ถาม-ตอบปัญหา ทำวัตรเช้า
ทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๒ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๔๐
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ณ สังฆสถาน ราชธานีอโศก

วันนี้จะเปิดโอกาสให้สมณะถามนะ ใครจะมีข้อสงสัยอะไร มันมีเรื่องราวอะไรที่ข้องใจ หรือว่า มีอะไรที่อยากจะถามน่ะ จะมีอะไรก็แล้วแต่ ก็จะเปิดโอกาสให้ถาม แต่ว่า ก่อนจะถาม ก็ขอพูดนำ นิดหน่อยก่อน เรื่องที่จะพูดนำนี่มีอยู่ ๒ เรื่องด้วยกัน

เรื่องแรกก็คือ เรื่องของมหาลัย แต่ตอนนี้เราไม่เรียกมหาลัยแล้ว เราเรียกสัมมาสิกขาลัย สัมมาสิกขาลัย ก็คือการศึกษานั่นแหละ ในการศึกษา คนเราเกิดมาศึกษาทุกคน ศึกษาทุกคน ศึกษาด้วยชีวิต เตาะแตะนี่ เกิดมาแกก็กำลังศึกษา นี่อยู่ในนี้แกกำลังศึกษา ตับโป้นี่ แกก็กำลัง ศึกษาน่ะ ศึกษาอยู่ ในมหาวิทยาลัยที่นี่แหละ มหาวิทยาลัยชีวิต กำลังศึกษาทุกคนน่ะ ศึกษา มาเรื่อย จนกระทั่ง ถ้าอยู่ที่โรงเรียนนี้ไปตลอดตาย ก็ศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยนี้ ใครอยู่ใน มหาวิทยาลัยนี้ ไปตลอดตาย ก็ศึกษาไปตลอด ตอนนี้ตับโป้นี่ก็กำลัง พอบอกว่า ไปเอากล้า มาหน่อยซิ แกก็ไปเอากล้ามา ถ้าเผื่อว่าแก ใจดีนะแกก็หยิบมาให้บ้าง ถ้าแกใจไม่ดี แกก็ไม่ ไปหยิบ บอกให้ไปหยิบแกก็ไม่ไปหยิบ ไปเอา กล้ามาส่งหน่อยซิ ก็ไม่เอากล้ามาส่ง อย่างตี๋น้อย อย่างนี้ โอ๋ดำนาเป็น ตี๋น้อย อย่างนี้ ก็ดำ หือ ประทับดี ตี๋น้อยนี่ กำลังดำนาเป็น ดำเสร็จแล้ว ผู้ใหญ่ก็ค่อยๆ ไปซ่อม ให้หน่อย บางทีมันถี่ไป บางทีกอมันโอโห ใส่เข้าไปตั้ง ๑๐ ต้นแนะ ใส่ลงไปบางทีหลุมหนึ่ง ๑๐ ต้น จะต้องช่วยเอาออกหน่อย มันเยอะไปอะไรอย่างนี้ หรือว่าถี่ไปอะไรนี่ แกก็ทำไป อย่างเตาะแตะ แต่ก่อนแกไม่กล้าลงหรอก ไอ้ขี้โคลนขี้ดินนี่ แหมไม่ได้หรอก สำรวยคนนี้ ละนะ เกิดมาไม่รู้เอาวิญญาณสำรวยมาจากไหน ว่าอย่างนั้นนะ สำรวยไม่ลงหรอก ถูกขี้ดินขี้โคลน เดี๋ยวนี้ลงไปนาบ่อยๆเข้า ก็มันก็ไป มันก็มันลึ่งละนะ ลึ่งดินลึ่งน้ำมันนา มันมีขี้ดิน ขี้โคลนขี้น้ำ คนอื่นเขาลง มันก็เห็นแล้ว เห็นคนก็ลงลุย เออ ผู้ใหญ่ผู้น้อย คนนั้นคนนี้ ก็ลงสนุก สนาน มันก็ซึมซับ มันก็ เอ๊เราเองนี่รู้สึกว่า มันรังเกียจ มันขยะแขยง อะไรอยู่ก็ตาม ทีคนอื่น เขาทำไม เขาไม่ขยะแขยง เขาก็คนว่าอย่างนั้นนะ

อาตมาอธิบายโดยสัจจะของจิตวิญญาณนะ เมื่อหมู่เป็น หมู่ทำ หมู่เขารื่นเริง หมู่เขายินดี หมู่เขาชมชื่นด้วย ทำไมเราไม่ชมชื่น มันไม่หยุดหรอก มันก็จะต้องลงสักวันหนึ่งจน ได้ ก็ลงคลุก ขี้โคลน เล่นสบายเลย อีกหน่อยต่อไป ก็เล่นไปเล่นมา ก็เราก็ค่อยๆแนะนำ ก็ ค่อยๆ บอก ค่อยๆสอน อยู่ที่ศิลปวิทยาของผู้นำหรือของผู้ช่วยกัน พี่บ้างน้องบ้างป้าบ้าง.. อาบ้าง น้าบ้าง อะไรก็ช่วยแนะนำไป นำมา มีศิลปะเป็นการสอนกันโดยธรรมชาติ เป็นการฝึกกันโดยธรรมชาติ เราก็ทำไป แง่อื่นเหมือนกัน อยู่ที่ในบ้าน อยู่ในหมู่บ้านนี่ เหมือนกัน อยู่ที่ไหนๆก็เหมือนกัน เราก็พากัน ไปทำกัน ไปนำกัน ไปอะไร กันไป เป็นชีวิต ที่แท้จริง ทุกอย่าง ทั้งการงาน ทั้งพฤติกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมน่ะ ทั้งแนวคิด ทั้งความรู้สึก ถ้าหมู่บ้านนี้นี่นะ แต่ละคน ทำหน้าบึ้งไม่เป็น คนในหมู่บ้านนี้ ใครๆก็ หน้าบึ้งไม่เป็น เอ๊ะหน้าบึ้งเป็นยังไงทำไม่เป็น กล้ามเนื้อไม่เคยน่ะ กล้ามเนื้อไม่เคยทำบึ้ง กล้ามเนื้อทำบึ้งออกไม่ออก มีแต่กล้ามเนื้อมันอยู่ ในท่าเบิกบาน ยิ้มอยู่เรื่อยน่ะ

เด็กเกิดมามันก็บึ้งไม่เป็น โตไปมันก็บึ้งไม่เป็น มันออกไปข้างนอก มันเห็นคนหน้าบึ้งมา มันก็งงๆ เอ! คนทำไมพวกนี้ หน้าไม่เหมือนพวกเรา หน้ามันแปลกๆ เออก็ แปลกๆ ถ้าเขาไปยินดี พวกหน้าบึ้งด้วย เขาก็จะไปหัดบึ้งตามพวกข้างนอก แต่กลับเข้ามาข้างใน มาอยู่กับหมู่ มันก็ต้องหน้าเบิกบาน อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นี่ไม่ใช่พูดเล่นน่ะ อาตมาพูดจริงๆ กรรมวิธีของคน มันตบไม่เป็น มันเตะไม่เป็น ในที่นี้ไม่มีใครตบ ใครเตะกัน มันก็ตบไม่เป็น เตะไม่เป็น มันด่าไม่เป็น พูดภาษาอย่างนี้ พูดไม่เป็น ไม่เคยสมมุติ ด้วยเลยภาษาอย่างนี้ มันสมมุติว่ายังไง ไปข้างนอก ได้ยินหือไม่รู้เรื่อง เขาด่ายังเฉยๆ ไม่รู้เรื่อง เขาด่าด้วย สำนวนหยาบๆ เขาข้างนอกน่ะ เจอคำด่า อย่างนี้ ก็ซัดกันแล้วน่ะ เราได้ยิน เราก็เฉยๆ เหมือนกับศัพท์ ภาษาต่างประเทศ หมายความว่า อะไร ไม่เห็น รู้สึกเฉยๆ เพราะเราไม่ได้ สมมุติกับภาษาคำนี้กัน เพราะว่าอยู่ในที่นี้ ไม่เคยได้ยินนี่ ไม่เคยได้สมมุติกันว่า ภาษานี้ แปลว่าอะไร ไม่รู้อย่างนี้เป็นต้น มันก็ไม่รู้ มันก็ไม่ได้ใช้ มันก็ไม่ได้ กระทบกระเทือนอะไร เขาก็ยังเฉย เพราะเรา ไม่รู้เรื่อง เหมือนภาษา ต่างประเทศ อย่างที่ว่า เอ๊เขาว่าอะไร เฉย อย่างนี้เป็นต้นน่ะ ภาษาที่ดี เราพูดกันอย่างไร แนะนำกันอย่างไร หรือซักซ้อม กันอย่างไร ฝึกฝนกันอย่างไร หรือเป็นวัฒนธรรม อย่างไร เราก็จะเป็น อย่างนั้น

สิ่งเหล่านี้คือมนุษยชาติที่ศึกษา มนุษยชาติที่ค่อยๆถ่ายทอดน่ะ มันอาจจะมีแกนนะ แกนนั้น มาจากจิตวิญญาณ โอ้โห! ชาติก่อนนี้สะสมด่าเป็นไฟเลย ว่าอย่างนั้นนะ ด่า เกิดเป็นคนไทย นี่แหละ ด่าสำนวนไทยนี่แหละ มาที่นี่มันก็ติดมา ติดมา มาเรียกภาษา สมัยใหม่ นี่เรียกว่า สัญชาตญาณ มันติดมาจากเดิม เรียกว่าสัญชาตญาณ เพราะฉะนั้น สัญชาตญาณ มันไม่ได้ มาจากใคร ไม่ต้องหัด ไม่ต้องฝึก แต่มันเป็น มันลึกๆ มันจะออกมา เป็นรูป เป็นนามอะไร มันยัง ไม่เป็นรูป มันก็จะเป็น นามธรรมมาอะไร ค่อยๆไล่มา อย่างนี้ เป็นต้น

นี่ท้าวความ พูดให้ฟังถึงเรื่องของสิ่งที่มันเป็นอำนาจ เป็นฤทธิ์หรือว่าเป็นพลัง ที่สามารถ จะทำให้ คนเป็นไป หรือปรับปรุงเปลี่ยนแปลงก็ได้ พัฒนาได้หรือทำให้เสื่อม ทำให้เลวลง ก็ได้น่ะ เกิดจาก อำนาจเดิม จากอำนาจสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน ที่จะพากันเป็นไปน่ะ

ทีนี้พอคนเราเจริญขึ้นหรือนานขึ้นมา ก็รู้วิธีการ ในการที่จะทำให้เกิดเร็วขึ้น ก็เลยกำหนด วิธีการสอน กำหนดวิธีการบอก กำหนดวิธีการที่จะให้เข้าใจได้เร็ว ให้จำได้เร็ว หรือ ให้เป็นได้เร็วๆ วิธีต่างๆเหล่านั้น เมื่อกำหนดกันขึ้นมาเป็นระบบ ก็เป็นหลัก เป็นทฤษฎี ที่เกิดการสอน ด้วยทฤษฎี แนะนำกันด้วยทฤษฎี ใช้ทฤษฎีนั้น เพราะมันเป็นผล มันเป็น ประโยชน์ มากเข้าๆ ก็เลยรวบรวมกันขึ้นมา จึงเป็นตำรับตำรา เป็นเรื่องเป็นราว เป็นอะไร พอมากขึ้นทีนี้ก็ หลายแผนก หลายโน่นหลายนี่เข้าก็ จนกระทั่งพัฒนา

อาตมา เล่าลัดๆขึ้นมาเป็นโรงเรียน มาเป็นมหาวิทยาลัย เป็นระบบวิธี นำมาเป็นหมู่ มาฟังกัน เป็นหมู่ รวมๆกันเป็นหมู่ สมัยโบราณก็เป็นหมู่จะฟังเทศน์นี่ ก็คือการรวบรวมกัน มาฟังเป็นหมู่ โดยไม่บังคับ โดยไม่ลงทะเบียน..ก็มาฟังกันเป็นหมู่ ไม่ได้บังคับ ไม่ได้ ลงทะเบียน ก็มาฟัง เล็คเชอร์น่ะ ว่ากันเป็น ภาษา สมัยใหม่ ก็มาฟังบรรยาย มาฟังภาษา พระ ภาษามาจาก สายของวัฒนธรรม ก็เรียกว่าเทศน์ ถ้าภาษาสมัยใหม่ก็ว่า มาฟัง บรรยาย มาฟังปาฐกถา มาฟังสุนทรพจน์ โน่นน่ะถึงขนาดโน้นเลยน่ะ ตัวใหญ่จริงๆ มากล่าวเมื่อไหร่ก็ถือว่าเป็นคำสำคัญนะ คำใหญ่นะ มาฟังสุนทรพจน์น่ะ ถือว่ามาฟัง คำวิเศษเลย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น

จะด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่ จะเป็นการบรรยายการพูดการแสดงความเห็น หรือ แม้แต่ที่สุด สากัจฉา หรือว่าถกกัน ถามกัน ซักไซ้กัน อภิปรายกัน อภิปรายไม่ไว้วางใจเลย อะไรก็ แล้วแต่ ก็เป็นวิธีการ ที่เราจะมา discuss อะไร ซักฟอก มาถก discuss มามีอะไรก็มาถกกัน ไม่ถึงเถียงละนะ discuss นี่มันยัง ไม่ถึง ขั้นเถียงน่ะ ก็ถกกัน มันก็เกิดผลเกิดประโยชน์ เกิดการเข้าใจว่า อันนี้มันมีข้อนี้ มีเหตุผลนี้ มีข้อเปรียบข้อเทียบอันนี้ มีหลักฐานอันนี้ มีข้อมูลอันนี้ มีแนวคิดอย่างนี้ มีเชิงฉลาด มีความเข้าใจ ที่ดีไม่ดีอะไร ก็เอามาสาธยายกัน เข้ามา ก็เห็นข้อมูลต่างๆ ก็ลึกซึ้งขึ้น ละเอียดลออ ขึ้น อะไรต่างๆพวกนี้

คนเราก็พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ ด้วยการศึกษาแบบนี้ จนกระทั่งมามีโรงเรียน มีมหาวิทยาลัย มีวิธีการ ในการศึกษาเป็นวิธีการ เป็นระบบผุดขึ้นมา เพราะฉะนั้น ก็เมื่อต้องการอย่างไร ผู้ที่จะถ่ายทอด ความรู้กัน ก็หาเนื้อหาต่างๆ ก็เตรียมเอาไว้ เพื่อที่จะถ่าย ทอดความรู้นั้นๆ ให้แก่ ผู้ที่ควรจะได้รับต่อไป ก็เป็นการถ่ายทอดความรู้ของคนคนเดียว ขึ้นมามาก ความเพี้ยนของ การศึกษา ก็เลยเกิดเพี้ยนกัน เพราะความเห็นของคนคนเดียว แต่ก่อนนี้ มหาวิทยาลัยแห่งชีวิต หรือ มหาวิทยาลัยธรรมชาติ มันไม่ใช่ความรู้ของคนๆเดียว ความรู้ ของใคร ก็แล้วแต่ แสดงออกนั้น มันจะมากระทบกับหมู่ หมู่จะมีการสังเคราะห์กันในตัว จะเลือก จะเฟ้น หรือ จะห้าม จะต้าน หรือว่าจะรับรองสนับสนุน มันจะเกิดผล เป็นธรรมชาติขึ้นมา ตลอดเวลา พอเวลาเกิดระบบแล้ว ผู้ใดมีอำนาจ เป็นหัวหน้าวิชา อะไรเป็นต้น คือเป็นต้นความคิด เป็นต้น เสร็จแล้ว ก็เอาความคิดนี้ ออกมาเป็นหลัก เป็นวิชาการ ของฉัน เป็นแนวคิดของฉัน ออกมา เป็นตำรา แล้วก็มีอำนาจ ก็เอามา ให้เรียนยัดเลย อยู่ในระบบแล้วนี่ ยัดเลยยัดเลย ก็เร็ว ถ้ามันดี มันก็ไปดี ถ้ามันไม่ดี มันก็ไปตะแบงเสียไป เพราะฉะนั้น ระบบอย่างนี้ ก็ถ่ายทอดกัน ด้วยวิธีอัด ผนวกเผด็จการ ขึ้นมาเรื่อยๆ

