การพัฒนาสังคม ต้องพึ่งตนเองได้
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้าที่ ๒๕ ตุลาคม ๒๕๔๕
ณ วังน้ำเขียว นครราชสีมา

เจริญธรรม ทุกคน

นานๆ ก็ได้ขึ้นมาบนนี้ทีหนึ่ง คนอยู่บนนี้ลงไปก็ไม่ค่อยได้เจอกันบ้าง อาตมาก็ไม่ได้ขึ้นมาบ้าง ก็เลย ไม่ได้พบ ได้เจออะไรกันเท่าไร แต่เดี๋ยวนี้ สื่อสาร มันก็ไปได้ทั่ว เครื่องไม้เครื่องมือทางเทคโนโลยี ก็มีหมดครบครัน บันทึกภาพไว้ ให้เห็นหน้า ในภาพมีเสียงพร้อม มีเรื่องราวอะไร พูดกันถึงกัน มีอะไรต่ออะไรเป็นเครื่องมือเทคโนโลยีเขา เหมือนกันกับอิทธิปาฏิหาริย์ สมัยโบราณแล้ว เพราะฉะนั้น อิทธิปาฏิหาริย์น่ะ ไม่ต้องใช้แล้ว สมัยนี้ทางวัตถุมันแทน เป็นอิทธิปาฏิหาริย์แทน เดินน้ำดำดิน เหาะเหินเดินอากาศ มีการส่งเสียง ทางทิพย์ ทางหูทิพย์ ตาทิพย์ อะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของทางด้าน วัตถุไปหมด วัตถุก็สูง วัตถุก็ไปกันใหญ่ วัตถุก็เก่ง จะคลุมโลก จะสร้างโลก นี่ ท่านพยายาม ไปสร้าง โลกใหม่ กันนอกโลก โลกลูกนี้น่ะนะ จะออกไปสร้างสร้างที่พักที่อวกาศ แล้วก็มีคน จะไปจับไปจองกัน ไปอยู่เป็นสถานี หรือเป็นสถานที่อยู่นอกอวกาศ ใครจะไปอยู่ที่นั่น ก็ไปอยู่ได้ ก็ไปจองพื้นที่ได้ สร้างขึ้นมาอยู่ อะไรกัน อย่างนี้ ก็คิดกันไป แล้วก็ทำกัน ก็ทำกันได้ด้วยนะ ก็ว่ากันไป ก็อยากจะไป อยู่นอกอวกาศก็เอา อาตมาไม่ไปละ อยู่ในนี้ละ ขืนให้ไปฟรี ยังไม่เอาเลย อยู่ในนี้ก็ปรับตัว ให้อยู่ใน สถานที่ สิ่งแวดล้อมดิน น้ำ ลม ไฟ อะไรพวกนี้ก็ย่ำแย่อยู่แล้ว แล้วยังจะไปปรับตัวอยู่กับ อวกาศอีก บ๊ะ! มันไปกันใหญ่ นะ

ชีวิตที่เกิดมา เขาไม่รู้ว่าชีวิตเกิดมาทำไม คนพวกนั้นน่ะ เขารู้แต่ว่าชีวิตเกิดมาจะต้องแสวงหาอะไร ที่มันสมใจ มันแปลก มันใหม่ มันรู้สึก เหมาะกับอะไรของเขาไม่รู้หรอก เหมาะกับอุปาทานของเขา เหมาะกับสิ่งที่เขาไปกำหนดไว้ในใจ อย่างนี้ละชอบ นี่จะออกไป ทัวร์นอกโลกกัน เดี๋ยวนี้ มาถึงเมืองไทย ส่งข่าวส่งคราวกันไปทัวร์นอกโลกกัน แล้วไม่เท่าไรหรอกนะ มันเท่าไร กี่ล้านล่ะ ๒๐๐ ล้าน หรืออย่างไร? (เสียงตอบ) ฮะ? ไม่ถึง ๑๐๐ ล้านหรอ? (๔๒ ล้าน) ๔๒ ล้านเองหรือ? ไม่ใช่มั้ง! เอ๊! เท่าไร อาตมาก็ ไม่ได้จำ ก็ให้จองตั๋ว (๙๐๐ ล้าน) ๙๐๐ ล้านหรือ? เท่าไรไม่รู้น่ะ อาตมาว่า หลายร้อยล้านอยู่นะ ไปทัวร์นอกโลกกัน เขาจะไปกัน คนไทยก็เห็นว่ามีจองไป เอ๊า! ก็ไปกัน เขาเอง เขาไม่รู้ว่า จิตของเขา นี่คืออะไร จิตมีอุปาทานคืออะไร มีกิเลสมีตัณหาคืออะไร พวกนี้มันเป็นเจ้าของ มันบงการชีวิต มันมีอำนาจใหญ่ ในชีวิตของแต่ละคน

จิตวิญญาณไม่มีอะไร จิตวิญญาณแปลว่า "ธาตุรู้" เป็นลักษณะธาตุรู้บริสุทธิ์ มันรู้มันเข้าใจ ความจริง ตามความเป็นจริง เท่านั้น แต่กิเลสนี่มัน โอ้โห! พลิกแพลงมันมีโลภโกรธหลงประกอบ กิเลสก็คือ โลภโกรธหลง นั่นแหละ มันเป็นพลังงาน เดียวกัน พลังงาน เหมือนกับ ธาตุรู้ แต่มันมีโลภโกรธหลง ประกอบนั่นคือกิเลส แล้วมันก็บงการชีวิต บงการ มันมีอำนาจ สั่งการ ในชีวิตคนเรา มาอย่างนี้แหละ ได้อย่างนี้มาดี ได้อย่างนี้มาสุข ได้อย่างนี้มาแล้วประเสริฐอะไร ก็แล้วแต่ มันก็หลอกไปหมด ว่าประเสริฐ ความจริงมันไม่ประเสริฐนะ ความจริง มันมันตกต่ำมันโง่เง่า อวิชชา แต่มันก็ว่า ประเสริฐอะไรก็แล้วแต่ สมใจอะไรต่ออะไรต่างๆ ได้รวยมามากๆ เป็นต้น ใครจะฉิบหาย วายป่วง อย่างไร ก็ช่างเถอะ เรารวย รวยมันก็ดีไปถามใครๆ เขาทั้งนั้นแหละ ไปถามนอกจากชาวอโศก ไปถามว่า รวยดีไหม มันตอบว่าดี ทุกคนละ แล้วมันก็อยากรวยกันทุกคน ไปถามได้เลย รวยมาแล้ว ก็ว่าดี ได้มารวยๆ มากๆ แล้วก็เอามาทำอะไร นอกจากขี้เหนียวแล้ว ก็เอามาใช้จ่าย ได้รวยมานี่ มีเยอะๆแล้วนี่ มันมีอยู่ ๒ อย่าง รวยอย่างหนึ่งก็คือขี้เหนียวเอาไว้ อีกอย่างหนึ่ง ก็ใช้จ่าย ใช่ไหม? ถ้าไม่ขี้เหนียว กักเก็บไว้ ก็ต้องใช้จ่าย ใช้จ่ายออกไปทำอะไรล่ะ? ใช้จ่ายออกไปส่วนมาก ก็เอาไปบำเรอ อารมณ์ตัวเอง บำเรอกิเลสตัวเอง ตัวเองอยากได้นั่น อยากกินนี่ อยากใช้นั่น อยากมีนี่ อยากจะเป็นอย่างโน้น อยากจะเป็นอย่างนี้ บางทีก็ไปจ่ายเงิน เพื่อที่จะได้เป็นบ้าๆ บอๆ

ฟังใหม่! ไปจ่ายเงิน ไปเสียเงิน เพื่อเราจะได้เป็นคนบ้าๆ บอๆ นึกออกไหมว่ามีอะไรบ้าง? นึกออก สักอย่างไหม ไปเสียเงินนั่นน่ะ ก็เราจะได้บ้าๆ บอๆ นึกออกไหม นึกไม่ออกเลยหรือ มากมายก่ายกอง ไปเสียเงิน เพื่อเราจะได้บ้าๆ บอๆ ไปเสียเงินกินเหล้า เสร็จแล้วก็สติเสีย สติตกก็บ้า จนกระทั่ง เป็นบ้า อย่างไรก็ไม่รู้ เหมือนหมูเหมือนหมา อยู่เป็นคนก็ไม่ชอบ ไม่กินเหล้า ก็ไปทำอย่างโน้นอย่างนี้ ทำท่าโน้น ท่านี้ อะไรก็แล้วแต่ หรือแม้แต่ไปจ่ายเงินมา อย่างผู้หญิงนี่ไปจ่ายเงินมาไปหาอะไรไม่รู้ มาใส่ร่าง ใส่กาย ใส่ตัวนั้นตัวนี้ ดูแล้วเหมือนบ้า ผู้ชายก็เหมือนกัน เดี๋ยวนี้ ไม่หนุ่ม ไม่สาวเดี๋ยวนี้ บ้าๆ บอๆ ไปจ่ายเงิน มาทั้งนั้นเลย เสร็จแล้ว พอทำเข้าไปบ้าๆ แล้วก็ไปโชว์ด้วยน่ะนึกว่ามันโก้นักหนา ทำตัวบ้า ได้ที่ แล้วก็ไปหา ที่โชว์อีกต่างหาก โอ๊! เวรจริงๆ เลย เป็นไปได้สารพัด แล้วก็ยกกัน สมมัติกัน อย่างนี้ มันยอด อย่างนี้มันเลิศ อย่างนี้มันดี ดีไปดีมา

ไม่ต้องเอาไกลหรอกแต่ก่อนคนแต่ก่อนนี่ ถ้าทาปากนี่ถือว่าเป็นพวกคนไม่ดีคนหากิน พวกทาปากกัน มีแต่ ผู้หญิงหากิน ไม่รู้ว่าไอ้รุ่นหลังๆ รุ่นขนาด ๔๐ นี่จะรู้เรื่องไหม แต่รุ่น ๖๐ขึ้นไป ๕๐, ๖๐ ขึ้นไปนี่ รู้ดีนะ ผู้หญิงนี่รุ่น ๕๐, ๖๐ เป็นเด็กนี่นะ เขายังไม่ทาปากกันหรอก โดยเฉพาะรุ่น ๖๐ นี่ ยังได้ยินกันว่า "โอ๊ย! พวกทาปากนี่มันพวกผู้หญิงหากิน" ใครจะไปทาปาก กัน รุ่น ๖๐ ปีขึ้นไปนี่ยิ่งชัด ๗๐ ปีขึ้นไป ยิ่งชัด พวกทาปาก พวกผู้หญิงหากิน พวกผู้หญิงดีเขาไม่ไปทาปากกันหรอก เดี๋ยวนี้คนไม่ทาปาก ไม่ใช่ชั้นสูง ไม่ใช่ผู้ดี เป็นคนกระจอกงอกง่อย เป็นคนเถื่อน เป็นคนป่า มันต้องทาปากทาหน้า แต่งหน้า ต้องแต่งอย่างขึ้นร้านราคาแพงๆ ต้องไปแต่งให้มันเขียน ต้องแต่งต้องเขียน ต้องทำใช้เวลา ชั่วโมงหนึ่ง สองชั่วโมงกว่าจะเสร็จ จ่ายกันทีละเป็นพันๆ แต่งหน้ากันเป็นพันๆ นะจ่ายกันไปต้องอย่างนั้น มันถึงจะยอดเยี่ยม มันกลับตาลปัตร ไปหมดเลย เพราะอะไร เพราะมันมอมเมากัน มันสร้างค่านิยม ขึ้นมาแล้วมันก็ไปตามกัน

เพราะฉะนั้นคนทุกวันนี้จะเป็นชั้นสูง ไม่ใส่เสื้อนอกก็ไม่ไม่ใช่คนชั้นสูง ไม่แต่งหน้าแต่งตาไม่แต่งผม ไม่ใส่เสื้อผ้า ที่ราคาแพงๆ จากเมืองนอก ก็ไม่ใช่ชั้นสูงอะไรพวกนี้ คือหลอกกันล่อกันจนกระทั่ง พากัน ล้มละลาย พากันตาย จะตาย กระเสือกกระสน จะต้องเป็นคนที่ แบบชั้นสูงให้ได้ ก็เลยย่ำแย่กัน ไปใหญ่เลย คนเราก็เลยหนักหนาสาหัส ชีวิตต้องดิ้นรน หาเงินหาทองมา เพื่อที่จะไปตามค่านิยม ที่เขายกย่อง เขาอะไรต่ออะไร ถ้าต้องใช้ของนอกใช้ของอะไรต่ออะไรละก็ชั้นสูง คนก็เลยจะต้องหากิน เพื่อจะไปไว้ซื้อของชั้นสูง ซื้อของนอกมาใช้ ถ้าไม่มีของนอกไม่ได้ใช้ของนอกไม่ได้เป็นชั้นสูง เสร็จแล้ว ก็มาระลึกรู้ว่า พวกเรานี่เศรษฐกิจมันไม่ดี เศรษฐกิจมันตกต่ำ เงินทอง มันไม่พอ เงินรั่วไหลออกไป ต่างประเทศ มาก เพราะไปซื้อของนอก ก็จะมาประหยัดกัน จะมาใช้ของไทย แต่ก็ยังส่งเสริมของนอก ไปไหน ก็พวกของนอกนั่นละ ขึ้นหน้าขึ้นตา คนที่ไม่มีของนอกก็ไม่ขึ้นหน้าขึ้นตา แต่เสร็จแล้ว ก็มาพูดว่า ต้องส่งเสริมสินค้าไทย ต้องช่วยกันซื้อเอง ต้องมีชาตินิยม อะไรต่างๆ นานา พูดกันไป กลับกันอยู่อย่างนี้ ย้อนแย้งกันอยู่ภาคปฏิบัติก็อย่างหนึ่ง พูดกันโดยปรัชญา ก็อย่างหนึ่ง โฆษณา นักวิชาการเองมาพูด ก็พูดอย่างหนึ่ง บอกว่าต้องประหยัดๆ แต่ตัวเองก็เฟ้ออะไร ต้องรักของไทย แต่ตัวเอง ก็มีแต่ของนอก พูดไปก็อย่างหนึ่ง แต่ตัวเองเป็นอีกอย่างหนึ่งพอหยุดพูด ตอนพูดนั่นก็โก้ workshop ก็โก้ๆ ไอ้บรรยายก็โก้ๆ ปาฐกถาก็โก้ๆ นักวิชาการ พูดก็โก้ๆ ปฏิบัติเองมันย้อนแย้งหมด แบบนี้มันไม่ได้เรื่องได้ราว

ถึงวาระถึงเวลาอย่างพวกเรานี่ก็พยายามพากเพียรกัน เพื่อที่จะมาพัฒนาพึ่งตนเอง มาพึ่งตนเอง มาหา ทางออก มาสร้างสรร สิ่งที่มันจะต้อง ใช้มากขึ้น เสร็จแล้วก็มาหาทางที่จะทำอย่างไรจะมีเศรษฐกิจ มีอาชีพที่มันไปรอดเลี้ยงตนได้ พึ่งตนได้ เกื้อกูลสังคมเขาได้ เพิ่มขึ้น ก็มาสร้างอาชีพกัน มา สร้างงาน การกันมากปรับวิธีดำเนินชีวิตกันไป ก็พอได้ดี ขึ้นบ้าง มีทางออกมีการรวมกลุ่มกัน มีการที่จะสร้างจิต สร้างใจให้เป็นคนที่รู้จักประสานกันสมานกันอะไรขึ้นมา รวมกัน ช่วยกันคิดช่วยกันสร้าง ช่วยกันสรร ก็เป็นสภาพดีขึ้นทั้งนั้น เป็นวิธีการ แบบโลกๆ น่ะเป็นวิธีการทางโลกเขา เขาก็มี วิธีการกัน ศึกษาก็ดี เผยแพร่ก็ดี หรือว่ามีผู้ที่รับผิดชอบบริหารก็ดี ช่วยนำพากัน ก็เป็นระบบ ของสังคมทั่วโลก ก็รู้สึกว่า ก็ดีขึ้นๆๆๆ ปรับตัวขึ้นมาได้พึ่งพาตนเองได้ มีความเป็นอยู่ กินอยู่กันได้ พอได้ มีอยู่มีกิน

