ทางหลุดพ้นวังวนโลกีย์
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า วันที่ ๒๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๔๑
ณ สังฆสถาน ราชธานีอโศก


ถ้าเราไม่รู้ เราก็จะพัฒนาตามกระแสของสังคมที่พาเป็น ในสังคมมนุษย์นี่ มันจะหมุนเวียนเปลี่ยนไป ตามยุค ตามสมัย หมุนเวียนเป็นนานมาก มีมาก มีคนแต่ละยุค แต่ละสมัยนี่ จะต้องค่อยๆ เปลี่ยน ค่อย ๆ มีความเข้าใจ มีความรู้ หรือว่ามีความซื่อสัตย์ มีความร่ม เย็น หรือว่ามีความทุกข์ร้อน หมุนไป ตามยุคตามกาล เพราะฉะนั้น มันค่อย ๆ เลื่อนไป เป็นอย่างนี้อยู่ วนเวียนอีก ตลอดนานัปกัปกาล เหมือนกัน ตั้งแต่สังคมที่ร่มเย็นมาก คนมีคุณธรรม คนอยู่กันอย่างเย็น อยู่เย็นเป็นสุข มีความทุกข์ร้อน ก็น้อย มีกิเลสกันน้อย มีแต่พระอาริยะ โดยธรรม มีคุณธรรม มีวัฒนธรรม มีความเข้าใจ สิ่งที่ไม่เคยเป็น ไม่เคยมี อย่างยุคนี้ ยุคนี้นี่เกือบจะถึงกลียุคแล้ว ไอ้ความคดๆโกงๆ ความไม่ซื่อสัตย์ ความยึดถือ ไอ้ที่ มันไม่น่ายึดถือเลย รุนแรง โหดร้าย เลวทราม ต่ำช้า อย่างที่เป็นกันอยู่ อย่างทุกวันนี้ มีให้เห็นเยอะ ในสังคม

ในยุคในสมัยที่ไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ คิดไม่ออกว่าสิ่งเหล่านี้มี ในยุคอย่างนั้น คิดไม่ ถึงเอ๊ะ คนเราเป็นไปได้ ปานนี้ เรานึกออกไหม ว่าไอ้ที่คนเขาทำชั่ว ๆ ทำร้าย ๆ เลว ๆ นั่น เราพอได้ยิน พอเราได้รู้ข่าว โอ้โห คนมันทำได้อะไรกันอย่างนี้ มันทำได้อย่างไร นึกออกไหม ขนาดเราอยู่ในยุคนี้ เป็นอย่างนี้ ซึ่งมีกันมาก ไอ้ความเลวร้ายนี่นะ เลวทรามต่าง ๆ ความโหดร้ายทารุณอะไรก็แล้วแต่ นี่ ซึ่งเราเองนี่ จะนึกรู้สึกแปลก ใจว่า เรายังเห็นเหตุการณ์อย่างนี้ แล้วเมื่อเห็นเหตุการณ์อย่างนี้แล้ว เรายังสะดุดใจ ยังฉุกใจ อย่างนี้เลยว่า ทำได้อย่างไร ทั้งๆที่มันยุคเดียวกัน เราก็เกิดในยุคนี้ เพราะฉะนั้น ในยุคที่มันไม่มี สิ่งเหล่านี้เลย นั่นน่ะ เขาจะนึกไม่ออกเลย แล้วเขาจะนึกว่า มันไม่มีหรอก ในโลกนี้ คนเราเป็นอย่างนั้น ไม่มีในโลก คนอย่างนั้นไม่มีในโลก เพราะฉะนั้น เราจะเดาไปนี่ อาจจะเดาได้ยาก เดาไปไม่ถึงว่า สังคมอย่างนั้น มีด้วยหรือ มีน่ะ สังคมอย่างนั้น มีในยุคในกาล ที่ผ่านพ้นมา วนเวียนกัน ไม่รู้กี่ล้านปี มันก็หมุนเวียนอยู่อย่างนี้

มันจะค่อยๆ แปรมา แปรมา จากที่ดีมาก ก็ค่อยๆ ลดลงไป เสื่อม ไป ๆ ๆ จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ทุกวันนี้ ก็เสื่อมขนาดนี้ ยังจะมีเสื่อมไปกว่านี้อีก ผู้ที่ยังไม่มีบุญบารมีอะไร ก็จะไปเกิดในยุคนั้น ดีไม่ดี ก็จะไป ใช้หนี้บาป หนี้กรรมในยุคนั้นด้วย ฟังใหม่ตรงนี้ น่ะ ในคนในพวกเราก็ตาม บางคน ยังมีวิบาก ยังมีบาป มีชั่วมีอะไรอยู่อีก จะไปเกิดในยุคที่ร้ายเลวกว่านี้ ยุคเดี๋ยวนี้ ก็ว่าร้ายแล้วนะ ร้ายเลวไม่ใช่น้อยแล้ว แต่จะมี ร้ายเลวกว่านี้อีก แล้วเราก็ต้องไปเกิด ในยุคเหล่านั้น ตามวิบากของเรา บางคนอาจจะ ต้องไปใช้หนี้ ใช้เวรที่หนัก ที่มันตามทัน บาปวิบากที่จะตามทัน ที่จะต้องรับทุกข์รับร้อนนั้น ยิ่งกว่านี้อีก น่ะ แต่ก็บรรเทาได้เพราะว่า ศาสนาพุทธนี้รู้จักตัวแปร ตัวแปรก็คือกรรม กรรมที่เราจะทำเองนี่แหละ เป็นตัวแปร

ถ้าเราสั่งสมกรรมอย่างไร ถ้าเราทำแต่ชั่วมาก ใช้เวลาไปนี่ แต่ละเวลา เกิดมา แล้วเราจะมีอาการ ๓๒ ครบนี่ เราจะทำกรรมได้มากที่สุด เพราะว่าชีวิตของคนนี่ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ท่านตรัสเป็นภาษา ใหญ่นะ ท่านบอกว่า คนในชมพูทวีป ท่านตรัสว่าอย่างนั้น ทีนี้สมัยโน้น ก็พูดกันแคบ ๆ แค่ว่าชมพูทวีป คือ เมืองอินเดีย ความจริงนั่น เป็นความหมายของรูปธรรม จริง ๆ แล้วความหมายของนามธรรมนั้น ไม่ได้ไปยึดมั่น ถือมั่นที่รูปสถานที่เท่านั้นน่ะ สถานที่ที่เป็น อุตรกุรุทวีป หรือ ชมพูทวีป ทวีปที่จะปฏิบัติ ธรรมได้บรรลุ หรือว่าปฏิบัติพรหมจรรย์ได้ดีที่สุด ก็คือทวีปที่มีองค์ประกอบของ สัปปายะ ๔ ทวีป ที่มีองค์ประกอบด้วย สัปปายะ ๔ ก็คือ สถานที่ เสนาสนะสัปปายะ บุคคลสัปปายะ อาหารสัปปายะ ธรรมะสัปปายะ

สัปปายะก็คือ มีประโยชน์ มีคุณค่าดี มาเป็นภาษาไทย ก็คือสบาย สัปปายะนี่ มันแปลง จากบาลี มาเป็นไทยแล้ว อย่างเรียบร้อย ไทยก็ตีกินไปเลย เป็นภาษาไทยไปเลย ก็ คือคำว่าสบายนั่นเอง สัปปายะนี่ ถ้าจะพูดให้สั้นก็คือ สปาย ฟังแล้วน่ากลัวเลย สปาย ไปพ้องกับภาษาอังกฤษ โอ้โห สปายนี่ มันตัวน่ากลัวนะ ตัวจารบุรุษน่ะ สปาย ตัวจารบุรุษ ยิ่งน่ากลัวใหญ่ แต่มันเป็นภาษาไทยแล้ว สบาย คือ ทุกอย่างดีหมด สบายนี่ ทุกอย่างอยู่ในสภาพดี อย่างภาษานี่ อยู่ในภาษาลาว ก็มีสบาย ภาษาลาวนี้ ใช้คำว่า สบายนี่สูงส่ง ความหมายสูงกว่าคนไทย ภาษาลาวนี่ เขาทักทายกัน เขาทักทาย สบายดี ของไทยเรา ไปเอาภาษามาอีกตัวหนึ่ง เอาโสตถิ โสตถิ มาเป็นมาทักทายกัน คือ สวัสดี โสตถี มาจาก บาลีนี้ว่า มาเป็นสวัสดีน่ะ ทักทายกัน เลยเอาเป็นคำทักทายกัน สวัสดีน่ะ เป็นเชิงทักทาย แต่ไม่ลึก เท่าสบาย เหมือนไทยเรานี่ ว่าสวัสดีกับคำว่าสบายนี่ มันก็ไม่ลึกเท่ากัน เหมือนกับ สวัสดีนี่ เออ เป็นสุขสวัสดี ก็ปลอดภัย ก็เท่านั้นเอง เป็นเชิงง่าย ๆ เป็นเชิงตื้น นะ ปลอดภัย สวัสดีนี่เป็นอย่างไร ก็สวัสดี มันก็สะดวกดี รอดปลอดภัยดี อะไรอยู่เท่านั้นเอง แต่ สบายดีนี่ มันรวมหมดเลยน่ะ ภาษา ทางลาวนี่ เอาสบายดีไปทั่ว เป็นคำทักทายกันน่ะ สัปปายะ ๔ นี้ หรือสบายนี่ อยู่ในองค์ประกอบของ ทั้งสถานที่อยู่ ทั้งมีตัวบุคคล มีทั้งเครื่องอาศัย ทั้งนั้นแหละ ดิน น้ำ ลม ไฟ มีทรัพยากร วัตถุธรรมชาติ อะไร ต่าง ๆ นานา รวมหมดเลย อาหาร เครื่องอุปโภค บริโภค องค์ประกอบที่จะใช้อาศัย สำหรับมนุษย์ อาหารแล้วก็ธรรมะ ในองค์ประกอบ ๔ อย่างนี่แหละ เป็นองค์ประกอบของส่วนที่จะทำให้เกิด สิ่งที่ดี ที่สุด

แล้วยังมีซ้อนลงไปอีก ในชมพูทวีป มีท่านตรัสไว้ว่า ชมพูทวีปนี่จะต้องมี สูรา สติมันโต แล้วท่าน ก็ระบุไว้ชัดว่า อิธ พรหมจริยวาโส อิธะนี่ แปลว่า โลกนี้ โลกอย่างนี้ โลกที่มีสติมันโต มีสูรา ก็หมายความว่า มีความปรากฏ มีความจริงอยู่ อย่างสมบูรณ์ แข็งแรง กล้า แข็ง สุระ นี่มีความสมบูรณ์ ที่แข็งแรง เพียงพอ มีองค์ประกอบของความจริงต่างๆ จะเป็นรูปธรรม นามธรรม จะมีสมมุติธรรม มีปรมัตถธรรม พวกนี้ คือ เรียกว่าสัจจะก็ได้ สมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ มีความจริง มีความปรากฏ ขึ้นอยู่นี่ อย่างกล้าแข็ง กล้าดี แล้วทีนี้ก็ เจาะลึกลงไป ถึงตัวจิตวิญญาณนั้น เป็นสภาพที่มีสติน่ะ มีสติมันโต มีสติมีความระลึกได้ ระลึกรู้ ที่สามารถที่จะระลึก ระลึกรอบ ระลึกถึง ทั้งลึก ทั้งกว้าง ที่ระลึกได้ ที่ระลึกทั้งลึก ทั้งกว้าง ที่จะใช้สภาพของนามธรรม ที่เรียกว่าสตินี่ ได้สูงสุด สูงสุดขนาด เพียงพอ ที่จะทำให้เกิดการปฏิบัติ ในพรหมจรรย์นี้ ในธรรมวินัยนี้ จนถึงที่สุดแห่งพรหมจรรย์ได้ เพราะฉะนั้น คำว่า สูรา สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส นี่ หมายถึงตัวคน ซ้อนลงไปอีกทีหนึ่ง ในสัปปายะ ๔ ก็คือบุคคล สถานที่ น่ะนี่ อยู่ในอย่างเมืองไทย ขณะนี้ อาตมาถือว่า เป็นชมพูทวีป

เมืองไทยขณะนี้ ถือว่าเป็นชมพูทวีป เพราะประกอบไปด้วยสัปปายะ ๔ และมีคน บุคคลสัปปายะนี่ ซึ่งมี สูรา สติมันโต เพราะฉะนั้น อิธะ พรหมจริยาวาโส โลกนี้แหละ อย่างนี้แหละ สถานที่ภูมิประเทศ เป็นสิ่งแวดล้อมครบครัน นี่เมืองไทย ขณะนี้ จะว่าไปแล้ว ก็มีศาสนาพุทธ ที่สมบูรณ์ที่สุด พรักพร้อม ที่สุดน่ะ มีบุคคล ที่เป็นบุคคลที่มี สูรา สติมันโต พร้อม มีเครื่องอาศัย ทั้งอาศัยกิน อาศัยใช้ ทั้งอาศัย ศึกษาเล่าเรียน ทั้งองค์ประกอบที่จะสนับสนุน มีพลังงาน หรือมีพลังที่ลึกซึ้ง มีพลังแฝง มีทั้งพลัง ที่เป็น ทางวัตถุ พลังที่จะเอามาเป็นกระแสทางวัตถุนี่ พลังความร้อน แสง เสียง แม่เหล็ก ไฟฟ้า อะไรพวกนี้ เป็นพลังงานที่มีได้ และมีทั้งพลังแห่งนามธรรม ตัวนี้สำคัญ เพราะฉะนั้น คนในเมืองไทยนี่ พลังของความเป็นพุทธ เพราะไทยนี่ รับตัวเองว่า เป็นชาวพุทธ ใช่ไหม จะเป็นพุทธในยี่ห้อเฉย ๆ หรือว่า จะเป็นพุทธ มีความรู้ในพุทธมากหรือน้อย ก็ตามแต่ ในประเทศไทยนี่ คนเป็นพุทธ ๘๐, ๙๐ % นี่ จะมีความรู้สึก มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา ล้วนแล้วแต่นามธรรม ทั้งปวงนี้ มารวมอยู่ที่จุดคำว่า พุทธ ถูกน้อย ถูกมากก็ตาม สัมมาทิฐิมาก มิจฉาทิฐิมาก ก็ตาม ก็ยังย้ำลงไปตรงคำว่าพุทธ หวงแหนเลยนะ บางคนนี่ มิจฉาทิฐิร้ายกาจเลยนะ เป็นพุทธที่มีความเข้าใจศาสนาพุทธ เพี้ยนไป แปลก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ด้วยซ้ำ แต่ข้าก็พุทธวะ เพราะฉะนั้น จุดคำว่าพุทธนี่ จึงมีพลังอันหนึ่งที่สูงมาก ในประเทศไทย เป็นพลังงาน ทางนามธรรม พลังงานเหล่านี้ เป็นหนึ่งเดียวกันด้วย ถ้าเอาคำว่าพุทธ ก็เป็นพุทธ หนึ่งเดียวแล้ว เอาแต่คำว่าพุทธ จะอย่างไรก็แล้วแต่ อั๊วพุทธน่ะ ส่วนรายละเอียด ว่าจะถูกจะผิด เป็นมิจฉาทิฐิ สัมมาทิฐิยังไม่เกี่ยว อั๊วพุทธ เอ๊า ชาวพุทธ มารวมหัวกันมาเลย นี่อย่างนี้เป็นต้น พูดเป็น รูปธรรมให้ฟัง เป็นพุทธมาเท่านั้นเอง เป็นพลังรวมแล้ว ทีนี้ก็จะมีทั้ง ความเข้าใจจริง

