คุณจะเอานิพพานจริงหรือ
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๖
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

วันอโศกรำลึก ก็อยากจะพูดถึงสภาพจริงของพวกเราที่มาเป็นครอบครัว มาเป็นญาติธรรม ญาติธรรมนี่ เป็นครอบครัว ถ้าจะเรียกให้เต็มคำจริงๆ ก็เรียก พุทธญาติธรรม พุทธญาติธรรม พวกเรานี่แซ่พุทธ แซ่พุทธ เพราะฉะนั้น ก็เรียกพุทธญาติธรรม เป็นญาติๆ กัน พี่น้องกัน ตระกูลเดียวกัน ตระกูลอะไร ตระกูลพุทธ มี nick name ว่าอโศก (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น คนจะรู้จัก nick name กันเยอะ และเขา ไม่ยอมรับ ไม่เชื่อว่าเราเป็นพุทธแท้ด้วย เขามาหาว่า พวกเรานี้เป็นพุทธปลอม มาแฝง มาอะไรๆ ต่างๆ นานา ตามที่ เหตุการณ์มันเกิดมาแล้ว

มาถึงวันนี้แล้ว อาตมาก็เห็นว่าเลือดพุทธ ลูกๆ หลานๆ ของชาวพุทธ ซึ่งความเกิด แน่นอน เกิดเป็นพุทธ โดยทางโอปปาติกโยนิ เกิดทางจิตวิญญาณ ไม่ใช่การเกิดทาง ชลาพุชโยนิ อัณฑชโยนิ หรือ สังเสทชโยนิ ไม่ใช่เกิดทางนั้น เป็นการเกิดทาง โอปปาติกโยนิ เกิดทาง จิตวิญญาณ ซึ่งค่อยๆ เกิดมา

จะว่าจริงๆแล้ว อาตมาก็มาเป็นคน คนชาตินี้ มาเป็นโพธิรักษ์ เป็นโพธิสัตว์ แล้วทุกวันนี้ อาตมา ก็เป็นโพธิสัตว์ เชื่อว่าคุณจะเชื่อว่า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ผู้มีลูกจำนวนพันเป็นอเนก ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนั้น โพธิสัตว์นี้จะมีลูก จำนวนพันเป็น อเนก อันนี้เป็นภาษาธรรมะ ถ้าใคร ไม่เข้าใจ ก็บอก คนมันจะไปมีลูกพันคน ไปได้อย่างไร คนจริงๆ ไปมีลูกทาง ชลาพุชโยนิ ใช่ไหม คนไม่ใช่ อัณฑชโยนิ ไม่ใช่เกิดเป็นไข่มาก่อน เกิดเป็นตัว อยู่ในมดลูก อยู่ในครรภ์ มีอยู่ในน้ำคร่ำ ชละนี่แปลว่าน้ำ อยู่ในน้ำคร่ำ อยู่ใน มดลูกที่มีน้ำคร่ำอยู่ในนั้น อยู่ในที่อยู่ ที่เป็นน้ำอยู่ทั้งนั้น นี่เรียกว่า ชลาพุชโยนิ ถ้าจะไป มีลูก ต่อให้มีเมียกี่คน ไม่ไหวหรอก ลูกเป็นพันเป็นอเนกนี่ ไม่ต้องหลายพัน แค่สองพัน ก็แย่แล้ว โอ้โห คนจะมีลูกสองพันนี่ อาตมาว่าตายแน่ๆ ตายก่อน อายุ ๘๐ ก็ไม่ถึงสองพัน

แต่ตอนนี้อาตมาว่าอาตมาเป็นโพธิสัตว์ ตรงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โพธิสัตว์มีลูก จำนวนพัน เป็นอเนก ทุกวันนี้นี่ ชาวอโศกที่เป็นลูกโพธิสัตว์ โดยนับอาตมาเป็นพ่อ มีกว่า สองพัน สามพัน สี่พัน คือจำนวนพันเป็นอเนก มีแน่นอน นี่เป็นลูกทางธรรม

อาตมาถึงว่าเกิดมาเป็นคน พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า เกิดมาเป็นคนนี่ อย่าเป็นโมฆบุรุษ ฟังความนี้ อาตมาตั้งใจ จะขยายตรงนี้ ไม่ได้ตั้งใจจะขยายอัตตาเท่าไร ตั้งใจจะขยาย ตรงนี้ให้ฟัง มันเตือนสติ และมันความจริง ถ้าเราเข้าใจ ความจริงแล้ว เราจะเห็นสัจจะ เห็นสารสัจจะ โอ้สาระมันอยู่ตรงไหน ทำไมพระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า โมฆบุรุษ ความนี้ กินลึกมาก ถ้าไม่เข้าใจลึกซึ้ง ถ้าไม่เข้าใจอย่างจริง แล้วนี่ ก็เฉย ไม่เป็นไรหรอก เกิดมาแล้ว ก็เป็นคนแล้ว ก็กิน ก็ขี้ ก็เยี่ยว ก็หาสุขสนุกสนาน ไปตามเรื่อง คนพวกนี้โมฆะ

พุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ไม่ได้ว่าแค่คนเป็น กัลยาณชน กัลยาณชนคือคนทำดี แม้ทำดีนั้น คุณมี กุศล โลกียะ ก็ยังโมฆบุรุษนะ เพราะอะไร เพราะไม่ใช่ลูกพระพุทธเจ้า ลูกพระพุทธเจ้า จะต้องเป็นลูก พุทธโลกุตระ เข้าไปสู่โลกที่ท่านค้นพบโลกโลกุตระ เป็นอาริยะ เป็นพุทธบริษัท ๔ เป็นสาวกสังโฆ ฟังให้ดีๆ เป็นสงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้า สงฆ์สาวก ของพระพุทธเจ้า คือ บุรุษ ๘ เป็นอย่างอ่อน เป็นโสดาปัตติมรรคขึ้นไป เลข ๔ ก็โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณไม่ได้ เป็นอาริยะบุคคล นี้แหละคือ ผู้ที่ไม่ได้มรรคผล เป็นอาริยะบุคคลนี้แหละ คือ โมฆบุรุษ เกิดมา สูญเปล่า ต่อให้คุณมีโลกียกุศล คุณก็จะวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ เหลิงด้วยนะ มีโลกียกุศล โดยไม่มี โลกุตรกุศลนี่ มันไม่มีหลักประกันบอกคุณว่า คุณจะเห็นว่า โลกียะกับโลกุตระอะไรดี คุณจะเหลิงไป โอโห้! โลกียะนี่ ผาสุก มาโลกุตระ มาจนด้วยซ้ำไป มันจะไม่เหมือนโลกียะ ใช่ไหม มันหลอก มันซ้อน เห็นไหม ฟังดีๆ

อาตมาต้องการจะขยายคำนี้ให้เห็นชัดเจน ให้เห็นว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านี้ ลึกซ้ำ ขนาดไหน เพราะคุณ จะเหลิงลอย ใช้ชีวิตอยู่นี่ เกิดมาชาติหนึ่งได้เป็นคน ในพุทธศาสนา ได้ฟังธรรมะ อันเป็นสัทธรรม ธรรมะอันเป็น สัทธรรม หมายความว่าอะไร ธรรมะที่เป็น ธรรมะ ที่มีสัมมาทิฐิถูกต้อง แสดงโดย สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ แล้วพิสูจน์ อัตถิ โลเก ด้วย ในโลกนี้มี มีบุคคลเช่นนั้น อัตถิ โลเก โลกนี้มี สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ นี่แหละคือ ผู้ที่เป็น สมณพราหมณ์ หรือเป็นภิกษุ เป็นสมณพราหมณ์ ของพระพุทธเจ้า ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถูกทางว่าอย่างนั้นเถอะ แล้วก็มาประกาศโลกนี้ โลกหน้า เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้พวกเราได้รับ ซับซาบ โดยความรู้ ของท่านเอง สยัง อภิญญา โดยความรู้ยิ่ง คืออภิญญาของท่านเอง สยังไม่ใช่สยัมภู ยังไม่ใช่ สยัมภูนะ และท่านก็บอกเป็น สมณพราหมณ์ ไม่ใช่ตถาคต ไม่ใช่ตถาคต เพราะฉะนั้น คำตรัสพระพุทธเจ้าบทนี้ สัมมาทิฐิข้อที่ ๑๐ บทนี้ ไม่ได้หมายถึง พระพุทธเจ้า