สรุปแล้วก็คือเศรษฐกิจดีขึ้น ก็เป็นการบูรณาการเศรษฐกิจ แต่ลืมจิตลืมคุณธรรมลืมเรื่องจิตเรื่อง คุณธรรม เรื่องจิต เรื่องคุณธรรม นี่เป็นเรื่องรากเหง้าของมนุษย์ เป็นเรื่องรากเหง้าของสัมคม เป็นเรื่อง แก้ปัญหาอย่างถึงรากแก้ว ดร.สุเมธ บอกว่า "ใครไปเรียก รากหญ้า รากหญ้านี่ ผมเกลียดจริงๆ" พวกเราได้ฟังหรือเปล่า ดร.สุเมธบอก "ผมเกลียดจริงๆ เลย ไอ้เรียก รากหญ้าๆ นี่ มันจะรากหญ้าอะไร? ไอ้หญ้าน่ะ มันเป็นวัชพืชมันเป็นพวก ไอ้ของไม่ต้องการ ไม่ใช่รากหญ้า ต้องเรียกรากแก้ว ขอร้อง กันเถอะ" ว่าอย่างนั้นนะ ขอร้องให้เรียกรากแก้ว อย่าไปเรียกรากหญ้าเลย ว่าอย่างนั้นนะ

การพัฒนาเศรษฐกิจทุกวันนี้นี่ พัฒนาเศรษฐกิจก็คือ พัฒนาสิ่งที่มีอยู่มีกินสิ่งที่ยังชีวิตไปรอด ก็เป็นเรื่อง ของเศรษฐกิจ แต่เรื่องจิต เรื่องคุณธรรม ไม่ได้ศึกษา ถ้าไม่ได้ศึกษา คนที่มีสตางค์มีเงินมีทอง มีรายได้ อะไรดีขึ้น ก็ชักจะเฟื่องสิ ก็กินเฟ้อ กินใช้จ่าย ซื้อนั่นซื้อนี่ แล้วโลก มันหยุดหลอกที่ไหน โลกมันหลอก มาค้ามาขาย โลกมันหลอกมา ไอ้โน่นก็ดี ไอ้นี่ก็น่ามี ไอ้นี่ก็ของชั้นดี ของช่วยชีวิตประเสริฐนะ ช่วยชีวิต ก็จะต้องอย่างเลิศลอย อย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่างๆ ก็โฆษณาไปหมดนั่นแหละ เดี๋ยวนี้ ยิ่งโฆษณา มันมากมันมาย เราจะไปรู้ เท่าทันมันหรือ? มันสร้างจิตวิทยา สร้างองค์ประกอบ สร้างรูปแบบ สร้างเรื่อง สร้างราวมามอมเมากันตั้งแต่เด็กจนแก่ หลอกตั้งแต่เด็ก จนถึงผู้ใหญ่ มันมีอยู่ในกลุ่ม นี่เป้าหมายตัวเด็กๆ หลอกเด็กๆ เล็กๆ ไม่รู้เรื่อง จนเด็กโตขึ้นมาหน่อยหนึ่ง จนเด็กกำลังวัยรุ่น จนกำลัง ผู้กำลังตั้งฐานะ อายุ ๓๐-๕๐ นี่ หลอกเป็นกลุ่มๆ มันมีกลุ่มเป้าหมาย ไอ้นี่หลอกคนแก่อีกต่างหาก มีหมดทุกรุ่นเลย มันมีกลุ่ม เป้าหมาย มีพวกคณะที่มันมีพวกนักคิด พวก creative พวกนักคิดสร้างสรรนี่ แล้วก็เล็งเป้า กลุ่มเป้าหมาย รวยไปได้หมดเลย เพราะอยู่บนพื้นฐาน ของอวิชชามันก็หลอกได้ คนมี อวิชชาถูกหลอกหมด คนอวิชชาคือคนที่ไม่ฉลาด คนโง่ให้เขาหลอก หลอกได้หมดละ

มีคนหลอกไม่ได้ ก็คือ คนที่พ้นอวิชชา มีจิต เรียนรู้จิตวิญญาณ เรียนรู้คุณธรรม พ้นอวิชชา พ้นว่าอย่างนั้น มันหลอก อย่างนั้นน่าได้ น่ามีน่าเป็น น่ากินน่าสัมผัส ทางตาหูจมูก ลิ้นกายอะไรก็ต่างๆ นานา สารพัด พอเรียนรู้ความพอ เรียนรู้สันโดษ เรียนรู้ความมักน้อยสันโดษ ความสงบความวิเวก อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ พวกนี้เรียนรู้มักน้อยลงมาได้ ไม่ต้องไปมีมาก อย่างเขาหรอก เสื้อผ้า หน้าแพร เครื่องใช้ ไม้สอย อะไรก็แล้วแต่รู้จักสัดส่วนที่พอเหมาะ มัชฌิมา ไม่ต้องไป เอามากเอาเกิน แล้วใจก็เข้าใจ ใจก็ไม่มีกิเลส ลดกิเลส ถูกตัวมันด้วย กิเลสถูกฆ่า กิเลส ถูกจัดการ กำจัด อย่างถูกตัว มันตาย หรือถูกสักกายะ ถูกอัตตา ถูกอาสวะ ถูกตัวตนจริงๆ ศาสนา พระพุทธเจ้า สอนไว้อย่างชัดเจน สอน เรียนรู้ละเอียดลออ แล้วก็แม่นถูกเป้าถูกหัวใจใจขาด กิเลสก็หัวใจแตก ตาย! ตายจริงๆ ตายไม่ฟื้น ตายจริงๆ แล้วไม่มีฟื้น ศาสนาพระพุทธเจ้ายืนยัน ไม่มีฟื้น ตายจริงๆ แล้วไม่มีฟื้น อสังกุปปัง ตายไม่มีฟื้นนะ มั่นคงแข็งแรง ไม่แปรเปลี่ยน ไม่มีอะไร มาหักล้าง ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนแปลง นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง พวกนี้ซึ่งแปลว่ามันไม่ฟื้น มันไม่มีอะไร มาหักล้างได้ อสังหิรัง อวิปริณามธัมมัง ไม่มีแปรเปลี่ยน สัสสตัง เที่ยงแท้ ธุวัง ยั่นยืน นิจจัง ก็เที่ยงก็แท้ ก็แข็งแรง มั่นคงถาวร คือ ไม่เปลี่ยนแปลง ทำได้จริง

ทีนี้ถ้าเผื่อว่ปฏิบัติไม่ถูก ปฏิบัติไม่เข้าทางพระพุทธเจ้า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทย ว่าเป็น ศาสนาพุทธ แต่อาตมา ขอพูด อย่างผ่าๆ เลย เดี๋ยวนี้ อาตมาพูดไป จนกระทั่ง ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง อวดดิบอวดดี ยกตน รู้ดีคนเดียว คนอื่น ไม่รู้อะไร เขาจะว่าอย่างไร อาตมาไม่มีปัญหา อาตมารับฟัง เขาจะด่ากระแทกแดกดันอย่างไรก็ช่างเขา

อาตมาขอยืนยันว่า เดี๋ยวนี้ศาสนาพุทธมันเพี้ยน มันไม่เป็นศาสนาพุทธ มันเป็นศาสนาเทวนิยม เป็นศาสนา แปลง แปลงไปจนกระทั่ง กลายเป็น ศาสนาอะไรก็ไม่รู้ ศาสนาพุทธเป็นอเทวนิยม เป็นศาสนาที่ไม่มีพระเจ้า นอกจาก ไม่มีพระเจ้าแล้ว อเทวนิยม ไม่ได้หมายความว่า ไม่มีพระเจ้า อย่างเดียว ไม่มีอะไรที่ต่างกันกับเทวนิยมตั้งเยอะตั้งแยะ เช่น ไม่มีการเชื่อว่ามีพลังศักดิ์สิทธิ์อะไร มาบันดลบันดาล นี่ก็เป็นศาสนา พระพุทธเจ้า อเทวนิยม แต่ศาสนาเทวนิยม มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีพระเจ้า พระเจ้าองค์เดียวบ้าง พระเจ้าหลายองค์บ้าง มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต่างๆ นานาบ้าง ยิ่งหลงเลอะเลย พระพุทธเจ้าท่านตรัสตั้งแต่แรกเลยว่าไปพึ่งต้นไม้ ไปพึ่งภูเขา ไปพึ่งน้ำ ไปพึ่งพระอาทิตย์ พระจันทร์ ว่าบันดลบันดาล ได้อะไรอย่างนี้ ท่านก็บอกพวกนี้คนละเรื่องกันกับศาสนาพุทธ เดี๋ยวนี้พึ่งหมดนี่ ไม่รู้ว่าบั้งไฟพญานาคนี่ จะศักดิ์สิทธิ์ อีกขนาดไหน ในอนาคตนี่ เดี๋ยวเถอะมีการปรุงแต่ง เป่ากัน เป่าเรื่อง นี่ก็บอกว่านี่มันย่านไหนไม่รู้ คือมันเป็นลำน้ำโขง ตรงย่านที่มันมีบั้งไฟพญานาค มันมีหลายช่วง ใช่ไหม? มีหลายจุด มีอยู่จุดหนึ่งนี่ มีงูเหลือมอยู่ในแม่น้ำโขง แล้วมันก็ขึ้นมา งูเหลือม ตัวโต เหมือนกัน มันไปติดอวน ติดแหอะไรเขาเอาขึ้นมา ก็เอามาอยู่ข้างบน ก็ไม่เป็นสุขกันเลย ต้องปล่อยลงน้ำอีก ปล่อยลงน้ำ แล้วดันไปติด ลอบเขาอีก เอาขึ้นมาอีกเที่ยวไม่เป็นสุขกันอีก ก็เลยไปหาคนเข้าทรง คนเข้าทรงก็ทรงไปทรงมาบอก "ฮู้ย! งูเหลือมนี่แหละ พญานาค อยู่ในแม่น้ำ โขงนี่" ว่าอย่างนั้น นี่ตอนนี้มีเรื่องมีราว แล้วเริ่มต้นจะมีเรื่องมีราวอย่างนี้ไปเรื่อยๆ แล้ว แล้วมันก็จะปรุง จะแต่งกันขึ้นเถอะ! นี่ถ้าเผื่อว่า จะค้นทางวิทยาศาสตร์ ยังค้นไม่พบว่าเป็นอะไรนี่นะ ไปอีก ๑๐ ปีนะ ขลัง! คอยดูสิ ศักดิ์สิทธิ์บูชากัน จะมีพิธีบูชา จะมีพิธีบูชามีขลัง มีอะไร ต่ออะไร ขายพญานาค เป็นเครื่องขลังของขลังคอยๆ ดูนี่บั้งไฟพญานาคนี่จะเป็นไปอีก มันเป็นไปเรื่อยๆ แหละ ก็ปรุงแต่งกัน หากินน่ะคนเรามันโง่น่ะ มันจะไปได้ทางลึกแบบนี้เรียกว่า เทวนิยมเป็นไปหมด แล้วลักษณะ อย่างนี้แหละ ในเมืองไทย เป็นเมืองพุทธน่ะมีเท่าไร อาตมาว่าเกือบเต็มเมือง แล้วผู้ที่ทำพิธี คือใคร ใครรู้ไหม พระ! สาวกพระพุทธเจ้า ว่าอย่างนั้นนั่นละ ผู้ที่ทำพิธี เดี๋ยวนี้หมด นี่อย่าว่าแต่ไอ้ขิกเลย ขี้เกี้ยมตุ๊กแกอะไร เอามาปลุกเสกขายกันจนรวยไปหมดเลย ... อาตมาว่า มันไม่ใช่พุทธเลย มันออกนอกรีตแล้ว นี่คือแสวงบุญนอกขอบเขตพุทธ ...

เอาละพูดไป ก็ได้อีกเยอะ นะ อาตมาก็คงไม่มีเวลา เพราะฉะนั้น ในสังคมของพุทธนี่ พูดก็พูด ทุกวันนี้ อาตมาพูดกัน จนกระทั่งไม่กลัวแล้ว ก็แก่แล้วน่ะ จะเอากันตาย ก็ว่ากันไปเลย ตายก็ตายกัน เท่านั้นเอง ก็พูดกันมาแล้ว ตั้งหลายปี ก็ ๓๐ ปีกว่าๆ แล้ว ก็พูดกันไปต่อเลย พูดให้มันแรงๆ ให้ผ่าๆ กันไปเลย มันไม่เป็น ศาสนาพุทธเลย ทำอะไรกันเละเทะ ไปหมดเลย มีฤษีป่ากับฤษีกรุง ๒ อย่าง ฤาษีนี่ เทวนิยม ทั้งนั้นละ ฤษีกรุงก็อย่างหนึ่ง ฤาษีป่า ก็อย่างหนึ่ง ฤาษีป่า ก็คือ พวกที่เป็นพระป่า ออกไปป่าเขา ลำเนาไพร ไม่เอาแล้ว เรื่องสังคม เรื่องอะไรต่ออะไร ไม่รับรู้ ไม่เอาทั้งนั้นละ ไม่ใช่กิจสงฆ์ ไปหมดเลย

ไปก็นั่งหลับตา เข้าป่า เข้าเขาเข้าถ้ำ ไม่เอาแล้ว ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อะไร ไม่แตะไม่ต้อง ไม่วุ่น ไม่วาย ไม่อะไร นั่งสงบไป นิ่ง หยุด ไม่มีประโยชน์ อะไรกับสังคม ไม่รู้สังคม ไม่รู้จริงๆ ไม่รับรู้ด้วย ถ้ารับรู้ ถือว่าไม่ใช่พระ ถ้าพระต้องไม่รู้ สังคมถือว่าไปรับรู้นี่ ไม่ใช่ละ มันยังเป็นโลภ ว่าอย่างนั้นนะ โลกๆ ถ้าจะไม่ใช่โลกๆ ก็คือ ไม่รู้เรื่องโลกเลย นี่คือ พวกพระป่า ไปทำตัวให้โง่เง่า ทั้งๆ ที่เคย มีความรู้ ก็ลืมหมด ทิ้งไปไม่มีอะไร นั่งเสกมนต์เสกพระอะไรไป ใครมาก็หนักเข้าก็ขลัง กลายเป็นพระธุดงค์ พระอะไรล่ะ พระมีฤทธิ์เดช เก่ง เพราะฉะนั้น ก็กลายเป็นพวกที่มีสมาธิจิตสูง ขลังนั่งสมาธิเก่ง ขลัง ก็เลยจะต้องมาใช้วิธีขลังๆ นั่นแหละ ใช้ฤทธิ์ใช้เดชทางจิต ก็นั่งละ เอามาปลุกเสก มาทำอะไร ต่ออะไร กลายเป็นพวกพระป่า พวกนี้ก็สายฤาษีป่า เทวนิยม นิยมกันขลังๆ อธิบายอะไรไม่ได้ ช่วยคนก็ช่วย อย่างที่ท่านเป็นน่ะ ท่านพาบอกทิ้งอย่างไปเอา เรื่องโลก เรื่องลาภ ยศ อะไรอย่าไปเอา ก็สอนกันไป อย่างนี้ แล้วมันจะไม่เอา อย่างไรล่ะ ต้องไปนั่งสะกดจิตเท่านั้นแหละ สะกดจิตไป ไม่เอาละไม่เอานะ ลาภ ยศ สรรเสริญไม่เอานะก็ไปดิ่งๆ ไปทางนั้นหมดเลย

