ตอบปัญหาชาวอเมริกัน
โดย
พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถานสันติอโศก
เมื่อวันที่ ๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
ดร.ขวัญดี อัตตวาวุฒิชัย ผู้แปล (ล่าม)

พ่อท่าน: ยินดีต้อนรับนะ มาอยู่กี่วันแล้วนี่ มาประเทศไทย มานี่เมื่อวานหรือ

ดร.ขวัญดี: เขาจะอยู่ที่นี่รวมทั้งหมดแล้ว ๗ สัปดาห์ค่ะ

พ่อท่าน: จะคิดมาอยู่ที่นี่กี่วันล่ะ พรุ่งนี้กลับแล้วเรอะ มีเจตนาอะไรมาที่นี่

ดร.ขวัญดี: เพื่อเรียนรู้ค่ะ เพื่อที่จะเรียนรู้เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับชาวอโศก และเกี่ยวกับ พระศาสนา และก็ ประเทศไทยด้วย บอกว่าเรียนรู้ทุกอย่าง อันโน้นบ้างอันนี้บ้าง เพื่อที่ กลับไป สู่ประเทศสหรัฐแล้วนี่ อะไรทุกอย่างที่เกี่ยวกับประเทศไทย ก็จะติดอยู่ในหัวใจ ของทุกคน

ชาวอเมริกัน: เสร็จแล้วจากที่นี่ก็จะไปอยู่อุดรธานี ไปอยู่บ้านเชียง อยู่แบบ charlenger เรียน วัฒนธรรมไทย

พ่อท่าน: นับถือศาสนาพุทธหรือ

ชาวอเมริกัน: ไม่ใช่ศาสนา เป็นคนแก่ใช่ไหม คนมีอะไรนะ

ดร.ขวัญดี: เขาต้องการที่จะเรียนรู้ทุกอย่างให้มากที่สุดน่ะค่ะ คนนี้เป็นหัวหน้ากลุ่มค่ะ ก็ไม่ได้เป็น นักศึกษาแล้วตอนนี้ค่ะ ทั้ง ๓ คนนี้เป็นผู้ประสานงาน Max, Charle และ Raj ราชะ นะคะ ก็คงเป็น เชื้อสายอินเดียนะคะ นี้เป็นผู้ประสานงานอยู่ ๓ คน นอกนั้น เป็นนักศึกษา

พ่อท่าน: หน้าตาคนนี้มีเค้านายแต๋ม

ดร.ขวัญดี: เขาบอกเขาดีใจมากที่บอกว่า ที่ท่านบอกหน้าตามาคล้ายคนอื่น เพราะว่า ส่วนมาก คนจะทักเขา เพราะเขามีหนวด เขาเหมือนบิน ลาเดน พอบอก เหมือนแต๋มเขาดี จริงๆด้วยค่ะคล้ายๆ เขาขอให้แต่ละคนแนะนำตัวเองก่อน

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อดิลิแกรด ฉันมาจากอเมริกาค่ะ (พูดภาษาไทยเอง)

พ่อท่าน: เก่งๆ

ดร.ขวัญดี: มหาวิทยาลัยวอชิงตัน เรียน sience ค่ะ วิทยาศาสตร์

ชาวอเมริกัน: ผมชื่อเลนินกราด มาจากอเมริกา วอชิงตัน

ดร.ขวัญดี: มาจากวอชิงตันเหมือนกัน เรียนทางด้านการถ่ายภาพค่ะ

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อแอนการ์ด ฉันมาจากวอชิงตันค่ะ เรียนอะไร เรียนอะไร society

ดร.ขวัญดี: เรียนทางสังคมวิทยาค่ะ

พ่อท่าน: เอาเก้าอี้มาให้นั่งก็ได้ ขามันกระดิก เดี๋ยวลุกขึ้นก็ ที่จริงน่าจะ เอาแฮ้มมาให้ดื่ม บ้างนะ เอ้า น้ำแฮ้ม แฮ้มดีนะ อาตมารู้สึกว่าดื่มแล้วจะหายปวด แฮ้มนี่แหละ อาตมาก็ยังดื่ม อยู่ทุกวันนี้ เนื้อตัว ไม่ปวดไม่เมื่อย แฮ้ม

ดร.ขวัญดี: ช่วยขยายเส้นเอ็น โอ้โฮ อย่างนี้เลยหรือคะ

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อสเตริก้า มาจากอเมริกา

พ่อท่าน: มาจากอเมริกาทั้งนั้นเลยหรือเนี่ย

ดร.ขวัญดี: เรียนทางด้านจิตวิทยาค่ะ

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อเคดิก้า ฉันมาจากวอชิงตันค่ะ ฉันเรียน Culture Communication

ดร.ขวัญดี: เขาเรียนทางด้านพหุวัฒนธรรมค่ะ

พ่อท่าน: พหุวัฒนธรรม (คนฟังพูดแทรก เขาเพิ่งตัดผมก่อนมา ๓ อาทิตย์ เมื่อก่อนผมยาว มาก)

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อไทร์ ฉันมาจากอเมริกาค่ะ เรียนทาง Culture Humanity

ดร.ขวัญดี: นี่ก็เรียนทางด้านวัฒนธรรมเหมือนกันค่ะ humanity ทางด้านมนุษยวิทยา หรือ ว่าด้วย วัฒนธรรม

ชาวอเมริกัน: ฉันชื่อไชนิงการ์ ฉันมาจากอเมริกา วอชิงตัน

ดร.ขวัญดี: โอ้ คนนี้เรียนทางด้าน revorulation จะเรียกว่าไงดีคะ "การปรากฏพระองค์ ของพระเจ้า ในลักษณะต่างๆ"

พ่อท่าน: โอ้ เดี๋ยวนี้ก็มีแขนงต่างๆนานานะ น่าจะมาเรียนบุญนิยมบ้าง แขนงวิชานี้นะ บุญนิยม

ชาวอเมริกัน: ผมชื่อเอเรียนครับ ฉันมาจากวอชิงตัน อเมริกาครับ

ดร.ขวัญดี: ศึกษาทางด้านดนตรีและเป็นวัฒนธรรมศึกษาค่ะ

ชาวอเมริกัน: ผมชื่อราชช์ครับ และผมมาจากอเมริกาครับ อยู่ Bangkok อยู่สะพานใหม่ เป็นครู สอนภาษาอังกฤษ ยินดีที่ได้รู้จักครับ (หัวเราะ)

ดร.ขวัญดี: ราชช์อยู่เมืองไทยนานแล้วหรือยัง

ชาวอเมริกัน: ๓ เดือนครับ

ชาวอเมริกัน: สวัสดีครับผมชื่อไทย กระผมชื่อชาล์ม ชื่อจริงชาโรล คนไทยมีปัญหากับ R กับ L แล้วพูดไม่ได้ ชื่อชาล์มและก็มาจากอเมริกาด้วย รัฐฟลอริด้า แล้วตอนนี้อยู่กรุงเทพฯ ด้วยนะครับ เป็นครูสอน ทำกับฝรั่งด้วย ไปเที่ยวบริษัททัวร์นิดหน่อย