อาตมาไม่ไปเกิดอินเดีย ปางนี้ไปเกิดอินเดียแล้ว บ่อมิไก๊ เพราะอินเดียนั่น มันทำไม่ขึ้นแล้ว พุทธน่ะ ทีนี้อาตมา จะมารังสรรค์ศาสนา หรือลัทธิอย่างนี้ ลัทธิอย่างที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สมณะโคดม ก็ตาม สมณะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ไหน ก็ตาม ก็อันเดียวกัน เหมือนกันแหละ เปลี่ยนแปลงแต่ องค์ประกอบ กับยุคสมัยเท่านั้นที่จะต้องทำงาน เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าองค์ไหน ก็มีเหมือนกัน ทิฐิเหมือนกัน ทั้งสิ้น จุดเป้าหมายสาระ สัจจะ เหมือนกันหมดทุกองค์ ต่างกันตรงที่ว่า องค์ประกอบ มันต่างกัน อย่างยุค ที่อาตมากล่าวนำมาว่า ยุคโน้นมีคนดีมาก แต่ก็เสื่อมลงไปพอสมควร แต่เสื่อม เราคิดไม่ออกหรอก เสื่อมลงไปพอสมควร จนพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ต้องมาอุบัติ เพื่อปรับ ให้ดีขึ้น เพราะทุกอย่าง เสื่อมไป แต่ก็มีผู้ที่มีฤทธิ์ มีแรงมาปรับ ให้ดีอยู่ตลอดมา ขนาดนั้น ก็ยังเสื่อม มาเรื่อย ๆ เพราะห้ามเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป ไม่ได้ ก็จะมีภาวะดีขึ้นไปช่วงหนึ่ง แล้วก็ลง ก็ซ้อนอยู่ นั่นแหละ ในกาละอันยาวนาน ก็ยังมีกาละในวงวัฏจักรที่ใหญ่ยิ่ง ก็ยังมีวงน้อย ๆ วงน้อย ๆ ซ้อนสัมพันธ์ ซ้อนกันอยู่ ซ้อนอยู่ไปเป็นสะพัดกันซ้อนไปอีก ไม่รู้กี่ชั้นน่ะ ทั้งกาละ

อาตมาถึงสรุปลงไปว่า คนนี่ ก็ดำเนินไปตามกรรม กับ กาละ ส่วนโลกนั้น ก็ดำเนินไป อย่างไอน์สไตน์ กล่าวไว้ ทุกอย่างมันก็ดำเนินไปด้วย space and time เขามาแปลว่า อวกาศ อาตมาว่า มันก็ไม่ค่อยครบ เท่าไหร่หรอก มันก็ภาษา คือเขาเอามาใช้ในภาษาไทย อวกาศ แต่ที่จริงมันประกอบด้วยทั้งหมด ในมวลของวัตถุทุกอย่าง กับกาละ ก็เอาเถอะ space and time ก็เท่านั้น ส่วนคนนี่คือ ประกอบกรรม กับ กาละ แล้วมันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ ไม่ว่ายุคไหนปางไหน มันก็ดำเนินมาเรื่อย ๆ ซ้อนมาเรื่อย ๆ น่ะ เพราะฉะนั้น มันมาถึงยุคของเรานี่ มันก็เกิดอย่างนี้ อยู่อย่างนี้อีก แล้วมันก็ดำเนินไปอีก คนก็จะต้อง คำนึงถึงกรรมนี่ไปอีก น่ะ

ถ้าเราเองเรารู้ว่า จุดสำคัญของเกิดมาเป็นชีวะนี่ มันไม่มีจบสิ้นลงไปได้ง่าย ๆ ก็ต้องเข้าใจว่า กรรม เป็นตัวแปร ที่เราจะทำให้ชีวิตนี่ เจริญขึ้น เจริญไปไหน คนเราไม่รู้ ตั้งแต่ปุถุชนนี่ ก็เจริญได้แค่ว่าดี สุข คำว่าสุข มีทั้งโลกียสุข แล้วก็โลกุตระสุข ทีนี้เขาไม่รู้จักโลกุตรสุข เป็นธรรมดาธรรมชาติ ของคน ที่เกิดมาจาก อวิชชา ยังไม่พบพุทธธรรม ซึ่งเป็นทางออกของชีวิต โลกุตระเป็นทางออกของชีวิต หรือ เป็นทางเจริญของชีวิต โลกุตระ น่ะ ศาสนาไหน ก็พยายามที่จะทำให้ดี แต่มันข้ามขีดโลกุตระมาไม่ได้ เพราะไม่เข้าใจ การทำลายอัตตา ไปอ่านหนังสือ นิยามแห่งชีวิต ให้ดี ๆ อ่านหลาย ๆ เที่ยว หลายคน อ่านมาแล้ว มึนมาหลายคนแล้ว อ่านมาแล้วบอก อ่านมาไม่ค่อยรู้เรื่อง น่ะ อาตมาไม่แปลกหรอก เป็น ธรรมดา ต้องอ่านไม่รู้เรื่องก่อนแหละ แต่คนอ่านรู้เรื่อง แล้วที่มีพื้นฐาน จะอ่านรู้เรื่องมาก น่ะ ถ้าคนอ่านแล้วรู้เรื่อง ก็แสดงว่าใช้ได้ อาตมาอ่านรู้เรื่องคนเดียว ก็แสดงว่า คนอื่นอ่าน ไม่รู้เรื่อง หมดทุกคนนี่ แสดงว่าใช้ไม่ได้น่ะ แต่นี่อาตมาอ่านก็รู้เรื่อง แล้วคนอื่นที่อ่านรู้เรื่อง รู้เรื่องมาก รู้เรื่องน้อย ลำดับลงไป ก็แสดงว่าใช้ได้ น่ะ ไม่รู้เรื่องเลย ก็ไม่ได้หมายความว่า เล่มนี้มันไม่ได้เรื่องเลย ไม่ใช่ มันได้เรื่องน่ะ แต่มันยาก เพราะฉะนั้น ชีวิต ถ้าเผื่อว่า เราไม่รู้ขีดของคำว่าโลกุตระ เราจะพัฒนาขึ้นไปสู่ อีกทิศหนึ่ง ทิศจะหลุด ออกไป

เหมือนกับโลกที่หมุนอยู่นี่ ถ้าเขาไม่รู้จักอำนาจของพลังดึงดูดของโลก ไม่รู้จักจุดที่จะออกไปจาก แรงเหวี่ยงของโลก รัศมีอำนาจแม่เหล็กของโลกนี่ เขาก็จะอยู่วนอยู่ในโลกนี่ เขาออกไปสู่นอกโลกไม่ได้ นี่เอานี่ space and time ฉันเดียวกัน kamma and time, kamma and time ถ้าไม่มีทาง ไม่มีความรู้ ที่จะรู้เข้าไป ในกรรม เพียงพอ เขาก็ออกจากโลกียะ มาสู่โลกุตระไม่ได้ ฉันเดียวกัน ถ้าไม่มีความรู้ใน space ไม่มีความรู้ใน time ออกไปสู่อวกาศข้างนอก ออกไปสู่จักรวาลอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้น ไอน์สไตน์ ค้นพบนี่ ทั้งกาล ทั้งจะย้อนกาลไปโน่นไปนี่อะไร ของ ไอน์สไตน์ เขาอธิบายกัน แหมนี่ เวลาถ้าจะย้อนไปเท่านั้น ๆ เดินทางออกไปข้างนอกแล้ว นี่ เวลาวาระ มันจะกลับเท่านั้นเท่านี้ มันอะไร เขาก็คำนวณกัน พวกคุณเคย ติดตามศึกษาบ้าง ก็คงจะพอรู้น่ะ

มันก็เป็นเรื่องของรูปธรรมของเขา ก็อันนั้นเหมือนกัน ทางนี้เขาก็ออกไป จากแรงดึงดูดของโลกนี่ สนามแม่เหล็ก หรือว่าวงโคจร แค่ในโลกลูกนี้ออกไป ไม่ได้ ออกลูกนี้ไปได้แล้ว เขาก็จะไป ออกจาก จักรวาลน้อย คือกลุ่มของดวงอาทิตย์ดวงนี้ กับดาวเคราะห์ ๙ ลูกนี่ ของเรานี่จะอยู่ดาวเคราะห์ ๙ ดวงนี่ เขาก็ออก ไปจากดวงนี้ ออกไปอีก สู่ space กว้างไกล ออกไปจากนี้ไปอีก ไม่ได้ ต้องศึกษา คำนวณ จะต้องหา แรงตัด แรงเหวี่ยงอะไรออกไป จากอันนี้ ออกไปสู่ space ที่กว้าง ไปสู่ทางช้างเผือก ก็ยังมี ซ้อนอยู่ในนั้นอีก ออกจากทางช้างเผือกนี้ ไปสู่แกแล็คซี่ใหม่อีกนี่ โอ๋ย ไม่ต้องพูด อีกตั้งยาวนาน นี่รูปธรรมน่ะ

ถ้าใครศึกษาเรื่องเกี่ยวกับพวกไอ้นี่มาบ้าง ก็ฟัง ก็คงจะเข้าใจ มันไม่ใช่ออกง่าย ๆ ฉันเดียวกัน ในคนนี่ ถ้าเราไม่รู้จักโลกียะ เราไม่รู้จักโลกุตระ เราไม่รู้จักเขตแห่งการที่จะวนเวียนอยู่ในวัฏจักรอย่างนั้น แล้วเรา จะออกมา โดยเข้าใจชัดเลยว่า เราจะใช้แรงอะไร แรงปัญญา กับแรงเจโต บอกแล้ว ตัวที่ควบคุมอยู่ใน ตัวเรา ตัวหนึ่งคือปัญญา เป็นตัวควบคุม การที่จะไปอย่างไร จะดำเนินชีวิต จะให้มันเดินทาง ไปอย่างไร จะควบคุมกรรม ให้มันทำกรรมอะไร ทีนี้จะทำได้มากหรือน้อย ก็มีเจโต มีความแข็งแรง ของจิต ที่จะทำได้ตามที่เรารู้หรือไม่ เราก็จะต้องสั่งสม เราก็ต้องฝึกฝนน่ะ ฝึกฝนสร้างพลังเจโต สร้างทั้ง ความลึกซึ้ง ความเฉลียวฉลาดของพลังปัญญาด้วย ๒ อย่างนี้ เท่านั้นแหละ เมื่อไหร่ก็แล้วแต่

ถ้าเราศึกษามา จนกระทั่งเข้าใจโลกุตระปัญญา ปัญญาเข้าใจโลกุตระ เข้าใจว่า โลกโลกุตระนั้น อีกอย่างหนึ่ง โลกีย์ก็สุขอย่างโลกีย์ แล้ว มันไปด้วยกันสุขกับทุกข์ มันก็โลกีย์ มันก็สุข ๆ ทุกข์ ๆ อยู่ อย่างโลกีย์ นั่นแหละ แล้วมันก็ดีอย่างนั้นแหละ แต่ก็ไม่มีทางออกจากความดี ความชั่วนั้น วนอยู่ในนั้น เป็น ๒ ด้าน โต่ง ๒ ด้านเสียอีก ทำทดแทนกันไป ทดแทนกันมา อยู่อย่างนั้นแหละ วนเวียนอยู่อย่างนั้น เป็นสภาพวนเวียน จึงเรียกว่า วัฏสงสาร หมุนวนอยู่อย่างนั้นล่ะ เอร็ดอร่อย รู้สึกเป็นจริงเป็นจัง รู้สึกว่า ชีวิตมันต้อง อยู่กับความมัน ความอร่อย ความอัสสาทะ ความเป็นรสของโลกีย์ อย่างนี้ ๆ จนเรามารู้ว่า โอ๊ ไอ้รสอย่างนี้นี่ มันมีเหตุ ก็คือกิเลสหลง กิเลสไม่รู้จริง อวิชชา โมหะ เราก็ต้องพยายาม มาศึกษาว่า ลองเลิกซิ เลิก เรียนรู้ ฝึกฝน เลิกรสอร่อยขนาดนี้ ไอ้ที่เขาว่าอร่อย เขาว่าสุข เขาว่าเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรต่ออะไร เลิกออกมา มีตัวอย่างน่ะ มีต้นแบบที่เราจะศึกษา ละ ลด หลุดออกมา จับกิเลสอันนั้น ให้ชัด

เรื่องใด ที่เราติดเรายึด ก็ชัด เราก็จับกิเลสเรามาฝึกดู ลดละจางคลายออกมา จนกระทั่ง มันไม่มี ไม่มีแล้ว เป็นอย่างไร มันไม่เกิดอาการที่จะไปอยาก อยากจะไปได้มาเสพ เสพแล้วก็สุข สมใจ เป็นอาการ บำบัด บำเรอสิ่งที่อยาก แล้วก็ได้สมใจอยาก ก็เอร็ดอร่อยไป สุขไป โลกียรสเป็นอัสสาทะ อย่างนั้น เอ๊ มันไม่มีแล้วนี่ เราฝึกไปแล้ว จนกระทั่งมันไม่มี ไม่มีต้นเหตุ ไม่มีสมุทัย ไม่มีตัวที่อยาก แล้วก็ บำเรอสมอยาก แล้วก็เกิดเป็นรสอร่อย เรียกว่า โลกียสุข ที่มีสุขโลกีย์ ว่างจากสุขโลกีย์ ต้นเหตุ คือทุกข์ คือสมุทัย คือตัวกิเลสอันนั้น ก็ไม่ปรากฏในใจ เราก็ว่าง ว่างทั้งต้นเหตุ ว่างทั้งสมุทัย เป็นนิโรธ เราก็อ่าน อาการนิโรธนั่น ดูซิว่า ไอ้วิมุติรส หรือนิโรธ รสของวิมุติ รสของความหลุดพ้นออกมา จากไอ้โลก ที่หมุนเวียนแต่ก่อนนี้ เราก็เสพอยู่ อย่างนั้นแหละ สุข ๆ ทุกข์ ๆ ทุกข์ ๆ สุข ๆ สุข ๆ แล้วก็ทุกข์ ทุกข์ ๆ แล้วก็สุข สุข ๆ แล้วก็ทุกข์ อยู่อย่างนั้นแหละ จนออกมาได้แล้ว ไอ้ว่าง ๆ รสว่าง ๆ อย่างนี้ รสที่หลุดพ้น ออกมาอย่างนี้ เป็นรส เป็นธรรมรส เป็นวิมุติรส อย่างนี้ มันเป็นอย่างไร