ดูๆ มันเหมือน ศาสนาเหมือนกันนะ เป็นฤาษีไป ก็ทำกันไปแบบนั้น ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้ พาเป็น น่ะ ท่านสอน ถึงเรื่อง สุดโต่งสองทาง ท่านสอนถึงเรื่องมรรคองค์ ๘ ท่านสอนถึงเรื่องกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา อะไรไม่รู้เรื่อง ก็นั่งไม่ต้องเรียนอะไรมากหรอก นั่งสะกดจิต หนีให้เก่ง ลืม อะไรมาก็ดับ ไม่ให้ยุ่ง ไม่ให้เกี่ยว หนังสือพิมพ์ไม่อ่าน วิทยุไม่ฟัง อะไรไม่รับรู้ทั้งนั้นแหละ ใครมาพูด เรื่องอะไรบอก เอ้อ! ไม่ใช่เรื่องทางศาสนา ไม่ใช่เรื่องสงฆ์อะไรไปหมดเลย นี่ฤาษีป่า ออกนอกรีต พระพุทธเจ้าหมด มรรคองค์ ๘ ไม่รู้จักสูตรต่างๆ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ร้อยเรียงกัน โอ้โห! ส่งเสริมกัน ขัดเกลากิเลสคน ได้ดีมาก ไม่ค่อยรู้หรอก รู้แต่สวด ได้แต่ท่องมนต์เก่ง สวดพระบาลีเก่ง ก็ไม่มีงาน อะไรนี่ ก็นั่งท่อง นั่งสวดไป ก็สวดมนต์ เวลา โอ้โห! ทำวัตรเช้าทีหนึ่งนี่ กว่าจะสวดมนต์เสร็จ ชั่วโมงหนึ่ง สวดมนต์ไปชั่วโมงหนึ่ง

ของขาวอโศกเรานี่นะขอกำชับกำชาเรื่องหนึ่ง พวกเรานี่สวดมนต์ได้แค่นั้นน่ะ ๒-๓ บท ไปหากินทั่วโลก ไปไหน ก็สวดมันแค่ ๒-๓ บทนี่แหละ สวดมนต์แปลอยู่แค่นี้ แต่ชาวอโศกจะต้องรู้สูตรต่างๆ ของพระพุทธเจ้า รู้ไม่ใช่ท่องได้ แต่รู้ยิ่งท่องได้ยิ่งดี จะท่องได้ก็ไม่ว่ากัน แต่มันท่องไม่ค่อยได้ พวกเรา มันท่องกันทั้งสูตร ไม่ค่อยได้กันหรอก แต่พวกชาวฤาษีป่าเขานี่ ท่องเก่ง เขาท่องได้ทั้งสูตรเลย เขาใช้ไม่เป็น ใช้ไม่เป็น ของเรานี่ ท่องไม่ได้ทั้งสูตรหรอก แต่ใช้เป็น รู้จัก มีบาลีประกอบบ้าง จำบาลีได้ ก็จำ จำบาลีไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ต้องรู้หัวข้อแท้ โดยภาษาไทย เราเป็นคนไทย ก็รู้ความหมาย ภาษาไทย ว่าอย่างนี้ๆ สูตรนั้นสูตรนี้ สูตรนั้นสูตรนี้ ที่อาตมาหยิบมาอธิบายมาสอนมาแนะนำไปหมดนี่ ไม่ว่า สูตรไหนๆ เรามาสอน แล้วก็ขัดเกลาร้อยเรียงกัน ขัดเกลากิเลสไปให้ได้ ขอให้พวกเราต้องจำ ภาษาบาลี จำสูตรต่างๆ พวกนี้บ้าง ไม่ใช่จำแต่ที่รู้ ปฏิบัติได้เฉยๆ แต่พอพูดว่าสูตรนั้นสูตรนี้ อย่างนั้น อย่างนี้ อ้างไม่ได้เลย มันไม่มีหลักอะไรไปอ้างกับเขา ให้สวดให้ท่อง ก็สวดท่อง ไม่ได้สวดไม่ได้ท่องกัน ไม่ได้สวดได้ท่อง เอามาอธิบาย เอามาบรรยาย เอามายกอ้าง อะไรต่ออะไรหลายคนก็ท่องได้ตาม ยกอ้างได้ ตามพระบาลีสูตรนั้นสูตรนี้ สูตรหลักหลักต่างๆ ที่เราใช้จริงๆ ใช้แล้ว เราก็ได้ประโยชน์ ได้มรรคได้ผลจริงๆ นั่นละ เอาของจริง พวกนี้ละ มายกมาอ้างมาใช้ แล้วเราก็ จะต้องเข้าใจ จุดสำคัญ พวกนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เราท่องก็ไม่ได้ ทั้งๆที่เราเอามาใช้ ก็จำไม่ได้สักอัน พูดไม่ถูก ไอ้อย่างนี้ เสียท่าหมดเลย ไม่มีอะไรไปยืนยันกับเขา

แต่ถ้าเรามีอะไรพวกนี้ไปยืนยันกับเขา เป็นเนื้อเป็นหนังบ้าง ไม่ได้มาทั้งตัว ก็มีเนื้อมีหนังบ้าง อย่างน้อย ก็มีนี่ไง เนื้อสัน นี่ไงหัวใจมัน นี่ไงตับมัน ไตมัน มีอะไรต่ออะไรบ้าง ไม่ได้ทั้งตัวก็ยังได้ส่วนสำคัญๆ ไปอ้างไปอิง เขาก็ยังจำนนว่า เอ้อ! ใช่! นี่มันตับวัวตับควายเหมือนกัน นี่มันเนื้อหนังควาย ไอ้นี่หัวใจวัว หัวใจควายบ้าง เอ้อ! เขาก็ยัง จำนน นี่ไม่มีอะไร ไปยืนยันกับเขาเลยนี่ มันไม่ได้เรื่อง เขาไม่ยอมรับนะ แต่ถ้าของเรามีอะไรพวกนี้ ยอม มีจริงๆ ไปอ้างกับเขาบ้าง เขาก็จะยอมรับ อันนี้จำไว้นะ

ทีนี้ฤาษีกรุงเป็นอย่างไร? ฤาษีกรุงนี่พวกปัญญา ฤาษีป่านี่พวกเจโต พวกศรัทธาพวกเจโต ฤาษีป่า ฤาษีกรุง ก็พวกปัญญา พวกปัญญานี่ เรียนสิ เรียนอู๊ย! แปล โอ้โห! พูดเก่ง พูดเก่ง สาธยาย เอาของ ตัวเอง ประสมประสานไปเสียเยอะ เรียนมา แล้วก็ประสมประสานกันไป แล้วก็บอกว่า เมืองไทยนี่ เมืองเถรวาท เรียนตามของพระพุทธเจ้า เปล่าหรอก ของตัวเองนั่นละ เยอะแยะ และ ของอาจารย์ อื่นๆ มา เดี๋ยวนี้ที่จริงศาสนาของประเทศไทย ก็ไม่ใช่เถรวาทหรอก อาจาริยวาท ของใคร รู้ไหม ที่เป็นหลัก ของท่าน พุทธโฆษาจารย์ วิสุทธิมรรค เป็นหลัก วิสุทธิมรรคนี่เป็น คำสอนรุ่นหลัง เป็นคำสอน ของท่านพุทธโฆษาจารย์แล้วก็มาใช้กันสอน มาเรียนกันนี่ กสิณ ๔๐ อะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา พวกนี้ของพุทธโฆษาจารย์ สอนมาเกือบทั้งนั้นเลย อภิธรรมมากๆ มายๆ ก็เอามาจาก พุทธโฆษาจารย์นี่ เยอะแยะ สอนกัน เรียนกันอยู่นี่

อาตมาว่าศาสนาพุทธนี่เป็นศาสนา ๑.ศาสนานวโกวาท ๒.ศาสนา วิสุทธิมรรค ในเมืองไทยนี่ได้ นวโกวาทมา ก็เรียนนักธรรมตรี โท เอก ก็ได้มา ไปเรียนเปรียญมา ก็ได้วิสุทธิมรรค มาเยอะ เลยไม่ค่อยรู้เรื่อง พระไตรปิฎก แต่พอไปรู้บาลีเรียนเปรียญไปรู้บาลีรู้อะไรมา แต่รู้บาลีจากวิสุทธิมรรค นี่เยอะ มีบางท่านที่ขวนขวาย เอาภาษาความรู้จากเรียนบาลี ไปอ่านพระไตรปิฎกบ้าง ไปค้นคว้า พระไตรปิฎก เดี๋ยวนี่ก็ดีขึ้น มีการเอาพระไตรปิฎกมายืนยัน

อาตมานี่ไม่อ่านอรรถกถาจารย์เลย อ่านพระไตรปิฎกอย่างเดียว ไม่อ่านอรรถกถาจารย์ พยายามอ่าน แต่ไม่มี เวลา พยายามอ่าน เพื่อรู้ของเขาบ้างก็ไม่ค่อยได้อ่าน ก็พยายามอ่านของพวกเรา พวกอาจารย์ รุ่นใหม่ๆ รุ่นหลังๆ นี่อ่านของ พระธรรมปิฎก ของท่านพุทธทาส ของท่าน อะไรต่ออะไรที่ว่าดีๆ ในเมืองไทยนี่บ้าง พยายามอ่านเพื่อจะได้รู้ว่า ท่านว่าอย่างไร? ท่านสอนอย่างไร? คนไทยเรายอมรับ คนไทยเรา เข้าใจอย่างนี้ๆ อาตมาก็ถึงจะต้องรู้ตาม ก็ไม่ค่อย ได้อ่านเท่าไร แต่ก็อ่านพยายามอ่าน ยิ่งอรรถกถาจารย์ ยิ่งไม่มีเวลาอ่านเลย เขาซื้อไปให้ โอ้โห! ไม่รู้กี่ร้อยๆ เล่ม ก็ไม่ค่อยได้อ่าน ไม่ค่อยได้ เปิดดู จะว่าไม่มีดีก็มีมีดี แต่ว่ามันก็ไกล คือมันเพี้ยน มันผสมผเส ขึ้นมาเรื่อย เลยกลายเป็น ศาสนา

ทีนี้พูดถึงฤาษีกรุง ยังไม่ได้พูดหมด ฤาษีกรุงนี่ศึกษา มีปัญญา เข้าใจตรงนั้นตรงนี้ อ้างอิงคิดลึก คิดได้ มากมาย คิดได้ไกล คิดได้ลึก จนกระทั่ง รู้จักหมดจบ อนัตตา ไม่มีตัวตน สุญญตา รู้หมด เลยเอาแต่รู้ เสร็จแล้วก็ได้รู้ ได้ปรัชญาพวกนี้ เป็นคาถา เป็นฤาษีกรุง จนตีความไปเข้าใจว่า โอ๊! พระพุทธเจ้า ท่านสอน สัพเพ อนัตตา ติว่าอย่างนั้นนะ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นวาชศรพไปเลย รู้จัก วาชศรพ ไหมล่ะ อ๊อ! ไม่มีตัวตนหรอก ทุกอย่างนี่ เอามีดฟันเข้าไปในร่างกายนี่ เท่ากับฟันเข้าไป ในที่ว่าง น่ะ ใช่ไหม? วาชสพเขาสอนลูกศิษย์ สอนลูกศิษย์สมัยโบราณ เขาไปปล้น ไปจี้ ไปฆ่า ไปแกงคน วาชศรพ เป็นหัวหน้าโจรในหนังสือกามนิต-วาสิฏฐีไง? เพราะฉะนั้น ก็ต้องสอน ให้เอาดาบ ฟันสิ สมัยก่อน มันไม่มีปืนนี่ มีแต่ดาบ มีแต่มีด บอกว่าฆ่าคนไม่มีบาปหรอก เพราะว่า คนไม่ใช่ตัวตน คนน่ะ มันเป็นของความว่าง เป็นแต่เพียงองค์ประกอบของ ดิน น้ำ ลม ไฟ กับจิตวิญญาณ อากาศธาตุ ๖ ธาตุ มันไม่ใช่ตัวตนอะไรหรอก ก็เสร็จ แล้วมันก็ต้องตายไป ใช่ไหมล่ะ? ตายไปแล้ว พระพุทธเจ้า ก็สอนแล้วนี่ วิญญาณัง อนัตตา วิญญาณไม่ใช่ตัวตน

เพราะฉะนั้น ถึงแม้ร่างกายมันก็ไม่ใช่ตัวของตนแท้ๆ จริงๆ หรอก มันสมมุติ วิญญาณก็เหมือนกัน วิญญาณ ก็อนัตตา ไม่ใช่ตัวตนจริงหรอก เพราะฉะนั้น เอาฟันเข้าไป เอามีดไปฟันคอเขาขาด ก็เหมือนกับ ฟันไปในที่ว่าง เพราะมันไม่ใช่ตัวตนของใคร... มันไม่ใช่ตัวกูของกูหรอก นี่พวก สายปัญญา ... บอกว่าทุกอย่าง ไม่มีหรอก อัตตา มีแต่อนัตตา ใครไปหลงว่าเป็นอัตตา นั่นแหละ คนนั้นแหละ มิจฉาทิฐิ เพราะฉะนั้น อัตตาไม่มี เมื่ออัตตาไม่มี ก็ไม่ต้องปฏิบัติอะไร ทุกอย่างก็ เออ! หมดแล้ว ไปมันไม่มีตัวตนหรอก มันไม่ใช่ของเราของเขาหรอก อนิจังไม่เที่ยงแล้วก็อนัตตา ก็ไม่ต้องไป ยึดถืออะไร มันก็ใช้เป็นคาถา ได้ทุกอย่าง อัตตาอย่าไปยึดมั่นถือมั่น ทุกอย่างไม่ควรถือมั่น สัพเพ ธัมมานาลัง อภินิเวสายะ ทุกอย่าง ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไร มันมีอะไรมา พอทุกข์ พอร้อน ก็คลายด้วยคาถานี้แหละใช้คาถานี้ ไม่ต้องไปนั่งสมาธิอะไร มากกมายหรอก ใช้ถาคาทาง ปัญญา เอ้อ! ว่าง ลอย ว่าง โปร่ง อะไรก็ไปยึดมั่นถือมั่น ไม่ได้ มันก็ค่อยยังชั่วทั้งนั้นแหละ มันก็คลายทุกข์ได้ คลายทุกข์ได้

เพราะฉะนั้น ฤาษีกรุงก็ถึงอนัตตาเหมือนกัน ถึงสุญญตานิพพาน ไม่ต้องนั่งสมาธิก็ใช้คาถา อย่างนี้แหละ ใช้ปัญญา ก็คลายทุกข์ได้ไป ก็เหมือนกับ คนปวดท้องนั่นละ ก็ไปซื้อยาคุณตี๋ ก็ซื้อยา แก้ปวดหน่อย แก้ปวดอย่างดีๆ เลยนะ มากิน มันก็คลายไปได้ ปวดหัว ก็ไปซื้อยาแก้ปวดหัวมากิน ก็หายไป แต่ไม่รู้ว่า ปวดท้องน่ะ มันเป็นมะเร็ง หรือว่ามันเป็น โรคลำไส้ ไม่รู้ ไม่รู้เหตุ เป็นการรักษา ตามอาการ หมอเขา ก็เรียกว่า เป็นพวกรักษาตามอาการนั่นแหละ ภาษาอังกฤษก็ว่า Syntrometic Treatment รักษาตามอาการ ปวดหัวก็เอายาแก้ปวดมากิน ปวดท้องก็เอายาแก้ปวดท้องมากิน เป็นอะไร ก็รักษาตามอาการมันเป็นน่ะ เป็นไข้มาก็ให้กินยาลดไข้ แต่มันเป็นไข้ มันเป็นโรคอะไร สารพัดได้เป็น ๑๐๐ อย่าง ก็ไม่ได้ไปตามหาเหตุ นี่เรียกว่ารักษาตามอาการ ก็หาย หายชั่วคราว หายก็กินยา มันเป็นมาอีกเมื่อไร ก็กินยานั่นแหละ ก็หาย หายไปได้ แต่ไม่ได้ถอดราก ถอนโคน