สยัง อภิญญา ไม่ใช่หมายถึง สยัมภู ซึ่งเป็นองค์สัมมาสัมพุทธเจ้า หมายถึงพระสาวก สมณะพราหมณ์ ไม่ใช่พระพุทธเจ้า สมณพราหมณ์ผู้นั้นคือใคร สมณพราหมณ์ได้แสดง ความจริง ให้ปรากฏหรือยังว่า ท่านแจ้งโลกนี้ โลกหน้า ให้ปรากฏให้รู้ชัด สัจฉิกัตวา แจ้ง เปิดเผยชัดเจน สัจฉิ ความจริงนี้กระจ่างแจ้ง ปเวเทนตีติ ประกาศ ให้พวกเรา ได้รู้แจ้งตาม นอกจากรู้แจ้งตามแล้ว พวกคุณ ก็มาปฏิบัติตาม พิสูจน์ตาม อ๋อ! โลกุตระต้องมาจน อย่างนี้หรือ เชื่อ เชื่อ เชื่อ กล้าจน อัปปิจฉะ พอแค่นี้ก็พอ หัดตัวเอง มันเฟ้อ มันกินมากๆ กินเปลือง ก็ลดลงๆ จนกระทั่ง สามารถกินน้อยใช้น้อย อย่างไม่ทรมานตนเอง กินน้อย ใช้น้อยเป็นแล้ว ก็เป็นสุขสงบ โอ้ น้อยๆ นี่ดี มีความโน้มน้อม เห็นดีใน อัปปิจฉะ ไม่ได้มี ความโน้มน้อมเห็นดีไปใน มหัปปิจฉะ คือมักมาก จิตเปลี่ยนทิศทาง ความเห็น มรรคน้อยดี กล้าจน หรือจะมาเป็นคนจนดี จะไปเป็นคนรวยไม่ดี ไม่ดีเท่า

เพราะยิ่งทุกวันนี้ยิ่งชัด กล่าวถึงเศรษฐกิจหรือเศรษฐศาสตร์แล้ว คุณไปเป็นคนรวย อาตมา ประกาศ เลยว่า คุณเป็นคน ทำลายสังคม เพราะคุณเองทำให้เกิดสภาพขัดข้อง ถ้าคน ๑,๐๐๐ คน อาตมา สอนคน หรือหลายพันคน ในพวกชาวอโศก อ้าว ทุกคนต้องไปหาเงิน หากินสุจริต สอนสุจริตด้วย ไปทำมาหากิน ได้มาตามวิธีของทุนนิยม จะได้เปรียบเขา เท่าไรก็ไม่เป็นอะไร โอปีนี้กิจการได้กำไรแค่ ๕๐ ล้าน ปีหน้าต้องได้ คาดว่าจะได้ ปีนี้ ๒๐ ล้าน ปีหน้า ต้องเอาอีก ๒๐๐ ล้าน จะต้องอย่างนี้ จะต้องอย่างนี้ มีโครงการ คุณก็บวกหาวิธีที่จะดูดมาให้มากขึ้นๆๆ แล้วเขาก็ถือว่า นี้คือสุจริต ตามระบบ ทุนนิยม ซึ่งอาตมาก็จะไม่ซ้ำบุญนิยม ทุนนิยมอะไรมากนัก อาตมาก็ว่า วิธีคิดอย่างนี้ แหละ เศรษฐศาสตร์แบบนี้ มันไม่เคยหยุดยั้ง

สมัยโบราณ ๒,๕๐๐ กว่าปี วิธีคิดที่จะเอาเปรียบเอารัดยังไม่รุนแรงเท่านี้ แต่มันเป็น สมัยทาส เพราะฉะนั้น มันข่มขู่กัน อีกอย่างหนึ่ง กอบโกยกันอีกวิธีหนึ่งสมัยทาส สมัย สมบูรณาญาสิทธิราช สมัยที่คนยังไม่ค่อยรู้จัก สิทธิของสมบัติพัสถาน ดินน้ำ แม้แต่สิทธิของตัวเอง ยังไม่รู้จัก สิทธิมนุษยชนเลย ยอมเป็นทาส เขาจะฆ่าก็ตาย อะไรอย่างนี้ สิทธิมันยังไม่มีปัญญายังไม่รู้กัน และ เป็นยุคทาส เป็นยุคสมบูรณาญา สิทธิราช เพราะฉะนั้น จะไม่เหมือนกัน

แต่ยุคนี้ไม่ได้สิทธิมนุษยชนสมบูรณ์แบบ ทวงกันไม่ได้หรอก อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ยอม แม้แต่สิทธิ ความเป็นสตรี ไม่ยอมนะ อย่ามาข่มนะ จะต้องเป็นช้างเท้าหน้าให้ได้ ใช่ไหม แต่พวกคุณขี้คร้านแล้ว ไม่เอาแล้ว ช้างเท้าหลังก็หลัง หน้าก็หน้า ไม่ติดไม่ยึดแล้ว พวกเรานี้ สตรีพวกเราไม่มีปัญหา

แต่สตรีของในสังคมของโลกทุกวันนี้ เขายังไม่ได้ ฉันจะต้องเป็นเท้าหน้า สตรีต้องเป็น ช้างเท้าหน้า สิทธิมนุษยชน เอ้า! เชิญ ก็ว่ากันไป เพราะฉะนั้น เต็มที่แล้วสิทธิ แล้วก็ไม่ใช่ ยุคทาส ไม่ใช่ สมบูรณาญาสิทธิราช เพราะฉะนั้น เราจะเสียสละ เราจะไม่มีเงิน เราจะมา เป็นคนจน เรื่องของข้า เอ็งอย่ามายุ่ง ข้าจะจน ฮืม! มันประหลาดนะ คนพวกนี้นี่ โพธิรักษ์ นี่เก่งอย่างไรนะ สอนคนอย่างไรนะ สอนให้คนมาจน อย่างสงบโดยดุษฎี ยอมมาจนตาม ง่ายๆ เลยนะ กล้วยหวีเดียว ทำงานได้ทั้งวัน เขางงเหมือนกัน งงโพธิรักษ์นี่ เป่าน้ำมนต์ อย่างไรนะ โฮ้โห เชื่อจังเลยนะ ถูกหลอกหรือเปล่า ไม่ถูกหลอกเหรอ ปัดโธ่! คนทั้งโลก เขาจะไปรวยกันทั้งนั้นแหละ ยังจะมาจน ถูกหลอกมาให้จน แล้วก็มาทำงานซอกๆๆๆ เงินก็ไม่ได้ หาได้ก็เอามาเข้ากองกลางหมดเลย จะเบิกทีหนึ่ง ก็ทะเลาะกับ ผู้ที่มีหน้าที่ ดูแลเงิน ผู้ดูแลเงินก็อู้หู! หนัก คนนั้นก็จะเอาอย่างนั้น คนนี้ก็จะเอาอย่างนี้ เงินก็ไม่ค่อยมี หรือเงินก็จะต้อง ประหยัดอย่างนี้ ก็เป็นไป นั่นเป็นโจทย์ทั้งสิ้น เป็นโจทย์ที่เราจะต้อง ขัดเกลาตนเอง เจ้าหน้าที่ดูแล การเงินก็ตาม คนไปเบิกก็ตาม ก็ทำโจทย์ให้ดีก็แล้วกัน ถ้าใครเผลอไผลก็ชนะ ส่วนมาก คนชนะนี่ ส่วนมากจะขาดทุน ขาดทุน นี่แหละ แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร จะเป็นมาร เพราะว่า กิเลส มันจะหนา มันสมใจตัวเราเอง ส่วนมากจะขาดทุน คนที่ไปนี่ ทะเลาะกัน ยื้อแย่งเอาชนะได้ ส่วนมาก คนที่มักจะชนะ ที่มักจะไม่มีรายได้ ส่วนมากจะซวย เป็นมารไม่ใช่เป็นพระ ไม่ใช่เป็นเทวดา ไม่ได้ผล มรรคผลไม่ค่อยได้ นี่เป็นรายละเอียด ฟังให้ดีนะ

