ธรรมก่อนฉัน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๔๐
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถาน สันติอโศก


เจริญธรรม ท่านญาติโยม

ยังฟังธรรมยังมีผลประโยชน์อยู่ ผู้ที่ฟังธรรมแล้วก็เห็นประโยชน์ในการฟังธรรม ก็มาประจำ ฟังธรรมไป ก็ได้ประโยชน์จากการฟังธรรม ก็เอาไปปฏิบัติประพฤติพัฒนาตนเอง ก็เกิดการพัฒนาตนเองขึ้นไปได้ ก็อยู่เย็นเป็นสุข หรือว่าเจริญขึ้น ผู้ใดที่ไม่ฟังธรรม หรือไม่มาฟังธรรม แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร ก็ไม่ค่อย อยากมา เมื่อไม่อยากมาก็ไม่ได้ฟัง เป็นความคิดของตนเอง อยู่กับโลกๆ ที่จริงแล้วนี่ คนไปฟังธรรมนี่ ไม่ว่าจะไปฟังระดับโลกียะ หรือฟังธรรมในระดับโลกุตระก็ตาม มันก็แน่นอน ก็การฟังธรรม มันก็ต้อง ได้ประโยชน์ แต่ว่า มาฟังธรรมที่ลึกๆ ฟังธรรมในระดับโลกุตระนี่ อาตมาว่า ถ้ารู้ถ้าเข้าใจ ฟังแล้ว ก็เข้าใจดี ซาบซึ้ง และก็เอาไปปฏิบัติได้ด้วย มันก็ต้องมีประโยชน์กว่าแน่นอน เพราะว่าโลกุตรธรรม นั้นมันดีทั้งสองอย่าง ดีทั้งโลกียะ และโลกุตระด้วยนา โลกุตระนี่ มันดีทั้ง สองอย่าง คุณลักษณะ ของโลกุตระก็ดีด้วย คุณลักษณะของโลกียะก็ดีด้วย ส่วนโลกียะนั้นน่ะ ถ้าจะพูดถึงดีมันก็ดี แต่ว่า มันมีผลข้างเคียง ดีโลกียะและมันก็กระเทือนโลกุตระ มันไปทำให้ โลกุตระเสีย ฉุดโลกุตระเสียด้วย เอ้าพูดอย่างนี้ ก็คงเข้าใจยาก

โลกุตระหมายถึงลักษณะทวนกระแส และเป็นลักษณะที่เกี่ยวข้องทางจิตวิญญาณ โลกุตระ นี่นะ ทวนกระแส นั่นแหละเป็นตัวสำคัญ โลกียะมันไม่ทวนกระแสมันไปใหญ่เลย มันโลภโมโทสัน มันก็โลภมากไปเลย แม้คุณจะสุจริตก็ตาม สุจริตนั้นไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ไปโกง ไม่ไปทำผิด กฎหมาย แต่โลกียะมันก็ไม่หยุดโลก เพราะโลกียะไม่ได้สอนการหยุดโลภ โกรธหลง เป็นแต่เพียงว่า รู้ลำลองเป็นสามัญสำนึกธรรมดา ใครๆก็รู้สามัญสำนึกว่าโลภ มันไม่ดี แต่ก็ไม่ได้ละ ความโลภหรอก ไม่ละความโลภหรอก เพราะฉะนั้น กฎหมายออกว่า อย่างไร ไม่ถือว่าทุจริต ไม่ถือว่าโกง ไม่ถือว่าผิด กฎหมาย สังคมนิยมกันอย่างไร ที่ถือว่าอย่างนี้ทำได้ อย่างนี้ เป็นต้นนะ เขาก็ทำ เขาไม่รู้ว่าเอาเปรียบ เอารัดมากขนาดไหน มีกฎ ระเบียบของทางสังคม ซึ่งคนที่ตั้งกฎระเบียบ ก็คือคนที่ฉลาดโกง ฟังดีดีนะ คนที่ตั้งกฎระเบียบของสังคม นี่ เป็นอัตรารายได้ก็ตาม เป็นต้น จะเป็นคนที่โกงนั่นแหละ อยู่ในสังคม แม้แต่คนที่ดีนี่นะ กับคนที่มีกิเลสโลภ คนที่ดีหมายความ คนที่เสียสละ

ถาม กับคนที่มีกิเลสโลภอยู่ในสังคมนี่นะอันไหนมาก คนที่มีใจเสียสละจริงๆ กับคนที่มีกิเลส โลภ อันไหนมาก

ตอบ คนมีกิเลสโลภ เพราะฉะนั้น คนที่มีกิเลสโลภอยู่โดยไม่รู้ตัวเอง จะฉลาดขนาดไหน ออกไปบริหาร หรือออกไปเป็นผู้ที่มีระดับหัวหน้า ที่จะตั้งกฎ ตั้งเกณฑ์ ตั้งหลัก ตั้งอะไรออกมา ก็คือ คนจำนวนมาก ใช่ไหม ก็คือคนจำนวนที่ยังมีความโลภ เพราะไม่ใช่โลกุตระนี่ จะเป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อไปตั้งกฎ ระเบียบอะไรขึ้นมา มันก็ตั้งกฎระเบียบขึ้นมาโลภมาให้กู เมื่อตั้งแล้วถือว่า สุจริต โลภเท่าไหร่ก็ตาม เช่น ตั้งอัตราเงินเดือน ให้แก่ผู้ที่สูงๆนี่ โอ้โห ! มีอัตราทวีที่มีมากกว่ากัน ไม่รู้กี่ชั้น กี่ตอนก็ตามแต่ และ ก็ได้มากกว่ากันเยอะแยะ ทั้งๆที่คนมีร่างกายเท่าเก่า จะเป็นผู้ใหญ่ บริหารขึ้นไปขนาดไหน ก็ร่างกาย เท่าเก่า เท่าเก่า ไม่โตกว่าเก่า ไม่กินมากกว่าเก่า ใช่ไหม ไม่กินมากกว่าเก่า แต่ส่วนคนที่จะเป็นผู้ใหญ่ แล้วนี่ และจะไปเที่ยวมากขึ้น ไปใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อมากขึ้น มันก็เป็นนิสัยเสียของเขา ทำไมคนเป็นใหญ่ เป็นโตแล้วนี่ ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ใช้เสื้อผ้า ราคาถูกๆ อย่างเก่าได้มั้ย ได้มั้ย พวกคุณว่าได้ แต่คนไปถาม ผู้ใหญ่ว่าเขาใช้ไม่ได้ นี่เขาจะว่าได้ อย่างคุณไหม ฮึ แต่ว่าอาตมาว่าได้นะ ไม่ต้องไปแพง ไปเปลือง ตามที่ว่า แม้ว่าฉันสูง และฉันต้องใช้ของแพง ไม่จำเป็นนะ อาตมาว่านะ แต่ก็ไปทำกันเอง อ้างโน่น อ้างนี่ โดยเฉพาะ ไปอ้างว่า จะต้องเป็นภาษีสังคม แหมผู้ใหญ่แล้วมีคนมาขอ ก็ไปให้เขาทำไมเล่า คุณให้เขา เพราะคุณหาเสียง ใช่ไหมเล่า ไปให้เขาทำไม คุณก็สอนเขาสิ ให้เขาทำงานทำการ สร้างสรร

ถ้าอย่างนั้น พวกพระพวกเจ้านี่นะ สอนคนให้ทำดีให้ขยันหมั่นเพียรอะไร ให้ทำอะไรเจริญ ขึ้นมานี่นะ ไม่ได้ไปให้เงินคนนี่นิ พระเจ้าก็สอนคนไม่ได้ซิ เพราะผู้บริหารสอนคนให้ขยันขึ้น ให้ทำงานดีขึ้น อะไรไม่ได้ ผู้ปกครองบริหารทำไม่ได้ ต้องให้เงินนั่นแหละ มันถึงจะได้ เพราะฉะนั้น พระเจ้าก็สอน ไม่ได้เหมือนกัน เพราะพระเจ้าไม่ได้ไปให้เงิน ฮึคนนี่ คืออ้างไม่เข้าเรื่องกัน จนกลายเป็นยอมรับในสังคม อันนี้ ไม่ใช่กฎนะ แต่เป็นอะไรนะ เรียกว่าอะไร ค่านิยม หรือว่าวัฒนธรรมนะ จะต้องเป็นอย่างนั้นนะ อ้อ ! เป็นผู้ใหญ่ และจะต้องจ่ายเงินเลย โอ้โห คนนั้นคนนี้อ้าง เพื่อที่ตัวเองจะได้เงินมากๆ เพื่อที่จะบอกว่า เงินนี่เอามาเผื่อแผ่ผู้น้อย ก็เผื่อแผ่ทำไม ถ้าเราไม่เอาเงินมาก ผู้ใหญ่ไม่ต้องตั้งเงินเดือนตัวเองมาก ไม่ต้องเอามากกว่าผู้น้อยมากมายนัก ผู้น้อยก็ไม่มีทางอ้าง ว่าจะขอ ก็เงินมันได้ใกล้ๆกันนะ จะไปขอ ได้อย่างไร เห็นไหม มันย้อนแย้ง แต่จะได้ยังไง แต่อ้างเพื่อที่จะเอามาจ่าย และจ่ายจริงมั้ย ให้ผู้น้อย จริงมั้ย ไม่จริงหรอก นานๆทีให้นิดๆ หน่อยๆ มีบางคนอาจจะให้เก่ง แต่น้อยคนใช่ไหม ส่วนมาก ก็เอาไปใช้ ของกูนั่นแหละ และก็เอาไปให้ลูกเต้าฟุ่มเฟือย ใช่ไหม ไม่ใช่ เอาไปให้ ฮึฮึคนลูกน้อง ไอ้โน่น ไอ้นี่ ไม่จริงหรอกนา คือสิ่งเหล่านี้ ถ้าคิดให้ดีลึกซึ้งแล้ว มันจะซับซ้อนอยู่ในสังคม อีกมากมาย

สรุปแล้วก็คือ ถ้าคนไม่เรียนรู้โลกุตระอย่างจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว ละความโลภ ลดความเห็นแก่ตัว ได้จริงแล้วล่ะก็ ในทางโลกีย์นี่ มันก็จะซับซ้อน มันจะสร้างสิ่งที่ฉ้อฉลอยู่ในสังคมขึ้นมา เพื่อจะเกิด ความกดขี่กัน ไปเบียดเบียนกันไปอยู่ตลอดกาลนาน เพราะฉะนั้น คนทางโลกีย์ ต่อให้เจริญทางโลกีย์ เท่าไร เท่าไหร่ก็ตาม ไม่มีโลกุตระ และยิ่งได้โอกาสย่ามใจด้วย เพราะอะไร เพราะมันไม่ได้แต่เรื่องเงิน เท่านั้นนะ มันได้อำนาจด้วย ทางโลกียะนี่มันได้อำนาจด้วย เพราะฉะนั้น มันก็เลยข่มกันไปหมดเลย

ส่วนโลกุตระนั้นลดทั้งอำนาจที่จะไปเบ่งไปข่มคนอื่น ลดอัตตามานะ ลดทั้งส่วนที่ตัวเอง จะไปเป็น ส่วนได้ เป็นวัตถุสมบัติ หรือการเอามาบำเรอตนอย่างไรก็ตามแต่ โลกุตระมันจะลดลงไป ๆ อย่างจริงๆ จริงๆ แต่ก็อยู่ในโลกียะนี่แหละ คนโลกุตระก็อยู่ในโลกียะนี่แหละ ที่อาตมาว่า ได้สองด้านเพราะอะไร เพราะว่าเขาก็จะได้ อย่างทุกวันนี้รู้ไหมว่า อาตมาได้นะ ฮู้อาตมาได้กิน ก็ได้กินเหมือนอย่างคนรวยนะ แต่อาตมากิน ไม่ไปกินหูฉลาม เป็ดย่าง อะไรต่ออะไร อย่างเขานั่นเอง อาตมาก็กินอย่างคนรวย โอ้โห! เจ้านั้นเจ้านี้เอามา แม้แต่บอก เอามานิดเดียวก็พอ มานิดเดียว เดี๋ยวนี้ก็เห็นถ้วยอาตมา ที่เอามา อย่างกับถ้วยใส่ ศาลพระภูมิ กันมา เห็นมั้ย ใช่มั้ย ใส่อาหาร ศาลพระภูมิ ถ้วยที่เอามาก็เยอะแยะ เอามาก็หลายเจ้า หลายคน เขาอยากให้กิน อยากให้ฉัน ก็คนจะให้กินเยอะ นี่มันก็คือการรวยเหมือน มันโลกียะ อาตมาอุดมสมบูรณ์ จะกินก็มีให้กินเยอะ คนจะเอามาให้กินเยอะ จะนุ่งจะห่มนี่นะ

ถ้าอาตมาเปลี่ยนชุด รับรองอาตมาเปลี่ยนวันละหลายชุดเลย จริงๆ เขาก็เอามาให้ ขนาดเปลี่ยนชุด อย่างนี้ ชุดเดียวสีเดียวอย่างเดียวนี่นะ เอามาเถอะ มันไม่ได้ใช้ อย่าเอามาเลย เขาก็ยังบอก เอาไว้ก่อน ขาดเมื่อไหร่เขาก็ยังเอาไว้ บางคนทอมา เสร็จแล้วเอามา ม้วนมาเลย เอามาให้ไว้ อาตมาก็ส่ง เข้าหมู่หมด ยังจะให้อาตมามาตัดไว้ใส่ลงไว้ สำหรับใส่ จะกินจะอยู่ จะมีอะไร ก็แล้วแต่ จะใช้จะสอย เครื่องใช้ ไม้สอยอะไรต่างๆ นานาก็ตาม อุดมสมบูรณ์ ทุกวันนี้ อาตมาออกจะเฟ้อเสียด้วยซ้ำ อย่างนี้ เป็นต้น

ยกตัวอย่างให้ฟัง ผู้ใดทำให้คนอื่นเขาเห็นเถอะว่า เราทำงานเพื่อเสียสละนี่ คนมันมีปฏิภาณ รู้ว่า ทำงาน สร้างสรรเพื่อมนุษยชาติ เขาก็อยากสนับสนุน อยากทำอะไรก็ทำที่ทำเพื่อเสียสละ สร้างสรร มันเป็นคุณค่าที่ดี ทำอะไรเขาก็สนับสนุน เขาก็อุปัฏฐากอุปถัมภ์ให้ นี่คือ ส่วนได้ทางโลกียะ มันได้อุดม สมบูรณ์ แล้วเรายิ่งมักน้อย เรายิ่งเท่าไหร่ก็เต็มง่าย เพราะว่า เราพอ เราไม่เอามาก มันก็เต็มง่าย มันไม่เหมือนโลก โลกมันไม่รู้จักเต็มหรอก

โอ้โห ไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักเต็มไปใหญ่เลย แต่ทางโลกุตระนี่มันเต็มง่าย มันก็พอได้ ถึงแม้ยังอนุโลมไปอีก มันก็ยังมีที่เต็ม เพราะไม่เตลิด มันไม่เตลิด มันไม่เหมือนกับโลก มันไม่มีที่ขีด ที่ขั้น แต่ของทาง โลกุตระนั้น มีขีดมีขั้น แม้จะอนุโลมไปก็ไม่กล้าอนุโลมเตลิดเปิดเปิงไป มันก็ต้อง ขีดไปอยู่นั่นแหละ ขีดให้พอเป็นไป ซึ่งมันก็เห็นได้ ที่อาตมาพูดนี่คิดว่า พวกเราก็คงจะมีการสังเกต เห็นความจริง เหล่านี้ได้อยู่นะ มันเป็นเครื่องทดสอบเหมือนกัน ทางโลกุตระ มันเป็นเครื่องทดสอบ ไอ้ที่พวกเขามาให้ นี่แหละ มันทดสอบเราเหมือนกัน ถ้าเราได้ช่วงนี่ ศาสนามันเสื่อม เพราะอย่างนี้นี่ พอคนมาศรัทธา คนก็เอามาให้ มาให้ คล้ายๆมาทดสอบเรา มันต้องระมัดระวัง ต้องศึกษากิเลสเราจริงๆ ไปตามใจ ไปเผลอๆเผินๆ เผลอไปกิเลสกินตัวเลย เสร็จแล้ว ก็หนักเข้าก็เสีย เสียไปตกต่ำเลย มันเป็นอย่างนั้น จริงๆ ทางธรรม เพราะฉะนั้น มันเป็นเครื่องทดสอบ