คุณก็เลือกเอาว่า มันดีกว่าไหม เราไม่ต้องไปติดไปยึด ไม่ต้องไปหลงดี หลงไม่ดี อะไรกับมัน ไม่ต้องไป หลงสนุกสนาน ไม่ต้องไปเป็นรสอะไรกับมันแล้ว มันก็ไม่เห็นเป็นอะไร มันดีกว่า มันก็ไม่ได้เป็นภาระ มันเบา มันว่าง มันหลุด คนติดอยู่ก็คือคนติดอยู่ แต่ก่อนนี้เราเคยติด ก็ติดอย่างนั้น ตอนนี้ เราก็ไม่ติดแล้ว เราก็ไม่เห็นเป็นอะไร เราก็มีพลังงานเหลือ มีเวลาเหลือ มีทุนรอน แต่ก่อนนี้ก็ โอ้โห ยิ่งไปเสพ ไปติด น่ะ อย่างคนติดฝิ่น อย่างนี้ ต้องเอาแต่เงินไปซื้อฝิ่นมาสูบ คนติดกัญชา ติดเฮโรอีน ติดเครื่องแต่งตัว ถูกเขาหลอก เขาหลอกอะไรมา ก็เอาไปซื้อแต่เครื่องแต่งตัว ติดอะไรก็แล้วแต่ ติดบ้านใหญ่ เรือนใหญ่ ก็ไปซื้อจริง ๆเลย บ้าน ซื้อใหญ่ ซื้อตบแต่ง ซื้ออะไรต่ออะไร มากมาย ซื้ออะไร ก็แล้วแต่ เขาหลอกว่าอะไร เขาหลอกว่า เพลงนี้เพราะ ก็ไปซื้อแต่เพลงไอ้บ้า ๆ บอ ๆ โอ๋ อีคนนี้ มันร้องดี ติดไอ้นักร้องคนนี้ ไม่รู้มันจะร้องบ้า ร้องบอ อะไรมาข้าซื้อหมด ซื้อมันมาฟังอยู่นั่นแหละ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็ติด โลกมันก็ปรุงแต่งมาหลอกเรา เราก็ไปกับมันตลอดเวลา

เอ๊ ถ้าเราหลุดพ้นออกมาแล้ว มันก็ไม่เห็นจะโหยหา ไม่เห็นจะทุกข์ร้อนอะไร ไม่เห็นจะต้องมีความ สำคัญอะไร ย่นย่อเข้ามาหาปัจจัยสำคัญ จนปัจจัย ๔ เป็นหลักขนาดปัจจัย ๔ นี่นะ ถ้าเราไม่นุ่งผ้านี่ ตายไหม ถ้าเราไม่มีบ้านเรือนเลยนี่ อยู่ได้ไหม ถ้าเราไม่มียารักษาโรคนี่ เราอยู่ได้ไหม ถ้าไม่เจ็บป่วย เราไม่ได้เจ็บป่วยทุกวัน ใช่ไหม ถ้าเราไม่มีอาหารกินเข้าไปท้องเลยนี่ จะตายไหม จริง ๆ มันมีปัจจัยเดียว สำคัญที่สุด ปัจจัยเดียว ในปัจจัย ๔ นี่ อาหาร ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม เห็นไหม ปัจจัยเดียว ที่สำคัญที่สุด

พระพุทธเจ้าถึงบอก ว่าอาหารเป็นหนึ่งในโลก น่ะ ปัจจัยเดียว ถ้าไม่มีข้าว ไม่มีอาหารที่จะกิน ไม่นานตาย ตาย แล้ว ป่วยก็ไม่ป่วยทุกวัน เพราะฉะนั้น ยารักษาโรค มันไม่ได้ป่วยทุกวันเลย คนเราไม่ ได้ป่วย ง่าย ๆ ว่ากันจริงเลยนะ ยาจะรักษาโรค เป็นโรค ก็จะไม่ตายทันที บางโรคนาน ทรมาน โอ้โหย ไม่ตายสักที บางโรคนี่นะ หือ พวกสัตว์เดรัจฉานนี่ มีปัจจัยหนึ่งอาหาร มันไม่นุ่งผ้า มันไม่ต้องมีที่อยู่ ยารักษา มันบางทีมันก็ไม่รู้จัก บางทีมันก็รู้เหมือนกันแหละ มันก็กินอาหารนั่นแหละแทนยา มันกินบ้าง มันก็รู้ เท่าที่มันรู้ มันก็เท่านั้นเองน่ะ เพราะฉะนั้น พวกสัตว์เดรัจฉานนี่จะป่วยน้อย เพราะจิตวิญญาณ ไม่เหมือนมนุษย์ มนุษย์นี่จิตวิญญาณ พาป่วยมากกว่าสัตว์ เพราะโง่กว่าสัตว์ตรงนี้ ไปยึดอะไรมากมาย ยึดมาก ก็เลยโรคมาก ติดยึดมากโรคมาก เดี๋ยวนี้มีโรคที่สัตว์มันไม่รู้ คือโรคเครียด สัตว์มันไม่รู้เรื่อง ไอ้เครียดคืออะไร

อาตมายังไม่รู้เรื่องเลยว่าเครียดคืออะไร พยายามสมมุติตามพวกเราไปเท่านั้นเองว่า เครียดมันคง จะเป็นอย่างนี้ละนะ แต่ว่ามันเป็นอย่างไร เครียด ไม่รู้ อาตมาไม่เคยเครียด เครียดมันเป็นอย่างไร ยังไม่เคยรู้ รู้เรื่อง แต่เขาก็เดี๋ยวนี้มัน โอ้โห ฮิต จังเลย เครียด น่ะ ก็คือจิต เพราะฉะนั้น คนนี่จิตเป็นเหตุ แห่งการเป็นโรค เยอะกว่าสัตว์เดรัจฉาน เยอะกว่ามาก สัตว์เดรัจฉาน มันจะเป็นโรค ก็มีเชื้อโรคเข้าไป ก็เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นคนเรานี่ ถ้าเผื่อว่าเข้าใจ ปัจจัยสำคัญแล้ว เราก็จะลดมาได้เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า ย่นย่อมาเหลือปัจจัย ๔ เอาละ ทุกวันนี้ เราจะแก้ผ้ามันก็ไม่ได้ ไม่มีบ้านเรือน เป็นของตัวเอง เป็นคนจรจัด จะถูกจับ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น น่ะ

ยารักษาโรค ไม่ต้องพูด ป่วยมันก็ต้องใช้ยากันมากมายแหละ ทุกวันนี้ ก็เลยปัจจัย ๔ ที่จริงปัจจัย มันก็มีสำคัญกว่านั้นไปอีก ทุกวันนี้ มันมีบริขาร เครื่องประกอบที่จะต้องยังชีวิต มาถึงยุคนี้แล้ว มันก็จะว่าไปแล้ว มันก็มีอื่น ๆ อีก ที่สำคัญ อาตมาก็ยังไม่กล้าระบุลงไปว่า อะไรเป็นปัจจัยที่ ๕

อะไรที่จะอยู่ ในแขนงไหนของคน จะใช้แขนงไหน ที่จะอาศัยเป็นประโยชน์ถือว่า ปัจจัยที่จากศีล ไม่ใช่ชีวิต แต่เป็นประโยชน์ ที่ชีวิตของผู้นั้น จะพึงใช้เป็นประโยชน์ แก่ผู้อื่นไปได้มากขึ้น อันนั้น น่าจะเรียกว่า ปัจจัย สำหรับตัวเองแค่ ๔ นี่ ก็ไปแล้วอยู่ได้เรียบร้อย พอเพียง เพราะฉะนั้น อย่างอื่น ๆ นี่ มันเกินกว่านั้นไปอีก มันเฟ้อ แต่เราก็ไม่ถึงขั้นที่เรียกว่า แหม มันสุดโต่งไปมาก จนกระทั่งคนอื่น เขาจะต้องมี ต้องเป็น เราก็ไปเที่ยวได้ว่าเขา ไม่ข่มเขา ไปอะไรเขาไปเสียทีเดียว ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เราก็รู้ว่า เออ เขาก็คงต้องอย่างนั้น แต่เราก็จะต้องมีศิลปะ มีศิลปวิทยาที่จะให้เขารู้ว่า สิ่งนี้ลองเลิกดูซี ละดูซี เลิกละ แล้ว จิตว่างออกมา อย่างที่เราพูดนี่ จิตมันหลุดพ้นออกมานี่ โอ้โฮ คุณเห็นด้วยปัญญา ของคุณ นี่นะ เรียกว่าญาณ ถ้าขั้นเห็นความหลุดพ้นเป็นดี เป็นโลกุตระ หลุดพ้นออกมาจาก โลกโลกีย์ อย่างนั้น ในอัสสาทะอย่างนั้น รสอร่อยอย่างนั้น หรือสิ่งที่เราจะต้องแสวงหามา บำบัดบำเรอตนเอง แล้วก็นึกว่า ชีวิตจะต้องมีอย่างนั้น ถ้าไม่มีอย่างนั้น มันเหมือนมันขาด ขาดๆ โอ๊ มันขาดไปเสียได้ กลับดี อ้อมันขาดไปแล้ว หลุดไปแล้ว กลับดี โลกุตระก็คือ มันจะรู้สึกว่า การหลุดพ้น การขาดมาได้นี่ดี การไปมีอยู่นี่ โอ้โหเป็นภาระ เป็นเรื่องต้องเสียแรงงาน ต้องเสียเวลา ต้องเสียทุนรอน น่ะไป กับไอ้สิ่งอย่างนั้น สำหรับตน

ผู้ใดที่หลุดพ้นออกมาจากอะไรได้ ผู้นั้นก็หมด ไม่ต้องใช้แรงงาน กับสิ่งเหล่านั้น แม้แต่ความแรง ทางสมอง แรงทางความคิด ไปคิดอาลัยอาวรณ์กับมัน ไม่ต้องแล้ว ตัดขาด พลังงานแค่อาลัยอาวรณ์ มันก็เป็นพลังงานนะ กินแคลอรี่นะ ตัดขาด ไม่ต้องไปเปลืองอะไรกับมันเลย ไม่ต้องเสียทุนรอน แม้แต่เศษเสี้ยว ของเงินสักครึ่งบาท ก็ไม่ต้องไปเสียเงินเสียทองอะไรกับมัน ไม่ต้องเสียเวลากับมันเลย เวลานี่ ได้เปล่า ไม่ต้องเสียเวลาอะไรกับมัน จะต้องมาให้แก่ตัวเองเลยน่ะ กันสภาพที่ว่า พลังแรงงาน แรงงานทางกาย กับแรงงานทางสมองทางความคิด แม้แต่ทางจิตวิญญาณน่ะ ไม่ต้องเสียทุนรอน ไม่ต้องเสียเวลา กับมันเลย หลุดพ้นออกมาได้เลย แล้วมันเบา ว่าง ง่าย สบาย มันมีอยู่ในโลก เดี๋ยวนี้ยิ่งมีมาก ปรุงแต่งกัน โอ้โหย ปรุงเครื่องปรุงโฉมขึ้นมาอีก อย่างนี้คนหมดนิยมแล้ว ปรุงเครื่องใหม่ จากไอ้หลังอันเก่านี่ ปรุงเครื่องใหม่เข้ามาอีก มอมเมากัน ต่อ ๆ ๆ ๆ ๆ ไม่หยุดยั้ง นอกนั้นก็คิด ไอ้สิ่งใหม่ให้มอมเมาอีก เมากันไปอีกน่ะ

ตอนนี้กำลัง แหมมีความหวังที่ดวงจันทร์ มีน้ำ เพราะฉะนั้น จะต้องไปอยู่ได้ ตอนนี้ กำลังคิด ตอนนี้อเมริกัน ให้ทุนไปที่จะให้ไปวิจัยเรื่องดวงจันทร์ ที่ไปเจอ ไอ้อะไรมันถ่ายรูปมาให้บอกเลย โอ้โห มันเคยมีน้ำ ในที่ดวงจันทร์นี่ เมื่อมีน้ำนี้ ชีวิตอยู่ได้ เพราะฉะนั้น ก็จะจองแล้วนี่ ตอนนี้อเมริกาก็ทำ ดวงจันทร์นี่เป็นของฉันนะ เพราะฉันไปเหยียบมาก่อน ขึงพืดแล้วตอนนี้ บอกว่าดวงจันทร์นี่ เป็นของฉันนะ มันบ้ากันจริง ๆ นะนี่ มันของฉันนะ ดวงจันทร์นี่ของฉัน อีกหน่อย เหมือนกับสงคราม เหมือนสตาร์วอร์ ที่จะต้องยึดโลก ยึดดวงดาว แต่ละดวง ๆ กัน เป็นสตาร์วอร์ มันเข้าเค้านะ เข้าเค้า อีกหน่อย มันจะยึด สตาร์วอร์ มันจะยึดไอ้ดวงจันทร์กัน ยึดโลกแต่ละดวง ดวงดาว แต่ละดวงกัน เอ้าเอ็งยึดกันเข้าไป แย่งกันเข้าไป เอ็งไม่ตายก็คือไม่ตาย เอ็งจะยึดดวงไหนเป็นของเอ็ง เอ็งยึดไปเลย ชีวิต มันจะยาวนานแค่ไหนน่ะ มันจะไปยึดดวงจันทร์ เป็นโลกเป็นดวงดาวเป็นของข้า โอ้โห อาตมา เคยนึก แหม เราได้เกาะสักเกาะหนึ่งก็ดี ไม่ต้องไปนึกถึงดวงจันทร์สักดวงหนึ่งหรอก ได้สักเกาะหนึ่ง แล้วเราก็ไปอยู่ของพวกเรานี่นะ เออ อย่างพวกเรานี่ เกาะนี้ตัดโลกทิ้งไปเลย โลกอื่น ๆ สังคมคนอื่น ๆ ไม่เกี่ยว อยู่ของเรานี่อย่างวัฒนธรรมของเรานี่ ทำกิน ทำใช้ โลกอย่างที่อาตมาพาอยู่นี่นะ ตัดไปเลย อาตมาเคยคิดนะ โอ้โหมันเบานะ คือความมักง่ายน่ะ มันเมื่อยน่ะ มันก็คิดไป มันก็เมื่อย ทำงานนี่ มันเมื่อย มันเมื่อย ก็คิดอย่างนี้ละนะ เกาะ แล้วก็หอบพวกเราไปอยู่เกาะนี่ อยู่กันไปอย่างประสาเรา วัฒนธรรม ของเรานี่ อยู่มันอย่างนี้ รับรองพวกเราไม่ทุกข์ร้อนน่ะ สบาย