ฟังธรรมะที่อาตมาอธิบายนี่ พวกคุณคงจะเข้าใจดี เพราะฉะนั้น ต้องอ่านใจของเรา ทุกเวลา เสมอ มันอัตตานี่แหละ จะเอาชนะ อรูปอัตตาพวกนี้ก็ข้าต้องชนะ ข้าต้อง ข้าถูกข้าดี เอาไปต่อรอง ฉันทำ ความดีขนาดนี้นี่ ช่วยขอเบิก ไปเท่านี้แหละ แหมจะเอา แค่นี้ มันไม่มากหรอก ฉันทำดีตั้งเยอะ แหมแค่นี้ทางโน้น ก็จะอะไรก็แล้วแต่ จะไม่ชอบ หน้า หรือจะขี้เหนียว หรือจะไม่มีเงินจะให้ ก็แล้วแต่ ถึงวาระนั้น ก็เลยจะไม่ค่อยให้อะไร อย่างนี้นะ ก็ดึงดันๆ ไป ก็ข้าจะเอา ทางนั้นแหละ ทางโน้น ก็คิดหวังประโยชน์ส่วนกลาง ทางนี้หวังประโยชน์ส่วนกลาง ก็ส่วนตัวอยู่นะ คนดูแลการเงินนี่ ส่วนตัว อยู่นะ มันมี ความคิด ของตนเองอยู่นะ นี่คือ อรูปอัตตาอยู่นะ แหมคนนี้นี่นะ มันไม่ เอ้าเรามีเหตุผล อะไร เราก็ว่าไป มันมีความจำเป็นอย่างนี้ มันไม่พอใช้อยู่นะ อันนี้มันไม่สมควรอะไร ต่ออะไรนะ ก็ว่าไป ให้เขารู้ตัว ว่ากัน จบแล้ว ยังจะเอาอยู่ ก็แล้วแต่ สุดท้ายมันออกมา จะมาตัดสิน ผลออกมาอย่างไร ก็แล้วแต่

สรุปแล้วนี่คือบทบาทแห่งการปฏิบัติธรรมทั้งสิ้น นี่แหละคือการปฏิบัติธรรมลืมตา แล้วก็ต้อง อ่านอารมณ์ อ่านอาการ อ่านเอาชนะ คะคาน รู้จักอัตตาให้ชัด นี่อรูปอัตตานะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า คนเราเข้าใจแล้ว ก็ปฏิบัติตน ให้เป็นคนที่เรียนรู้ แล้วมีผล ได้ผล ที่เป็นมรรคผล อย่างที่อาตมากล่าว ไม่เสียชาติเกิด เกิดมาชาติหนึ่งแล้ว ก็มารู้จักธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ได้ปฏิบัติธรรม ได้ละลด ได้อะไร ต่ออะไรนี่ มันไม่เสียชาติเกิด เพราะฉะนั้น คนที่เสียชาติเกิดนี่ก็เพราะว่า ไม่เข้าใจโลกุตรธรรมจริงๆ บอกแล้วว่า แม้แต่คุณได้โลกียกุศล ฟังความนี้เข้าใจนะ ได้โลกียกุศล ไม่มีโลกุตรธรรม เป็นหลักประกัน นี่ มันก็เหลิงได้ แล้วมันก็เสียเวลา จะปีสังสารวัฏ ไปเสพสุข ไประเริง ไปทำอะไร ก็แล้วแต่คุณ หรือแม้เป็นหนี้ โลกียกุศล บางอย่างนี่ มันเหมือนโลกียกุศล มันไม่ใช่กุศลหรอก มันเป็นหนี้ ด้วยซ้ำไป แต่คุณก็ ได้เปรียบมา การได้เปรียบมานี่ มันไม่ใช่กุศล

การได้เปรียบมานี่เป็นอกุศล แต่เราไม่รู้นี่วิธีการของโลก วิธีการของทุนนิยมนะ ใช่ไหม วิธีการของ ทุนนิยมนั้น มันฉ้อฉล ซึ่งอาตมาบอกแล้วว่า เมื่อบวกลบคูณหารแล้ว เอาค่าตัว ของเรา ค่าแรงงาน เราคิดถูกหรือยังไม่ถูก มันไม่ง่ายนะ เอ๊ะ ค่าแรงงานเราควรจะวันละ เท่าไร หรือค่าแรงงาน งานชิ้นนี้ เราลงทุนลงแรง ลงแคลอรี ลงความอุตสาหะ เท่าไร มันควรคิดเท่าไร ราคาจริงมันควรเท่าไร มันคิด ไม่ได้ง่ายๆ มัน อจินไตย มันยากนะ แต่เอาเถอะ ถึงแม้ว่าคุณจะคิดค่าแรงงาน ของคุณได้ครบ แล้วคุณเอง คุณได้จ่าย หรือ คุณได้เสียสละ มันบ้างไหมละ คุณก็ยังเอาเกิน ค่าแรงงานของคุณอยู่ อันนี้เป็นหนี้ แต่ถ้า คุณได้เสียสละ เรานึกคิดเผื่อไว้ว่า เราได้เสียสละ ค่าแรงงานเรานะ เราเอา แต่น้อยไว้ ใช่ไหม ถ้าเอาแต่น้อยไว้ หรือไม่เอาละ ได้เท่าไรเอาไปเลย ได้เท่าไรเอาไปเลย และ พยายาม จะน้อยกินน้อยใช้น้อย แม้จะเจ็บป่วยไปเบิกเขาให้น้อยๆ ก็เอาน้อยๆ นี่แหละ เขาไม่ช่วยเราก็ช่างเขา

สมมติว่าเราป่วยหนัก จะต้องใช้เงินถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาท ฟังให้ดีนะตรงนี้ จะได้เข้าใจดีๆ ตอนมา ทำงานที่นี่ รู้ รู้สึกว่า ทุนเรายังไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาทเลย แต่เราทำดี พฤติกรรมดี ทุกคนรัก ชื่นชมยินดี แต่ถึงอย่างนั้น ค่าสมรรถนะของเรานี่ ฝีมือก็ด้อย ไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ บาทหรอก แต่ของเรานี่คนรัก คนเอ็นดู คนศรัทธาเลื่อมใส เขาก็บอกยินดี เอาเลยคนนี้ จะรักษา ๕๐๐,๐๐๐ บาท นี่จ่ายไปเลย คนนี้นี่ทุกคนนี่กรรมการ หรือว่าชาวญาติธรรม คนนี้ให้ไปเลย คุณจะประจบประแจง คนเขารัก ทั้งบ้าน ทั้งเมืองก็ตามใจ แต่ถ้าคุณไม่ได้ ประจบประแจง แต่คุณทำ คุณงามความดี เป็นคนมี ปาสาทิกะ มีอาการที่น่าเลื่อมใส กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของคุณดี เป็นคนที่มี สิ่งที่น่ารัก พูดน่ารัก ทำงานน่ารัก ถึงแม้ขยันก็เท่านั้น สมรรถนะก็เท่านี้ก็ตาม เป็นคนที่ดี เข้ากับคนได้แหละ มีมนุษย สัมพันธ์ดี และก็เป็นสิ่งที่คนชื่นชอบ ปากไม่ร้าย มือไม่ไว หมัดไม่เร็วอะไรก็แล้วแต่ หอกไม่ค่อยใช้ หรือไม่ใช้เลย มีแต่น้ำตาลอะไรแล้วแต่