ถ้าเราเผอเรอไปกับมัน มันก็เอาเราตาย เราก็จมเลย สิ่งนี้กินตัวเลย ไม่ว่าลาภ ยศ สรรเสริญ ดีไม่ดี กามเกิมไปเลย ยังไม่ทันได้บรรลุจริง พอทำท่า เก๊ก แหมสำรวม สังวรดีดีเข้าหน่อย โอ้โห ศรัทธามาแล้ว อะไรๆมาแล้ว มาทดสอบ เอ้นี่สังวรจริงรึเปล่า สำรวมจริงรึเปล่า มักน้อยสันโดษ จริงรึเปล่า มาแล้ว มาลอง ลองแล้วมาเลยนะ จะมาถ้าเผื่อว่า เราจะแก้ตัว เอาน่าอนุโลม ทั้งๆ ที่เรายังไม่บรรลุธรรม มาดเก๊กแค่นั้น มันก็ทำให้คนอื่นศรัทธาได้แล้ว ประเดี๋ยวมามาไป คนเหล่านั้นไปจริงๆ ทีนี้ถ้าเผื่อผู้นั้น ปฏิบัติธรรมจริง และลดกิเลสได้จริง เอามาทดลองเท่าไหร่ๆ เราก็สังวรสำรวม ทดลอง เราก็ยิ่งเป็น ข้อสอบที่เราได้ฝึกหัด กิเลสเราก็ลดไปเรื่อยๆจริงๆ ยิ่งข้อสอบมาแรง ยิ่งข้อสอบมามาก เราก็ได้ ทดสอบไปอีก เราก็ไม่เผลอใจ ไม่อะไรต่ออะไร เราก็มักน้อยสันโดษไปให้จริงจังๆ มันก็ไม่เอา มันก็จริง ชัด ยิ่งขึ้น มันก็ยิ่งเป็นข้อสอบไปยิ่งขึ้น แน่นยิ่งสูงยิ่งมาก ถ้ายิ่งสูง ข้อสอบยิ่งหนักขึ้นมา ยิ่งหนักขึ้นมา ยิ่งหนักขึ้นมานะ ทีนี้ถ้าไม่ประมาณ ไปเผลอตรงไหนละ ซึ่งไม่จริงนะ ตัวเองไม่จริง ไม่จริงตรงไหน แล้วก็ไปเผลอ อนุโลม ลองอะไร กิเลสก็กิน แล้วไปเลย ทีนี้ พลาดตรงไหน ก็ตรงหนึ่งนะ ซับซ้อนได้ นี่เป็นลักษณะของโลกียะ กับโลกุตระ เพราะฉะนั้น พวกเราเหมือนกัน มาฟังธรรมนี่ ถ้ายิ่งมา ฟังธรรมโลกุตระ มันมีทั้งโลกียะทั้งโลกุตระ ทีนี้ถ้าเน้นโลกุตระมากๆ ถ้าไม่มีพื้นฐานของ โลกุตระ ฟังยาก คนที่ยิ่งจะมาสนใจในโลกุตระก็จะน้อยลง เพราะมันฟังยาก ยากขึ้นๆ คนฟังก็น้อยลงๆ

ส่วนโลกียะนั้นน่ะ สอนให้คนสุจริต ฟังคำมีคำ ยากลางบ้านนั้นน่ะ ทำดีขยันหมั่นเพียร คุณก็ขยันซิ ขยันๆขึ้น ได้ขยันแล้วคุณยังไง คุณไม่ได้ลดได้ละอะไร คุณขยันคุณก็สร้างสรร มันก็มีผลงาน มีผลผลิต คุณก็ได้ คุณก็รวย รวยๆๆๆ แล้วคุณมาทำบุญบ้าง ทำบุญแล้วก็ยิ่งรวย ทางนี้ก็เอานะ อวยพรให้อายุ วัณโณ สุขัง พลัง ร่ำๆรวยๆนะ อยากได้เงินหมื่นให้ได้เงินหมื่น อยากได้เงินแสน เงินแสนคุณก็ไปเรื่อยๆ มันเป็นโลกียะไป คุณก็โอ้ยอย่างนี้ดี คุณก็มาฟังธรรม เพราะฉะนั้น คนที่จะไป ฟังธรรมโลกียะนี่ จะมากขึ้นๆๆ ยิ่งคนมีปฎิภาณในการเทศน์ ในการสอนดีๆ ในการพูดดีๆ คนก็จะนิยม ชมชอบมากขึ้น

ส่วนโลกุตระนั้นยิ่งสอนลึกเข้าไป ก็ยิ่งน้อยลง คนน้อยลงๆ ฟังก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง ยิ่งลึกเข้า ไม่ค่อยรู้เรื่อง เข้าลึกและรู้เรื่องด้วย รู้เรื่องก็ต้องลดอีก รู้เรื่องก็ต้องหมดตัวอีก รู้เรื่อง ยิ่งไม่ค่อยได้อีก โอ้ย! นานๆไปที ดีกว่า โอ้ย!ไปแล้วมันก็ยิ่งหมด ยิ่งลด ไปมันก็ยิ่งลด มันสวนกระแส มันทวนกระแสเข้าไปเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าคนไม่ถึงจริง มันจะไม่เหมือนทางโลกีย์แล้ว เห็นมั้ย มันจะไม่ค่อยมามากหรอก มันจะไม่นิยมชมชอบอะไรกันมากหรอก คนจะนิยมชมชอบจริงลึก ตามไปได้ๆ ถึงจะนิยมชมชอบนา โลกุตระที่เกิดมา ใน พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า โลกุตระที่จะอยู่ได้นี่นะ โอ้ย!ยาก ท่านพยากรณ์ ไว้ก่อนเลยว่า ต่อไปในอนาคต คนจะไม่ฟัง คนเทศน์ก็จะไม่เทศน์แล้ว โลกุตระที่เป็นไอ้ความอะไร ลึกซึ้ง อ้าหา เป็นความลึกซึ้ง ที่เข้าใจได้ยาก ต่อไปก็ไปฟังคำกวี คำไพเราะ คำอะไรพวกนั้น จะไปฟัง พวกโน้นกันเยอะ เพราะฉะนั้น คำลึกซึ้งที่ทวนกระแส ที่ขัดใจที่อะไรพวกนี้ จะน้อยลงๆๆ แม้แต่พระ ผู้เทศน์ ก็จะเทศน์น้อยลง มันเสียวสยองเหมือนกันนะ คนมาเคารพ มาศรัทธา มาเลื่อมใส มากๆๆๆ ยิ่งเทศน์ไปๆ ก็น้อยลงๆๆ เฮ้ยมันจะอยู่ยังไงแล้วละเว้ย ยิ่งเทศน์ไป ยิ่งน้อยลงๆๆ มันจะไปรอด มั้ยนี่ มันเสียวสยอง เหมือนกันน้า มันจะอยู่ได้มั้ยนี่ ฮึฮึ ใช่ไหม

ถ้าคนมันถึงจริงไม่แน่จริงไม่มี ไม่มีสัจจะที่มันลึกซึ้งจริง และก็ไม่มีมวลนั่นแหละ และ ก็ไม่มี ผู้คนที่ สามารถรับได้จริง ไปไม่ออก เพราะฉะนั้น ถึงกลียุคหรือใกล้กลียุค ที่เป็นคนไม่มีภูมิ ที่จะรับได้แล้วนี่ ถึงต่อให้เก่งจริงยังไง ก็ไม่มีใครมา ไม่มีใครมา สอนไม่ได้ ไม่มีใครสอนได้ ยุคอย่างนี้ ยังมี พอมีบ้าง แต่มีบ้าง ก็มีอย่างนี้ไม่ค่อยมากๆ บางทีบางคราวบางครั้ง ก็หายไป ฮือ เหลือไม่เท่าไหร่ กะหร็อม กะแหร็ม บางทีบางครั้ง เอ้อมา ไม่รู้ไปถูกใครเอาทุกข์อัดเอา มันถึงกลับเข้ามาบ้าง ไม่รู้ยังไง มีมั้ยเล่านี่ แม้ไป โอ้ไปสักพักหนึ่ง ไปถูกทุบที่ไหน เขาเขวี้ยงให้ ทุกข์ไหนมันตบให้ ทุกข์มันตบให้ ฮึฮึฮึเออก็มา แต่ก็พอมี ว่ากันจริงๆ ก็ไม่ถึงหมดไปทีเดียว

ยุคนี้สมัยนี้อาตมาถึงบอกว่า อย่างไรๆโลกุตระก็ยังมีเชื้อ โลกุตระก็ยังอยู่ ยังมีผู้รับได้ ยังมีผู้ปฏิบัติได้ ยังมีมรรค มีผลของพระพุทธเจ้า อาตมาแน่ใจ ทำงานมา ๒๐ กว่าปี แน่ใจนะ นี่ ๒๖, ๒๗ ปี ย่างเข้า ไปแล้ว ถ้า ๓๐ ปีนี่นะแน่นอน คิดว่าไม่เปลี่ยนละมั้ง มันจะ ๓๐ อยู่แล้วเนาะ สอนมานี่ ๒๖, ๒๗ ที่จริง ก็ถึง ๓๐ เพราะอาตมาสอนมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส อาตมาบวช หนึ่งสาม, หนึ่งสามมันก็ยี่สิบเจ็ด แต่ก่อนบวช อาตมาก็สอนเปิด เขียนหนังสือ ออกโฆษณาเผยแพร่ธรรม เผยแพร่อยู่แล้ว ทางสื่อสาร แม้จะไม่ได้ไปตั้งตัว เป็นพระ เป็นนักอธิบายธรรมะ เป็นนักบวชอะไรก็เถอะ แต่เป็นฆราวาส ก็เผยแพร่ อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น มันก็ย่างเข้าไปหาหลัก ๓๐ ปีแล้ว นี่มันก็พอสมควร และมันก็มีปรากฏผลอยู่ ขนาดนี้

คืออาตมาก็แน่ใจว่า คนที่มาจริงๆนี่ มาอย่างชนิดที่เรียกว่า มีปัญญาหรือมีเจโต คือ จิตเจโต คือ จิตมันปักมั่น มันเป็น เจตโส อภินิโรปนา มันเป็นจิตมั่น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา จิตปักมั่น จิตว่าไม่มีปัญหา และมันก็พ้นวิจิกิจฉา เพราะวิจิกิจฉาเป็นสังโยชน์ที่แน่ๆ สังโยชน์ที่ชัดๆ เป็นสังโยชน์ จริงๆ ของใครของมัน ถึงมันเป็นการพ้นเป็นญาณ มีปัญญารู้ มีเจโตถึง มีการเข้าใจจริงๆ เลยว่า จิตอย่างนี้นี่ เราสุขมั้ย ไม่สุขอย่างโลกีย์แล้ว สุขอย่างโลกุตรสุขอย่างนี้ แล้วสุขมั้ยนี่ และก็ไม่ได้ ปิดหูปิดตาโลกียะที่เคยเป็นเคยมี ก็ยังมีอยู่ จริงๆแล้ว จะออกไปทำงานทำการทางโลกข้างนอกนี่ทำได้ เพราะว่าสายนี้ ไม่ได้ไปให้เรื้อ มาถึงนี่ก็ให้นั่งหลับตา ไอ้ที่เคยทำอะไรเป็น ก็ง่อยกิน ทำอะไร ไม่เป็นแล้ว ลืมหมด คิดก็ไม่ออก มือก็เรื้อแล้ว ทำอะไรก็ไม่ได้แล้ว เคยเป็นอะไร ไม่ได้สอนยังนั้นแล้วใช่ไหม สอนให้คุณทำ คุณมีวิชาอะไร ที่จะพึงทำได้ ฝึกฝนเอามาใช้ เพราะฉะนั้น อยู่ที่นี่ปล่อยออกไป หากิน ข้างนอก อาตมาว่าไม่ตาย รับรอง พวกนี้ไม่ใช่นกหงส์หยก รู้มั้ยนกหงส์หยก ปล่อยออกจากกรงไป ตาย หากินก็ไม่เป็น ป้องกันตัวก็ไม่เป็น หงส์หยกนี่ ปล่อยออกไปตาย เป็นนกเลี้ยงที่เลี้ยง จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ ไม่รู้กี่ชั่วอายุแล้ว นกหงส์หยกนี่อยู่กับคน หากินเองไม่เป็น คนหาอาหารให้กิน และก็ป้องกันตัว ก็ไม่เป็น ตาย

แต่ชาวอโศกนี่แม้เป็นพระแล้วก็ตาม ปล่อยออกไปจะตายมั้ย หากินเป็นมั้ย อย่าไปโลภ แล้วกัน รับรอง จะมีวิธี ฉลาดนะ พวกเรานี่ฉลาด อยู่ทางโลกฉลาด ถ้าเผื่อว่า มีใจไม่โกงเขาแล้ว ไม่โลภ ไม่โกงเขาได้ แต่ถ้าใจมันยังมีโลภมีโกงแล้วโกงได้นี่ ไม่ได้งอหงิก ไม่ได้เรื้อทางโลกียะ รับรอง รับรอง ไม่เรื้อโลกียะ ไปได้ แม้จะอายุมาก อายุแก่ขึ้นก็ตาม ก็ไปได้

ไม่เหมือนทางอีกสายหนึ่ง ที่สอนให้นั่งไปลืมหมดอะไร แก่แล้วตายไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องตายคา ผ้าเหลืองนี่แหละ เพราะไปแล้วไม่รู้จะหากินยังไงน่ะ หลายคน เป็นพระ ถูกผู้หญิงหลอกจนสึกออกไป สึกออกไปแล้วตาย ผู้หญิงทิ้ง โอฮึเจ็บปวดมาก อายุก็มากแล้วผู้หญิงก็อุตส่าห์ ลากออกไป จนต้องสึก สึกไปแล้วผู้หญิงทิ้ง โอ้โห! หันกลับมาหาวัดอีก มันไม่มีทางไป ทำกินก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ได้ ล้มเหลวหมด ที่ล้มเหลวก็เพราะว่า ก็มันทำอะไรทางโลกไม่ได้ ผู้หญิงก็นึกว่าจะได้ เอาให้สึก สึกออกไปแล้ว มันก็ทำไม่ได้ ผู้หญิงก็อกหักเหมือนกัน ก็ไม่ไหวอีกเหมือนกัน ก็ต้องทิ้งล่ะว้า ข้าคนเดียวดีกว่า มาอีกนึกว่ามาช่วย ที่ไหนได้เจ้าประคุณ ผู้หญิงคิดผิดเหมือนกัน และทิ้ง พอทิ้งเสร็จแล้วก็เอาซิ หลวงพ่ออาการหนัก เจ็บมากเลย โอ้โห! ยิ่งกว่าตกตาล ฮึฮึเจ็บอกยิ่งกว่าตกตาล อย่างนี้มีจริงๆนะนา สายที่ว่า เป็นอย่างนี้ แต่สายนี้ อาตมาเชื่อมั่น ไม่มีปัญหาหรอก ไม่มีปัญหา ไปทำมาหากินได้อะไร ต่ออะไร เพราะพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้งอมืองอเท้า ถ้าหลักปฏิบัตินิโรธคามินีปฏิปทา หรือ มรรคองค์ ๘ ปฏิบัติเรียนรู้ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ชัดเจนตามทฤษฎีของพระพุทธเจ้าแล้วนะ ไม่มีตกต่ำ โลกียะแล้ว ก็ไม่ตกต่ำ โลกุตระแถมได้มาอย่างดีงามด้วย เพราะฉะนั้น ได้มาอย่างโลกุตระ จริงแล้วเสร็จ จะไปเอาโลกียะก็ได้แต่ไม่ไป เพราะรู้ว่าโลกุตระ มันเหนือกว่า ไม่ไป นี่อาตมาพูด อย่างอาตมานะ อาตมาพูดอย่างอาตมา นา