ศาสนาพระพุทธเจ้านั้นทุกอย่างเกิดมาแต่เหตุ ต้องตามหาเหตุและดับเหตุให้ถูกต้อง ดับเหตุให้ถูกต้อง ถึงจะหายขาด หายขาด ก็หายแล้วหายเลย นี่ของพระพุทธเจ้าต้องเป็นอย่างนี้รักษาถึงขั้น causative treatment หรือ practical treatment ต้องรักษาตรงเหตุ ตรงรากเหง้า ของมันให้ได้ แต่นี่ไม่ใช่ ฤษีกรุงก็ไม่ใช่ ฤษีป่าก็ไม่ใช่ ฤาษีป่านี่ มันพวก รักษาคลุมๆ เลย เหมือนกันกับบุช รู้จักบุชไหม จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช รักษาเหมือน จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช รักษาอย่างไร รู้ไหม? จะจับบินลาดิน ทิ้งระเบิดมันทั้ง อัฟกานิสถาน เลย เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลย บินลาดิน ตายหรือยัง นั่นละพวกฤาษีป่า รักษาแบบนั้นละชนะ ชนะอัฟกานิสถาน พวกนี้ยอมแพ้ ชนะอัฟกานิสถาน ทิ้งระเบิด มันยิงอาวุธอะไรก็แล้วแต่ จะฆ่าให้ตาย รักษารวมๆ เขาเรียกว่า empiric treatment รักษาแบบใช้อำนาจ ใช้ประสบการณ์ ฉันมีประสบการณ์ ฉันฝึก ฉันปรือ ฉันอะไรก็แล้วแต่ แต่ไม่มีปัญญา ไม่รู้จักความจริง ใช้อำนาจ ใช้การสังเกตการณ์ ใช้การกระทำ รวมๆ เหมาๆ เหมาๆ รวมๆ ไปเลยอย่างนี้ แบบบุชฆ่าบนิลาดินน่ะ เดี๋ยวนี้ยังไม่รู้เลยว่า บินดาลิน ตาย หรือยังก็ไม่รู้ แต่ดูเหมือนชนะนะ เดี๋ยวนี้ ดูเหมือนว่า ชนะ เดี๋ยวนี้บุชชนะ ดูเหมือนชนะนั่นละ เป็นการรักษาแบบ ฤาษีป่า ฤาษีป่า

ฤาษีกรุง เขาก็รักษาแบบ บำบัดตามอาการ ซึ่งมันออกนอกรีตพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านรักษา ถูกเหตุ ถูกเป้าหมาย ทำอย่างเรียนรู้ถึงสัจจะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม่ศึกษาดีๆ ศาสนาพุทธก็เพี้ยน เพี้ยนไปมากจริงๆ อาตมากล้าพูดอย่างนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ แต่ก่อนนี่ พูดอย่างนี้ไม่ได้หรอก พูดอย่างนี้ตาย เดี๋ยวนี้ ก็หมายความว่า แก่วัดหน่อย เขาก็เลยเกรงๆ หน่อยว่าพูดมานาน แล้วก็พิสูจน์ ความจริงว่า อาตมาพาปฏิบัติ ตามที่อาตมาเข้าใจนี่ แล้วก็สร้างคนมา สร้างสังคมกลุ่มหมู่ สร้างวัฒนธรรม สร้างให้ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดผล มีมรรรค มีผล มีอะไรขึ้นมา ขนาดนี้ มันมีสิ่งที่ยืนยันได้แล้ว ก็เป็นอย่างนี้ จะเอาหลักธรรม ของพระพุทธเจ้ามาตรวจ มาสอบ ว่ามาพามักน้อยไหม? พาสันโดษไหม? พาสังคมสงบสุขดีไหม? สอดคล้องกับความเป็น อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านยืนยัน จะเป็นวรรณะ ๙ จะเป็น กถาวัตถุ ๑๐ จะเป็นการตรวจสอบ ธรรมวินัย ๘ เอามายืนยันสิพวกเรานี่ เขาไม่กล้าเถียง นั่นเป็นพวก มักน้อยสันโดษ เป็นพวกลดละ เป็นพวกเกื้อกูล เป็นพวกอัตตา หิ อัตโน นาโถ เป็นพวก ที่พึ่งตนได้จริงไหม เป็นพวกที่ไม่โลภโมโทสัน เสียสละ มีบุญนิยม มีถึงขั้นสาธารณโภคี อะไรก็แล้วแต่

เราก็เลยมีของจริงยืนยัน เขาก็เลยไม่กล้า ไม่กล้า ที่จะถล่มทลาย ไม่กล้ามาแหยมเท่าไร เพราะว่าเรา แสดงฤทธิ์ เป็นธรรมฤทธิ์ แสดงธรรมฤทธิ์ ขึ้นมาหน่อยหนึ่ง เขาก็เลยเกรงๆ แต่เขาก็ไม่ยอม เขาใหญ่ เขาก็ยังใหญ่ อยู่นั่นแหละ เราน้อย แต่เราก็จริงๆ ตัวเล็กๆ แต่ว่าจริง เขาก็เลยไม่กล้าเท่าไร เพราะถ้าขืน มาตอแยเรานี่ สังคมเขาก็ยังมองอยู่เหมือนกัน เขาก็มีดวงตาอยู่เหมือนกัน มารังแก แต่ก่อนนี้ รังแก อาตมาได้ เพราะยังเล็ก ก็รังแกมา ก็ยังมีคนเห็นนะว่า มารังแกท่านทำไม ท่านก็ทำดี ว่าอย่างนั้นนะ อย่างอาตมาถูกจับ ถูกอะไร แล้วพวกเรา พระเจ้าพวกเราถูกจับ ถูกอะไรอย่างนี้ ก็ว่ากันไป ตั้งหลายปี เสร็จแล้วก็ยังอุตส่าห์ ลงโทษ แพ้ ให้ติดคุก อะไรก็แล้วแต่ เราก็ยังทำของเราไป เขาก็ไม่กล้า มาแรง กว่านั้น เราก็ทำของเราไป พยายามหาวิธีทำ จนกระทั่งมันจบเกม จบอันนั้นมาแล้ว จนสร้างจนสรร ขึ้นมา ชีวิตในกับกาละเวลา ผ่านมาเรื่อยๆ เราก็สร้างมาเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่ง ถึงทุกวันนี้แล้วนี่ จนมัน ออกมารูปนี้แล้วนี่ ทั้งสภาพ ที่มันต้องแยก ต้องแตกกันมา มาเป็นอย่างนี้

จนกระทั่ง เรากลายมเป็นอย่างนี้ ก็เพราะเขาทำให้มันแตก เขานะเป็นคนทำให้ออกมาเป็นอย่างนี้ เราก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร จะไปนุ่งห่มจีวร เขาก็ไม่ให้นุ่งห่ม จะไปทำอย่างไร เขาก็ไม่ให้เป็นอย่างที่ว่า เขาก็ว่า เราไม่ใช่พระ ไม่ใช่พระ เราก็บอกว่าเราเป็นพระ ทั้งๆ ที่เราเองเราถูกจับนี่นะ อาตมาถูกจับ เพราะว่า เราจะเป็นพระ ถ้าเราไม่เป็นพระ จะต้องติดคุกนี่ กฎหมายก็บอกว่า อย่างนี้ คือสั่งให้สึก ต้องสึก ภายใน ๗ วัน ถ้าไม่สึกแล้วนี่ผิดเท่านี้เองละ เราก็ยืนยันว่า ไม่สึกๆๆๆ เอ้อ! เอ็งไม่สึก เอ็งผิด แล้วไม่สึก เราก็ยังเป็นพระอยู่นี่แหละ ผิดอะไร ผิดกฎหมาย ให้ว่าคุณ เอ็งบอกว่าเอ็งจะต้องสึก ถ้าว่าเอ็งไม่สึก เอ็งผิด ก็ไม่สึก มันเป็นอะไรล่ะ? คนไม่สึก มันยังเป็นอะไรอยู่ล่ะ มันก็ยังเป็นพระอยู่ นั่นแหละ เราผิดเพราะเราไม่สึก มันฟังแล้วมันซับซ้อนน่ะนะ มันผิดเพราะอะไร? ผิดเพราะเราไม่สึก เสร็จแล้ว ก็มาบอกว่า เราไม่ใช่พระ เอ้า! เราไม่ใช่พระอย่างไร? ก็เราผิดน่ะ ผิดตรงที่มันต้องสึก แต่เราไม่สึกนี่ คือเราผิดแต่เราไม่สึก เราเป็นพระอยู่ใช่ไหมล่ะ ถ้าเราสึกสิ เราไม่ใช่พระ เราสึก เราก็ไปเป็นฆราวาส ก็เราไม่สึก เราก็ยังเป็นพระอยู่ แต่เอ็งผิดนะ ใช่! ผิด! แต่เป็นพระ มันก็ยังซับซ้อน อยู่ตรงนี้ เสร็จแล้วก็บอกว่า นี่พวกนี้ ไม่ใช่พระ ไม่ใช่อย่างไร? ก็ศาลพิพากษาแล้วว่าเราผิด ศาล ๓ ศาล พิพากษา ๒ ศาล ๓ ศาล พิพากษาแล้วว่าเราผิด ผิดตรงไหน ผิดเพราะไม่สึก แล้วไม่สึก มันเป็นอะไรล่ะ? ก็เป็นพระ แล้วบอกว่าเราไม่ใช่พระ เอ้า! มันวนอยู่อย่างนี้ เขาบอกว่า เราไม่ใช่พระ ก็ไม่ใช่พระอย่างไร? ก็ไม่สึกมันก็ต้องเป็นพระสิ ก็สึกต่างหากเล่ามันถึงจะไม่ใช่พระ

นี่มันก็อยู่ตรงนี้ละ เขาก็เลยไม่กล้าแย้งเหมือนกัน แย้งมา เราก็บอกว่า ก็คุณนั่นแหละ เอาเราผิดน่ะ ก็เราไม่สึก แล้วมาสั่งให้เราสึก แล้วก็เอาเราผิด เราก็ไม่สึก ไม่สึก เราก็ยังเป็นพระ ไม่ใช่เป็นพระ ตามที่คำว่า "ไม่สึก" อย่างเดียว เราก็ยังปฏิบัติเป็นพระทุกอย่างๆ แผนการปฏิบัติอย่างที่เราปฏิบัติ ตามธรรม ตามวินัย อาตมากอดพระไตรปิฎกแจเลยนะ อ้างมา ก็มาเปิดพระไตรปิฎกใส่กัน ไม่กล้า ไม่กล้ามาเปิด พระไตรปิฎก ใส่อาตมาหรอก ไม่กล้า อาตมาเขียนหนังสือทุกวันนี้ ก็อ้างพระไตรปิฎก เขียนประโยค ๒ ประโยค ก็อ้างพระไตรปิฎก อ้างข้อนั้น สูตรนี้ เล่มนั้น อ้างพระบาลี อ้างจนน่า รำคาญนะ ใครอ่านเถอะ หนังสือของอาตมา ทุกวันนี้น่ะ น่ารำคาญ อ้างพระบาลี อ้างพระไตรปิฎก ข้อนั้น หมวดนี้ อ้างจังเลย อ้างเพื่อท้าทายให้ไปเปิดมา เปิดมายันกัน ยังเงียบอยู่ ยังไม่มีใคร มาเปิด ยันกับอาตมาสักบทเดียว เขียนมานานแล้ว หนังสือหนังหาก็เขียนมา เทศน์เท่าที่จำได้ก็อ้างเหมือนกัน อ้างจำได้ก็อ้าง จำไม่ได้ ก็ไม่ได้อ้าง แต่ถ้าเผื่อเขียนหนังสือนี่ มันต้องเปิด มันตรวจสอบได้นี่ เราก็เปิด อ้างมันตะพึดเลย อ้างจนรำคาญ บางทีหน้าหนึ่งนี่ อ้างซ้ำ อ้างซาก ตั้ง ๓-๔ ที่ อันเรื่องเดียวกันน่ะนะ ข้อเดียวกัน ประโยคเดียวกัน พระบาลีตัวเดียวกัน อ้าง ๔-๕ ที่ นี่นะ หน้าเดียวบางทีนี่ อ้างจนรำคาญ ยั่วเขาหน่อย เอ้า! จริงๆ นะ ยั่วหน่อย ถ้ามันเจอผิดเมื่อไรนี่ เขาจะมายันเลย ยั่วๆ นี่ละ ถ้าเจอผิดเมื่อไร ก็จะยัน แต่ถ้าไม่ยั่วเยาก็ไม่ใช่ไหม? มันก็ไม่คัน ไม่ยั่วมันก็ไม่คัน ไม่คันมันก็ไม่ได้เรื่องน่ะยั่วหน่อย ยั่วจน ป่านนี้แล้วนะ ยั่วมานานแล้ว หลายปีแล้ว อาตมาเจตนาทำ ก็ยังไม่ขึ้น ยังไม่มีใครเสนอหน้ามา คนเก่งๆ ก็เงียบอยู่ คนเก่งๆ ชอบหมด ใครว่าอย่างไรขึ้นมานี่ ข้าจะต้องค้าน แล้วก็อ้าง เขียน ค้าน อาตมาก็เขียน อาตมาก็ออกทั้งพิมพ์ ทั้งรายคาบ ทั้งรายเล่มออกไป ก็ยังเงียบอยู่ อาจจะไม่อ่านเลย ไอ้นี่ไม่อ่านมันละ อาจจะเป็น อย่างนั้นก็ได้ คงว่าไอ้เจ้านี่ ไม่อ่านหรอก เสียตา! ว่าอย่างนั้นนะ ไม่ยอมอ่านก็ได้ อาจจะเป็นอย่างนั้น ก็ได้ หรืออาจจะอ่าน แต่ว่า ประเดี๋ยวเถอะ ไอ้นี่ แหย่ๆ มันไป ประเดี๋ยวเถอะ มันแย้บมาอีกเจ็บตัว ก็เลยไม่อยากจะแย้บก็ได้ ก็ยังไม่รู้เหมือนกันนะว่า อย่างไรๆ ? พูดไปแล้ว ก็เหมือนกับเป็นเล่มๆ เป็นเรื่องไม่ดี แต่แท้จริงแล้วนะ มันเป็นเรื่องการตรวจสอบ มันเป็นเรื่องการต้องช่วยกัน สังคายนา

"สังคายนา" แปลว่าอะไร? สังคายนาแปลว่า การตรวจสอบความถูกต้อง ศาสนาพระพุทธเจ้า สมัยโบราณ มันไม่มี ตัวหนังสือ มันไม่ได้เขียน มันมีเหมือนกันน่ะ มันยังไม่กว้างขวาง มันยังไม่มีวัสดุ มันยังไม่มีการบันทึก ก็ไม่แพร่หลาย ไม่ใช้กันเท่าไร ใช้กันอยู่ ในส่วนสำคัญ ถ้าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน จะบันทึกก็ต้องไปเอาหินมา ก็ต้องมาสลักกัน โอ๊! กว่าจะเป็นตัวหนังสือ กว่าจะเป็นอะไรต่ออะไร ได้ยากได้เย็น ไม่มีกระดาษ ไม่มีอะไรไม่เหมือนเมืองจีน เมืองจีนใช้ ไม้ไผ่นะ มาทำผุๆๆ แล้วสลักลงไป ในไม้ไผ่เมืองจีน เมืองอินเดียไม่มี ไม่มีกระดาษ ไม่มีวัสดุจะบันทึก ก็เลยต้องท่องจำ ท่องจำเอา มีหนวด มีหมู่ มีอาจารย์ มีครู มีลูกศิษย์ ท่องกัน เรียกว่า "สังคีติ" ท่องถ่ายทอดกัน

