกับเรา ทำเหมือนกับเรา ท่านไม่มีช่องว่าง ไม่มีศักดินา ท่านไม่มีการข่มขี่ ท่านเป็นเพื่อนกัน ท่านสนิทเนียน เหมือนกับเพื่อนกัน สนิทสนมได้ อะไรต่างๆ นานา ท่านทำได้ ท่านเป็นอะไรต่ออะไร แต่มีเชิงเหนืออยู่ เนียนๆ มีเชิงเหนืออยู่ในเนื้อ ในความเนียนสนิทละเอียดนั้น นี่แนะเชิงให้ฟัง แต่แกล้งไม่เหมือน ถ้าเหมือนนะ มันไม่ใช่แกล้ง เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า ตัวแกล้ง เพราะคบกันคุ้นๆ กันมา เพราะปฏิภาณเรา จะมองออกเลยว่า เอ๊! นี่มันแกล้ง แต่นี่มันจริง เอ๊! จริงนี่ไม่ใช่แกล้ง ความต่าง มันอย่างไร อาตมาก็บอกได้ยากนะ อาตมาบอกได้ยากอันนี้ ความรู้ที่อาตมากำลังพูด นี่คือความรู้ ทางด้านมหายาน

เถรวาทนี้อาตมาขอบอก อย่าหาว่าลบหลู่เลย ไม่มีปัญญาที่จะรู้ความรู้อย่างนี้ เถรวาทน่ะ เพราะเถรวาท นั้น เน้นตัวเอง เน้นทำตัวเองให้บรรลุ จนเดี๋ยวนี้สุดโต่งไป กลายเป็นเดียรถีย์ เอาแต่ตัว แต่ตน จนกลายเป็น ไม่รู้การประสาน พหุชนะหิตายะ ไม่ซักซ้อมการทำงาน หรือการสร้างสรร ไม่สามารถ สัมผัส มีแต่หนีสัมผัส หนีโลก เป็นโลกันตร์ยิ่งขึ้นๆ นี่ความเสื่อมของเถรวาท เขาเสื่อมตรงนี้ แต่ไม่มีใคร มาชี้ เพราะอาตมามาชี้ พวกเถรวาทนี่ ดิ้นเป็นไส้เดือนถูกขี้เถ้า ขณะนี้นี่ดิ้น นี่อาตมาได้รับการต่อต้าน ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะในเมืองไทยเป็นเถรวาท เสร็จแล้ว อาตมาพยายามเอามหายาน เข้ามาอธิบาย เข้ามาแก้ เอาสภาพโพธิสัตว์ เข้ามาแก้อรหันต์ ที่เป็นอรหันต์เลยเถิด ไม่ใช่อรหันต์ถูกต้องด้วยซ้ำ มันก็เลย ค้านแย้ง แล้วเขาเรียนกันแต่น้ำหนักอย่างนั้น เรียนแต่เนื้ออย่างนั้นมาก่อน พออาตมา มาพูดเนื้อ อย่างนี้ มันต้องแน่นอน มันต้องค้านแย้ง บรรดาครูที่นั่งอยู่นี่ ที่นี่มีมหา หลายคน แล้วเขา ก็เกิดการ ถูกเหมือนไส้เดือนถูกขี้เถ้า เขาเรียนมานะ แล้วมีแนวโน้ม อย่างที่ว่านั้นจริงๆ มีแนวโน้ม สุดโต่ง ไปทางเถรวาทเลยเถิด มันจึงเกิดปฏิกิริยา แหมไม่เหมือน เรายึดเราถือความเห็น มีผู้ยึด ความเห็นของตนอยู่ เป็นทิฐิราคะ แน่นอน ก็ต้องยึดของตนเองอยู่แน่นอน ทั้งๆที่ผู้นั้นน่ะ ได้เป็นมหา ที่ได้ลอกคราบไปเป็นคนแล้วนะ ไปเป็นฆราวาสแล้วนะ แต่ยังยึดถือ เอ๊! ความรู้ของเรานี่ดีนะ ดีมันต้องพาตนสูง ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่มันพาตนตกต่ำไปแล้ว เป็นฆราวาสเพศ ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เป็นคนตายด้วยซ้ำ คำว่าตายของสมณะนี้ก็คือ การลาสิกขาบท พระพุทธเจ้าท่านตรัส อย่างนี้ด้วยซ้ำ

เรื่องนี้เป็นรายละเอียด ที่ต้องศึกษาดีๆ อาตมาไม่ได้มีความมุ่งหมาย ที่จะทำร้าย ทำลายอะไร โดยเฉพาะ เรื่องศาสนา มีพยายามใช้ความละเอียดแยบคายเสมอ ที่จะทำงานนะ อาตมากล่าวว่า เป็นมหายาน มันเป็นความรู้ด้านโพธิสัตว์ มันเป็นความรู้โดยนัยละเอียด ที่เราจะต้องเข้าใจ กรรมวิธี เข้าใจเนื้อหา แท้ที่จริงมหายานทุกวันนี้แหละ กว่าเถรวาท มหายานที่ต่างประเทศ ยังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ที่อาตมาพูดนี่คือ เนื้อมหายานแท้ แต่มหายานที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่เรียกว่า มหาสังฆิกะ พระส่วนใหญ่ ส่วนในเมืองไทยนี่ พระส่วนน้อย กลุ่มเถรวาท ส่วนพระส่วนใหญ่ที่ฟ่ามๆ เป็นมหาสังฆิกะ หรือ มหายาน ที่ทั่วโลกนับถือ หรือศึกษากว้างมาก ยิ่งมีของปลอมๆ มากที่สุด เหลวยิ่งกว่าเถรวาท นั่นส่วนรวม ส่วนเฉลี่ยของเนื้อหามหายาน เพราะฉะนั้น มหายานยิ่งใช้ไม่ได้ ถ้าว่าแล้ว แต่เนื้อแท้ ของมหายานมีดี เนื้อแท้ของเถรวาทแท้ๆ มีดีๆ เพราะฉะนั้น เนื้อเข้มข้นของมหายาน เนื้อเข้มข้น ของเถรวาท ที่เป็นแก่นแกนนั้น ดีทั้งคู่

แต่ทุกวันนี้เราสุดโต่ง ไปทางเถรวาทก็เพี้ยน ไปมหายานก็เพ้อ มันก็เลยไปกันใหญ่ เป็นเถรวาทเพี้ยน มหายานเพ้อไป เพราะฉะนั้น มหายานเพ้อๆ เพ้อเป็นพุทธเกษตร เป็นอะไรต่อต่ออะไร ต่ออะไร เล่นคาถา อาคม เล่นอะไรต่ออะไร พิธีการโอ๊ย! มันยานโตงเตง ถึงขนาดธิเบตอย่างนี้ นี่เป่าปี่ ยาวเท่าโน้นแนะ ปี่ยาวไม่ถึงเท่าโน้น มีม้าล่ออันละไม่รู้กี่ขนาด พอพระเดินขบวน ที่พิธีนี่ เจ้าหน้าที่พระ เป็นพระน่ะ ถือม้าล่อคนละอัน ตีตามจังหวะ เหมือนวง orchestra ใหญ่เลยนะ ทีคนนี้จะตีโมงก็โมง คนนั้นก็โมง ปี่ให้ปี่แป๊ อันยาวเลยนะ ตั้งแต่ยาวไปจนถึงสั้น ปี่น่ะนี่

ขณะนี้มีพระ ไม่ใช่พระหรอก นักบวชญี่ปุ่น แต่เขาก็แสวงหาพุทธศาสนาเป็นญี่ปุ่น อยู่กับเรา อยู่ที่ สันติอโศก นี่คนหนึ่ง ไม่เอาแล้วรูปแบบพระ เคยบวชพระมหายานมา ไม่เอา แต่ก็ศึกษาเนื้อศาสนา พวกนี้ ก็ศรัทธาพุทธน่ะ ศรัทธาพุทธก็แสวงหาอยู่ จนทุกวันนี้ มาอยู่กับพวกเรานี่ เพราะแกมีญาณ อันหนึ่งของแกว่า เอ้ พระพวกเรานี่ น่าศึกษา ตอนนี้แกขออยู่กับเรา ๓ เดือน ทั้งๆที่แกตั้งใจ โดยโปรแกรมเดิม แกจะไปเรียนกับ วิโนภาพเว เพิ่งตายนี่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของมหาตมคานธี เพิ่งจะตาย ตายด้วยวิธี ไม่ได้เพราะอายุขันธ์ แต่ไม่ยอมกินข้าวกินน้ำ นั่งแข็งตายไป ตามลัทธิของเขาน่ะ ก็เพิ่ง ตายไป คนเขาบอกว่า ท่านไม่ได้ตายเพราะอายุขันธ์หรอก ที่จริง ท่านจะต่ออยู่อีกก็ได้ แต่ท่านไม่ยอม และไม่ยอมอยู่ ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ แล้วก็นั่งอือ สุดท้ายมันก็ตายสิคนน่ะ ก็ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ มันจะไปเหลืออะไร ก็ตายไปแล้ว ด้วยกรรมวิธีนั้นน่ะนี่ วิโนภาพเว ตายไปแล้ว เขาศรัทธาเลื่อมใส วิโนภาพเว นี่มาก ดะเปะ ที่อยู่ที่สันติอโศกนี่ คนนี้ที่มาอยู่นี่ ก็อยู่ญี่ปุ่น ญี่ปุ่นนี่พุทธศาสนามหายาน ซึ่งมีไม่รู้กี่นิกาย แกมานี่ ก็แกมีขลุ่ย อันหนึ่งมาด้วย ยาวเท่านี้ เรายังได้ให้แกเป่าขลุ่ย ใส่เสียงไว้สำหรับ ใช้อะไรเลย เขาก็ยังเป่าขลุ่ยร้องเพลง ทำอะไรนี่ ศาสนา ถ้าเราเอาแต่แค่ เถรวาทเราว่า โถ! แค่ศีล ๘ ก็ไม่เล่นแล้ว ดนตรี ละคร เป่าขลุ่ย ตีเป่ากลองตีแก อะไรอย่างนี้ ไม่เอาแล้ว เราก็ถือว่า มันเป็นเรื่อง ดนตรีเริงรมณ์ มากเกินไป เราย่อมไม่เอามาปะสมปะเส กับศาสนาขั้นสูงขึ้นไป แต่ก็ขั้นพออนุโลม เราก็ทำ เพราะฉะนั้น