แต่ทีนี้เราอยู่ที่นี่ เราจะไปตัดมันก็ไม่ได้ เพราะมันซ้อนอยู่ มันก็ต้องอยู่กับเขา กฎหมายก็ครอบหัว วัฒนธรรมก็ครอบหัว อะไรก็อยู่ ต้องอยู่อย่างนี้ ไปไหนก็ไม่รอด แค่นี้ไม่พอนะ คนไทยเอง ก็ไปเอา วัฒนธรรมชาติอื่น ไปเอาอะไรมาครอบหัวเราซ้อนอีกนะ คุณว่าคุณไม่เอา แต่เขาเอามาซ้อน เข้ามาครอบคุณอยู่ ตลอดเวลา เชิงคิดดูซิ เมื่อวานนี้ถกกันนะ ต้องคิดสากลสิ ใช้ทำไม สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ เอาไปใช้ทำไม ต้องเอาตนเอง ไม่รู้ว่าเขาคิดอัตตา หรือเขาถูกครอบงำ จากอันนั้นนะ เขาพูดน่ะ เมื่อวานนี้ อาตมาพูดให้ฟัง ขออภัย นินทาเขาให้ฟัง เขาวิจัยเมื่อวานนี้ ทำไมต้องไปเอา ของเขามาใช้ คิดของตัวเองเลยสิ ไม่รู้ว่าเขาหยิ่ง ผยอง หรือว่าตัวเองถูกครอบงำจากเขา ไปตัด จะว่าตัด หรือว่าเชื่อมยังไม่รู้เลย คุณคิดดูดี ๆ สิ เขาตัดหรือเขาเชื่อม

ถ้าอาตมาไม่มีปัญญา ที่จะอธิบายให้เขาเข้าใจ ยังไม่หยุดหรอกนะ เมื่อวานนี้ โอ้โฮ อาตมาต้องยก กาละ ตั้ง แหม อธิบายตั้งถึงย้อนกาลไปเท่านั้น ร้อยปี พันปีมาประกอบเป็นองค์ประกอบอธิบาย ให้เหตุผลอะไรต่าง ๆ เขาถึงค่อยพอเข้าใจ พอที่ จะ มันก็ต้องเชื่อมกันสัมพันธ์กัน เรายืมเขามาใช้ ยืมมาใช้ แต่เราว่า มันมีอะไรในนั้นอีก เขาติดสมมุติ คำว่าสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ เท่านั้น เขาติดอยู่ตรงนั้น แล้วทำเป็นหยิ่งผยอง ไปเอามาใช้ทำไม แต่ความจริงแล้ว สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ คุณไม่ต้องเรียกชื่อ ก็ได้ คุณเรียกชื่อมา ฉันก็เรียกตามเท่านั้นเอง แต่ในสังคมศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์นั้น มันมีลึกกว่านั้น เอ็งรู้หรือเปล่าว่าเอ็งไม่มีรู้จักอุตุนิยาม พีชนิยาม ในมนุษยศาสตร์ ใน สังคมศาสตร์ เอ็งรู้หรือเปล่า เอ็งไม่รู้ กรรมนิยาม มันลึกกว่านั้น โอ้โห อาตมาต้องใช้วิธีการ กว่าจะอธิบาย ให้เขาพอฟังรู้เรื่อง พอเข้าใจ ต้องจำนนก่อน เมื่อรู้เข้าใจจริง เถียงไม่ออก หรือว่าเข้าใจ ก็ไม่รู้ เขาจะเถียงต่อละ เอ๊ะจะเถียงอย่างไรวะ อาจจะอย่างนั้นก็ได้ หรือว่าเข้าใจดีแล้ว ก็เลยเถียงไม่ได้ ยังไม่รู้เหมือนกัน เมื่อวานนี้ เท่าที่หยุด ที่อาตมา อธิบายให้ฟังไปน่ะ อย่างนี้เป็นต้นน่ะ เอาละ มันก็ใช้ สิ่งสื่อแทน ก็คือภาษาหรือว่าอะไรต่ออะไรที่โลกรู้ร่วมกัน กับตัวเรารู้สิ่งที่มันพูดออก เป็นภาษาไม่ได้ หรือ สื่อออกมาเป็นสมมุติไม่ได้ เราก็รู้ อันหนึ่งเราสื่อได้ ก็เอามาสื่อกัน สื่อกันไม่ได้ก็รู้ เพราะฉะนั้น ในชาวอโศกเรา นี่ สิ่งที่สื่อกันรู้เป็นภาษาสื่อ เป็นรู้เป็นนัย ๆ เป็นท่าทีลีลาอะไร เราก็รู้กันแล้ว ก็สื่อออกมา เป็นรูปธรรม ให้รับกันได้

ส่วนนามธรรมที่ไม่รู้นี่ อาตมาว่าพวกเรานี่รู้เป็นนามธรรม เราก็พูดไม่ออก แต่เราก็เข้าใจนะ อีกคน เขาก็เข้าใจ แต่ต่างคนต่างพูดไม่ออก แต่เข้าใจแล้ว เอออันนี้แหละใช่ ใช่ อย่างนี้ แต่เราพูดไม่ออก นี่เป็นนามธรรม มันก็มีอยู่น่ะ

เอาละ ประเดี๋ยวมันจะขยายความ มันจะรก มันจะมากเรื่อง ก็มาตัดเข้าหาโลกุตระกับโลกียะอีก ให้ชัดๆ คนในโลกไม่รู้จักโลกุตระ ไม่รู้จักไอ้ที่จะวนอยู่อย่างนั้น ก็โลกียะ คุณวนอยู่อย่างนั้น คุณออก ไม่พ้นหรอก อยู่ในวัฏจักร อยู่ในวงโคจร อยู่ในสนามแม่เหล็ก คุณอยู่เท่านี้ คุณออกไปจากนี่ไม่ได้เลย นั่นคือ โลกียะ ส่วนโลกุตระนั้น รู้จักทางออก เป็น อลมริยญาณ เป็นทางของคนประเสริฐ อลมริยญาณ เป็นทางของคนประเสริฐ ที่เป็นทางออกไป สู่ความประเสริฐ สู่โลกุตระนั่นเอง เพราะฉะนั้น เรามารู้จัก การหลุดพ้น จากวังวนของจักรวาลน้อย ๆ โลกเล็ก ๆ ที่คุณไปติดมา อาตมาเอาย่อมาให้ทำ

คุณติดบุหรี่ คุณติดเหล้า คุณติดลิปสติก คุณติดอาหาร ไอ้ไม่น่าไปกินเลยอย่างนั้น เลอะ ๆ เทอะ ๆ บ้า ๆ บอ ๆ อาตมาเชื่อว่าพวกคุณอยู่ในที่นี้นี่ คงไม่มีจิตอย่างหนึ่ง คุณกล้ากินสมองลิงไหม อย่างนี้เป็นต้น คุณไม่กล้าแล้ว แต่บางคนนี่ โอ้โหย มันน่าลองชิบเป๋งเลยวะนี่ สมองลิงนี่ ไม่เคยกิน แหม มันน่าลอง เขาจะรู้สึก อย่างนั้นจริง ๆ แต่เรารู้สึกไม่ไหวแล้ว นี่คือเราหลุดขาด เรารู้สึกไม่ไหว เราไปกินสมองลิง กินอย่างไรเข้าไปได้เว้ย กินสมองลิง หรือกินอะไรต่ออะไรก็แล้วแต่ ที่มันเลอะๆเทอะๆ ที่เขากินพิเรนๆ

อาตมาขออภัย จะขอออกชื่อคน คนหนึ่งน่ะ ชอบกินของพิเรน เท่าที่อาตมาเคยคบหามา แล้วก็เคยรับรู้ พระองค์เจ้าใหญ่ ... กินทุกอย่างที่พิลึกที่สุด ชอบด้วย แปลก อาตมารู้ คนรู้จักคนมาก็อื้อหือ องค์นี้นี่ อะไรเว้ยมนุษย์ แต่ตอนก่อนรู้จักกันนี่ อาตมาก็ยังไม่รู้อะไรมาก อาตมายังพึ่งจะอายุ ๒๐ กว่านี่ ก็รู้จัก ละนะ รู้จักท่าน แล้วก็รู้จักว่า ท่านมีพระนิสัยอย่างนี้ ว่าง ๆ ท่านจะต้องสะสม ต้องให้คนไปหา ของแปลก ๆ มาดองไว้ มาเก็บ มาอะไร แล้วก็กิน แหม ทำไมถึงชอบกินของพรรค์นั้น อาหารกินนี่แหละ เอามากินนี่แหละ กินได้ประหลาด ๆ อาตมาว่าเออ คนนะ ไอ้เรากินไม่ลงแน่ ๆ นี่อย่างนี้เป็นต้น ก็ยกตัวอย่างให้ฟัง มันเรื่องเล็ก ๆ น่ะ แต่ว่ามันก็เรื่องดูมันก็เรื่องชัด เรื่องชัด ๆ มายกให้เห็นชัด ๆ เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่เรารู้สึกไปแล้วนี่ มันไม่ติด

อย่างอาตมาเคยอธิบาย ยกตัวอย่างตัวเอง อาตมาสูบบุหรี่ไม่เป็น เอ๊ ทำไมเขาติดบุหรี่ เราไม่แมน เลยเว้ย ดูดยาไม่ แหม หัดดูด นี่ แต่ก่อนนี้ ให้เขาไปซื้อมานะ เขาบอกดูดบุหรี่ไทย มันไม่ติดหรอก ต้องดูดบุหรี่ฝรั่ง อาตมาก็โอ้โห บุหรี่ฝรั่งมันแพงนี่หว่า ขวัญดี เขาทำงานอยู่กับฝรั่งนั่นนะ ตอนนั้น บอกว่า ซื้อมาให้พี่หน่อย เขาก็ซื้อเอ็กซ์ เพรส ไอ้ ๕๕๕ มา ใส่กระป๋องมา ในราคาสตาร์ท ในราคา ไอ้พวกนั้นมันซื้อ พวกไอ้ฝรั่งเมืองไทย มันก็ซื้อของ ของมันราคาถูกๆ มาเราก็มาซื้อ ไอ้กระป๋องหนึ่งนี่ เราสูบไม่กี่มวนหรอก แจกเพื่อนเสียเยอะ หัดสูบ สูบ สูบจนโอ๊มันก็ไม่ติด สูบอย่างไรก็ไม่ติด แต่แอ๊ค สูบไป จนกระทั่งสูบได้ แอ๊คได้ แต่รู้ลิมิทตัวเองนะ คือสูบมากกว่านี้แล้วเอ็งแย่ มึนหัวแน่ เราก็ได้ แค่นั้นละนะ เราก็ทำแอ๊คสูบบุหรี่ แอ๊คกินเหล้า กินเบียร์ ไปตามเรื่องตามราว แล้วมันก็ไม่ได้ อร่อยอะไร เราก็รู้สึกจะหลง ๆ เหมือนกันนะ หลง ๆ ว่าอร่อย มันหลง ๆ กับเขาไปว่า เออ เหล้าดื่มอย่างนี้มันอร่อย ทำเป็นหลง ๆ อย่างไรก็ไม่รู้นะ

แต่พอมาทางธรรม พอถึงเวลาจะมาทางธรรม ว่า เอ๊ เราไปบ้าอะไร มันก็โยนโครมเลย มันไม่ได้ติดหรอก มันไม่ติด พอว่าทิ้งก็ทิ้ง มันไม่ได้ติด มันไม่ได้ยากอะไร เรื่องนั่น เรื่องนี่ ทิ้งก็ทิ้ง เรื่องฟง เรื่องแฟน เรื่องโน่น เรื่องนี่ ก็พอรู้สึกตัว เหมือนกับคนตื่นน่ะ อาตมาถึงบอกว่า มันเหมือนคนเมา ลิงลม อมข้าวพอง ที่ถูกโลกีย์มันครอบงำ เราก็ไปกับเขา เหมือนอร่อยไปชั่วคราว เหมือนรสอัสสาทะมันมี แต่พอรู้สึกตัวแล้วสิ่งที่มัน เราไม่ได้มีเชื้อ อันใดตัดขาดแล้ว หรือเราสลัด รู้ตัวปั๊บ อื๊ย ไอ้นี่ก็ไปหลงเปื้อน อะไรมา มันจะชัดแล้วมันก็หลุดง่าย นั่นคือ บุญบารมี นั่นคือสิ่งที่เราเป็น เรามี ใครมีมากมีน้อย ก็รู้ตัวเอง ก็แล้วกัน โอ๊ อันนี้นึกว่าเราไปติด แต่อันไหนที่เรายังติดอยู่นั่นน่ะ รู้ตัวเองว่า ต้องทำออกให้ได้ ทำให้ ขาดสนิท ทำให้เหมือนสิ่งที่ ไอ้บางอย่างเราขาด เราบอกโอ๋ยไอ้นี่ง่าย คนอื่นเขาบอกว่า ยาก ยากก็เรื่องของเขา ตัวใครตัวมัน ใครไปติดอะไร คนนั้นก็ติดอันนั้น ใครไม่ติดอะไร ก็คือคนนั้นได้ฟรี ได้มาแล้ว เพราะฉะนั้น สิ่งที่หลุดพ้นโลกียะ ที่ถือว่าเป็นรส เป็นอัสสาทะ เป็นอร่อย ๆ พวกนี้นี่ เข้าใจ อัสสาทะให้ได้ว่า รสอร่อยของโลกีย์ โลกุตระ คือ

๑.ปัญญาเข้าใจ เริ่มต้นเข้ากระแส

๒.มีแรงพลังตัดไปได้ถึงครึ่งเกินครึ่งขึ้นไป เรียกว่าเข้ากระแสของโลกุตระ เพราะฉะนั้น โสดาบัน คือรู้โลก รู้อัสสาทะ รู้แล้วว่า นี่คือโลกีย์ แล้วเราก็หลุดมันมาได้กว่าครึ่ง นี่เข้ากระแส ไม่ถอย ปัญญา ชัดเจน มันมีอยู่ที่เหลืออยู่ ก็ตัวเองจะไม่สบายใจตัวเองว่า แหม เรายังเหลืออยู่นี่ ต้องพยายาม แล้วต้องมีสติ สติมันโตนี่ พอรู้ตัว ก็ยอมรับตัวเองว่าไอ้นี่ไม่ดี ใครเขาว่าไม่กล้าเถียง หิริ โอตตัปปะ ละอายว่า เรายังเหลือเชื้ออันนี้ ไม่เถียงเขา ไม่ดันทุรัง