ในสายพระอานนท์นี่ ท่านถ่ายทอด จำๆๆๆๆ ไว้หมด เสร็จแล้วก็เอามาตรวจสอบ ตรวจสอบกันก็คือ คนไหนที่ท่องได้แล้ว ก็ท่องขึ้นคนเดียว เสร็จแล้ว ส่วนมาก็นั่งฟังกัน นั่งฟังการท่องขึ้นมา นี่องค์ที่ ท่องๆๆ ผิดตรงไหนปั๊บ ผู้ที่นั่งฟังทั้งหลายแหล่นี่ ก็ต้องรู้ด้วยกันมาทั้งหมด ใช่ไหม? เพราะทุกคน ต้องท่องมาทั้งนั้น เอ้า! นี่ผิดแล้วท่านท่องผิดแล้วนี่ คำนี้เพี้ยน คำนี้ไม่ตรง ประโยคนี้ไม่ตรง ประโยคนี้ ตกไป วลีตกไป อะไรก็แล้วแต่ก็ท้วงไว้ๆ สังคายนากันไว้ตลอดมา มีท่องมาให้หมดให้ครบ เรียกว่า สังฆีติ เสร็จแล้ว ก็มีการตรวจสอบ ทบทวน สังคายนากัน จะด้วยวิธีลงปาติโมกข์ นี่ก็คือตรวจสอบ หรือ เวลาสวด คนนี้สวดขึ้น สวดสังคายนากัน ก็อย่างนี้แหละ คนที่บอกว่าจำได้มากๆ ขึ้นมาสวด คนนี้ จำได้แม่น บทนี้ขึ้นมาสวด สวดเสร็จแล้วทุกคนก็นั่งฟังด้วยกัน แล้วก็ใครสวด ถ้าบอกว่า มันไม่ตรงกัน หมดเลย ทุกคน อ้า! ไอ้นี่ผิดนะ คนไหนท้วงขึ้นมา ก็มาสังเคราะห์กัน มาวิจัยกัน ถูกที่จริงอะไร มันถูกกันแน่ อันนี้อันไหนถูก ก็ยืนยันทุกคน เอาเสียงส่วนมาก เอาที่จะได้ช่วยกันจำ หลายหัว มันช่วย กันจำ มันก็เลยแม่น ใครเพี้ยนไปมันก็รู้ตัว ก็สังคายนากันมาอย่างนี้นะ สังคีติ กันมา สังคายนากันมา อย่างนี้แต่ไหนๆ

จนมาถึงทุกวันนี้นี่ ตรวจสอบกันน้อย สังคายนากันน้อย แปลงกันไปมาก ก็เลยต่างเป็น ต่างไปกัน มันเพี้ยนกันไปมาก มากมาย จนกระทั่ง กลายเป็นศาสนาประยุกต์ เป็นศาสนาที่ได้ประยุกต์ ได้มีอะไร ต่ออะไร ผสมผเสผสานไป จนกระทั่งกลายเป็น แล้วก็ยืนยันกันว่า อย่างที่ได้ประยุกต์มาแล้ว นี่แหละ ถูกน่ะ อย่างพระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ใน "อาณิสูตร" ตะโพนอานกะ อาณิสูตร ตะโพนหนึ่ง มีชื่อว่า "อานกะ" เป็นกลองชั้นดี หนังดี กลองดี เครื่องรัดร้อยอะไรไว้ดี ตีดังดี ชื่อกลองอานกะ ต่อมา มันชำรุด มันเสื่อม ไม้มันก็แตก มันก็ริ ก็ไปเอาไม้ใหม่มาเสริมมาเติม ไอ้เครื่องเส้นสาย อันนี้มันก็ขาด มันก็หลุด เอามาเติม หนังมันไม่ดี หนังมันขาด มันแตก ก็หาหนังมาปะมาชุน จนกระทั่งเปลี่ยนหนังใหม่ เปลี่ยนไม้ใหม่ ไม้กลายเป็นไม้ผสมผเส หนังก็ผสมผเส เครื่องกลอง ก็ผสมผเสไปหมดเลย จนไม่ใช่ เป็นกลองตัวเก่าแล้ว เสียงก็เพี้ยนไป อะไรก็เพี้ยนไป จนไม่ใช่เป็นกลอง ตัวเก่าแล้ว แต่กลองๆ นี้ยังชื่อว่า "อานกะ" อย่างเก่า แต่ความจริงเนื้อมันก็ดี หนังมันก็ดี เสียงมันก็ดี อะไรมันก็ดี มันเป็น อันใหม่ หมดแล้ว มันเป็นตัวใหม่หมดแล้ว เพราะมันค่อยๆ ได้รับการเสริมได้รับการเติม ได้รับการเปลี่ยน ได้รับการทดแทน เป็นอะไรใหม่หมด เป็นกลอง อานกะตัวใหม่ ไม่ใช่ตัวเก่า

เหมือนกับ ศาสนาพุทธ ทุกวันนี้ ยังเรียกว่า "พุทธ" อยู่เหมือนชื่อกลองน่ะ ชื่อกลองอานกะอย่างเก่า แต่ศาสนาพุทธ ไม่ได้เป็น เหมือนกับ ศาสนาพุทธเดิมแล้ว ไม่ใช่กลองใบเดิมแล้ว เป็นกลองใบใหม่ มีเนื้อใหม่ มีเสียงใหม่ มีสภาพใหม่ เหมือนกันเลย พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกๆ ว่าต่อไป มันก็จะเป็นอย่างนี้แหละ เหมือนกลองอานกะ ทุกอย่าง มันเปลี่ยน มันริมันแตก ก็เติม ก็เสริมก็อะไรไป มันก็จะกลายเป็นของใหม่ แต่ชื่อกลอง ยังชื่อกลองอานกะ อยู่อย่างเดิม เหมือนกันกับ ทุกวันนี้ ชื่อศาสนายังชื่อว่า "พุทธ" แต่ความจริงเนื้อหา มันไม่ใช่พุทธแล้ว มันเป็นเทวนิยมไปเกือบหมด เกือบหมด อาตมาใช้คำว่า "เกือบหมด" จริงๆ อยากจะใช้ว่า "หมด" อยากจะใช้หมด เพราะแม้ฤาษีกรุง มันก็เป็นเรื่องเทวนิยม ไปเสียเยอะ อย่างน้อยนี่นะ ศาสนาเทวนิยมนี่นะ อาตมาจะยกตัวอย่าง ศาสนา เทวนิยมนี่ จะต้องกราบบูชาเคารพ จะต้องอ้อนวอนร้องขอ อย่างศาสนาพระเจ้า ขอให้พระเจ้าช่วย ขอให้พระเจ้าบันดาล ขอให้พระเจ้า คุ้มครอง ขอให้พระเจ้าอะไร

อาตมาขอถามหน่อยพวกเราเป็นพุทธนี่ เวลากราบไหว้ ยก กราบไหว้อย่างนี้ ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง หรือเปล่า (ใช่) คุณพูดใช่ ส่วนใหญ่ ที่ไม่ใช่พวกคุณน่ะ แต่ก่อนคุณแต่ก่อน อย่าพูดเดี๋ยวนี้ แต่ก่อน คุณน่ะขอไหม? (ขอ) แล้วคุณ เชื่อไหม แล้วมันเป็น เทวนิยม หรือ อเทวนิยมล่ะ ศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่มีอ้อนวอนร้องขอ ไม่มีบนบานศาลกล่าว ไม่มีจุดธูป จุดเทียน ไม่มีรดน้ำมนต์ พระพุทธเจ้า สร้างศาสนาขึ้นมา มีจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ในพระไตรปิฎกเล่ม ๙ พระสูตรเล่มที่ ๑ เลย บอกไว้ หมดเลย วิธีปฏิบัติต้องเป็น ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไร? วิธีปฏิบัติเป็นจรรณะ ๑๕ อย่างไร แต่ท่าน ไม่ได้พูด จรณะ ๑๕ ตอนนั้น ท่านขยายความตอนหลัง ตอนแรกที่เกิด การเผยแพร่ธรรมะ ท่านตั้ง หลักเกณฑ์ ขึ้นมาเป็นศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แล้วก็ปฏิบัติให้เกิดสมาธิในนั้น ท่านอธิบายไว้ เกิดฌาน เกิดสมาธิ แล้วก็เกิด วิชชา เกิดผลเกิดฤทธิ์ คือวิชชา นั่นแหละ อยู่ในนั้นแหละ ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาก็คือวิชชา แล้วก็มีวิมุติ อยู่ในวิชชานั้น ท่านตรัส นั่นละ เป็นสูตรหลัก ในพระสูตร เล่ม ๙ ในพระสูตรนั่นแหละ เล่ม ๙ ตั้งแต่สูตร ๑ ถึงสูตร ๑๓ มีหมด ยืนยัน หลักปฏิบัติ ไว้ทั้ง ๑๓ สูตร ที่ท่านทำสังคายนามารวบรวมกันไว้แล้ว

แต่เดี๋ยวนี้ไม่ศึกษาอย่างนั้น ไม่รู้เรื่องกันว่า นั่นละเป็นรากฐาน ของศาสนาพระพุทธเจ้า ในจุลศีล มัชฌิมศีล ในมหาศีล โดยเฉพาะในมหาศีล ตรัสไว้ชัด "อย่างนี้ เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง เพราะฉะนั้น ในยุคโน้น ยังไม่เกิดวินัยน่ะ ยังไม่มีวินัย ๒๒๗ แต่มีศีลนี่แล้ว และเกิด พระอรหันต์แล้ว มีพระอรหันต์แล้ว มีศีลนี่แหละ มีจุลศีล มัชณิมศีล มหาศีล นี่คือศีล วินัยอย่างไม่ใช่ศีล เพราะวินัย ยังไม่เกิด วินัย ๒๒๗ ยังไม่เกิด ศีลนี่เกิดแล้ว ศีล สมาธิ ปัญญา มาแต่ต้น ศาสนาพุทธนี่ แล้วในศีล เหล่านั้น บอกระบุ ไว้ชัดว่า อย่าจุดธูปจุดเทียน อย่าจุดน้ำมัน อย่ารดน้ำมนต์ มีหมด แล้วพระท่าน ก็ไม่ทำ ก็ศาสนาพุทธ ไม่มีนี่ อเทวนิยม ท่านก็ไม่ได้ทำมาแต่ต้น จนศาสนาพุทธ จุลศีล มัชณิมศีล มหาศีล ไม่มีแล้ว ทุกวันนี้ไปเอาวินัย ๒๒๗ ก็เลย ไม่มีบท มหาศีล ที่บอกไว้ว่า อย่ารดน้ำมนต์ มีน้ำมูก น้ำมนต์หมดเลย มีจุดธูปจุดเทียนหมดเลย ไม่ให้จุดธูปจุดเทียน ไม่ให้จุดด้วย น้ำมันเปรียง น้ำมันเนย เอาแสง จุดด้วยขี้เลื่อย ด้วยกำยานเอาควัน เป็นธูปเอาควัน เป็นเทียนเอาแสง ก็ประยุกต์ธูป ประยุกต์ เทียนมา ก็จากอย่างนี้เหมือนกันนั่นแหละ มาจากใช้ธูป ใช้ขี้เลื่อย ใช้กำยาน ใช้น้ำมันเปรียง ใช้น้ำมันเนย ก็ใช้เทียนใช้ไข ใช้อะไรมาก เดี๋ยวนี้ ก็มาเป็นธูปเป็นเทียน จุดกันไปเลย แต่ก่อนนี้ก็ท่านก็มี สมัยโน้น ท่านก็ใช้แค่นั้น ใช้น้ำมันเปรียง น้ำมันเนย ใช้ขี้เลื่อย ใช้กำยาน ใช้อะไรพวกนี้จุด ท่านก็ห้ามว่า อันนี้เป็นศีลของเธอ ไม่มีต้องเว้นขาด

สรุปแล้วก็คือ ไม่มีบูชาอัคคียัญ สิญจนยัญ สิญจนยัญก็คือ บูชาน้ำ ไม่มีหรอกในศาสนาพุทธ ถ้ามีก็คือ เทวนิยม แล้วมีวัดไหนบ้าง ที่ไม่มีธูปเทียน ไม่จุดธูปจุดเทียน ไม่รดน้ำมนต์ มีวัดไหนบ้าง? (มีเสียงตอบ) คุณก็พูดแต่วัดอโศก นั่นแหละ นอกจากวัดอโศกแล้ว มีวัดไหน ไม่มี ทั้งประเทศใช่ไหม นอกจาก วัดอโศก ก็ทั้งประเทศมีกัน จะว่าไปเดี๋ยวนี้ ก็ท่านพุทธทาส วัดสวนโมกข์ก็มีแล้ว จำนนแล้ว อย่างนี้นี่ มันแรง มันเทวนิยม นี่มันเป็นศาสนาครองโลก มีมาแต่ไหน แต่ไร แล้วก็มีอยู่ ศาสนาพุทธอินเดีย ไม่ได้ก็เพราะ ความเป็นเทวนิยม กับ อเทวนิยม พระพุทธเจ้าเกิดขึ้น อุบัติขึ้น ท่ามกลางศาสนา ที่มีอยู่แล้ว ในอินเดียนี่มากมาย ไม่รู้กี่อย่าง เป็นเทวนิยม ทั้งนั้น ศาสนาพุทธ ก็อุบัติขึ้นมา ท่ามกลาง เทวนิยม ยังไม่พูด ต้องพูดถึงเลย ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลามนี่เกิดทีหลัง ยังไม่มี คริสต์ อิสลาม ยังไม่มี พระพุทธเจ้าเกิดมานี่ มีแต่ศาสนาเทวนิยมเก่า ศาสนาพระพรหม ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู ศาสนารามะ ศาสนาอะไร ก็มีเยอะแยะ มีทั้งพระอิศวร มีทั้งพระพรหม มีทั้งพระศิวะ มีทั้งพระอะไรต่ออะไรมากมาย หลายพระเจ้า หลายเทพเจ้า หรือ เทพเจ้าองค์เดียว ก็มี

ศาสนาพระพุทธเจ้า เกิดมาไม่เอาเทวะ, อเทวะก็คือไม่เอาเทวะ ไม่ให้เชื่อเทวะ เชื่อกรรม เชื่อวิบาก ศาสนาพุทธมี กัมมศรัทธา วิปากสัทธา กัมมัสสกตาศรัทธา ตถาคตโพธิศรัทธา ไม่เชื่อพระเจ้า เชื่อกรรม เกิดมาท่ามกลางศาสนาที่มีเทวะ มีพระเจ้า ท่านก็สู้ จนกระทั่ง ศาสนาหยั่งลงได้ในโลก จนเป็นศาสนาใหญ่ ศาสนาหนึ่งได้ แข็งแรง อยู่ในอินเดีย จนเผยแพร่ ออกจากอินเดีย จนมาถึง เมืองไทย จนไปถึงประเทศไหนๆ ก็แล้วแต่ เดี๋ยวนี้ก็ไปทั่วโลก แต่ก็ยาก ศาสนาพุทธเป็นศาสนายาก ที่จะเอาไว้ได้ เพราะเป็น ศาสนาที่ลึกซึ้ง เป็นศาสนาที่สูง เป็นศาสนาที่เป็นความจริง ละเอียดที่ เข้าถึงยาก ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ศาสนาของพระองค์เป็น คัมภีรา ทุทฺทสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา บัณฑิตเวทนียา นี่อาตมาพูดพวกนี้ พวกเราจำๆ ไปยันกับเขาบ้าง เอาอันนี้ไปอ้าง ท่องพระสูตรอะไรแข่งกับเขาไม่ได้ก็ ๗ ตำนาน ๑๒ ตำนาน คุณท่องสู้เขาไม่ได้ คุณจำพวกนี้ไปยันกับเขา นี่ไม่ค่อยจำ แล้วคุณจะเอาอะไร ไปยันกับเขาได้ล่ะ ต้องไม่ได้มันทั้งหมด ก็ได้เนื้อ ได้หัวใจ ได้ตับ ได้ปอด มันไปยัน กับเขาบ้าง ไม่อย่างนั้น เขาได้วัวทั้งตัวมา เราก็ไม่มีอะไร ไปอ้าง กับเขาเลย บอกคุณได้วัวมา ได้วัวทั้งตัวมา แล้วคุณรู้จักไต ไหมล่ะ รู้จักตับไหม คุณไม่รู้จักไต จักตับ เรารู้นะ อ้า! คุณได้แต่วัวทั้งตัวมา คุณไม่รู้จักตับจักไต เรายัน นี่อย่างไร นี่ตับวัว นี่ไตวัว นี่หัวใจวัว เขาก็ยอมเราบ้าง ไอ้นี่หนังก็ไม่มี เนื้อก็ไม่มี ทั้งตัวยิ่งไม่มีใหญ่ แล้วเราเอาอะไรไปยันกับเขา จำบ้างนะ ได้เนื้อได้หนัง แล้วอธิบายได้ด้วย ตับมันเป็นรสอย่างไร กลิ่นอย่างไร ไตมันอย่างไร เราอธิบายได้ด้วย เอามาใช้ได้ด้วย ใช่ไหม เราใช้ได้ด้วย เราก็ยืนยันกับเขาได้ นี่ก็ขอเสริมเรื่องนี้