พ่อท่าน: เป็นไกด์หรือ

ชาวอเมริกัน: ใช่ แล้วยินดีที่ได้รู้จัก

พ่อท่าน: มีอะไรที่สนใจอยากจะรู้ก็ถามมาก็แล้วกัน อาตมาก็จะขยายความ ถามนั่นถามนี่ ก็จะรู้ จุดประสงค์ที่จะทราบ และอาตมาก็จะได้ใช้อันนั้นเป็นไกด์ที่จะอธิบายเสริมๆ


ถาม-ตอบ

* อยากทราบถึงความแตกต่าง ที่เป็นแตกต่างระดับใหญ่เลยระหว่างมหายาน กับเถรวาทค่ะ เฉพาะที่เป็นข้อแตกต่างที่ใหญ่จริงๆ

+ ความแตกต่างของมหายานกับเถรวาทก็คือ มหายานนี่ไปทาง progressive เถรวาทไปทาง concervative

* ขอทราบจำนวนสมณะของอโศกทั้งหมด

+ อ้อ เท่าไหร่ เดี๋ยวนี้ ๑๐๓

* เขาขอถามเรื่องศีล ศีลที่พระถือทั้งหมดมีกี่ข้อ ขอประทานโทษ

+ อ้อ มากมาย ทุกอย่าง มีศีลหลัก ซึ่งมันมีข้อหลักข้อใหญ่ ข้อย่อย เรียกว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งเดี๋ยวนี้ในเถรวาท ไม่รู้เรื่องแล้ว

มันไม่ใช่เบื้องต้น และกลาง และต่ำนะ

/ ระดับใช่ไหมคะ

+ หมายถึงข้อย่อยข้อกลางและก็ข้อใหญ่ ไม่ใช่ระดับเลย ข้อย่อย ข้อกลาง ข้อใหญ่ ไม่ใช่ มีข้อย่อย อีกแยะในแต่ละข้อหลักๆ นับ ๔๓ ๔๓ ข้อย่อยยังมีต่างๆอีกแยอะแยะ อย่างมหาศีล มัชฌิมศีล มันมีข้อย่อยอยู่ในตัวมันเอง ไม่ใช่ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ มันก็มีข้อย่อย อยู่ในแต่ละข้อๆ เยอะรายละเอียด

/ ทั้งหมดของศีล

+ อย่างนั้นในแต่ละข้อ แต่ละข้อ ก็ยังมีย่อยลงไปอีก คือ ศีล ๓ อย่างนี้ เรียกว่าศีล ๓ อย่างนะ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เรียกว่าศีล ๓ อย่าง อันนี้เป็นศีลที่พระพุทธเจ้าตั้งขึ้น ให้สงฆ์ปฏิบัติ ตั้งแต่เริ่ม สร้างศาสนาเลย เดี๋ยวนี้ไม่เคยรู้จักกันแล้ว เพราะฉะนั้น ในศีลต่างๆเหล่านี้ ที่ระบุ ให้ปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ ก็ละเมิดกันหมดแล้ว เช่น พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าศีล ที่ท่านห้ามไว้ใน มหาศีล ที่ไม่ให้มีเดรัจฉานวิชา เลย

/ จะแปลว่าอย่างไรดี เดรัจฉานวิชา จะแปลให้เขาก็คือ

+ เป็นวิชา วิชาที่หากินไม่ถูกทาง วิชาที่ไปใช้เครื่องหากินที่ไม่ถูก ไม่ถูกๆๆ

/ มันเป็นไสยศาสตร์

+ มันละเอียดกว่านั้น ทั้งจารีตประเพณีด้วย เช่น ท่านห้ามไว้ว่าอย่ารดน้ำมนต์ ซึ่งของ ศาสนาอื่น ในยุคที่พระพุทธเจ้าท่านสร้างศาสนา ศาสนาอื่นเขามีรดน้ำมนต์กัน แต่ของท่าน ศาสนาพุทธไม่มี ท่านห้าม

* ก็เขาเห็นในบางโอกาส

+ นั่นไง ผิดแล้วๆ ผิดหมดแล้ว เช่น ไม่ให้มีจุดธูปจุดเทียนห้าม ศาสนาพุทธไม่มี ห้าม ศาสนาอื่น ในยุคพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่นมีใช้ธูปใช้เทียน เพราะในศาสนาเขามี soul มี วิญญาณ อ้อนวอนพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธ อเทวนิยม ไม่ได้อ้อนวอนพระเจ้า เพราะฉะนั้น ไม่ใช้ธูปใช้เทียน ไม่เคยเห็น (พ่อท่าน หัวเราะ)

/ เขากำลังพูด เขาขยายไปต่อถึงเรื่อง การเสี่ยงเสียมซี ด้วยน่ะค่ะ

+ ในพุทธไม่มี ผิดหมดแล้วเดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธไม่มี นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง ใช่ไหม ทั้งหมดเลย ไม่เหมือนกัน มีวัด มีพระพุทธรูป มีธูปเทียน มีอะไร เพราะฉะนั้น ที่นี่จะไม่เหมือน

* ผมอยากจะถามพระคุณเจ้าว่า และพระคุณเจ้ามีความรู้สึกอย่างไร ยกตัวอย่างถึงวัดโพธิ์ วัดพระเชตุพน เพราะที่นั่นเขาอาจจะมีการบูชาอย่างนั้น

+ ไม่มีคำอธิบาย unthoughtable ศาสนามันปฏิรูปมาจนกระทั่ง มันไม่ใช่ศาสนาพุทธที่ พระพุทธเจ้า ท่านหมายแล้วเดี๋ยวนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ในอนาคตกาลตั้งแต่ ยุคโน้นน่ะนะ ในอนาคต ข้างหน้า ศาสนาพุทธนี่ก็จะเปลี่ยนไป ท่านพยากรณ์ ในอนาคต นี้ ศาสนาพุทธก็จะเปลี่ยนไป เปรียบเหมือน กลองอานกะ พอกลองนี้นานไป กลองมันก็จะแตกบ้าง ปริบ้าง แล้วเขาก็เอาไม้ใหม่ เข้าไปซ่อมแทน แทนๆ จนสุดท้าย กลองนี้ก็จะไม่ เหลือไม้เก่าเลย แต่ยังเรียกว่าชื่อกลอง อานกะ อย่างเก่า แต่เนื้อไม้ไม่ใช่แล้ว เป็นกลองตัวใหม่แล้ว