การศึกษาก็เลยกลายเป็นลักษณะเผด็จการขึ้นมามากขึ้นๆ มากขึ้น จนมาถึงทุกวันนี้ การศึกษานี้ ก็เลยเอาตำรา เอาอะไรต่ออะไร ใครมีอำนาจ ก็เอาตำรานั้นมาให้ศึกษากัน เรียนน่ะ จนกระทั่ง ใคร มีแนวคิดอะไร ก็ทำออกมา ไม่ทำก่อนก็พูดๆๆ แล้วให้คนอื่น ไปบันทึกออกมา แล้วก็เอาอันนั้น มาเป็นหลักเกณฑ์ น่ะศึกษากัน ไม่ต้องเอาอะไร มากหรอก ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างพระไตรปิฎกนี้ ก็คือ คำพูดของพระพุทธเจ้า แล้วก็มา รวบรวมกันเป็นตำรา เป็นคัมภีร์ใหญ่เลย อย่างนี้เป็นต้น หรือ ของพระเยซู หรือของใคร ก็แล้วแต่ อันนี้ไปในทางดี ต่อมาก็มีอันอื่นมาอีก เยอะแยะน่ะ อย่างของ คาร์ลมาร์ก อย่างนี้ ก็มาเป็นของคาร์ลมาร์กซ จนกระทั่งมาเป็นอย่างนั้นน่ะ ก็พาเอามา อัดกัน เรียนกัน จนกระทั่ง กลายเป็น ระบบบริหารประเทศไปเลย นี่ตัวอย่างของคาร์ลมาร์ก ก็ไปเป็นลัทธิ คอมมูนิสต์ไป ของใครก็แล้วแต่ มันมีอำนาจมีฤทธิ์ ก็เกิดอย่างนั้นขึ้นมา แม้แต่ หน่วยย่อย วิชาย่อยๆ แต่ละวิชา ก็เหมือนกัน ก็เกิดการรวบรวม แล้วก็เป็นอย่างนี้ ซ้อนๆ อยู่ในสังคม ไปทั้งหมด

การศึกษาก็เลยมากผู้รู้มากแนวทางมากแนวคิด อันไหนมีอำนาจมากอันนั้นก็ให้ผลแรง เกิดผลแรง แล้วก็ทำให้สังคมมีสภาพเป็นไปตาม เป็นไปตามแนวคิด เป็นไปตามทฤษฎี อย่างนั้นๆ ขึ้นมา ทฤษฎีหรือทิฏฐิ พูดในภาษาบาลีว่าทิฏฐิ ภาษาสันสกฤตก็คือ ทฤษฎี อันเดียวกัน คือ ความเห็น หลักการรวม ความเห็นหรือหลักการรวมทฤษฎีหรือทิฏฐินี่ เพราะฉะนั้น ก็ตามทิฏฐิ หรือ ตามทฤษฎี นั้นๆ ก็นำพาให้เกิดอะไรต่ออะไรขึ้นมาเรื่อยๆๆ เพราะฉะนั้น ผู้ที่คิดดี อย่างพระพุทธเจ้า อย่างพระเยซู อะไรคิดดีมีทฤษฎีดี ก็นำพา ให้เกิดผล คาร์ลมาร์กซก็มี จุดดีเยอะ แต่ก็เป็นทฤษฎี ตามทฤษฎี หรือว่าตามทิฏฐิของ คาร์ลมาร์กซ จะมีจุกบกพร่อง จะมีจุดดี ก็อยู่ขนาดนั้นแหละ ของทฤษฎีของ คาร์ลมาร์กซ อย่างนี้เป็นต้น หรือของใครอื่น ก็แล้วแต่น่ะ แปลงไปบ้าง ของเหมาก็แปลงไป เหมา ไม่พอน่ะ แปลงไปอีก เติ้งเสี่ยวผิงมาแปลงอีก เขาก็แปลงไป ในเมืองไทย ก็แปลง กันไปเรื่อยๆน่ะ

ขณะนี้มีทั้งอำนาจเผด็จการ มีทั้งอำนาจรวม รัฐธรรมนูญไทยกำลังจะออกมาอย่างใดนี่ มันก็ต้อง มีทั้งอำนาจรวม มีทั้งอำนาจเผด็จการอยู่ในที มันมีอยู่ผสมผสาน แม้แต่ใน มหาวิทยาลัย แต่ละแห่ง ถ้าใครมีอำนาจก็พยายามที่จะเอาตำรับตำรา เอาแนวคิดหรือ เอาทฤษฎี ของตนๆ ออกมา จนพยายาม ให้คนเขายอมรับ ให้เขานิยม เมื่อนิยมก็เรียน ตามตำราของเรา เรียนตาม คัมภีร์ของเรา สิ่งนั้นก็เกิด เกิดขึ้นไปเป็นความรู้ จะเป็นย่อย เป็นแต่ละแขนง เป็นแต่ละวิชา แต่ละเรื่อง ก็เป็นไปอย่างนั้นอีก อย่างนี้เป็นต้น เอาละ ถ้าอาตมาจะท้าวความ จะไล่ละเอียด ซอยอธิบายอะไรต่ออะไรกันไป ก็จะยาว แล้วเวลา ไม่มีให้ถามน่ะ

ก็ขอสรุปให้เข้าใจว่า การศึกษานี่มันเป็นเรื่องของมนุษย์มาตลอดสาย พัฒนามา จนถึง ทุกวันนี้นี่ อาตมาท้าวความมา ตั้งแต่โบร่ำโบราณมา ก็จะเป็นอย่างนั้นมา แล้วก็ขยาย ตัวมา ทำให้มนุษย์ อยู่ในสังคมนี่ มีการศึกษา แล้วก็เอามาใช้กับตัวเอง เอามาฝึกมาฝน ทั้งความเห็น แล้วก็เกิด พฤติกรรม กายวาจาใจด้วย แล้วก็เป็นบทบาทอยู่ในชีวิต อยู่รวมกัน เป็นประโยชน์ต่อหมู่ ต่อกลุ่ม หรือเป็นโทษ ต่อหมู่ต่อกลุ่มไป ถ้ามันดีมันก็เป็น ประโยชน์ ถ้ามันไม่ดีมันก็เป็นโทษ การศึกษา เป็นอย่างนั้นตลอดมา น่ะ มีอะไรแทรกซ้อน มีอะไรๆเกิดผสมผสาน แล้วก็แทรกซ้อน มาเรื่อยๆๆ จนกระทั่งถึงทุกวันนี้

เดี๋ยวนี้อาตมาก็เห็นว่า แนวคิดมันแตกแหลกราน ด้วยอำนาจอัตตามานะ คือค่าของข้าก็ดี ของข้าก็เก่ง เพราะฉะนั้น อำนาจของใครขึ้นก็จะขึ้น แต่ธรรมชาติมันมีเหมือนกัน สิ่งดี ก็เลือกเฟ้นเอา คนก็เลือก เฟ้นเอาเอง แต่นั่นแหละ มหาวิทยาลัยไหนๆก็แล้วแต่ หรือว่า อะไร ไหนๆ ก็แล้วแต่ มันไม่ได้เกิดจาก การเลือก มหาวิทยาลัยทุกวันนี้ มันเกิดจากอำนาจ อิทธิพล ของผู้ที่นำ เพราะฉะนั้น ผู้นำผู้ใด มีแนวคิดอย่างไร ของอย่างไรก็จะกำหนด สิ่งที่ กำหนดนั้น เรียกว่า ตำราประจำ หรือ กำหนดหลักสูตร กำหนดตำราประจำ เพราะฉะนั้น เมื่อสืบทอดมา ยังไม่มี ใครคิดเปลี่ยนแปลง ก็จะทำดำเนินตามนั้น ใครคิดเห็น เปลี่ยนแปลง ว่าเอ๊นี่ไม่ดีหรอก หรือแม้ดี แต่ข้าขึ้นมามีอำนาจ ข้าก็จะเปลี่ยนตำรา หรือ เปลี่ยนหลักสูตร เพื่อที่จะให้ตำรา ตามที่ข้า เห็นว่าดี ก็มาทำกัน ซ้อนลงไปเป็นใหม่ๆๆ มันก็เป็น การศึกษาอยู่ในระบบ มหาวิทยาลัย ก็ตาม โรงเรียนก็ตาม เป็นอย่างนี้น่ะ

ผู้มีอำนาจนี่แหละก็คือตัวเผด็จการ โดยเฉพาะผู้ที่เป็นจอมเผด็จการ มีนิสัย เป็นจอม เผด็จการ ก็ใช้วิธี... ทุกวันนี้ ไม่ใช่ไม่มีอำนาจเผด็จการ อำนาจเผด็จการ นี่ไม่ใช่ว่าคนเดียว โด๋เด๋ แล้วก็ อำนาจใหญ่ สั่งทั้งประเทศ นั่นคือตัวเผด็จการ ไม่ใช่ มันซ้อนอยู่ ในทุกอย่าง เลย อำนาจเผด็จการนี่ ซ้อนอยู่ในทุกๆหน่วยของสังคม ตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไป ใครมีอำนาจ มากกว่ากัน คนนั้นก็จะใช้อำนาจนั้น ๓ คนก็จะมีอำนาจเผด็จการซ้อนอยู่ในนั้น จนกระทั่ง เกิดเป็นกลุ่ม ก็เป็นอำนาจเผด็จการ ถ้าผู้นั้นมีนิสัยเผด็จการ

แต่ถ้าผู้ใดมีนิสัยไม่เผด็จการ เห็นอำนาจหมู่สำคัญกว่าอำนาจเผด็จการ ผู้นั้นก็คือผู้ที่ ไม่เผด็จการน่ะ ซ้อนอยู่ในทีเลย ไปตรวจดูเลย ใครก็แล้วแต่ ชอบที่จะสั่งการ ของที่จะเอา ตามฉันคิด คาดคิดนี่คือ อำนาจเผด็จการน่ะ ไม่พยายามเฉลี่ย แม้ว่าจะดี ก็ไม่เกิดสามัคคี ที่เดียว แม้ว่าจะดี

แล้วลักษณะอย่างนี้มันจะมีอยู่ตลอดไม่ว่าเมื่อไหร่ๆ พระพุทธเจ้าเราไม่ใช่นักเผด็จการเลย แต่ท่าน ใช้อำนาจ อาณา เรียกว่าคำสั่งเหมือนกันเมื่อสมควร แล้วท่านก็บริสุทธิ์ใจ ว่าเอ๊ะ หมู่นี้ อันนี้ต้องใช้ เป็นคำสั่ง หรือ ๒.เมื่อหมู่ให้ท่านสั่ง ให้เอกสิทธิ์ให้ท่านใช้อำนาจ  อย่างนี้ เป็นต้น ท่านก็จะใช้ เป็นครั้งคราว เป็นเรื่องๆน่ะ จะไม่ใช้ทั้งหมด อาตมาเองไม่ใช่ เป็นผู้ที่ มีอำนาจ หรือว่า มีความศรัทธา ได้รับความศรัทธาเลื่อมใส เท่ากับอย่าง พระพุทธเจ้า

อาตมาจะต้องเป็นคนที่ระมัดระวังเรื่องพวกนี้มากเลย จะไม่พยายามเผด็จการ อย่างมาก เลย จนกระทั่ง หลายคนหาว่าอาตมานี่ คล้ายๆกับว่า ทำไมไม่สั่งการ ทำไมไม่สั่ง ให้เด็ดขาด ทำไม ไม่ระบุให้เด็ดขาด หลายครั้งหลายคราว สังเกตดูเถอะ ตรวจสอบเก่าๆ มาก็ได้ ทำไมพ่อท่าน ไม่สั่ง ให้เด็ดขาดไปสิ ระบุไปอย่างนี้ให้เด็ดขาดไปสิ มันเป็นคำสั่ง มันเป็นอาณาน่ะ เป็นคอมมานด์ เป็นสิ่งที่มันบังคับ เผด็จการนั่นเอง อาตมาจะไม่ พยายามทำขนาดนั้น ก็ยังมีความรวนเร หรือว่า มีความไม่สามัคคี ขนาดนี้เลยน่ะ จริงๆ แล้ว มันกลับกันเหมือนกัน ถ้าเผด็จการแล้ว ทุกคน อยู่ด้วย การสั่ง ของผู้นี้ เป็นอำนาจ เดียวกัน ทุกคนขัดแย้งไม่ได้เลยนะ แล้วก็ทำอย่างนี้ มันก็ สามัคคี ดีเหมือนกัน แต่มัน เหมือนหมู่ควาย หัวหน้านำไป มันก็ตามไป มันไม่มีการพัฒนา ไม่เจริญน่ะ เรียกว่า ความสามัคคีหมู่ควาย มีหัวหน้านำคนเดียว คนอื่นไม่ต้องคิด อย่าคิด คิดมาก็ไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น คนอื่นก็ไม่ต้องคิด เพราะฉะนั้น ควายไม่ต้องคิดหรอก มันมีหัวหน้านำ มันก็ไปได้เรื่อยๆน่ะ

สังคมอย่างนี้ทุกวันนี้ไม่ต้องการ ทุกประเทศในโลกไม่มีใครต้องการ สามัคคีหมู่ควายน่ะ ต้องการ สามัคคีที่จะต้อง ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ มีความคิดเป็นของตนเอง แล้วก็สามารถ ที่จะเอา มาถกแถลง มาถกวิจัยวิจารณ์อภิปรายอะไรกัน เพื่อที่จะเลือกเฟ้น เอาจุดที่ดีที่สุด ออกมาใช้ มันถึงจะเหมาะสม ก็มาทำอย่างนั้นกันน่ะ

เอาละนัยละเอียดอะไรต่างๆ อาตมาขยายตรงไหน ก็ขยายไปเรื่อยเลย มันก็จะยาว ก็ขอ สรุปลง ให้รู้ สัมมาสิกขาลัยของเรา ก็จะศึกษานัยนี้ ทีนี้วิธีการทึ่จะให้คะแนน มันจะเป็น ปัญหา อยู่ตอนนี้ หรือ บางคน ก็รู้สึกว่า ไม่มีอาจารย์ประจำวิชา ตอนนี้พอถอดมาเป็น สัมมาสิกขาลัยแล้ว อาตมา ก็ยังไม่ได้มี เวลา ที่จะต้องมาทำอะไรลงไป อาตมาอยาก จะปล่อยให้มัน เป็นไปตามธรรมก่อน แล้วค่อยๆ จะมาจับ อันนั้นอันนี้ ขึ้นมาเป็นระบบ มีอะไรต่ออะไรขึ้นมา มาแล้วจะให้มาร่าง แล้วจะให้มาทำอะไรขึ้นมา โดยที่อาตมา กำลังมองอยู่ว่า จะให้ผู้ใด เป็นผู้ทำ แล้วก็ทำ แล้วก็ มันจะไม่เหมือน และก็จะไม่ทิ้ง สิ่งที่ดี ที่ทางสังคมเขาทำไว้แล้ว แล้วก็จะค่อยๆ จะมีเรื่องที่สำคัญ หรือว่า มีเรื่องที่เรายังรู้สึกว่า มันไม่เป็นเหมือนกับมหาวิทยาลัยทั่วไปเขาอยู่ ก็คือ

๑.ว่า แล้วเมื่อไหร่มันจะจบ จะให้คะแนนกันอย่างไร แล้วจะวัดคะแนนกันอย่างไร จะรู้ว่า นี่สอบได้ปี ๑ แล้ว ปี ๒ แล้ว ปี ๓ แล้ว หรือว่ามันได้กี่ยูนิตแล้ว ได้กี่หน่วยแล้ว แล้วมัน จะจบ ๑๕๐ หน่วย ๑๓๐ หน่วย แล้วเมื่อไหร่ถึงจะได้ปัญญาบัตร สักใบหนึ่ง อะไรอย่างนี้ มันอาจ จะเป็น ความที่ยังไม่เข้าใจ หรือว่ายังไม่รู้เรื่องตรงนี้เท่านั้นเอง ส่วนการศึกษานั้น เราได้ศึกษาไป ตลอดเวลา แล้วเราก็ยัง ไม่ได้แบ่ง คณะอะไรมากมาย เพราะว่าทุกวันนี้นี่ ควรจะรวมคณะ ทุกคณะ รวมมาเป็นคณะเดียว คือ คณะที่สำคัญของชีวิตประจำวัน คณะเดียวเสียก่อน แล้วก็รวมกันศึกษา ให้ไปด้วยกัน ใครถนัดอะไร มันก็เป็นบ้าง แล้วมัน ก็จะมีงานต่างๆ การศึกษา นี่ ถ้าเผื่อว่า เรื่องของศีลเด่น เรื่องของด้านจริยธรรม มันไม่ต้องแยก ไปหานิพพานอย่างเดียว เพราะฉะนั้น ไม่แยกคณะเรื่องศีลเด่น เรื่องศีลเด่น ไม่ต้อง แยกคณะ ไปหานิพพานอย่าง เดียวน่ะ อันนี้รวมกันแล้ว เป็นงานละ เป็นงานมันจะไปตามถนัด เพราะฉะนั้น งานอะไรที่เรามี เราจะศึกษา เพื่อที่จะมาทำ สิ่งที่เรามี เช่นเราจะไม่ศึกษาวิชาหมอดู เพราะว่าศึกษาไปแล้ว เราก็ไม่มีในหมู่บ้านเรา ในสังคมเรา เราจะไม่ศึกษาวิชาสร้างจรวด เพราะว่า เรายังไม่ถึงขั้น เรายังไม่ไปถึง ขนาดนั้น อย่างนี้เป็นต้น