อาตมาอยากจะให้พวกเรา ได้เห็นสำคัญ ในเรื่องนี้ เพราะว่า เรื่องท่อง เรื่องสูตร เรื่องอะไร พวกเรานี่ ไม่เก่งเหมือนเขา เขาเก่ง มีท่องได้เกิน ๑๒ ตำนาน ท่องพระสูตร ได้อีกเยอะแยะ เขาเก่ง แต่เราไม่ไหว เราก็ต้องใช้วิธีนี้ เพราะฉะนั้น พอเราเองเรารู้จักธรรมะ ไม่ใช่ธรรมะของเรา พระพุทธเจ้าท่านสร้าง ท่านทำธรรมะ ของท่านขึ้น ท่ามกลางศาสนาที่มีเทวะอยู่ จนแพร่หลาย จนยืนยันได้ จนคนยอมรับ ทุกวันนี้ นี่อินเดียวก็ยังเป็นเทวนิยม ที่เขาเอาศาสนาพุทธไว้ไม่ได้ เพราะเขาเป็นเทวนิยม ศาสนาพุทธ ก็เลยเลื่อนไหล ออกมาสู่ต่างประเทศที่เป็นได้ เดี๋ยวนี้ก็มารุ่งเรืองอยู่ในเมืองไทยนี่แหละ มากที่สุด ในโลก เมืองไทยมีพลเมือง ที่นับถือศาสนาพุทธมากที่สุดในโลก รองลงไปก็เมืองลาว รองลงไปอีก ก็พม่า เขมร อยู่ใกล้ๆ กันนี่ รองลงไปก็ญวน รองลงไปก็อะไรอีกละ จีน จีนมันมีเยอะ จีนก็มีบ้าง แต่มันแปลง ไปแล้ว ไปทางจีน ไปทางญวน ไปทางอื่น มันก็กลายเป็นเรื่องของ อีกแบบหนึ่งไปแล้ว เป็นเทวนิยม เหมือนกัน ไปถึง ภูฐาน ไปถึงธิเบต ไปอะไรๆ เป็นเทวนิยม ไปหนัก ไปหมดเลย แล้วก็พุ่งไปอีกอย่างหนึ่ง

อาตมาว่า จะเขียนหนังสือ ศาสนาพุทธพวกนี้ ที่จะพูดถึงเรื่องศาสนาพุทธแท้ๆ เป็นอเทวนิยม นี่เป็นหลักนี่ ซึ่งเขาเถียงไม่ได้หรอก อันนี้เป็นหลักโลก atheism นะ เป็นของพุทธ พุทธ atheism แล้วก็ไม่มี ตัวอย่าง atheism อื่นๆ อีก ไม่มี มีของพุทธนี่ atheism นอกนั้น theism หมด นอกนั้นเป็นศาสนา เทวนิยม หมดในโลก นี่อาตมาพูดถึงเรื่องเนื้อหา ยังจะพูดได้อีกมาก จะพูดกันอีก ไปอีกนานเป็นปีๆ เป็นนาน นี่ก็พยายาม ตอนนี้อาตมา ก็พูดถึงเรื่องนี้มากขึ้น เพราะว่าเป็นตัวชี้ เป็นตัวแยกชัดเจนว่า ศาสนาพุทธ แท้ๆ มันเป็นอย่างไร อาตมายังไม่พูดแต่ก่อนนี้ เพราะยังพูดไม่ได้ ถ้าขืนพูดแต่ก่อนนี้ เขาจัดการ ปราบอาตมาเรียบไปก่อนแล้ว อาตมาไม่มีอะไรรองรับ พูดไม่ได้เพราะ มันชัดเจน เขาเป็น เขาแก้ไม่ได้นะ เขาแก้ความเป็นเทวนิยมยาก ช่วงอายุ พวกคุณนี่ ขอยืนยันเลยว่า คุณจะไม่เห็น การเปลี่ยนแปลงศาสนาที่ไปเป็น อเทวนิยม หรือ มาถูกต้องอย่างพุทธได้ ชั่วชีวิตคุณ นี่แหละ ต่อให้ตัวน้อยหนึ่งด้วยไปอีกเลยนี่ อีกร้อยปียังไม่ได้หรอก อีกร้อยปีก็ยังไม่ได้ แต่จะค่อยๆ เกิด ค่อยๆ โต ค่อยเป็นค่อยไป ต้อง ๒๐๐ ปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย แล้วก็จะเป็นรูปของ ร่างของ ชัด ความชัดเจน ในศาสนาพุทธ ในเมืองไทย นี่แหละ จะเป็นรากเหง้า เพราะมันเกิดที่เมืองไทย

อาตมาเจตนาปลูกฝัง ลงไปในเมืองไทย เอาของ พระพุทธเจ้า มายืนยันอีกว่า มันล้มเหลว มานานแล้ว ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้ว มันจนจะไม่เหลือเชื้อ แล้วไม่มีประโยชน์ ไม่มีมรรคผล แม้แต่พระผู้ใหญ่ของ ในประเทศไทย ขณะนี้ พูดถึงอันนี้บอกว่า โอ๊ย! เอาจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล มาสอนไม่ได้หรอก อันนั้นมันเป็นของพระอริยะ อ้าว! แล้วไม่เอาอริยะ ของพุทธหรือ แสดงว่าท่านไม่เอาแล้ว ท่านจำนน แล้ว ท่านบอกไม่เอาแล้ว คล้ายๆ กับท่านบอกว่า ท่านไม่เอาแล้ว นี่พระผู้ที่ดังๆ อยู่ในประเทศไทย นี่ละพูดเอง อาตมาเอาอันนี้ มายืนยันว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล นี่ของพระพุทธเจ้านะ คลังของ ศาสนาพุทธแท้ๆ นะ โอ๊ย! อันนั้น มันของ พระอริยะท่าน ท่านกล่าวอย่างนี้เลย อาตมาบอกก็ใช่นะสิ! ของพระอาริยะน่ะ ศาสนาพุทธ ต้องมีอาริยะนะ ไม่มีอาริยะ มันก็เป็นปุถุชนกันอยู่ตลอดกาลน่ะสิ แล้วไม่มีมรรค มีผลน่ะ ท่านจำนนน่ะ ท่านยอมรับเอง ท่านไม่ยอม เป็นอาริยะ แล้วท่านก็ไปมุดอยู่ที่ ในความเป็นศาสนา สามัญๆ

ศาสนาพุทธนี่เด่นต่างกับศาสนาอื่นอยู่ตรงมีโลกุตระ มีอาริยภูมิ อารยิธรรม มีอาริยะ เดี๋ยวนี้อริยะนี่ ก็เอาเรียก พระปลุกเสกหมด ไปอ่านดูสิ หนังสือออกมาเยอะแยะนี่ หนังสือเกี่ยวกับพระ นั่นน่ะเป็น พระอรหันต์บ้าง เป็นพระอะไรกันหมดนั่นน่ะ เป็นปลุกเสกหมด นั่นน่ะ เป็นพระอรหันต์ กันไปหมด ถ้าไม่ปลุกเสก ก็มาทอดผ้าป่า หาเงินนะ ช่วยชาติ นั่นน่ะ พระอรหันต์อย่างนั้น หมดเลย มันก็เลย ไปกันใหญ่เลย ไปไม่รอด

อาตมาก็เลย ไม่เอาแล้วอริยะ เอาอาริยะ เอาภาษาสันสกฤต อารย+อริยะ มีความหมายเหมือนกัน แต่คนไทยเรา เอามาใช้ ๒ ความหมาย อารยะ ใช้ไปในทางโลกๆ ทางเปลือกๆ อริยะมาใช้กับบุคคล ที่เป็นผู้ที่บรรลุทางจิต เสร็จแล้วผู้ที่บรรลุทางจิต ก็กลายเป็น พระไสยศาสตร์ เป็นพระเดรัจฉานวิชา เป็นพระเก่งทางอิทธิปาฏิหาริย์ เหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน อะไรก็ไม่รู้ มันไม่บรรลุ มรรคผล ไม่ได้เป็น อนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นพระนอกรีตไปแล้ว ไปเป็นอย่างที่พระพุทธเจ้าท่าน "อัฏฎิยามิ ชิคุจฉามิ หรายามิ" ซึ่งท่านเกลียด ท่านชัง ท่านเบื่อ อิทธิปาฏิหาริย์ อาเทศนาปาฏิหาริย์ อะไรพวกนี้ ไปเก่งอะไร ก็ไม่รู้ อยู่ยง คงกระพัน เดินน้ำดำดิน อะไรก็ไม่รู้ ปลุกเสกโน่นนี่ พาร่ำพารวย อะไรต่างๆ นานา

ซึ่งอาตมาก็เทศน์มาจนนี่อบรมนี่ อาตมาเทศน์ทีไรก็นี่แหละ ถ้ามหานิยมเก่ง ก็ไปเอาพระเก่งๆ มหานิยม มาตั้งสถาบัน แล้วก็เสกเป่า เครื่องที่มี มหานิยมแจก เอ้า! แจกสัก ๑๒๔ ล้านอัน แจกคนละ ๒ ไง เพราะว่าเมืองไทยมี ๖๒ ล้านคนนี่ใช่ไหม? ก็สร้างเสีย ๑๒๔ ล้าน แจกคนละ ๒ เผื่อหายอันหนึ่ง แจกคนละ ๒ นี่บอกมหานิยม บอกว่าใครได้ไปรวย ก็จะไปสร้างเศรษฐกิจ ไปพัฒนาเศรษฐกิจ ยากอะไรล่ะ ก็แจกมหานิยมไปรวยทุกคน ก็รวยหมดแล้วประเทศไทย องค์ไหนขลังที่ว่า รวยจริงๆ ก็สร้างไปสิ หรือ อยู่ยงคงกระพัน อาตมาก็โน่นละ พวก ธ.ก.ส. พวกอะไรมาอบรม อาตมา ก็เทศน์ อย่างนี้ พวกอยู่ยงคงกระพัน เก่งจริงๆ ก็เอาเลย อาจารย์เก่งๆ นี่ ดังๆ นี่ เอามาจริงๆ เลย รัฐบาล เอามาเลย สร้างสถาบันให้ แล้วก็ปลุกเสกเลย เอาอาจารย์เก่งน่ะ ปลุกเสก อยู่ยง คงกระพัน หยุดซื้อปืน หยุดซื้ออาวุธ แจกพระเครื่อง แจกของขลังนี้ ให้กับทหารไป ไปท้ารบ มันเลย ประเทศไหน ว่าแน่ เสร็จแล้วไม่ต้องถือปืน นี่ก็ปืน ไม่ต้องถือมีดถือปืน มือเปล่า พกของขลัง ไปเลย ๒ องค์ กันหล่นหาย องค์หนึ่งบอกแล้ว ไปถึงก็เดินเข้าไปจิ้ม ลูกนัยน์ตามันเลย ก็มันฟันไม่เข้า ยิงไม่ออก มันยิงลูกแตก ลูกด้านๆ มันยิงไม่ออก ยิงก็ไม่ได้ มันฟันก็ไม่เข้า อย่างดีก็เจ็บนิดหน่อย ก็จิ้มลูกนัยน์ตา มันเลย รับรอง มันวิ่ง จุกตูดเลย พวกนี้มันกลัวตายเลย ปืนมันยิงไม่ออก มันฟันเราก็ฟันไม่เข้านี่ มันกลัวละ คนน่ะ หรือคุณไม่กลัว คุณเจอคนแบบนี้ คุณจะกลัวไหม? ขนาดปืนยิง มันก็ไม่ออก ฟันก็ไม่เข้านี่ มันวิ่งเข้ามา จิ้มลูกกะตา คุณก็ต้องยอม ให้มันจิ้ม ไม่ยอมแล้ว คุณวิ่งหนี ก่อนแล้ว ต้องกลัวแล้วคนพรรค์นี้น่ะ ไปรบที่ไหนชนะที่นั่นแหละ ไม่ต้องห่วงละ ไม่ต้องเปลืองสตางค์ซื้ออาวุธอะไรเลย อเมริกาจนตายแน่ๆ มันขายอาวุธไม่ออก มันไม่จริง ถ้ามันจริง ทำไมไม่ทำ คิดวิธีการอะไรไม่รู้ บ้าๆ บอๆ ไอ้นี่วิธีฉลาดน่ะ ถ้าเมืองไทยมันเก่งอย่างนี้จริงๆ ก็เอาไปเถอะ ไปทำสิ แล้วมันไม่จริง

มันจริงเหมือนกัน มันได้บ้างเหมือนกัน อาตมาเล่นมาไสยศาสตร์ก็เล่นมา อยู่ยงคงกระพัน ก็อยู่ยง คงกระพันมา เล่นมาจริงๆ อะไรต่ออะไรก็พอได้ แต่มันไม่เที่ยง มัน โอ้โห! มันยาก จิตวิญญาณ มันก็ไม่เที่ยง ทำได้ชั่วครั้ง ชั่วคราว ทำได้ชั่วแว็บ ชั่ววาบ มันไม่เป็นจริง มันไม่จริงหรอก แต่ว่าไปเนรมิต แหม! สร้างเป็นเงินเป็นทอง เสกตะกั่วเป็นทอง เสกกระดาษเป็นอันนี่ มันไม่เคยเล่น อาตมาไม่เล่น ไม่ถึงไม่รู้ มันจะเป็นได้ ถ้าเป็นได้ก็ แหม! อาตมาว่าเยี่ยมนะคน เสกกระดาษเป็นเงิน เป็นทอง หลวงตายีบ้าง อะไรบ้างน่ะนะ มันไม่จริง