สรุปแล้วของคุณนี่คนรัก ๕๐๐,๐๐๐ เอาไปเลย สมมติว่าค่าตัวจริงๆ ของคุณยังไม่ถึง ๕๐๐,๐๐๐ หรอก ถามว่า เป็นหนี้ไหม ตอบซิ ไม่เป็นหรอก ไม่เป็นหนี้ เขาให้ด้วยศรัทธา เขาให้ด้วยความยินดี เหมือนคนทาน เหมือนคนบริจาค เพราะฉะนั้น ลึกซึ้งเรื่องพวกนี้ เป็นความจริง ความจริงที่เกิดจาก จิตจริงๆ เขาให้ด้วยศรัทธา เขาให้ด้วยความยินดี เขาให้ด้วย ความเคารพนับถือ ถ้ายิ่งเคารพนับถือบูชา ถ้าอย่างนั้น อาตมาเป็นหนี้ แยะเลยนี่ ถ้าคุณคิดว่า อย่างนี้เป็นหนี้ อาตมาเละเลยหนี้เป็นล้านๆ เลยนะ แล้วค่าตัว อาตมา มันจะถึงล้านไหม เจ้าหน้าที่บริษัท TA Telecom Agency: TA เงินเดือนรายได้สูงสุด ๑,๗๐๐,๐๐๐ เขาบอกไม่ใช่คนเดียวนะในบริษัทนั้นนะ คนเงินเดือนนี้ ต่อเดือนนะ คำว่าเดือนนะ ไม่ใช่เงินปีนะ ฟังดีๆ รายเดือน เดือนหนึ่ง ๑,๗๐๐,๐๐๐

อาตมาว่าอาตมาคงไม่มีค่าตัวถึงขนาดนั้นมั้งในประเทศไทยนะ อันนี้ประเทศไทย ประเทศ นอก เขาสูงกว่านี้นะ ประเทศนอก เขาหาแล้วสูงกว่านี้ ประเทศไทยนี้ ๑,๗๐๐,๐๐๐ สูงสุด เขาสำรวจ มาแล้ว บริษัทนี้ได้ที่สุด แล้วบริษัทนี้ การประกอบการ ขาดทุนทุกปี โห้ อาตมา งงจริงๆ โลกนี้ เขาสำรวจแล้วบริษัทนี้ การประกอบการ ขาดทุน ทุกปี แต่เงินเดือน เจ้าหน้าที่สูงสุด ผู้สูงสุดมีอยู่ ไม่ใช่คนเดียว ๓ คนหรือ ๔ คนนี่แหละ ได้เดือนละ ๑,๗๐๐,๐๐๐ เงินนี้ ไม่ใช่เงินเดือน ทีเดียวหรอก เงินอะไรของเขา ก็ไม่รู้ ทั้งปันผล ทั้งโบนัส ทั้งอะไรก็แล้วแต่ รวมแล้วนี่ มีค่ารับรอง ค่าเอ็นเตอร์เทน ค่าอะไร เขาได้หมดนะ พวกนั้นเขาได้ค่า เขาเขียนไว้ แยกไว้แล้ว รวมแล้วได้ ๑,๗๐๐,๐๐๐ คือเงิน ที่เขามีสิทธิ เข้ากระเป๋าเขาจริงๆ เขาจะใช้จ่ายเท่าไร เรื่องของเขา เอาหละ นั่นก็มาพูดแถม ประกอบ เรื่องให้เห็นว่า อาตมามันควรจะถึง เดือนละ ๑,๗๐๐,๐๐๐ หรือ ไม่ถึงหรอกมั้ง แล้วคน มาทำบุญ ก็เอาเถอะ มันไม่มาก ถึงขนาดนั้น ก็ตาม ถ้าคิดอย่าง ที่คุณคิด อาตมาก็ต้อง เป็นหนี้ (หัวเราะ) เพราะฉะนั้น อันนี้เป็นอจินไตย เป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้ง

ถ้าคนเขาให้เราด้วยศรัทธาที่แท้จริง เงินนี้ไม่ใช่เงินได้เปรียบ แต่ถ้าคุณก็ไปขอยืมเขา ศรัทธาที่ยืม กับศรัทธาที่เขาให้ ด้วยจิตศรัทธาจริงนี่ มันต่างก็นะ เพราะฉะนั้น คุณที่ให้ ทำทานหรือศรัทธา ให้มันเป็นกุศล คุณให้ก็เป็นกุศล คนรับเขาก็ไม่ได้เป็นหนี้ มันเป็นเรื่องดี เป็นสุจริตกัน เพราะฉะนั้น ในนัยที่ซับซ้อนลึกซึ้งพวกนี้ ที่อาตมาอธิบาย ให้ละเอียด พวกนี้ไปให้ฟังให้ดีกว่า คนเรานี้ ผู้ที่เสียสละ ทันที คุณทำงานแล้วเอาไปเลย ใจไม่เคย คิดเล็ก คิดน้อยอะไร ไป สละไปเข้ากองกลาง ผู้ที่มีหน้าที่ จัดสรร หน้าที่การเงิน หน้าที่ไป จำหน่ายจ่ายแจก หน้าที่ ที่จะเอาไปทำงาน ไปหมุน เข้าไปพุทธรักษา จะต้องการ ทุนเท่าไร ที่นั่นที่นี่จะต้องการทุนเท่านั้นเท่านี้ ไปหมุนอะไรต่อกันไป ก็ทำไปตามหน้าที่ ต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโนนค่านี่ ก็ว่ากันไป เพราะฉะนั้น ในการจัดสรรกัน เป็นหน้าที่ เป็นการงาน ก็เป็นระบบของ สังคมชีวิตมนุษย์ ของเราก็มีระบบเหมือนโลกเขาเหมือนกัน

แต่บุญนิยมที่มันซับซ้อน เหมือนแต่มันมีอะไร นัยที่สบาย คุณทำงาน แล้วคุณไม่ต้องกังวลว่า แล้วคุณจะได้เงิน แลกเปลี่ยนมาเท่าไร คุณไม่ต้องคำนวณเลย คุณก็ไม่ต้องจ่าย แคลอรี ไม่ต้อง ปวดสมอง ไม่ต้องหนัก ไม่ต้องวุ่นวาย เรื่องนี้ตัดไปได้ คุณจะได้ยศหรือไม่ ไม่ต้อง ยิ่งว่าแล้วคน จะชมเชยเราไหม สรรเสริญเราไหม เออได้มา ยังจะเก็บเอาไว้ ไปซื้อหวาน ซื้อเปรี้ยว ซื้อ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี้ ไว้เสพบ้าง คุณก็ไม่ต้องกังวล มีแต่ มาเตรียมตัวว่า มันจะไป ลิ้มเลียรูปบ้าง รสบ้าง กลิ่นบ้าง เสียงบ้าง กามคุณ ๕ คุณก็ลด ของคุณไป ไม่ต้องไปเตรียมเงินไว้จะต้อง คุณไม่ต้องคิด ในโลกธรรม ๔ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มันจะสูญเสีย หรือจะได้มาเป็นโลกธรรม ๘ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ คนจะนินทาบ้างนี่ มีกินก็ไม่รู้จักกิน พ่อก็ว่า น้องก็ว่า พี่ก็ว่า มันไปถูกหลอกอะไร มีกิน ก็ไม่กิน ของอร่อยๆ ก็ไม่กิน มานั่งอดนั่งอยาก มันไปทำบาปมาตั้งแต่เมื่อไร โน่นไปโน่นเลย เขาว่านะ มันไป ทำบาปมาตั้งแต่เมื่อไร มีกินอร่อย มันก็ไม่กิน มีใช้สวยๆ มันก็ไม่ใช้ มันไปทำเวรไว้ตั้งแต่เมื่อไร