ไอ้ยังดันทุรังเถียงอยู่นี่ บอกว่า ขอให้สร้างอะไร สร้างศาลาคนบาป ให้หน่อย อะไรอย่างนี้ ยังติด ยังยึด ยังอร่อยอยู่ ยังดึงดันอยู่นั่น ยังหรอก ต้องสมใจ เราไม่รู้นะ อาจจะพูดเล่นกลบเกลื่อน ว่าที่จริงลึก ๆ น่ะ ยอมรับทุกอย่าง แต่พูดเล่น ๆ อาตมาไม่พูดเล่น ถ้าคนจริง ๆ เขา บ้าอะไรวะ จะต้องไปหนีมันทำไม ออกมาทำไม ก็มันอร่อยน่ะ ก็มันยังมีคุณค่ากับชีวิตน่ะ ถ้าอย่างนั้นอยู่แล้วก็ คุณยังไม่มีทางเข้ากระสง กระแส อะไรหรอก ยังไม่เอาทิศเอาทางด้วย ถ้าเอาตรรกะ เอาเหตุผล เฉย ๆ ก็ ฟังเหตุผล แต่ก็ฟัง ไม่ค่อยขึ้นหรอก ไปหนีทำไม

เหมือนอย่าง อาตมาพูดกับทางฝรั่งนี่ เขาบอกว่ากาม คือธรรมชาติของคนนี่ ต้องสมสู่ เรื่องกาม มาเลิกทำไม มันก็เรื่องธรรมชาติ บำบัดไปมันก็จบแล้ว แล้วมันก็บำบัดใหม่เองแหละ เขาก็ไม่พูดละนะ ไอ้บำบัดใหม่นี่ มันก็วนเวียนอยู่นั่น ไปเลิกทำไม แล้วจะไปเลิกทำไม คนเราเกิดมา ก็ต้องมีอย่างนี้ ถ้าไม่มีอย่างนี้แล้ว จะเกิดมาได้อย่างไร ใช่ไหม ไม่มีอารมณ์อันนี้แล้ว เกิดมาได้อย่างไร เดี๋ยวคนก็ สูญพันธุ์หมดสิ นั่นไปโน่น แล้วเขาก็ไม่เชื่อว่า มันจะสูญได้จริงๆหรือ อารมณ์อันนี้ อารมณ์กามนี่ จะสูญได้หรือ เพราะฉะนั้น ชาวตะวันตก ชาวศาสนาพวกที่เขาไม่ได้ศึกษาศาสนาอะไรนักหนา ชาวอเมริกัน อะไรพวกนี้ ซึ่งเป็นกาม เรียกว่าฟรีเซ็กซ์เสียด้วยนี่ เขาจะถือว่า อันนี้เป็นสาระอันหนึ่ง ของชีวิต แล้ว ก็เออ มีบางคนเขาถือเป็นปัจจัยที่ ๕ เลยนะ เซ็กซ์นี่เป็นปัจจัยที่ ๕ น่ะ

อาตมาไม่ได้ศึกษา ซิกซ์ มันฟรอยด์ เขา ก็ได้ยินมาเท่านั้นเอง อาตมาก็ได้ยินมา ไม่ได้ศึกษาหรอก ตำราของแก เล่มหนึ่ง อาตมาก็ไม่เคยอ่าน ซิกซ์ มันฟรอยด์นี่ ที่แกบอกว่ากามนี่ เป็นสิ่งสำคัญ ถ้าคนเรา ไม่มีกาม ไม่มีพลัง ต้องใช้พลังกามนี่ เป็นตัวกำหนด มันจะมีพลังในการสร้างสรร ถ้าหมดกามแล้ว มันไม่มีพลังสร้างสรร ซึ่งเขาถือว่ากามนี่เป็นพลัง หรือช่วยให้สร้างสรรได้เก่ง อ้อ ยังไปติดอยู่ตรงนั้น ไม่มีกามสร้างสรรไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็สร้างศาสนาไม่ได้ซี พระอรหันต์เจ้า ก็เลย ไม่ต้องทำงาน คือมันซ้อนน่ะ มันนึกว่า มันเป็นพลังอะไร ทำไมละ พลังปัญญา ที่เข้าใจคุณค่า ของสังคม คุณค่าของโลก คุณค่าของทุกสิ่งทุกอย่างว่าอะไรควร อะไรไม่ควร อะไรดี อะไรชั่ว อะไร ที่สังคม ควรจะต้องอาศัยดี กุศล อกุศล นั่นเอง ทำไมไม่รู้ ก็กุศลนี่ มันสิ่งที่ควรสร้าง เราก็สร้างเท่านั้น เอง มันซ้อนลึก

คือโลกุตระนี่ นอกจากรู้จักโลกีย์ชั้นดีแล้ว ยังรู้จักการวางโลกีย์ชั้นดีออกหมดเลย เป็นไม่ยึดไม่ติดแม้ดี แต่ถ้ามีชีวิตอยู่ ก็ต้องเข้าใจว่า เรายังมีพลังงาน เรายังมีแรง เรายังเป็นดาวดวงหนึ่ง เรายังโคจรอยู่ เราต้องโคจร ในดินแดนที่ วิเศษที่ดี ดึงสิ่งที่ไม่ดีมาให้ดี เป็นโลกที่ดี เป็นจักรวาลที่ดี เป็นวงโคจร เป็นสนามแม่เหล็ก ที่ดีเท่านั้น ไอ้ไม่ดี เราไม่เอา แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ในโลกในจักรวาล ในวงโคจรที่ดีนี้ เราก็วาง ทำสะเทิน ทำนิวตรอน สำหรับตัวเราให้หลุดพ้นจากอันนี้ให้ได้อีก เหมือนเราหลุดพ้น จากสะเทิน หรือว่านิวตรอน หรือตัดขาดจากแรงดึงดูดของโลก ออกไปสู่อวกาศข้างนอก ให้ได้อีก หลุดลอยไป จนกระทั่งไม่ติดอะไรเลยในจักรวาล ไม่ติดในแรงดึงดูดอะไรเลย เรากลายเป็นตัวสูญ ตัวสูญที่ไม่มีอะไรมา กระแสแรงงานอะไร แม่เหล็กอะไรก็แล้วแต่ แรงดึงดูดอะไรก็แล้วแต่ ในมหาจักรวาลนี้ ดูดเราไม่ติด

แม้แต่พระเจ้า ก็ยังเอาเราไว้ไม่ได้ เขาบอกพระเจ้านี่ คือเจ้าของทุกอย่างเลย แรงดึงดูดอะไร อยู่ที่ พระเจ้าหมด พระเจ้าก็ดูดเราไว้ไม่ได้ สูญนี่ยิ่งใหญ่ น่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจขีดเขตของ โลกุตระ ไม่ได้ เราก็ไม่ออกจากโลกุตระ จมอยู่ในโลกีย์นั่นแหละ เพราะฉะนั้น เราไม่มีความเข้าใจเลยว่า แล้วไอ้จักรวาลน้อย หรือวงโคจรน้อยลำลอง สำรองอยู่นี่ เราต้องเรียนรู้ว่า ไอ้เราไปวนเวียน วนเวียน ติดอันนี้ ดูดอันนี้ ต้องชอบอันนี้ ไม่ชอบอันนี้ ไอ้คนที่ไม่ชอบอันนี้ พอชอบแล้วประเดี๋ยวเขาก็ไม่ชอบ เบื่อไป เขาไม่ได้ล้างตัวเหตุ ไม่ได้ล้างกิเลสนะ เขาเบื่อไปชั่วคราว พอหมุนเวียนไป เดี๋ยวก็ไปหา ใหม่ๆๆ เดี๋ยวก็วนมาหาเก่าอีกแล้ว วนมาหาเก่า

เหมือนแฟชั่น ผู้หญิงนี่ กระโปรงยาว ชอบยาว ๆ ๆ แล้วค่อยสั้นขึ้น ๆ หรือไม่ก็รีบสั้น สั้นแล้วก็กลับมา ยาวใหม่ ส้นสูง ๆ แล้วก็เตี้ย เตี้ย ๆๆๆ เตี้ยแล้วก็มาสูง ๆๆ เตี้ยๆๆ สูงๆ วนอยู่ตรงนั้น เหมือนกันแหละ นี่เขาบอก เขาเองเขาจะฉลาด ผู้หญิงน่ะ ถ้าไปแต่งหน้าแต่งตา แต่งอะไรต่ออะไรมันไม่ดี มันเหมือนคน เถื่อนคนป่า ก็เลิกแต่งหน้า แต่งตามา พอเลิกแต่งหน้า แต่งตามา ตอนนี้วนเวียนกลับไป แต่งหน้า แต่งตา เหมือนคนเถื่อน คนป่าอีกแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ได้แต่งธรรมดา เจาะตรงนี้ ห้อยตรงนี้ เหมือน เข้าไปหา คนป่าแล้วนี่ มันต่างกันนิดหน่อยเท่านั้น แต่ก็เหมือนกันนั่นแหละ น่ะ สัก กรีด เดี๋ยวนี้ ทำ สักหน้า เต็มหน้าเลย ก็มีแล้วนะ น่ะ สักหน้า เต็มหน้า ก็เหมือนคนป่านั่นแหละ แต่เขาไม่รู้ตัวนะ ว่าเขากำลัง เดินทางไปสู่ความเป็น คนป่าอย่างเก่า เขาก็ไม่รู้ตัว นี่พวกเป็นขนาดเป็นพั้งค์ เป็นพวกพั้งค์ พวกอะไรอีก คนไทยก็รับมาไม่ใช่น้อยแล้วนี่ ฝรั่งมันยิ่งบ้ากว่านี่ เจาะไปหมด ที่หูนี่ก็เจาะ ร้อยไปหมด เลยนะ นี่ จมูกก็ร้อย สะดือยังเจาะร้อยเลย หัวนมก็เจาะร้อย มันบ้าขนาดนี้ ทางแพทย์เขาก็บอกว่า ระวังเชื้อโรค นะ โรคอะไรมันจะตายน่ะสิ ไม่รู้ตัว

พูดไปก็ลามก บ้า ๆ บอ ๆ น่ะ แต่เขาก็เป็นกันละนะคือติดยึด นึกว่ามันเป็นเรื่องดี เรื่องอร่อย เรื่องความสุข เรื่องอะไรนี่โลกีย์ หมุนวนอยู่อย่างนี้ ที่พูดนี่มันเห็นชัด พวกเราฟังแล้วชัด พวกเรา คงไม่มีอย่างนี้ มันไม่ได้ทำน่ะ แต่โลกเขาก็ต้องเป็น ทีนี้เรารู้แล้ว ว่าจัดตัดออกมาจากโลก หลุดออกมา หลุดออกมา แล้วเราก็เข้าใจโลกลำลอง โลกลูกน้อย จักรวาลที่ไปติดยึด วนเวียนมาได้เรื่อย ๆๆๆ แล้วก็ย่นย่อเข้ามา ตั้งแต่โลกอบาย โลกกามารมณ์ โลกธรรม โลกอัตตามานะ

อาตมาก็พยายาม บอกวัฏจักร ของโลกนี่ ลักษณะของมัน อบายคือสิ่งที่หยาบที่สุด เท่าที่เห็น เรารู้แล้ว เออ อันนี้ออกมาก่อนเถอะ ที่จริงมันก็คือกามนั่นแหละ คือมันยังใคร่ยังอยาก ยังติดอยู่ แต่หยาบ ถึงขั้นอบาย อบายภูมิ หรือขั้นอบายมุข สูงขึ้นหน่อย มันก็กามอยู่อย่างนั้นแหละ โลกธรรมมันก็กาม ไปใคร่ อยากลาภ ใคร่อยากยศ ใคร่อยากได้สรรเสริญ ใคร่อยากได้โลกียสุข ที่เป็นสภาพอัตตาก็ตาม เชิงกามก็ตาม แบ่งไว้เสร็จ ก็มี ๒ ฝ่าย เชิงกาม กับเชิงอัตตามานะ มันก็ติดยึดเอร็ด อร่อย นึกว่ามีค่า เหลือเกิน วิเศษเหลือเกิน แล้วก็เอามาบำเรอใจตัวเอง

พอเราหลุดพ้นมาได้เรื่อย ๆ เราก็จะเอาพลังงานมาคืน แรงงานคืน เวลาคืน ทุนรอนคืน เราก็เอามา สร้างประโยชน์อื่นได้ น่ะ เอาแรงงานมาสร้างคุณค่าที่จะให้แก่เขา สอนเขาเป็นต้น นำพาเขาเป็นต้น ทำเป็นตัวอย่างเขาไป หนักเข้าก็ซับซ้อนเข้าไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง มีทุนรอนแล้วก็สละทุนรอนหมด จนกระทั่ง ไม่มีทุนรอนเลย ในตัวเองไม่มีเลย ยิ่งไม่มีตัวเองยิ่งสละออกหมด ยิ่งมีซ้อนมาอีกทีนี้ คนยิ่งไว้ใจ คนยิ่งเชื่อถือ คนยิ่งเข้าใจให้มา แล้วเราก็ยิ่งบริสุทธิ์ใจ ว่าแล้วเราจะเอามาทำไมเล่า ก็เราไม่เสพอะไรแล้ว จะไปเอามาทำไม

ถ้าเขาเห็นเรามีค่า เขาก็เลี้ยงเราไว้ ถ้าไม่เห็น อาตมาเอง อาตมาไม่สะสมเงินสักบาทก็ได้ ไม่สะสมเงิน สักบาทเลย คุณไม่เห็นอาตมามีค่า คุณก็ไม่ต้องให้เงิน มาให้อาตมาทำงาน ที่สุด ไม่เห็นมีค่าเลย ไม่ต้องให้ข้าวกินน่ะ มันก็ตายไปเองแหละ ๑.งานก็ไม่ได้ทำอะไร เพราะไม่ให้เงินเลย ไม่ให้เงินให้ทอง ไม่เห็นค่า เหมือนกับนี่ เขามาฟังเรา เขามาดูนี่ นี่เขามีอำนาจที่จะอนุมัติเงินมาให้ทำนี่ เขาจะเห็นดีไหม เห็นดีก็อนุมัติมา เราจะทำงานนี่ เราไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง คุณมั่นใจแค่ไหนละ คุณรู้ว่า นี่เราทำประโยชน์ แก่มนุษยชาติ ได้มากอย่างไรแค่ไหน เห็นดีไหม รู้สึกมันซับซ้อนอยู่ คนจะเห็นดีนี่ สร้างคนอย่างนี้ สร้างคนอย่างไร ให้เงินมางบประมาณนี้ จะมาทำ เขาก็จะให้มาเอง เขาไม่เห็นดี ก็ไม่ต้องไปเอา เขาเห็นดีจริง ๆ ก็เรื่องของเขาน่ะ เพราะฉะนั้น ก็ต้องเกิดตามสมเหมาะ สมควร มันก็จะมีเองแหละ ในสังคม คนนั้น คนนี้ อย่างนี้อยู่ในโลก มันจะมีในโลกในสังคม มันจะเป็นอย่างนี้