เราจะไม่ศึกษาวิชาอะไรหลายๆอย่าง ที่เรายังไม่จำเป็นน่ะ วิชาที่มันเยอะแยะ เดี๋ยวนี้ เขาแบ่ง แผนก คุณไปหยิบมาก็ได้น่ะ ในมหาวิทยาลัยนั่นๆนี่ๆ เขามีวิชาโน่นๆนี่ๆ จนกระทั่งที่สุด แยกย่อยกันให้มัน วิชาคล้ายๆกัน ใกล้ๆกัน ซึ่งอาตมาเอง อาตมาก็งงๆอยู่ ยังไม่ค่อยรู้เท่าไหร่นะ วิชารัฐศาสตร์ แตกต่าง จากรัฐประศาสนศาสตร์อย่างไร คณะเป็น ๒ คณะเลยนะ วิชารัฐศาสตร์ กับวิชา รัฐประศาสนศาสตร์

อาตมาก็เออมันก็คงจะฟังชื่อแล้วคล้ายๆกัน แล้วมันต่างกันตรงไหนวะ อาตมายังไม่รู้ ทุกวันนี้ มันไป ต่างกันตรงไหน วิชารัฐศาสตร์ กับวิชารัฐประศาสนศาสตร์ อย่างนี้เป็นต้น มันแยกย่อย กันไปเยอะ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก วิชาศิลปะ โอ๊ยเดี๋ยวนี้มันแยกแขนงไป จนอาตมาไม่รู้ ทั้งๆที่อาตมา จบมาทางศิลปะแท้ๆนะ ซึ่งสมัยอาตมาเรียนนี่มีอยู่ แค่แยกย่อยกัน ๕ ศิลปน่ะ เดี๋ยวนี้ มันศิลป การพาณิชย์ ศิลปอุตสาหกรรม ศิลปโฆษณา ศิลปะอะไรของมันก็ไม่รู้ ไปเยอะแยะ ไปหมดเลย แล้วเป็นแผนกนะ จบออกมากันคนละ แผนกๆ อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราไม่ไหวหรอกน่ะ เราไม่ไปเอาถึงขนาดนั้น เราเอา รวมๆอยู่เลย ขณะนี้นี่ สัมมาสิกขาลัย มีคณะเดียวน่ะคือ คณะธรรมชาติ คณะเป็นอยู่สุข คณะการใช้ชีวิตให้เป็นสุข มีคณะเดียว จบออกมาแล้วก็คณะเดียว เพราะฉะนั้น คณะนี้ จะทำอะไรบ้างเป็นงาน เป็นหลัก ทีนี้มันจะแยกตัวบุคคล ใครถนัดอะไร ก็ทำมาก ใครไม่ถนัดอันนี้ก็ทำอันอื่น ที่ถนัดรอง หรือไม่ถนัดรอง ถนัดน้อย ก็รู้กับเขาบ้าง ไม่ถนัดเลย จะไม่ทำเลยก็ได้บางงาน งานนี้เรา ไม่ถนัดเลย เราไม่เอางานนี้ เราไม่ทำ ก็ให้รู้กัน ไม่ใช่ว่าเกี่ยงกัน ว่าเอ๊ไม่ทำยังไงกันไม่ได้ ขอแรงงาน เอ้า บางทีแรงงาน เราไม่เป็นเลยนะ แต่ก็ต้องไปช่วยกันบ้าง มีน้ำใจ

บางที ต้องการลงแขก อย่างนาอย่างนี้ บางคนไม่ถนัดเลย เอาน่ะไปนั่งส่งน้ำส่งท่าบ้าง เราทำนา ไม่ได้จริงๆ มันไม่เป็น มันแสลง ถ้าลงไปแล้วมันโอ้โหผื่นขึ้นมั่งอะไรมั่ง เป็นเหมือนกัน บางคนน่ะ เพราะฉะนั้น เราก็ไปส่งน้ำส่งท่าให้เขานะ เออหยิบโน่นหยิบนี่ ให้เขา มันก็ไม่ถึงกับขนาดอะไร มันเป็นเรื่องของสามัคคีธรรม เป็นเรื่องของ ความพร้อมเพียง บางคนไม่ถนัด เรื่องนั่นเรื่องนี่อะไรก็ เราก็ไม่ถึงกับขนาดว่า เราจะดู ไม่แล แล้วก็รังเกียจเอาเลย หรือไอ้จิตรังเกียจกับจิตขี้เกียจ อาตมา ก็เคยบอก มามาก แล้วน่ะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้อง พยายามให้มันรู้ว่า อันนี้เป็นเรื่องของ จริยธรรม หรือ ศีลธรรม เป็นวิชาที่เป็นวิชาหลักเลย มาร่วมกันในการเป็นงาน เพราะฉะนั้น งานอะไร ที่สำคัญ ที่เราชี้กันแล้ว แม้ว่าเราจะไม่ถนัด ถ้าเผื่อว่าเราสามารถทำได้ จนกระทั่งสุดท้าย เป็นความชำนาญได้ บางคนเป็นเหมือนกัน เพราะว่าเรื่องพวกนี้มันหมุนไปหมุนมา มันไม่เที่ยง บางคน เป็นครูมาตั้ง หลายชาติ แหมชาตินี้ เบื่อเลย เบื่อเป็นยารุเลยนะ แหมแต่ที่จริงตัวเอง ชำนาญมามากแล้ว เพราะตัวเองเป็นครู มาตั้งหลายชาติแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น ยกตัวอย่างง่ายๆ พอมาชาตินี้ เบื่อเป็นยารุเลย โอ้โห! ไม่อยากทำเลย

แต่ที่จริงน่ะ ต้องเป็นครูอย่างอาตมานี่ อาตมาเบื่อเป็นครูมา มันมีอะไร ลึกๆละนะ ก็เป็นครูมา เป็นโพธิสัตว์ ก็เป็นครูมาตลอดทุกชาตินั่นแหละ แต่มาชาตินี้ อาตมาจริงๆ เลยเกิดมานี่ โอ้โห ฉันเกลียดจริงๆ วิชาครูนี่ ไม่เอาเลยนะ แม่จะมาบอกว่า ให้ไปเรียนครู อย่างมาพูดเลยนะ วิชาครู ไม่เอานะ สุดท้ายเราก็ต้องมาเป็นครู เป็นครูดีเสียด้วยนะ เป็นครูเก่งเสียด้วยนะ นี่ไม่ได้แกล้งชม ตัวเองนะ นี่พูดความจริง ใช่ไหม เราก็ต้องเป็นครู ก็เราเป็นครูมาตั้งไม่รู้กี่ชาติ แต่มาชาตินี้ ก็เลย ไม่ไปทำ จริงๆไม่ใช่หรอก ที่จริงงานเราเอง ต้องไปฝึกไปซ้อมเขามา ก็เป็นเสียด้วยนะ แล้วเดี๋ยว ก็ชำนาญ เดี๋ยวก็เก่ง เพราะมันมี ของเก่ามา แต่มันเกิดอาการอย่างนี้ได้เหมือนกัน จิตเป็นอย่างนั้น ได้บ้าง อย่างที่อาตมา ยกตัวอย่างให้ฟัง อย่างอาตมานี่เป็นครูอย่างนี้ อาตมา ก็เป็นครูมา ไม่รู้กี่ชาติ โพธิสัตว์นี่ ก็เป็นครูทั้งนั้นแหละ แต่เสร็จแล้ว เราก็มาเกิดความรู้สึกอย่างนี้ มันเป็นได้น่ะ มันเป็น ความอะไรลึกๆของคน มันอยากวางอยากปล่อย ไม่ต้องเอาใครหรอก เอาพระพุทธเจ้าก็ได้

พระพุทธเจ้าพอบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าปั๊บ เกิดปริวิตก ว่าเอ๊สอนคนนี่ มันถ้าไม่เข้าท่านะ นี่เห็นไหม ไม่ดี จะไม่สอนคน เอ้าแล้วกัน พระพุทธเจ้าไม่สอนคน ก็บรรลัยน่ะสิ ไม่เป็นครู ก็ตายสิ แต่กับท่านปริวิตก ได้อย่างนี้เป็นต้น แต่ก็แป๊บหนึ่งเท่านั้นเอง นั่นแหละมันซ้อนลึก มันซ้อนลึก อาตมาก็จะไม่สอนคนนะ เข้าป่าแสมไป พอเสร็จแล้ว ก็จะเข้าป่าแสมไปเลย ไม่เอาแล้ว คนก็ไปลากมา อะไรต่ออะไร เขาไปหาอะไร เรื่อยๆ ดึงๆ อย่างนี้เป็นต้น

นี่มันมีอะไรซ้อนลึกอยู่ในมนุษยชาติ เพราะฉะนั้น เราอย่าพึ่งไปปฏิเสธบางสิ่งบางอย่าง อย่างแข็งขัน อย่างแข็งขืน มันอาจจะมีอะไรที่ซับซ้อนอยู่อย่างนี้ได้น่ะ เราก็ต้องพยายาม เอาละ เรื่องงาน ก็พูดไว้แค่นี้ก่อน เป็นงาน เราจะต้องทำงานอาศัยงาน

ยิ่งโลกทุกวันนี้ ทรัพยากรวัตถุดิบของธรรมชาติ มันร่อยหรอ มันไม่มี เราต้องสร้าง สร้างงาน สร้างผลผลิต สร้างวัตถุดิบขึ้นมากินมาใช้หรือมาอาศัยน่ะ ให้ชีวิตเราต้องมี สิ่งนั้น อาศัยไปสร้าง หรือว่า ทำ แม้แต่ที่สุด อากาศต้องมาช่วยฟอก น้ำจะต้องมาช่วย ชำระ ให้มันสะอาด ดินจะต้อง มาทำ ให้มันดีน่ะ จะต้องมาทำถึงขนาดนั้น ดินน้ำลมไฟ ทุกวันนี้มันพิการพิกล มันเป็นพิษ มันสูญเสีย เราจะต้องมาช่วยทำอย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีงาน คนจึงมีงานมาก ในยุคนี้ สมัยนี้ งานมากกว่า สมัยพระพุทธเจ้า งานมากกว่าสมัยก่อนพระพุทธเจ้า งานมากกว่า สมัยโบราณมาก ต้องทำงานหนัก คนทุกวันนี้ต้องทำงานหนัก แล้วต้องเป็นงานที่จะต้อง ช่วยกัน อย่างสำคัญ

สรุปแล้วเรายังกำหนดลงไปตายตัวไม่ได้ว่า งานที่เราจะมีอยู่ในสังคมกลุ่มเราก็คือ งานที่ มันมี องค์ประกอบว่าอะไรเหมาะ ที่นี่เป็นเมืองน้ำ บอกประกาศไปแล้วว่า เราจะต้อง เป็นคนที่เรียนรู้ เรื่องจะทำอย่างไร เราก็อยู่กับถิ่นนี้ มีน้ำมากหน่อย นี่แล้วจะนำจุด ที่มันอุดม สมบูรณ์อันนี้ ถ้ามันจะ เป็นโทษ เราก็จะต้องป้องกัน ถ้ามันจะเป็นดี เราก็จะต้อง พยายามส่งเสริม เป็นจุด ให้มันดีอันนี้ เราต้องเป็นคนรู้จัก จับอะไรขึ้นมา ในสิ่งที่เรามี นั่นแหละ มันเป็นสิ่งที่ง่าย แล้วทำขึ้นมา ให้มันเป็น ประโยชน์คุณค่าให้ได้น่ะ ไม่ว่าอะไร เหมือนกับอย่างที่ เราจะเอาขยะ มาเป็นปุ๋ยให้ได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราต้องทำอย่างนั้น

ส่วนเรื่อง ชาญวิชานั้น เราก็เรียนไปวิชาการสมัยใหม่ วิชาการที่เขารู้เรื่องนั่นเรื่องนี่ เราก็พอรู้ กับเขา แล้วเราก็นำสิ่งเหล่านั้น วิชาการเหล่านั้น เอามาเลือกเฟ้นใช้ เราศึกษาเขา เขามีความคิด ความเห็น เขามีความรอบรู้ในการรู้ เรียกว่าวิชาต่างๆ เป็นอะไรอย่างไร เราจะไม่ตกหล่น เพราะทุกวันนี้ เราไม่ต้องกลัวเลยสื่อสารไร้พรมแดน ที่เราจะสร้างหอสมุดใหญ่ เป็นหอคลัง สารสนเทศ อันนี้ดูเหมือน อาตมาใช้ภาษาอันนี้ ไว้นะว่า "คลัง" ดูเหมือนจะลืมๆเสียแล้วว่า เราจะมีป้ายตัวหนึ่ง เขียนไว้เลยว่า คลังสารสนเทศ ของชาวอโศกเรา คืออาตมาตั้งใจจริงๆ จะมีงบประมาณ มีทุนรอน เท่าไหร่ก็แล้วแต่ ที่จะพยายามในบั้นปลายนี่ คงจะต้องพยายาม เอามาสะสม มาให้แก่ อันนี้มากหน่อย ให้เป็นคลัง ตำรา คลังสรรพวิชาต่างๆ พวกเราได้ศึกษา

เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีนิสัยที่จะต้องศึกษาอ่านหนังสือ ตรวจสอบ ดูข้อมูลวิชาการ ความรู้ ที่เขาสื่อมา ทางอันไหนก็แล้วแต่ ทุกวันนี้มันสื่อมาทั้งทางตำรา ทางเครื่องมือ สื่อสาร อื่นๆ เดี๋ยวนี้ มันระดับ อินเทอร์เน็ตแล้ว มันก็เป็นคลังวิชาอินเทอร์เน็ตก็อะไร มันทั้งวิชาทั้งไม่วิชา ก็เป็นสารพัด ความรู้ ที่จะต้องรู้น่ะ มีทั้งของลามก ทั้งของที่เป็น คุณค่าด้วย แต่ของคุณค่าประโยชน์มากกว่า ของลามก ไอ้สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธรรมชาติ มันจะมีของแปลงๆปลอมๆ หรือว่าอะไรต่ออะไร มีปนๆ อยู่บ้าง แต่เราไม่ใส่ใจ มันก็ไม่มีอะไร ยิ่งอินเทอร์เน็ตยิ่งไม่มีปัญหา ถ้าเราไม่ใส่ใจมัน เราก็ไม่ต้อง ไปแตะต้อง มันเลย สัญญาณอันนี้เราไม่ต้องไปเกี่ยว มันก็ไม่มีอะไร ออกมารบกวนเรา ถ้าเราเอง เราไปแตะมัน มันก็ออกมา มันอยู่นี่มันรวบรวมเก็บเอาไว้ เราไม่ไปค้นไปอะไร มันก็ไม่ ออกมา แต่เราจะค้นเอาอะไร มันมีสารพัด ที่จะให้เราอย่างนี้เป็นต้น

เราจะมีครบน่ะไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาบันทึกอะไรต่างๆ นานา จะพยายามทำให้ สมบูรณ์ แล้วเรา จะต้อง เป็นนักศึกษา เป็นนักค้นคว้า หรือว่าเป็นนักใส่ใจ ในการที่จะเป็น ผู้รู้ เป็นผู้ที่ ไม่ใช่คนเฉื่อย จะต้องเป็นคนที่แอ๊คทีฟ เป็นคนกระปรี้กระเปร่า เป็นคนที่ฉันทะ เกิน เอ๋าพอพูดเข้า เอาเกินเลย หรือฉันทะเกินอีก เป็น(บาง)คนมีอิทธิบาทมีฉันทะดี เป็นคนกระปรี้กระเปร่าละนะ เอาการ เอางาน เป็นคนเบิกบานร่าเริง เป็นคนมีพลัง มันจะแปลว่าอะไรละแอ๊คทีฟนี่ เป็นคน กระตือรือร้น ขมีขมัน อะไรอยู่อย่างนี้ละนะ ต้องเป็นคนใฝ่ในการเรียนรู้ เป็นคนที่ไม่ใช่เป็น คนเฉื่อย เป็นคนที่มันจะค้าน แย้งกันอยู่ กับศาสนาที่เขาอธิบายสุดโต่งไปว่า เป็นคนที่ วาง วาง วางๆ ประเภทวาง แล้วก็งี่เง่า ไม่เอาอะไร เฉื่อย มันค้านแย้งกันอยู่ สุดยอดของศาสนาพุทธก็ แหม เอาวางเสียด้วยนะ มันก็เลย จะค้านแย้งต่อต้านกันอยู่ในที

ความจริงแล้ว วางมันเป็นเรื่องของจิตใจเราไม่ติดไม่ยึด แต่ขณะเดียวกัน เป็นภาวะ ปฏินิสสัคคะ ซับซ้อนมาก ปฏินิสสัคคะนี่คือการซับซ้อนกลับไปกลับมา มันย้อนแย้ง อยู่ในตัว โดยภาษา หรือ โดยความหมายก็ตาม ในความหมายมันย้อนแย้ง แต่ความจริง มันเป็นความลงตัว มันเป็น ความสมบูรณ์ ในตัวของมัน ที่ว่าเรามีทั้งวาง และเรามีทั้ง ยึดถือ เราจะยึดถือก็คือยึดถืออย่าง มีปัญญา สมาทาน สมาทานยึด อาทานนี่ยึด อย่างสมถะ อย่างสมะเป็นความสงบ เป็นความ เรียบร้อย เป็นความลงตัว สมะนี่เป็นที่สุด