นั่นคนเขาเข้าใจไปโน่นเลย ทำเวรทำกรรมอะไรมานักหนา ของเราเนกขัมมสิตะ เจตนาจะ เนกขัมมะ อันไหนที่มัน ต่อสู้อยู่ ก็คือเนกขัมม โทมนัสสเวทนา อันไหน มันไม่ต่อสู้แล้วทำได้ ต่อสู้สบายๆ ดีไม่ดี ทำได้ผลด้วยก็มี เนกขัมมสิต โสมนัสส เวทนาด้วยซ้ำ ยิ่งทำแล้ว จิตใจจะเฉย ไม่ทั้งทุกข์ไม่ทั้งสุข เนกขัมมสิต อุเบกขา ทำแล้วก็ดี จะเอาให้ไปก็ดี เขาจะว่า ตอบมา จะกระทบกระทั่งอย่างไร ก็วางใจได้ อุเบกขาได้ เนกขัมมะ รู้อยู่ว่าเรากำลังปฏิบัติ เนกขัมมะ และ เนกขัมมะ นี้มีเป็นอย่างไร สามารถ อ่านใจรู้ มีจิตแววไว มีญาณรู้ มีวิปัสสนาญาณรู้ทัน จิตก็แข็งแรงเป็น มโนมยิทธิ รู้เท่ารู้ทัน จิตของเรานี้ มุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต จิตตั้งมั่นแข็งแรง ไม่หวั่นไหวอะไรเลย แล้วจิตก็รู้เท่าทัน เข้าใจ อันนี้เรื่องของกิจนี้ การนี้ งานนี้ มีเรื่องของบทบาทนี้ เรื่องนี้ กัมมนียะ รู้อยู่ ควรจะทำ ไม่ควรจะทำ อย่างไร ก็ตัดสิน ใช้วินิจฉัย ใช้ปัญญาวิจารณญาณ ของเรา ทำงานอยู่เฉยๆ สบายๆ จิตไม่ทุกข์ จิตไม่สุข อทุกขมสุข หรือ อุเบกขา

นี่คือคนชนิดของพระพุทธเจ้า อยู่กับโลก ทำงานกับโลก งานหนักก็รู้กระแทก โอ้โฮ คนนี้ กระแทกแรง จิตก็ยังวางเฉยได้ แต่เข้าใจๆ มีมุทุภูเต ใจแววไว มีจิตแววไว และมีฐิเต จิตนิ่งไว มีทั้งสภาพของ พลังงานบวก พลังงานลบ ทั้งพลังงานศักย์ พลังงานจลน์ มีทั้ง พลังงานที่เคลื่อนไหวได้เร็วด้วย พลังงานศักย์ก็แหม แข็งแรงตั้งมั่น แข็งไม่มีหวั่นไหว ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ โลกธรรมนี้ จะกระทบกระแทก กระทุ้ง อย่างไร ก็ไม่หวั่นไหว น กัมปติ เห็นไหม เพราะฉะนั้น คนที่มา เป็นคนอย่างนี้นี่ เป็นคุณ สมบัติ ของเอกบุรุษ ไม่ใช่ไปใส่เสื้อ ARROW เอกบุรุษ เป็นเอกบุรุษโดย ไม่ต้อง ใส่เสื้อ แม้แต่ เป็นผู้หญิงก็เรียกว่า เอกบุรุษได้ จะเรียก เอกสตรีก็ได้ ไม่ว่ากัน

เอกบุรุษเป็นคนเอก เป็นคนเลิศ เป็นคนชนิดที่พระพุทธเจ้า ท่านพิสูจน์สอนให้เป็นคน เช่นนี้ เพราะฉะนั้น คนที่ไม่โมฆบุรุษ เป็นคนที่ได้คุณธรรม อย่างนี้มานี่ ไม่เสียชาติเกิด เพราะฉะนั้น ขนาดนี้ ยังมีส่วนเหลืออะไร พระพุทธเจ้า ไม่ได้ด่า ไม่ได้ด่าว่าโมฆบุรุษนี่ คนที่เป็นอาริยะแล้ว ก็เลยเลิกด่าไม่ ใครมาทำผิด ที่มันไม่ขึ้นเป็นอาริยะเมื่อใด โมฆบุรุษ เมื่อนั้น ฟังซ้อนลงไปอีกทีหนึ่ง คุณจะเว้นวรรค เป็นโมฆบุรุษ หรือคุณจะไม่เว้นวรรค เป็นโมฆบุรุษ เข้าใจความหมายนี้ไหม เข้าใจไหม เพราะฉะนั้น เราจะไม่หยุดอยู่ จะไม่ ชะงัก ในการเจริญธรรม นี่คือ ผู้ไม่เป็น โมฆบุรุษได้ต่อเนื่อง ฟังดีๆ นะ อาตมา อธิบายเรื่อง โมฆบุรุษ ผู้ใดเว้นวรรค ได้เป็นอาริยะโสดาแล้ว ก็ขอเว้นวรรค ดีไม่ดี แอบเล็มแอบเลีย คุณธรรมที่ได้บ้างแล้วนี่ คอยดึงถ่วงหน่อยๆ ด้วยซ้ำไป มันเป็นได้จริง อาจจะไม่ตกต่ำ แต่ก็เสียเวลา ที่คุณจะต้องมารื้อฟื้น คุณต้องมาเสียเวลาอีก มันไม่เข้ายา ช่วงนั้น คุณเว้นวรรค ช่วงนั้นคุณเป็น โมฆบุรุษ มรรคผล ไม่เจริญ มรรคผลไม่ต่อเนื่อง มรรคผล ไม่ได้ นั่นคือกาละแต่ละกาละ เห็นไหม ที่อาตมาอธิบายให้ฟัง ละเอียดๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าถึงถามว่า อานนท์ ขณะนี้มันยาวนาน เท่าไร คุณอย่าทำขณะให้เสีย

พวกที่อ่านพระไตรปิฎกมาแล้ว ก็จะผ่านพวกนี้ จะฟัง อย่าทำขณะให้เสีย หมายความว่า อย่าให้ขณะ มันเป็นโมฆะ สูญเปล่า ต้องให้มีรายได้ ต้องให้มีอัตถะ ปรมัตถะ ให้มี ประโยชน์ หรือมีรายได้ มีผล อัตถะนี้คือรายได้ หรือคือผล ให้มี ผลอย่างยิ่ง ผลที่เรียกว่า ปรมัตถ์ หรือผลที่เป็นของศาสนาพุทธ ที่เป็นโลกุตรผล เป็นอารยะผลก็ได้ ให้มีขึ้นมา

ในขณะที่เราปฏิบัติอยู่แล้ว มันก็ยังไม่สำเร็จผล เรียกว่ามรรค คุณกำลังก้าว คุณกำลัง เดินในทาง คุณไม่ได้ออกนอกทาง คุณไม่ได้แวะ คุณไม่ได้หยุดอยู่ คุณกำลังเดินอยู่ในทาง มันยังก้าวไม่ขึ้น ยังก้าวไม่ออก ยังไม่สำเร็จ การก้าวขึ้นไป เป็นก้าวๆ ก้าวๆ ก้าวๆ นั่นคือ ความละเอียด ยังไม่พ้นมรรค พอก้าวสำเร็จ ๑ ก้าวเป็นผล ๑ ก้าว, สำเร็จ ๒ ก้าวเป็นผล ๒ ก้าว, สำเร็จ ๓ ก้าวเป็นผล ๓ ก้าว, ได้ขั้นไหนคือก้าวอยู่ กำลังคาอยู่นี่ ไม่รู้ว่ามันจะก้าวไหว หรือไม่ไหว ถอยกลับมาที่เก่า ดีไม่ดี กระเถิบ ถอยหลัง ไปอีกนิดหนึ่ง ถ้าคนกำลังอินทรีย์ พละอ่อน ก็จะถูกฉุดลงไป อย่างนั้น แต่ถ้าคุณอินทรีย์ พละสูง ก็แน่นอน คุณก็ก้าวขึ้นไปได้ ได้ดีได้แรงได้เร็ว เพราะฉะนั้น การที่จะพัฒนาตนเอง การที่จะรู้ ละเอียดลออ