ให้มาเราก็ทำงาน ไม่ใช่ให้มาแล้ว เราก็เอาไปซื้ออะไรเสพ เรายังติดตุ้มหูอยู่ เอาไปซื้อตุ้มหูมาไว้ใส่ เรายัง ติดทอฟฟี่ เราก็ไปซื้อทอฟฟี่ไว้แอบกิน เราติดเรื่องอะไร ก็แล้วแต่ เราก็เอาสตางค์นั้นไปใช้ อันนั้นบำเรอตน อาตมาว่าอาตมาเข้าใจ อาตมาไม่ติดน่ะ เพราะฉะนั้นอาตมาท้า ได้พูดหลายทีแล้ว พวกคุณให้เงินมา ทำบุญมาที่อาตมา แล้วแต่อาตมาจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไร เห็นควร ตามใจ ไม่ระบุ บางคนก็บอกไม่เอาระบุ เงินนี้เอามาสร้างเสานี้นะ แต่ไม่ใส่ชื่อให้คุณนะ เงินนี้มาสร้างศาลานี้ เงินนี้สร้างเมรุ เงินนี้สร้างโน่น ๆ นี่ ๆ แล้วมันก็ระบุมา อาตมาก็ทำตามให้ แต่ถ้าไม่ระบุ อาตมาก็วินิจฉัยเองว่า จะเอาไปใช้อะไร แต่เงินเหล่านั้น อาตมาจะไม่เอาไปซื้ออะไร เพื่อมาบำเรอตน อาตมาว่า อาตมาเพียงพอ พวกคุณให้ ถ้าให้อาตมาเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต พวกคุณให้อยู่แล้ว น่ะ

ขนาดไม่มีรถขี่ คุณยังซื้อรถให้ขี่เลย นี่ยังมีคนบอกว่า จะซื้อเครื่องบินให้ขี่ บอกอาตมาไม่เอาหรอก เครื่องบิน อาตมานึกถึงทุกข์ จะต้องเสียค่าบำรุง จะต้องเสียค่าน้ำมัน จะต้องเสียค่าคนขับ โอ๊ ค่าบำรุงรักษา แค่รถนี่ยังบ่นกันจะตายแล้วนี่ มาใช้กันนี่อยู่นี่ แค่บำรุงรักษา แค่ค่าใช้จ่าย แค่รถยนต์นี่ มันถูก ขนาดนี้ ๆ จะไปเอาเครื่องบินมานี่ โอ๋ อาตมาว่า อาตมาเคยคิดให้ฟัง ถ้าซื้อเครื่องบินมา ไม่ต้องซื้ออะไร เขาบอกเฮลิคอพเตอร์ หรือเครื่องบินเล็กละนะ ลำหนึ่งสัก ๑๐ ล้านละนะ ๑๐ ล้าน เอาเงินไปกองเอาไว้แล้วน่ะ คิดอย่างทุนนิยมก็ได้ ทิ้งอยู่ในแบงค์ ๑๐ ล้าน ๑๐ ล้านนั่น จะใช้งาน มันเมื่อไหร่ ก็ค่าน้ำมัน ค่าเครื่องน้ำมัน ที่จะใช้นี่นะ มันแพงกว่าเรานั่ง ๑๐๐ เที่ยวละมั้ง จ้างนั่งมานี่ มีคนรับเสร็จ มีแอร์มาคอยเสริฟ อะไรเสร็จ ทุกอย่างเลยนี่ บริการทุกอย่างเลย จ่ายเงินแล้ว เดินเชิดหน้า ขึ้นไปเลย สบายกว่าแยะเลย มากกว่ากันไม่รู้กี่ต่อ ไปทำไมละ คิดแล้วทั้งค่าเงิน เอาไปทิ้งเอาไว้ แล้วค่าบำรุงรักษา ค่าใช้จ่ายอะไรต่าง ๆ นานานี่ รวมแล้วนี่ซื้อเครื่องบิน ๑๐ ล้าน จะต้องค่าใช้จ่าย ไปอีก สมมุติว่า ๑๐ ปี คุณจะต้องจ่าย ค่าบำรุงรักษา ค่าใช้ในการที่จะใช้มันไปอีก มากกว่า ๑๐ ล้าน ๑๐ ปีนี่ จะใช้มากกว่า ๑๐ ล้าน

เอ้าสมมุติว่าใช้ ๒๐ ล้าน เอา ๒๐ ล้านนี่ มาขึ้นเครื่องบินนี่ไปอีก ๑๐ ปีนี่ ยังไม่หมด เดินทางรอบ ประเทศนี่ ๒๐ ล้านนี่ เดินทางรอบประเทศนี่ ใช้ไปเลย จะเดินทางวันหนึ่งกี่เที่ยว ๑๐ ปี ไม่หมด ๒๐ ล้านนี่ ๑๐ ปีไม่หมด นี่อาตมาคำนวณให้ฟัง ไม่เข้าท่า ไม่คุ้มนะ แต่เขาอยากได้หน้า แหมมีเครื่องบิน ขี่เอง อะไรเอง เชิญ พวกมันร่ำรวย พวก ไมเคิล แจ็คสัน เมืองไทยก็มี มีเครื่องบินส่วนตัว เชิญ เขามีเงิน เขาก็ทำ ผลาญของเขาไป โก้ ใหญ่หรู รวย ก็ใช่ แต่ โดยความคุ้มแล้ว ไม่คุ้ม เพราะฉะนั้น อย่ามา พูดเลย ซื้อเครื่องบินมาให้ ทุกวันนี้อาตมา เหนียมอยู่ว่า คนจะซื้อรถเบนซ์ให้นั่งนี่ โอ้โฮ อาตมาเหนียม เพราะคนมันมอง โอ้โห โพธิรักษ์นั่งเบนซ์เว้ย บางทีมันไม่ใช่เบนซ์ของเราเลย จรมาให้เรานั่ง เราก็นั่ง พอลง จากรถเบนซ์ เขาก็มอง นึกว่ารถนี้ของเราละนะ เปล่าหรอกนะ มันจรมา รถเบนซ์นี่จรมา ให้เรานั่ง เราก็จะไปแหม รังเกียจรังงอนเกินไป เราจะไม่ขึ้นนั่ง มันก็กระไรอยู่ ใช่ไหม ก็ขึ้นนั่งไป พอลงรถปั๊บ คนเขามอง เออ โพธิรักษ์ แหมโว้ย มาเบนซ์โว้ย มาเบนซ์ มี เบนซ์นั่ง เขาคิดได้ เขาไม่รู้ความจริง เขาคิดได้ มีรถเบนซ์ ดีไม่ดี ผู้หญิงขับด้วย รถเบนซ์ผู้หญิงขับ อาตมาเคยนั่งไปหลายที โอ้โห โพธิรักษ์ มีรถเบนซ์นั่ง โชเฟอร์ผู้หญิงด้วยโว้ย โอ้โห ฟังซิ มัน ฟังแล้ว มันทะแม่ง หลาย ๆ จุดนะ ทะแม่ง หลายจุดอยู่ น่ะ เป็นได้ เพราะฉะนั้น อาตมาถึงบอกว่า ใครอย่าเอารถเบนซ์มาให้อาตมา อาตมารู้ว่า คุณภาพเขาดีน่ะ ใช้แล้วปลอดภัยอะไร กว่ากัน มันก็ดีจริงน่ะ แต่ว่า ค่านิยมของสังคมนี่ มันไม่ได้ อาตมาในชีวิตนี้ ไม่มีรถเบนซ์ รถเบนซ์ไม่ได้กับเขาหรอก ขึ้นนั่งรถโฟล์คนี่ก็ แหม นักหนาแล้ว ไม่ล่อ รถญี่ปุ่นก็บุญแล้ว สำหรับตัวเราละนะ น่ะ ก็ได้ขนาดนี้ แล้ว อย่างนี้เป็นต้น

เขาเกิดความรังเกียจ เขาเอง เขาก็ไม่เคารพนับถือ ไม่เชื่อถือ เขาก็ไม่ได้อะไร ถ้าเขาเคารพเชื่อถือ เขาก็ได้อะไรจากเรา ซึ่งเราจะให้ มันไม่ใช่เงิน มันไม่ใช่ทอง มันไม่ใช่อะไรหรอก ลึกซึ้ง แล้วเขาไม่เคารพ นับถือ มันก็ไม่เชื่อถือ มันก็ไม่ได้อะไร อย่างนี้เป็นต้น เราทำประโยชน์เพื่อของเขาเอง เขาไม่เชื่อถือ เขาไม่ได้ เห็นไหม มันซับซ้อน เราอยากได้ความเชื่อถือเคารพจากเขา ไม่ใช่เขาควรได้ เพราะเขาจะได้ ประโยชน์ต่างหาก เห็นไหม พูดแล้วเหมือนเล่นลิ้น พูดแล้วเหมือนเล่นลิ้น

เหมือนอย่างที่อาตมาเคยยกตัวอย่างให้ฟัง ตั้งแต่เก่าที่ไปเทศน์ ที่วัดมหาธาตุ เทศน์บอกว่า อาตมา กินข้าวเพื่อคุณ แหมมันหมั่นไส้เต็มที่เลย มันคงหมั่นไส้มากละนะ รอจนกระทั่งเทศน์จบ มาเลย มาพบหลวงพี่ แหมตอนนั้นยังหนุ่มอยู่นะ ผมไม่เชื่อว่าหลวงพี่กินข้าว เพื่อคนอื่น มีอย่างที่ไหน พูดน่าเกลียด เขาว่า กินข้าวเพื่อคนอื่นได้อย่างไร มันก็กินข้าวเพื่อตัวเองแหละ เลี้ยงตัวเองแหละ เลี้ยงชีวิตตัวเอง เลี้ยงขันธ์ตัวเอง อาตมาก็บอก อาตมา ก็ใช่ เลื้ยงขันธ์ตัวเอง แต่ขันธ์ของอาตมานี่ หรือว่า ร่างกายนี่ ไม่ได้มีไว้เพื่อตัวเองหรอก อาตมามีไว้เพื่อทำงานให้คุณ นี่กินข้าวเพื่อให้ตัวเองอยู่นี่ ก็เพื่อให้มันอยู่นี่ เพื่อรับใช้คุณ เพื่อทำงานให้คุณ ไม่ใช่เพื่ออาตมา [ไม่เชื่อ!] เอ้าไม่เชื่อ ก็อย่าเชื่อ เขาก็ยังไม่หยุดนะ บอก แล้วหลวงพี่นี่ ต้องอร่อย แน่ะ มันเก่งเหมือนกันเนาะ คิดออก กินแล้ว กินข้าวไม่อร่อย ก็ต้องเพื่อตัวเอง อร่อยเพื่อตัวเอง ใช่ไหม บอกไม่ อาตมาไม่ได้กินข้าว ไม่ได้ อร่อย ก็ไม่เชื่ออีก มันอัสสาทะแล้ว ถึงขั้นอัสสาทะ เราไปพูดอัสสาทะ ก็ไม่รู้หรอก คนพรรค์นี้ มันเป็นรสอร่อย บำเรอให้แก่ตนใช่ไหม จริง มันเพื่อตนเอง ตรงนี้ด้วย แต่เราก็ ไม่ บอกว่าเราไม่มี เราไม่ได้มีอันนี้ เขาก็บอกไม่เชื่อ เราก็ต้องจบ อธิบายให้แกไม่ได้ แล้วตอนนี้ น่ะ เราไม่ได้อร่อยเพื่อเรา เราไม่ได้กินอร่อย ไม่ได้อร่อยหรอก ก็กินอย่างนั้นแหละ กินก็กิน กินอะไรไป จะมีชีวิตร่างกายอยู่นี่ ก็ไม่ใช่ว่าเพื่อ ฉันจะต้อง แหมกลัวตาย กลัวร่างกายจะไม่มี ชีวิตจะไม่มี ก็ไม่ใช่

นี่มันเหมือนแก้ตัว มันเหมือนเล่นลิ้น ซึ่งคน เอาไอ้สิ่งเหล่านี้ ไปหลอกได้ ไปหลอก ไปล่อลวงคนอื่น ใครมันจะมาเห็น เข้าใจในใจเรา ว่าจริง ไม่จริงตรงนี้ ใช่ไหม เราบอกว่าเราอร่อย หรือไม่อร่อยนี่ ใครจะมาเห็นด้วยกับเรา หรือว่าเราเอง เราจะให้ร่างกายนี้อยู่ อยู่เพื่อรับใช้คุณ โอ้โห พูดโก้นะ โก้ไหม นี่เรากินอาหารนี่ เพื่อให้ยังชีวิตอยู่ เพื่อรับใช้คุณ เพื่อเป็นประโยชน์แก่พวกคุณนั่นแหละ ไม่ได้ทำ เพื่อตัวเองหรอก โอ๋ยโก้ พูดเมื่อไหร่ก็ได้ ใครพูดก็ได้ แต่อย่าเอาไปหลอกคนอื่นเขานะ บาป ถ้ามันไม่จริง แล้วมันบาปแน่ น่ะ อย่างนี้แหละ มันซับซ้อน เพราะฉะนั้น อย่างผู้ที่บอกว่า มีชีวิตอยู่ เพื่อผู้อื่น แล้วเพื่อ ผู้อื่นจริง ๆ แม้รสอร่อยอัสสาทะ เราก็ไม่ได้มี เราก็ไม่ได้เสพเพื่อตัว

แม้ชีวิตของเรา เรารักษาชีวิตไว้ ก็เพื่อคุณ ไม่ได้รักษาชีวิตไว้ เพื่อตัวเอง ตัวเองจะอยู่ หรือไม่อยู่ มันก็เข้าใจแล้ว มันอยู่ก็คืออยู่ มันทำให้มันมีเหตุปัจจัย มันก็อยู่ เพราะฉะนั้น อาตมายังไม่จบ เช่น พูดมาตอนนี้ ขอลัดไปไกลเลย ไปอธิบายถึง วิภวตัณหา ตัณหาธรรมดามันก็มีแค่ กามตัณหา กับ ภวตัณหา เท่านั้น มีตัณหาในกาม กับตัณหาในภพ

ในภพ ก็คือ อาตมันหรือมันยังมีตัวตน ยังมีภพชาติ หรือมีกิเลสมานะเพื่อตัวข้า ดี ดี ข้าดี เพราะฉะนั้น ศาสนาที่มีอาตมัน หรืออัตตา ที่มีพระเจ้านี่ เขาจะอยู่ในภวตัณหานี่เป็นสูงสุด เพราะฉะนั้น ภวตัณหา ของศาสนา ที่มีอาตมันก็เป็น วิภวตัณหาในระดับโลกย์ คือวิภวตัณหาที่ออกจากอัตตาไม่ได้ เป็นความต้องการ เพื่อตัวเอง ได้ทำสิ่งที่ดี ให้ดีที่สุด บริสุทธิ์ใจที่สุด แต่ก็ยังมีภพดี มีความดี อยู่กับความดี นิรันดร์ นี่คือ ศาสนาที่มีพระเจ้า