ถ้ายิ่งเดี๋ยวนี้ให้เอาตำแหน่งนายกฯมาให้อาตมา ฮิไม่เอา ซวยตายเลย ไปเอาตำแหน่งนายก ตอนนี้ เห็นมั้ย ไม่เอา สิบไม่เอา ร้อยไม่เอา ไม่เอาจริงๆ เอาตำแหน่งนายกฯมาให้ก็ไม่เอา ไม่เอาจริงๆนะ อย่าว่าแต่แค่รัฐมนตรีเลย ไม่เอา ไม่ได้เรื่องหรอกนะ รู้ๆโลกุตระนี่ดี ถูกด่ามั่ง ตัดสินให้ผิดๆมั่ง ก็ชั่งมัน ผิดก็ผิด ไม่เป็นไรนะ ผิดไปคดีหนึ่งแล้วยังเหลืออีกหนึ่งคดี วันที่ ๒๑ ตุลาคม ไปรับฟังอีก ๑ คดี ผิดอีก อุทธรณ์แล้วก็ผิด เอ้าผิดก็รับผิด ใครจะว่าผิดมั่งอะไรมั่งนี่ อาตมาก็ว่า อาตมาสบาย ทุกวันนี้พูดจริงๆ ด้วยจิตแล้วอาตมาว่า อาตมาเป็นสุข ทุกวันนี้ เป็นสุข สุขสำราญบานใจ พูดมาตั้งแต่คราวที่แล้ว ล่ะเน้อ สุขสำราญบานใจ มันเห็นชัดที่สุดเลย โอ้เราคิดถูกน้อ เราเชื่อพระพุทธเจ้า แล้วพยายาม มาพากเพียรประพฤติ ปฏิบัติมาจนได้ ขนาด ที่เราได้ขนาดแค่นี้ แค่อาตมาได้นี่แหละ ขนาดนี้มันยังสุข ขนาดนี้น้อ ถ้ามันเจริญจริงๆ ในทางทิศนี้อีก เห็นอยู่ว่าทิศมันสวนกัน ทวนกระแสกัน ถ้ายิ่งสูงกว่านี้ ยิ่งสุขกว่านี้ซี ทำไม มันจะมีปัญหาอะไร้ มันเห็นชัดๆอยู่นี่นะ ยิ่งทางโลกมันก็ยิ่งประกาศตัวออกมา ให้เห็นทุกข์ โอ้โห! ใครเห็นทุกข์บ้างนี่ ทุกข์ทางโลกให้เห็นบ้าง ไม่มีใครเห็นเลย อ้อ! มีมั่งยกมือสั้นๆ ยกมือสั้นๆ ไม่ได้อาบน้ำมารึไง กลัวเพื่อนฝูงจะได้กลิ่น เลยไม่กล้ายกสูงเน้อ เห็นชัดๆ เลย

โอ้ ! เจ้าประคุณเอย มันไม่รู้จักอธิบายอย่างไร จะชี้มันชี้ยากเหมือนกันนะ ชี้ให้มันครบๆ มันชี้ยาก แต่อาตมาว่า ผู้มีปฏิภาณปัญญานี่มันมองออกๆ นี่อย่างชาวอโศก เมื่อเช้าท่านซาบซึ้ง ก็อ่านไปแล้ว คอลัมน์ในปก อาตมาว่าประกาศตัว ประกาศตนกันไปเลย สันติอโศก ประกาศไปเลย เป็นยังไงบ้าง เขาฟังใครหมั่นไส้ก็หมั่นไป ใครไม่หมั่นไส้มันเป็นการท้าทาย เป็นเอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาดู เชื้อเชิญ ให้มาพิสูจน์ เอาซิจะมาพิสูจน์ก็ได้ มันจริงอย่างที่ว่านี้มั้ย มันพิสูจน์กันได้ ออกตัวออกตน ใครจะบอกว่า อวดตัวอวดตน ก็เขาอวดชั่ว อวดไม่ดี อวด เละๆ เทะๆ ก็อวดกันมามากแล้วนี่ ของเราว่า มันดีนะ ขออวดบ้างหน่อยได้มั้ย ทำไมจะมาใช้ จิตวิทยา บอกว่าอย่าอวดตัวอวดตน แต่ทีตัวเอง อวดเอาละนะ ไม่ว่ากันล่ะนะ เพราะเขาก็ ต่างเหมือนกัน อวดเหมือนกัน อวดชั่วเหมือนกัน ก็เลย ไม่กล้าว่ากัน พอคนอวดอย่างไม่เหมือน คืออวดทางดี ไอ้นี่อวดตัวอวดตนแน่ะ แน่ๆเฮอะๆ ก็เลยอย่างนี้บ้าง เอาละอาตมาก็ว่า ก็คุณอวดชั่วกันมากมาย คุณยังอวดได้ เราก็ขออวดดีๆกันบ้างซิ ถ้าผู้ที่ไม่ติดใจมากมาย คิดว่าจะมาพิสูจน์ ก็เหมือนกับเราให้เชื้อเชิญให้มาดู ท้าทายให้มาพิสูจน์ ก็มาดูซิ ก็มาดูว่า มันจริงมั้ย คนพวกนี้ กล่าวไปว่านี่บริษัทเรานี่นะ

อย่างบริษัทพลังบุญ ตั้งมาสิบเอ็ดปีละ ตั้งแต่ปีแรกเลยนี่ เงินเดือนเราก็ตั้งให้ ๒,๐๐๐ ตั้งแต่ ปีแรก ที่ตั้งเลย เงินเดือนอัตรา ๒,๐๐๐ บาท พนักงานก็ สองพันไม่เกินกัน พนักงานที่บรรจุเรียบร้อย เงินเดือน ก็เท่ากับ ผู้จัดการ ๒,๐๐๐ สิบเอ็ดปีก็ยังสองพัน เงินบาทลอยตัวก็ยังสองพัน ตอนนี้ค่ามันตกไปเกือบ จะ ๓๕ บาท แล้วใช่ไหม ประมาณ ๔๐ (ญาติธรรมตอบ) ๔๐ ต่อดอลล่าร์ ธนาคารเขาคง ไม่ใช่ ก็คงมืดมั้ง ตลาดมืดมั้ง ๔๐ น่ะตลาด ... อาตมาไม่อยาก พูดมากน่ะ แม้เงินลอยตัว เงินตก ราคาตก ไปถึงขนาดนี้ ก็ยังสองพัน นา

มาพิสูจน์ซี เราไม่ได้โกหก เราไม่ได้ทำเพื่ออวดอ้างนะ เราทำ เพราะว่าเราเอง เราพิสูจน์ตัวเราเอง ว่าเราทำได้ (เสียงหายไป) ทำได้อย่างนี้สิดีอย่างไร แล้วเรา เต็มใจทำมั้ย เต็มใจทำ และ เป็นอะไร ดียังไง รู้มันเป็นคุณค่าประโยชน์ มันเป็นอะไร มันเป็นทฤษฎีกำไรขาดทุนอาริยชน อาตมาก็อธิบาย หมดแล้ว และ ก็พิสูจน์ไปซี มันโกหกตรงไหน มันไม่จริงตรงไหน จริง มันมีนามธรรมที่ไม่ใช่รู้ได้ง่าย คุณพอมีปัญญา รู้จักนามธรรมนั้นๆมั้ยล่ะ ถ้าคุณรู้คุณเต็มใจมั้ย และคุณเชื่อถือมั้ย เชื่อถือเต็มใจ คุณเอาและคุณก็สบายใจ นอกจากสบายใจ โลกๆก็เห็นอยู่หลัดๆ เลยว่า อายคนนี้ดูซินี่อาย เป็นผู้จัดการบริษัท รับเงินเดือนแค่ ๒,๐๐๐ บาท แล้วทำงานซ็อกๆ ทั้งวันนี่ ทำกับบริษัทอะไรต่ออะไรนี่ และ มันดีมั้ยล่ะ คนข้างนอกเห็นว่า มันดีมั้ยล่ะ ดีคุณไม่มาทำ คุณมาทำเองไม่ได้หรอก คุณก็ไม่มาทำ แต่คนอื่นเขาทำได้ มันดีมั้ยล่ะ เขาประหยัดอย่างนี้ดี ใช่มั้ยล่ะ เขาก็ไม่ว่าอะไร พนักงานก็ราคาถูก ก็ยังมาลด ต้นทุนได้มาก ขายอะไรก็ได้ถูกลง มันจริงมั้ยล่ะ ทำได้จริงก็ดี นี่เป็นสิ่งพิสูจน์รูปธรรม เป็นวิทยาศาสตร์ชัดเจน นามธรรม อาจจะพิสูจน์ยากหน่อย เขาจะสบายใจหรือไม่สบายใจ เขาอาจฝืน ทำเป็นยิ้มสบายใจ แต่ในใจอาจฝืน ก็เรื่องของเขา แต่ถ้าเขาสบายใจจริง ก็เรื่องของเขา เขาต้องรู้ตัว เขาเอง ว่าเขาเอง เขาสบายใจจริงรึเปล่า ใช่มั้ย นี่เขาสบายใจ อย่าว่าแต่เอา ๒,๐๐๐ เลย สองพัน เซ็นแก๊กไม่เอา, เข้ากองบุญหมด เหนือชั้นกว่านั้นอีก อย่างนี้มันเป็นไปได้ยังไง เอเอ้อนี่ ละครรึเปล่า

นี่อาตมายังพูดอยู่เลยว่า พวกนักประพันธ์ทำไมไม่มาหาพล็อตแถวๆนี้ไปสร้างเรื่อง ออกอากาศ ทำหนัง ทำละคร เน้อ ทำละครยาวสักเรื่อง อาตมาว่าอือหือมีพล็อตแปลกนะ คนพวกนี้ พระเอก นางเอก ก็อย่างพวกนี้ ถ้ามาเอาไป อโศกดังแหงๆเลย พล็อทพระเอกนางเอกแบบนี้ มีรสนิยมแบบนี้ มีค่านิยม แบบนี้ แล้วก็มีพฤติกรรมแบบนี้ ทำไปแล้วก็ตั้งซิ สร้างละครก็คือสร้างเรื่อง ให้เห็นว่า มันมีการ เปรียบเทียบ สัมพันธ์กัน ซึ่งคนดูได้ วิธีการสร้างนิยาย สร้างละคร สร้างเรื่อง อะไรพวกนี้ มันก็เป็นเรื่อง ธรรมดาธรรมชาติ ที่จริงมันก็มีอยู่ในสังคม ก็เป็นจริง แต่ว่ามันไม่ได้มาเอารวมกัน เพื่อที่จะให้คนดู ในองค์รวมนี้ แล้วมันก็มีอะไรต่ออะไร เหมือนละครเรื่องราว บทบาท ลีลาอะไร มันก็จะเปรียบเทียบ เปรียบเทียบๆให้ดูได้ชัดขึ้นมา ยังไม่มีนักเขียนนวนิยาย ที่มือดีๆ มาเอาพล็อตแถวนี้ ก็รอเอาไป จะมีนวนิยายมาเอาพล็อตเรื่องอย่างนี้ ไปพล็อตเรื่อง ทำเรื่องมั้ง จะมีแนวแปลก มันมีแต่ละครน้ำเน่า อยู่ตะพึดตะพือ โอ้ดูกันไป น้ำเน่า ก็พยายาม ทำให้ดีทางโลกีย์ละนะ เอาละนะ ก็ดูไปบ้าง อาตมาเองหลายๆทีแม้คิด อยากจะเขียนเหมือนกัน อาตมาเอง ก็มีฝีมือเขียนละครตัวเอง ได้เหมือนกัน เขียนมาแต่เด็ก ละครเคยเล่าให้ฟัง แต่มันไม่มีเวลา ทำไม่ได้ นะไม่มีเวลาเลย จะทำอย่างไร ก็ทำไม่ได้ ยิ่งความชำนาญ ก็ไม่มีเลย เพราะเรื้อ ไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปีแล้ว ไม่ไหว

ถาม พอพ่อท่านบอกว่าพยากรณ์ก่อนได้ล่วงหน้าเกี่ยวกับโลก เกี่ยวกับโลกุตระในอนาคต ทำให้ ดิฉัน นึกถึงเมื่อก่อนโน้นนานแล้ว พ่อท่านเคยพยากรณ์ว่าแบงก์จะล้ม นี่ช่างจำจริง พอมาถึงวันนี้ ดิฉัน ต้องขนลุกกับคำพยากรณ์ของพ่อท่านจริงๆ เพราะทุกวันนี้แบงก์ก็ทำท่า จะล้ม เอาจริงๆ ถึงแบงก์ไม่ล้ม แต่ทรัสต์ล้มไปแล้ว หลายสิบแห่ง ซึ่งทรัสต์ก็ไม่ต่างจากแบงก์ เท่าไหร่นัก ลงชื่อทึ่งจริงๆ

ตอบ อ้อ! คุณทึ่งจริงๆอยู่ไหนนี่ มันเรื่องจริงน้า แต่ก่อนนี้อาตมาพูดถึงเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ และ อาตมาก็พูดถึงเรื่องแบงก์ เรื่องอะไรต่ออะไร อาตมาก็พอจำได้ แต่ว่าอาตมาไม่อยากหยิบ ขึ้นมาพูด เท่านั้นล่ะ ก็พอจำได้ว่า มันจะไปไม่ออก หลายๆอย่าง หลายๆอัน และก็จะล้ม และ จะล้มอีก หลายอย่าง แบงก์จะล้มอีกหลายอย่าง อาตมาก็ขอพูดไว้นิดหนึ่ง แต่ก่อนพูดไว้แล้วล่ะ มันจะล้ม ต่อไปในอนาคตนี่ก็ เพราะตอนนี้ มันล้มเพราะเศรษฐกิจของสังคม ต่อไปมันจะล้ม พราะศาสนา พระเป็นนายทุนใหญ่ แล้วพระนี่นะไม่เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ วัดนี้นี่ วัดหลวง ว่านั้นเถอะนะ โอ้โห ! มีทุนของวัดนะ อยู่ที่นี่พันล้าน วัดนี้พันล้าน สองพันล้าน ห้าพันล้าน แต่ละวัดจะมีอย่างนี้ต่อไปนี่ เจ้าอาวาสตาย เจ้าอาวาสใหม่ขึ้นมา ก็จะต้องมาดูแลเงินนี้อยู่ อยู่อย่างนี้ อยู่อย่างนี้แหละ เป็นพันล้าน หมื่นล้าน ไปเรื่อยๆ มันก็ทวีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีทางหายหรอก เพราะดอกของต้นทุนพวกนี้ มันก็เหลือกิน เหลือใช้แล้ว แบงก์นั่นแหละ จะต้องมาหาเงิน ให้แก่ดอกของวัดต่างๆนี่ล่ะ มีกี่ร้อยวัด กี่พันวัด ต่อไปในอนาคต แบงก์จะล้ม เพราะหาดอกให้วัดไม่ทัน ฟังไว้อีก แต่ก่อนอาตมาก็พูด แล้วนี่ก็พูดอีก แต่ไอ้ตรงนี้ มันจะเกิดอีกเมื่อไหร่ ก็คอยดูเอาไว้นะ ไว้ทึ่งอีกทีหนึ่งในอนาคต ไว้ทึ่งอีกทีหนึ่ง ไอ้นี่มันทึ่ง ทางด้านเศรษฐกิจ ในฐานะเศรษฐกิจสังคม แต่ไอ้นี่มันคืออันนี้ๆ นี่อาตมาแต่ก่อนก็พูดไว้แล้วนะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คุณฟัง คุณก็คงรู้และแบงก์ก็ชอบ ทุกวันนี้โอ้โหชอบไปเอาเงินจากวัดนั่นแหละ แม้ไปตั้ง แม้บอกว่า จะมีเงินมาบริจาคเท่านั้นเท่านี้นี่ เอาไปรับมาเลยนี่ดี ดีใจไปเฮอะตอนนี่ อีกหน่อยเถอะ เฮอะๆฮึฮึจะรู้สึก เพราะพวกนี้พวกเงินตาย นั่งดูดดอกอย่างเดียว แบงก์หาให้ อย่างเดียว ฮึฮึฮึอีกหน่อยเถอะนา