ถ้าเอาไปใส่อุปสมะหรือวูปสมะเป็นความสงบเรียบร้อยเป็นนิพพานน่ะ ยึดถืออย่าง นิพพาน ยึดถือ อย่างสุดยอด ไม่ใช่ยึดมันมีภาษาย้อนแย้งว่า ไม่ทุกสิ่งทุกอย่าง สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ ท่านก็มาแปลว่า สัพเพ ธัมมา ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่าง นาลัง ไม่ควรจะยึดมั่นถือมั่น อภินิเวสายะ เขามาแปลเป็นไทยว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่จริงอภินิเวส นิเวสแปลว่าที่อยู่ อภิแปลว่า ยิ่ง อยู่อย่างยิ่ง คือฝังรากอยู่ตรงนี้ โดยความหมายอยู่(นิเวส) อย่างนี้อยู่ ตรงนี้มีที่อยู่ มีที่ยึด จึงเรียกว่า เป็นภพ ภพก็คือที่อยู่ อยู่ตรงนี้ นิเวสอยู่ตรงนี้จริง เราแปลนิเวสหรือนิวาส เป็นที่อยู่ อยู่ตรงนี้ เราไม่ไปสิงสถิตอยู่ที่ไหนทั้งนั้นแหละ ไม่ว่าภพไหน

แต่เราต้องรู้ว่า เราจะต้องอยู่ เรายังไม่ตาย เรายังไม่ปรินิพพาน แม้จะมีนิพพานก็คือ รู้จักปล่อย แล้วก็รู้จักรับ อาศัยอะไร อาลยะมีวิญญาณ เป็นอาลยวิญญาณ วิญญาณ จะอาศัย อาศัยตรงไหน อาศัยเท่าไหร่ อาศัยแล้วเรารู้ทั้งนั้น ทั้งกาลัญญุตา ทั้งกาละ ทั้งโอกาส ทั้งประมาณมาก ประมาณน้อย ใช้เป็นทุกอย่างน่ะ เป็นสัตบุรุษผู้มีปุริสธรรม ๗ ประการ รู้จัก การคำนวณ ประมาณ ประมาณใช้แล้ว มีอยู่ในตัวเรา เรามี แต่เราไม่ยึด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา มี มีความสามารถ มีความรู้ มีสมรรถนะ มีอะไรดี มีบุญกุศล มีคุณค่าได้ทั้งนั้น แต่เราก็ใช้เป็นน่ะ แล้วก็ไม่ยึด เป็นเราเป็นของเรา แม้จะดีที่สุด ยอดเพชร ยอดทอง ยอดสมบัติ อย่างพระพุทธเจ้านี่ มีโอ้โห ทั้งสมรรถนะความสามารถ มีบุญกุศล มีตั้งมากตั้งมายเป็นสมบัติของท่าน ท่านก็ไม่ได้ติด ไม่ได้ยึด เพราะฉะนั้น พระอริยะต่างๆ หัดอย่างนี้ไป

จนกระทั่งมาเป็นพระโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ จนโพธิสัตว์ มหาสัตว์ไปเรื่อยๆ ก็หัดมี หัดทิ้ง หัดมี หัดทิ้ง หัดมี หัดไม่ยึดหัดมี หัดไม่ยึดหัดมี หัดไม่ยึดเป็นของเรา แต่ต้องหัดใจว่า อย่ายึด เป็นเรา เป็นของเรา

นี่คือ สัพเพ ธัมมา นาลัง อภินิเวสายะ เพราะฉะนั้น ทำจนชำนาญแล้วใจก็จริง สุดท้าย เราก็ปรินิพพานได้ เพราะเราไม่ได้ติดยึดเป็นเรา ไม่อยู่ในภพไหน ไม่ยึดอะไรเป็นที่อยู่อีก จะไปเอา สวรรค์วิมาน อยู่กับพระเจ้าก็ไม่เอา อยู่กับพุทธเกษตรก็ไม่เอา อย่างมหายาน แหมมีพุทธเกษตร ตายแล้ว จะต้องไปอยู่กับพุทธเกษตร ก็เป็นภพอีกภพหนึ่งไม่เป็นภพ แต่รู้ว่า ต้องอยู่ ถ้าเรายัง ไม่ปล่อยสนิท เราก็ไปต่อ แล้วก็มีสมบัติที่เราได้สั่งสมนั่นแหละ เป็นของเรา เป็นวิบากของเรา คุณสั่งสมอะไร ก็เป็นอันนั้น อย่างนี้เป็นต้น

เอาละนี่มาพูดถึงขนาดขั้นระดับ ปรินิพพานแล้ว ก็ควรจะจบได้แล้ว

สรุปแล้วก็คือ การศึกษานี่ เดี๋ยวอาตมาจะค่อยๆจัดแจง อาตมาจะกลาย เป็นเจ้าของ มหาวิทยาลัย น่ะ ขอเรียกหน่อยนะ อย่างเพิ่งมาจับเลย เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย ที่จะกำหนด การศึกษาหลักสูตร หรือว่า วิธีการอะไรต่ออะไรทั้งหมด แม้อาตมาจะไม่จบ แม้แต่ปริญญาตรี ก็ตาม อาตมาว่า อาตมาก็คงจะ ไม่ถึงขนาดไม่รู้ว่า มันจะเป็นยังไง หลักสูตรเป็นยังไง การไอ้โน่น ไอ้นี่เป็นยังไง ก็ไม่ใช่หรอก อาตมา ก็พอรู้ นอกจาก รายละเอียด บางสิ่งบางอย่าง เท่านั้นละ ในรายละเอียด แต่หลักๆ อาตมาว่า อาตมารู้นะ แล้วค่อยๆ ทำกันน่ะ ขอยืนยันว่า ยังเป็นนิสิต ยังเป็นผู้ที่จะศึกษา แล้วจะนำพาไป ในเรื่องการจะมีอย่างโลกเขามีบ้าง มีปัญญาบัตร หรือ มีใบรับรองอะไร ที่มาเป็นหลัก เป็นฐาน ไม่ได้พูดเล่น ยืนยันว่า จะมีให้จริงๆน่ะ แล้วอาตมา ก็จะทำออกมา เมื่อเราวาง หลักเกณฑ์ ในการตัด ..ตัดคะแนน รู้จักการให้คะแนนแล้ว รวบรวมคะแนนได้ จนกระทั่ง ครบสมบูรณ์ตามกำหนด แล้วก็ถือว่า ผู้นี้ จบการศึกษา ในขั้นหนึ่งๆ ไปน่ะ ยังไม่มีหรอก ปัญญาโท ปัญญาเอกยังไม่มีน่ะ มีแต่ปริญญา เราเรียกปัญญา ปัญญาโท ปัญญาเอก ยังไม่มี เอาปัญญาตรีนี่ไปก่อน

เยอรมันเขามีปริญญาตรี ปริญญาเอกนะ เขาไม่มีปริญญาโท เยอรมันนี่จบปริญญาตรี ถ้าใคร ไปทำอีก เขาก็เรียนจนกระทั่ง จบยอด ของเขาแล้วนะ ได้เอกเลย เยอรมันจบ ปริญญาตรีเป็นฐาน ไปเรียนอีกต่อ เรียนไปเถอะ ถ้าเรียนจบ เขาก็ได้เอก ถ้าไม่จบ ก็แค่อย่างเก่า แต่ก็ได้ความรู้ ได้เท่าที่เรียน

เรื่องมหาวิทยาลัยหรือเรื่องวิทยาลัยอาตมาก็ขอทิ้งไว้แค่นี้นะ ให้ใส่ใจศึกษา เพราะฉะนั้น ทุกคน เอ้า อาตมาไม่จบอีกนิดหนึ่ง ว่าจะพูดแล้วก็เลยลืมไปหน่อยคือว่า ทุกคนเป็นนิสิต โดยปริยาย แต่จะมีนิสิต ที่ลงทะเบียนน่ะ เพราะฉะนั้น นิสิตที่ลงทะเบียนแล้วก็คือนิสิต แล้วก็ศึกษา อยู่ในนี้แหละศึกษา ถ้าใครไม่อยู่ก็แน่นอนละ การให้คะแนนก็จะดูด้วยว่า นักศึกษานี้ อยู่ในพื้นที่ นักศึกษานี้ มีการศึกษา มีส่งงานไหม อะไรไหม หรือว่าตรวจสอบ ได้ไหม ถ้าไม่อยู่นี่ ครูไม่รู้ จะให้คะแนนได้ยังไง ใช่ไหม แต่ถ้าครูรู้ครูเห็นอยู่ ก็ตรวจสอบ กันได้ เพราะฉะนั้น ก็จะมีผู้ที่ จะช่วยตรวจสอบ ผู้ที่จะอยู่ในพื้นที่ ผู้ที่จะเป็นหลักว่าจะให้ คะแนนอะไรต่างๆ นี่ค่อยๆว่ากัน วางกัน คนที่ไม่ได้อยู่ เราจะให้คะแนน ทั้งในภาค ศีลธรรม หรือ ศีลเด่น ในภาคของ เป็นงาน และ ทั้งในภาคของวิชาการ ทั้ง ชาญวิชา ให้คะแนน ทั้ง ๓ หน่วย รวมแล้ว ได้กี่ยูนิต เสร็จแล้ว ก็ตัด คะแนนกันไป เมื่อคะแนนในระดับนั้นๆ ก็เหมือนกันแหละ เอ้า ขณะนี้ถึงขั้นนี้แล้ว ท่านได้ขนาดนี้ ถึงประมาณนี้แล้ว ขอจบได้

เพราะว่าที่นี่เราไม่มี ปัญญาโท ปัญญาเอก คุณจะต่อไป จนกระทั่ง มันได้ความรู้ ขนาดนั้นแหละ เราจึงจะขอตัดเคิฟว์ มาเป็นปัญญา เขาให้ไบปัญญาตรีก็ช่าง แต่เรา จะเอาความรู้เติม คุณไม่ขอ จบแค่นี้ๆ มันได้พิเศษ หน่วยเต็มแล้ว แต่จะทำล้นไปอีก เขาก็ไม่ว่าคุณ แต่จะขอจบก็ได้ พอจบแล้ว ก็คุณจะเรียนไม่เรียนอีก ก็ไม่มีปัญหา เพราะฉะนั้น จะอิสรเสรีมากน่ะ มากกว่า ที่เป็นอยู่อย่างสำคัญ น่ะ ก็มีนิสิต ๒ ระบบ นิสิต ๒ แบบ เพราะฉะนั้น นิสิตที่ไม่ได้ลงทะเบียน นิสิตโดยปริยายก็เป็นนิสิตไป อย่างนั้น คือธรรมชาติน่ะ อย่างขนาดไหน ก็แล้วแต่ จะแก่ จะเด็ก อะไรก็ตามใจ จะเห็นได้ เพราะฉะนั้น เราก็ดูใครจะมาขอนั่งเรียนเหมือนอย่าง มหาวิทยาลัยเปิด อย่างรามคำแหง เขายังไป นั่งเรียนไปนั่งฟังเล็คเชอร์ก็ฟังไป เขาไม่ว่ากันหรอก คุณไม่ได้ ลงทะเบียน แล้วคุณ ไปนั่งอยู่ ไปนั่งฟัง นั่งรับความรู้เขาก็ไม่ว่าคุณ ก็มานั่งรับไปซิ ไม่เห็นเป็น ปัญหาอะไร มันก็เป็นความเจริญธรรมดา ใส่ใจในการศึกษา ไม่เห็นเป็นอะไรนี่ ก็รับฟังไป ศึกษาไป แล้วคุณไปเอา คุณจะไม่ลงทะเบียน คุณจะไม่ขอเป็นหลักเป็นฐานอะไร แต่ได้ความรู้ ไม่ได้มี คะนงคะแนนอะไร แล้วเขาไม่ได้ไปเก็บคะแนน ก็ไม่ได้คะแนน เท่านั้นเอง

แต่คุณได้แล้วมี ความเจริญ เพราะฉะนั้น ที่นี่เหมือนกันเด็กๆจะมา ถ้าเผื่อว่าใครว่าง ไม่เถล ไถลอะไร มาศึกษา มานั่งเรียนด้วย ไม่ใช่นิสิตลงทะเบียนก็ไม่เป็นไร เรียนได้น่ะ ส่วนนิสิต ลงทะเบียนก็รู้แล้วว่า เรากำหนดลงไปแล้ว เราก็ต้องใส่ใจทำให้จริงกว่า เพราะเราลงทะเบียน เป็นผู้ที่ตั้งใจว่าเหมือน สัญญา กันแล้วนะ ต้องทำให้จริง ขนาดคนลงทะเบียนแล้ว ยังไม่จริง แล้วมันจะได้เรื่องอะไรละ ส่วนคนเขา ไม่ลงทะเบียน ก็ช่างเขาเถอะ แต่เราลงทะเบียน นี่เราต้องเอาให้จริงน่ะ ถ้าเผื่อว่าทำได้ตามเกณฑ์ ที่เขามี ว่าเท่านั้นเท่านี้นะ ๔ ปีจบนะ เท่านี้ ยูนิต เอาให้มันครบนะ แล้วก็จบนะ มันก็ยิ่งยืนหยัดน่ะ

เอ้าเอาละเรื่อง..ของอันนี้น่ะ สัมมาสิกขาลัยก็ไม่นานหรอก เดี๋ยวอาตมาจะค่อยๆ พยายาม ทำเรื่อง ให้มา ให้มันเป็นหลักเป็นฐาน เป็นเรื่องเป็นราวอะไรก่อนมา

ส่วนเรื่อง อีกเรื่องหนึ่ง ที่จะพูดก็คือเรื่องปัจจุบัน ในขณะนี้นี่นะ คือเรื่องของผู้ที่มานี่ นี่เรื่อง จุลินทรีย์ นี่นะ ที่มานี่อาตมาอยากให้พวกเราได้ใส่ใจพากเพียรดู อาตมาเคยพูดนะ ต่อไปอนาคต นี่เรื่อง จุลินทรีย์นี่ จะเป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าจุลินทรีย์นี่เป็นพลังงานพิเศษ ของธรรมชาติอันหนึ่ง ที่ใช้ได้ผล ทั้งดีทั้งร้าย ได้ผลทั้งดีทั้งร้าย อาตมาก็เคยเปรยแล้ว แล้วคนอื่น ก็เคยพูดมาแล้ว ต่อไป อาวุธที่สำคัญ นี่ลูกระเบิด ลูกระเบิดจุลินทรีย์ อาวุธทำ (ลาย)ร้ายอาวุธ ทำร้ายที่เป็นอาวุธ จุลินทรีย์ มันจะไปทำงาน ยิ่งกว่า ไอ้อะไรพวกนั้นอีก เพราะว่าจุลินทรีย์ มันมีตัววิญญาณ กำหนด มันมีตัวพลังงานกำหนด เพราะฉะนั้น จุลินทรีย์ประเภทไหน มันก็จะไปทำตามหน้าที่ของมัน อย่างเดียว

ทีนี้คนรู้ว่า จุลินทรีย์ชนิดนี้ มันไปทำงานอย่างนี้ มันกำหนดได้ แล้วมันไปเองได้อย่าง แหม มีทิศทาง ด้วยนะ เพราะฉะนั้น มันจะร้ายกาจกว่าแก๊ส ร้ายกาจกว่าอะไรต่ออะไรไปอีก เพราะแก๊ส ไม่มีตัว กำหนดตัวเอง จุลินทรีย์มีตัวกำหนดตัวเอง เพราะฉะนั้น เหมือนกับเรา มีโปรแกรมให้ แก่ไอ้ตัวนี้ เรารู้ไอ้ตัวนี้มันติดโปรแกรมอะไร จุลินทรีย์ตัวนี้ มันติดโปรแกรม อะไร เหมือนกับ เรากำหนด สั่งโปรแกรมไว้แล้วมันจะไป เพราะฉะนั้น มันจะทำลายอะไร อันนี้จะทำลาย อะไรต่ออะไร คนจะใช้มันเป็นจุลินทรีย์ มันไม่มีเท่าที่เรารู้ มันมีอีก คนจะค้นพบ แล้วก็จะเอามา ใช้ได้ เพราะฉะนั้น ต่อไปอาวุธร้าย จะเป็นอาวุธจุลินทรีย์ เอาลูกระเบิดจุลินทรีย์ไปทิ้ง ตรงนี้ จะต้องทิ้งลูกระเบิดชนิดนี้ ตรงนี้ทิ้งลูกระเบิดชนิดนี้ หมด ทำลายได้ถูก ไม่เปลือง ไม่ผลาญ อันไหนที่มันไม่ทำลาย มันก็ไม่ทำลาย อันไหน มันทำลาย มันทำลาย ไม่ต้องเอาอะไรมาก อย่าง จุลินทรีย์กินขี้ อย่างนี้เป็นต้น เราก็เอา จุลินทรีย์ไปใส่ในส้วม มันก็กินแต่ขี้ มันไม่ทำลายอื่น อย่างนี้เป็นต้น เอาง่ายๆ นี่พูดแต่หยาบๆง่ายๆ อย่างนี้เป็นต้น