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ยังเรียกพุทธอยู่อย่างเดิม ทั่วโลกไม่ใช่เฉพาะ Thailand แต่เนื้อแท้ มันไม่ใช่แล้ว

* พระคุณเจ้าคิดว่าอะไรที่กำลังทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อม หรือเปลี่ยนแปลงไป

+ มันเสื่อมแล้ว ไม่ใช่มันกำลัง เดี๋ยวนี้มันเสื่อมแล้ว

/ เขาถามว่า อะไรค่ะ ที่เป็นสิ่งที่ทำให้เสื่อม หรือทำให้เปลี่ยนไป

+ เหตุปัจจัยมากมาย

* คือเขาบอกว่าตอนนี้ถ้าเผื่อให้เขาลองเดาเอาเท่าที่เขาสังเกตในปัจจุบัน เป็นไปได้ไหม ที่จะให้คิดถึง โลกาภิวัฒน์ที่เป็นอยู่ หรือการ วัฒนธรรมของโลกตะวันตก มีส่วนหรือเปล่า

+ ด้วย ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะว่าความเสื่อมของพุทธศาสนา ทำให้คนไม่มีหลักยึด ไม่มีศรัทธา ไม่มีความชื่นชอบยึด เพราะมันค่อยๆเสื่อมมา และความเชื่อถือความศรัทธา มันลดลงๆๆ ก็เลย กลายเป็นทุกวันนี้ คนเป็นพุทธศาสนิกชนทุกวันนี้ เป็นพุทธแต่เพียงนาม เหลือเพียงชื่อ เท่านั้นแหละ

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ไม่เหมือนศาสนาอื่นใดหรอก เพราะว่าเป็นศาสนาที่เป็นโลกุตระ อเทวนิยม โลกียะ โลก โลกธรรม และเป็นศาสนา อเทวนิยมด้วย

/ egnogtic แปลว่าไม่มีพระเจ้า เป็นอีกศัพท์หนึ่งค่ะ

+ เพราะฉะนั้น มันก็เข้าใจยาก แล้วศาสนาทั่วไปเป็นศาสนา Theyism มีพระเจ้า ศาสนาพุทธ ไม่มีพระเจ้า แต่ไม่ได้หมายความว่าพุทธไม่รู้จักพระเจ้านะ รู้จักพระเจ้าดี รู้จักตัวพระเจ้าแท้ๆ ด้วย

/ เริ่มยาก ชักยากค่ะ

+ เอายากๆขึ้นไปอีกนิดหนึ่ง

/ คล้ายๆอย่างนี้

+ คือพระเจ้าคือพระจิตวิญญาณ เพราะฉะนั้น ------ ไม่ต้องนับถือพระเจ้าด้วย ที่ไหนก็ไม่รู้ ศาสนาพุทธสนใจซาตาน ศาสนาพุทธไม่สนใจพระเจ้า ศาสนาพุทธตามจับซาตานจริงๆ และ ฆ่าซาตาน ให้ตายให้หมดเลย เมื่อซาตานตายหมด จิตวิญญาณเป็นพระเจ้าแท้จริง นั่นแหละ คือ พระเจ้า นั่นคือ จิตวิญญาณบริสุทธิ์

* ผมต้องขอประทานโทษก่อนในการที่จะถามคำถามนี้ จากความรู้ที่น้อยนิด ว่าอวิชชา เพราะว่า ตัวเองก็ได้เพียงแต่อ่านจากเอกสารเท่านั้น เขาบอกว่า เท่าที่ผมได้อ่านมาจาก ข้อเขียนของพุทธ กระแสหลักนั้น แต่ละคนในการที่จะไปถึงนิพพาน หรือการตรัสรู้นั้น จะต้องผ่าน การเกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีกๆ นับชาติไม่ถ้วน แต่ไม่ได้เจอคำสอนอย่างนั้น ในคำสอน ของทางอโศก เพราะฉะนั้น อยากจะถามว่า ในทางความเชื่อของทางอโศก สามารถที่จะตัด ทางเข้าไปสู่พระนิพพาน โดยไม่จำเป็น ต้องเข้าไปสู่ผ่าน ชาติๆๆๆ นั้น หรือเปล่า

+ เราปฏิเสธชาติความจริงไม่ได้ เราปฏิเสธชาติแล้วชาติเล่าโดยความจริงไม่ได้ ถ้าเราทำไม่ได้ ก็ต้อง ต่อชาติต่อไป ถ้าทำยังไม่ได้อีกก็ต้องเก็บ ถ้าไม่สามารถเก็บได้ในชาตินี้ก็เก็บนั้นไป แต่ละชาติ แต่ละชาติ จนกว่าจะครบ

* แต่เป็นไปได้ไหมขอรับที่อย่างผมจะได้เลยในชาตินี้ โดยไม่ต้องเกิดอีก

+ รับรองไม่ได้ ไม่รู้ว่าคุณมีสิ่งจริงที่เป็นบารมีของคุณมาแล้วหรือยัง ดูถูกคุณไม่ได้ เราไม่กล้า ดูถูกคุณ แต่เราไม่กล้ารับรองคุณ

* คำถามที่สองของกระผม เท่าที่เขาอ่านมานั้นพระคุณเจ้าบอกว่า พระคุณเจ้าเกรงว่า พระคุณเจ้า ก็จะเป็นลุก เขาก็อยากจะเรียนถามว่า หมายความว่า พระคุณเจ้าจะได้ นิพพาน หลังจาก ที่ได้มรณะภาพไปแล้ว ใช่หรือไม่

+ นิพพานได้เป็นๆ ได้ในชีวิต ผู้ที่จะได้นิพพานนั้นคือคนเป็นๆ ส่วนผู้ที่ตายไปแล้ว แล้วก็ปรินิพพาน นั้นก็คือไม่มีอะไรอีกแล้ว nothing หลังตายไป ถ้าดับภพ จบชาติ ท่านเรียกว่า ปรินิพพาน ไม่มีอะไร อีกแล้ว ทั้งหมดทั้งสิ้น ซึ่งปรินิพพานนั้นลักษณะ ของปรินิพพานนั้น อธิบายยาก ทั้งหมดทั้ง space, and time, enigy, action ทั้งหมดไม่มีอะไร

* เขาอยากถามว่า ในระดับของพระอนาคามี โสดาบัน อนาคามี ทั้ง ๔ ระดับนี้ เป็นไปได้ไหม ที่คนเราจะเกิดมา ในระดับนั้นๆได้เลย

+ แน่นอน ถ้าได้ระดับไหน เกิดมาต้องได้ระดับนั้น

* ขอต่อนิด เขาบอกว่าหรือถ้าพูดอีกแง่หนึ่ง เป็นไปได้ไหมที่คนเราจะเกิดมา โดยปราศจาค ความอยากเลย

+ ก็เป็นพระอรหันต์ เป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นไปแล้ว