สรุปแล้วเรื่องพวกนี้นี่ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเลย แต่พระพุทธเจ้าสรรเสริญเรื่อง ลึกซึ้งมากเรื่องของ มนุษย์ เรื่องของ จิตวิญญาณ เรื่องของกิเลส ตัณหา อุปาทาน เรื่องของความเห็นแก่ตัว โอ้! อันนี้วิเศษ พระพุทธเจ้ามาสอนอันนี้ สอนจริงๆ จังๆ สอนให้พวกเพียรพิสูจน์ พวกเรานี่ อย่างไรๆ ที่ไม่ใช่ชาวอโศก ไม่ใช่อยู่ข้างในนี่ ก็ขออภัย ถ้าจะหมั่นไส้ ก็ใจเย็นๆ หน่อยนะ เดี๋ยวอาตมาจะพูดไป ต่อไปนี้ ก็จะยก ตัวอย่าง ชาวอโศก ชาวอโศกมาปฏิบัติธรรม ที่อาตมาเชื่อว่า อันนี้เป็นของพระพุทธเจ้า เอามาปฏิบัติ เสร็จแล้ว ก็จนกระทั่ง ลดละ มีเศรษฐกิจ แบบพระพุทธเจ้า เรียกว่า "เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ" เป็น เศรษฐกิจ แบบบุญนิยม เศรษฐกิจแบบบุญนิยมนี่ มาลดกิเลส มาเรียนรู้ ฝึกฝนกาย วาจา ใจ โดยเฉพาะ ขัดเกลากิเลสทางใจ เราก็พัฒนาเศรษฐกิจเหมือนกัน แต่เราไม่ทิ้งจิต ไม่ทิ้งคุณธรรม โดยเอาจิต เอาคุณธรรม เป็นหลัก เป็นหลักเอกด้วยเป็น major เศรษฐกิจเอกเป็น minor เป็นรอง ไม่เหมือน รัฐบาล ไม่เหมือนประเทศ รัฐบาล และ ประเทศเศรษฐกิจ เป็น major เอาคุณธรรม จิตวิญญาณ เป็น minor อาตมาว่าไปไม่รอด โลกไปไม่รอด สังคมไปไม่รอด ประเทศไปไม่รอด

เพราะอะไร เพราะเรียนรู้ไม่จริง เรียนรู้เศรษฐกิจ อาจจะเจริญ แต่ไม่เรียนรู้รากเหง้า คือ จิตกับคุณธรรม คนรวยนี่ไม่ได้เงินได้ทอง มันไม่รู้จักสัจจะ มันก็ติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ติดสุข โลกียสุข มันไม่รู้ โลกุตรสุข เป็นอย่างไร? โลกียสุขเป็นอย่างไร? มันไม่รู้ มันก็ติดกิเลส มันก็พาไปหาเสพโลกียสุข ได้เงิน ได้ทองมา มันก็กิน ก็ใช้ ก็เฟ้อ ก็ฟุ่ม ก็เฟือย มันรวยน่ะ เขาก็หลอกคนโลกๆ มันก็หลอกต่อ ไม่ต้องไป เอาเมืองนอกหรอก เมืองไทยมันก็หลอกอยู่ เมืองนอกมันยิ่งหลอก ส่งมาตลอดเวลาเลย ไม่ว่าเมื่อไหนๆ มันเห่อกันไปหมดเลย เด็กๆ เล็กๆ นี่รุ่นวัย รุ่นวัยโน่นวัยนี่ วัยแก่ก็ตาม เห่อตามหมดน่ะ ตามตั้งแต่ เมืองนอกน่ะ มันไม่ได้ศึกษาสัจธรรม

ทีนี้ชาวอโศกนี่ มาศึกษาสัจธรรมอันนี้ อาตมาสอน เมืองนอกมันจะเห่อมา มันจะปรุงจะแต่งอะไรมา เราไม่เอา เด็กๆ เล็กๆ ของพวกเรานี่นุ่งผ้าถุง นุ่งผ้าซิ่น อย่างจุ๊กกรู นุ่งผ้าถุง อายุขวบกว่า ๒ ขวบ อายุยายจุ๊กกรู นุ่งผ้าถุงใส่เสื้อไปสนามบิน โยมดาบเพียรบุญ ก็ไปเจอ ไปเล่นกับเด็กๆ พวกเด็กๆ มันก็อายุอานาม รุ่นเดียวกัน มันได้ไปเจอกัน ทักทายกัน มองกันไปมองกันมา ดาบเพียรบุญ เขาอยาก จะลองใจมันดู เขาก็เลยพา เจ้าจุ๊กกรูนี่ไป ไปก็ที่เขาเล่นกันอยู่น่ะ เด็กๆ น่ะ แล้วก็ชี้ไปที่เด็กๆ ที่มัน แต่งตัว แบบคนโลกๆ น่ะ ชุดเด็กๆ มันก็สวย ก็แบบเด็กๆ ที่เขาซื้อกัน แบบโน้น ไม่ใช่ของไทย ไม่ใช่ วัฒนธรรมไทย ส่วนใหญ่จุ๊กกรู มันแต่งวัฒนธรรมไทย มันใส่ผ้าถุง มันใส่เสื้อแขนเหมือน ของเราน่ะ ก็บอก จุ๊กกรู "เขาแต่งตัว ใส่เสื้อสวยไหมลูก?" "ไม่สวยหรอก" เขาว่าอย่างนั้น ไอ้จุ๊กกรู มันพูดยังไม่ชัด "ไม่สวยหรอกโลกๆ" เขาว่าอย่างนั้น พ่อแม่เขาสอนไว้ "โลกๆ" เขาว่าอย่างนั้น บอก "นี่ชุดไทย ชุดไทยสวยกว่า" เขาว่าอย่างนั้น โอ๊! มันก็ช่างพูดแฮะ ตัวเล็กๆ ดาบเพียรบุญ หัวเราะ เด็กไอ้นั่นบอกว่า ไอ้นี่ไม่สวยหรอกๆ ไอ้นั่นมันไม่ฟัง ไปว่ามันไม่สวย มันร้องไห้แงๆ ไปหาพ่อแม่ "นี่เขาว่าเราไม่สวย" ไปร้องไห้ ไปหาพ่อแม่ พวกนั้นก็ต้องปลอบกันว่า "สวยลูก ลูกสวยๆ" (มีเสียงพูด) จ้างก็ไม่ซื้อ มันไม่ใส่หรอก มันไม่ติด หรอก มันไม่ได้สอน มันจะมาใส่อะไร ไม่ มีแต่มันจะโกรธน่ะสิ มาว่ามันไม่สวย มันก็รักของมันอย่างเก่า นั่นแหละ มันไม่เชื่อหรอก มันยังไม่นิยมหรอก มันไม่มานิยม ได้ง่ายๆ หรอก เพราะมันยังไม่มีเพื่อนเลย มันจะไปนิยมได้อย่างไร (มีเสียงถาม) ๓ หรือ? ยังไม่รู้ ๒ ขวบกว่า ๓ ขวบ ก็คงในราว นั้นแหละ ๓ ขวบ ๒ ขวบ ๓ ขวบ

พวกเราได้สอน ได้เรียนรู้ โดยเฉพาะผู้ใหญ่นี่ พวกเรามันไม่ไปติด อย่างเดี๋ยวนี้นี่ พวกเรานี่นะ คอนเสิร์ต มาเล่น อยู่ข้างบ้านเรานี่ นี่เมือง อุบลนี่ เอาคอนเสิร์ตมาเล่นน้ำท่วม เมื่อวันที่ ๒๐ ที่ผ่านมานี่ พวกเรา ก็ไม่เห็นมีไปสักคนนี่ หรือมันมีแอบไปบ้างไม่รู้มีไหม? เด็กบ้านราช มีเด็กๆ เขาก็ไม่ได้ไป คือใจน่ะ เราดูที่ใจเราว่า มันตื่นเต้น มันต้องอยาก ไปมันดิ้นรน โอ้โห! มันอาจจะมีบ้างบางคนน่ะนะใน ๑๐๐ คน ๒๐๐ คน มันอาจจะมีคน ๒ คน มันก็เป็นธรรมดา ธรรมชาติ แล้วเรื่องนี้อาจจะมีบ้างน่ะ กิเลสยังมี อยู่บ้าง เหลือๆ มันอยากไปดู แต่ไม่มีนี่ อาตมาดูแล้วไม่มี มันไม่กระดี๊กระด๊า อะไรอย่างนี้เป็นต้น ยกตัวอย่างให้ฟัง คือมันเข้าใจแล้ว เพราะฉะนั้น ต่อให้ไอ้ไมเคิล แจ๊คสัน มาเล่นอีก แล้วมันคิดเงิน ตั้งแพงๆ จ้าง เราก็เสียดายเงิน จ้างเราก็ไม่ไปหรอก มันแพงมันเหลือเกินถึงไม่มัน ไม่มีความดูดดึงน่ะ ความชอบมัน โอ๊ย! ต้องไปลงทุน ต้องไปเสียเงินแล้วอย่างนี้ ฉิบหายเท่าไรก็เสียมันไม่เอาหรอก มันเสียดายเงินมากกว่าที่จะไป มันไม่คุ้มแล้ว รสชาติสิ่งเหล่านี้ไม่ยั่วยวน ยุใจไม่ขึ้นหรอก เสียดาย มากกว่า แล้วก็ไม่มีความต้องการมากกว่า สิ่งเหล่านี้อาตมาพูด เราก็คงเข้าใจ

อาตมาเอาธรรมะของ พระพุทธเจ้ามาสอนแล้วลดละ จนกระทั่ง รู้จักโลก รู้จักโลกีย์ปรุงแต่ง นี่เรียกว่า สังขาร มันปรุง มันแต่ง มายั่ว มาย้อน มาพวกนี้ เรารู้ทันแล้ว เราก็ไม่ติดไม่ยึด อย่างง่ายๆ ที่สุด อย่างพวกชาวอโศก พวกเรานี่ มันไม่กระดี๊กระด๊า ที่จะแต่งตัว แบบคนข้างนอกแล้ว อาตมาพูดอย่างนี้ จะจริงไม่จริงไม่รู้นะ แต่ก่อนนี้พวกเรา ก็ต้องไปตามแฟชั่นเขา โอ๊ย! อย่างไม่มากไม่มายอะไร ก็ต้องเอา ขนาดหนึ่ง เรียกว่า ก็ต้องตามเขาได้น่ะนะ พอสมควร มันไม่ถึงชั้นหนึ่งก็ชั้นสอง ชั้นสาม ไม่ใช่ไฮโซ สุดที่ก็ ไฮซ้อ ไฮซี้ อะไรไป ก็ยังได้บ้าง ไม่ถึงกับไฮโซหรอก เขาก็ร้องๆ มาก็ต้องตามเอาไป ใช่ไหม แต่เดี๋ยวนี้ พวกเรา ไม่ตายแล้ว มันจะไปโซไปแซอะไรก็ช่างมัน ไปโซเลย มันจะไฮโซไฮแซอะไร ก็ไม่ตามแล้ว ไม่หลงไม่ใหล ในเรื่องเพชรเรื่องพลอย เรื่องทองอะไรมากมาย

แม้แต่ที่สุด อาตมาสามารถ ทำได้ถึงขนาด ไม่ต้องแย่งเงินแย่งทองกัน ถึงขนาดจะเป็นจะตาย จะฆ่า จะแกงกัน ต้องเอาเปรียบเอารัดอะไรกัน เป็นได้ถึงขนาดนั้น ไม่ต้องเอาเปรียบ เอารัดอะไรกันหรอก แบ่งกัน ได้มาก็แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ ไม่ต้องหวงแหน ไม่ต้องไปนั่งตั้งค่า จะเอาเปรียบเอารัดกัน

สังคมของอโศกทุกวันนี้นี่เข้าใจสัจจะพวกนี้และเป็นจริงขึ้นมาสูงขึ้นเรื่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ แล้ว จนถึงขั้น เป็นบุญนิยม เป็นสาธารณโภคี ในวังน้ำเขียวนี่ มันจะเป็นได้ไหมนี่ วังน้ำเขียวนี่ถึงสาธารณโภคี มีกลุ่ม มีหมู่นี่ จนกระทั่งเป็น สาธารณโภคี เหมือนอย่างของเราเป็นกัน กลุ่มต่างๆ เช่น ศีรษะอโศก สันติอโศก ราชธานีฯ ปฐมฯ อะไรพวกนี้น่ะ พวกเราเป็นกลุ่มเป็นหมู่ แม้แต่ขึ้นมาใหม่ๆ ก็เริ่มต้น ที่จะวาง ในรูปรอย กลายเป็นสังคมสาธารณโภคี ซึ่งเหนือชั้นกว่า คอมมิวนิสต์ นี่ก็พูดเท้าความ เกี่ยวข้องไปถึง ลักษณะของรัฐศาสตร์ สังคม เหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์ เหนือชั้นอย่างไร คอมมิวนิสต์ นั่นน่ะ รับตั้งกฎ ตั้งข้อ ไปเอาจากคนที่เก่งๆ มากๆ เอามาเป็นของกลาง เอานา เป็นของกลาง เอามาเข้ารัฐ มากๆ คนที่ทำได้มากๆ มีฝีมือมากๆ มีความสามารถมากๆ ได้มากๆ ก็แบ่งเอามามากๆ ยิ่งกว่า ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยก็ค่อยๆ ปรับตัว ค่อยๆ ตั้งภาษีลดไปเปลี่ยนมา อะไรต่ออะไร มากมาย หลากหลาย

ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นน่ะ ใครได้มาก กักเอามาเป็นของหลวงให้มากที่สุด แล้วก็หลวงจัดการแบ่งให้มาก คือเป็นเจ้าหน้าที่ใหญ่ ที่จะแบ่งส่วนกลาง ให้มากที่สุด ก็มีกลุ่มคณะ คอมมิวนิสต์นั่นแหละ คณะของเขา เป็นตัวจัดการ เรียกว่าเป็นคณะใหญ่ ไม่มีเปลี่ยนแปลง เป็นเผด็จการหมู่ คณะใหญ่ คณะเดียว ไม่มีคู่แข่ง คอมมิวนิสต์ก็เป็นอย่างนั้น ก็แบ่งไป พวกคุณ อาจจะรู้จักคอมมิวนิสต์ ดีกว่า อาตมา เพราะอาตมา ไม่ได้ออกป่า กับพวกคุณ แต่อันนี้นี่ไม่บังคับใจ อันนั้นบังคับใจอยู่ได้ ๗๐ กว่าปี ล้มแล้ว คอมมิวนิสต์ไปไม่รอด เพราะมันไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักคุณธรรม เป็นเศรษฐกิจ คาร์ล มาร์กซ์ (Karl Marx) ซึ่งแตกต่างจาก (มีเสียงพูด) ไม่ใช่เหมา เศรษฐกิจของอดัม สมิธ ของนีโอ คลาสสิก ของอะไร พวกนี้ มันแตกต่าง จาก นี่เป็นเศรษฐกิจ แบบ คาร์ล มาร์กซ์ วิธีการปรับเศรษฐกิจ ส่วนอันของเรานี่ เศรษฐกิจนิยมนี่ เหนือชั้นกว่า เศรษฐกิจ นีโอ คลาสสิก เดี๋ยวนี้ ทุกวันนี้นี่เป็นทุนนิยมเสรี นีโอ คลาสสิก สูงกว่าเขาได้แข่งกันไปแล้วนี่ นีโอคลาสสิค กับ คาร์ล มาร์กซ์ คาร์ล มาร์กซ์แพ้ ตอนนี้นี่ ถือว่าคาร์ล มาร์กแพ้ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว แม้จีนแดงเขายังไม่รู้จะทำอย่างไร เขากลายไปเป็นคาร์ล มาร์กซ์ แบบประยุกต์ด้วย ไม่ใช่คาร์ล มาร์กซ์แท้ มันก็ต้องประยุกต์นั่นแหละ แต่เสร็จแล้วมันก็ไปไม่รอด ไปไม่รอด เขาก็ยัง ปะชื่อมันว่า คอมมิวนิสต์อยู่นั่นแหละ แต่เนื้อ เปลี่ยนแล้ว วิธีการเปลี่ยนแล้ว มาตั้งแต่เติ้งเสี่ยวผิงมาแล้ว แปลงมาเรื่อย แปลงมาเรื่อย จนเดี๋ยวนี้ เอาโลกีย์แบบโลกๆ เข้าไปแบบ ทุนนิยม แบบอะไรเข้าไปแล้ว ประยุกต์แล้ว อีกไม่นาน คนมันเยอะ ๑,๐๐๐ กว่าล้าน ๑,๒๐๐ กว่าล้านแล้ว ไม่นานหรอก คนเยอะๆ แบบนี้ กิเลสทาง จิตวิญญาณคนนี่ มันมาก เพราะฉะนั้น มันจะต้องการ เพราะมันไม่ได้ล้าง มันไม่ได้ปรับตัว มันไม่ได้รู้จัก หลักการเลย