คนเหล่านี้ทำดี เพราะฉะนั้น ไปดูถูกศาสนาไหนไม่ได้ ศาสนาไหน เขาก็พาคนทำดี จะทำดีให้บริสุทธิ์ใจ ทำดีให้ได้มากที่สุด แต่เขาละลายความดีนี้จาก ความไปยึดติดเป็นความดีนี้ เขาไม่รู้จักอัตตา เขาไม่รู้จักตัวตน ที่ไปติดความดี ติดภพดี เขาไม่รู้จัก เพราะฉะนั้น เขาจะเอาพลังสร้างดีๆ ศาสนาที่มี อัตตา หรืออาตมัน หรือปรมาตมันนี่ เขาจึงทำดีได้มากกว่าศาสนาพุทธด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่รู้จัก การทิ้ง ความดีเลย เขาไม่รู้จักการปลดปล่อยความดี หรือว่าพลังมันจะเกิดการ มีปฏินิสสัคคะ มีการสลัดคืน มีกลับไปกลับมา ของพุทธนี่ทำดี แต่อย่าเอาดี เอ๊ะเราก็ทำดี ไม่เอาดีอย่างไรวะ ทำดี แต่อย่ายึดดี เป็นเรา อย่ายึดดีเป็นของเรา มันมีสภาวะ ปฏินิสสัคคะ สลัดกลับ ซับซ้อน มันก็เลย ไม่มีแรงเต็ม มันไม่โต่งไปข้างเดียว มันไม่พุ่งไปเต็มที่เลย มันมีอะไรต้านอยู่ มันก็เลยไม่เต็มที่ เพราะฉะนั้น ชาวพุทธนี่เลย นี่พวกเรานี่ยังงง ๆ งวย ๆ อยู่ บอก มันจะทำประโยชน์ตนเสียก่อน แล้วค่อยไปทำ ประโยชน์ท่าน

เอ๊ ไอ้เราก็พูดแล้วพูดอีก ทำไมเล่า ก็ประโยชน์ตนกับประโยชน์ท่าน มันอันเดียวกัน คุณละตัวเอง คุณไม่ต้อง ติดยึดตัวเอง คุณก็ทำเพื่อคนอื่น จะต้องทำประโยชน์ตน โดยเข้าใจว่าตนนั่น คือจะต้อง อยู่กับตัวเราเอง แล้วเป็นอย่างไร คืออยู่กับกูนี่ไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะอะไรทำแล้วมันเมื่อย ทำแล้ว มันมีปัญหา ทำแล้วมันก็ต้องทะเลาะกัน ทำมันต้องมาวิจัยวิจารณ์กัน ทำมาแล้วต้องมาถกกัน เพราะความเห็น มันไม่ตรงกัน นอกจากความเห็นไม่ตรงกันแล้ว ยังบอกว่าของข้าต้องชนะ ทุกที นี่มันรบกันตรงนี้ มันรบกันตรงของข้าต้องชนะทุกทีนี่ แล้วไม่รู้ตัวนะ ไม่รู้ตัวหรอก

อาตมาแล้วเมื่อยจริง ๆ เลย ไอ้เมื่อยของข้า มันต้องชนะทุกทีนี่ละคือ เอาตัวเราจะเอาชนะคะคาน ที่มาสู้กัน แต่ค่อย ๆ เข้าใจ ค่อย ๆ เข้าใจว่า เราอย่าเอาตัวเรามาชนะคะคาน เราต้องเอาเหตุผล เอาหลักฐาน เอาความจริง เป็นเนื้อหาว่าอะไรดีกว่า ถอดตัวตนออกมาให้ได้ มันไม่ถอดง่ายนะ ถอดตัวตน ออกมา เอาเนื้อหาเอาความจริงน่ะ ว่ามันอะไรมันดีกว่ากันแท้ ๆ เอาความจริงนั่นดีแท้ ไม่ใช่เอาตัวเราเข้าไป มันไม่ใช่ถอดง่าย ๆ ตัวนี้ มันเผลอ มันไม่รู้ตัวหรอก มัน ของข้าต้องดี ของข้าต้องดี ของข้าต้องเหนือ ของข้าต้องดี ของข้าต้องเหนือ มันกระซิก ๆ กระซี้ อยู่กับคุณ แหม สนิทเนียน ไม่ได้ รู้ตัวง่าย ๆ ขอยืนยันนั่งยัน แอร์โรบิคยัน กังฟูยัน เปียงยางยัน ตีลังกายัน นั่งยัน ยืนยัน นอนยัน ทุกอิริยาบถยัน มันยากที่จะรู้นะ เพราะฉะนั้น ในศาสนาที่เขาไม่เรียนรู้อัตตา อาตมันเลย จึงไม่สามารถ ที่จะเข้าเขตโลกุตระ เข้าใจขึ้นหรือยัง จึงไม่เข้าใจการละ โลกุตระ

เพราะเขาจะไม่เข้าใจ อัสสาทะ ไม่รู้จักรสพวกนี้ แต่ตื้น ๆ แค่หยาบ ๆ อะไร ก็พอรู้ แต่เขาไม่ได้ ศึกษา ละเอียด กามมันก็ละเอียด รสชาติ เพราะฉะนั้น กามพวกนี้ เขากดข่มเก่งเหมือนกันนะ กดข่ม เก่งเหมือนกัน ศาสนาพวกนี้กดข่ม วิธีกดข่มอย่าง ศาสนาเชน ศาสนาพระมหาวีระ ที่คู่ พระพุทธเจ้า ที่บอกคล้ายกันนิพพานอะไร ตัวตน อัตตา คล้าย แต่เขากดข่มเก่ง เพราะฉะนั้น เขาจะเน้นเจโต หนัก เก่ง ปัญญาเขาไม่เด่น ของพระพุทธเจ้าปัญญาเด่น ของเชนนี่กดข่มเก่ง กดข่มสู้เขาไม่ได้หรอก แล้วเขาก็เลย สุดโต่งไปในทางโน้น มักน้อย สันโดษ โอ๊สูงสุด สันโดษจนกระทั่ง ชีวิต ไม่ต้องมีอะไรเลย ผ้านุ่ง ก็ไม่ต้องเกี่ยว ไม่มีผ้านุ่ง แล้วมีต้องกินอาหาร มีภาชนะใส่อาหารเป็นสมบัติกับผ้าปัดฝุ่น กับไอ้ โอ๊ยชีวะ อะไรก็ชีวะไปหมด เล็กน้อยอะไร ก็ชีวะ เชื้อโรค ก็ไม่ได้เป็น ไม่กินหยูกกินยาทั้งนั้นละ แข็งแรง เหมือนกันนะโอย น้อยอยู่กันอย่างนั้นละ ไม่มีประโยชน์อะไรกับใครหรอก ก็แก้ผ้า มาเดินทำงานที่นี่ ใครเขาจะให้ทำงาน เขาวิ่งหนีหมด คือไม่รู้จักยุคสมัย มันทำอะไรไม่ได้หรอกนะ มันน้อยเกินไป มันโต่งเกินไป อย่างนี้ เป็นต้น

แต่เขา ก็เจโตแข็ง เขาไม่รู้ว่าสังคม มนุษย์เกิดมาเพื่ออะไร มนุษย์เกิดมาเพื่อมนุษย์ ไม่ใช่ มนุษย์เกิดมา เพื่อตัวกู ไอ้อย่างนั้นมันตัวกูสูญน้อยไป มันไปอยู่กับหมู่กลุ่มเท่านั้นเอง โน่นแนะ เข้าภูเขา ไม่พูดกับใคร อยู่กับใคร แก้ผ้าโทง ๆ อยู่ด้วยกันไป อยู่แค่นั้นละ ไม่กี่คน ไม่ใช่เพื่อมนุษยชาติ ไม่ใช่พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ ประโยชน์อะไรละ ไอ้อย่างนั้นมันกดข่ม แล้วเขาก็ไม่รู้กิเลส เขาขึ้นมาหรือไม่ ไม่มีอะไร กระแทกกิเลส ออกมาเลย กดๆๆๆๆๆ แล้วก็อยู่ลืมๆๆๆ กดมันก็ได้ อยู่ได้นาน ๆ นานจนกระทั่ง หลงว่า เป็นนิรันดร์ น่ะ ว่ามันได้แล้ว ปานนิรันดร์ มันไม่มีหรอก นิรันดร์ไม่มี มีแต่ความวนเวียน มันไม่มี นิรันดร์หรอกน่ะ ความเป็นอย่างนั้น นิรันดร์มันไม่มี เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงสามารถที่กระทุ้ง กระแทกกิเลสลึก ๆ ยิ่งมีผัสสะกระแทก มันจะเจอโจทย์ ของแต่ละคนไม่เท่ากัน โจทย์มันจะต้องหนัก ไปเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น คู่ต่อสู้ คุณจะแชมป์ขนาดไหน คู่ต่อสู้ของคุณ จะต้องยิ่งใหญ่ขึ้นไป ทุกที ๆ ใช่ไหม ถ้าคุณ เป็นแชมป์ใหญ่ คู่ต่อสู้คุณต้องยิ่งใหญ่

อาตมาถึงบอกให้พวกคุณทราบแล้วว่า คู่ต่อสู้ของอาตมา คือใคร แต่ก่อนนี้ พวกคุณบอกว่า คู่ต่อสู้ ของอาตมาคือ เถรสมาคม ยังเล็กนัก ตอนนี้รู้แล้ว คู่ต่อสู้ของอาตมาคือ ทุนนิยม ... มันโอ้โห ทุนนิยมนี่ มันทั่วโลกเลย มันไม่ใช่ธรรมดา ใช่ไหม เห็นไหมนี่ อาตมาก็ไชยา มิตรชัย ไม่ธรรมดาใช่ไหม ไชยา มิตรชัย นี่เขาไม่ใช่ธรรมดา อาตมาก็ไชยา มิตรชัย คนหนึ่งไม่ธรรมดานะน่ะ คู่ต่อสู้ของอาตมา ทุนนิยม คุณคิดดูสิ คุณว่าอาตมาพูดเล่นหรือเปล่า อาตมาไม่ได้พูดเล่นแล้ว เพราะว่า คุณรู้แล้วว่า อาตมา ทำจริง อธิบายมา แล้วก็พาคุณทำมา ได้สู้กันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ เข้าใจ แล้วว่านิยมจริงๆ ไม่ได้สู้เล่นๆ แต่อย่าพึ่งไปประกาศแรงนะ เดี๋ยวมันมาหมดทั้งหมู่ประเทศ เดี๋ยวมันม็อบมานี่ ม็อบทุนนิยม มานี่ แบนเลยนะเรา ม็อบทุนนิยมมานี่ เราแบนจริงๆ นะ เพราะทุนนิยม มันทั่วโลกเลย เดี๋ยวนี้ อย่าพึ่งให้เขารู้ตัว แต่เขาก็รู้ไปเรื่อย ๆ แหละ ค่อย ๆ รู้ เพราะเราประกาศพอสมควร แต่ว่า เขายังไม่คิดหรอก เขายังคิดไม่ถึงเท่าไหร่หรอก แม้ข้างนอกเขาจะบอกว่า เรานี่เป็นคู่ต่อสู้ ของทุนนิยม เขาก็ยังคิดไม่ถึงหรอก เพราะมันซับซ้อน ตอนนี้พูดออกไป ก็เป็นภาษาเท่านี้ แต่ความลึกซึ้ง มันซับซ้อนมาก เรื่องทุนนิยมนี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ เรื่องใหญ่ในลักษณะที่มัน วิธีการของ การยังชีวิต และ สังคม อยู่ด้วยระบบทุนนิยมนี่ วิธีที่จะยังอยู่ด้วยกับสังคมและระบบ นั่นละอย่างทุนนิยมนั่น

แต่ของเรานี่มามีชีวิต และยังอยู่อย่างระบบบุญนิยม เพราะฉะนั้น มาอย่างบุญนิยมนี่ เราก็ต้อง เข้าใจโลกว่า เราหลุดมาเถอะ เราอย่าไปไอ้นั่นเขาเลย อย่าไปเอามาเป็นภาระของตัวเองเลย เพราะเป็นภาระของตัวเอง ก็เสียแรงงาน เสียทุนรอน เสียเวลากับมัน เพราะฉะนั้น เราลดได้ ๆ ลดได้ คนเราก็หลุดพ้น สิ่งที่เป็นสิ่งถ่วง สิ่งถ่วงหลุดออกได้ หลุดได้ ๆ เราก็อิสรเสรีภาพมาเรื่อย ๆ ยิ่งมี อิสรเสรีภาพ ยิ่งมีแรงงานเยอะ พระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดแล้วว่า วิมุติมีอะไรเป็นเครื่องแสดงนี่ จะปรากฏ จะรู้ คนเรานี่ ผู้ใดมีวิมุติก็คือ คนหลุดพ้น หลุดพ้นอะไร หลุดพ้นอะไรต่ออะไรมา โอ้โหหลุดพ้น ดึงสิ่งที่ดึง เราก็จะต้องไปต่อสู้อยู่ ดึงก็ถูกต่อสู้ แต่เราหลุดพ้นมาได้ไม่ต้องต่อสู้ ก็เลยมีพลังเย็น เป็นพลัง แรงงานก็ตาม เวลาก็มีเยอะ แรงงานก็มีเยอะ ทุนรอนก็มีเยอะ

คน ๆ หนึ่งมีประสิทธิภาพ ศาสนาพุทธสอนให้มีประสิทธิภาพ สอนให้มีสมรรถนะ สอนให้มี ความสามารถ เป็นอิทธิบาท ทำงานได้เก่ง มีฉันทะในงาน มีวิริยะในงาน เพราะฉะนั้น ดูตัวเองนะ เมื่อไหร่เราหมดฉันทะ เมื่อนั้นเรากำลังจะตกไปจากพุทธ ไม่มีฉันทะในการงาน ขี้เกียจ เมื่อย ท้อแท้ ไม่เอาถ่าน โอ๊ย เซ็ง ชักจะออกจากพุทธไปเรื่อย ๆ นะ พุทธนี่มีฉันทะ มีอิทธิบาท เป็นตัวแสดงถึงวิมุติ มีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็นตัวแสดงถึง อิทธิบาท ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนนี่นะ วิมุตินี่ มีอิทธิบาทเป็นเครื่องแสดง หรือมีความขยัน หมั่นเพียร เป็นเครื่องแสดงว่า โอ๊ คนนี้วิมุติ ถ้าคนไม่หลุดพ้นแล้ว มันไม่มีอิทธิบาทหรอก มันมีอิทธิบาทเหมือนกัน แต่เป็นโลกีย์ ต้องแบ่งโลกีย์ โลกุตระออก มันมีฉันทะ เพราะมันจะได้สิ่งตอบแทน มีฉันทะเพราะจะได้ลาภได้ยศ ได้เงินทอง ได้สรรเสริญ ได้เสพรส รสแห่งความดีด้วยนะ เหมือนกับศาสนาอื่น เขาทำความดี เขาได้รสเป็นสุข ใช่ไหม เขาได้เป็นสุข เป็นความดี น่ะ มาบำเรอบำบัด นั่นก็คือโลกีย์ ไม่ใช่โลกุตระ