เอาละพูดไปก็เท่านั้นนะ แต่ว่าในลักษณะของโลกุตระหรือลักษณะของที่พระพุทธเจ้า พาเราเป็นนี่ พระพุทธองค์นี้นะ มีทรัพย์ศฤงคาร มีอย่างโลกๆเขามี ความสุขอย่างโลกๆ โลกียสุข พรั่งพร้อมหมด และเพราะจริงๆ เพราะสัจจะท่านไม่ได้ติดได้ยึดจริงๆ ท่านไม่ได้ไปหลงสุข หลงทุกข์ สุขยังนั้นก็ได้ ไม่สุขยังนั้นก็ได้ เฉยไม่ได้เดือดร้อน เพราะมันไม่ได้ทุกข์แล้ว แม้จะมา ไม่ต้องไปมีบรรจถรณ์อบอุ่น ไม่ได้กินหรูๆหราๆ ไม่ได้ไปได้มาอย่างแม้ สะดวกสบาย เหมือนโลกียะเขา ท่านก็มาตะลอนๆ พระบาทก็ไม่ต้องสวมฉลองพระบาทอะไรๆ ดำเนินได้ด้วยพระบาทเปล่า ไปอะไรก็แล้วแต่ไปนี่ เครื่องนุ่งห่ม ก็ยุคโน้นจริงๆ พระพุทธเจ้าตั้งแต่ยุคแรกๆ ไม่ได้ใช้จีวรคหบดี ท่านก็ใช้ผ้าบังสุกุล ใช้ผ้าห่มศพจริงๆ เอามาตัดเป็นจีวรจริงๆ และท่านทำไป แม้เขาจะมาให้อย่างนี้ ก็ไม่ได้หรูหรา ไม่ได้ฟู่ฟ่าอะไร ท่านก็อยู่ยังนั้น นอนโคนไร่โคนไม้ไป จนพระชนม์ชีพสิ้น ๔๕ พรรษา ท่านไม่ได้ทุกข์นี่ ท่านเป็นท่านนะ อาตมาเป็นอาตมา

ขนาดทุกวันนี้ บารมีแค่อาตมา อาตมายังเห็นความจริงอันนี้แล้ว ไม่ต้องไปแกล้ง ไม่ต้องเสแสร้ง ให้นอนโคนไม้ นอนนี่จะเป็นไร นุ่งห่มอะไรไม่มีปัญหาเลยจริงๆ ไม่ถึงอาตมาหรอก อาตมาว่า สมณะนี่ ก็พิสูจน์พวกนี้ได้แล้ว ปัจจัยอะไรของพระนี่ จะต้องเอาให้ได้มี (ญาติธรรมตอบ ฟังไม่ชัด) นิสัย๔ ไม่ใช่ บิณฑบาตเลี้ยงตน รุกขมูลโคนไม้ นอนนั่งในรุกขมูลคอนไม้ ผ้าบังสุกุล ฉันยาดองน้ำมูตรเน่า นิสัย ๔ ได้ พวกเราเป็นพระไม่ต้องมีบารมีมากหรอก ใหญ่โตอะไร ขนาด ปฏิบัติโลกุตระ สมบูรณ์ยังได้เลย ยิ่งโลกุตระถูกต้องเหรอ ส บ ม ยิ่งสบายมาก ไม่ได้เดือดร้อน จริงๆนะ อยู่ไปจนตาย ก็ไม่มีปัญหา มันไม่ได้ทุกข์นา มันก็สบายๆดีด้วย เพราะยิ่งเหนือไปกว่านั้น มันมีซับซ้อนอีก ก็พิสูจน์ได้อีก ถ้าเราจะต้อง มาสร้างสรร มาช่วยเหลือ มาอุตสาหะวิริยะ เพื่อที่จะพัฒนาบุคคล ขึ้นมาอย่างแนว ที่เราเป็น ไม่ต้องไปติดไปยึดอย่างโลกมากมาย ไปหอบ ไปหามากันนัก ออกมา จริงๆ จริงๆ เพื่อสืบสานศาสนา เพื่อบรรเทาให้สังคมที่มันต่างคน โลกียะยิ่งมีความรู้เท่าไหร่ ทางโลกๆนี่ มันก็แย่งชิงกันขึ้นไป แย่งชิงกันขึ้นไป คนที่เป็นใหญ่ เป็นโต ไปมีอิทธิพล ไปมีอำนาจ ไปมีโอกาสดี ได้โอกาสดี ก็ได้หมดเลยทั้งอำนาจ และ ผลประโยชน์ โลกก็จะพยายาม พัฒนานี่

เอ้าลูกเต้าเหล่าหลานใครต่อใครเอาลูกเองเรียนเองเรียน เพี่อหาช่องทางที่ไป เป็นคนมีโอกาส ที่ดีกว่าเขาทั้งนั้น จริงหรือไม่จริง แม้แต่นั่งอยู่ที่นี่เถอะ ลูกเต้าของแต่ละคน แต่ละคน พวกคุณนี่ ชี้ได้เลยว่า คุณก็ยังจะผลักดันว่า เอ็งต้องเรียน เอ็งต้องสู้ ก็คือไปเป็น พวกที่เป็นคนที่ จะไปได้โอกาส ที่ดีกว่าเขา เพื่อที่จะได้เปรียบเขา จริงหรือไม่จริง เพราะฉะนั้น ลูกจะมาเรียนที่นี่มั่ง นี่จะมา เท่าๆกับ มาตัดโอกาสที่จะไปจากโลกียะ ยังไม่ให้มาเรียน มาเรียนกันที่นี่ เรียนสอน ไม่แน่ใจว่า ลูกเราจะไปได้ เอาไปเรียนโน่นก่อน ทั้งๆที่นี่เรียนฟรี แท้ๆ ยังละ พอหาเงินเลี้ยงมันได้ ส่งมันได้ ให้มันเรียนไปเถอะ ฮึฮึฮึ เพื่อที่ให้ลูกไปเป็น นักได้โอกาสที่ดีกว่า อยู่ตลอดเวลานั่นแหละ ขณะที่ ตัวเราเอง บางทีเราก็ยัง อยากมาทางนี้แล้วนะ แต่มาไม่ได้ เพราะไอ้ลูก มันดึงไว้ เพราะเราจะต้อง ให้ลูกมันเป็น นี่เห็นมั้ยนี่ ส่วนของๆเรา ส่วนของๆเรา และลึกๆ มันก็คือเราก็ว่า เอ้ ! ส่วนของๆเรา มันไม่ให้มาเป็น อย่างนี้ ให้หมดละ เอ้ให้อธิบายว่าไง ฮึๆๆ เราก็อยากมา อย่างนี้นะ แต่ไอ้ลูกเรา ก็ยังให้มันไปอย่างโน้นอยู่ อธิบายยังไง ฮึฮึหา อาตมางงๆ เหมือนกัน จริงรึเปล่า จริงครึ่งหนึ่ง ไม่จริงครึ่งหนึ่ง หรือเปล่า มันก็อย่างว่าแหละ มันก็คือ น้ำหนักของความจริง ถ้าเผื่อน้ำหนักจริงๆๆ มาเอนเอียง มาทางด้านนี้นะ ก็จะไม่แคร์ลูกเท่าไหร่ บอกว่า เออให้มาทางนี้ให้มาก เพราะฉะนั้น ก็มีเอาลูกมาเรียนทางนี้ สบายใจลูกจะมา ไม่มีโอกาส ด้อยโอกาสที่จะไปแย่งชิงทางโลกแล้วบ้างก็เอา ถ้าน้ำหนักความเชื่อถือ มันมาทางนี้มาก

แต่ถ้าเผื่อว่าน้ำหนักยังไม่เชื่อมากยังไม่ให้มา เดี๋ยวตัวเองมาก่อนมาบ้าง นี้แสดงว่า น้ำหนักของตัวเอง ยังไม่มาก ก็เป็นสัจจะของมันว่ากันไป มันก็เป็นอย่างนั้นนะ เพราะฉะนั้น โลกุตระ ระดับโลกียะแล้วนี่ ถ้าลำพังให้โลกียะมัน มันก็จะเดือดร้อนอย่างนี้ไป ยิ่งล้ำหน้า เพราะฉะนั้น กลียุคต้องมีอยู่ทุกกาละ อยู่ในทุกกาล แห่งวัฏสงสาร พอหมุนๆไปก็ถึงกลียุค และก็ไปตั้งต้นใหม่ และก็ไปๆ เสื่อมๆ คนมันก็เลวร้าย เป็นกลียุคอีก เกิดมาใหม่อีก ก็เป็นอีก ไม่จบสิ้นหรอก ในเรื่องของโลกวัฏสงสาร เป็นอย่างนี้ อยู่อย่างนั้น เพราะถ้าเผื่อผู้ใดมาศึกษาโลกุตระ จึงจะเข้าใจความจริงอย่างนี้ แล้วก็ไม่ต้อง ไปเป็นตัวอย่าง อย่างที่มันจะไปหากลียุค คนที่ดีหรือมาโลกุตระนี่ จะมาถ่วงไว้ ถ่วงให้ไปหาโลก และถ่วงให้ไปหา กลียุคช้าลง หรือช่วยแต่ละบุคคลนั้นรอดพ้น หลุดพ้น ปลอดพ้น จากเหยื่อของ วัฏสงสาร ที่หมุนเวียนอยู่อย่างนี้ไป จริงๆประโยชน์ตรงก็คือ แต่ละบุคคล ผู้ใดมาได้ ผู้นั้นก็ได้หลุดพ้น จากวัฏสงสาร ส่วนผู้ที่ได้รับผลประโยชน์บ้างก็คือ ชะลอกลียุค ใครอยากจะเห็นกลียุคมันชน ต่อหน้าต่อตาบ้าง แม้แต่คนโลกๆ ก็ยังไม่อยากเห็น นอกจากคนซาดิสม์ ใช่ไหม คนซาดิสม์ เท่านั้น อยากจะเห็น โอ้โห ! มันรุนแรงและฝึกไปซิ นา ฝึกเข้า ดูอะไรมันยิ่งรุนแรงมาก ยิ่งมัน ยิ่งสะใจมัน ถึงพริกถึงขิงมัน อือหือมันฆ่ากัน, ตีกันแทงกันอะไร แล้วแต่ สมัยโบราณ ก็เอาคนมาสู้กับสิงโต อย่างนี้นะ เอาสิงห์โตก็สู้ไปก็กัดไป เลือดสาดไป อือมันตัวไหนสู้เก่ง ยกให้เป็นวีรบุรุษ โถ คนมันจะสู้ กับสิงโต เจ้าพระคุณ ก็เสร็จสิงห์โตเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ดู มันสะใจ

สมัยนี้ก็ซับซ้อน แต่ก็ยังทำอยู่อย่างนั้นล่ะ มีอะไรต่ออะไร ก็เหมือนศิวิไลซ์เป็นเมือง เป็นประชาชน เหมือนคนศิวิไลซ์แล้ว แต่ก็ยังอำมหิตซับซ้อนอยู่ในลึกๆ ไม่ดูเป็นรูปหยาบ แต่เชิงชั้น ซับซ้อนลึกอำมหิต จะพูดยังไงล่ะ มันอำมหิตซับซ้อนอำมหิต ดูข้างนอก ดูเหมือนมันไม่ อะไร แต่ข้างในโอ้โหแรงนะ ยึดจัด เอาจัด เอากันให้ตาย ตายเป็นโคตรๆเลยนะ ไม่ใช่ไปตายธรรมดาเลย ฮ้อ! อาตมาเห็นแล้ว แล้วเมื่อไหร่ มันจะพ้นเวร พ้นกรรมกันสักที จองเวร จองกรรม ไปแล้วเหมือนหนังจีน แค้นต้องชำระ ๑๐ ปียังไม่สาย ๑๐ ชาติยังไม่สาย แค้นต้องชำระ ตายแหละหว่า เมื่อไหร่มันจะจบ ไม่จบหรอก แล้วก็ไม่รู้เรื่องของกรรม ถ้าพวกเรานี่นะ ไม่สำนึกในเรื่องกรรม ไม่เข้าใจว่ากรรมนี่เป็นยอด ถ้าเราอ่าน "เราคิดอะไร" ตอนนี้ อาตมา กำลังขยาย "เรื่องกรรม" มาก เพราะอธิบายมาถึงตอนนี้ มาถึงเรื่องกรรม

อาตมาอธิบาย อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรม แต่ธรรมนี่ไม่ต้องอธิบายมากหรอก เพราะว่าเข้าใจ ไปโดย ปริยาย ธรรมะก็คือส่วนดีส่วนชั่ว พูดง่ายๆก็ส่วนกลาง กลางอย่างโง่ กับกลางเฉย อย่างโง่ กับเฉย เฉยอย่างอันธพาล เอ้อ สบายมาก แน่ข้ากับแกเฉย  จิตว่างข้าแน่จิตว่าง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้ (ฟังไม่ชัด) แบบจิตว่าง แบบอันธพาลจิตว่าง แบบพระอริยเจ้า หรือ พระอรหันต์ มันก็ต่างกันนะ ก็มีแค่นี้ธรรมะ กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา อัพยากตาธรรมา ถ้าธรรมะจะว่ากันแล้วนะ คือจะต้อง รู้คุณลักษณะ ที่แท้จริงว่า อย่างใดชื่อว่าธรรม อย่างใดชื่อว่า อธรรม เพราะฉะนั้น จนกระทั่งเข้าใจ ธรรมะ อธรรม จนกระทั่งถึงขั้นปลอดพ้นจิตของตนเอง เป็นกลาง หรือซื่อบื้อ กลางอย่างซื่อบื้อ กลางอย่างอันธพาล ด้วย อย่างซื่อบื้อไม่รู้เรื่อง ก็อันธพาลอย่างกลาง อันธพาลหรือ กลางอย่าง พระอริยเจ้า พระอรหันต์ ก็เรียนรู้เท่านี้แหละ ธรรมะ ถ้าจะว่ากันจริง หนักอยู่ที่ กรรม เพราะฉะนั้น ในคนคือกรรม สัตว์เดรัจฉาน ไปถือว่า กรรมนั้น ไม่ได้หรอก มันไม่รู้เรื่อง มันไม่รู้ธรรมะ เพราะฉะนั้น สัตว์เดรัจฉาน มีจิตวิญญาณจริง แต่มันไม่รู้ธรรมะ เพราะฉะนั้น จะไปเอาผิดเอาโพยอะไรมันไม่ได้