เรื่องนี้ เราจะต้องใส่ใจ นี่มีผู้รู้มาจะให้เรา เพราะฉะนั้น งดงานอื่นก่อน มันไม่กี่วันเอง รับรอง ไม่มีปัญหาอะไร มันไม่ขาด ไม่เขิดอะไร อาจจะบกพร่องไปนิดหน่อย แม้แต่นง แต่นานี่ หยุดงาน กันก่อนก็ได้ ตอนนี้ ถึงวันไหน วันที่ ๔ นี่วันที่ ๒ เหลืออีก ๓ วัน ๓ วันนี้น่ะ แล้วค่อยไปว่ากัน ไปเติมอะไรๆ ก็ไปเติมกันอีกที นิดหน่อยไม่เป็นไรหรอก ไม่ถึงขนาด คิดว่า ๒, ๓ วัน คงไม่ได้ขาด เขินอะไร แต่นี้น่ะโอ้โห ไม่รู้ปีหนึ่ง ๒ ปี ๕ ปี จะได้เห็นอย่างนี้ สักกี่ที มันไม่เหมือนกันน่ะ เพราะฉะนั้น อยากให้พวกเราได้ใส่ใจ

อย่างที่อาตมาเทศน์ไปแล้ว ผู้ใดที่ไม่ถนัดนัก บางทีอาจจะไปถนัด อย่างที่อาตมาว่า บางที เราปฏิเสธสิ่งนี้ แต่ที่จริงเราเองน่ะ เรารู้เรามีอะไรเป็นอันนี้ของเราตั้งลึกๆ นี่มันก็ได้น่ะ ลองดู มาศึกษา มาฝึกฝน มารับซับซาบกันดู เอาก็ทำให้มันเรียบร้อยหน่อย เป็นระบบ ระเบียบน่ะ ไม่ใช่ว่า ตามอำเภอใจ มันมีระเบียบก็เพื่อระเบียบ เราทำ คนเราฝึกฝน ให้มีระเบียบ ให้มีวินัย นี่มันดี มันเป็นเรื่องของผู้ดี ไอ้สิ่งที่ไม่เป็นระเบียบ วินัยเลย ใครจะทำตามใจข้าอีกเหละ เกะกะ ใครอยากจะตะโกนก็ตะโกน ใครอยาก จะแตกแถว ก็แตกแถว อย่างนี้มันเป็นเรื่องของคน ไม่มีวินัย ไม่มีระเบียบนี่ มันไม่ใช่เรื่อง ของผู้ดี ไม่ใช่มนุษย์คลาสสิก ไม่ใช่มนุษย์ศิวิไลซ์ เป็นมนุษย์ อันศิวิไลซ์ (uncivilize) เป็นมนุษย์ ไม่เจริญ มนุษย์เจริญแล้วต้องมีระบบระเบียบ มีอะไรพรักพร้อม มีปฏิภาณ ในการที่จะรับรู้ว่า เอออันนี้ๆ เป็นอย่างไร อยู่ในสภาพที่ลงร่องลงรอยกัน สามัคคี พรั่งพร้อม เป็นอันหนึ่งอันเดียว เป็นอะไรก็ไปกัน อย่างอบอุ่น เป็นไปอย่างเป็นมวล ที่สมาน สมัครสมาน สมานัตตตาอันดีน่ะ อันนี้ก็กำหนดไว้แล้วน่ะ

เดี๋ยวเสร็จจากนี่ก็ใครที่ยังไม่ได้ลงทะเบียนก็ลงทะเบียนซะ เดี๋ยวก็จะได้แจกบัตร ติดหน้าอก ทำอะไรต่ออะไรได้ เข้าหมู่เข้ากลุ่ม ทำโน่นทำนี่กันตามวาระเวลา ส่วนผู้ใด มีงานทำ จะเป็น สมัครก็ได้ แต่ว่ามันมันต้องไป ปลีกไปทำงานนั้น แต่เมื่อมาที่นี่แล้วก็ต้อง เข้ามาอบรมกันอยู่ที่นี่ กันให้พรักพร้อม

ถ้าแม้นว่าจำเป็นจริงๆก็ขอลา เหมือนขอลาครูนะ แหมขออนุญาตนะนี่จำเป็นจะต้องไป กิจนี้ ตอนนี้ อะไรต่ออะไร เป็นกิจจะลักษณะ มันก็ไม่มีปัญหาอะไร วาระสำคัญ แต่ว่าเราจะต้อง ให้เกียรติเขา ว่าต้องใส่ใจ อันนี้ไม่ใช่ว่า ใครอยากเข้าใครอยากออกก็ได้ เหมือนกับสนามเด็กเล่น อะไรอย่างนี้ มันก็ดู มันไม่เป็นโล้เป็นพาย มันไม่เข้าท่าน่ะ ให้มันได้สัด ได้ส่วนอะไรกัน ถ้าทำได้ จริงๆ แล้วเรียนรู้ พยายาม จับให้ได้ว่า มันอะไรกันแน่ แล้วมันเกิดยังไง จะทำอย่างไร ให้สมบูรณ์แบบ อย่างไร สุดท้ายเราจะนำ อันนั้นมาเป็น โดยเฉพาะ ถ้าเราได้มาเป็น พฟด. เพื่อฟ้าดิน ที่ว่านี่มันยังไม่ได้นะตอนนี้ พฟด. มันยังเป็น อะไรอยู่เลยนี่ไม่รู้ อะไรกับอะไรมั่ง ตอนนี้ ก็ยังไป อีเอ็ม อีเอ็มกับเขาอยู่เป็นหลักๆ เราก็ต้อง พยายามประมวล พยายามที่จะรวบรวม มาให้ เป็นกอบเป็นกำ จนกระทั่ง สามารถผลิตเองได้เลย เชื้อต้นแบบอะไรได้อย่างนั้น ไม่รู้นะ ๔ วัน ถ้ามัน ๓ วันทำได้จะเอา เอาได้ไหม ถ้าเอาได้เอาเลยนะ อย่างอาจารย์พรยืนยันว่าเอาได้ ก็ต้อง พยายามกันดูน่ะ ใครสามารถ ใครจะมีปฏิภาณ มีความมี genious น่ะ มีตัวเด็ดเด่นๆเด็ดๆ แสดงออกด้วย เอาให้ศึกษา เอาให้ได้น่ะ เอ้าๆ เชิญๆ


รศ.อาภรณ์ ภูมิพันนา : ที่กราบเรียนว่าทำได้ก็เพราะว่า มันเป็นของภายในพื้นที่ ของใคร ก็ของใคร ที่ไหนๆก็มี เพียงแต่ว่าเราสามารถมีวิธีเก็บมันมา เราก็มีวิธีที่จะเอามันมา ขยายตัว ให้มีปริมาณ มากขึ้น เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์ได้เร็วขึ้น และเป็นวิธีง่ายๆ อย่างเขา จะเก็บจุลินทรีย์ เขาก็เอาแค่ ข้าวสุก ใส่กล่องเท่านั้นเอง ๒ วันมันก็เกิด เกิดการหมักตัว แล้วก็เอาอันนั้นไปใช้ (เนินดิน หรือ น่าจะเข้ามา เข้าคอร์ส) เพราะฉะนั้นอันนี้นี่ถือว่าทำ ได้แน่ๆค่ะ รับรองค่ะ เพราะมันเป็นของ ในพื้นที่ และเป็นของ ในธรรมชาติแท้ๆ

อาตมาก็ว่าอย่างนั้นละนะ คือเราเก็บจากสิ่งที่เป็นจริง สิ่งที่มีจริง แล้วเรามีความรู้ในสิ่งนี้ เท่านั้นเอง แล้วเราเอามาใช้ ถ้ามันเหมาะกับพื้นที่ด้วย ยิ่งดีใหญ่เลย ประเทศไทย ก็น่า จะมี จุลินทรีย์ ที่ของประเทศไทย ที่มันอุดมก็อยู่ในนี่ หรือว่าเป็นตัวร้ายของมันเองก็อยู่ในนี้ ถ้าเรา เรียนรู้แล้ว เราก็พยายามที่จะคัดเลือก มันเล็กมันละเอียด แต่มันก็เป็นชีวะ ชีวะ ที่มันจะต้อง เอามาใช้ที่เรียกว่า จุลินทรีย์ชีวะในระดับนี้ ระดับมันมีฤทธิ์แรงมาก สิ่งที่ใหญ่ มีฤทธิ์อย่างใหญ่ สิ่งที่เล็กนี่ มีฤทธิ์ใหญ่กว่า ไอ้สิ่งที่ไอ้ตัวเล็กนี่ มีฤทธิ์ใหญ่กว่า ไอ้สิ่งที่ ใหญ่อีก ก็มีอีก มันซับซ้อน อยู่ในสังคมโลกมนุษย์นี่ มันมีอะไรซ้อนๆ อยู่แบบนี้ เราต้อง พยายามเรียนรู้น่ะ

นี่มีคำถามมาพอดี เอา เข้าสู่เรื่องถามเลย ตอนนี้ เอ้าปิดที่จะพูด จริต เอาเลย ตอบทันทีเลย ไม่ต้องเสียเวลาตี ๕ แล้ว


 

ถาม-ตอบปัญหา ช่วงทำวัตรเช้าที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๔๐ โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์ ณ ราชธานีอโศก


จริตพี่น้องที่แตกต่างกัน พ่อท่านสอนให้เกื้อกูลกัน วิธีเกื้อกูลยากจังเลยค่ะ เพราะใน ความต่าง มีทั้งความขัดแย้ง และขัดเกลากัน หากจะเกื้อกูล หากจะสมานให้ง่ายขึ้น คือ อย่างไรคะ

ตอบ : คือวางใจไง คือใจเรานี่แหละ ใจเรานี่เป็นตัวผีร้าย ใจเรานี่คือตัวขัด ตัวแย้ง มันไม่ยอม มันไม่ยอมๆ มันไม่ยอมจริงๆนะ มันไม่ยอม ทีนี้ถ้าไม่ยอม เป็นตัวที่ไปขัดแย้ง มันจะเห็น ไม่ยอมแล้ว มันตัวใจเราขัดมันเห็น ทีนี้ไม่ยอม มันมีลักษณะหนึ่ง มันคือ แกล้งยอม ไม่ใช่ กล้ายอมนะ แกล้งยอม ไอ้แกล้งยอมนี่คือยังไง บางทีมันบอกเราว่า ยอมเถอะวะ แต่ความจริง ใจลึกมันไม่ยอมนะ เพราะฉะนั้น ก็เอ็งทำของเอ็งไปสิกูไม่เกี่ยว กูไม่ขัดเอ็ง ก็ดีแล้ว แต่แกล้งยอม ความจริงไม่ยอม ถ้ายอมแล้ว เราผสานผสมกันได้ ถ้ายอมวางทิ้ง ไปเลยไอ้สิ่งนั้น ไม่มี เราก็ต้องมี สิ่งที่มี ขณะนี้ปัจจุบันนี้อะไรมี เราอยู่กับหมู่ ก็คือหมู่ หมู่ก็มีเราก็มามีด้วย นี่ ก็คือ เราไม่แกล้ง ยอมรับ ยอมกล้ายอม ไม่ใช่ยอม แต่ข้าไม่เอากับเอ็ง ไอ้นี่มันไม่ยอมอยู่ ลึกๆเห็นไหม เห็นไหม ไม่ยอมอยู่ลึกๆ

ลักษณะนี้นี่ คนบางคนก็ยังรู้สึกว่า นี่เรายอมแล้วนะ ก็จะทำก็ทำไปซิ แต่เรา ไม่ทำด้วยเท่านั้น เอ็งก็ทำไป ข้าไม่ดูดำดูดี บางทีมันไม่อย่างนั้นน่ะ แกล้งยิ่งกว่านั้น แกล้งยิ่งกว่านั้น คืออะไรน่ะ เอ็งทำข้าไปทำด้วย แต่ในลีลานั้นข้าจับผิด ข้าจะดูเอ็งน่ะ ข้าจะว่าเอ็ง อะไรมันดีไม่ดี ข้าจะขัดในที ข้าจะขวาง ในที ไอ้นี่ยิ่งร้ายกว่า เอ็งทำไปเถอะ ข้าไม่เกี่ยว ไอ้นั่นยังไม่มานั่งจับผิด หรือไม่มานั่งขวาง นั่งขัดอะไรในที ในท่าอะไร นี่แกล้งยอม อย่างที่เรียกว่า ยิ่งบอกว่าข้ายอม ข้าจะทำด้วย ถ้าพลาด เมื่อไหร่ ข้าฮื่อ เอาเอ็งแน่ ข้าจับผิดแกอยู่ ข้าก็ทำด้วย หือ ว่ากูว่าแล้ว สายกูว่าแล้วนี่ ซ้ำเติมเลย ประเภทซ้ำเติมเลย นี่แหละคือ พวกที่แกล้งยอม เพราะฉะนั้น พยายามศึกษาจิตตัวนี้ ตัวผีร้าย พวกนี้ดีๆ ยอมคือยอมวางใจบริสุทธิ์สะอาด ว่าเออ เอาอย่างนี้ ก็ว่ากันไป แล้วก็ทำร่วมกัน สามัคคีกัน น่ะ เพราะฉะนั้น การจะเกื้อกูล กันได้ ก็ต้องปล่อย ตัวนี้จริงๆให้สนิท ที่จะเกื้อกูล หรือว่าจะประสาน ประสานประสมกันได้ สนิทเนียน หัด ไม่หัดไม่ได้ ต้องหัดอ่านจิตจริงๆเลย จิตจริงๆโอ้โห มันยอดดื้อ ยอดหลบ ยอดเลี่ยง ยอดทำให้เราโง่ ยอดอวิชชาเลยนะ จิตตัวนี้


ถาม : กรรมการสหกรณ์บุญนิยมราชธานีอโศกจำกัด ปัญหาหนี้สิน หรือวิธีการใช้เงิน จะถึงกับ ติดคุกไหมคะ

ตอบ : โอ้โห กลัวเลยหรือถามมานี่ เป็นกรรมการของแผนกไหน ถ้าจะติดคุก ประธาน สหกรณ์ จะเป็นผู้ติดก่อน จำเลยที่ ๑ รองประธานเลขาก็จำเลยที่ ๒ น่ะ เพราะฉะนั้น กรรมการนี่ ยังเป็น จำเลย รุ่นหลังๆไปไม่ต้องตกใจหรอก ในนี้ ประธานก็ไม่อยู่ รองประธาน ก็ไม่อยู่ เลขาก็ไม่อยู่ เพราะฉะนั้น คุณยังเป็นจำเลยหลังๆ ติดคุกช้ากว่าเขา ถึงติดก็เบากว่า เพราะฉะนั้น อีกไกล ไม่ต้องตกใจ มีผู้นำหน้าอยู่แล้ว ในเรื่องติดคุกน่ะ กรรมการสหกรณ์ บุญนิยม ราชธานีอโศก จำกัด ปัญหาหนี้สิน หรือวิธีการใช้เงิน จะถึงกับติดคุกไหม มันไม่ได้ติดง่ายนักหรอก พวกเรานี่ ยังไม่ได้ไปทำ ไอ้โน่นไอ้นี่อะไร นักหนา ถึงแม้จะแพ้คดี นะนี่ สมมุติกันร้ายๆ เราก็ยังจะต้อง รอลงอาญากันอีก ไม่ต้องห่วงนักหนาหรอกน่ะ

อย่างจะซื้อที่นี่ เราก็ไม่ได้โกง เรายังไม่ได้ใช้หนี้เขาเท่านั้น เรายังไม่ได้โกงนี่ ก็ผ่อนใช้เขา เมื่อวานนี้ ก็ไปผ่อนเขาไปแล้ว ๕ แสน ค้างอยู่อีก ๗ ล้าน ๕ เท่านั้น พูดให้มันสบายๆซี เรื่องอะไร ไปว่าตั้ง ๗ ล้าน ๕ นั่นโอ๊ยไม่ต้องไปพูดหรอก บอก ๗ ล้าน ๕ เท่านั้นน่ะ อีกไม่ช้า ไม่นานหรอก ไม่ถึง ๑๐๐ ปีก็ใช้หมด จะกลัวอะไร ค่อยว่าไปน่ะ เขาไป ประนอมหนี้ เมื่อวานนี้ ก็แทบแย่ แกจะไม่รับ แกจะเอาล้านหนึ่ง โอ๊น่าดู เขาก็ว่ากันไป กันมา จนสุดท้าย เซ็นรับเอา ๕ แสนก่อนก็ได้ ก็เป็นธรรมดา เราไม่ได้อยาก ติดหนี้เลยนะ