เพราะโลกุตระนั้นทำ ไม่ได้เพื่อหวังสิ่งตอบแทน บำเรอบำบัด แม้แต่โลกธรรม คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เขาไม่ได้ทำเพื่อสุข เขาทำเพื่อสิ่งที่ดีงามนั้น แล้วก็อย่าไปหลงติดดีงามนั้น เป็นของเรา อีกทีหนึ่ง นี่ของพุทธซ้อนตรงนี้ด้วยน่ะ ค่อยๆ ปลดปล่อย แต่ถ้าเผื่อว่าเราเอง เรายังไม่มีพลังพอ จะวางเอาดีงามนั้น ทำเพื่อความดีงามนั้น เสริมหนุน เป็นกำลังใจ มีพลังที่จะสร้างสรรได้ ถ้าไม่เพื่อ ความดีงามเสียเลย มันก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเอื่อยเฉื่อย ก็เอาๆ เอาอย่างนั้นก่อนก็แล้วกัน มันเป็น นามธรรม เท่านั้นเอง เพื่อความดีงามเหมือนศาสนาอื่นเขา จะอาศัยบันไดชั้นนี้ก่อนก็ได้ แต่ถ้าชัดเจน แล้ว มันค่อยลดละไปอีก อย่าไปหลงใหลว่าดีเป็นเรา เป็นของเรา แม้ดีนี้ใครจะลบหลู่ ดูถูก ใครจะ เหยียดหยาม ใครจะหมิ่นประมาทอะไรก็ช่างเถอะ เราก็ต้องเห็นให้จริง เข้าใจให้จริงว่า เออเขาหมิ่น เขาดูถูกไป แต่เราให้ชัดว่าเขาหมิ่นเขาดูถูก มันถูกไหมละ ถ้าดูถูก ถูก เราก็ต้องแก้ไข ถ้าเขาดูถูกไม่ถูก ก็เป็นเรื่องของความเข้าใจไม่ได้ของเขาเท่านั้นเอง ก็จบน่ะ เพราะฉะนั้น เราเอง เกิดมาเป็นชีวิตนี้นี่ ถ้าไม่เข้าใจว่า เกิดมาเหมือนกับมีสิ่งที่เป็น ตัวเครื่องยนต์ แล้วก็ตัวปัญญา หรือ ตัวเจ้าของที่สั่งการ ให้ทำงานเท่านั้น

ไม่ได้เกิดมาเพื่อเสพ ไม่ได้เกิดมาเพื่อติด ไม่ได้เกิดมาเพื่อบำบัด บำเรออะไร ของอารมณ์ตนเองเลย อารมณ์ตนเองที่บำเรอ บำบัด เป็นสุข เป็นทุกข์ อยู่นั่นน่ะ มันเรื่องของโลก คุณมีสุขเมื่อไหร่ คุณมีทุกข์ เมื่อนั้น สุขมันคู่กับทุกข์ เพราะฉะนั้น ปรารถนาสุข คุณก็ต้องมีทุกข์เป็นตัวพ่วงไปด้วยทันที ศาสนาพุทธ ถึงบอกว่า เมื่อมองเห็นทุกข์ แล้วหาเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ก็คือ ตัวที่มันยังโง่ มันยังไม่รู้ มันยังหลง เป็นรสอร่อยอยู่ แล้วมันก็ได้ มาเสพ เพราะฉะนั้น เมื่อดับเหตุแห่งทุกข์หมด สุขก็ไม่มี ไม่ต้องไปพูดถึงตัวสุข เขาถึงบอกศาสนาพุทธ เป็นศาสนาทุกข์นิยม ใจจริง เพราะ พระอรหันต์นั้น พระอรหันต์คือผู้ที่รู้จักความสุข ความทุกข์ สมบูรณ์แล้ว และก็รู้ความเป็นจริงว่า ถ้าตราบใด ยังไม่ปรินิพพาน หมายความว่า ยังไม่ตายเป็นครั้งสุดท้าย

ตายเป็นครั้งสุดท้าย คือตายครั้งนี้แล้ว ตายลงไปร่างกายนี่ กายัสสะเพทา ตายกายแตก กายัสสะ ก็คือกาย เพทา ก็คือแตก ตายกายแตก ครั้งนี้แล้ว จิตหยุดตั้งภพ วิภวภพขนาดไหน ก็ไม่มีอีกแล้ว ไม่ขอมีภพอีก นิวิเศษภพละเอียด ภพสูงสุด ภพของพุทธภูมิ ภพของโพธิสัตว์ ภพของสิ่งที่ดีที่สุด เท่าไหร่ก็ตามแต่ ไม่ตั้งภพนั้นอีก ไม่ต่อภพนั้นอีก ไม่มีภพนั้นอีก วิตัวนี้ไม่ ไม่เลยขณะนี้ เพราะฉะนั้น คำว่า วิ นี่มียิ่ง ๆ ก็ได้ หรือไม่ก็ได้ ไม่แล้ว เป็นคนมีสิทธิ์ที่จะตัด จะไม่หรือจะมี อย่ามายุ่งกับกู กูตัดสินเอง ต่อให้พระเจ้าก็อย่ามายุ่งกับฉัน ฉันเป็นสิทธิ์เลือกเกิด เลือกตายได้ เป็นอมตะชน เป็นชน ผู้อยู่เหนือความเกิด ความตาย ของตนเอง เพราะฉะนั้น ถ้าถึงขั้นสุดท้าย ไม่ต่อภพใดเลยก็ปรินิพพาน นิพพาน สิ้นหมด จบสูญ หมดพลังงาน หมดอะไร หมดอะไร เกี่ยวกับหมดสัมพัทธภาพ ในมหาจักรวาลนี้ หมดเลยพลังงานตัวนี้ ของผู้นี้ ที่จนกระทั่งก่อเป็นชีวะ ก่อเป็นจิตวิญญาณนี้ สลายหมดเลย กลายเป็นอุตุไปหมดแล้ว กลายเป็นอุตุ กลายเป็นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ วิญญาณไม่มี มันก็คือว่าง แต่ว่างนี้ไม่เกี่ยวกันกับชีวะ ไม่ใช่ ธาตุมี ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ แล้วยังมีว่าง ธาตุว่าง อากาศ กับวิญญาณเป็น ๙ พอปรินิพพานแล้ว ว่าง ก็คือว่าง ของดิน น้ำ ลม ไฟ ที่เป็นช่องว่างของรูปธรรม ส่วนว่างของนามธรรมไม่มีแล้ว สูญแล้ว ตอนนี้ จิตวิญญาณหายไปได้ วิญญาณหายไป มีดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศของรูปธรรม ผู้นี้ขาดลอยหมด จิตวิญญาณในนี้หมด ดิบจิตวิญญาณได้ เพราะฉะนั้น ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพระจิต วิญญาณใหญ่ ปรมาตมันอะไรที่ในโลกนี้นิรันดร์ไม่มี ไม่เกี่ยว ไม่มีสัมพัทธภาพ กับพระเจ้า หมด หมดสัมพัทธภาพ แม้แต่พระเจ้า

นี่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่เป็นเรื่องที่เข้าใจความจริงแล้วท้าทายให้พิสูจน์ความจริงอันนี้  อาตมาก็ค่อย ๆ พูดไป ค่อย ๆ บรรยายไป คิดว่าพวกเราได้ฟัง ได้รู้นี่ก็ฟังไปแล้วก็พิสูจน์ไป ถ้าอาตมาไม่มาบรรยายไว้ ไม่ออกหรอก ศาสนาพุทธนี่จะถูกศาสนาอิสลาม กับ ศาสนาคริสต์กลืน ถ้าอาตมาไม่มาต่อความจริง ของพุทธ ถ้าพูดกันในที่นี้แล้ว พุทธนี่เหนือชั้นกว่า เหนือชั้นกว่าก็ตรงที่มีนิพพาน และมีคุณงามความดี ก็เหมือนกันกับศาสนาทุกศาสนา ที่จะต้องทำคุณงามความดีให้เท่าเทียมกันให้ได้ หรือให้พอกันให้ได้ เท่าเทียม หรือทำให้มากกว่าก็ตามใจ จะทำความดีให้มากกว่าศาสนาอื่นเขาก็เอาซีคุณ แต่ว่าคุณ จะติดดีนั้น เป็นเราเป็นของเราไม่ได้ นั่นคือของพุทธไม่มีอาตมัน ไม่มีปรมาตมันนั้นจริง ๆ ฉะนั้น ก็อยู่ที่โลกียะ ที่เขามีความดี กับความไม่ดี เขาเลิกความไม่ดี ทำความดี ความดีก็มีสัดส่วน กับความยึดถือ ของสังคมที่เป็นโลกียะ ส่วนโลกุตระนั้นน่ะ มันอีกอีกตลกหนึ่งเลย

ส่วนของโลกียะนั้น สังคมเขาถือว่าอันนี้ ดีๆๆๆ เราก็โอเค เราก็เข้าใจตามสัดส่วน แล้วลึกซึ้งไปด้วยว่า จนกระทั่ง คุณว่ามีกามนี่ดีนี่เราก็เข้าใจแล้ว จริง ๆ ลึก ๆ แล้ว คนเรามีกามน้อยดี หรือมีกามมากดี (มีกามน้อยดี) นี่คุณตอบ แต่โลกียะเต็ม ๆ ของเขาน่ะ โอ้โฮเกิดมาไม่มีกามนี่ เขาต้องไปหา ยาโป๊ว ตายเลย บอกตายแล้ว เกิดมาทำไมเป็นคน เขาว่าอย่างนั้นนะ แต่ลึก ๆ ของคนเหล่านั้น ถ้าเขากามมาก เขาสำส่อนมากนี่ เขาดีไหม (ไม่ดี) เขาสำส่อนไม่ดี แต่ถ้าเขากามมากนี่ เขายังถือว่า ดีอยู่ เขาว่านี่ มัน โอ้โห อายุ ๙๐ แล้วยัง อย่างนี้เลย ๙๐ แล้ว กามยังดีอยู่เลย แต่เขาไม่สำส่อน เขาถือว่าดีนะ เห็นไหม มันซ้อนๆๆ ซ้อนไปหมดเลย เพราะฉะนั้น พุทธเท่านั้นที่ชัดเจน เพราะฉะนั้น พวกคุณที่ตอบนี่ เพราะคุณเรียนพุทธมา แต่ถ้าคุณไม่ไปเรียนพุทธมา คุณจะไม่ตอบอย่างนี้ คุณจะตอบอย่างโลก ๆ เขาตอบ ใช่ไหม

เอาละ จักจั่นให้สัญญาณแล้ว เวลาพูดไปก็ยาวอีก พูดได้อีก อาตมาถึงบอกว่า จนกว่าจะตายนี่ จะพูดหมดหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันก็มีซ้อนนะ ซ้อนเชิง ไอ้ที่ซ้ำแล้วก็มีซ้อนขึ้นมา มีละเอียดลออขึ้นมา ฉะนั้น ฟังด้วยดี ก็ได้ปัญญา สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง ถ้าฟังด้วยดี ก็ได้ปัญญาขึ้นไปเรื่อย ๆ เราฟังธรรม เราได้สิ่งใหม่ จากที่เราได้ฟังมาเก่า แล้วเพิ่มขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเป็นอานิสงส์ในการฟังธรรม เข้าใจขึ้น ลึกซึ้งขึ้น พ้นสงสัย สัมมาทิฏฐิขึ้น จิตผ่องใสขึ้น นี่อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการ ถ้าได้อานิสงส์ ทุกทีไป ก็ดีขึ้นทุกทีไป สามารถพาบรรลุได้ เพราะจะเป็นพลัง ฟังธรรมก็เกิดพลัง ที่ทำให้เรา ชัดเจน ในธรรม มีจิต มีใจ มีพลัง ในการที่จะปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น เราตอนนี้มีภาระที่เราจะต้อง สร้างสรร ศาสนา สร้างสรรค์มนุษยชาตินั่นเอง สร้างสรรค์ศาสนานี่ สร้างสรรค์มนุษยชาตินั่นเอง เพราะฉะนั้น เราไม่ทิ้งศาสนา แล้วเราก็ไม่ทิ้งมนุษยชาติ เราก็ไม่ทิ้งการงาน ไม่ทิ้งสิ่งที่จะต้อง รังสรรค์ขึ้นไป เรามารวมกันแล้วก็ทำตามที่คิดว่า เราควรจะทำ อาตมาก็ดูนโยบายอยู่ว่า ตอนนี้วาระนี้ ควรจะมี นโยบายอันนี้ กว่านี้ ก็หยุดแล้ว เปลี่ยนใหม่ อะไรต่ออะไร อาตมาก็ชี้นำ บอกสัญญาณอยู่ แล้วพวกเรา ก็ศึกษา ผู้ที่จะเป็นผู้ดูแลในฝ่ายที่บริหารอะไรกันได้ ก็ช่วยไปเรื่อย ๆ น่ะ

ก็ขอบคุณทุกคน ที่พยายามมาทำสิ่งที่เป็นคุณค่า คือสิ่งที่เสียสละสร้างสรร ตนเองก็ได้ สังคม มนุษยชาติก็ได้ มันก็จะดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่มันซับซ้อน สำหรับวันนี้เวลาหมดลงแล้ว แล้วคอยฟังกัน ตอนก่อนฉัน ก็ยังเทศน์ได้อีก บ่ายเราจะพูดถึงเรื่องของวังชีวิตกัน ถึงอะไร ร่างอะไรต่ออะไร กันพอสมควร แล้วเราก็จะลงมือ ไม่ถกกันมากแล้วหละ แล้วเราจะร่างหลักสูตร หรือว่าระบบระเบียบ อะไรพอที่จะให้ทำงานกันไปได้ก่อน เสร็จแล้ว ต่อไป มันก็จะต้องมาปรับกันอีก มันเป็นธรรมดา ธรรมชาติ พอทำอันโน้นไปแล้ว แล้วเราก็ต้องมาปรับ ประเดี๋ยวจะต้องปรับกันอีก ไปสองสามช่วง กว่ามันจะลงตัว มันหลายช่วงอยู่เหมือนกัน พอลงตัวแล้วเสร็จ เราต้องปรับอีก เมื่อนั่นก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ มันยังจะต้องปรับอีกหลายชั้นอยู่ ก็ค่อย ๆ ปรับกันไปทีละชั้นทีละชั้น แล้วก็มันถึงจะได้ สมบูรณ์น่ะ สำหรับวันนี้ เราก็เทศน์เท่านี้ก่อน แล้วค่อยไปต่อตอนก่อนฉัน


จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรม
ถอดโดย คุณประสิทธิ์ ฝายทอง ๑๗ เม.ย. ๒๕๔๑
ตรวจทาน ๑ โดย ร.อ.จำนง ทองแผ่
พิมพ์โดย ปานรุ้ง สุขเกษม ๒๑ เม.ย. ๒๕๔๑
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ธาตุหินฟ้า
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

TCT๔๐A-B.TAP