* เขาบอกว่า ที่พระคุณเจ้าพูดถึงเรื่องว่า เราจะต้องไล่จับความชั่วหรือว่าซาตาน ในตัวของเรา และ ก็ฆ่ามันเสีย หรือทำลายมันเสีย หรือไล่มันไป เขาอยากจะทราบว่า เมื่อแรกเริ่ม ที่พระคุณเจ้า ปฏิบัตินั้น พระคุณเจ้าจับมันอย่างไร และฆ่ามันอย่างไรค่ะ ทำลายมันอย่างไร เขาอยากรู้ว่า แล้วจะแนะนำ ให้แก่เขาว่า เขาควรจะทำอย่างไร

+ ซาตานมันอยู่ในใจ มันอยู่ที่ใจจริงๆ ถ้าเข้าใจเรื่องจิตวิญญาณ ร่างกายเรานี่ คือธาตุรับรู้ หรือว่า ธาตุ ธา-ตุ ธาตุรู้นี่ เราจะต้องเรียนรู้ว่า เราจะต้องอ่าน อ่านสภาพของจิตวิญญาณ ในร่างกายเรา มีจิตวิญญาณ

/ มีธาตุรู้อยู่ข้างในนะคะ ต้องไปช้าๆนะคะ

+ เออ แล้วเราจะต้องเรียนรู้อาการธาตุรู้นั่นแหละ และต้องวิจัยลงไปในธาตุรู้นั้น ซึ่งเราจะวิจัย และก็แทงลึกลงไป จนถึงซาตานนั้นได้ ซึ่งเรียกใหญ่ๆ ชื่อใหญ่ๆของมันว่า ความโลภ ความโกรธ ความหลง เมื่อรู้แล้ว เราก็จะต้องกำจัดให้มันมีบทบาทน้อยลง ให้มันบทบาท น้อยลง จนกระทั่ง มันหยุดหรือมันตาย มันไม่มีบทบาท โดยหลักง่ายๆ มี ๒ หลักใหญ่ คือ ๑.กดข่มให้มันไม่มีบทบาทดื้อๆ แต่นี่ยังไม่ใช่ขั้นเด็ดขาด วิธีที่จะให้มันตายเด็ดขาดนั้นคือ วิธีที่จะให้มันใช้ความรู้ การรู้ความจริงว่า มันเลว มันไม่ดี มันทำให้คนเป็นภัย ทำให้คนเป็นโทษ ทำให้เราตกต่ำ ทำให้เราไม่ประเสริฐ ต่างๆ ตามรู้ว่ามันเป็นความทุกข์ เป็นภัยกับทุกข์ เป็นภัย ทั้งตนเอง และเป็นภัยทั้งผู้อื่นด้วย มันทำให้เราสร้าง จะต้องเห็นความจริงตามจริง แล้วซาตาน นั้น มันยอมต่อความจริง จนค่อยๆอ่อนตัว จนค่อยๆตาย ซึ่งมันจะตายเพราะปัญญา เพราะ ปัญญาที่เห็นความจริงอย่างแท้จริง เพราะ เมื่อเราพิสูจน์ได้ว่า ถ้าไม่มีซาตานในตัวเรา เราจะเป็นคน อีกชนิดหนึ่งที่ดี ที่ไม่เป็นภัย ไม่ทุกข์

* ดิฉันอยากทราบว่า วิธีการที่พระคุณเจ้าบอกให้มองลึกลงไปจนกระทั่งถึงตัวตน แล้วก็สัจจะ สิ่งที่เป็นจริงในตนนั้น จะใช้วิธีใด จะใช้วิธีในการทำสมาธิ หรือว่าจะใช้วิธีในการทำงาน เช่นว่า ใช้ชุมชนทำงานเพื่อชุมชน

+ ของพุทธนั้นทำงานชุมชน ถ้าไปทำสมาธินั่นของศาสนาอื่น

/ community service คือทำงานเพื่อรับใช้ชุมชนใช่ไหม

+ ใช่ หลักปฏิบัติที่ทำให้เกิดสมาธิของพุทธที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ นั้น ทั้งในขณะคิด ทั้ง ในขณะพูด ทั้งในขณะมีกรรมกิริยาทุกอย่าง ทั้งในขณะทำอาชีพ อยู่ในมรรคองค์แปด

* เขาบอกว่า ถ้ายกตัวอย่าง อย่างดิฉันได้เกิดความโกรธขึ้นมาอย่างนี้ค่ะ ควรจะต้อง พยายาม ที่จะไล่ ความโกรธนั้นไป หรือพยายามที่จะเข้าใจไอ้ตัวความโกรธนั้น มาจากไหนเสียก่อน

+ ถ้าความโกรธนั้นมันมีแรงมากจนทำอะไรไม่ถูก ทำอะไรก็ผิด เราต้องไล่มันก่อน

/ จะต้องทำอะไรก่อนนะคะ

+ จะต้องกดข่มไว้หรือต้องไล่มันไปก่อน ถ้าเผื่อว่ามันไม่แรงมากพอ เราต้องทำการเรียนรู้ ทำความ เข้าใจกับมัน แล้วก็พยายามใช้ปัญญาเห็นความเลวร้ายของมันให้ได้ จนมันต้อง ยอมแพ้ ต่อความจริง การฝึกต้องมีการฝึกตลอดเวลา ต้องมีสติรู้ตัวเอง ต้องปฏิบัติรู้ว่า มันเกิดเมื่อไหร่ มันโลภเมื่อไหร่ ต้องทำจริงๆ

/ เขาเข้าใจว่ามันไม่ง่าย

+ ต้องปฏิบัติตลอดเวลา

* กระผมอยากกราบเรียนถามว่า มีชุมชนชาวอโศกที่อยู่ในต่างประเทศบ้างหรือไม่ ถ้ายังไม่มี นี่ท่าน มีโครงการที่จะขยายเครือข่ายของอโศกนี่เป็นสาขาออกไปสู่ต่างประเทศบ้าง  หรือไม่ขอรับ

+ ที่จริงต่างประเทศก็เกิดโดยธรรมชาติบ้าง แต่ว่าเราไม่เจตนาที่จะให้มัน ไม่ได้อยากใหญ่ ไม่ได้อยากเร็ว ไม่ได้อยากกว้าง ไม่ได้อยากขยายอะไร ถ้ามันจะใหญ่ มันจะขยาย ก็ให้มัน ขยายโดยธรรมชาติ ที่อเมริกาก็มีกลุ่มเล็กๆ

* อยากขอกราบเรียนถามพระคุณเจ้าว่า ในความคิดของพระคุณเจ้านั้นนะคะ ชุมชนเป็น ชุมชน ชาวพุทธอื่นๆ ทั้งในประเทศหรือนอกประเทศมีบ้างไหม ที่คล้ายกับชาวอโศกนะคะ แล้วก็แม้กระทั่ง ในต่างประเทศนะคะ เช่น ในเนปาลอย่างนี้น่ะค่ะ เนปาลนี่มีบ้างไหม ที่เป็น ชุมชนชาวพุทธที่แท้ๆ