แม้แต่พระเรามานี่นะ เรามาก็ยังมีคีตะ มีธรรมคีตะ มีดนตรี มีอะไรประกอบ อันนี้เราเองเราใช้ เราอนุโลม หรือว่าเรามีวิธีการที่จะสร้างสรร หรือเหมือนกับคนอยู่ปากบ่อ ที่จะเอื้อมดึงคนตกบ่อ นั่นแหละ ก็เอื้อมไป ให้มากที่สุด แต่ก็อยู่ในฐานขั้นฐานะ ของแต่ละบุคคลที่จะทำ พระทำเอง ท่านไม่ไปเป่าหรอก ท่านไม่ไปร้องหรอก แต่ว่าคนนั้น คนนี้เขาทำ เราก็เอามาประกอบใช้ และก็ไม่ได้ใช้ เพราะว่า เราอร่อย ไม่ได้ใช้เพราะเราอร่อย แต่เรารู้ความอร่อยของโลก แต่เรานั้นหมดรสอร่อยแล้ว อาตมาฟังเพลงเป็น และยังมีความคำนวณ มีอัตราคำนวณได้ว่า อ้า!เพลงนี้ คนนี้เขารู้สึกว่าเพราะ คำนวณได้ นี่ขนาดนี่เขาชอบอย่างนี้ คำนวณขนาดนี้ อันนี้เขาไม่เพราะเท่า ไร อันนี้เพราะโดยความรู้ โดยสัญญาจำ โดยปฏิภาณเข้าใจ อาตมาเล่าเรื่องนี้แซมให้ฟังอีกนะ มันแวะออกไปมากแล้ว ก็แวะต่อ อีกนิดหน่อย

อาตมานี่นะทิ้งเรื่องเพลงเรื่องดนตรี ทิ้งทั้งๆที่อาตมานี่ก็ composer นักแต่งเพลงน่ะ ย่อมมีความรู้ หรือ มีความติดในเรื่องนี้ ไม่ใช่น้อย และก็ได้วางมาแล้ว เรารู้รส รู้ความไพเราะไม่ไพเราะ อะไรมากมาย composer ไม่รู้รสอร่อย ไม่รู้รสเพราะ ของดนตรีการ แล้วมันจะไปแต่งเพลงได้อย่างไร มันก็ต้องรู้ เพราะฉะนั้น อาตมามีความรู้อันนี้ จนกระทั่ง อาตมาทิ้ง และก็มาชวนมานี่ จนเรื่องดนตรีกาล เขาสังขาร เขาปรุงไปๆ จนเป็น จังหวะบั๊ม จังหวะดิสโก้ อาตมาก็ว่า เอ้!จังหวะบั๊ม มันเป็นยังไง ก็ไม่ค่อยรู้ และเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่ค่อยรู้ จังหวะดิสโก้มันเป็นยังไง เดี๋ยวนี้ก็ยังไม่รู้ ดิสโก้หรือบั๊ม อาตมาก็ ยังไม่รู้ แต่โมเมพูดตามไปเฉยๆ และอาตมาก็ไม่คิดแสวงหา ความรู้อันนั้นขึ้นมาอีก ไม่ได้รู้ก็ช่างมัน เถอะ ดิสโก้ บั๊มแบ๊มอะไร อาตมาไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้น้อยหน้า ไม่ได้เป็นปมด้อยของอาตมา ทีนี้อาตมา ด้วยจังหวะบอลลูม จังหวะต่างๆ จังหวะบีกิน จังหวะวอลซ์ จังหวะแทงโก้ จังหวะอะไรเก่าๆ แม้แต่ที่สุด มันมาใหม่ เป็นจังหวะร็อค จังหวะทวิส จังหวะอะไรพวกนี้ อาตมารู้ ตอนก่อนออกมาบวชนี่ อาตมายังเข้าใจ และก็ยังรู้รสของมัน ตามอารมณ์ของคน ประมาณได้เทียบได้ พอออกมาแล้ว บวชแล้วนี่ จังหวะที่เกิดตามหลังอาตมานี่ จังหวะบั๊ม จังหวะดิสโก้ จังหวะอะไรนี่ มันเกิดตามหลัง อาตมา อาตมาชักไม่รู้

แล้วก็อาตมา ก็ได้ยินข่าวลือว่า แหม! เศรษฐาเขาร้องเพลงอะไร เก้าล้าน หยดน้ำตาอะไร มันฮิตใช่ไหม ช่วงหนึ่งน่ะ เก้าล้านหยดน้ำตานี่ มันฮิตเหลือเกิน จังหวะบั๊ม อาตมาว่า เอ๊! บั๊มมันเป็นยังไง มันฮิต มันเป็นยังไง อาตมาไปบิณฑบาต ก็ได้ยินเพลงนี้ร้องออกมา เก้าล้านหยดน้ำตา อ๋อนี่มันเพลง เก้าล้านหยดน้ำตา ก็เอียงหูฟังนะ บิณฑบาตก็ฟังทำนอง มันร้อง จังหวะบั๊ม เอ้! อาตมาว่า ไม่เห็น มันอร่อยตรงไหนเลย ไม่เห็นเพราะตรงไหนเลย ทำไมมันติดกันหรือนี่ นี่หรือมันเพราะ อาตมาก็ว่าโอ๊ย! เราไปแล้ว โลกกับเรา มันคนละเรื่องเลยแล้ว อาตมาสมมุติไม่ติดแล้ว นึกไม่ออก นี้ความอร่อย ของโลกหรือ นึกไม่ออก อ๋อ! มันอร่อยอย่างนี้เหรอ เอ้! ทำไมเราไม่เกิดรส สักนิดหนึ่งเลย อ๋อ! อาตมา จึงได้รู้ความจริงว่า รสของโลกที่เรายังเป็นรสของโลกอยู่นี่ ท้าวความจำ เราก็จำได้ อาตมาจำได้ว่า รสความอร่อยความไพเราะของแทงโก้ ของบีกิน ของเวอร์ส ของอะสะโร หรือ ของอะไรแล้วแต่ แม้แต่ร็อค แม้แต่ทวิสอะไรนี่ อาตมายังพอจำได้ และเข้าใจในรสของมันว่า เออ! อย่างนี้ๆ ยังจำได้ แต่อาตมา ใจไม่ได้ติดรสอะไรหรอก ไม่ได้อร่อย อร่อยหรอก ไม่ได้ชิม ไม่ได้ลิ้มเลย ก็ไม่เคยโหยหาอะไร ไม่ได้อยากฟัง อยากได้อะไร

แต่พอมาฟัง จังหวะบั๊ม ของเขานี่ เอ้มันไม่น่าแล้วนะ มันเหมือนกะคนอะไรไปลิ้มรสแหลมๆ อันหนึ่ง แล้วก็มาลิ้มรสเปรี้ยวๆ ขณะนี้อาตมาว่านะ เขามากินรสเปรี้ยวๆกันแล้ว แล้วเขาว่านี่คือ หวาน อาตมาว่า นี่มันตีลังกาแล้ว นี่พวกนี้มันจังหวะบั๊ม มันไม่เข้าหมู่แล้ว มันหาว่า นี่มันอร่อยนี่หรือบั๊ม กระโดกกระเดก ต้องโต้ง ต้องเต้น อะไรของมันก็ไม่รู้ บั๊มที่ว่า อาตมาก็จำไม่แม่น บอกว่าเดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่รู้ละเอียดของมัน ทวิสอะไร เอ้ย ไม่ใช่ ดิสโก้ยิ่งยังไม่รู้ใหญ่เลยว่า ดิสโก้ มันคืออะไร อย่างไร ยังไม่รู้ ตอนนั้นมันบั๊ม และบอกว่านี่มันบั๊ม เก้าล้านหยดน้ำตาอะไรนี่ อาตมาว่าเออ สังขารโลกนี่ มันถึงขั้นนี้นะ มันอย่างนี้ นี่อาตมาเล่าให้ฟัง บางคนอาจจะฟังไม่ออก เพราะอาตมาไม่พูด เชิงของดนตรี บางคนก็อาจจะไม่เข้าใจ รสอื่นเหมือนกัน รสอร่อยของอาหารนี่ อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าวันนี้เขาปรุงเขาอาจจะปลอมชื่อ เช่นยุคหนึ่งเขาบอกว่าฮิต อาหาร ตะโพกวิภาวดี เขาอุตส่าห์ตั้งชื่อ ไปกินตะโพกวิภาวดี แล้วเขาก็ไปกินกัน พวกบ้าๆไปกิน มันจะมีรสอะไร อาตมาว่าก็เป็นเนื้อยำชนิดหนึ่ง ที่มันแกล้งตั้งชื่อขึ้นมา แท้จริงมันก็อาจจะเป็นรส ซึ่งแสนจะไม่อร่อย เท่ายำชนิดหนึ่ง ที่เขาได้ปรุงรส สูงสุดมาแล้ว และก็บ้าเอาชื่ออื่น มาผสมผเส เอา เรื่องราคะกาม มาตั้งชื่อ มาปลอม แล้วก็เรียก ตะโพกวิภาวดี อะไรอย่างนี้ ซึ่งแกล้งตั้งกันน่ะ อีตอนนั้น มันบ้าวิภาวดี ที่จริงมันก็เป็น ผู้หญิงคนหนึ่ง อะไร ไม่ต้องพูดเขามาก ว่าเขามากก็ไม่ดีนะ ก็เท่านั้น แล้วก็บ้าๆบอๆกันไป ซึ่งมันก็ไม่ได้ ยั่งยืนอะไร ชั่วแวบเดียว แล้วมันก็ล้มละลายกันไปหมดแล้ว อะไรอย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันสังขาร มันปรุง เอาอะไรมา เป็นเหตุปัจจัย อย่างนั้นอย่างนี้ มาเป็นข้อมูล ผสมผเสขึ้นมา เพื่อสร้างอะไรอันหนึ่งขึ้นมา และติดนั่น น่ะ คนดีๆรู้แล้วว่า เอ้ย!อั๊วไม่ไปกินน่ะ ตะโพกวิภาวดีบ้าอะไรกัน เพราะฉะนั้น คนดีเขาไม่ไปกินหรอก คนโง่ๆบ้าๆเท่านั้น คนเมาๆ เท่านั้นเองไปกิน กินดีๆเขาไม่ไปกินหรอก เรื่องบ้าอะไรจะไปกินน่ะ อย่างนี้ เป็นต้น มันเอาเรื่องเลวเข้ามาแล้ว มาสร้าง มามอมเมามนุษย์ ให้หลงว่าดี แล้วเขาก็หลงกัน แล้วก็ไป ติดยึด ไปหลงไหลสิ่งเหล่านั้น เดี๋ยวนี้โลกมันวน อย่างนี้หมดแล้ว เอาดีมาเป็นชั่ว เอาชั่วมาเป็นดี เอาแสนที่ไม่อร่อย มาเป็นอร่อย มันวนอย่างนี้หมดแล้ว แสนไม่อร่อย ว่ากันจริงๆนะ แสนไม่อร่อย มาเป็นอร่อยแล้ว