อาตมานี่เป็นคนที่พยายามสอนพวกเราว่า ไอ้เรื่องหนี้น่ะนะ เราจะต้องสร้างเครดิต ให้เหนือ เครดิต แม้แต่การค้าอาตมาบอกว่า อย่าไปเซ็นมา อย่าไปเครดิตเขามา เขาให้ เครดิต ๓ เดือน ๕ เดือน ๖ เดือนอะไร อย่าไปนึกว่าเราได้เปรียบ อย่าไปมีนิสัยอย่าง ทุนนิยม มีนิสัยอย่างบุญนิยม บุญนิยมคือ ไม่เป็นหนี้

ปลอดหนี้ ไม่มีดอกเบี้ย เฉลี่ยทรัพย์เข้ากองบุญ

โอ๊ช่างตั้งโศลกให้ท่องให้ยืนยันอะไรกันอยู่ตั้งมากตั้งมาย ต้องเอาให้ชัดๆ

ถ้าเผื่อว่าเราเองเราเข้าใจในสิ่งเหล่านี้อย่างลึกซึ้งแล้วนะ หัดฝึก อย่าไปทำ นิสัยมักได้ นี่เราได้เครดิต ๓ เดือน ๕ เดือนได้นิดหนึ่งก็เอาดี เดี๋ยวนี้เซ็นจะจ่ายเช็ค แสนหนึ่ง หรือ ล้านหนึ่งล่วงหน้าไว้วันหนึ่งก็เอา ทั้งๆที่มันไม่ได้อะไรนักหนา ก็เอา ก็เอาวะเซ็นล่วงหน้า สั่งจ่าย วันนั้นวันนี้จ่าย แล้วเป็นเล่ห์เหลี่ยมนะ คนจ่ายเช็ค นี่มันรู้ จะจ่ายให้คุณ คนที่ไม่ค่อยรู้ ยิ่งไม่ค่อยรู้นี่ยิ่งโดนเลย เขียนวันที่ล่วงหน้าไว้เลย แทนที่จะจ่าย จะจ่ายให้นี่ รับไปแล้ว ไปรับได้ ฟังอย่างพรุ่งนี้นี่นะ ไม่หรอกลงไว้แล้ว ๓ วัน ๕ วัน ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ตีกิน ไปหลายวันเลย มันแกล้งอย่างนี้นะ มันเล่ห์เหลี่ยมอย่างนี้ ถึงขนาดนี้เลยน่ะ ไม่จ่ายง่ายๆ อย่างนี้เป็นต้น เช็คได้ไปแล้วนะ ไอ้คนไม่รู้นึกว่าได้แล้วนะ ไม่รู้ดูวันที่ ไม่เป็นนะ ไปถึง เอ้ายังไม่จ่าย นี่เช็คนี้หลายวันไปเสียเวลามาอีก บางทีมันก็รู้ ว่าเอ๊ยคนนี้ มันไม่ท้วงหรอก ๓ วัน ๕ วันมันไม่ท้วง มันก็เขียนเอาอะไรพวกนี้ มันเป็นเรื่อง อย่ามักได้

ถ้าเราไม่ไปค้างหนี้ใครนะ ลองดูสิในการค้านี่นะให้สดๆ ให้สดโอ้โห ! คุณเอ๊ย ทำจน กระทั่ง เขาบอกว่า ไอ้มือนี้เชื่อเลย ไม่มีละนิสัยแบบนี้น่ะ ไม่มีค้างไม่ยอมค้าง ให้ค้าง ไว้ ๕ วัน ๒ วันนี่ ยังไงมันก็ไม่ค้าง แล้วเราก็ทำได้อย่างเด็ดขาดเลยนะ รับรองไอ้คนนี้ ถ้าจะไป ขอค้างหนี้ สักเท่านั้น เท่านี้ เอาไปเลย เจ้าประคุณเอาไปเลย เครดิตเหนือเครดิต พวกนี้ นี่แล้วเราไม่อยาก ให้เป็นเรื่องที่ว่า ไปเป็นหนี้เป็นสิน กันน่ะ เราไม่ต้องไปเป็นหนี้นี่ ลองดู ลักษณะบุญนิยมนี่ จะต้องเห็นเลยว่า ความไม่เป็นหนี้ใครนี่ เป็นยอดเลิศกว่า เครดิต ส่วนทุนนิยมนี่ โอ้โห เห็นไหมนี่ ฉันเป็นนักธุรกิจชั้นยอด แบงก์นี้ไปพูด บอกว่า ไหนขอเบิก มาก่อนซิ สัก ๑๐๐ ล้านได้ทันที เขาถือว่าเขายิ่งใหญ่ เขาถือว่าเขามีเครดิต ยอดนักเครดิต ใครก็เชื่อถือเขาทั้งนั้นเลย ทุนนิยมเขาถือว่า อย่างนั้นคือความสำเร็จ อันยิ่งใหญ่

แต่ บุญนิยม จะมุมกลับเลย ฉันจะไม่ไปเป็นหนี้ใครเลย ทุกคนจะต้องถือศักดิ์ศรีอันนี้ อย่างสำคัญ นี่คือยอดเครดิต ต้องทำให้ได้ ถ้าจุดเด่นอันนี้หรือว่า จุดจริงอันนี้ทำไม่ได้นะ ล้มคว่ำทุนนิยมยาก เหมือนกัน ล้มคว่ำยาก ทำให้ได้ให้อยู่รอด มีเท่าไหร่ใช้เท่านั้น จะเอา สินค้ามาขาย เรามีเงินเท่านี้ ซื้อมาเท่านี้ มันจะเมื่อย ไปเทียวหลายครั้งหลายคราว จะหมดแล้วก็ต้องรีบ ต้องไปเอาอีก ก็ต้องรีบ มีทุนรอนเพิ่มขึ้น ก็ค่อยเพิ่มขึ้นมา ถ้าสินค้า ชิ้นนี้ดีขายดี มันก็จะเพิ่มขึ้นมาเอง ใช่ไหม แล้วก็มีทุน ไปซื้อเอง ซื้อมากได้มากขึ้น ๆ ขายได้ มากขึ้น เพราะเราขายดี อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันจะเป็นตัวจริง ของมันเอง


ถาม : ขอถามคำถามสดบ้างนะคะ ดิฉันนิสิตพรฟ้า ศรีทองสุดค่ะ ก็อยากจะถามนะคะ ว่าก็ พ่อท่านก็บอกวันนี้ก็สบายใจนะคะ รู้สึกเข้าใจที่พ่อท่านเทศน์บอกนะคะ ถ้าใคร ถนัดอะไร ตอนนี้ ดิฉันก็มีวิชาที่ถนัดอยู่แล้วนะคะ แต่เรื่องนาดิฉันก็สนใจ แต่ว่าอยาก จะให้ปรับปรุง เรื่องเวลากลับบ้าน บางทีก็ ๑ ทุ่มบ้าง ๒ ทุ่มบ้าง ๓ ทุ่มบ้างนะคะ บางที เด็กรออยู่บ้าน เด็กมาขอนอนกับดิฉันนะคะ ลูกเต้านะคะ แล้วก็เด็กก็ไปตำน้ำพริก น้ำแจ่วกินบ้างนะคะ พ่อแม่ ยังไม่กลับมา อันนี้รู้สึกว่าดึก แล้วดิฉันก็รู้สึกแอนตี้ ในจุดนี้ นะคะ อยากจะให้ปรับปรุง แล้วก็อนาคต ก็อยากจะไปช่วยทำนะคะ แล้วก็เมื่อเกิดอย่างนี้ ก็เกิดอาการบึ้งไม่ชอบ ใจ รู้สึกแอนตี้ใจร้อนนะคะ แล้วก็พูดไม่ดี อยากจะโต้แย้ง อะไร สารพัดนะคะ เมื่อก่อนเคยนึกว่า เออ ญาติธรรมชาวอโศก นะคะ เป็นยังไงนะ นะคะ ทีนี้เรามา เราก็สัมผัส เมื่อก่อนรับ หนังสือ เราก็เออหนังสือดีเข้าท่า เราเชื่อความจริงใจ ของสมณะ นะคะ แต่ตอนนี้ ดิฉันก็เข้าใจแล้วว่า เป็นยังไงนะคะ แล้วก็อยากจะทำดีขึ้นมา แล้วก็อยากจะถามพ่อท่าน ว่า เป็นนักปฏิบัติธรรมชาวอโศกที่ดีนี้นะคะ จะต้องปฏิบัติ อย่างไรนะคะ อันนี้ข้อ ๒ นะคะ เพื่อดิฉัน จะได้ไปปฏิบัติให้ดีนะคะ แล้วก็เรื่อง งบประมาณ ทีนี้ดิฉันจะไม่ถามอีกแล้วนะคะ เพราะว่า พ่อท่าน ก็เทศน์บอกว่ามีอะไร ให้เหมาะสมนะคะ บางครั้ง คนที่อยู่ในชุมชน ในหมู่บ้าน นะคะ มีครอบครัว ลูกเต้า ได้รับงบมา เขาก็ให้ให้แม่เขา เขาก็ได้ซื้อของ ทำบุญ ใส่บาตร และดิฉันก็อยาก จะตักบาตร บ้างนะคะ หรือว่าไปซื้อของที่ตลาดบ้าง อันนี้เป็น ความเหมาะสมนะคะ เห็นแล้วค่ะ ว่าพวกเรานี้ จะจี้กันนะคะ จะใช้เชิงบังคับ เหมือนคอมมูนิสต์นะคะ เหมือนเผด็จการนะคะ พ่อท่านก็เทศน์ แล้วก็เอาไปเอามา พ่อท่านก็ อยู่ในลักษณะ ที่ว่ามันบังคับตามที่หมู่กลุ่มพาเป็นนะคะ ดิฉันก็รู้สึกว่า พ่อท่านน่ะ เข้าใจพ่อท่าน พ่อท่าน ก็เทศน์ดีนะคะ ค่ะ แล้วดิฉันต่อไปนี้นะคะ ก็รู้สึกว่า ก็อยากจะ ทำอะไร ด้วยความที่เรา สบายใจ เราก็เหมาะสมมักน้อยสันโดษ ปฏิบัติลดละไปเรื่อยๆ นะคะ ที่ถาม ก็มีเรื่อง อยากจะให้พ่อท่านช่วยเทศน์ เกี่ยวกับนักปฏิบัติธรรมที่ดีของชาวอโศก ที่เป็นตัวของ ตัวเองค่ะ

ตอบ : เอ้าตกลงนั่นน่ะ ฟังแล้วคือคำระบาย ไม่ใช่คำถามหรอก เป็นคำระบาย และ อาตมาก็ตอบ ไปแล้ว โดยเทศน์ไปแล้ว ตามที่พูดมาแล้วนั้นด้วยน่ะ ให้เทศน์ให้สอน ก็เทศน์ไป อยู่ตลอดเวลา ตามวาระที่ควรเหตุไหนสำคัญ เรื่องไหนสำคัญ ก็หยิบมาพูดขึ้น ซึ่งมันไม่มีเวลาพอ ที่จะเทศน์ ทุกเรื่องได้หรอก ก็เทศน์ไปแล้วสอนไปแล้ว อะไรต่ออะไร ไปแล้ว สรุปแล้วที่พูดนี่คือ คำระบาย ขณะนี้กำลังมาก กำลังสับสนหลายๆอย่าง ก็ค่อยๆ อย่าพึ่ง ไปยึดติดน่ะ คำตอบ รวมตอบให้แก่พรฟ้า ก็คือว่า..

ตอนนี้พยายามดูหมู่กลุ่มส่วนรวม อย่าไปเอาปลีกย่อย เป็นข้อเปรียบเทียบกับตัว รวมค่ารวม มันจะยุ่ง เพราะตัวปลียย่อยมันจะเยอะ เพราะฉะนั้น เอาค่ารวมเป็นหลัก ความพรั่งพร้อมของหมู่ เขาเป็น อย่างไร เราเอาอันนั้นมาเป็นหลักก่อน อย่าเพิ่งไปแย้ง ในส่วนตัว คนเรานี่ถ้าเผื่อว่า มันจะเห็นอะไร ที่แตกต่างหรือขัดแย้งนี่ ไม่ต้องไปบังคับ มันหรอก มันรู้ทุกคนแหละ โดยเฉพาะไอ้ตัวกิเลส ตัวยึดของตัวเองน่ะ มันยิ่งตั้งหลักเลยนะ ถ้ามันชอบอันนี้ หรือว่ามันยึดอันนี้แล้วมันเอามาแย้ง ไม่ต้องไปบังคับมันหรอก ไม่ต้อง จะต้องไปดันมันหรอก มันตัวสำคัญน่ะทุกคนน่ะ ไม่ว่าใครน่ะ ไม่ว่าใคร มันมีของตัวเองอยู่ ไอ้ตัวนี้ต่างหาก ต้องแก้มัน ไม่ต้องไปส่งเสริมมัน มันต้องบังคับมัน เอ็งนี่มากนัก เอ็งอย่า มากนักตัวนี้ ก็คือ สรุปแล้วภาษาที่พูดนี่ก็คือ ตัวกูของกูนั่นแหละ มันเป็นตัวกูนี่ มันร้ายกาจนัก เพราะฉะนั้น เอาหมู่ดูซิ ถ้าเราเอาหมู่ จะเป็นการลดตัวกูของกู ถ้าเอาหมู่ ใช่ไหม

อาตมาเคย นี่ก็เทศน์มาทุกวัน หมู่นี้โง่หรือไงหมู่นี้ไม่ฉลาดน่ะ หมู่นี้โง่หรือไง หมู่นี้ทำดี หรือทำชั่ว หมู่นี้ ไม่ดีที่สุดหรือ นี่อาตมาก็เทศน์มาหมดแล้ว อาตมาว่าหมู่นี้ไม่โง่นะ แล้วหมู่นี้ ไม่ได้รักชั่วนะ รักดี แล้วก็เลือกดี ดีอย่างนี้แหละ เราเอาดีอย่างนี้ แล้วอาตมา ก็พูดอีกว่า "ยก" ก็แล้วแต่นะ ก็ว่าหมู่นี้ ดีที่สุดแล้วน่ะ เพราะฉะนั้น อาตมาก็เทศน์ ไปหมดแล้ว ถ้าหมู่นี้ไม่ดี ก็ไปหาหมู่อื่นได้ ไม่ได้ไล่นะ ก็พูดอย่างจริงใจน่ะ ไม่มีปัญหา อะไรหรอก ไปหาหมู่อื่นได้ เพราะฉะนั้น คุณลองเทียบดูซิว่า หมู่นี้ เออมันก็ไม่มีหมู่ไหน ดีที่สุด เมื่อไม่ดีที่สุดก็ จำนนแล้วนี่ เพราะฉะนั้น หมู่นี้ดีไหม ดี ก็เอาซิเล่า หมู่ก็คือ เอาค่ารวม ของหมู่น่ะ ทำมันก็ต้อง ดี ค่ารวมของหมู่ หมู่ต้องเห็นว่า นี่ดี แล้วหมู่นี้ ได้คิดกันไหม ก็มันคนโง่รวมกันอยู่หรือ ไง ก็หมู่นี้ มันก็มีคนฉลาดกันทั้งนั้นอยู่รวมกัน ตัดสินกันออกมาแล้วก็เอาซิ ก็คนฉลาดด้วยกัน ถ้ามันไม่ยอมกัน มันก็ต้องค้านกันอยู่แล้ว ตกลงมันก็ต้องมีมติ ค่ารวมก็คือ คนส่วนใหญ่ เป็นคนเห็นว่า เอาอย่างนี้ นั่นคือมติใช่ไหม มันก็จบแล้วนี่ จะเอายังไงอีกละน่ะ

ถ้าเผื่อว่าผู้ใดกล้าละตัวตน เอาค่ารวมความเห็นรวมของหมู่หรือมตินี่ เป็นหลักนะ โอ๊คนนั้น ไม่ต้องยากเย็นเลย เพราะฉะนั้น ใครมีอัตตา มีตัวกูของกูอยู่กับหมู่นี่แหละ ทั้งๆที่หมู่นี้ก็ไม่โง่ หมู่นี้ก็ดี หมู่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว ไม่มีหมู่อื่นดีกว่า เราก็ยังมีตัวกูของกู ถ้าคุณไม่ใหญ่กับหมู่นี้ คุณก็ไปหา หมู่อื่น ที่ดีกว่าได้ ถ้าเลือกไม่ได้แล้วจงยอมรับว่าหมู่นี้ดี และหมู่นี้ไม่โง่ หมู่นี้ฉลาด ใช่ไหม นี่เป็นคำตอบ ที่จบหรือยัง อาตมาว่านี่กลั่นคำตอบ มาให้ฟังจบแล้วนะ สำหรับสังคม หรือหมู่กลุ่ม มันเท่านี้ อาตมาว่าสุดยอดที่จะแก้ไข