+ เกือบจะตอบได้ว่าไม่มี เกือบจะเรียกว่าไม่มีก็ได้ มีก็มีบ้างส่วนที่คล้ายๆ แต่ว่า คล้ายไม่มาก เลย นิดน้อย คือพุทธอย่างอโศกนี่ จะเห็นได้ในชุมชนนี้นี่ นะ คนในชุมชนนี้ไม่มี เขาถือศีล หมดทุกคน เพราะชุมชนนี้เป็นชุมชนชาวพุทธเขาถือศีลทุกคน และเขาก็ไม่มีอบายมุขกันสักคน และที่สำคัญก็คือ ทุกคนมาจน เพราะความเป็นคนจนนั้น ประเสริฐกว่าความเป็นคนรวย ความรวยเป็นความเลว มันทำลายทั้งตัวเอง และ ทำลายทั้งสังคม และชาวพุทธ จะเข้าใจ อันนี้ผิด เพราะฉะนั้น จึงพยายาม มาเป็นคนจน เมื่อมาเป็นได้แล้วจะเป็นสุขใจ แล้วจะมี ปัญญาเห็นว่า เราจนแต่เราขยันนะ มีสมรรถนะ มีทักษะ เพราะฉะนั้น จะเป็นคนที่สร้าง แล้วก็สะพัด ให้แก่คนอื่นๆ แล้วเราจะเห็นความประเสริฐ ของเราว่า เราเป็นประโยชน์ต่อ มนุษย์

วิธีคิดจะรวยนั้น เขาคิดอย่างนั้นทุนนิยม วิธีคิดของทุนนิยมนั้นทำลายโลก ทำลายตัวเราเอง ตัวเราเอง ไม่มีค่า เช่น เราทำงาน สมมุติค่าแรงงานของเราพันหนึ่ง เราทำแล้วคุณก็เอาเงิน พันบาท เท่ากับ คุณไม่มีประโยชน์เลยให้ใครๆ คุณสร้างผลผลิตขึ้นมา สิ่งนี้สมมุติว่า ทุนของ มันพันหนึ่ง คุณจะขายไป คุณขายมากกว่าพันบาท ถ้าขายพันบาท คุณก็ไม่มีประโยชน์แล้ว แต่ความจริงของ ทุนนิยม ขายมากกว่าพันบาท ไปขูดรีด เอาของคนอื่นมา นั่นคือความเลว เพราะฉะนั้น คนไม่มี ประโยชน์ใด ๆ เลย ตนเองก็ไม่มีประโยชน์ และไม่ได้ประโยชน์ให้แก่ สังคม เพราะฉะนั้น ถ้าของนี้ ราคาพันบาทเราจะขาย เราก็ขายให้ต่ำกว่า -----

คนที่เป็นชาวอโศกแล้ว ไม่มีใครมาเอารายได้เข้าตัวเอง เช่น คุณ, สิกขมาตุรินฟ้า เช่นอาตมา และ หลายๆคนมากมายที่ทำอยู่นี่ ในโน้นแหละนั่งอยู่ในโน้นนั่ง อยู่ใน ล้วนไม่มีรายได้ส่วนตัว


* พระคุณเจ้ามีความเชื่อไหมขอรับว่า นอกจากพระพุทธศาสนาแล้ว ยังมีการฝึกฝนตนเอง ในความเชื่อใด ที่สามารถไปถึงการบรรลุการหลุดพ้นได้ การตรัสรู้ได้

+ ไม่มี นอกจากศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธแท้ๆ พุทธที่ถูกต้องด้วย ไม่ใช่อาตมาพูด พระสัมมา สัมพุทธเจ้าพูด และอาตมาก็เห็นจริงเช่นนั้นด้วย

* อยากจะถามว่า พระองค์นี่ จะต้องบำเพ็ญนานเท่าไหร่กว่าที่จะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า

+ ไม่มีตัวเลขให้นับ ล้านๆๆๆ

* เขาเพียงแต่ถามว่า ในพระชาติปางนี้ค่ะ พระพุทธองค์นั้นประทับนั่งแล้วก็ทรงอยู่ในสมาธิ นี่นาน เท่าไหร่ ก่อนที่จะตรัสรู้ค่ะ เขาถามว่านับวันเลยค่ะ กี่วัน

+ ท่านไม่ได้บรรลุเพราะนั่งตรงนี้ ท่านได้ปฏิบัติมาตั้ง ล้านๆๆ ชาติแล้ว การนั่งตรงนี้ เป็นการนั่ง เพื่อตรวจสอบผล ประเมินผลที่สุดท้าย

* เขาบอกว่า เขาไปอ่านที่ไหนก็ไม่รู้ว่า ๔๙ วัน

+ ไม่ใช่ forty nine

/ นั้นเป็นเสวยวิมุติสุขหรือเปล่าคะ

+ เอ้อ แล้วก็ตรวจสอบความสุขนั้นเท่านั้นเอง เหมือนกับคุณผ่านสนานรบมาแล้วก็เสร็จศึก แล้วก็ relex ๔๙ วัน ชื่นชมในผลสำเร็จ ในการชนะศึกนั้น

* ทรงทำอะไรนะคะใน ๔๙ วัน

+ ไม่ทำอะไรเลย ไม่อดอาหาร ไม่ทำอะไรเลย เพียงแต่ enjoy สิ่งนี้

/ แต่ท่านฉันไหมคะ เสวยไหมคะ

+ เสวย สามัญ

/ ที่จริงการที่ท่านทรงไม่เสวยอาหาร ทรงทำทุกรกิริยามาก่อนตั้งนาน

+ นั่นไม่ใช่ของพุทธ ของพุทธนั่นเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ความสำเร็จ นั่นเป็นความผิด

/ ไม่ใช่ อันนั้นมาก่อนด้วย

+ เป็นความทุกข์ด้วย เป็นความผิดด้วย อันนั้นไม่ใช่ๆ ผู้ปฏิบัติแล้วถึงรู้ว่าเป็นความผิด ก็เลยหยุด แล้วก็ห้ามใครกระทำ

/ แต่ที่เขาอยากทราบคือในระหว่างที่เสวยวิมุติสุขนั้น ทรงได้เสวยอะไรบ้างหรือไม่

+ อ๋อ ก็ปรกติเสวยเป็นธรรมดา ไม่ได้ฝืน ไม่ได้ทุกข์ ไม่ได้บำเพ็ญทุกข์อะไร ไม่ได้ทุกข์อะไร สบายๆ เท่านั้นเอง