แม้แต่ศาสนาพุทธ ในจีน ก็เป็นศาสนาพุทธแบบฟุ้งเฟ้อ ศาสนาพุทธแบบมหายาน มีเมียได้ เป็นเจ้าของ กิจการได้ เป็นเจ้าของศาสนา เลยนะ เป็นเจ้าของกิจการเลย ทำพิธีอย่างเดียว อะไรพวกนี้ มีคนบอกมา บอกว่า พุทธฝ่ายมหายาน มันมีวินัยเรื่อง ปาราชิก อยู่ข้อหนึ่งว่า ถ้าพระมหายาน มาเลื่อมใส แนวคิดเถรวาท ถือว่าพระมหายานรูปนั้นปาราชิก แสดงว่า ทางมหายานเห็นว่า พุทธเถรวาท ไม่ใช่พุทธ ใช่หรือไม่? ใช่! ต่างคนต่างว่า "กูก็พุทธ" แต่ความจริง มันไม่ใช่พุทธทั้งคู่ เถรวาทก็ไม่ใช่พุทธ มหายานก็ไม่ใช่พุทธ เพราะมันเพี้ยนไปทั้งคู่ มันออกไปเป็น เทวนิยมทั้งคู่ สรุปแล้ว มันออกไปเป็น เทวนิยมทั้งคู่ ต่างไม่ใช่พุทธทั้งคู่

พุทธแท้ๆ ต้องอเทวนิยม พูดไปแล้วก็อโศกนี่จะเป็นอเทวนิยมจะเป็นพุทธนี่แหละเขาไม่เชื่อ แล้วจะเชื่อ ได้อย่างไรเล่า? โพธิรักษ์มาจากไหน สำนักไหนก็ไม่มี จบเปรียญก็ไม่ได้สักเปรียญ จบธรรมะก็ตรี โท เอก ก็ไม่ได้สักธรรมะ ไปเรียนครู บาอาจารย์คนไหน ก็ยังไม่มีสักองค์ โผล่พัวะๆ ! มาจากไหนกัน และ ทางโลก ก็ไม่มีจบปริญญาตรีก็ไม่ได้ ปริญญาโท ก็ไม่มี ปริญญาเอกนี่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง หลักฐาน ทางโลก ไม่มีเลย ดีไม่ดีไปอยู่เมืองมายาอีกต่างหาก ไปอยู่ในทาง เมืองมายา ไปอยู่ในทางโทรทัศน์ อะไรก็ไม่รู้ ไปในทางร้องพง ร้องเพลง ไปในทาง ศิลปะ ศิลปินอะไรไปเลอะเข้าไปอีก เขาก็หาว่า เป็นพวกเปลือกๆ ผิวๆ เสร็จแล้ว ดันมาสอนศาสนาในระดับโลกุตระ ในระดับแก่น มันคนละ ฟากผั่ง เลย มันตีลังกาข้ามมา โอ้โห! อาตมาเป็นนักยิมนาสติก ชั้นหนึ่งนะ ตีลังกาข้ามฟากมาเลย ทำสถิติ ไม่มีใครลบได้ เขาก็งง เขาก็ไม่เชื่อ ทุกวันนี้เขาก็ยังไม่เชื่อ ไม่เป็นไรหรอก อาตมาไม่ได้ทำให้คนเชื่อ

แต่อาตมามาเปิดเผยความจริง ใครพิสูจน์ ความจริง ได้ตามก็ เอหิปัสสิโก ก็ได้เอง ไปก็จบ เป็นสันทิฐิโก เป็นเอหิปัสสิโก ไปตามกันมา เชื้อเชิญให้มาดูได้ ก็ถึง ๖ โมงแล้วนะ อาตมาก็ได้พยายาม ที่จะยืนยัน เอาของอโศกมา ยืนยันบ้าง มาอะไรต่ออะไรกันบ้าง เพื่อให้เห็นว่าเราทำได้ ศาสนาพุทธเป็น อกาลิโก แม้ทุกวันนี้ ก็เข้าถึงมรรค ถึงผล เข้าถึงจริงๆ นี่ตามที่มันลดละ แล้วมันไม่โลภไม่โกรธไม่หลง ไม่เห็นแก่ตัว กินน้อยใช้น้อย อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ มีศีลมีสมาธิมีปัญญา มีวิมุตติ มีวิมุตติญาณทัสสนะ อันนี้เป็นกถาวัตถุ ๑๐ เป็นหลักธรรมของพระพุทธเจ้า มามักน้อย อันนี้มันยืนยันได้ว่า ชาวอโศก มามักน้อยสันโดษ มาพอ มาทำงานฟรี มาไม่สะสมเป็นของตัวของตน ตอนนี้มีรูปร่าง มีความเป็นจริง คนที่ทำได้จริง มีจริง คนที่ยังจะเอาอยู่บ้างก็มีบ้าง ก็เป็นลำดับๆ ไปก็มีบ้าง สำหรับคนบางคน มีส่วนใหญ่ที่เห็นได้เลยว่า มาทำงาน ไม่รับเงินเดือน ไม่รับรายได้ ทำกัน อย่างขยันหมั่นเพียร ไม่ขี้เกียจไม่เห็นแก่ตัว ก็กินน้อยใช้น้อย กินอยู่ปัจจัย ๔ หรือว่า องค์ประกอบ บริขารที่ใช้ ก็ไม่ได้ฟุ่มเฟือย ไม่ได้หวือหวา ไม่ได้มานั่งสะสมเป็นของตนของตัวอะไร

ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่อง ที่เกิดขึ้น จากจิตวิญญาณ ที่มีคุณธรรม จิตวิญญาณที่มันได้ศึกษาปฏิบัติธรรมะ ของพระพุทธเจ้าว่ามันจริง แล้วก็จะมีรูปร่าง มีวัฒนธรรม มีรูปแบบ มีอะไรต่ออะไร เกิดขึ้นไปยืนยัน ถ้าเราพัฒนาทางเศรษฐกิจด้วยแล้ว ก็ได้พัฒนา จิตวิญญาณ คุณธรรมพวกนี้ด้วย แล้วไม่กร่ำโลกีย์ ไม่ไปหลงโลก หลงโลกีย์เขา เขามีของเขาไปนี่ ครื้นเครงขึ้นทุกวัน ปรุงแต่งขึ้นทุกวัน ออกโฆษณา ทางโทรทัศน์ วิทยุไปกันใหญ่หนักหน้า หนักหน้า เราอยู่เหนือ เราหลุดพ้น เราไม่ติดไม่ยึด เราไม่เสพ เป็นสวรรค์ เป็นนรก อสังสัคคะ ไม่แล้วไม่เกี่ยวไม่ต้อง "อสังสัคคะ" นี่คืออาตมา แปลเป็นไทยว่า "ไม่ติดสวรรค์" สัคคะแปลว่า สวรรค์ สังสัคคะแปลว่า ประกอบไปด้วยสวรรค์ อสังสัคคะหมายความว่า ไม่ไปติด ไม่ไปเกี่ยวข้อง กับสวรรค์เขาแล้ว เขาไปเป็นสวรรค์ของโลกของโลกีย์อยู่ พวกเราก็ไม่สวรรค์ กับเขาแล้ว เราไม่สุขไม่อร่อยไม่อะไร ลดอัสสาทะ ลดรสอร่ยอ ลดรสที่มันไปติดไปอร่อย ไปสนุกสนาน กับเขาแล้ว มันลดจริงๆ มันเฉยๆ มันอุเบกขา มันได้มีจิต เป็นฌาน จิตเป็นสมาธิ จิตเป็นอุเบกขา มันกลางๆ มันเฉยๆ เราก็ไม่ชัง เราก็ไม่รักเขา แต่มากๆ มันก็รำคาญเหมือนกันนะ มากๆ มันก็กวน เหมือนกัน เสียงดัง สี แสง เสียงอะไร จัดจ้านเกินไป เราก็รู้ว่ามันจัดจ้าน เราก็เลี่ยงไป มันมากนัก เราไม่ไหว เราก็เลี่ยง

ถ้ามันพอทนได้ เราก็อยู่เหนือมัน เราก็อยู่ไปได้ เราก็คบหากันไป จิตใจเราก็ไม่ชังไม่เกลียดหรอก แต่เรารู้ว่าเขาเองเขาหนัก เขาก็เหน็ดเหนื่อยของเขาไป เราทำของเราไป คือมีใจวาง มีการรู้จริงว่า โลกของเขาเป็น อย่างโลกๆ เราอยู่เหนือโลกโลกุตระแล้ว เราก็เห็นเขาเป็น ช่วยเขาได้ บอกเขา ให้เขามาบ้างก็มา มาได้มา มาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขา ให้เขาเป็นของเขาไป แม้ที่สุด คุณมีลูกมีเต้า ลูกมันจะไปแล้ว ดู ดึงมันไม่มาแล้ว คุณอย่าไปตามลูก ก็แล้วกัน โง่เง่า ลูกมันดึงคุณ ออกไปหาโลกีย์ คุณก็ต้องไปโอ๋ลูกกูๆ นั่นละก็ยังติดยังยึด มันก็ช่วยอยู่หน่อย ใครไม่มีลูก ก็ปลอดภัย ใครมีลูก ก็ระวังเถอะ ยังไม่รู้ว่า มันจะออกฤทธิ์ผีเมื่อไร มันยังไม่โต ก็จับมันมาอยู่ในอโศก ให้เรียน ในโรงเรียน แถวอโศก อะไรต่ออะไรไป ก็ค่อยๆ ดึง ค่อยๆ อะไรต่ออะไรมันก็ ถ้ามันเป็นผีจริงๆ มันก็หาทางค่อยๆ ออก ค่อยๆ ออก หนักเข้าลูกมันออกไปข้างนอก ระวังพ่อแม่เถอะ จะถูกมันดึง ออกไปบ้าง เดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่มีลูกส่งให้สูงๆ ไม่ใช่อภิชาตบุตร เป็นอวชาตบุตร บุตรที่มันดึงพ่อแม่ ให้ลงต่ำ ระวัง! แต่เรา ก็ต้องได้ อย่างนี้ละ ค่อยๆ มีมันก็เลี่ยงไม่ได้หรอก ลูกมี เราไม่ได้มีลูกอย่างเดียว เราเหมือนกล้วย เรามีลูก ๒ อย่าง ออกหน่อด้วย ออกลูกด้วย ออกทั้ง ๒ อย่าง ลูกเรามีทั้งสองอย่าง เหมือนกล้วย เหมือนหลายอย่าง มีผักพืชหลายอย่าง มันออกทั้งหน่อด้วย ออกทั้งลูกด้วย เราเอาทั้ง ๒ อย่าง คือ อย่างหนึ่งมันเป็นลูกในไส้ อีกอย่างหนึ่งมันลูกนอกไส้ เอามาทั้ง ๒ อย่าง ปลูกเองบ้าง ไปเอาหน่อมัน มาปลูกบ้าง หน่อมันเกิดจากไหน เราก็ไปเอามาให้มันโผล่หน่อแล้ว เอาไม่เป็นไรเอาด้วย แล้วก็มา ฟูมฟักให้มันเป็นพันธุ์ของเราไปก็ได้ ได้ ๒ อย่าง

ก็พยายามสะสมไป ก็อย่างนี้แหละ ช่วยกันในโลก สร้างสังคมไป รูปแบบหรือว่าวัฒนธรรม อย่างที่ อโศก เราเป็น ยืนยันได้ว่า พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ว่า คนควรเป็นอย่างไร? วรรณะ ๙ บ้าง กถาวัตถุ ๑๐ บ้าง หลักธรรมะ ๘ อย่างบ้าง ที่เอามาตรวจสอบได้ว่า เป็นพุทธหรือไม่เป็นพุทธ อาตมาก็เอามา ยืนยัน อย่างน้อยมักน้อยสันโดษ เราเป็นคน มักน้อยได้จริงๆ เราทำมากๆ "มักน้อย" แปลว่า "เราทำมากๆ แต่เราเอาไว้น้อยๆ นอกนั้น เสียสละ สร้างสรร บริจาค เกื้อกูลให้คนอื่น" ซึ่งเป็นคุณธรรมของคน ไม่มีใคร ปฏิบัติได้ ไม่ว่าลัทธิมาร์กซ์ ไม่ว่าลัทธิประชาธิปไตย ไม่ว่าลัทธิ เผด็จการ ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า คนสร้างสรรมากๆ แล้วก็แจกจ่ายเกื้อกูลให้คนอื่นน่ะ เป็นคนเลว เป็นคนสังคม ไม่ต้องยอมรับ ไม่มีใคร ปฏิเสธ ทุกคนสังคมเขายอมรับหมด เพราะฉะนั้น เป็นสากล คนไม่เห็นแก่ตัว คนที่สร้างสรร เกื้อกูล ช่วยเหลือสังคมอยู่นี่เป็นสากล ไม่ว่าลัทธิไหนในโลก คนยินดีต้อนรับทั้งนั้น แล้วเรามา เป็นจริงให้ได้ ระบบ บุญนิยม ของเราพยายามที่จะสร้างสรร ขายต่ำกว่าทุน อย่างน้อย ไม่เก่งจริงๆ ก็ขายต่ำกว่า ราคาตลาดให้ได้ ให้ได้ มากที่สุด มากเท่าไรก็นั่นแหละเจริญ จนกระทั่งขายเท่าทุน ขายต่ำกว่าทุนได้ แจกฟรีได้ แล้วเราก็อยู่ได้ ต้องมาพิสูจน์ เรื่องนี้กัน

เราจะได้พิสูจน์ศาสนาพุทธที่แท้จริง ศาสนาไหน อาตมาก็ว่า สู้พุทธไม่ได้หรอก พุทธมีหลักเกณฑ์นี้ จริงๆ นะ ทำให้สังคมเกิดอย่างนี้เป็นจริงๆ สังคมอย่างนี้ อาตมายังมั่นใจว่าเกิดอย่างนี้ ในอนาคตอีก ๕๐๐ ปี สังคมลักษณะนี้ จะเกิด ยืนยันอีก ๕๐๐ ปีจะแข็งแรง ตอนนี้ก็ยังขอ ต้องค่อยๆ ทำไปก่อน อาตมาเพิ่มพาทำมา ๓๐ ปี แล้ว ก็มีรูปมีร่าง ได้ขนาดนี้แล้ว อาตมา มั่นใจว่า มันไม่สลาย ไม่สลายแล้ว มันก่อเชื้อแล้ว มันลงรากได้แล้ว ลักษณะศาสนาพระพุทธเจ้า อย่างนี้ มันลงรากแล้ว มันไม่ล้อม อาตมาตายลงวันนี้ ก็ไม่หยุดหรอก แต่มันก็ไปได้แค่นี้นะ มันยังไม่แข็งแรงเท่าไร มันยังสร้างรวงรัง มันยังไม่โต อยากจะอยู่นานๆ ...

เอาละอาตมาพูดไป เลยเวลาไปตามบุคลิกของโพธิรักษ์ ตาม character ของโพธิรักษ์ แล้วเลยเวลา มาแล้ว ตั้งแต่ ๖-๗-๘ นาทีแล้ว ก็ขอเอวัง ก็แล้วกัน


จัดทำโดย โครงงานทอดเทปธรรมะฯ
ถอด โดย วิสิษฐ์พร สำกำปัง ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๖
ตรวจทาน ๑ โดย จิตสุภา รุ่งเรือนนานา ๒๗ สิงหาคม ๒๕๔๖
พิมพ์โดย โดย ทีมงานคุณกัญญา-คุณวิไลวรรณ
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖
พิมพ์ออก โดย พ.ท.นารถ กองถวิล เมษายน ๒๕๔๗
เข้าปก โดย สมณะแดนเดิม
เขียนปก โดย พุทธศิลป์