แต่คนนี่ถือว่า จิตวิญญาณยอดแล้วนี่ คนรู้จักธรรมะ เพราะฉะนั้น เมื่อคนมาศึกษาธรรมะ สัจจะ ที่ลึกซึ้ง อย่างนี้ถือว่าดี ถือว่าดี เหมือนอย่างที่ยกตัวอย่างง่ายๆ ถ้าคนมาไม่รวยแล้วนี่ จนแล้วดี อาตมา ตอนนี้พูดตรงเลย เศรษฐศาสตร์บุญนิยม หรือเศรษฐศาสตร์เชิงพุทธนี่ พูดไปแล้ว มันมีหลักเกณฑ์ ยังไง บอกไปแล้วเดี๋ยวหัวเราะฟันร่วง เฮ้อต้องสอนให้คนหัดมาจน แล้วมันทำไงโว้ย เศรษฐศาสตร์ อะไรวะ สอนให้คนมาจน แล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ อย่างนี้ เป็นต้น ซึ่งฟังแล้วมันก็งง ฟังยาก แต่ความจริงมันจริง คือสัจธรรมมันยากขึ้น เพราะฉะนั้น มาเรียนรู้สัจธรรม แล้วรู้จักธรรมะ แล้วมา เรียนรู้เรื่องกรรม กรรมนี่แหละเป็นเรื่องของคน คนต้องมารู้จักกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มี ๓ กรรมเท่านั้นแหละ ไม่มากกว่า ๓ กรรมนี่หรอก แล้วต้องรู้จริงๆเลยว่า กรรมอย่างไร เป็นสัจธรรม เป็นธรรมะ อย่างไรเป็นอสัจธรรม อย่างไรเป็นทุจริต อย่างไรเป็นสุจริต ธรรม เรียนรู้รายละเอียดอันนี้ ให้จริง แล้วเราก็ปรับปรุงตัวเราเอง สู่ธรรมะ ปรับปรุงกรรม ให้มันเข้ากุศล ให้มันเข้าตัวเจริญ ให้มันเข้าเจริญ เพราะฉะนั้น คำว่า กุศล มันได้ทั้งโลกีย์ ได้ทั้งโลกุตระ กุศลโลกุตระเป็นสุดท้ายก็คือ ไม่เป็นกุศล และไม่เป็นอกุศล เห็นมั้ย หนักเข้า โลกุตระจริงๆ กุศลสูงสุดคือ ไม่ติดยึดทั้งกุศลและ อกุศล แต่เป็นกุศลมั้ย เป็น เพราะโลกุตระนั้นเป็นกุศล แต่ไม่ยึดกุศลว่าเป็นเรา เป็นของเรา ก็คือไม่มี เพราะฉะนั้น ที่ว่าไม่มีนี่ ต้องให้ลึกซึ้งนะ พระอรหันต์เจ้า ท่านไม่มีแล้วกุศลหรืออกุศล

ไม่มีเพราะอะไร เพราะท่านมีกุศลเต็มที่ แล้วท่านก็ไม่ยึดกุศลเป็นเราของเรา คือท่านไม่มีอัตตา ไม่มีอัตนียาแล้ว ท่านไม่มีตนมีของตนแล้ว แต่ท่านมีของตนมั้ย จริงๆท่านมีของตนมั้ย มีของตน ถ้าตราบที่ท่านยัง ไม่ปรินิพพาน ท่านมีกรรมของตน ท่านก็มีวิบากของตน มีกรรมของตน ท่านก็มี กริยาอดีตของตน ไอ้ส่วนบาปก็คือบาป ที่แต่ก่อนมันไม่รู้มันก็ทำ มันก็สะสมเป็น ของตนมาแล้ว พอท่านรู้แล้ว เริ่มต้นตั้งแต่เป็นโสดา ท่านก็เริ่มต้นไม่ทำแล้ว ลดลงมา ตามอำนาจของภูมิ บุญบารมี โสดาก็ทำน้อยลง สกิทาก็ทำอกุศลน้อยลงไปอีก อนาคาก็ยิ่งทำ อกุศลน้อยลงไปอีก ยิ่งทำกุศล มากขึ้นไปอีก โสดาก็ทำกุศลมากขึ้นหน่อยหนึ่ง สกิทาก็ทำกุศลมากขึ้น ลดอกุศลลงไปอีก อนาคาก็ยิ่งลดอกุศล ลงไปมาก ทำแต่กุศลทวีขึ้นไปอีก เป็นอรหันต์ ก็ไม่ทำเลยอกุศล ทำแต่กุศล ท่าเดียว

ท่านมีมีกุศลเห็นมั้ย มีโลกียะ โลกียะฝ่ายดี พระอริยเจ้ามีโลกียะ ยิ่งพระอรหันต์นี่ชัด ท่านทำแต่กุศล สัพพปาปัสสะ อกรณัง ไม่ทำแล้วบาป ไม่ทำแล้วอกุศล กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่กุศล ยังกุศล ให้ถึงพร้อม ไม่หยุด ไม่สันโดษในกุศล สจิตตะปริโยทปนัง ทำจิตให้ผ่องแผ้ว ทำจิตให้ผ่องใส ทำจิต ให้หยุดเลย แม้มีดีเป็นของตน แต่ไม่ยึดเป็นของตน ท่านก็ไม่ต้องมีดี นี่เรียกว่า ถึงไม่มีกุศลและอกุศล เพราะท่านมี แต่ท่านไม่เอาเป็นเรา เป็นของเรา มันเป็นภาษาที่ฟังยาก แต่ความจริง ท่านต้องเป็นจริง อย่างนั้น ถึงจะชื่อว่า "พระอรหันต์" เป็นความจริง ที่ท่านจริงใจ จริงกาย จริงวาจา ที่ท่านทำดี และท่าน ก็ไม่ติดยึดเอาดีเป็นเรา เป็นของเรา จึงเรียกว่า ท่านมีทั้งโลกียะ และส่วนดีด้วย มีทั้งโลกุตระ

แต่ส่วนโลกียะนั้น มันไม่มีโลกุตระ โลกียะมันไม่มีโลกุตระ แล้วโลกียะก็มาก คนมาก ทำดี ก็จะต้อง มีบุญมีคุณ มีการตอบแทน มีการทวงบุญทวงคุณ ใช้หนี้ มีเวรานุเวร วัฏสงสาร ไปอีกนาน นานเท่านานเลย เพราะฉะนั้น มันจึงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ โลกียะนี่ จะเป็นกุศลก็รู้อยู่ ก็สร้างกุศล เหมือนกัน ก็หลายศาสนา ก็สอนให้สร้างกุศล สร้างกุศล เสร็จแล้วเป็นไง เป็นใหญ่ หนักเข้า เท่าพระเจ้านะ เท่าพระเจ้า มีกุศลอันยิ่งใหญ่ และเป็นเจ้า ใหญ่เลยนะ มีอำนาจบาตรใหญ่ สั่ง ไม่ชอบหน้า ทำให้ทุกข์ เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าให้ทุกข์

เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า ให้คนนี้ทุกข์ ให้คนนี้ไม่ทุกข์ ฟังแล้ว เอ้! พระเจ้านี่น้อๆ ยังมี พระประสงค์ ให้คนทุกข์อยู่เลย ถ้าได้รับทุกข์เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า หรือพระเจ้าลงโทษ ว่านั้นนะ โอ้! พระเจ้าเป็นพระประสงค์ลงโทษ และก็ไม่รู้ว่า ยังไงล่ะก็แล้วแต่ พระเจ้า ๆ ยิ่งใหญ่ อย่าไปว่า พระเจ้าลำเอียง พระเจ้าไม่ลำเอียง จะเอียงหรือไม่เอียงเราไม่รู้ ไม่รู้ จริงๆแล้ว อำนาจที่ว่านี้ ศาสนาพุทธรู้ดี อาตมาอธิบาย ในเราคิดอะไร อยู่ตอนนี้ ให้เข้าใจชัดเจนว่า ที่จริง พระเจ้าก็คือ อำนาจ พลัง กรรม กรรมของเรานี่แหละ เราสั่งสมมาก็เป็นพลังกุศลอกุศล มันก็อยู่ เป็นพลัง คุณมีพลัง ของกุศลมาก มันก็สั่งให้คุณเป็นอันนั้นน่ะ ถ้าคุณมีพลังอกุศลมาก มันก็สั่งให้เป็น อันนั้นแหละ คุณไปบิดเบี้ยวมันไม่ได้หรอก กรรมของสัจจะของโลก ไม่มีใครไปบังคับ ไม่มีใครไปเบี้ยว ไม่มีใคร ไปกำหนด เราทำอย่างไร ก็เป็นของอย่างนั้น เป็นของของตน และ ตนก็สั่งสม ตนก็เป็นทายาท ของกรรม เราจะไปแบ่ง เอาไอ้นี่ มันชอบโว้ยเอาออกหน่อย, บาป อกุศลไม่เอา และนี่ แบ่งส่วนกุศล ให้คนนั้น ให้คนนี้บ้าง แบ่งแล้ว หมดไหม แหว่งไหม ไม่รู้ แบ่ง ก็ไม่มีใครบอกว่า แบ่งกุศลไปหมดไหม แบ่งมันก็ควรหมด เนอะ ก็อย่างนั้นละ อาตมาอธิบายไปให้ฟังชัดๆ อยู่แล้ว

อาตมาถึงอยากจะย้ำพวกเรา ให้ระวังกรรม พระพุทธเจ้าก็ตรัสนะ กรรมใดที่แม้รู้ว่ามันไม่ดี กรรมอกุศล แม้น้อย อย่าทำเสียเลยนั่นแหละดีกว่า ท่านก็ตรัสท่านก็สอนอยู่ชัดๆ เจนๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อผู้ใด ไม่เข้าใจกรรม ผู้นั้นจะไม่เข้าใจพระเจ้า และผู้นั้นจะไม่เข้าใจ อำนาจ ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่เข้าใจ ถ้าศึกษากรรมดีๆ แล้วก็พิสูจน์ สังเกตอ่านกรรมไปเรื่อยๆ คุณไม่เข้าใจชาตินี้ ชาติหน้าเอาต่อ ศึกษาต่อ ชาติหน้ายังไม่เข้าใจ ศึกษาชาติโน้นต่อ เมื่อใดเมื่อหนึ่ง คุณมีบารมี มีภูมิ คุณจะเข้าใจจริงๆ เข้าใจ

อาตมาว่าอาตมาเข้าใจ และอาตมาเชื่อกรรมที่สุด เพราะฉะนั้น กรรมชั่ว กรรมดี ต้องระวังไม่ทำ ถ้าคุณไม่ทำ ให้มันตายลองดู มันตายนี่ ไม่ได้ทำกรรมชั่วนี่ โอ้มันดี ก็เรามีวัฏสงสาร ก็มันไม่ได้ สั่งสมไป เป็นสิ่งที่ชั่วไป มันก็ดี ตายก็ตายเพราะว่า ยังไม่ปรินิพพาน มันก็ต้องตาย มันก็ต้องเกิด อยู่ดี เกิดมาแล้ว ก็เกิดมาใหม่ แล้วก็มีบ้านหลังใหม่ที่ดีกว่าเก่า คุณจะไปกลัวทำไม ตายเพราะ ไม่ทำอกุศล แต่ตาย เพราะทำอกุศล มันไม่เข้าท่านะ ตายแล้ว ตายหละหว่า แล้วไงละ ไปเอายางลบก็ไม่ได้ เอาไปค้า ไปขายใครก็ไม่ออกนะ อกุศลน่ะ ทำสิ่งไม่ดี มันก็ต้องเป็นของตน ปฏิเสธไม่ได้ ปฏิเสธไม่ได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหย่อนข้อ อย่าไปอะไรให้มันมากนักเลย นอกจากว่า กรรมที่มันสูงจริงๆ แม้มันยาก จริงๆ ลำบากจริงๆ ทำไม่ได้ดี ขนาดนี้ มันถือว่า ขนาดนี่ ไอ้ที่จริงกรรมที่เป็นกุศล มันก็ยากขึ้น สำหรับ บารมีของแต่ละบุคคล บุคคลบางคน กุศลขนาดนี้ดี มันทำไม่ได้ ถือว่าสุดวิสัย แต่ถ้าเราทำได้อยู่นะ อย่าผัดวันประกันพรุ่ง อย่าผลัด กุศลกรรม ขนาดนี้เราทำได้ เราเคยทำแล้วด้วย ทำไปหลายทีแล้ว นี่อกุศลมันหน่อยวะ แน่ะฮึๆ เอานิดเอาหน่อยไม่ขาดทุนหรอก ก็เราทำกุศลมาตั้ง ๓,๔ ครั้งแล้ว นี่ก็เพิ่งครั้งเดียว อย่าเลย ถ้าคุณทำได้ อดได้ทนได้ เคยทำมาแล้วด้วยว่าดีนี้ทำได้ เราเคยผ่าน อย่าไป ซูเอี๋ยมัน แน่นอน มันมีพลังที่จะอกุศล มันก็มีพลังที่จะออเซาะ มันหลอกมันล่อ มันโอ๊สารพัด มันจะเอาคุณลง ซาตานนี่ ถ้าเผื่อไม่เก่งจริงนี่รับรองเฮอะ พระเจ้าเอาเหี้ยนหมดแล้วซาตาน พระเจ้านี่เก่ง ไม่เก่งอย่างเดียว สู้ซาตานไม่ได้

ไปถามศาสนาทางโน้น พระเจ้าเคยสร้างซาตานรึเปล่า ไม่ได้สร้าง เอ๊ะแล้วมันเกิดมาได้ยังไง นี่ ประเด็นหนึ่ง ประเด็นที่สอง พระเจ้านี่ ยอดเยี่ยมใช่ไหม สั่งการให้ได้ทุกอย่าง สั่งทั้งเกิด สร้าง สั่งทั้งทำลาย ใช่ไหม ทำไม ไม่ทำลาย ซาตานให้เกลี้ยงล่ะ ทุกวันนี้ยังอยู่เลย ฮึๆ เฮอะๆ อย่าไปทะเลาะ กับเขา เพราะอาตมาก็บอกให้แล้ว ไปทะเลาะกับทางศาสนา ที่เขามีพระเจ้า อย่าไปทะเลาะกับเขา แต่เล่าให้ฟัง มันคาคอนะ อาตมาวิเคราะห์ ในเราคิดอะไร มีอีกประเด็น สักสองสามประเด็น นี่แค่ สองประเด็น ที่ระลึกได้เท่านี้นะ พระเจ้ามีเชิงที่มีจุดบอด ที่เราจะท้วงแล้วนะ มี แต่เอาเถอะ ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้หมายความว่า คำว่า พระเจ้าผิด คำว่าซาตานผิด ไม่ผิดเลย แต่ต้องรู้ให้ชัด

พระเจ้าก็คือกุศลกรรมที่มากเพียงพอ จนเป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจ ซาตานก็คือ อกุศลกรรม ที่มากพอ จนเป็นฤทธิ์ เป็นอำนาจเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ไม่มากไม่ปรากฏเป็นซาตาน ถ้าไม่มากก็ไม่ปรากฏ เป็นพระเจ้า จะปรากฏเป็นพระเจ้าหรือปรากฏเป็นซาตาน ก็เพราะ มีอิทธิพล มีอำนาจ แล้วซาตาน ก็มีอิทธิพล พระเจ้าก็มีอิทธิพล อะไรอิทธิพลของอะไร "กรรม" กรรม เพราะฉะนั้น ควรสั่งสม ความเป็นพระเจ้า สอดคล้องตรงกัน พระเจ้าท่านเป็นอย่างไร เราต้องเป็นอย่างนั้น พระเจ้าเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันกับพระเจ้า ตรงกันกับศาสนาอื่น จริงไหม จริง พระเจ้ามีจริงไหม มีจริง

แต่ต้องรู้ พระเจ้าคืออะไรๆ แล้วสั่งสมพระเจ้าได้ไหม ได้ เฮอะๆสั่งสมพระเจ้าได้ไหม ตรงกัน เขาก็ฟัง ศาสนาที่พระเจ้าต้องทำอย่างพระเจ้า ท่านสอนดีพระเจ้าต้องสอนดี พระเจ้าสอนไม่ดี ไม่ใช่พระเจ้า พระเจ้าต้องสอนดี ต้องสอนสัจธรรม ต้องสอนสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ดีงาม และต้องทำให้ได้ ทำอย่างที่ พระเจ้าท่านว่านั่นแหละ และคุณก็ได้ และก็เป็น สั่งสมเป็นกรรม เป็นวิบากด้วยมีจริง มีจนกระทั่ง ถึงปาฏิหาริย์ มีอะไรต่ออะไรก็จริง มีบารมี ถึงขั้นถึงขีดจริง

เพราะจะบอกว่า พระเจ้าไม่มีจริง ไม่ใช่ ไม่ได้ พูดไม่ได้ บอกว่าพระเจ้ามีจริง พระเจ้าไม่มีจริงไม่ใช่ มีจริงๆ และต้องทำให้ได้ด้วยนา ถ้าทำ พระเจ้า