อาตมาถึงบอก อาตมาฟังเพลงบั๊มนี่ อู้! มันไม่เข้าท่าเลย แล้วยังบอกว่า มันอร่อย คืออาตมาเอา สิ่งที่ รสชาติของดนตรีทั้งหมด ที่มีจังหวะคลาสสิกเขามีช้า มีเร็วมีอีกตั้งเป็นร้อยๆ จังหวะ ร้อยๆขนาด เพลงคลาสสิกนี่ มีร้อยขนาด ร้อยลีลา โอ้! อาตมาอธิบายไม่ไหวหรอก อย่าไปพูดถึงคลาสสิกเข้าไปอีก อธิบายไม่ไหว ขนาดอธิบาย แจ๊ส อธิบายอะไรขนาดนี้ มันยังขนาดนี้ ที่เอาความรู้ขนาดแจ๊ส มาแยก ให้ฟัง บางคนก็อาจ จะยังไม่ค่อยรู้เท่าไร ถ้ายิ่งไปเอาคลาสสิกมาพูด เลยยิ่งไม่ต้องรู้เรื่องกัน เพราะมัน ละเอียดกว่า นี่มันมีหลายชั้นเชิง มันมีความหมาย กำกับละเอียดกว่านี้นะ เพราะฉะนั้น ยิ่งไม่ได้ เรื่องเลย และนี่มันหมาย จังหวะดนตรีใหม่นี่ มันหยาบ แล้วเอาเอาหยาบนี่แหละ มาเป็นความไพเราะ เพราะฉะนั้น โลกนี้จึงเต็มไปด้วยความหยาบ ว่าเป็นความอร่อยของโลก โลกมันจึงหยาบลง หยาบลง หยาบเอามากๆ เลย

เอ้า!ทีนี้ก็ขอกลับเข้าเรื่องว่าเราเอง ได้มาพยายามที่จะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน โดยการมาเผยแพร่ มาตามหาญาติ มารับนักศึกษา entrance เข้ามา เราได้ผลได้ประโยชน์ ประโยชน์ตนของคุณก็ได้ และอาตมาบรรยายไป ก็ให้ความรู้ ในภาวะที่มีประสบการณ์ ยังไม่ออกจากเหตุการณ์ ก็อธิบาย ให้ตั้งข้อสังเกตให้ได้รู้เพิ่งผ่านไป ส่วนที่เพิ่งผ่านไป ก็เอามาคิดมานึก เอามาไตร่ตรอง แล้วเราก็ได้ กระทำน่ะ ชีวิตของอรหันต์ ชีวิตของโพธิสัตว์ ชีวิตของผู้ที่ได้จบกิจตน แม้อรหัตตผล แค่โสดาบัน จะสอนคนอื่นเป็นโพธิกิจของโสดาบันนั่นเอง เรียกว่า โพธิสัตว์ระดับโสดาบัน เพราะมีความสอบได้ ของตนเองชั้นหนึ่งจริง ทีนี้จะสอนมาก จะสอนน้อยก็แล้วแต่ บางคนก็ถนัดชอบสอน เพราะฉะนั้น ก็สอนได้มาก ขนาดของโพธิสัตว์ขั้นโสดาบันของเรา ผู้ที่บรรลุสกิทาคามี มีภูมิจริงก็เป็นโพธิสัตว์ มีอรหัตผลของสกิทาคามี เป็นโลกุตรจิตดวงที่สอง ก็สอนคนในภูมิของ ก็ไม่สอน สอนน้อย แต่ก็ทำ ก็ยังมีกิจร่วมมือ มีกิจร่วมมือตามควร นอกจากผู้นั้น มีมิจฉาทิฐิ คือมีความเห็นผิด ว่าเราได้แล้ว เราไม่ต้องสอนใคร กิจสอน กิจเผื่อแผ่คนอื่น พหุชนะหิตายะ ไม่ใช่กิจของ พระอริยเจ้าชั้นสูง มีความ เห็นผิดอย่างนี้ ถ้าคนมีความเห็นผิดอย่างนี้ ก็ไม่สอนเขา ก็กลายไปเป็นพวกสุดโต่ง ที่จะไปเป็นเดียรถีย์ นี่มันมีซ้อนอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่ได้ภูมิธรรมต้นๆบ้าง กลางๆบ้าง จึงไปไม่ตลอด

ยกตัวอย่างเช่น อาจารย์ xx ขอกล่าวนามเลย เพราะมีมิจฉาทิฐิอันนี้อยู่ เพราะเถรวาทเอียงสุดโต่ง ท่านได้เนื้อคุณ อริยคุณ ขึ้นมานะ อาตมายอมรับเป็นพระอริยะ แต่ท่านเอง ไม่แจ่มแจ้งเป็น อุภโตภาควิมุตติ ไม่เกิดปัญญาวิมุตติ ซ้อนกับ เจโตวิมุตติ อาจารย์ xx มีเจโตวิมุตติ ไม่มีปัญญาวิมุตติ รู้ว่าตัววิมุตติอันถูกต้อง และหลงผิด หลงผิดว่า ตัวเองเป็นพระอรหันต์ด้วย ก็ขอบอกซึ่งมันผิด แท้จริง ตัวเองไม่ได้ และก็ยังไม่สมส่วนด้วย เพราะฉะนั้น หลักฐานจึงยืนยันให้ฟัง แม้กามแค่สิ่งเสพย์ติด ยังสูบบุหรี่ กินยา กินหมากอยู่ แต่นี้ยังสูบบุหรี่ และกินหมากอยู่แค่นี้ เป็นสิ่งเสพย์ติด ซึ่งเป็นศีลข้อที่ ๕ เท่านั้น ท่านยังสูบเลย แล้วไปเรียกพระอรหันต์ได้อย่างไร ท่านยังไม่รู้เลยว่า ตัวเองยังสัมผัส สัมพันธ์ ยังไม่รู้ว่า ตัวติดรสบุหรี่ และหมาก นี่มันรสแท้ๆ รสกิเลส รสเสพย์ติด ไม่ใช่รสคุณค่าอะไรเลย ไม่มีคุณค่า นอกจากไม่มีคุณค่าแล้ว ยิ่งบุหรี่มันเรื่องโทษ ตั้งไม่รู้กี่ประการ วิทยาศาสตร์เขาวิเคราะห์ ออกมา ไม่รู้กี่สิบอย่าง หลายสิบอย่างเลยให้โทษ บุหรี่นี่ ไม่มีคุณมากพอ ไม่มีคุณอะไรเลย ที่จะให้ มีแต่โทษมหาศาลด้วยซ้ำ แล้วยังไม่รู้เลย ด้วยปัญญาอันยิ่ง แล้วว่าไม่รู้ โดยเฉพาะไม่รู้ว่าติดรส แล้วจะเป็น พระอรหันต์ได้ยังไง อย่างนี้เป็นต้นน่ะ เพราะฉะนั้น ที่วิเคราะห์ให้มานี่ ไม่ใช่ตั้งใจข่มขี่ พระอาจารย์xx

อาตมาเคารพอาจารย์xx ในตัวอาตมานี่ แบ่งได้ทุกอย่าง เคารพ ถือ เคารพ สิ่งนี้เป็นธรรมะ ย่อมกล่าวธรรมะ อาตมากำลังพูดตอนนี้ กล่าวธรรมะ ไม่ได้ไปลบหลู่ดูถูกพระอาจารย์xxอะไร ไม่จริงๆ อาตมาไม่มีอาการ ไม่มีจิตวิญญาณอย่างนั้น กราบเคารพได้อย่างสนิทใจ ไม่มีอะไรสะดุดจิต เก้อๆ เขินๆ ติดตัว เป็นมานะอย่างนั้น อย่างนี้ไม่มี ไม่มี บอกได้โดยจริงนะ อย่าว่าแต่อาจารย์xxเลย ลูกศิษย์อาจารย์xx อาตมาก็กราบเคารพได้ ลูกศิษย์อาจารย์xx อาตมาก็ยกย่อง อย่างอาจารย์ yy อาตมาว่าเป็นอริยะ เขาก็หาว่าอาตมา ไปพยากรณ์คุณธรรมอย่างนี้ เข้าขีดอริยะโดยจิต เจโต แต่ท่านไม่แม่น ขนาดอาตมาว่า อาจารย์ yy เป็นอริยะ มีลูกศิษย์อาจารย์ yy ไปบอกท่านว่า อาตมา ว่าท่านเป็นอริยะ ท่านยังร้องอุ๊ย! เลย ถ้าท่านเป็นจริง ท่านจะร้องอุ๊ย! ทำไม เหมือนกะเรา มีสตางค์ อยู่ในกระเป๋าแสนหนึ่ง ถ้าคนมาทักว่า นี่คุณมีสตางค์แสนหนึ่ง ใช่ไหม คุณจะร้องอุ๊ย! คุณจะร้องทำไม แต่ถ้าคุณอยู่ในกระเป๋า มีหมื่นหนึ่ง แล้วคนมาทักว่า นี่มีแสนหนึ่งใช่ไหม อุ๊ย! มันชักอาย เหมือนกันนะ มันสะดุ้ง นี่คุณมีสตางค์แสนหนึ่งใช่มั้ย มันก็อุ๊ย! และมันก็ต้องร้องเหอะๆ เฮ้ยไม่ใช่ มันกระดากนะ เพราะเรามีหมื่นเดียว แล้วก็มาทักว่ามีแสน แต่ถ้าคุณมีสตางค์แสนหนึ่ง หรือยิ่งมีล้านหนึ่ง แล้วมาทักว่า นี่คุณมีสตางค์หมื่นหนึ่ง ใช่มั้ยอยู่ในกระเป๋า ก็ยิ้มซิ ยังรู้เราน้อยไป ในกระเป๋าเรา มีแสนหนึ่ง มีล้านหนึ่งด้วย มาทักเรามีหมื่นเดียวอะเหรอ ยังน้อยไป จะไม่สะดุ้ง สะเทือน อะไรเลย ฉันเดียวกัน ท่านไม่แม่นหรอก ท่านไม่แม่น

แต่คุณธรรมอย่างท่านนี่ ถ้าให้อาตมาวิเคราะห์ ด้วยปัญญา ชี้ชัดแล้วนะ ท่านถึงโสดา โสดาท่านถึง อย่างยิ่ง อาจารย์ yy แล้ว บุหรี่ก็ไม่สูบ หมากก็ไม่กินด้วย ยิ่งอาจารย์ yy แล้วด้วย ถ้าว่ากันจริงแล้ว อาจารย์ xx ยังสูบบุหรี่กินหมาก อาจารย์ yy ลูกศิษย์อาจารย์ xx แท้ๆ หมากก็ไม่กิน บุหรี่ท่านก็ ไม่สูบนะ แล้วท่านประณีตหลายอย่าง ดีแต่ท่านเอง ท่านไม่ชัด อันนี้อาตมาเอง อาตมาก็สงสาร อยู่เหมือนกัน แต่มันช่วยไม่ได้หรอก มันได้แต่อย่างนั้นแหละ ทำยังไงได้ล่ะ เรามันเป็นพระน้อย มันทำยังไงได้ อาจเอื้อมอะไรได้ มันก็ได้แต่อย่างนั้นล่ะนะ มันช่วยกันไม่ได้ แต่ก็ได้แต่พูด ที่จริง ถ้าฉลาด ไม่มีมานะ อาตมาพูดนี่ คือการสอนฝากลมฝากแล้งทั้งนั้น ใครจะไปสอนตรงๆ ท่านได้ เราก็ฝาก แทรกมวลแมกไม้ลอยไป แทรกมวล แทรกลม แทรกฟ้าลอยไป แทรกมวลแมกไม้ลอยไกล นี่เพลงอาตมาเพลงหนึ่ง เพลงพลังรัก แทรกลม แทรกฟ้าลอยไกล แทรกมวลแมกไม้ลอยมา ดูเหมือน อย่างนั้น จำไม่แม่นนัก แต่อย่างนี้ขึ้นต้น แทรกไปตามสายลมแสงแดด ฝากฟ้าฝากดิน อะไรก็แล้วแต่ แทรกไปแล้ว มันจะไปถึงหู