/ เพราะฉะนั้น ในเรื่องของ ๔๙ วันนั้นไม่ได้มีความหมายอะไรหรือคะ คำว่า ๔๙ วัน อะไรตรงนั้น

+ ก็ไม่ได้มีความหมายอะไร เป็นแต่เพียงท่านไม่ทำประโยชน์ หยุดทำ ตรวจสอบความสุข ตรวจสอบ ความสุขอยู่ใน ๔๙ วันเท่านั้น ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไร ไม่ได้ทำงานอะไร ไม่ได้มีอะไรเลย

/ เพราะฉะนั้นไอ้ตัวเลขนั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรเลยใช่ไหม

+ เป็นเรื่องตำนาน เริ่มจาก ๔๙ จึงเริ่มทำงาน เริ่มโปรด เริ่มสร้างศาสนา

* แสดงว่าไม่มีอะไรที่สำคัญใน ๗ สัปดาห์ ไม่ได้มีเช่นว่าการบวชของพระพุทธองค์ ไม่ได้มีอะไร

+ ไม่มีอะไรเลย

* ขอบคุณค่ะ

* เขาบอกว่านี้จะเป็นคำถามที่มัน ตลกๆ สนุกๆ หน่อยนะคะ เบาๆ พ่อท่านน่ะเคยเล่น หนังอะไร

+ ไม่เคยเล่นหนัง เคยทำงานทีวี แสดงละครในโทรทัศน์ ไม่ได้ทำงานใน เคยร่วมมือ ร่วมงาน การสร้างหนังเรื่องเดียวในชีวิต เคยร่วมมือเป็น compossor

* เรื่องไหนคะ

+ เรื่องโทน โทน propernoun

* จริงไหมครับที่ว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า พระองค์ท่านจะเสด็จกลับมาเกิดใหม่ และเกิดใหม่

+ ไม่มี ปรินิพพานแล้วสูญ

* เขาบอกว่าเขาถามสิกขมาตุแล้วเมื่อเช้าว่า ถ้าในแง่ของการเกิดใหม่ และเกิดใหม่นี่นะคะ มันมีวิญญาณ มีการเกิดใหม่ในสัตว์ด้วย เพราะฉะนั้น เป็นไปได้ไหมว่า ในโลกนี้ที่มีสัตว์ น้อยลงๆ ก็เพราะว่ามีสัตว์นั้นมาเกิดเป็นคน และที่มาเกิดเป็นคนนั้นก็เพื่อว่า ที่จะได้ตะกายขึ้นไป หรือขึ้นสู่ ที่สูงขึ้นไป จนกระทั่งปรินิพพาน ใช่หรือเปล่าคะ

+ ถูกต้อง

* เขาสังเกตว่าในโลกนี้มีคนพลโลกเพิ่มขึ้นๆ คนเหล่านั้นนั่นมาจากไหน

+ มาจากจิตวิญญาณที่หมุนเวียนอยู่ แล้วเราก็นับไม่ถ้วน ในจิตวิญญาณที่มีอยู่ ในมหา เอกภพนี้

* มาจากกาแล็คซี่อื่นหรือเปล่า

+ ในลูกโลกอื่นก็มี โลกอื่นก็มี คนพยายามที่จะตามหา โลกที่มีมนุษย์เหมือนอย่างโลกลูกนี้ กำลัง ตามหาอยู่ทุกวันนี้ แต่หาไม่เจอหรอก ไกลเกินที่จะตามไปได้ และ ไปไม่ถึงกาแล็คซี่หรอก อยู่ใน สุริยจักรวาล หรืออยู่ในกาแล็คซี่เดียวกันยังไปทั่วถึงไม่ได้ อยู่ในกาแล็คซี่เดียวกันนี้ ก็ไม่ใช่ จะมีลูกโลก ที่มีชีวิตอันเจริญนี้เท่าเทียมกัน ในกาแล็คซี่เดียวกัน จะมีลูกโลกที่มีชีวิต เจริญที่สุด คือโลกลูกนี้ เท่านั้น ที่มีกาแล็คซี่ทางช้างเผือกนี้...

* เพราะฉะนั้นเป็นไปได้ไหมคะว่า คนในกาแล็คซี่อื่น เขาอาจจะถึงปรินิพพาน แต่ในอีกคนละ ลักษณะกับคนในกาแล็คซี่นี้

+ ในกาแล็คซี่นี้ โลกลูกนี้แหละที่เราอยู่มีสัตว์โลกที่เราเรียกว่ามนุษย์อยู่ในกาแล็คซี่นี้จริง โลกลูกอื่นๆ ในกาแล็คซี่นี้ ยังไม่เจริญเท่า.. ตอนนี้เขาฝันว่ามีดาว มีอะไร มีจานบิน มีมนุษย์ต่างดาว เป็นการเชื่อว่า ซึ่งความจริงไม่มี

* เขาบอกว่าอย่างในสหรัฐนะคะจะมีโรงงานที่ฆ่าสัตว์นี่มาก และวิถีชีวิตอย่างของพวกเรานี่ จะไม่กิน เนื้อสัตว์น่ะคะ และการที่ไม่กินเนื้อสัตว์ ก็จะทำให้เรื่องของการฆ่าสัตว์นั้นน่ะ มันน้อยลง และถ้ามอง ในแง่อย่างนี้ปริมาณของสัตว์ จำนวนของสัตว์ มันก็จะเป็นไป ได้ไหมคะ บางคนที่ยังเชื่อในเรื่อง ของกรรม แล้วก็ยังกินเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้น การกินเนื้อสัตว์ เท่ากับการที่ทำให้เหล่านั้น มันสิ้นสุด กรรมของมัน ไปเกิดใหม่เป็นมนุษย์ แล้วก็จะได้ไปสู่ นิพพานได้

+ ไม่กินมันมันก็ตาย ยุงก็ ๗ วัน วัวควายก็ ๒๐ ๓๐ ปี อย่างเก่ง ๓๐ ปี ไม่ต้องไปกินมัน ให้มันตายให้มันเกิด

* คือในความรู้สึกของเขา เขาก็บอกว่า การฆ่าสัตว์นี่มันก็เป็นโศกนาฏกรรมอย่างแรงเลย

+ ถูกๆ

/ คือเขาแสดงความคิดเห็นค่ะ อันนี้ค่ะ

* ความจริงนั้นมีความหมายถึงความคิดฝัน แล้วเราจะไม่คิดฝันนั้นได้อย่างไร ในเมื่อความจริง มันมาจาก ความคิดฝันอันนี้