ถาม : คือก็อยากจะกราบเรียนถามพ่อท่านนะคะ เกี่ยวกับเรื่อง อันนี้ก็มีความรู้สึกว่า มาทำงานนี้ เราก็ยังทำงานในด้านการศึกษานะคะ ก็อยากจะทราบความชัดเจนที่ตัวเอง ยังข้องคาใจอยู่นะคะ คือพ่อท่านพูดมาถึงการเอาหมู่นี่ คือในส่วนตัวของตัวเองนี่ มีความรู้สึกว่า ไม่อยากเป็นคนที่เผด็จการ ไม่อยากที่จะเป็นอย่างนั้น (ก็ถูกแล้วดีแล้ว) แต่ใน ลักษณะ ลีลาของเรานี่ บางทีมันมันรู้สึกว่า มันจะออก ในเชิงนั้น (นั่นแหละๆ เราต้องเรียนรู้ กายกรรม วจีกรรม มันมาจากมโนของเรา มันแหม ซ้อมเป็นนักเผด็จการ มาตั้งกี่ชาติ ไม่รู้นั่นแหละๆ) ก็คือ ก็อยากที่จะทราบในนัยที่ว่า อย่างในลักษณะ บางครั้งนี่ ก็พยายาม ที่จะเอา ความเห็นของหมู่กลุ่มที่จะลงมติ แล้วก็ปฏิบัติไปตามนั้นนะคะ แต่บางครั้ง ในการเข้าประชุม บางทีเราเสนอแนะความคิดของเราอะไรออกไปนี่ จริงๆแล้วนี่ คือคือ ก็ตั้งใจ ที่จะแสดงทัศนคติของตัวเองออกไป ทีนี้การแสดงทัศนคตินั้น อาจจะแสดง ในลักษณะที่ว่า ลีลานี่มันอาจจะค่อนข้างที่คิดดูแล้ว มันเหมือนแข็งๆ อะไรอย่างนี้นะคะ

ก็เอ้าก็คุณรู้ทั้งนั้นแล้วนี่ คุณก็ปรับก็แล้วกัน ไอ้ที่พูดมานี่รู้

แต่ในลักษณะที่ว่า พอเราแสดงออกไปนี่ ทีนี้ก็หมู่ก็ไม่ได้มีความเห็น คนอื่นนี่ อาจจะไม่มี ความเห็น ขัดแย้ง เราก็เอาเอาความคิดของเรานี่ ไปปฏิบัติต่ออย่างนี้นะคะ

ตอบ : เอ้าเขาไม่ขัดแย้งแล้วก็ถือว่าใช้ได้น่ะสิ ก็ไม่เป็นไร (อย่างนี้ถือว่าไม่เผด็จการนะคะ) ถ้าหมู่ เขารับได้อย่างนี้เขาไม่ขัดแย้ง อาตมาพยายามบอกว่า ในเวลาประชุม เวลาจะมี อะไรกัน พูดกัน ให้เข้าหมู่กัน แล้วนี่มีอะไรพูดมาให้หมด เมื่อพูดมาให้หมด ให้จริงใจ เมื่อหมดแล้ว ไม่มีอะไรขัดแล้ว มติออกมาปัง ก็ถือว่าไอ้นี่คือวิธีการที่สุดยอดแล้ว ก็สำเร็จ แล้วนี่ จะไปบอกว่าเอ๊ยอย่างนี้ๆ เรายัง ขัดแย้งอยู่ ไม่แสดงออกมา อย่ามานั่งพูดนอกเวที ในเวที ก็ต้องทำตามนั้น

ค่ะ คือบางเรื่องนี่ พอเวลาเราปฏิบัติงานไป บางเรื่องมันเกิดปัญหาขึ้นมาอย่างนี้ นะ แต่เราก็แสดง ความคิดเห็น ก่อนที่จะเข้าประชุม คือในความรู้สึกที่แสดงความคิดเห็นออก ไปว่า มันรู้สึกว่า เออ อยากจะให้ปฏิบัติกันอย่างนี้นะ ตามแนวทาง ตามทิฏฐิของเรา

ในขณะนั้นเพราะเราเอง เราสามารถใช้ได้ทำได้ แล้วก็หมู่ก็เอาด้วยทันที ถ้าเมื่อเวลา เราอย่างนี้ มันเป็นวาระจร สมมุติว่าเราอยู่กับหมู่ ตอนนี้เราทำอันนี้อยู่ ถ้าเราได้รับแต่งตั้ง เป็นผู้นำ ตอนนั้น ใช้เหมือนกับเผด็จการ หรือเหมือนกับเป็นผู้ดูแลเป็นคำสั่ง เหมือนแม่ทัพ นี่ออกไป เวลารบแล้ว ก็เด็ดขาดอย่างนี้เป็นต้น มันก็ต้องใช้บ้าง ถึงแม้อย่างนั้นก็ตาม ถ้าเราใช้แล้วนี่นะออกไปนี่ คนอื่น เขาไม่เห็นด้วย นี่หมู่ที่หลายๆคน เขาก็จะออกเสียง ซ้อนอยู่ในขณะนั้น เหมือนกับประชุม โดยธรรมชาติเป็นได้ แล้วยิ่งจะขัดแย้งมา แม้บางที คนเดียวแย้ง ก็จะมีได้ เพราะว่าถ้าอิสรเสรีภาพแล้ว ไม่ใช่ว่า ถ้าเป็นคำสั่งคือคำสั่ง คุณเอง คุณต้องรู้เลยว่า ตอนนี้นี่เป็นวาระจรอย่างนั้น กำลังทำงานนี้อยู่ คุณได้รับแต่งตั้ง เป็นหัวหน้า แล้วก็ตาม ดูแลนโยบาย ดูแลควบคุมทุกอย่าง คุณบอกว่า เออ ทำอย่างนี้นะ สมมุติว่า สั่งออกไป เอาอย่างนี้นะ เออเอาอย่างนี้

ถ้าเป็นอิสรเสรีภาพคนเหล่านั้นฟังแล้วก็ว่าเอ๊ คำสั่งมันไม่ชอบมาพากลนี่ เขาก็จะเสนอ แย้งขึ้นมาเอง ถ้าอิสรเสรีภาพ แต่ถ้าเผด็จการยอดเยี่ยมแน่นอน มันก็จะไม่กล้าแย้ง ถ้าเผด็จการอย่าง absolute อย่างไอ้นั่นนะเขาก็ไม่กล้าแย้ง แต่ถ้าเผื่อว่าสังคมใดนี่ ไม่ได้สอน เผด็จการ absolute อย่างนี้นะ ขัดแย้งได้ เรียกว่าขอเสนอความเห็นแย้ง ความเห็นอันอื่นบ้าง มันก็จะกล้าแสดงความเห็นแย้ง แสดงความเห็นแย้งนั่นออกมา คุณต้องฟัง เมื่อคุณไม่ใช่ เลือดเผด็จการ คุณก็ต้องเออจริงด้วย มีข้อมูลอะไรก็ว่ากันไป ถ้ายิ่งหลายคนขึ้นมาปั๊บ คุณจะต้องนิ่งแล้ว โอ! อย่างนั้นเราจะต้องมาทบทวน คำสั่งอันนี้ หรือว่า เราจะให้อันนี้ มันไม่ได้ มันจะเป็นธรรมชาติของมัน

ถาม : คือถ้าเราทบทวน คือถ้าเราฟังในขณะนั้นแล้ว แต่เรามีความคิดว่า เออเอ๊ ความคิด ของเรานี่ มันน่าจะดีกว่านะ แต่มันหาข้อยุติตอนนั้น ในความคิดของตัวเองไม่ได้ เราก็เอา เข้าหมู่อีกที

ตอบ : นั่นแหละ มันต้องอาศัยกาละ อาศัยกาลเวลา ถ้ากาลเวลานั้นมันเร่งด่วน ที่จะต้อง ทำอย่างนี้ๆ ก็ปรึกษากันทันที เท่าที่เราจะมีเวลาทำได้ มันจะเป็นวิธีการที่จะไปชำนาญ กันเองแหละ มันจะค่อยๆ ศึกษา เพราะฉะนั้น ข้อสำคัญเป็นแต่เพียงว่า เราลดการถือตัว หรือ ถือของตัวไว้ให้มากๆแล้ว ทุกอย่างมันจะปรับตัวของมันไปเอง แล้วมันจะไปตาม ธรรมชาติ

ถาม : คืออยากจะให้พ่อท่านแสดง อธิบายความแตกต่าง ระหว่างอาณากับคำสั่ง

ตอบ : อาณากับคำสั่งอันเดียวกัน อาณาเป็นภาษาบาลี คำสั่งนี่ก็คืออาณา อาณาแปลว่า คำสั่ง

ถาม : ทีนี้คำสั่งกับเผด็จการนี่..ข้อแตกต่าง

ตอบ : คำสั่ง เผด็จการ เอ้าตรงนี้ได้ คำสั่งกับเผด็จการนี่ เผด็จการ เป็นความหมายรวม หมายความว่า สั่งแล้วต้องสำเร็จในคำสั่ง ใครค้านไม่ได้น่ะ เผด็จการ หมายความว่าอย่างนั้น ถ้าได้สั่งแล้ว ก็อำนาจ บังคับเลย แล้วก็มักจะใช้อำนาจบังคับ เป็นคนที่จะต้องใช้อำนาจบังคับเสมอ และคำสั่งของผู้บังคับ คำสั่งของผู้นั้นเป็นเด็ดขาด เรียกว่า เผด็จการ

ส่วนคำสั่งนั้นเป็นคำกลางๆ เมื่อเราได้รับตำแหน่งหน้าที่ให้เป็นผู้ออกคำสั่ง เราก็จะสั่งน่ะ เมื่อได้รับ หน้าที่ ออกคำสั่ง เราก็จะสั่ง แม้จะมีการขัดแย้งขึ้นมา คำสั่งนั้นเราก็จะฟัง นี่ คือ ผู้ไม่เผด็จการน่ะ เราสั่ง แต่มีผู้ค้านแย้ง เมื่อกี้อธิบายว่า จะมีการแย้งกันเป็นธรรมชาติ แม้คำสั่ง แล้วคำสั่งนั้น มีผู้แย้ง ขึ้นมาเราก็จะฟัง เมื่อฟังแล้วเราก็จะต้องถอดตัวถอดตน ไม่ใช่ว่า เอาความคิดเห็นของเราเป็นดีทีเดียว ต้องฟังข้อมูลนั้นมาบวกลบคูณหาร จริงๆ แล้ว ถ้ามันเห็นทีว่า เอ๊เข้าท่าแฮะ มันก็จะต้องยับยั้ง แล้วก็ปรึกษากันใหม่ ทบทวนใหม่

ถาม : ในกรณีที่เราทำกับเด็กนะคะท่าน

ตอบ : กับเด็กหรือผู้ใหญ่ก็แล้วแต่ เด็กก็อย่าไปดูถูกเขาทีเดียว

ผู้ถาม : ค่ะ คือในลักษณะที่ว่า เราออกคำสั่งไปนี่ เราออกคำสั่งไปแต่เด็กเขาไม่ปฏิบัติ ตามคำสั่ง โดยที่เรารู้อยู่ว่าอันนั้นคือกิเลสในการเลี่ยงของเขาอะไรอย่างนี้ บางครั้ง เราต้องใช้ เผด็จการด้วย ใช่ไหมกับเด็ก

ตอบ : อันนั้นเราจะต้องมีศิลปะใช้เผด็จการ คือ ใช้ลักษณะที่จะให้เขาทำตามคำสั่ง ด้วยศิลปวิทยา บางทีก็ใช้แรงๆแข็งๆ ไอ้แรงๆแข็งๆนี่ละ มันคือตัวเผด็จการโดยตรง มันเป็นอำนาจใหญ่ อำนาจ บาตรใหญ่ก็ใช้บ้าง แต่ผู้ที่ชนะด้วยอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เป็นนักบริหาร หรือว่าไม่เป็นผู้ใหญ่ หรือ ไม่เป็นผู้ที่จะสามารถทำอะไร ให้มันดีได้ที่สุด อำนาจบาตรใหญ่นี่ เราไปภาษาไทยนะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ แต่ว่าเป็นอำนาจโดยธรรม ทุกคนเข้าใจ และทุกคนยอมรับ ในคำสั่งหรือคำกำหนด คำกำหนด อันนี้บอก โออย่างนี้เขายอมรับ อย่างดุษณีย์ อย่างเข้าใจ อย่างเคารพเลย นี่เป็นศิลปะชั้นยอด ไม่รู้จะทำอย่างไง จะมีศิลปะ บางทีต้องใช้แรง บางทีต้องใช้หวาน บางทีต้องใช้อะไร ต้องผสมสัดส่วนกันให้ดี ต้องรู้จักกาลเวลาและบุคคล ว่าจะทำยังไง ถึงจะเป็น ผลสำเร็จดีโดยโอ้โห ! ยอดเยี่ยมเลย เพราะฉะนั้น จะมีทั้งในลักษณะของ ความสุภาพ เรียบร้อย หรือหวาน บางทีก็จะต้องร้อนแรง อะไรก็แล้วแต่ มันก็จะต้องใช้ ทั้ง ๒ ลักษณะ

ถาม : และอีกคำถามหนึ่งคือ ที่นโยบายที่จัดการ การศึกษาของราชธานีอโศกนี่ คือ ต้องการ ให้วัด บ้าน โรงเรียนนี้ มีความสัมพันธ์กันนะคะ

ตอบ : แน่นอน

ถาม : ทีนี้ในกรณีที่ว่า เด็กที่เขาอยู่กับผู้ปกครองของเขาที่บ้าน ซึ่งเป็นแม่จริงๆ หรือว่า เป็นพ่อจริงๆนี่ หรือว่าอาจจะเป็นผู้ปกครอง ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์เป็นญาติหรืออะไร ถ้าหากว่า เขาอยู่บ้านหลังนั้นแล้ว เขารู้สึกว่า ปฏิฆะมากๆนี่ ถ้าเราจะในกรณีที่ชุมชนของเรานี่ เราลองเปลี่ยนผู้ปกครองคนอื่นบ้าง คือเปลี่ยนให้คนอื่น ได้มีส่วนเข้ามาดูแลเขาบ้าง อาจจะเปลี่ยนบ้าน ที่เขาคิดว่า เขาไปอยู่แล้วคลาย ความอึดอัดใจ อะไรอย่างนี้นะคะ อันนี้จะได้ไหม แล้วอีกอย่างหนึ่ง อยากจะให้พ่อท่าน ให้ความหมาย ของขอบเขตคำว่า วัด บ้าน โรงเรียน

ตอบ : โอ๊ ! เดี๋ยวต้องเทศน์ไปอีกกัณฑ์หนึ่งเลยนะ วัดบ้านโรงเรียนนี่ มันใช้เวลาน้อยๆ นี่คงไม่ได้ ตอบปัญหานั่นดีกว่า ปัญหาที่บอกว่าจะเปลี่ยนผู้ปกครองได้ไหม อันนี้ก็เป็น ศิลปะ บางทีก็เป็นพ่อแท้ๆ เราจะเอาของเขาออกไปนี่ ก็ที่จริงเอาออกได้ แล้วก็ต้องให้ พ่อแม่เขาเข้าใจ แล้วก็ หรือเรามีศิลปะ ในการที่จะให้เขายอม แล้วก็ออกไป สิทธิของ พ่อแม่เขา มีมากกว่าคนอื่นแน่นอนน่ะ ถ้าจะว่ากันแล้ว ลูกเขาเขามีสิทธิมากกว่า แต่อย่างนั้นก็ดี โดยความปรารถนาดีของเราเห็นว่า เอออยู่กับแม่นี่ แม่สอนลูกไม่ดี ให้ไปอยู่ กับคนนั้น คนนี้สอนจะดีกว่า มันเป็นความปรารถนาดีของเรา เราจะมีศิลปวิธี อย่างไร ที่จะให้เขาให้ เปลี่ยนผู้ปกครอง หรือย้ายผู้ปกครอง