ถ้าท่านไม่มีมานะ ท่านก็จะได้ข้อคิด แล้วก็ไม่มีใครรู้ว่า อันนี้ใครสอน อันนี้ใครพูด ไม่มี แล้วตัวท่านเอง ท่านแม้มีมานะ มันก็ไม่ถือสานัก เพราะฉะนั้น เรื่องรายละเอียดของพระอริยะนี้ แม้เป็นโสดา สกิทา เมื่อได้จริง เป็นอรหัตผลแล้ว ย่อมมีโพธิกิจ เกิดโพธิสัตว์ตามขั้นตามตอน "โพธิ" แปลว่า ผู้ที่มีตรัสรู้ และก็รื้อขนสัตว์นี่ เป็นเงื่อนไข เพราะฉะนั้น บางทีเขาอธิบาย พระโพธิสัตว์คืออะไร คือผู้รื้อขนสัตว์ หลายตน คงเคยได้ยินมาแล้ว พระโพธิสัตว์คือ ผู้รื้อขนสัตว์ ผู้ที่สอน ผู้ที่ทำประโยชน์ให้คนอื่น ช่วยคนอื่น ก็จริง เพราะฉะนั้น ผู้ที่บรรลุแล้วช่วยเขา ถ้าผู้บรรลุแล้วไม่ช่วยเขา ก็ไม่เกิดธรรมทายาท

เมื่อไม่เกิดธรรมทายาทแล้ว อะไรมันเชื่อมต่อ มันก็พังเท่านั้นเอง ทุกคนมีความเห็นผิด เออจบแล้ว ไม่ต้องช่วยใคร ท่านไม่สอนใครหรอก ท่านไม่พูดมากหรอก ท่านไม่ทำอะไรหรอก ท่านก็นั่งสงบไป เสพย์สุขไป นิรันดร์ นี่ไม่ใช่ลัทธิพุทธ ลัทธิพุทธมีประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน แต่มีข้อแม้ว่า ควรช่วย ประโยชน์ตนก่อน ตั้งตนอยู่ในคุณ อันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่น จึงจะไม่มัวหมอง นี่เป็นหลักการ ตนยังไม่ได้ แล้วผ่าไปสอนคนอื่น เหมือนมหายานโพธิสัตว์ล้ำหน้า สอนแต่คนอื่น เรียนไปเถิด สะสมความรู้ เหมือนอย่างสมัยนี้ เรียนหนังสือ เรียนแต่ทฤษฎี ภาคปฏิบัติไม่เป็นเลย แล้วไม่ได้ ความจริงเลย ทำอะไรก็ไม่เป็น ได้แต่ทฤษฎี จบวิศวะบ้าง ขันน็อตยังไม่ค่อยเป็นเลย ต้องไปให้ตี๋ขันน็อต จบวิศวะแล้วไปสอน เป็นอาจารย์ด้วยนะ สอนปริญญาโท ด็อกเตอร์ ขันน็อต สู้ตี๋ยังไม่ได้เลย จบวิศวะ เดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ มีแต่ความรู้ฉาบพอก ว่าก็เถอะ ครูก็เหมือนกัน โอ้โฮ! วิชาการเป็นตันเลย แต่ไม่จริง ทำไม่ค่อยได้ นี่ไม่ใช่อาตมาว่านะ อาตมาให้สติ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ มันไม่สมดุลตรงที่ว่า ปริยัติ กับปฏิบัตินี่ มันไม่สมดุล เมื่อเราได้ทฤษฎีแล้ว เราต้องเป็นนักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ให้ถึงเข้า ทำให้จริง ให้จริง ยิ่งทำเป็นจนชำนาญแคล่วคล่อง เก่งด้วยนั่นซิ ถึงจะยอดเยี่ยม ไม่ใช่ได้แต่ทฤษฎี ทฤษฎีแล้ว ต้องทำให้จริง จนกระทั่ง เป็นเก่ง แบบนี้แล้วไม่มีใครมาดูถูกเราได้ และเราจะสอนเขาได้ อย่างวิเศษเลย นี่มันขาดตรงนี้ นี่ทุกวันนี้

ครูทุกวันนี้ แม้ว่าจะเป็นครูทางเทคนิค เทคโนโลยีทางไกล หรือครูทางโลกียะ และยิ่งครูทางโลกุตระนี้ ยิ่งจำเป็นเลย เราได้ทฤษฎี ได้ปริยัติแล้ว เราต้องปฏิบัติให้ถึงแก่น แล้วค่อยมาสอนเขา เพราะฉะนั้น จะเป็นพระโสดา จะสอนเขา ก็สอนเขาแต่ภูมิโสดาของเราถึงแก่นโสดาแล้ว เป็นสกิทาก็ได้แก่น สกิทาแล้ว ค่อยๆมาสอนเขา เป็นอนาคาได้แก่นอนาคาแล้ว ค่อยมาสอนเขา และต้องสอนด้วยหลักการ เป็นอรหัตผล และต้องมีโพธิสัตว์ทันที อรหัตผลและโพธิสัตว์ทันที ผู้หมดตัวตนของโสดา ก็ต้องเป็น ผู้ที่หมดตัวตนของโสดา แล้วอยู่กับปุถุชนได้ เพราะโสดานี่ จะสอนปุถุชน เพราะฉะนั้น จะสอนปุถุชน ที่อยู่ในอบายมุขได้ สอนเขาได้ สกิทาสูงขึ้นมา โลกกามคุณ โลกธรรม ไล่ขึ้นมา เรื่อยๆ ในชั้นหนึ่ง ก็สอนเขา ในชั้นนั้นได้ เป็นพระอนาคามี หมดเลยกาม โลกธรรม ๘ ลาภ ยศ หมดแน่นอน เรื่อง ลาภ ยศ นั่นหมดเลย จะเหลืออีกบ้าง พระอนาคาก็เรื่องสรรเสริญกับสุขในภวะ สุขในภพ สุขในโอปปาติกะ ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้น พระอนาคา ก็จะสอนเขาได้มากเลย ไม่ใช่ยิ่งสงบ ยิ่งเป็นพระอนาคา ยิ่งหนีเ ข้าไปป่า เข้าถ้ำ ไม่ใช่

ถ้าเรียนรู้มาถูกทาง ทิศทางทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้ว ยิ่งมีคุณค่าแก่สังคม เพราะอาตมายืนยัน แล้วว่า เอกคุณ หรือ เอกบุรุษ บุรุษผู้มีอริยคุณที่ถูกต้อง ของพระพุทธเจ้า จะต้องเป็นประโยชน์เกื้อกูล ต่อมวลมนุษยชาติ พหุสสะ ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา แปลง่ายๆ "ปติฏฐาปิตา" คือมา ประดิษฐานมนุษย์ พหุสสะ ชนตา "ชนตา" แปลว่ามนุษย์ แปลว่าประชาชน "พหุสสะ" ก็แปลว่า มวลประชาแหละส่วนมาก ประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนให้มากมาประดิษฐาน หรือมาสร้างมนุษย์ นั่นเอง มาทำให้มนุษย์เกิดเป็นอารยบุคคล หรือ อารยชน ให้มีคุณธรรมด้วยจริยธรรม อริเย ญาเย "อริเย" ก็คือให้มันเกิดอริยะ "ญาเย" คือให้เกิดญายธรรม ให้เกิดทั้งคุณธรรม ทั้งความรู้โลก ความรู้ธรรม ให้ได้ความรู้โลก ความรู้ธรรมด้วยนะ ทั้งคดีโลก คดีธรรม มาช่วยเขาประดิษฐานสร้างมนุษยโลก

ถ้าอธิบายแบบเชิงศาสนาคริสต์ ก็คือต้องเป็นตัวแทนของพระเจ้ามาสร้างมนุษย์ ไม่ใช่ พระเจ้าก็คืออะไรอยู่ ไม่ใช่ มนุษย์นี่แหละสร้างมนุษย์ เพราะฉะนั้น พระเจ้าอยู่ที่ไหน พระเจ้าอยู่ที่เรา พอพูดอย่างนี้ก็ ผู้ที่เขาอยู่ศาสนาคริสต์ เขาก็หาว่า ไปลบหลู่พระเจ้าเขา เพราะพระเจ้าเขาไม่ใช่มนุษย์ แต่ของเรา ศาสนาพุทธเรานี่ พระเจ้าก็คือมนุษย์นี่แหละ เพราะพระเจ้าคือ จิตวิญญาณ และมนุษย์ มีจิตวิญญาณ เมื่อเรามีพระจิตวิญญาณ หรือมีจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ มีวิญญาณแห่งการสร้างสรร มีวิญญาณแห่งการประทานหรือให้ ก็มีคุณธรรมครบเงื่อนไขแล้วนี่ มีการให้ มีการสร้าง สร้างแล้วก็ให้ ด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ ไม่ได้มีตัวมีตนอะไร ไม่ได้ติดตัวติดตนอะไร ไม่ได้เอาความดิบความดี มาใส่ตัวใส่ตน แต่มันเป็นความดีเองของมัน คุณจะไปปฏิเสธ ว่าคนนี้เขาทำความดี เอ๊ะ!คนนี้ไม่ใช่ของ ความดีไม่ใช่ของเขาหรอก คุณจะไปปฏิเสธเขาได้อย่างไร ในเมื่อเขาทำจริงๆ เขามีพฤติกรรม แห่งความดี เกิดมาจากร่างกาย ชีวิตวิญญาณของเขา ทำดีออกมาแล้ว เราจะไปบอกว่า ไม่ใช่ของ คนนั้นหรอก คนนั้นเขามันมีความดี ของคนอื่น ก็เขาทำโทนโท่ แล้วยังบอกว่า ไม่ใช่ของเขา ได้อย่างไร โดยสัจจะมันไปปฏิเสธไม่ได้ แต่เราไม่จำเป็นต้องจำ เราไม่จำเป็นต้องยึดถือ ว่าความดีของเรา แต่มันก็เป็น ความดีของเรา เพราะว่าเราทำ เราไม่ได้ไปแกล้ง เราทำ คนอื่น ไม่ได้มาจับไม้ จับมือเราทำ เมื่อไร ก็เราทำจริงๆ พูดแล้วก็พูดเองจริงๆ ไม่ได้คนอื่นมาขยับชักมา ชักเป็นหุ่นยนต์ ปากพูดออกมา เมื่อไร เราก็พูดของเราเอง จิตวิญญาณของเรา ความรู้ของเรา การกระทำพฤติกรรมของเรา เราทำดี มันก็ย่อมดี ที่ตัวอันนี้แหละ แท่งก้อนนี้ แต่ในความลึกอีกอันหนึ่ง ของจิตวิญญาณของเรา อย่าไปยึดถือ อย่าไปยึดมั่น ว่าเป็นตัวกู ของกูอะไร จริงๆ ภาษาบอกได้แค่นี้ แต่คุณจะทำเองแค่ไหน ก็เรื่องของคุณ ทำน่ะ