อย่าไปทำซาตาน ให้มากนักก็แล้วกัน สั่งสมความเป็นซาตาน ไม่เข้าท่า สั่งสมความเป็นพระเจ้า ให้ได้มากๆ เมื่อคนแต่ละคนนี่มาศึกษา มีทิฐิสามัญญตา มีความเห็นที่สอดคล้องกัน คือมี อุดมการณ์ เหมือนกัน มีค่านิยมเหมือนกัน มีความเข้าใจตรงกันว่า เออ เราจะไปอย่างนี้ ทำอย่างนี้ๆ

สรุปง่ายๆ คือเรามีทิศทาง เป็นนิพพาน หรือเป็นบุญนิยม หรือไปทางโลกุตระนี่ เป็นทิศทาง ตรงกัน มันก็จะมารวมกัน จะมาช่วยเหลือ สร้างสรร ให้มันเกิดสภาพจริง เพราะมันมีทั้งบุคคล มีทั้งรูปธรรม นามธรรม และก็มีทุกอย่างเลย ตั้งแต่วัตถุไปจนกระทั่งถึง บทบาทลีลา มีกระแสของจิตวิญญาณ อีกด้วย มีทั้งกระแสของจิตวิญญาณ มันก็จะเกิดจริง เป็นจริง เพราะฉะนั้น มารวมกันอยู่ พยายาม เป็นจริง ของมันไป

ชาวอโศกก่อรูป ก่อร่าง ก่อตัวก่อตนมา ๒๐ กว่าปีแล้ว มีขึ้นมาแล้ว แม้อาตมาจะสิ้นใจไป วันนี้ นาทีนี้ อโศกก็อยู่ แต่อย่าประมาท แต่ก็ดีเท่านี้นะ ไม่ใช่ดีเท่านี้ พวกเราจะสามารถนำพาไปได้ ขึ้นไปได้ กว่านี้อีก อยู่เหมือนกัน แต่ก็เท่าที่ฤทธิ์ ต้นทุนที่จะมี และ พวกเรารับเอาส่วนที่เข้าใจ และ มีพลังของ เจโต มีพลังของบารมี มากแค่ใด สำหรับผู้ที่รับช่วง ก็ได้แค่นั้น เหมือนศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้า สร้างศาสนาไว้ มีอิติสาวก มีบริวารขนาดนั้น ขนาดนี้ ที่รับเอาสิ่งที่เป็นศาสนาพุทธไว้ได้ แล้วก็ดำเนิน สืบทอดมา จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็เท่าที่ฤทธิ์ของพระพุทธเจ้า องค์นี้ สมณโคดม ก็มีฤทธิ์เท่านี้ และ ท่านก็ว่าประมาณ ๕,๐๐๐ ปี มันก็จะหมดแล้วนะ ก็อย่างนี้แหละ

ส่วนพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ก็ได้แสนปี ได้ล้านปีอะไร แต่ละองค์ก็แล้วแต่บารมี ได้กี่หมื่นปี ก็แล้วแต่ แต่พระสมณโคดมได้ ๕,๐๐๐ ปี ก็คือพระสมณโคดม แต่มันมีความซับซ้อน อย่าหาว่า พระสมณโคดม พระพุทธเจ้า ที่เก๊กว่าที่ บางองค์ท่านมี ศาสนาพุทธไปได้ถึงแสนปี ล้านปี และ พระสมณโคดม สู้พระพุทธเจ้า องค์โน้นไม่ได้ ไม่ใช่นะ ไม่ใช่อย่างไร ไม่ใช่เพราะว่า พระพุทธเจ้า องค์ที่พอสร้างศาสนา เสร็จแล้ว ศาสนาพุทธจะไปได้นานถึงหลายหมื่นปีนั้น ชีวิตของพระพุทธเจ้า องค์นั้นๆ ก็มีเวลานาน กว่า ๔๕ พรรษา

นอกจากยาวนานกว่า ๔๕ พรรษาแล้ว บริวารก็ดี คนในยุคนั้นๆก็ดี ไม่ได้กิเลสหนา เท่ากับยุค พระสมณโคดมหรอก ยังไม่ได้กิเลสหนา เป็นคนที่สอนง่ายดีง่ายอะไรง่ายกว่า เพราะฉะนั้น เนื้อต่างๆ นานานี่ แค่อาตมายกตัวอย่างแค่นี้คงเข้าใจ เพราะฉะนั้น ความยืนนาน จึงมากกว่า ปริมาณของบุคคล ก็ได้มากกว่าเท่านั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า พระพุทธเจ้าองค์โน้น เก่งกว่าพระสมณโคดม

พระพุทธเจ้าองค์โน้น ถ้ามาเกิดในยุคนี้ แล้วก็มีองค์ประกอบเหมือนยุคนี้ คนกิเลสหนาเท่านี้ และก็ ท่านก็มีอายุแห่งศาสนาของท่าน ท่านก็อยู่ไม่ใช่ ๔๕ พรรษา เหมือนพระสมณโคดม ว่างั้นเถอะ ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าองค์โน้นก็จะ ๕,๐๐๐ ปี เหมือนพระพุทธเจ้า สมณโคดมนี่แหละ พอเข้าใจมั้ย มันมีนัย เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ไม่ได้ต่างกัน ไม่ได้หมายความ องค์นั้น เหนือชั้นกว่า วิเศษกว่าไม่ใช่ ไม่ได้ต่างกันหรอก เหมือนกัน เป็นแต่เพียงว่า องค์ประกอบมันต่างกัน มันจึงมี สิ่งที่ไม่เหมือนกันบ้าง แม้แต่แค่ อายุยืนยาว ของศาสนาพุทธสั้นกว่ากัน ยาวกว่ากัน อย่างนี้ เป็นต้น ไม่ใช่ว่าพระพุทธเจ้า แต่ละองค์ ท่านเก่งกว่ากัน ไม่ใช่อย่างนั้น

ถาม : เด็กที่เคยเรียนไปจากที่นี่ ส่วนใหญ่จะมีส่วนแห่งบุญนิยม ติดออกไปรับใช้สังคม ดิฉันมีลูก ๒ คน เรียนพุทธธรรมรุ่นแรก (นี่เรียนแค่พุทธรรมใช่มั๊ย) ขณะนี้จบปริญญาโท ทำงานด้าน สื่อสารมวลชน เขาได้พยายาม ทำงานเพื่อสร้างสรรสังคม และทุ่มเททำงานเกิน เงินเดือน คำนี้ฟังแล้วแม้ (จืด) น่าดีใจ ทุ่มเททำงานเกินเงินเดือน จนแทบไม่มีเวลามาวัด อีกคนทำงาน โครงการวิทยาศาตร์สารสนเทศ ทำงาน อาทิตย์ละ ๗ วัน เป็นส่วนใหญ่ และทำงานเกินเวลาทุกวัน โดยไม่มีค่าล่วงเวลา แต่ดูเขา มีความสุข ที่จะทำ แม้เงินเดือนน้อย มีเพื่อนๆชวนไปทำงานตามสถาบันการเงิน หรือบริษัทเอกชน กินเงินเดือน สูงกว่า มีค่าล่วงเวลา มีโบนัส แต่เขาไม่สนใจ ขณะนี้เพื่อนหลายคน โดนปลดออก จากงาน บางคน ลดเงินเดือน ลูกเขามีความสุขอยู่กับงาน จนไม่มีเวลามาวัด จะทำอย่างไรคะ

ตอบ : อ้อปัญหามันอยู่ตรงท้ายเนาะ แต่ไม่ได้ไขว่าเพื่อนๆถูกปลดออกจากงานบ้าง ลดเงินเดือนบ้าง ลูกๆ ถูกลดมั้ย เฮอะๆ ถูกปลดออกจากงานรึยัง ไม่ถูกลด ยังมีความสุข ไม่ถูกปลดไม่ถูกลด ยังมี ความสุข แต่ไม่มาวัด ก็บอกเขาบ้างนะ เตือนสติเขาบ้างนะ ว่า เอานา เราเอง เรากินบุญเก่า หมดน้า ถ้าไม่ไปเติมเอาเชื้อ ไม่ไปเติมเอาพลังอะไรต่ออะไรจากธรรมะมาบ้าง ก็เอาเถอะ ทำงานให้แก่โลก ก็ดีอยู่ เราทำงานให้แก่โลก ก็คือ ทำงานให้แก่โลก แต่เราจะทำงาน ให้แก่โลกได้มากขึ้น ก็เพราะว่า เรามีพลังทางธรรมนี่ เสริมขึ้น เรามีพลังทางธรรมแค่นี้ เรายังทำให้โลกได้มากเท่านี้ ถ้าเราเสริม พลังธรรม ให้กับเราเองมากขึ้นอีก มีพลังมากขึ้นกว่าเก่า เราจะทำให้ทางโลกมากกว่านี้นะ ก็พยายาม บอก พยายามมาเสริมมาเติม ถ้าไม่เสริม ไม่เติมแล้ว หนึ่ง เราทำไม่ได้ดีขึ้นหรอก นอกจาก ไม่ดีขึ้นแล้ว มันจะเพี้ยน มันจะกลายเป็นโลกียะไป เพิ่มเติมหรือแทรก เพราะเราไม่รู้ลึกซึ้งเพิ่มเติม มันซับซ้อน มากเลย ธรรมะ นี่ซับซ้อนลึกซึ้งนะ เพราะฉะนั้น ประโยชน์ที่จะให้แก่สังคม มันก็จะไม่ pure ไม่บริสุทธิ์ มันจะเปื้อนขึ้นไป เปื้อนขึ้นไป มันดูเหมือนมากนะ แต่เราไม่มีญาณปัญญารู้ ไม่รู้รายละเอียด มันจะดูเหมือน เราทำให้โลกได้มากขึ้นเหมือนกัน แต่ความจริงไม่ใช่ มันซ้อน มันมีภาวะแทรกแซง ที่เป็นโลกียะ แทรกแซงๆๆ อาจจะมีปริมาณ หรือรูปธรรม มันมากขึ้น แต่ในนามธรรม ที่เราไม่ลึกซึ้งนั้น เราไม่รู้ นี่ความซับซ้อนพวกนี้ มีมากจริงๆ ขนาดอาตมาทำงานอยู่ ทุกวันนี้ อาตมาอนุโลมให้แก่โลก โอ้โห หลายๆเหตุการณ์ หลายๆเรื่อง อาตมาต้องโอ้โห! ต้องกลับลำแทบไม่ทัน จนอาตมาต้องโดนว่า อาตมานั้น ไม่อยู่กับร่องกับรอยนะ เพราะโลกนี้ ไปเล่นกับมัน ไม่ง่ายนะ โลกนี่เผลอๆ มันเอาตายนะ

ซาตานนี่ โอ้ยเล่นกับมันไม่ง่ายหรอก มันเก่ง ๆ ถ้ามันไม่เก่ง มันไม่ครองอยู่นิรันดรหรอก ซาตานอยู่ นิรันดรนะ ตราบใดที่พระเจ้าไม่หมด ซาตานก็ไม่หมดนะ นิรันดรด้วยกันทั้งคู่นะ พระเจ้ากับซาตาน อยู่นิรันดร ทั้งคู่เลย คือดีกับชั่ว ดีกับชั่ว เป็นแต่เพียงว่า บางยุคนั้น พระเจ้าใหญ่ ซาตานฝ่อ ไม่ค่อยมี อิทธิพล เพราะฉะนั้น ยุคกลียุคพระเจ้าฝ่อ ฮึๆๆ ซาตานผงาด มันอย่างนี้แหละ เล่นเจ้าล่อเอาเถิด กันอยู่อย่างนี้แหละ นานมาแล้ว นานแล้วนะ นานจนกระทั่ง ไม่รู้จะเอาอะไรไปวัดเบื้องต้น ว่าเริ่มต้น ตั้งแต่เมื่อไหร่ และจะจบเมื่อไหร่ ยังไม่รู้เลย เป็นธรรมา ธรรมะสงคราม กันอยู่ตลอดกาลนาน

เพราะฉะนั้น เราเป็นผู้ที่เกิดมาอยู่ตอนนี้เราแทรกแซงนี่ เรามาเกิดอยู่ในกาละ มาเกิดอยู่ในโลกนี้ เรามาเกิดอยู่ ในวัฏสงสารนี้ เราจะต้องทำตัวเรานี้ให้ยอด จะให้เป็นพระเจ้าก็จงทำ ถ้าคุณเป็น พระอรหันต์ไปแล้ว ถือได้ว่าคุณเป็นพระเจ้า เป็นลูกพระเจ้าแล้ว เป็นพระบุตรที่แน่นอนแล้ว คุณจะยัง ไม่ยอมตาย คุณจะยังไม่ยอมปรินิพพาน แต่ ตายมันต้องตายแน่ ด้วยร่างกายอายุขันธ์นี่ตาย

แม้พระอรหันต์ อายุขันธ์ต้องตาย เป็นพระพุทธเจ้าอายุขัยก็ต้องตาย แต่พระพุทธเจ้า ท่านไม่ต้อง ไปพูดถึงท่าน เพราะว่า พระพุทธเจ้า ต้องถือว่าหมดข้อไปวิจัยวิจารณ์ท่านแล้ว พระอรหันต์นี่ คุณจะ เกิดมาอีก ก็มีหลักประกัน คุณจะเกิดมาช่วยโลกเขาอีก คุณเกิดมาเป็นคนดี มีหลักประกันที่ดี แน่แท้แล้ว คุณเกิดมาซิ โลกนี้ก็จะได้ประโยชน์จากคุณ คุณจะเกิดอีกเท่าไหร่ก็เกิดได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดมาเป็นคนแล้ว จงเป็นคนเป็นพระอรหันต์ให้ได้ คุณไม่ต้องห่วงหรอก ว่าคุณเกิดมาอีก โอ้! เป็นพระอรหันต์แล้ว เดี๋ยวจะไม่ได้เกิดมาอีก เฮ้ย! ไม่ต้องกลัว อาตมารับรอง คุณจะเป็น พระอรหันต์แล้ว คุณอยากเกิดมาอีกก็ได้ แล้วมีหลักประกันด้วย โลกนี่ได้รับประโยชน์จากพระอรหันต์ แน่นอน จะเกิดอีกเท่าไหร่ๆ ส่วนมากเป็นบริวารซาตาม ที่เกิดมาแล้วมันยุ่ง เกิดมาแล้วไม่มีหลักประกัน ถ้าจะว่าหลักประกัน ประกันเหมือนกันว่าร้าย แน่นอน ลูกซาตาน บริวารซาตานก็แย่ โลกก็ไร้ประโยชน์ โลกก็เสียประโยชน์ ทุกข์ร้อนแน่นอน เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นคนแล้ว จงพยายามเป็นบริวารพระเจ้า หรือ เป็นพระบุตร หรือเป็นพระอริยเจ้า โดยเฉพาะศาสนาพุทธเรา

มีหลักที่แน่นอน มีทฤษฎีที่ชัดเจนเรียนฝึกฝนให้ตนเองดีขึ้นได้ เพราะฉะนั้น แม้ชาตินี้ คุณบอก พระอรหันต์ โอ้โหยากมันจะได้รึ ได้ไม่ได้คุณพากเพียรแล้วกัน ถ้าคุณก็เชื่ออยู่ มันไม่จบชาตินี้ แม้ชาตินี้ เราก็ไม่ได้ ไม่ได้ คุณก็ประมาททำไม เสริมให้มีพลังขึ้นไป ทุกชาติๆๆ เพราะได้ก่อน คุณจะไปนั่ง เสียดายทำไม ถ้าได้เป็นอรหันต์เสียก่อน ไม่ต้องไปเสียดายหรอก เป็นอรหันต์แล้ว เดี๋ยวไม่ได้กินหูฉลาม โอ๊! คนเอามาประเคนหูฉลาม แต่คุณไม่กินเอง เป็นอรหันต์แล้วไม่กินเอง จริงเป็นอรหันต์ ก็มีคนเอาหูฉลามมาให้ ประเคนให้ แต่เราไม่กินเองเป็นหูฉลาม ไม่ได้โน้น ไม่ได้นี่อะไรต่ออะไร คุณจะรู้เองเลยว่า คุณได้ ได้ จริง ไม่ได้บกพร่องมีได้จริงๆ อย่างโลกียะเขามี แต่เราจะเอาหรือไม่เอานะ คุณเอง เป็นคนตัดสินใจ แล้วคุณก็ไม่เอา