อย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง อย่างละเอียดละลอ อย่างละลอ ไม่ใช่ละเลียด ละเอียดจน ถึงขั้น ละเอียดละลอ ไม่ใช่ละเอียดละเลียด ละเอียดละออ อาตมาใช้ศัพท์ใหม่ อีกคำ หนึ่งว่า ละลอ สูงกว่าละเลียด เป็นเชิงดีนะละลอ ที่อธิบายให้ฟังอย่างนี้นะ ละเอียดละออ หรือ ละเลียดละลอ ขนาดนี้ก็เพราะว่า มันเป็นเรื่องละเอียดจริงๆ คัมภีรา ลึกซึ้งจริงๆ ธรรมะพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อผู้ใด จะสำนึกตน เกิดมาแล้วทุกวินาที เป็นวินาที แห่งบุญ อย่าประมาท อย่าเผลอไผล อย่าอ้อน อย่าออเซาะกิเลส กิเลสมันมีอยู่ เกือบจะ ตลอดเวลา ในคนที่ไม่สำนึก และ ไม่สังวร และไม่ตั้งใจสู้ มันจะออเซาะอยู่ตลอด มันไม่หยุด มันไม่พักเลยนะ กิเลสน่ะ เผลอไม่ได้นะ เผลอมัน เอาคุณเลย ไม่ว่าจะกิเลส ขี้เกียจ กิเลสจะต้องเสพ กิเลสจะต้องให้อาหารมัน จะต้องแพ้มัน ให้อาหารมัน ด้วย กามสุขัลลิกะ หรือจะเป็น อัตทัตถสุข หรือ กามสุขัลลิกะก็ตาม สุขนี่แหละมันหลอก โลกียสุข เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถดูเหตุ ไล่เหตุสมุทัยมันได้ แล้วลดละ จางคลาย มันได้ทุกครั้ง นั่นคือ คุณทำตนเองไม่เป็นโมฆะ ไปทุกๆ ขณะ

เมื่อกี้พูดถึงขณะยังไม่ค่อยจบเท่าไร พระพุทธเจ้าถาม พระอานนท์ตอบว่า ทุกขณะ ของผมช้านาน คือ ระยะคำข้าว ทุกๆ คำข้าว คำข้าวคุณก็ไม่นานนักใช่ไหม เดี๋ยวก็คำๆ นี่คือขณะ พระพุทธเจ้าบอกว่า ยังช้าไป ทุกลมหายใจ ก็ยังช้าไป ลมหายใจเข้าออก ขณะหนึ่งๆ เพราฉะนั้น ขณะหนึ่งต้องเร็ว ยิ่งเป็น ฟิลิบดา ยิ่งกว่า second ยิ่งกว่า วินาที อย่าทำวินาที อย่าทำฟิลิบดาให้มันเป็นขณะเสีย หรือขณะ สูญเปล่า นี่คือ ความละเอียด ลออ คำกำชับกำชา ของพระพุทธเจ้า เอาละมันไม่ได้ ก็ต้องพยายาม พยามยามที่จะทำ ขณะของเรา อย่าให้เสีย อย่าให้โมฆะ อย่าให้มันสูญเปล่า ให้มันเจริญวุฒิๆๆๆๆ ไม่ใช่ ฐิติ หรือ ปหานะ ไม่ใช่เสื่อมแม้หยุดอยู่ ฐิติก็ไม่เอา ต้องวุฒิๆๆๆ

คนจะเจริญนี่ อาตมามาทำเป็นรูปมือให้ดู คนเจริญนี่ต้องพยายามเจริญอย่างตรง ไม่ใช่ เจริญไป อย่างนี้ (ทำมือ) เจริญเหมือนกันนะ แต่ช้าไหม สิ่งที่เร็วและลัดที่สุด คือเส้นตรง และฉาก เส้นตรง และฉากนี่ตรง ส่วนเร็วนั้น ของใครของมัน ได้ก็แล้วกัน สัมมาทิฏฐิคือ เส้นตรงที่ตั้งฉาก เพราะฉะนั้น สัมมาทิฐิที่ยังไม่ตรง ก็คือ เอียงนิดหนึ่ง เอียงนิดหนึ่ง เอียงนิดหนึ่ง นี่คือสัมมาทิฐิที่จะต้องปรับ และคนเราจะเป็นอย่างนี้ได้ไม่ง่าย ไม่ใช่จะ สำเร็จได้ง่าย แต่พยายาม เอาจุดนี้เป็นหลัก จุดตรงไม่เอียง ขึ้นตรง ขึ้นตรงและฉากตรง เป็น ๙๐ องศา

เอาละ นี่เป็นเรื่องของโมฆบุรุษที่อาตมาจะเตือนให้สติ พวกเราได้ดีแต่มันจะเสพ เสพติด ตรงยอดของ เมถุนสังโยค ข้อที่เท่าไร เมถุนสังโยคะ ข้อที่เท่าไร ๗ เป็นเทวดาองค์ใด องค์หนึ่ง เทวดาก็คือผู้เสพสุข ติดอยู่ตรงนั้นแหละ ท่านนับเป็น เมถุนสังโยคด้วย มันยัง ไม่อยู่แต่ผู้เดียว มันยังมีเพื่อนสอง นี่สำนวน ธรรมะทั้งนั้นแหละ นักธรรมะเจ๋งๆ ต้องรู้จัก สำนวนพวกนี้ มีเพื่อนสองผู้นั้นยังไม่อิสรเสรีภาพ ผู้นั้นยังไม่บรรลุธรรม ผู้ที่อยู่แต่ผู้เดียว ถึงจะบรรลุธรรม แต่คำว่า ผู้อยู่แต่ผู้เดียว แม้คุณจะมีอยู่ ระหว่างอำมาตย์ อยู่ระหว่างญาติธรรม อยู่ระหว่างคนห้อมล้อม คุณก็อยู่ แต่ผู้เดียวได้ คือ กิเลสตาย คุณอิสรเสรี นั่นคือการอยู่แต่ผู้เดียว

ต่อให้คุณไปนั่งอยู่แต่ผู้เดียว ไม่มีเลยแม้แต่สัตว์ซักตัวเดียว คนไม่ต้องว่าถึงเลย แต่คุณก็ ยังกิเลส กลุ้มรุม ทั้งกาม ทั้งอัตตา นั่นคือคุณมีเพื่อนสอง เพราะฉะนั้น คำว่ามีเพื่อนสองนี้ เรื่องตัวตนบุคคลนี้ มันเรื่องภาษาโลกีย์ หรือภาษาคน ภาษาธรรม อยู่แต่ผู้เดียวนั้น ไม่ได้หมายความว่า ต้องไปปลีกหลีกลี้ หลีกเร้น หลีกเร้นนี้เหมือนหดด้วย พระพุทธเจ้า อธิบายไว้หมด หลีกเร้นก็ไม่ได้หมายความว่า เอาตัวเองหนีไม่ใช่ เหมือนกับต้องทำตัวเอง เข้ามา ให้อยู่แต่ผู้เดียวให้ได้ อิสระเสรี เหมือนเนื้อเอ็น ที่ไปถูกไปหดเข้ามา ท่านอธิบาย ไว้หมด เพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมะที่ลึกซึ้ง และก็เพี้ยน มันจึงทำให้ช้า และก็ไม่ตรง ทีเดียว ก็เหมือนกับสัมมาทิฐิเอียง เพราะฉะนั้น ต้องทำสัมมาทิฏฐิ ให้ตรง ให้แม่น คม แล้วจะไปเร็ว

นี่เป็นเรื่องที่เป็นรายละเอียดที่วันอโศกรำลึกนี้ ก็เติมให้แถมให้ สำหรับพวกเรามานั่ง ตั้งใจฟัง ผู้ใด ตั้งใจฟังด้วยดี ก็ได้ปัญญา สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง ฟังด้วยดีก็ได้ปัญญา มาถึงวันนี้ ก็ขอแถม อีกนิดหนึ่งเลยว่า อาตมามีลูก ลูกจริงๆ อาตมาไม่ได้น้อยใจ ไม่ได้เคย เสียใจเลยในชีวิต ที่ไม่ได้ ไปมีภรรยา ตามทางโลกเขา เดี๋ยวนี้ยิ่งยุ่งมากเลย ภรรยา จะไม่ยอมใช้นามสกุลเราแล้ว มันจะเป็น อิสรเสรี อะไรแล้ววุ่นมากมาย ช่างหัวเขา เถอะ เขาจะถก เขาเถียงอะไรกัน ก็เถียงกันไป เราเลิก เรื่องเหล่านี้ ไม่มีภรรยา และไม่มีลูก ตามสายเลือด เลยไม่ได้เสียใจ และไม่ได้เสียดาย และ อาตมา ก็เข้าใจ เรื่องนี้มาแทน แม้แต่น้องๆ นุ่งๆ อาตมา ก็เคยบอกเคยพูด เขาก็เคยมาเล่า สอน (ฮึๆ) อย่ามีลูกนะ มันก็มีมาจนได้นะ คนโตก็มีซะ ๓ คนรองลงไปก็มีซะอีก ๓ คนสุดท้องมี ๑ อะไรอย่างนี้ แต่เขาก็ยังมีบุญนะ เขาก็ดี ลูกเต้าเหล่าหลาน เขาก็ไม่เกเรเกตุง ไม่เป็นอะไร เล่าเรียนกัน จบปริญญา ตรี โทอะไรกันไป