พระอริยเจ้าของพุทธ ไม่ว่าจะเป็น โสดา สกิทา อนาคา หรืออรหันต์ตัวสุดท้าย ก็ต้องทำประโยชน์ แก่มนุษยชาติ พหุสสะ ชนตา อริเย ญาเย ปติฏฐาปิตา หรือ พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ อนุเคราะห์โลกเขา ไม่เช่นนั้น สร้างคนมาเป็นผู้ดี ผู้ประเสริฐ ผู้มีคุณความดีมากแล้ว แล้วโกยไปทิ้ง ป่า เขา ถ้ำ ไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง กับมนุษย์หมด สร้างมาทำอะไร ฝังไปเสียเลยดีกว่า สร้างมาทำไม ไม่มีประโยชน์คุณค่า ต่อมนุษย์โลกเลย สร้างมาทำไม

นี่อาตมายิ่งเห็นว่า โอ้โฮ! พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้านี่ ท่านสร้างทฤษฎีของท่านขึ้นมา ผลิตมนุษย์ และให้มนุษย์ มาเป็นคุณค่า แก่มนุษย์ด้วยกัน ได้อย่างเก่งกว่าฤาษีมาก อันนี้แหละ เป็นความเหนือ ของพระพุทธเจ้า เป็นความเหนือของ ศาสนาพุทธ เหนือศาสนาที่มี GOD มีพระเจ้า มีพระพรหม ที่เขาบอกว่า เป็นพระพรหมแล้วก็หลงเป็นฤาษีไป แท้จริงในศาสนาพราหมณ์เอง พระพรหมก็เป็นผู้เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาช่วยมนุษย์น่ะ พระพรหมก็เป็น พระผู้สร้างเหมือนกัน แต่มันเพี้ยน เพี้ยนๆไป จนกระทั่งกลายเป็นศาสนาเดิม ซึ่งก่อนพระพรหม ก่อนศาสนาที่มีเนื้อแท้ แห่งพราหมณ์เองอีกด้วย เพราะฉะนั้น ศาสนาพราหมณ์จริงๆนี่ โอ้โฮ! มีความรู้เยอะแยะ มีทฤษฎี มีหลักการอะไร ไม่ได้เพี้ยนพุทธ เท่าไหร่หรอก แต่มันเพี้ยน

มันเพี้ยนคืออะไร มันเพี้ยนคือไปเอาศาสนาโบราณ ศาสนาเก่าที่ยังไม่มีคุณภาพสูง มาปนในพราหมณ์ พราหมณ์ก็เลยกลายเป็น ศาสนาเสีย แท้จริงพราหมณ์จริงๆก็สูง สูงแต่ก็เสียอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็เป็น พราหมณ์เดิม ก็มาตรัสรู้ทฤษฎีที่สูง หรือว่าความรู้ที่สูงอีก ก็เลยออกจากพราหมณ์ พอออกจาก พราหมณ์แล้ว ผู้ที่มาสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้าเพี้ยนอีก ไปเอาพราหมณ์ หรือไปเอาศาสนาโบราณ มาปนเข้าไปอีก มันก็เลยปนๆ อย่างนี้นิรันดร์ เพราะฉะนั้น ผู้ใดทำความ Pure ทำความบริสุทธิ์ขึ้นมา ได้เมื่อไร เมื่อนั้นก็มีคุณค่า ขึ้นมาทดแทนน่ะ

การได้เสริมสานสร้างสรรกัน เป็นธรรมทายาท เป็นผู้ที่สืบต่อรู้จักสัจจะสาระ อย่างแท้จริงอย่างนี้ ขึ้นไปเสมอๆ จึงจะเป็นผู้ที่สืบทอด หรือเป็นผู้ที่สร้างสรร เป็นผู้ที่จะกระทำคุณค่า โดยเฉพาะศาสนา หรือคุณธรรม อันจำเป็นของ มนุษยชาติ มนุษย์ถ้าเผื่อว่า ไม่เอาศาสนาแล้วหมดท่า ตั้งแต่มนุษย์ โบราณ เป็นพวกชาวป่าเขาทึมๆ ทึมๆ ถือหอก เต้นระบำ ตีเกาะเคาะไม้อะไร ตั้งแต่โบราณนี่ มนุษย์ เหล่านั้นก็มีศาสนา เราเรียกว่าศาสนา ก็คือความยึดถือของเขา นั่นเอง เขามีความยึดถือของเขา เขาจะเข้าใจเรื่องลึกซึ้ง เป็นจิตวิญญาณ เป็นอะไรของเขา จนเขามาประกอบ เป็นจารีตประเพณี อะไรของเขา ก็เป็นเรื่องของภูมิธรรม หรือปัญญาของเขา และเขาก็เห็นว่า อันนั้นมันใช้ได้ อันนั้น เป็นคุณค่า ที่จะสามารถ ทำให้คนของกลุ่มของเรานี่ สังคมของเขานี่ โขลงของเขานี่ อยู่ได้รอด เป็นไปอย่างสุขสบาย เขาก็เชื่อถือ แม้จะเป็นอำนาจ บางทีดูตลกๆ เป็นอำนาจฤทธิ์เดช เป็นจิตวิญญาณ อะไร ที่เขาหลงคิด หลงเชื่อถือว่า มันบันดาลอันนั้นให้เขาได้ บันดาลอันนี้ให้เขาได้ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ของเขา ต่างๆนานา แล้วจิตวิญญาณเหล่านั้น ของคนกลุ่มนั้น ก็มีพลังฤทธิ์ ที่สามารถมีแรง ทำให้เกิดเป็นอย่างนั้น ๆ ได้บ้าง และเขาก็อาศัยสิ่งนั้น เป็นลัทธิหรือเป็นศาสนา ของเขา อาศัยมา จนมีคนฉลาดขึ้น พัฒนาจากคนป่า ที่ใช้หอกตีเกราะเคาะไม้บุมๆๆขึ้นมา จนกระทั่ง ฉลาดขึ้นๆ ก็มีความรู้ในความละเอียด หรือว่านามธรรม หรือว่าเนื้อจิตวิญญาณ หรือว่าเนื้อศาสนานี่ สูงขึ้นๆๆๆ จนกระทั่ง มาถึงขั้นพระพุทธเจ้า เราถือว่า ได้พัฒนาเรื่องจิตวิญญาณ มาอย่างละเอียด เข้าใจแจ่มแจ้ง

แม้อาตมาคนรุ่นหลัง มาศึกษาตามทางพระพุทธเจ้า ก็ศึกษาได้เร็ว เพราะทฤษฎีท่านมีไว้ อาตมาศึกษา ตามทางพระพุทธเจ้าได้เร็ว แล้วอาตมามีบารมี สืบทอดเก่าแก่ ที่พูดอธิบายเป็นอจินไตยสู่คุณฟัง ไม่ได้อีก มาแต่เดิมด้วย ก็เลยยิ่งเร็วใหญ่ จนคนไม่เชื่อง่ายๆ อาตมาจุดนี้แหละ อาตมาเห็นใจ คนเฒ่า คนแก่ หรือผู้รู้มาก ผู้เรียนมาก่อนอาตมา มามากปี อาตมาเห็นใจเขา เพราะอาตมาอยู่ดีๆมาสอบ pass ชั้นปั๊บ ออกมาเป็นผู้สอนศาสนา มาจากไหนนี่ ขี่ม้าขาว โผล่พรวด ขึ้นมาเลย นี่มาจากไหน ไปเอาภูมิ มาจากไหน อั๊วเรียนมาตั้ง ๓๐ - ๔๐ ปี อั๊วยังทำไม่ได้ สอนยังไม่ได้ชัดเจน อย่างนี้เลย แกมันพูด เอาเองนี่หว่า แล้วไม่เหมือนกับ ที่เขายึดถือกันไว้ด้วยนะ แล้วเขาก็ช้ากันอยู่นั่นแหละ

แต่อาตมาว่า อาตมาเร็วนะ อาตมาพาพวกเรามาเร็วนะ ตอนนี้มันก็มีหลักฐาน มีอะไรอ้างอิง ยืนยันแล้ว อาตมาพาพวกเรา มาเร็ว ลด ละ ปล่อย คลายเห็นชัดๆด้วยว่า ลด ละ ปล่อย คลาย แม้รูป รส กลิ่น เสียง ทิ้งรสอะไรมานี่ คนอื่นเขาทำ เป็นมวลเป็นหมู่ อะไรชัดๆอย่างนี้ไม่ได้หรอก แล้วไปดูซิ อาจารย์ บางองค์ มีลูกศิษย์เยอะเหมือนกัน โอ๊ย! แต่ไปดูซิ งามพริ้งอย่างนี้ กลิ่นกรุ่นเลย เออ แหวนเพชรก็เยอะ ต่างหูเพชรก็เยอะ หน้านี้นวล แดง งาม อุ๊ย! มาถึงก็ฉันทำบุญเท่านี้นะ คนนี้ทำเท่านี้นะ ฉันทำเท่านี้นะ ทับถม ข่มกัน แต่เยอะนะ แต่ยังมีกิเลส อาตมาพูดอย่างนี้คงเข้าใจ อะไรคือกิเลส เขาเต็มไปหมด แต่พวกเราไม่มี พวกเรารู้และอายแล้ว พวกเรารู้และอายแล้ว ไม่เอาสิ่งอย่างนี้ มาเบ่งข่มกัน เพราะมัน ไม่ใช่เรื่องน่าอวด มันเป็นเรื่องน่าอาย ไม่ใช่เรื่องน่าอวดแท้ๆ แล้วเราก็ไม่เอามาอวด เพราะมันน่าอาย จะเอามาอวดได้ไง แต่เขาไม่อายนะ เขาอวดกัน (มีเสียงหัวเราะ) นี่มันกลับกันนะ อย่างนี้เขาไม่อาย เขาอวด แต่เราอาย สิ่งที่เราไม่อาย เขากลับอาย เขากลับอวด นี่ สิ่งที่เราน่าอวด เขาหาว่าเอ๊ะ! ทำไมไม่อายหรือ เอ้อ เอ้า (เสียงหัวเราะ) กลับกันไปหมดเลย