+ เพราะว่าความคิดฝันนั่นแหละมันจึงทำให้ทุกอย่างยุ่งยากขึ้นมา ในกลุ่มช้างไม่คิดฝัน ฟุ่มเฟือย เหมือนกับคน เพราะฉะนั้น ช้างมันจึงไม่ยุ่งยาก โขลงช้างหรือฝูงช้างจึงมีชีวิต สบาย เรียบง่ายกว่า ไม่วุ่นวายยุ่งยากเหมือนคนที่คิดฝันมาก ส่วนคนคิดฝันมากถึงได้วุ่นมาก เหมือนทุกวันนี้ ฟุ้งฝัน มากเกินไป จึงทำลายมาก เพราะฉะนั้น ถ้าคิดฝันน้อยเหมือนฝูงช้าง จะไม่ทำลายโลกมาก เหมือนคน ที่คิดมากเลย คนจะอยู่เป็นสุขมากกว่าคนทุกวันนี้มาก มันเกินไป เกินไป

* พระคุณเจ้าเชื่อว่าสัตว์ที่ถูกฆ่าในโรงงานฆ่าสัตว์นี่ค่ะ วิญญาณที่ถูกฆ่าไปนั้นอาจอยู่ใน ร่างมนุษย์ เป็นไปได้ไหมคะ พระคุณเจ้าเชื่อไหมคะ

+ ได้ เป็นได้ในบางตัว ไม่ใช่ทั้งหมด (พ่อท่านหัวเราะ)

* และสมมุตินะคะว่าโรงงานฆ่าสัตว์ วิญญาณของสัตว์บางตัว อาจจะมาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วบางตัว ก็อาจจะไม่เกิดเป็นมนุษย์แล้วนี่ ใครเป็นคนตัดสินคะว่าให้ตัวไหน มาเกิดเป็นมนุษย์

+ สัจจะ สัจจะ ในศาสนาพุทธนี่มีสัจจะ ที่เรียกว่า กรรม และกฎแห่งกรรม

* ถ้าสัตว์ไม่มีความปรารถนา ถ้าสัตว์นั้นไร้ความปรารถนานะคะ ไร้ความอยากแล้วนี่ เขาก็จะสร้างกรรม แล้วก็ไต่ระดับขึ้นไปได้อย่างไร

+ (พ่อท่านหัวเราะ) สัตว์นี่จะไม่มีความคิดสร้างสรรเหมือนคน เพราะฉะนั้น สัตว์จึงจะมา ทำการ ตามสิ่งที่เขารู้ สิ่งที่เขาจะต้องทำ โดยเฉพาะสัตว์นี่ เขาใช้กรรมส่วนใหญ่

/ หมายความว่าใช้กรรม เมื่อเขาเป็นมนุษย์มาก่อน ใช่หรือเปล่า

+ ใช่ ส่วนใหญ่เลย

* ถ้าอย่างนั้นแล้ว ถ้าเขาเกิดมาใช้กรรมโดยการเป็นสัตว์แล้ว แล้วก็ไม่มีความคิดในเชิง สร้างสรร เขาจะหลุดพ้นในการแต่งกรรมที่ดีๆขึ้นมาให้เขาหลุดพ้นในการเป็นสัตว์ได้อย่าง ไร

+ ได้ ก็เพราะว่าเช่นคนนี่แหละไปดึงมา คนนี่แหละไปดึงมาบ้าง หรือในสัตว์ที่เขามีจิต วิญญาณ ที่มีสำนึกของสัตว์ เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ว่าสัตว์ร้ายมี สัตว์เลวมี สัตว์ไม่ร้าย ไม่เลว ก็มี

/ มีระดับเหล่านั้นแล้วอย่างไรคะ

+ ก็เมื่อสัตว์ที่ทำดีแล้ว เขาก็สามารถ เพราะฉะนั้น สัตว์ตัวที่ยิ่งทำร้ายทำเลว เขายิ่งตกต่ำ ลงไปอีก

* แล้วสัตว์ที่ใจมันร้าย มันกระทำกรรมที่ร้ายแล้วอย่างนี้นะคะ เมื่อไหร่วิถีใดที่สัตว์ที่ร้ายนี้ มันจะเอาชนะ ความร้ายของมัน แล้วก็เป็นสัตว์ที่ดีขึ้นๆ

+ จนกว่ามันจะสำนึกของมันเอง มันจะเห็นทุกข์ มันจะเห็นความไม่สบายจริงๆ ถ้าไปทำ เช่นนั้น มันจะเข็ดหลาบ มันจะรู้ตัวเอง มันจะต้องรู้ตัวของมัน

* เพราะฉะนั้นในสัตว์จริงๆแล้วก็ยังมีสิ่งที่เรียกว่า ก็เป็นการรู้สำนึก ข้างในลึกๆ

+ แต่ไม่เฉลียวฉลาด หรือว่ารู้ได้เร็วเท่าคน

* พระคุณเจ้าจะสามารถพูดได้ไหมคะว่า ความ wisdom ข้างใน ปัญญาข้างในอันนั้นนี่ เมื่อเราคิด บีบให้น้อยลงไป น้อยลงไป เราเรียกว่า นิพพานน้อยได้หรือไม่ขอรับ

+ ไม่ใช่ ความโง่ต่างหาก เป็นความโง่ต่างหาก ไม่ใช่ Nirawan ไม่ใช่ Nirawan เป็นความโง่ ต่างหาก

/ ไม่ใช่ค่ะ เขาหมายถึง wisdom ข้างในค่ะ ปัญญาข้างใน ที่พระคุณเจ้ากล่าวนั้น ถ้าหากว่า เขาคิดให้ลึกซึ้งแล้ว คิดลงไปๆ เข้มข้นแล้ว สิ่งนั้นเรียกว่าเป็นนิพพานน้อย ได้หรือไม่ ปัญญาข้างในค่ะ

+ ไม่เข้าใจ ปัญญาข้างในเป็นนิพพาน มันน้อยลงแล้วไปเป็นนิพพาน

/ ไม่ใช่ปัญญาน้อยลงค่ะ เขาบอกว่าปัญญาข้างในค่ะ ความตระหนักรู้ข้างใน พูดถึงน่ะค่ะ ปัญญาที่รู้ ข้างใน ตามสัจจะที่รู้ข้างในนั้นนี่ ถ้ามองลงไปให้กระจ่างนี่ เขาบอกว่า มองลงไปให้ ชัดๆๆ ลงไปนี่ จะเรียกอันนี้ว่า เป็นเหมือนนิพพานน้อย ได้ไหม

+ มันเป็นความฉลาดเฉยๆ จะไปเรียกนิพพานไม่ได้ มันเป็นความฉลาดความรู้เฉยๆ ไม่ได้เรียก นิพพาน นิพพานหมายความว่า ทำลายเหตุแห่งความชั่วความเลวกรรมนั้นได้จนหมด คำว่านิพพานนี่ จะต้องหมด ลดลงมาน้อยวิราคะน้อยลงๆ นี่ยังไม่เรียกว่านิพพาน จนหมดเลยนี่ถึงเรียกว่านิพพาน

/ กำลังแปลแล้วค่ะ นิพพานหมายถึงการ...