ถ้าเผื่อว่าเราเองนี่นะ มีวัฒนธรรมจริงๆเลยว่า โอ๊! ที่นี่เลี้ยงกันเหมือนลูก เหมือนหลาน กันจริงๆ เลยนะ พ่อแม่ก็จะไม่ติดใจมาก เออไปอยู่กับบ้านโน้นหน่อยจะดีไหม เราใช้วิธี ศิลปะ เล็กๆน้อยๆ อาจจะต้อง อะไรนิดๆหน่อยๆ เพื่อที่จะให้เขาไปอยู่ทางโน้น อบรมกัน ทางโน้น ก็อยู่กับครอบครัวโน้นดีกว่า ลูกก็จะสบายใจ แล้วก็การอบรมสั่งสอน ก็จะเกิด ผลดีกว่าเป็นได้ นี่เรากำลังปลูกฝังวัฒนธรรม อย่างนี้อยู่จริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่า อย่างโลก ทุกวันนี้แล้ว สิทธิของครู แม่ก็บอก ลูกข้าใครอย่าแตะนี่ เดี๋ยวนี้ มันทั้งนั้นเลย อยูในกรุงนี่ อย่าเชียวนะ ขนาดส่งไปให้โรงเรียนแล้ว เป็นครูนี่ต้องสามารถอบรมสั่งสอน ตีเขาได้ อะไรก็ได้นะ แตะไม่ได้เลยนะ ลูกมาฟ้องพ่อฟ้องแม่ที่บ้าน บอกว่า ครูดุ หรือครูตี เอาเรื่องเลย แบบนี้แหละ คือลูกข้าใครอย่าแตะ เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนั้นจริงๆเลยนี่ ถือสิทธิ์มากจริง ๆเลย ในสังคม เมืองกรุงนี่แหละ แล้วก็ถือ เอ๊ยเด็กเราต้องเรียน ต้องเรียน ต้องสอนแนะนำ ต้องนี่ไม่ได้ ดุไม่ได้ เลยกลายเป็น ลักษณะจริงๆ ไม่ดุไม่ด่าก็ดีกว่า แต่ไม่ได้ สอนคนไม่ดุไม่ด่า ไม่ได้หรอก คนมันดื้อ มันด้าน ยิ่งทุกวันนี้ลูกผีมาเกิดเยอะด้วย ดื้อด้านมาก สมัยโบราณ ก็ยังแต่ว่าคนที่จะตีคน หรือว่า จะดุคนนี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ

อาตมาเข้าใจอย่างนี้อยู่นะ แต่ในชีวิตนี่อาตมายังไม่เคยตีนักเรียนสักคนเดียว สอนหนังสือ มาก็เป็นสิบปี ไม่เคยตีนักเรียน แม้แต่น้องอาตมาเคยตีครั้งเดียวในชีวิต ตีน้องคนเล็ก ครั้งเดียวในชีวิต ไม่เคยตี แต่อาตมาเห็นด้วยในการตี อาตมาบอกวิธีการตีอะไรต่ออะไรไว้ ให้ตี เขาก็ตีกัน นี่โรงเรียน ที่อยู่กับพวกเราปฐมอโศก ที่สันติอะไรก็ตี ตีกันอย่างมี ระบบวิธี

เอ้าเอาละอาตมาว่าปัญหาสดมันก็คงอีกยาว อันนั้นอาตมาตอบไม่ไหวหรอก โอ้โห บ้าน โรงเรียน


ถาม : ภาพพจน์วันก่อนคือชาวราชธานีอโศกหนาว (สะบั้น) แต่ดิฉัน ส่วนตัวรู้สึกเฉยๆ เห็นว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรา ฟังพ่อท่านเทศน์แล้วก็ไม่ถูกเรา ไม่ชัดเจนว่าตัวเอง กระด้างหรือเปล่าคะ

ตอบ : เป็นได้ กระด้างได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องดูว่าถ้าเผื่อว่า ตรวจลึกๆแล้วนี่เอ๊ เราเป็นเหตุ หรือเปล่า หรือว่าเราเอง เราไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้สารู้สม ว่าสังคมเขาเป็นอย่างไร คนอื่น เขาเป็นอย่างไรบ้าง เหตุการณ์เป็นอย่างไร เราก็ไม่ตื่นเต้น เออเฉย ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ ก็เป็นคนมะลื่อทื่อ มันมี ๒ นัย ถ้าเป็นพระอรหันต์ ท่านก็ไม่รู้สึกว่าเป็นอะไร แต่ท่านจะรู้ พระอรหันต์ คือผู้ที่ไม่รู้สึกอะไร ไม่รู้สึกว่า ทุกข์ร้อน ไม่รู้สึกบวกสึกลบ แต่จะรู้ ความบวก ความลบ อย่างชัดเจน นั่นคือพระอรหันต์ จะรู้ว่า เหตุการณ์หรือเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นนี่ จะบวกลบรู้ แต่ว่าท่านไม่สะเทือนกับเรื่องบวกเรื่องลบ นั่นคือ พระอรหันต์ ส่วนคนซื่อบื้อนี่ แล้วมันก็ไม่เอาถ่าน มันเป็นยังไงช่างหัวเอง กูไม่รู้เรื่อง มันเป็นแท่งดิน แท่งหิน ไปน่ะ มันต่างกัน ตรงนั้นเท่านั้น ดีถามมา ก็ตอบไปให้ตรวจสอบ

ถาม : ถ้ามีผู้สนใจอยากเป็นนิสิตที่ลงทะเบียนของสัมมาสิกขาลัยวังชีวิต อยากติดเข็ม อยากได้ ปัญญาบัตรขอบทองบ้าง จะมี จะเปิดให้ลงทะเบียนรุ่นที่ ๒ หรือไม่

ตอบ : จะเปิด จะเปิดแล้วค่อยๆว่ากัน เดี๋ยวให้อาตมาไปตั้งหลักอีกนิดหน่อย เอ๊มันรู้สึกว่า มัน เอาเถอะเขาจะอ้าง อยากติดเข็มอะไรก็แล้วแต่ อยากได้ปัญญาบัตรอะไรก็แล้วแต่ รู้สึกว่า มีเสน่ห์ ขึ้นมาหน่อยๆ มหาลัยนี้ มีเสน่ห์ขึ้นมาหน่อยๆก็แล้วกันน่ะ

ถาม : ทำอย่างไรจะให้อยู่ในชุมชนนี้ด้วยความมั่นใจ ในเรื่องสวัสดิการ เรื่องความเจ็บป่วย การพึ่งแก่ พึ่งเจ็บ พึ่งตายกันได้ ขณะนี้เท่าที่เป็นอยู่ คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านนี้ เวลา เจ็บป่วย ไม่สบาย ก็ต้อง กลับบ้านไปข้างนอกให้ลูกดูแล อยากจะให้พ่อท่านให้แนวคิด ให้กำลังใจ ลูกๆด้วย ทำอย่างไร จะลงตัวได้อย่างอบอุ่น

ตอบ : นี่หมายความว่าที่พูดมานี่เป็นลูกๆไม่ใช่ตัวพ่อแม่ แสดงว่าลูกๆนี่ อยากดูแลคนแก่ เพราะคนแก่ เจ็บป่วยแล้วก็กลับไปให้ลูกจริงๆนี่ไปดูแล ไม่ยอมให้ที่นี่ดูแล เพราะฉะนั้น ก็ขอบอก คนแก่ๆหน่อย ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ให้ลูกๆที่นี่ดูแลก่อน อย่าพึ่งรีบไปให้ลูก ที่บ้านดูแลเลย ถ้ามันเดือดร้อน มันไอ้นั่นจริงๆ ก็ให้ลูกๆที่บ้าน วิ่งมาดูแลที่นี่ด้วยสิ นี่เป็นวิธีการน่ะ เอา มัน จะได้ลูกเข้ามาลูก ดึงเข้ามาที่นี่ เพราะว่าอาตมาเชื่อว่า พ่อแม่ที่ มาอยู่ที่นี่แล้ว คงอยากให้ลูกเข้ามาที่นี่แน่ เพราะฉะนั้น ก็ใช้วิธีการนี้ อยู่ที่นี่แหละ เจ็บป่วย ก็วิ่งไปหาลูก ลูกมันก็ได้ใจสิ บอก เอ๊ยเดี๋ยวเจ็บป่วยก็วิ่งมาเองแหละ แม่น่ะอยู่ไม่รอด หรอก มันก็ได้ใจ มันก็ไม่ใช่ เข้าท่า เพราะฉะนั้น พ่อแม่ต้องวางท่าให้ดีหน่อยน่ะ วางท่า ให้บอกว่า เออนี่ให้ข่าวแว่วๆไป เข้าหูลูกน่ะ ลูกมันจะว่ายังไง

ถ้าลูกมันเป็นคนไม่กตัญญู ขนาดมันได้ข่าวว่าพ่อแม่เจ็บ มันก็ไม่มา ตัดมันซะ ไอ้ลูก พรรค์นี้ มันไม่กตัญญูกตเวที ถือว่าลูกผีลูกสางมาเกิดก็แล้วกัน แต่ถ้าพ่อแม่ ให้ข่าว มีข่าวแว่วๆ ไปถึงหู แล้วลูกๆได้ข่าวปั๊บ วิ่งแหมวมาเลยนี่ แสดงลูก กตัญญูกตเวที ก็ค่อยๆ กล่อม ไอ้คนนี้ คงมีท่าที พอได้หรอกน่ะใช่ไหม มันเป็นเครื่องส่อ เครื่องแสดงน่ะ เพราะฉะนั้น ลูกๆ ที่พูดมานี่ก็ อาตมาว่า เป็นน้ำใจที่ดี ก็เป็นจริงเหมือนกันนะ มันแหม ไม่อยากพึ่งคนนั้น ไม่อยากพึ่งคนนี้ นี่ไม่ใช่เลือดเนื้อเรา แหมไปพึ่งมัน ก็ลูกเราจะพูดยังไง ไปหนอคนเรา มันก็ลูก เราจะโขกจะสับยังไงก็โขกก็สับ นี่มันลูกเรา ละนะ ไม่อยากกลัว จะเป็นหนี้ ให้เขาได้ อุปัฏฐากอุปถัมภ์บ้าง เพราะว่าโลกมันต้องมีปฏิคาหก มีทายก เราก็เป็นผู้รับบ้าง ให้คนอื่น เขาได้เป็นผู้ให้ ได้ทำบุญบ้างซี ไม่อย่างนั้น เราก็ไม่ให้เขา ทำบุญเลยนะ มันก็แย่กัน ก็สมเหมาะ สมควรแล้วเป็นคนแก่นี่ เขาจะคอย ไปป่วย ไปเจ็บบ้าง เขาจะได้ดูแล แม้แต่ แค่คนแก่ เราก็คอยเกื้อกูลกันบ้าง ตามฐานะคนแก่ นี่จะต้องเรียนรู้ นี่มีการช่วยเหลือ เกื้อกูลกัน ตามสมสัดสมส่วน พวกนี้ พวกออเซาะ พวกงอแง พวกที่ไม่ค่อยจะ แหม สมสัด สมส่วนแล้ว ก็ออเซาะ อยากจะให้คนช่วยเหลือ เกินการ ไอ้นั่นมันก็ต้องรู้กันน่ะ อาตมาพูด ละเอียดไม่ได้ ใช่ไหม อันนี้มันต้องค่อยๆรู้ว่า ความเหมาะสมใช่ไหม มันลึกซึ้ง

ถาม : พ่อพูดถึง การรวมแรงทำนาสามัคคีกัน สมณะไปด้วยทุกวัน ทั้งไปถอนกล้า และ ดำนา จะหาบกล้า ขนกล้าบ้าง ไปคุย ไปคุยไปในช่วงทำงานอยู่ จะได้หรือไม่ เหมาะควร แค่ไหน กรุณาบอก ด้วยครับ

ตอบ : เลยไม่รู้ว่าถามอะไร ถามว่าสมณะนี่จะไปช่วยถอนกล้าดำนาหาบกล้าขนกล้าบ้าง ไปคุย ไปในช่วงทำงานอยู่ เลยไม่รู้ว่าถามอะไรนี่ จะได้หรือไม่นี่จะถามอะไรนี่ อาตมาไม่รู้ นี่โจทย์บอกหือ จะถามว่าใคร จะสมณะหรือให้สมณะทำหรือ หรือว่าตัวเองนี่จะทำไป คุยไปนี่หือ ใครคนทำโจทย์นี่ โจทย์มันปนๆ หือหืออ๋อนี่หรือเจ้าของโจทย์ หมายความว่า อะไร อะไรละ หมายความว่าอะไร จะเหมาะ หรือไม่เหมาะอะไรนี่ หมายความว่าอะไร สมณะไป ทุกวัน จะเหมาะไหม ไปทั้งถอนกล้าด้วยหรือ สมณะนี่ มันซ้อนเหลือเกินนี่ มันไม่รู้โจทย์ แหมนี่แหละ ถึงบอกว่าโจทย์นี่มันคลุมเครือ ฟังไปแล้วว่า สมณะไปด้วยทุกวัน ทั้งไปถอนกล้า และดำนา นี่ก็ฟังแล้วก็บอกเออสมณะนี่ไปด้วยทุกวันนี่ ไปทั้งไปถอนกล้า และทำดำนา ช่วยหาบกล้าและขนกล้าไป ไปบ้างและก็ไปคุย ไปในช่วงทำงานอยู่ แล้วก็ ขมวดถามว่า จะได้หรือไม่ เหมาะควรหรือไม่ เลยไม่รู้ว่าอะไรเหมาะควร ดำนาช่วยดำนา ถอนกล้า เหมาะควรหรือว่า คุยไปทำไปไม่ควร

บางงานมันก็ไม่สมควรที่สมณะจะไปยุ่ง เป็นเรื่องของชาวบ้านเขาจริงๆ ไอ้เรื่องดำนา ถอนกล้านี่ สมณะก็ไม่ควรจะไปกันทุกครั้งหรอก เพราะว่าการดำนา ถอนกล้า ไม่ใช่งาน ของสมณะ ถ้าสมณะ จะไปทุกครั้ง ก็สมณะก็เหมือนกันกับหัวหน้างาน ที่จะไป คุมงาน ซึ่งมันก็ดูเกินการว่า ไม่มีผู้ใหญ่หรือ ไม่มีผู้ที่จะรู้ในเรื่องหัวหน้าทำนา หรือยังไง มันก็เหมือนกับ ดูถูกชาวนาเราเหมือนกัน ว่าชาวนาเรา ไม่มีผู้ที่ดูแล ไม่มีผู้ที่ ควบคุมได้ เลยต้อง เอาสมณะไปคุม จะไปบางครั้งบางคราว ไปให้กำลังใจ ถ้าในนัยที่ว่า ไปให้ กำลังใจ ก็ไม่จำเป็นจะต้องไปทุกครั้ง ไปบางครั้ง ไปสมควรตามควรน่ะ ก็จะดีกว่า อันนี้ถ้าเผื่อว่า ขยายความอย่างนี้ ก็พอตอบได้น่ะ

เพราะอย่างนั้นเลยไม่รู้เลยว่าสมณะไปทำงานด้วย ถอนกล้าด้วยดำนาด้วยจะเหมาะ หรือเปล่า ก็ไม่รู้ก็มาถาม โจทย์นี่ถ้าเผื่อไปออกโจทย์นี่สอบไม่ผ่านหรอกนี่ เป็นครู ออกโจทย์ ออกข้อสอบ ไม่ได้หรอกอย่างนี้ เพราะคนอ่านข้อสอบแล้วคลุมเครือหมด เลยปน ไปหมด มันต้องขยักเขยิก มีบุพบท มีคำขั้น คำตัด คำตอน มีสันธาน มีอะไรเว้ย มันย่อยุ่งกันไปหมดน่ะ ก็ขอตอบรวมๆว่า งานอะไร ก็แล้วแต่ สมณะที่จะดูอะไร ก็ดูบ้างว่า งานอะไร แล้วก็ ควรบอกกันสมณะก็ควรบอกกันติงกันได้น่ะ ผู้ที่เป็นภันเต ก็ติงกันบ้าง ว่าอันนี้ ไปเท่านั้นเท่า นี้มั้ง ดีตรงนั้นมั้ง มากไปมั้งอะไรน้อยมั้ง อะไรดูกัน ออกหน่อย ไอ้น้ำใจที่ดี ก็ดีอยู่หรอก แต่ บางทีมันก็เกิน บางทีมันไปมันเกิน ๑.น้ำใจดี ๒.มันไปเพราะชอบ แหมมันไปทำเพราะชอบ มันชอบนะ นี่มันก็เลยไปบ่อย มันก็เลย ไปบ่อยๆ ก็มี หรือไม่ไม่ชอบหรอก แต่ว่ามันมันมากไป มันเกินไป ก็ควรจะบอกกัน อะไร อย่างนี้เป็นต้นน่ะ

เอ้าเอาละ อาตมาใช้เวลาวันนี้เลยเวลามา มันก็อย่างนี้แหละของดีก็เลยมีเวลาหมดพอดี มันก็เลยจบ เท่านี้


จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรมฯ
ถอดโดย นายประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย เกศรา รุ่งเรืองนานา
พิมพ์โดย ปานรุ้ง สุขเกษม ๑๖ ก.พ. ๒๕๔๑
ตรวจทาน ๒ โดย สิกขมาตุปราณี ธาตุหินฟ้า ๑๘ ก.พ. ๒๕๔๑
printed โดย สิกขมาตุปลูกบุญ อโศกตระกูล ๑๙ ก.พ. ๒๕๔๑
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

TCT 38 A-B.TAP