เหมือนกับคุณรู้ว่าไฟร้อน แหมตอนที่ซาดิสม์ ซาดิสม์ โอ้โห จับไฟเล่าละ สนุกกะมัน แต่ก่อนนี้ คุณไม่รู้ใช่มั้ย คุณก็ซาดิสม์จับไฟเล่นมันโอ้ ทั้งๆที่มันเป็นทุกข์นะ เสร็จแล้วก็มาปฏิบัติซิ ไฟมันร้อน ไปจับอยู่ทำไม เลิก ละ มาให้ได้ หลุด คุณก็ปฏิบัติจนกระทั่งหลุด ไฟร้อนแล้ว และคุณจะไปจับไฟอีก ทำไมละ ใช่มั้ยนี่ นัยเดียวกันนะ คล้ายกันก็อย่างนี้ ส่วนคนเขาไม่รู้ เขาก็เล่นอยู่กับไฟเต็มเลยนี่ เล่นอยู่กับไฟทั้งนั้นนะ เชื่อมั้ยล่ะ เล่นอยู่กับไฟ ทั้งนั้นน่ะ

สรุปแล้วก็คือซาดิสม์อยู่ตรงนั้นเลย เล่นอยู่กับทุกข์และก็ไม่กลัวทุกข์ ชอบเสียด้วยนะ ยินดีในทุกข์ เสียอีกนะ ฮึๆทุกข์นี่มันดีนา ศาสนาพุทธเขาถึงบอกว่า พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ เขาถึงหาว่า เป็นทุกขนิยม เป็นลัทธิทุกข์อิซึ่ม

ศาสนาพุทธเขาหาว่า เป็นลัทธิทุกข์อิซึ่ม เป็นลัทธิทุกขนิยม แหม สอนสุขไม่ให้คนไปนิยมสุข ให้รู้จักทุกข์ ทุกข์แต่ก็ไม่ให้นิยมทุกข์หรอกนะ แหมมันฟังแล้วมันยุ่ง ที่จริงนิยมนี่ แปลว่า เที่ยง แต่คนไทย เรามาใช้นิยมแปลว่า ไปชอบ ไปชื่นชอบ ที่จริงเราก็ไม่ได้ชื่นชอบนะ ทุกข์นิยมหมายความว่า ชื่นชอบทุกข์ก็ไม่ใช่ชื่นชอบ แต่ความจริงเอ็งยังชอบใช่มั้ย ก็ไม่หนีมาสักที และมันไม่ชอบอยู่ยังไง ดึงแล้วดึงอีก ยังไม่ออกมาเลย ก็ไปวุ่นไปวนมัน อยู่กับมันอยู่อย่างนั้นแหละ แต่จริงๆคุณก็ไม่ชอบ โดยสามัญสำนึกไม่ชอบ แต่คุณนั่นแหละชอบ ก็ไม่ชอบทำไมไม่มาฮึๆ ไปอยู่กับมันทำไมล่ะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียะสุขน่ะ ท่านไม่ได้บอกว่าสุขมันมี พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้ตรัสอย่างงั้นใช่มั้ย ท่านบอก นั่นแหละทุกข์ เหตุแห่งทุกข์และคุณสมใจในเหตุแห่งทุกข์ คุณก็นึกว่าสุขเป็นโลกียสุข สุข บำเรอ สมอยาก ความจริงมันเป็นคู่ของตัวทุกข์ คุณไปเรียกมันว่าสุข คู่ของตัวทุกข์สมอยาก เท่านั้นเอง แต่แท้จริงมันทุกข์ เพราะคุณมีเหตุนี่ แล้วคุณไม่ล้างมันสักที คุณก็เลยเอาชะลอตัว นี่สมอยาก แล้วก็ชะลออยู่ไป สมอยากแล้วก็ชลออยู่ไป พอไม่ได้สมอยากแล้วก็ชลออยู่ คุณไม่ได้ล้างเหตุมันเลย ดีไม่ดี หนาขึ้นๆ เหตุมันหนาขึ้น เบื่อบ้างก็เปลี่ยนไปหาทุกข์ใหม่ๆ หาเหตุใหม่เปลี่ยนไป เขามาหลอก ไอ้โน้นดี ไอ้นี่ดี ว่ากันไปนิยมกันไป คนละอย่างคนละเวลา นา หมุนเวียนไปอยู่อย่างนั้นน่ะ ไม่จบ

เพราะจริงๆแล้ว เรานิยมทุกข์ งั้นถ้าไม่นิยมมันก็ล้างได้ มันก็หายไป แต่ก่อนนี้ ทุกข์ แหม เรานิยมอยู่ อย่างเกาะแจเลย ไม่จาก ไม่พราก เที่ยง นิยมแปลว่า เที่ยง เที่ยงอยู่อย่างนั้นแหละ ไม่เลิกไม่ลา แต่เมื่อ มาเลิกมาลาแล้ว ก็ไม่มีแล้ว ไม่เที่ยงแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไม่เป็นอย่างนั้งอีกแล้ว ไม่นิยม ภาษาไทย เราก็ไม่นิยมแล้ว ไม่ชื่นชอบ นอกจากไม่ชื่นชอบแล้ว มันไม่อยู่ได้แล้ว มันไม่มีแล้ว ไม่เป็นอยู่แล้ว ไม่เที่ยง หมดไปแล้ว อนัตตาแล้ว ไม่มี ไม่เป็นตัวที่เที่ยงอยู่ ไม่มีละ นี่เป็นลักษณะของสัจธรรม ลึก ทางโลกนั้น อนิจจัง ทุกขัง อธิบายอย่างโลกีย์นี่ไม่เที่ยง เพราะว่ามันอยู่ไม่แน่ไม่นอน แล้วมันก็ทำ ให้เป็นทุกข์ แล้วก็เป็นอนัตตาประเภทที่ว่า อนัตตา จริงๆ มันไม่ได้เป็นอะไรแท้ๆ ให้คุณอยู่เป็นตัว เป็นตนหรอก อัตตาไม่ได้อยู่เป็นตัวเป็นตน ไหนคุณว่าความสุข หยิบมาให้ดูสักตัวซิ เมื่อเช้านี้ได้ สุขอะไรมา ไหนหยิบมาดูสักตัวซิ มันไม่มีหรอก มันอนัตตา มันอนิจจัง มันอนัตตา นี่อธิบาย เป็นภาษา ทางรูปธรรมง่ายๆ แต่เราก็ไปหลงมัน เพราะฉะนั้น ก็เท่ากับมันก็ยิ่งกว่า นี่นะ ท่านเรียกว่าฟองคลื่น หรือ พยับแดด มันเหมือนกับ คว้าลมๆ แล้งๆ ไม่มีตัวไม่มีอะไรต่ออะไร แต่ไปหลงปั้นหล่อมา ก็หลงกันไป ไม่ต้องไปเปรียบเทียบ เศรษฐกิจฟองสบู่ ถึงไม่เป็นตัวเรื่องตัวราวอะไรเลย หลอกกันจนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ว่ากันไป ก็สมน้ำหน้า ฮึ ราคาหุ้น ๕๐ เหลือ ๓ บาท เคยปั่นกันไปถึง ๕๐๐ ฮึๆๆ ฟองสบู่ขึ้นไปถึง ๕๐๐ เดี๋ยวนี้ ฟองสบู่แตกโป๊ะ ไอ้ ๕๐ ที่ควรจะจริง เหลือแค่ ๕ บาท อะไรนี่ โอ้ย ต้องฆ่าตัวตาย กันเป็นแถบๆ ฮึๆ ก็อย่างนี้ มันเรื่องโลกที่หลอกกัน เพราะถ้าเราเองไม่ไปเกาะไปเกี่ยว เพราะฉะนั้น อย่างเศรษฐกิจ ของทางโลก เค้าเป็นอย่างนี้

ทางโลกุตระหรือวาทางอโศกเรานี่ ขนาดอโศกเรานี่ ยังไม่ดีเท่าไหร่นะ ยังไม่มีคุณภาพ ยังไม่วิเศษอะไร งามแงะอะไรมากมาย ก็ได้แค่นี้นะ ที่ว่าวิกฤตทางเศรษฐกิจ ขณะนี้ ทุกวันนี้ อโศกได้แค่นี้ ยังรอดพ้นเลย ไม่กระเทือน อโศกเราไม่รู้สึกว่ามันกระเทือนอะไรนักหนาเลย ไม่จริงๆ ไม่กระเทือน มันมีภูมิคุ้มกัน ปลอดสบาย ขนาดที่ว่ามันวิกฤตขนาดนี้ โอ้โห ยุคยากๆจริงๆเลย แต่เราเฉย เพราะอะไร เพราะเราอยู่ในฐานที่พระพุทธเจ้าท่านพาให้เป็น เราก็มาเป็นตามที่พระพุทธเจ้าท่านพาให้เป็น มันได้แค่นี้แหละ คุณภาพแค่อโศกที่เป็น  ได้แค่นี้ละ ยังไม่วิเศษเท่าไหร่ยังไม่พ้น ถ้าดีกว่านี้ละเป็นไง โอ้โห ยิ่งเยี่ยมเลย เลี่ยมเลย เพราะฉะนั้น เราต้องมาพัฒนา เพิ่มเติมขึ้น นี่ได้มาพิสูจน์เป็นข้อพิสูจน์ว่า นี่อาตมาพูด เหมือนกัน แหม มันอวดดีนะ มันชักคุยเขื่องมากไปแล้ว มันน่าหมั่นใส้ นะนี่ ฮึๆจริงๆ แต่ไม่คุย ก็ไม่รู้จะไปย้ำยังไง ก็ต้องย้ำให้พวกคุณมั่นใจ ให้คุณเห็น เห็นมั่งมั้ย อาตมาก็อธิบายไม่ได้ รูปธรรม นามธรรม หลายๆอย่าง มันอธิบายไม่ออก แต่คุณมองเห็นบ้างมั้ย มีธรรมจักษุมั้ย มีดวงตา แห่งธรรม พอมองออกมั้ยนะ นี่มันชัดเจน ถ้าไม่มีเหตุการณ์ยังงี้ ก็ยืนยันยาก เหตุการณ์พวกนี้มันดีนะ ๑.พวกอโศกจะได้มั่นใจ ๒.ผู้ที่เดือดร้อนจะได้ถูกเตะเข้ามาที่นี่ มันไม่มีทางไปแล้วละ ใช้สำนวน มันดูๆยังไงอยู่นะ จะได้ถูกผลักเขาหน่อย พูดแรงไปหน่อย ขออภัย ฮึๆๆ ถูกผลักเข้ามาทางนี้บ้าง แต่เดี๋ยวนี้ แม้แต่พระพยอมเอง ท่านก็บอกว่า เดี๋ยวนี้คนเข้าวัดมากผิดปกติเลย มันไม่มีทางไปแล้ว เขาก็ไม่รู้ว่า จะไปวัดไหนดี เขาก็ต้องไปวัด บอกมาสันติอโศก เฮ้ย อย่ามานะที่นี่นาสังคมเขา (จึด) untouchable น่า อย่า ไปแตะเข้าเชียวนะ นี่สันติอโศกนี่ อย่านะ ห้าม เป็นของแสลงอะไรของเขาก็ไม่รู้ สังคม พวกนั้นเขาก็เชื่ออยู่ในกระแสสังคม เขาก็ไม่มา แต่ก็ยังหันเข้าหาไอ้ ธรรมะคงช่วยได้ๆ ก็ไป ซึ่งก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก็ดีเข้าไป

ทีนี้พระพยอมท่านบอกว่า ถ้ามาวัดมากขึ้น แต่มันมีอยู่อย่างหนึ่งน่าสังเกตคือ ทำบุญน้อยลง นี่ของท่านว่าอย่างนี้นะ ก็เศรษฐกิจมันไม่ดี และก็จะให้มันทำบุญยังไงล่ะ มันก็มาหวัง จากพระพยอม นั่นแหละ ก็ทางของท่าน แต่ถ้ามาทางนี้นะ คนที่จะมาทางนี้นะ จะมาอโศกแล้วนี่ เขาจะไม่หวัง อย่างนี้หรอก เขาจะไม่หวังมาเอาใช่มั้ย เขามา เขาจะรู้เลยว่า มาทางนี้นี่ ยังไงๆก็ไม่ได้ จะช่วยเศรษฐกิจ เหมือนกัน แต่จะช่วยเศรษฐกิจอย่างทางนี้แน่นอน แต่ก็ไปวัดอื่นๆอีก ก็ไปหวังพึ่งเศรษฐกิจ อย่างทางโน้น ไปถึงก็เอาแล้วหาวิธีและก็ ยถา วารีวหา ปูรา ปริปูเรนติ ไปเลยให้ร่ำให้รวย ได้ยศถา บันดาศักดิ์ เพราะฉะนั้นที่นี่ เศรษฐกิจแย่ คนไปวัดก็ไม่มาวัดนี้อยู่ดี ฮึๆๆ เพราะฉะนั้น ก็เท่านั้นแหละ ส่วนผู้ที่มีบ้างนะมาวัดนี้ก็มีแต่ไม่ฮือฮา ไม่เป็นที่สังเกต เหมือนอย่างกับที่ พระพยอมท่านว่า โอ้ มาวัดไม่ใช่แต่วัดท่านนะ วัดอื่นๆเหมือนกันท่านบอก สังเกตหลายวัดแล้ว โอ้โห คนเข้าวัด เดี๋ยวนี้ สองเท่าสามเท่า แต่เป็นที่น่าสังเกตอยู่อย่างที่ว่า แต่ว่าทำบุญน้อยลง ท่านว่า ก็ถูกของท่าน ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่น่าสงสัยตรงไหนหรอก ไม่ได้ขัดแย้งอะไร ก็จริง เรื่องจริงๆ

ยิ่งวัดใดที่ยิ่งบอกว่า โอ้โห! มาเถอะรดน้ำมนต์ว่าจะไปรวย แหม แก้ปัญหาเศรษฐกิจ ที่จะให้ร่ำรวย มหาศาลไปได้ วัดนั้นยิ่งจะมาก ยิ่งฮือฮาลือกันว่าโอ้ย วัดนี้ เด็ดๆ อาจารย์เด็ด ยิ่งจะมาก ไม่มีปัญหาหรอกได้ ไปอย่างนั้นก็ได้ แต่ว่ามันจะได้สมใจไม่สมใจ มันก็ย้อนแย้งกันอยู่ มันทวนกระแส กันอย่างที่อาตมาเทศน์ไปแล้ว บรรยายไปแล้วนะ