สำหรับอาตมาไม่ต้องมีกับเขาแล้ว ก็ยิ่งเข้าใจชัด ว่าคนเรานี้จริงๆ แล้วนี้เกิดมานี่ มาทำ ประโยชน์ คุณค่า แล้วก็มาทำตนเอง ให้เป็นคนที่ไม่เป็น เหตุแห่งทุกข์ แม้แต่เหตุมีลูก เป็นทุกข์นี้ ก็ไม่ต้องไป หาเรื่องมา ไปต้องไปมีแฟนมา มีทุกข์ ฮู้ไม่ต้องไปหามาหรอก สุขมันหลอก ถ้าเราเองเราชัดเจนแล้ว ไม่มีแฟนเลย จิตใจว่าง ไม่ต้องมีกามเลย นี่ก็มีรัก ๑ ทุกข์ ๑ ไม่ต้องไปพูดมาตั้งแต่ต้นมีตั้งรัก ๑๐๐ ทุกข์ ๑๐๐ มี ๙๐ ทุกข์ ๙๐ ไม่ต้องไปไล่ มานะ มีรัก ๑ ทุกข์ ๑ อะไรอย่างนี้ไม่ต้องหรอก เรารัก ประชาชน หรือเรารักมนุษยชาติ รักอย่างมีปัญญาเข้าใจ รักอย่าง มีมิติที่ ๙ ขึ้นไป มิติที่ ๘ นี่ เสขบุคคล มิติที่ ๙ นี่ อาริยะ อรหันต์ อรหันต์มิติที่ ๙ ก็คือ นิพพานนิยม หรือ อรหันต์นิยม ส่วนมิติที่ ๘ นั้นนะ เสขบุคคล อเทวนิยม ส่วนมิติที่ ๑๐ นั้น โพธิสัตวภูมิ หรือ พุทธภูมินิยม จิตมีความรัก มิติที่ ๙ ขึ้นไป มีอรหันต์ผล มีนิพพาน จิตรู้จักความรัก

ความรักคืออะไร ความรักคือเอื้อเฟื้อเจือจานเกื้อกูล แต่ไม่ต้องมีจิตไปผูกพัน มีความ สัมพันธ์ มีความรู้ รู้จักคน ใกล้ชิด คนเป็นญาติ คนเป็นผู้ที่ควรได้ ควรช่วย ควรสอน ควรกระทำ สิ่งที่ควรกระทำ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์เจ้า หรือ พระอาริยะเจ้า ในระดับสูงขึ้นไป จนเป็นอรหันต์

อรหันต์หรือโพธิสัตว์ทำงานด้วยอะไร ทำงานด้วยความรู้กับสุญญตธรรม จิตว่างๆ จิตสูญๆ แต่มีปัญญา เท่าที่มีภูมิปัญญา มีญาณทัศนวิเศษเท่าใด มีสยัง อภิญญา เท่าใด ก็แล้วแต่ รู้โลก โลกวิทู กว้างอย่างไร แต่โลกุตรจิต ถึงขั้นอรหัตผลแล้วนี่ โลกุตรจิต สมบูรณ์ อยู่เหนือโลกสมบูรณ์อะไร ก็ไม่หวั่นไหว อะไรกระทบกระแทก กระเทือน ก็สบายแล้ว แล้วมีโลกานุกัมปา มีจิตอนุกัมปา มีจิต เอื้อเอ็นดูสัตวโลก นี่คือความรัก ไม่ใช่ความไปผูกพัน ความไป หวั่นไหว ความไปเสียใจด้วย ดีใจด้วย ไม่ใช่ แต่รู้จักดีไหม ดี มุทิตาจิต หรือ มุทิตเจตสิก มุทิตเจตสิกเป็นอย่างไร รู้จักจิตมุทิตา อันนั้นเจตสิก อันนั้นคือการเห็นดี ผู้ที่ดีได้ดี แล้วก็ยินดีด้วย เขาได้ดีนะเขาดีนะ ก็ยินดี ด้วยนะ ไม่ได้มีวูบวาบ ไม่ได้เป็นจิตรู้ จิตรู้จิตเข้าใจทุกอย่าง แล้วมีความจริงใจ ตามนั้นทุกอย่าง คุณได้ดี ก็ยินดี ด้วยนะ ก็ยินดีตามจริงๆ อย่างนั้นไม่ได้เสแสร้ง แต่ไม่ได้จิตหวำไปเว้าไป แหว่งด้วย ดูดดึงไป จิตก็ตรงๆ แข็งแรง มีแต่ธาตุรู้ทำงาน มันยากที่จะอธิบายคุณลักษณะอันนี้นะ

แต่อาตมาก็พยายามอธิบาย เก่งที่สุดแล้ว ใครเก่งกว่าอาตมาก็ช่วยอธิบายด้วย เก่งที่สุดแล้ว อาตมาพยายามอธิบายให้ฟัง เพราะฉะนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้า คนเข้าใจยากมากเลยว่า ทำไมต้อง ทำงาน ก็ไม่ทำงานนะมันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ทำไมต้องมาช่วยคน มหายานกับเถรวาททะเลาะกัน เพราะเอียงกัน คนละข้าง เถรวาทก็สู่ป่า บุญลุกก็คือ อยู่แต่ผู้เดียว พาซื่ออย่างนั้นแหละ อยู่แต่ผู้เดียว จริงๆ หนีไม่เอาถ่าน ไม่เอาโลก หนีโลก ดับสงบ เข้าไปในภพโน่นแหละ เช้านิโรธตัวแข็ง เป็นอสัญญีสัตว์ นั่งสมาธิแข็ง ใครไปจับ โยกกลิ้งเลยนะ เป็นท่อน เขาเรียกว่า พรหมลูกฟัก กลิ้งโค่โล่ อยู่อย่างนั้นแหละ อย่างนั้น มันไม่ใช่พุทธ เขามีมาเก่านานแล้ว อสัญญีสัตว์ เป็นสัตตาวาส สัตตาวาส อาตมาอธิบาย อยู่ในหนังสือ เราคิดอะไร อธิบายใช้ละเอียดเลย ไม่มีใครมาอธิบายหรอก สัตตาวาส ๙ เขาอธิบายไม่ออกหรอก อาตมาอธิบายให้ฟังว่า มันคืออะไรๆ หมด จะต้องรวบรวม มาเป็นหนังสือเล่ม มาสู่กันฟัง สู่กันอ่าน

สัตตาวาสคือคนยังมีที่อยู่ คนยังมีภพที่อยู่คือภพ ยังมีภพมีชาติ สัตตะนั่นก็คือชาติ อาวาสนั่นก็คือภพ ยังตกภพ ยังมีภพ มีชาติ ยังไม่ได้หลุดพ้นจากภพชาติ คนยังไม่มี ยังไม่มีความรู้ ปฏิจจสมุปบาท ยังไม่มี ญาณปัญญา แทงทะลุ แล้วก็ล้างกิเลส เป็น ปฏิจจสมุปบาท รู้จักภพชาติ รู้จักกิเลสตัณหา จนไม่มีภพ ไม่มีชาติ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราไม่เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง แล้วก็ไม่ทำจริง เป็นโมฆบุรุษ แล้วก็ไม่รู้ทิศทาง คนจะไม่บรรลุธรรมะของพระพุทธเจ้าง่ายๆ เลย แต่คุณมาขนาดนี้ก็ดีแล้ว นี่จะเอา นิพพานกันจริงไหม หน้าๆ ดูหน้า หาเอาไหม (ตอบ: เอาคะ/ครับ) มาจนนะ ไม่มีลูกนะ บ้านเรือน ก็ไม่มีนะ ยังไม่กลัวตายหรือ ฝนตกเปียกนะ ไม่มีบ้านอยู่ พูดอย่างไรก็เฉยหมดเลย คือ ถ้าเราเข้าใจ เรามั่นใจแล้ว มันเข้าใจแล้วมันมั่นใจ เพราะอะไร เพราะสิ่งนี้เกิดจริง