นี่คือภาวะ ปฏิโสตัง ภาวะทวนกระแส เรามานั่งพับเพียบเรียบร้อยบนพื้น โอ้ย! มันไม่น่าอายหรือ มันต้องนั่งเต๊ะท่า อยู่บนโน่นซิ มันถึงจะโก้ โน่นนั่งโซฟาอย่างนี้ถึงจะโก้ เอามานั่งยังนี้น่าอาย ต่ำ เอ๊ะ! แต่เราบอกว่า นี่น่าทำนะนี่ เป็นศิลป วัฒนธรรมไทย เป็นวัฒนธรรมไทยนะ เรียบร้อยแล้วไม่ถือตัว แต่เราก็มีความดี ซ้อนอยู่ในตัว เราก็มีคุณค่าอยู่ในตัว ประสิทธิภาพ สมรรถภาพ น้ำใจอะไร เรามีนะ แต่อย่างที่นั่งอยู่บนโซฟานี่ มีน้ำใจ มีประสิทธิภาพ มีสมรรถภาพอะไรบ้าง ถ้าใครรู้แก่น รู้เนื้อ ถ้ายิ่ง คบคุ้นกันดูดีๆแล้วก็จะรู้ เพราะฉะนั้น เรื่องสารัตถะ มันไม่ใช่เรื่องตื้น ที่เราจะไปคั้นออกมา กันได้ง่ายๆ ที่อาตมาพูดวิเคราะห์สู่ฟัง ถ้าใครมีปฏิภาณ ก็จับรู้ได้ เรียนรู้ได้ และก็เข้าใจลึกซึ้งขึ้น

นี่เป็นการเติม การแถม การชี้ ชี้ประสบการณ์ ชี้เหตุการณ์ ชี้เรื่องราว ชี้อะไรต่ออะไรให้ฟัง คนที่รู้สึกว่า อย่างนี้น่าเกลียด เราเองคนไทย เรามีวัฒนธรรมอย่างนี้ ทำไมเราเอง เราเคยภาคภูมิเอกลักษณ์ไทย ภาคภูมิวัฒนธรรมไทย ความเป็นไทย ของเรามีอย่างนี้ คุณไปรับวัฒนธรรม นั่งเก้าอี้ไขว่ห้าง มาจาก ต่างประเทศตะวันตก ใช่ไหม สูงกว่าเราเหรอ เจริญกว่าเราเหรอ มันศักดินากว่าเรา ใช่ไหมคุณ รูปแบบ อย่างนี้ คุณว่าออกไหม เราทำอย่างนี้เพราะอะไร เพราะเราเป็นผู้ที่สำรวม และผู้ที่ฝึกตน เป็นคนที่ อดทนและทนได้ เราสุขไหม เรานั่งอย่างนี้กับนั่งเก้าอี้ไขว่ห้างนี่ สบาย สุข ง่าย แต่เรานั่งอย่างนี้ เมื่อคนเป็นแล้วก็สบาย สุข ง่าย แต่ในความสบายสุขง่ายนี้ มีความอบรมตน มีความสังวรตน มีสภาพที่มีเหมือนกับ มีอะไรเตือนตนอยู่เสมอ ไม่ให้ประมาท ดีกว่านั่งไขว่ห้าง ปล่อยเลินเล่อไหม นัยละเอียด นอกนี้นี่ อาตมาวิเคราะห์ ให้ฟังเล็กน้อย ที่จริงมีลึกกว่านี้ เพราะว่าเราเห็นกลวิธี กลปรานี

อาตมาใช้ศัพท์อีกคำหนึ่งว่า กลปรานี คือวิธีการอันเมตตา ให้คนมานั่งพับเพียบนี่ เป็นกลปรานี เป็นวิธีการอันเมตตา แก่มนุษยชาติมาก มานั่งพับเพียบนี่ อาตมาเคยวิเคราะห์ให้ฟังว่า นั่งขัดสมาธิ ง่ายกว่านั่งพับเพียบ เพราะฉะนั้น ป่วยการกล่าวไปใย กับนั่งไขว่ห้าง อยู่บนเก้าอี้ มันไม่ง่ายกว่า นั่งพับเพียบ ก็นั่งขัดสมาธินี่ยังนั่งง่ายกว่า ทำไมเมืองไทยนี่ รับศาสนามาจากอินเดีย อินเดียเขาไม่นั่ง พับเพียบนะ อินเดียเขานั่งขัดสมาธินะ แต่ทำไมไทยยังพยายามทำ นั่งพับเพียบ แม้พระก็นั่งพับเพียบ ทำไม อันนี้แหละ คือภูมิอันเหนืออันหนึ่ง เป็นกลปรานีชนิดหนึ่ง ให้คนสังวร สำรวม เมื่อครูก็นั่ง พับเพียบ พวกคุณสังวร สำรวม คุณก็ต้องมานั่งพับเพียบ เมื่อครูก็นำ ลูกศิษย์ก็ต้องตาม ทีนี้ครูนั่ง พับเพียบนี่ ต้องนั่งให้สบายก่อนนะ เมื่อคนที่ได้อบรมตนแล้วนั่งพับเพียบสบายแล้ว มันจะไปแปลก อะไรละ นั่งพับเพียบก็ได้ นั่งสมาธิก็ได้ นั่งไขว่ห้าง ฮะ ให้อาตมาไปนั่งไขว่ห้างเดี๋ยวนี้ ใครไม่เชื่อว่า อาตมานั่งได้ ยกมือขึ้น ของขี้หมาอย่างนั้น ทำไมอาตมาจะนั่งไม่ได้ นั่งโซฟาไขว่ห้าง ทำไมจะนั่งไม่ได้ แต่มานั่งพับเพียบซิ คุณคัดเข้าไป หัดเข้าไป คุณทำจนสบาย คุณทำได้ง่ายไหม ไม่ง่ายเลย

นี่เป็นเรื่องอบรมตน นี่เป็นองค์ประกอบในการสำรวมสังวร นี่เป็นสิ่งที่จะขัดเกลา จนเราอยู่ง่าย เรามา หัดนอนให้ง่าย แต่ในองค์ประกอบยาก มาหัดนอน หัดนั่ง หัดยืน หัดเดิน หัดเป็นอยู่ เราเป็นอยู่นี่ สิ่งที่เป็นองค์ประกอบยาก แต่เราง่าย แล้ววางใจได้นิดหน่อยก็พอ ไม่ต้องเอาอะไรมาเปลือง ไม่ต้อง เอาอะไรมาเสริมมาก อันนี้เป็นความวิเศษ ของมนุษย์ เพราะฉะนั้น มนุษย์ผู้ที่ไม่เปลืองอะไรมาก ไม่ต้องมีโซฟา ถึงจะนั่งได้ ไม่ต้องมีเก้าอี้ถึงจะนั่งได้ พื้นนี้ก็นั่งได้ อย่าว่าแต่พื้น ขัดหินอ่อนเลย พื้นดิน ยังนั่งได้เลย คนนี้ง่ายไหม คนนี้ง่ายไหม ความทุกข์เขาก็ไม่มีโดยส่วนตน และเขาเป็นคนอยู่ง่าย เลี้ยงง่าย เป็นมนุษย์เลี้ยงง่าย เป็นสุภรตายะ เป็นวรรณะต้นเลย เป็นวรรณะแรกเลย สุภรตายะ สุโปสตายะ มันเป็นประเด็นแรก ด้วยซ้ำ แล้วถึงจะไปอัปปิจฉัสสะ ไปสันตุฏฐัสสะ ไปสัลเลขัสสะ ธูตัสสะ อะไรไปอีก ซึ่งเป็นวรรณะ ๙ ที่เราจะเจริญ ตามที่ได้เอาหลักฐานทฤษฎี ของพระพุทธเจ้า มายืนยันให้ฟัง มาสอนกัน มาอบรมกันอยู่นี่ เป็นคนเลี้ยงง่าย อยู่ง่าย กินง่าย มีอะไรนิดๆ หน่อยๆ ไม่ต้อง โอ้ย!ไม่ได้หรอก ไม่มีพื้นหินอ่อนนั่งไม่ได้ ไม่มีโซฟาร์นุ่มๆ นั่งไม่ได้ คนเลี้ยงยาก อยู่ยาก กินยาก นั่งยาก นอนยาก มีชีวิตอยู่ในโลกยาก แบบนี้แหละ ทำให้สังคมเดือดร้อน ทำให้สังคมเปลือง ลำบาก เป็นภาระ แต่ถ้าผู้ใดไม่ยาก ไม่เปลือง ไม่เป็นภาระ ตนพึ่งตนง่าย ตนไปไหนก็ไม่เป็นภาระใครง่าย สังคมมีคนแบบนี้แล้ว มันจะไปลำบากอะไรในโลก

นี่คือทิศทาง นี่คือเป้าหมาย ศาสนาพาเป็นอย่างนี้ แล้วอาตมาก็พาคุณทำมา พิสูจน์มา แล้วก็ชี้ยืนยัน กับคุณ คุณเห็นดีคุณเอา เพราะฉะนั้น คุณมาทำนี่ จนคนเขามองว่าบ้า ก็บ้าซิมันวิ่งไปทางโลก ปรุงสังขารปนปรุงกัน หยาบคาย จัดจ้านมากแล้ว ส่วนเรากำลังย้อนเข้าไปทางที่น้อย น้อยให้มาก เขาวิ่งออกไปทางที่มาก ให้มาก มันมากกันจนมาก เมื่อเราเทียบเคียง ที่เราวิ่งหาทางน้อยให้มาก มันจึงถ่วงกระชากกันแรงเหลือเกิน แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกว่า เขาเข้าใจกันมากขึ้น เพราะว่าพวกเราเข้าใจ และพวกเรายืนยันมั่นคง สถิตเสถียรมากขึ้น ไม่แปรปรวน ไม่ย่อหย่อน ไม่เอนไปหาเขา มากนัก มั่นคงอยู่ มีคนเห็นแท้ และมีมวลก็ชักอุ่นใจ มาเข้าหมู่ เข้ากลุ่มเป็นอะไรมากขึ้น แล้วมันก็นับวัน ขยายเพิ่มขึ้น แล้วเราก็ไปแพร่ ไปสอน ไปนำพา แล้วเราก็จะรู้ทุกวัน ว่าเราสบายขึ้น ง่ายขึ้น เป็นไปได้ มากขึ้น แม้มันจะเหลือเศษ เราก็ละลงไปเรื่อยๆ แน่ใจ เห็นจริง ถ่วงดุลมา เพราะโลกทุกวันนี้ไม่สมดุล ขาดแคลน อดอยาก ยังไม่บริบูรณ์ ยังไม่อุดม ทุกวันนี้ทั้งๆที่ในเมืองไทย มีวัสดุดิบ มีอะไรนี่ไม่ใช่น้อย อุดมสมบูรณ์ แต่มันก็ยังไม่อุดมสมบูรณ์ เพราะจิตมนุษย์กอบโกย เอาไปผลาญพร่า เอาเปรียบ เอารัด เอาไปเน่าไว้ เอาไปกอบโกยทิ้งเสียไว้ โดยไม่แบ่งแจกออกมาให้แก่ คนที่เขาควรได้ใช้ เราเป็นพวกที่ มีน้อย ก็ยังอุตส่าห์แบ่งแจก เป็นตัวอย่างซ้อน ให้แก่คนที่เขามีมากๆ เศรษฐีทั้งหลาย มาดูพวกอโศก ให้มากๆ จะได้ยุ่ยออกมาบ้าง ไม่เช่นนั้นเหนียว