+ ดับกิเลส ดับอย่างนั้นๆ ดับจนหมดไม่ใช่ว่า น้อยลงๆๆ น้อยลงไม่เรียกว่านิพพาน เรียกว่า การเดินทาง ยังไม่ใช่......

* .....ข้างในที่รู้อันนั้นมันเป็นเหมือนดังมัคคุเทศก์ที่นำไป

+ ใช่ ดำเนินไป แต่นิพพานนั้นต้องมีคำจำกัดความไว้แล้วเรียบร้อยว่า ต้องดับสิ้นกิเลส นั้นๆ ไม่ใช่

/ เขาพยายามที่จะบอกว่า กล้องที่ข้างในมันจะนำเข้าไปสู่ความรู้สึกนั้นได้หรือไม่ ตัวที่เป็นนิพพาน

+ ก็คือตัวรู้นั่นเอง

* เหมือนแสงใหญ่ๆ แสงน้อยๆ ที่จะนำไปสู่แสงที่ใหญ่ ไป

+ นำไป ต้องทำให้เป็นความจริง Nirawan นิพพาน ต้องทำจนได้นั้น และเราจะต้องมี ความรู้ ที่รู้จัก รู้จักว่าอันนี้คือนิพพาน

* เพราะฉะนั้นเป็นได้ไหมขอรับ ว่าเคยมีผู้ที่เราอาจจะเรียกว่า เป็นพระพุทธเจ้าก่อน พระพุทธเจ้าองค์นี้ แม้ว่าจะไม่ใช้คำว่ามาก่อน

+ มากมาย นิพพานเป็นภาษาของ เป็นภาษาของอินเดีย ในยุคประวัติศาสตร์ที่เราค้น พบนี้ เรามี พระพุทธเจ้าองค์นี้นั้น ใช้ภาษาอินเดีย เพราะพระพุทธเจ้าเกิดที่อินเดียเท่า นั้นเองเรื่องนี้ ถ้ายุคไหน สมัยไหน พระพุทธเจ้าเกิดไม่เกิดเป็นคนอินเดียและไม่ได้ใช้ภาษาอินเดีย ใช้ภาษาอะไรก็ตาม มีภาษา อันนั้นเรียกนิพพาน ก็อย่างนั้นแหละ

* เป็นได้ไหมขอรับว่า ถ้าผมถือศีล หรือเราถือศีล และเรามั่นคงในการถือศีล และก็ ปฏิบัติไปนี่ แม้ว่าเรา จะไม่เรียกตัวเราเองว่า ชาวพุทธก็ยังปฏิบัติได้

+ ได้ๆ เอาอยู่ที่ความจริง

/ ก็จริงๆแล้วก็สามารถที่จะเข้าใจกระจ่างในเรื่องของศีลและข้อปฏิบัติต่างๆ แม้ว่าจะไม่ เรียกว่า เป็นพุทธ ชาวพุทธก็ได้

+ ขอให้ปฏิบัติศีลให้ถูกต้อง สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัศนะ

* ได้ใช่ไหมคะ

+ ได้เข้าใจหลักปฏิบัติให้ถูกต้อง และเข้าใจหลักได้ ศาสนาไหนก็ได้

* เพราะฉะนั้น วิธีที่ถูกใช่ไหม มรรคที่ถูกใช่ไหม ไม่ว่าจะเรียกเป็นอะไรก็ได้

+ ได้

/ ดีใจมากเมื่อรู้ว่าได้ แม้ว่าไม่ต้องมาเป็นชาวพุทธ

+ ต้องเข้าใจต้องเห็นใจนะ มีคนที่เป็นศาสนิกของศาสนาอื่นๆนี่ พ่อแม่ปู่ย่าตายายเขา เป็นคริสต์ ฯลฯ แต่เขาเห็นแล้วว่า เขาเข้าใจศาสนาพุทธ แล้วเขาก็รู้วิธีปฏิบัติศาสนาพุทธ แต่เขาออกมาไม่ได้ เพราะว่า พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าตายายหลายชั่วคนเลย มา เขาก็ต้องเป็นคริสต์ ฯลฯ แต่เขาเข้าใจแล้วว่า ปฏิบัติ อย่างนี้ เขาออกมาไม่ได้ ก็ปฏิบัติซี่ ในทางที่ถูก เขาก็ปฏิบัติไป เขาก็ได้จริงตามกรรม จริงตามกรรม เขาก็ทำได้ มันก็จะเป็นผลจริงของเขา เป็นทรัพย์ เป็นของจริง ที่เขาจะได้ไป ตาย ชาติหน้าเขาก็คง ไม่มาเกิด ในพ่อแม่ที่เป็นคริสต์ ฯลฯ แล้ว (พ่อท่านหัวเราะ)

/ ว่าไงนะคะ

+ เป็นกรรมของเขาเอง เขาก็จะได้ผลของกรรมนี้ของเขาเอง เมื่อเขาทำอย่างสัมมา เขาได้ผลสัมมา เขาจะสะสมเป็นทรัพย์

* เพราะฉะนั้น ก็จะไม่ตัดสินใจใช่ไหมครับว่าอันนี้ผิด อันนี้ถูก เพียงแต่ว่าจะต้อง ทางที่ถูก ทางที่เดิน ทางที่ควรเดินอย่างนั้นใช่หรือไม่ คือจะไม่ตัดสินว่าใครผิด

+ ถ้ารู้ๆ ผู้รู้จะตัดสินได้ เชื่อไหมว่าไอน์สไตน์เป็นพุทธ แต่เขาออกจากยิวไม่ได้ และ ไอน์สไตน์ ก็เคยพูด ไอน์สไตน์เขาเคยพูด ถ้าจะให้เขาเลือกศาสนา เขาจะเลือกศาสนาพุทธ เขาเคยพูด แต่เขาออกจาก สังคมที่เขาอยู่ไม่ได้ เขาออกอยู่ในสังคมอื่นๆ หรืออยู่ในบริบทที่เขาอยู่นั้น ออกมา เป็นไม่ได้ เขาจะต้อง เป็นของเขาอย่างนั้นแหละ แต่โดยกรรมโดยจริงๆแล้ว เขาเป็นพุทธ

* เขาบอกก่อนที่จะจบ ขอให้ผมสักคำถามหนึ่งเถอะครับ เขาบอกคำถามก็ง่าย คำตอบก็ คงง่ายมั้งคะ เป็นไปได้ไหมขอรับที่จะขอถ่ายรูปหมู่กับพระคุณเจ้า

+ (หัวเราะ) sure

/ ผู้หญิงนั่งข้างหน้าพระคุณเจ้าได้ไหมคะ

ได้

OK


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรมะฯ
ถอด-พิมพ์โดย ใจธรรม นาวาบุญนิยม ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๕
เข้าปกโดย สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
:TCT0299.TAP