อาตมาพูดอย่างนี้ในวันนี้ได้เพราะอะไร เพราะว่าระบบก็มีแล้ว วิถีการดำเนินชีวิต ระบบสาธารณโภคี ระบบบุญนิยมของเรา มันมีแล้ว มันเป็นแล้ว และได้มาทดสอบดูแล้ว รู้แล้วว่า ถ้าเรายึดติด ขนาดนี้ นี่นะ เขาไม่ให้เรานี่นะ เราก็ไม่ทุกข์ ไม่หนีจากหรอก ไม่ให้อะไรเราเลย เราจะป่วยตาย ไม่ให้รักษา เราเลย เราก็จะอยู่มันตรงนี้ ถ้าเรามันจะเลวขนาดนั้นนะ คนไม่ชอบหน้าเลย แหมจะเปรียบตัวตายเลย ก็ไม่รักษาเราเลย ปล่อยให้เราตายเน่าๆ แห้งๆ อยู่ตรงนี้ เออตายมันเลย นอนยิ้มตายเลย บอก โอ้โห เรานี่ ทำไมมันเลวขนาดนี้นะ จะตายอยู่ต่อหน้าต่อตา เขาก็ไม่ช่วยไม่เหลือ อะไรเราเลย เราก็อุตสาห์ อยู่มาตั้ง ๒๐ ปีแล้ว โอ้โห ๒๐ ปีนี้ เราทำชั่วมาตลอดเลยนะนี่นะ เพื่อไม่ได้เอ็นดูใยดีอะไรเราเลย จะตายต่อหน้า เขาก็ปล่อยให้ตายหลัดๆ นอนตายมันเลย ถ้าเรามันชั่วขนาดนั้น ก็ต้องสมน้ำหน้า เราเอง ใช่ไหม

แต่ถ้าเราได้ทำดีเพื่อเขา ก็โอ้โหไม่ได้ถึงขนาดใจดำ เขาก็ช่วยก็เหลือเราอยู่ตามสมควร ก็ถือว่า ตามบุญ ตามกรรม ของเรา เพราะฉะนั้น ใครอยากให้คนช่วย ก็ไม่ต้องประจบ ประแจงหรอก ทำดีจริงๆ แล้วคนเรา มีปฏิภาณรู้ นี่มันประจบ นี่มันทำดีจริงๆ ทำไมคน จะอ่านไม่ออก เพราะฉะนั้น อยู่ด้วยกัน เราจะรู้กันดี นี่สิ่งเป็นสิ่งจริง ที่พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น สังคมแบบนี้แหละ อาตมาจะสร้าง เพราะฉะนั้น ช่วยกันในการศึกษา ในการสร้างเด็กรุ่นหลัง ด้วยตัวเราด้วย ต้องนึกถึงทายาท

ถ้าโลกนี้ไม่มีโพธิสัตว์โลกนี้ไม่สร้างทายาทต่อเนื่องออกไปเรื่อยๆ ศาสนาก็สั้น นี่คือหน้าที่ โพธิสัตว์ หน้าที่ลูกหลาน ลูกหลานจะต้อง ดูแลลูกหลาน แล้วจะต้องสร้างลูกหลานใหม่ การสร้างลูกหลาน ทางสัจจธรรม ไม่ใช่เป็นลูกหลาน ไม่ต้องไปแต่งงาน มาแต่งกับงาน โอ้โห มันจะใช้ภาษาอะไรกัน เก่งขนาดนี้ ไม่ต้องไปแต่งงาน จะมาแต่งกับงาน นี่พูดไม่ผิด งงไหม (ไม่งง) อะไรจะฉลาดกันขนาดนั้น เห็นไหม มันไม่ได้งงเลย มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเรื่องชัดๆ ภาษาไทย นี่เยี่ยมเลย ภาษาอื่นเขาจะเลิกซึ้ง ขนาดนี้หรือเปล่าไม่รู้นะ คำว่าแต่งงานนี่ เขาลึกซึ้งขนาดนี้ ภาษาไทยนี้ โอ้โหเยี่ยมจริงๆ พูดเป็น โลกุตระก็ได้ มาแต่งกับงานนี่ภาษาโลกุตระ ไปแต่งงานภาษาโลกีย์ เห็นไหมเยี่ยม แล้วเรา ก็จะมีสุข สุขสงบ สบายอะไรต่างๆ นานา พวกนี้ยิ่งดีจริงๆ ว่างสภาพที่มันจะเป็นสิ่งที่มีอำนาจ หรือมีฤทธิ์ มีพลังขับดัน ให้ก็เกิดไปถึงวิญญาณได้ สิ่งเหล่านี้แหละ คือลักษณะของพ่อ ของแม่ ที่จะทำเกิด สัตตา โอปปาติกา ทำให้เกิด สัตว์โอปปาติกะได้ เกิดเป็นอุปปัตติเทพ เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดา ที่อุบัติ จริงๆ ไม่ใช่สมมุติเทพ ไม่ใช่เทวดา รู้กันทั่วๆ ไปอย่างโลกีย์ เท่านั้น แต่เป็นเทวดาที่เกิดมี จุตูปปาตะ มีการเคลื่อนที่เกิดอุบัติขึ้นมา อย่างแท้จริง เคลื่อน จุติ จาก คือ เกิดโอปปาติกโยนิ จุติเกิดมาเฉพาะ จิตวิญญาณ จุติแล้วก็อุบัติขึ้นมา รู้จักการจุติ รู้จักการอุบัติ

จุติจะเรียกว่า การเคลื่อนก็ได้ จะเรียกว่าการตายจากอันนี้ แล้วมาเป็นอันนี้ก็ได้ อุบัติก็คือ เกิดขึ้นมาเป็น อุปปัติเทพ เทพ เทวดา ก็คือเจริญมาทางโลกุตระ ถ้าเทวดาสมมุติสัจจะ ก็ได้เสพโลกีย์ ได้มีลาภยศ สรรเสริญ ชื่นใจดี จิตคุณขึ้นสวรรค์ จิตคุณก็อยู่อย่างนั้น แยกให้ชัด โลกีย์กับโลกุตระ เพราะฉะนั้น ในอุปปัติเทพ จนกระทั่ง สุดท้าย เป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาวิสุทธิ เป็นเทวดาบริบูรณ์ สิ่งเหล่านี้ มีของจริง ธรรมะของพระพุทธเจ้า อกาลิโก พิสูจน์ได้ เอหิปัสสิโก ท้าทายให้มาพิสูจน์ได้ สันทิฏฐิโก เอาตัวคุณนั่นแหละมาพิสูจน์ ให้ได้มรรคได้ผล สันทิฐิโก โอปนยิโก เป็นดอกฟ้า ที่หมาวัดต้องเอาให้ได้ เป็นของสูงจริงๆ ธรรมของพระพุทธเจ้า

นี่คือการแปลพระบาลี ของโพธิรักษ์

เอาละอาตมาก็ขอยุติการแสดงธรรมเทศนา กันแต่เพียงเท่านี้ เอวัง


จัดทำโดย โครงงานทอดเทปธรรมะฯ
ถอด โดย กลวิชย์ ภาติยะกุล ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๔๖
ตรวจทาน ๑ โดย จิตสุภา รุ่งเรืองนานา ๒๓ สิงหาคม ๒๕๔๖
พิมพ์โดย ทีมงานคุณกัญญา ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ๑ ธันวาคม ๒๕๔๖
พิมพ์ออก โดย พ.ท.นารถ กองถวิล เมษายน ๒๕๔๗
เข้าปกโดย โดย สมณะ พรหมจริโย
เขียนปกโดย โดย พุทธศิลป์
หมายเหตุ อักษรสีจางนั้นคือ จับใจความในเท็ปได้ไม่ถนัด TCT 0458