แม้แต่ขี้ยังเหนียวน่ะ เหนียว อื่นก็พอว่านะ เออ เหนียวทอง เหนียวเพชร ก็ไม่ว่าอะไร นี่แม้แต่ขี้ยังเหนียว ก็เลยได้ชื่อว่า คนขี้เหนียว โถขี้ของทิ้งแท้ๆ ยังไม่ยอมทิ้ง ยังหอบเข้าไว้ หอบเข้าไว้ หอบขี้เข้าไว้ เขาเลยพูด ประชดประชันว่า พวกขี้เหนียว เหนียวแม้กระทั่งขี้ เหนียวข้าว เหนียวของ เหนียวเงิน เหนียวทอง ก็เหนียวล่ะ นี่เขา เพราะฉะนั้น คนถึงขั้นได้ชื่อว่า ขี้เหนียวแล้วนี่ อายให้มากนะ บอกว่า อย่าว่าแต่ขี้เหนียวเลย ทองเรายังให้เลย เราเลิกขี้เหนียวแล้ว ขี้นี่เราทิ้งจริงๆ เราไม่เอาไว้หรอก อย่าว่าแต่ขี้เลย ทองเรายังให้คนได้ เงินเรายังให้คนได้ ข้าวเป็นอาหารปัจจัยชีวิต เรายังแจกคนอื่นได้ ไม่เหนียวหรอก อย่าพูดผิด อย่าว่าเราผิด ตู่เรา เราห่างแล้ว ยุ่ยแล้ว ไม่เหนียวแล้ว แม้แต่ทองแต่เงิน แม้แต่ข้าวแต่ของ เราก็ให้คนอื่นได้แล้ว ป่วยการมาว่าเราทำไม ว่าขี้เหนียว ขี้นี่มันของคนทิ้ง เราทิ้ง นานแล้ว เราไม่เก็บหรอก แม้แต่ข้าว เรายังไม่เก็บเลย เราให้คนอื่นได้ ขอให้เข้าใจเราให้ถูกด้วย เพราะฉะนั้น ใครอย่านะ อย่าให้เขาตราหน้า ว่าขี้ยังเหนียวเลย แหม!ไม่ไหว ก็จริงนะ ทองจะไป ให้ใครได้ เงินจะไปให้ใครได้ ก็ขี้มันยังเอาไว้เลย ยังไม่ยอมให้ใคร นี่เป็นความหมาย นี่เป็นความรู้ ของคนไทย คนไทยเราสร้างคำ สร้างความมานี่ ถ้าฟังไม่ดี มันก็ไม่รู้ว่าเขาด่า นี่เขาว่าขี้เหนียวเมื่อไร นี่เขาด่าแสบๆ คนที่มีหิริโอตตัปปะ มีปัญญาแล้ว มาว่าเราขี้เหนียวอะไร เราไม่ใช่คนขี้เหนียวแล้ว ทองยังไม่เหนียว เงินยังไม่เหนียวเลย แล้วจะมาขี้เหนียว อยู่ทำไมน่ะ นี่เข้าใจรายละเอียด พวกนี้ให้ลึกซึ้งน่ะ แล้วเราจะเข้าใจ

เราพยายามเผยแพร่ เราพยายามสั่งสอน จะว่าสั่งสอนก็ขออภัยนะ ไม่ได้มาตั้งตัวเป็นครู เป็นผู้ยิ่ง ผู้ใหญ่ อะไรหรอก แต่สำนวนมันพาไป ก็พูดไปอย่างนั้นแหละ แล้วนั่นล่ะ มันความจริง ที่จริงน่ะ ไม่ใช่ว่า ขวยเขินอะไร มันก็เป็นความจริงน่ะ ว่าเรามาเผยแพร่ มาสอนกัน มาบอกกัน มากล่าวกัน มาแนะนำกัน นำพากันไป ดึงดูดกันสู่ที่สูง แล้วอาตมา ก็ขอสรุปว่า เมื่อเราได้ทำโดยประมาณ มีมัตตัญญุตาแล้ว เราได้เสมอแล้ว ความก้าวหน้าของการทำงาน คนที่มีปัญญา รู้ความจริง เขาจะสอดคล้อง เขาจะสนับสนุนเสมอ เหมือนอย่างเรามาถึงขั้นนี้ มาพัทลุงนี่ รับความสนับสนุน รับความเห็นด้วย ช่วยเหลือเฟือฟาย เรียกว่า ให้ความร่วมมือ ให้ความสะดวกเพิ่มขึ้น และในการ ให้ความสะดวก ร่วมมือมากขึ้นนี่แหละ เราก็จะต้องสังวรไว้ เมื่อได้ความสะดวกมากขึ้น ไม่ใช่เรา ผู้ที่ยังเหลือกิเลส รีบฉวยเอาความสะดวก มาให้แก่ตน ไม่ควร เรายิ่งต้องพยายามรู้ว่า เราจะต้องลดลง ลดลง ยังขัดเกลาตนอยู่ อย่าไปฉวยโอกาสเอา ว้า! นี่เขาให้ความสะดวกเราแล้ว เลยเล่นเสวยวิมาน เสวยแท่นทองเสียเลย ก็เลยไม่ต้องขัดเกลากัน นี่เขาให้ฟูกหมอน นอนแล้ว เรานอนเถอะ นี่เขาอุตส่าห์ เสียสละ เขาอุตส่าห์ร่วมมือ เขาอุตส่าห์จัดแจงให้เราแล้วนะ เดี๋ยวเขาจะเสียใจ ฉลองให้เขาหน่อยเถอะ สนองเขาเถอะ สนองเขา หรือว่าสนองตัณหาตน

จำความข้อนี้ไว้ ตราความข้อนี้ไว้ในใจ เราจะสนองฉลองให้เขา หรือสนองตัณหาตน อย่านะ พยายาม ถ้าเราแข็งขืนได้ โดยไม่ฉลองให้เขา นั่นจะดีกว่า อ่านตนเองว่า เราสนองตัณหาตน หรือฉลองให้เขา ถ้าเราจะขืนไม่ฉลองให้เขาโดยได้ แม้เราไม่สนองตัณหาตนแล้ว ก็ควรทำนะ ก็ควรทำ นี่เป็นจุดสำคัญ ที่ขอเตือนพวกเรา ที่ไปทำงาน แม้เราจะได้รับความร่วมมือ ได้รับการสนับสนุน นี่เราจะได้รับ ขึ้นมา เรื่อยๆเลย ความง่ายจะง่ายมากขึ้น ก็ถือเอาความง่ายนั้น เป็นทางทำงาน อย่ามาเอาความง่าย หรือ ความบริบูรณ์นั้น มาสนองตัณหาของตน ให้ตัณหาหรือให้กิเลสอ้วนขึ้นๆ อย่า ขอเตือนพวกเราน่ะ ไม่เช่นนั้นแล้ว เราจะไม่เจริญในธรรม การเผยแพร่ การทำงานของศาสนาพุทธ มันซ้อนอย่างนี้

ส่วนของเดียรถีย์นั้นเขาน้อย เขามีน้อย มักน้อย เขาจะมักน้อย แล้วเขาจะไม่เข้ามาหาคน ไม่เข้ามา ทำงาน แล้วเขาจะไม่มีประสบการณ์อย่างนี้ เขาจะไม่ได้รับความร่วมมือ แล้วก็มีคนเอาอันนี้ ที่จริง สิ่งเหล่านี้ มันเป็นข้อสอบ มันเป็นแบบฝึกหัดของเรา ที่มันจะต้องสอบยิ่งขึ้น นี่ยิ่งยั่วยวนสูงขึ้น นี่ยิ่งเขาให้ด้วยใจ เขายิ่งเซ้าซี้ด้วยนะ เอาเถอะน่า กินเถอะน่า ใช้เถอะน่า นอนเถอะน่า นั่งเถอะน่า เขายิ่งจะอย่างนี้เข้ามามากๆนะ เราก็กิเลสมันก็กระซิบ อยู่ข้างหลัง หยวนน่าๆๆ มันก็จะกระซิบ ดันเราอยู่นั่นแหละ กิเลสนี่หยวนน่า เอาน่า สนองน้ำใจเขาหน่อยน่า โธ่! ขัดใจเขา เดี๋ยวเขาโกรธนะ นี่มันสาระพัดที่มันจะกระแซะเราอยู่ ให้เราสนองตัณหาของเราอยู่เรื่อย เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะ แข็งขืนบ้าง ถ้าเห็นว่า ไม่แตกหัก อันนี้แหละ จุดนี้แหละ คุณต้องประมาณให้เก่ง มัตตัญญุตา นี่ไม่ใช่ง่าย ถ้าทำได้ทำ ถ้ามันบอกว่า แหม! นี่ถ้าเราไม่สนองตัณหาเขานี่ ไม่ดีล่ะอันนี้ เอาเถอะ ถ้าถึงขีดนั้นสุดจริงๆแล้วก็เอา แต่ระวังนะ ขี้โพรงให้กระรอก พอบอกอย่างนี้แล้วก็ หยวนง่ายๆ ไม่ได้นะ แต่ต้องพยายามดึงไว้ อย่าย่อหย่อนนะ คนที่ทำไว้ดึงไว้นี่ มันจึงจะสมส่วน อย่าเสียประโยชน์ตน อย่าเสียประโยชน์ตน แม้ที่จะให้ประโยชน์คนอื่นอยู่เรื่อยก็ อย่านะ ต้องเอาให้ได้ประโยชน์ตน อันที่เรา ไม่สำเร็จ ยังไม่บรรลุสูงสุด ให้ได้นะ