อาตมาอยากให้พวกเราพยายาม ถ้าเข้าใจดีแล้วที่พูด พูดให้เข้าใจ ส่วนการจะเร่งรัดพัฒนาตน จะเข็นตนเอง พูดง่ายๆ จะเข็นตนเองนะ เป็นหน้าที่ของคุณ อาตมาถ้าจะให้พรก็ขอให้พวกเรา มีพลังพากเพียร อุตสาหะ อดทน เพื่อที่จะพัฒนาเข้าไปในด้านโลกุตระ ในด้านธรรมะที่เราคิดว่า ทางนี้แหละดี ขอให้มีพลังอย่างนั้นเอาจริงๆ อย่าเหลาะแหละ ถ้าจะให้พร ขอให้พยายามตัดอกตัดใจ เอานะ ปฏิบัติธรรมแหละไม่ตายหรอก แต่กิเลสเล่นจนฆ่าตัวตายด้วยนะ เชื่อมั้ยว่า กิเลสมันเล่น ฆ่าตัวตายนะ แต่กิเลสมันออเซาะกับกิเลสมันเอาคุณ จนกระทั่งคุณฆ่าตัวตายได้ แต่ปฏิบัติธรรมนี่ มันจะอดทน มันจะฝืนยากขนาดไหน กัดฟันเข้าไป อดทนเข้าไปไม่ตาย ขอรับรองไม่ตาย ปฏิบัติธรรม ที่ถูกทางไม่ตาย อาตมาเคยบอกไว้พูดอีก ใครตายมาบอก จะได้จดลงไปในแผ่นทองคำนี่ พูดไว้ นานแล้ว จะหาแผ่นทองคำไว้จด คนที่ปฏิบัติธรรมตายนี่ ปฏิบัติธรรมโลกุตระลดละอย่างนี้ๆ ชักดิ้น ชักงอตาย เวลาเท่านั้นเท่านี้ วันที่เท่านี้ มาบอก อาตมาจะได้บันทึกลงไปในแผ่นทองคำ ยังไม่มี สักรายเลย นี่รายแรกเลย จะดูซิ ปฏิบัติธรรมนี่ลดละอย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น อย่างอาตมาพาว่า มีแต่แพ้กิเลสก่อน ไม่มาบอก ไม่ต้องมาบอก แพ้กิเลสไม่ต้องมาบอก ไม่จดไม่บันทึกให้ฮึๆ ถ้าตาย เพราะสู้กับกิเลสนี่ ขอให้มาบอกเถอะ รีบๆมาบอกก่อนตายนะ ตายแล้วมาบอกก็ได้ ถ้ามาบอกได้ฮึๆๆ ว่านี่ปฏิบัติตาย เพราะท่านทีเดียว พาปฏิบัติละกิเลสนี้ตายเลย ฟังดีๆ มันเหมือนพูดเล่น อาตมาว่า ไม่พูดเล่น พูดจริง

ยิ่งสังคมยุคนี้ สมัยนี้ เห็นชัดๆว่ามันเป็นเรื่องทุกข์ ไม่มีทางออก ไม่มีทางแก้ ถ้าเราได้ช่วยตน เราพัฒนาขึ้นมา ประโยชน์ของทางโลกุตระนั้น มันเป็นประโยชน์ตน ที่เกิดประโยชน์ท่าน เป็นปฏิภาค ทันทีเลย เป็นสัดส่วนที่ทวนกลับให้เขา ประโยชน์ตน คือ ประโยชน์ท่านทันที มันไม่ค้านแย้งกันตรงนี้ มันไม่ค้านแย้งกัน แต่มันทวนกลับให้ทันที คำว่าปฏิภาคคำนี้ ไม่ใช่ว่ามันจะย้อนแย้ง แต่มันกลับทวน ให้ประโยชน์ตนที่ได้คือ ประโยชน์ท่านที่ได้ทันที เราเสียสละเขาโลภจบ เขาก็ได้เราก็ได้ฮึๆ เราเสียสละ เขาโลภ จบในตัว มันดูเหมือนค้านแย้งกัน อาตมาเคยอธิบายว่า คนมันสองตระกูล ตระกูลหนึ่ง ตระกลูเอา ตระกูลหนึ่งตระกูลให้ แหม นี่มันคนละตระกูลนี่หว่า ค้านแย้งกัน แต่ความจริงมันอยู่ ด้วยกันได้ เพราะคนนี้ให้ คนนี้เอา เอาไม่ทะเลาะกัน แต่ดูแล้วเหมือนคนตระกูลเดียวกัน เอ้ยๆ พวกนี้พวกเดียวกัน แฮะๆ กอดคอกันเลยแฮะๆ ตระกูลเอาทั้งคู่ซัดกันน่าดูเลย แทงกัน ฆ่ากันนี่ ยิบตาเลย เพราะตระกูลต่างคนก็ต่างจะเอา

ตระกูลเดียวกันนะ แต่ตระกูลเดียวกันที่ต่างคนต่างก็ตระกูลให้ด้วยกันนะสบายเลย กองเบะ อยู่ตรงนี้เลย ข้าก็ให้เอ็งก็ให้ ให้ไปซิ ต่างคนต่างไม่เอา เหอะๆกองเบะอยู่ตรงนี้ เลยอุดมสมบูรณ์ ตระกูลเดียวกันเหมือนกัน แต่ไม่มีปัญหา อุดมสมบูรณ์ แล้วต่างไม่เอานี่ให้ ให้ ไม่เอาช่างเถอะไว้นั่น ให้ไม่เอา เอากองไว้นั่นซิอุดมสมบูรณ์เลย มันเป็นกองกลางหรือเป็น ส่วนกลางหรือเป็นส่วนที่ไม่ยึด เป็นตัวกูของกู มันก็อุดมสมบูรณ์และศาสนานี้ไม่ได้สอน ให้คนขึ้เกียจ ขยันมีสมรรถนะ สร้างสรร ไม่มียากจนหรอก โลกุตระไม่มียากจน เพราะต่างคนต่างไม่โลภมาก เพราะเราขยันหมั่นเพียร และสร้างสรร

คนคนหนึ่งกินหรือใช้มักน้อยสันโดษได้พอสมควร กินหรือใช้ ๕% ๑๐% คุณทำได้ ๑๐๐% คุณก็เหลือแล้ว ตั้ง ๗๐%,๘๐%,๙๐% และคุณก็ไม่สะสมไม่กอบโกยมีวิธีทำ มีวัฒนธรรมอยู่รวมกัน เป็นของกลาง เป็นของที่ค่อยๆแบ่งแจกกันไปช่วยกันไป คนรับหน้าที่ทำงานกันไป แบ่งกันไป เหมือนคอมมิวนิสต์ เขาจะทำ แต่คอมมิวนิสต์เขาทำไม่ได้เพราะเขาไม่มีนามธรรม เขาไม่มีทฤษฎี ที่วิเศษเหมือนอย่างนี้ มันก็รวมกันอยู่ ทุกคนอุดมสมบูรณ์ อ้า นี่เมืองไทยเหลือเฟือแล้ว แจก แหม ประเทศอื่นๆ ที่ยากจนต่อไป แค่ตอนนี้เรายังไม่รอด ตัวเราเราขอสร้างตัวเองเสียก่อน สร้างสรรตัวเอง ให้ดีเสียก่อน สร้างสรรตัวเองดีแล้ว เราก็เผื่อแผ่คนอื่นได้อีกมาก เดี๋ยวนี้เราก็เผื่อแผ่อยู่บ้าง มีคนตู่เรา อยู่ประเด็นหนึ่ง เขาบอกว่า ไอ้พวกอโศกมันทำแต่พวกของมัน มันไม่เผื่อแผ่คนอื่น มันเอาแต่พวก ของมัน เขาพูดอย่างนี้ เขาขี้ตู่มากเลย

อาตมาก็เลยบอกว่า อ้าว คุณว่าพวกอโศกนี่เอาแต่พวกของเรา คุณดูไม่รู้หรอก เพราะมันไม่เป็นรูปธรรม แต่มันก็เป็นรูปธรรมที่พูดได้เหมือนกัน พิสูจน์ได้เหมือนวิทยาศาสตร์เหมือนกัน อโศกเอาคนมาทำงาน นี่นะ มันก็มาเป็นชาวอโศก เขาลดมาจากโลกนะ เขาบายให้โลกนะ คนนี้ๆๆนี่ออกมาจากงานทางโลก ทำงานมาเดือนนึง หมื่น สองหมื่น สามหมื่น ก็แล้วแต่ เขามาอยู่นี่เขาไม่ได้เอาเงินเดือน เขาไม่ได้คิด เงินเดือนจากของประชาชนนะ แต่คุณเอาทางโน้นคุณต้องเอาของประชาชน แม้เป็นบริษัท แม้โดยอ้อม มันก็เป็นของประชาชน ใช่มี้ย เพราะบริษัทก็ต้องไปเอาเงินจากผู้บริโภคประชาชนมาเหมือนกัน คุณเข้าราชการคุณ ก็ต้องไปเอาเงินจากประชาชน ทางเรานี่ จะว่าเราเอา เราก็เอานี่ของประชาชน เหมือนกัน ชมร. ขายของ พลังบุญขายของ ก็เอาเงินของประชาชนมาเหมือนกัน มีส่วนได้ของ ประชาชน มาเหมือนกัน แต่เมื่อเรามาอยู่นี่ เราไม่เอาทางโน้น และเราก็ไม่เอาทางนี้ เราเอาทางโน้น ๒๐,๐๐๐.แต่เราไม่เอาแล้ว ๒๐,๐๐๐ เรามาอยู่นี่เราไม่เอา หรือเราเอาน้อย เอาแค่มาอยู่พลังบุญ คนเงินเดือน ๒๐,๐๐๐ มาอยู่พลังบุญ เงินเดือน ๒,๐๐๐ ให้โลกหรือยัง ให้สังคมรึยัง ให้แล้วตั้ง ๑๘,๐๐๐ แน่ แล้วเราไม่ใช่คนเดียวนะ อย่างนี้ไม่ใช่คนเดียวนะ เสร็จแล้วมาอยู่ที่อโศกนี้หลายคนบ่น อยู่ทางโลก ยังทำงาน ไม่เท่านี้เลย ทำไมมาอยู่อโศกเงินเดือนก็ไม่ได้ทำไมวะ ให้ทำงานมากมายนักฮึๆ เขาว่า อย่างนั้น จริงๆนะ ไม่รู้ละ เพราะขี้เกียจทำน้อยกว่าทางโลก แต่มาบ่นก็แล้วแต่ แต่คนทำจริง ก็ทำจริง เที่ยวมากกว่า นี่อยู่ที่นี่เวลาเที่ยวก็ไม่มี ไม่เที่ยวละ เอาเวลามาทำงานมากกว่าข้างนอก เยอะแยะ เห็นได้จริงๆ ไม่ใช่แกล้งพูด แต่ก่อนนี้เดี๋ยวก็ไปเที่ยวนั่น เดี๋ยวก็ไปนี่ เดี๋ยวก็โน่น เดี๋ยวก็นี่ เยอะกว่า เดี๋ยวนี้เอาเงินเขาด้วย แต่มาที่นี่เอาเงินไม่ค่อยไม่ได้ต้องมาทำ เวลาเที่ยวก็ไม่ไป ก็มันสมัครใจ ไม่ไปเอง ละนะ มันก็ไม่ทุกข์นี่ ก็ไม่ต้องไปเที่ยวหรอก ไม่ต้องไปโน่นไปนี่ เวลาก็เอามาทำงาน มาสร้างสรรไป อย่างนี้ก็ให้แก่สังคม อย่างร้าน ชมร.นี่ขาย ตรึงราคาข้าวจานละ ๘ บาทนี่ ให้แก่สังคม มั้ย

เรากำลังผลิตแม้จะผลิตพืชพันธุ์ธัญญาหาร ผลิตอุตสาหกรรมย่อย ผลิตยาสมุนไพร ผลิตโน่นผลิตนี่ เราก็ขายถูก แชมพู ๓๖๐ ซีซี เราขาย ๓๕ บาท ที่โน่นขวดเท่าๆกันนี่ขายเท่าไหร่ ขวดที่เราขาย ๓๕ บาท ข้างนอกแชมพูเขาขายเท่าไหร่ แล้วแต่เกรดอีก เกรดโฆษณา มากๆ ได้พรีเซนเตอร์ราคาแพงๆหน่อย ราคาก็ยิ่งแพง ใช่มั้ย ๓๖๐ ซีซี.บางทีก็ตั้งหลาย ร้อย ๖๐,๗๐ ขึ้นไป อย่างนี้เราให้แก่สังคมหรือไม่ เราก็จะสร้างสรร เราก็จะทำข้าวกล้อง เราก็ทำขายกก.ละ ๑๐ บาท เอ้าข้าวหอมมะลิขาย ๑๒ ขาย ๑๓ ข้างนอกขายเท่าไหร่ แล้วเราให้กับสังคมหรือไม่อย่างนี้ ให้แก่สังคมหรือไม่ เราไม่ได้ไปหยิบยื่นให้ เพราะว่า ทางเรานี้ไม่ทำงานแบบเอาหน้า แบบสังคมสงเคราะห์ว่าให้แก่สังคม

ทีนี้ถามพวกคุณหน่อย บอกว่าคุณให้แก่สังคม ทฤษฎีกำไรและขาดทุน คุณทำงานค่าสมรรถนะ ของคุณนี่ สมมุติให้วันหนึ่ง ๑,๐๐๐ บาท เดือนหนึ่ง ๓๐,๐๐๐ ใช่ไหม คุณเอาไปคืนหรือยัง ทางข้างนอกละทำงานแล้ว เอาค่าเงินเดือนมั้ย เอารายได้มั้ย สมรรถนะ ๓๐,๐๐๐ เอาสามหมื่นเต็มมั้ย ดีไม่ดี ไม่ถึงสามหมื่นด้วย คุณไปเที่ยวได้หาวิธีอันไหนมันจะให้เงินเดือนอั๊วมากๆ สมรรถนะไม่ถึง ด้วยซ้ำไป เอาเกินด้วยไม่ยอมขาดทุนหรอก ถึงจะไม่ขาดทุน เท่าทุนก็ตาม คุณก็เอาคืนมาหมดแล้ว คุณให้อะไรแก่ประชาชน ต่อให้นายกรัฐมนตรี เอาเงินเดือนไปหมดแล้วใช้มั้ย อยู่ไหนล่ะ ประโยชน์ ประชาชน เอาไปเป็นค่าของเงินหมดแล้วน่ะ นี่หลักทฤษฎีกำไรและขาดทุน ของอริยชน คุณได้ให้ ตรงไหน และมานั่งคุยว่า แหมทำแก่ประชาชน ที่นี่ไม่ให้พวกอื่นไม่ให้ประชาชน มันเอาแต่พวกของมัน ไม่ช่วยคนอื่น มันช่วยแต่พวกมันเอง ก็พวกเอง อโศกกินมากใช้มากที่ไหนล่ะ ว่ามันเอาเองฮึๆ เหอ พวกอโศก มันกินมากใช้มากตรงไหน มันทำเหลือ เอาไปให้ข้างนอกตั้งมากกว่า อันนี้มันกินมากใช้มาก มันสอนให้มักน้อยสันโดษ กินน้อยใช้น้อย ด้วยซ้ำไปใช่มั้ย อธิบายให้พวกคุณฟัง ให้พวกคุณได้มี มุมเหลี่ยมชัดๆขึ้นไป อธิบายเขาบ้าง เพราะอาตมาบอกแล้วว่า เขามาตู่เราว่า พวกนี้มันเอาแต่พวกมัน มันช่วยแต่พวกมัน มันไม่ช่วยเขา มันไม่มีประโยชน์ต่อสังคม เขายังมีประโยชน์ต่อสังคมมากนักหนานี่ ช่วยมากนักหนา นี่นะ

อาตมายืนยันให้ฟังแล้วทำแล้วก็เอารายได้กลับคืนแลกเปลี่ยนไปหมดแล้ว มีขี้หมาตรงไหน มีประโยชน์ ต่อสังคม แล้วมันรับคำคุยว่า ตนเองมีประโยชน์ต่อสังคม แค่ประเด็นเท่านี้ก็เข้าใจให้ได้ก่อนนะ และอื่นๆล่ะ ให้อะไรอย่างนี้เป็นต้นนะ เพราะฉะนั้น นัยลึกซึ้งพวกนี้ พิสูจน์กันไปเถอะ และก็ยืนยัน พยายามทำแล้วๆ เราก็เต็มใจ อาตมาว่าพวกเราอยู่ พูดไปพูดมาจะเที่ยงแล้วนี่ เอาละจบดื้อๆ ก็แล้วกัน เอวัง


จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรมฯ
ถอดโดย น.ส.วันทนีย์ ลมพัทธยา ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ตรวจทาน ๑ โดย เกศรา รุ่งเรืองนาน ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
สม.ปราณี ธาตุหินฟ้า ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
พิมพ์โดย ปานรุ้ง สุขเกษม ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๑
เข้าปก โดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปก โดย พุทธศิลป์

TCT39A-B.TAP