อาตมาได้เน้น ได้วิเคราะห์ วิจัย ได้แยกแยะให้แยบคายในอะไรต่างๆ ทั้งงานที่เรามาทำ ทั้งประโยชน์ตน และเราก็มาทำ ประโยชน์ท่าน เท่าที่ควร เท่าที่เป็นไป มีกิจกรรม มีวิธีการ มีเรื่องอะไร ที่เราทำนี่ เป็นเรื่องสื่อสู่กัน สื่อด้วยวิธีนั้น รูปแบบนี้ องค์ประกอบ อย่างนั้นอย่างนี้ เราก็ทำกันไป เป็นกิจกรรมไปเรื่อยๆ ผู้ที่ได้รับจากสื่อต่างๆ ที่เราได้ทำ เพื่อให้เกิดสื่อ ให้ได้รับประโยชน์ ให้ได้รับ ปัญญา ให้ได้รับคุณค่า ให้ได้เกิดศรัทธาปัญญา จนกระทั่งถึงความเจริญ ผู้ได้รับแล้ว ก็เจริญขึ้น เจริญขึ้นได้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้ก็ดีแล้ว เพราะฉะนั้น การที่เราจะทำงานโดยที่ไม่มีปัญญา อันแยบคาย ก็จะกลายเป็น ทำให้ดึงเราลงสู่จุดสื่อม ได้ง่ายเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การทำงานที่ต้องระมัดระวัง ให้ดีเสมอ เผลอไม่ได้ เผลอไม่ได้ ต้องประณีต แนบเนียน แยบคายไปเรื่อยๆ สำหรับผู้ที่ได้รับส่วน

วันนี้อาตมาสังเกตเห็นว่า คุณครูมานั่งฟังธรรมเช้านี้ วันนี้วันที่สี่ ถ้าต่อไปมากกว่านี้ ก็คงจะมา มากกว่านี้ เพิ่มขึ้น นี้ก็คงมี ผู้ได้รู้ ได้เข้าใจ แล้วก็อุตสาหะเพิ่มขึ้น วันนี้มีครูมากกว่าเมื่อวานนี้ ... ทำวัตรเช้า ก็รู้สึกว่ามากขึ้นหนาแน่นขึ้น ก็คงได้รับอะไรต่ออะไร นี่เรียกว่า ผู้ที่ติดมา คือผู้ที่เอนทรานซ์ คือ ผ่านเข้ามาได้ เอนทรานซ์ผ่านเข้ามาได้นะ ผู้ที่เข้ามาได้ ก็เข้ามาได้ ผู้ที่ยังเข้ามาไม่ได้ ไม่มีใคร บังคับหรอก แล้วคุณมา คุณก็ไม่ได้มีใครมาบังคับคุณ คุณเข้ามาเอง อิสรเสรีภาพ ของคุณ คุณนึกว่า ควรจะได้น่ะ ควรจะทำน่ะ ควรจะมีน่ะ ก็มาก็ไป ก็เป็นของตน ของตนน่ะ สิ่งอย่างนี้ เป็นกรรมวิธี เป็นทฤษฎี เป็นระบบของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาถือว่า ระบบของพระพุทธเจ้า หรือทฤษฎีของ พระพุทธเจ้านี่ อาตมาเอามาใช้อยู่ ก็ยังทึ่งอยู่ไม่หาย ทึ่งแม้กระทั่งเมื่อวานนี้ เขาทักว่ามีเงินมาจากไหน นี่มาเป็นกองทัพ มีโน่น มีนี่ มองเห็นค่าใช้จ่ายอยู่หลัดๆ แล้วก็บอกว่าไม่รับเงิน ไม่มีเงิน แล้วก็บอกจนๆ แล้วก็ดูสิแต่งตัว ก็สมว่านี่มันจนๆแน่ เห็นหน้าตาอย่างนี้ โถก็จนๆแน่ เห็นสมส่วนเสียด้วย สมเรื่อง เสียด้วยนะ แล้วไปเอาเงินมาจากไหน นี่มันให้คิดนะ ไม่เชื่อ พวกคุณจะมีเงิน ก็น่างดอย่างนี้ แต่งตัว อย่างนี้ มันต้องมีอั่งยี่อะไรอยู่เบื้องหลังนี่ คอยหนุนเนื่องมาแน่ มันทำให้คิด มันรู้สึกว่า มันยั่วให้คิด เหลือเกิน อาตมาเห็นใจ คนที่มันเข้าใจยาก เห็นใจๆ เพราะฉะนั้น จึงได้เชิญชวนอยู่เสมอ เข้ามาสิ เข้ามาเรียนรู้ เข้ามาคบคุ้นพวกเรา เข้ามาอยู่ด้วย เข้ามาสืบสาวราวเรื่อง สืบสวนเลย

อาตมาเห็นใจ จริงๆ ไม่ง่ายที่จะรู้ว่า พวกเราทำด้วยสุจริตอย่างไร แล้วมันมีอะไรมาแค่ไหน ระบบของ พระพุทธเจ้า ไม่เป็นปาฏิหาริย์ อาตมายกอ้าง เมื่อวานนี้ยกอ้าง แม้แต่ว่า เราจะทำงานถึงขั้น สร้างโรงทาน ขึ้นหลัดๆ ใหม่ๆ เอามาอ้างให้ฟังว่า เราก็สามารถที่จะรีดเลือดปู มาเลี้ยงประชาชน ซึ่งเขามีเศรษฐี มหาเศรษฐี อยู่ในกรุงเทพฯ นั่นเยอะแยะ เขายังไม่อาจหาญชาญกล้า มาตั้งโรงทาน ๑๐ โรง ในงานนี้เลี้ยงมนุษย์ได้เลย เศรษฐีไม่มีเอื้อมมือเข้ามา แต่พวกเรานี่เหมือนปู นี่มาเลี้ยงได้ อาตมาพูดอย่างนี้ ประเด็นอย่างนี้ เมื่อวานนี้ ที่บอกว่า นี่พวกเรามากองทัพนี่ เลี้ยงพวกคุณได้ อ้าว! ผู้ถือตัว ถือสาก็เลยว่าอาตมาว่า หน็อยมาลบหลู่ดูถูกเจ้าของบ้าน ไม่เลี้ยง ไม่ต้อนรับ มันยังจะมาทับถม มาเลี้ยงเจ้าบ้านเสียอีกนี่ มันแบบนี้ มันเสียเหลี่ยม เสียศักดิ์ศรี อาตมาก็ขออภัยไปแล้ว ถ้าไปเข้าใจ อย่างนั้น อาตมาไม่เจตนาจะให้เข้าใจอย่างนั้น แล้วอาตมาเจตนาพูดอย่างนี้ เพื่อพิสูจน์ให้ฟังว่า พวกเรานี่ แม้เราจน เราก็มีจิตเกื้อกูลสามารถที่ฉีด รีดเลือดตัวเอง หรือทำอะไรออกเผื่อแผ่ได้อีก อาตมามุ่งหมายอย่างนี้ ว่าทำได้ เราเสียสละจริงๆแล้ว มันเสียสละด้วยพอใจ แล้วเราก็ไม่ได้มาทำ เพื่อทวงบุญทวงคุณ อะไรหรอก แต่เพื่อชี้ให้ฟัง เท่านั้นเอง ไม่ใช่ว่าพูดไปแล้ว เหมือนทวงบุญ ทวงคุณ กับพวกคุณ

หรือแม้แต่ที่ยกตัวอย่าง โรงทานอยู่กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้ไปทวงบุญ ทวงคุณ จากเศรษฐี ทั้งหลายแหล่ หรือพวกที่ถูกเลี้ยงในนั้น ไม่ใช่ เศรษฐีจริงๆเขาก็ไม่มากินหรอกโรงทานน่ะ เขาไม่มา กินหรอก เขาก็เดินผ่าน เดินดูเฉยๆ เขาไม่กินหรอก พวกที่กินก็พวกที่ไม่ถือตัว บางคนอาจจะรวย มีซื้อกินเอง อยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่ถือตัว เขาก็กล้ากินน่ะ ที่เราไปเลี้ยงนั่น แต่เราก็เลี้ยง มีปริมาณคน มากินมาก เราทำได้ ถ้าคำนวณค่าใช้จ่ายจริงๆนะ มันน่าฉงน มันน่าทึ่ง มันน่าคิด เอ๊! แล้วไปเอามาได้ยังไง เอ!บอกว่า ไม่มีเงินๆ แล้วไปรวม ออกมาได้ยังไง เร็วๆ ในเวลาเร็วๆด้วยนะ แล้วมาทำทันทีได้ เอามา ยังไง ไม่มีเงินกองทุนอยู่นี่ ไปชี้บอกว่า เอาเงินราชการลับ หรือเอาเงินอั้งยี่ใหญ่ เอามา เบิกเอามาใช้ ทันทีสิ ตอนนี้เร็วนะ ไม่มีกองนอนก้นอยู่ เงินคงคลังอยู่แล้ว เอามาใช้ได้อย่างไร แล้วโม้อยู่ บอกว่าไม่มีๆ ทำแบมือๆ แต่เสร็จแล้วก็ พรึบ เอาออกมาเป็นก้อนมาใช้ เอาจำนวนมากมาใช้ มันไม่น่าเชื่อ มันปาฏิหาริย์ เรื่องพวกนี้อาตมาทึ่ง ทึ่งในระบบวิธีการของพระพุทธเจ้า แล้วอาตมาพิสูจน์อยู่เหมือนกัน นี่อาตมาทำพาทำ นี่พิสูจน์อยู่เหมือนกัน อาตมาชี้อย่างนี้ขึ้นมา พวกเราก็จะได้คิด จริงไหมมันน่าทึ่ง อาตมาก็พิสูจน์ดู อื้อ! มันสำเร็จ มันเป็นไปได้ มันไม่น่าเชื่อ เพราะฉะนั้น ยิ่งนับวัน ยิ่งทำให้เราเชื่อมั่น ในทฤษฎี ในระบบของพระพุทธเจ้ายิ่งๆ ขึ้น ทุกทีไปน่ะ

เอาละ อาตมาเทศน์เกินเวลามากแล้ว นี่หกโมงสิบเจ็ดนาทีแล้ว เดี๋ยวจะไปบิณฑบาตสายเกินไป ก็ขอจบโดยไม่สรุป เป็นแต่เพียงกำชับ คำสุดท้ายว่า ผู้ใดมีปัญญา ผู้นั้นย่อมได้รับธรรมเสมอๆ ทุกเมื่อ ต่อประสบการณ์ ไม่ว่าคุณจะเป็น ผู้บรรลุธรรมแล้ว หรือยังไม่บรรลุธรรม ก็จะได้รับคุณค่า ต่อการศึกษานี้ ทุกวินาทีไปทีเดียว ขอเอวัง


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอดโดย บ้านอีกฟากฟ้าหนึ่ง
ตรวจทานครั้งที่ ๑ โดย สิกขมาตปราณี ปึงเจริญ ๖ ตุลาคม ๒๕๓๐
ตรวจทานครั้งที่ ๒ โดย สิกขมาตปราณี ปึงเจริญ ๒๖ เมษายน ๒๕๓๑
บันทึกข้อมูล โดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มรัตนา ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษร-พิมพ์ออกโดย วรรณประภา ชัยประสิทธิกุล สิงหาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปก โดย พุทธศิลป์
บรรยายธรรมหลักสูตรเข้ม 077K DOC