ระวังชีวิตจะเป็นเศษสวะในสังสารวัฏ
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้าวันที่ ๑๔ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ณ พุทธสถานสันติอโศก

ใครๆ ได้สำหนียกได้ฟังดูที่อาตมาได้เทศน์เมื่องานอบรมสัมมนาครูที่ผ่านมานี่ ก็คงจะได้ฟังบ้าง ซึ่งอาตมาได้ย้ำยืนยันว่า คนเรานี่เกิดมาเพื่อการศึกษา ถ้าคนเราไม่มีการศึกษาไม่ใส่ใจในการศึกษา ตั้งใจพากเพียรปฏิบัติประพฤติ ว่าศึกษานี่จะต้องศึกษาทั้งปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็เท่ากับ เศษสวะ เศษสวะในวัฏสงสาร

เศษสวะในวัฏสงสาร หมายความว่าอะไร หมายความว่าเหมือนเศษสวะที่ลอยอยู่ในน้ำนั้นแหละ มันไม่มีกำลังอะไร ไม่รู้เรื่องอะไรหรอก กระแสน้ำจะพัดไปไหนมันก็ไป เข้าไปซ้ายไปขวา จะวิ่งเร็ววิ่งช้า ตามกระแสน้ำ กระแสน้ำหมุน มันก็จะดูดลงไปใต้บาดาล มรสุมมา มันก็พัดซัดขึ้นฝั่ง ดิน ขึ้นบนอะไร ก็ตามแต่ เอาไปชนนั่น ไปซัดกับไอ้นี่อะไรก็แตกแหลกลาญไปหมด ไม่ได้มีอะไร เป็นสมบัติของตัว ไม่ได้มีน้ำหนัก ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีแรงอะไร

นั่นคือเศษสวะ คำว่าเศษสวะมันก็ลอยไปตามเหตุปัจจัยของสิ่งที่มันมากระทบกระแทก กระทุ้งเอา

คนมีลักษณะอย่างนั้นจริง ๆ ที่ไม่ได้ศึกษาสัจธรรมพระพุทธเจ้า จะวิ่งทวนน้ำจะขับดันตัวเอง เข้าไปสู่ ทิศทางที่ตนต้องการไม่ได้ เศษสวะวัฏสงสารหรือเศษสวะในสังสารวัฏก็เหมือนกัน วัฏสงสาร หรือ สังสารวัฏ ก็เป็นเศษสวะอย่างนั้น เอาไปไตร่ตรองดี ๆ คิดดี ๆ คนเรานี่ถ้าไปศึกษา อะไรก็แล้วแต่ แม้แต่ที่สุด ไปศึกษามหาวิทยาลัยทางโลก แล้วก็เรียนจบไปด็อกเตอร์ ต่อให้ได้มา ๗ ใบ เขาก็คือ เศษสวะอยู่นั่นเอง เศษสวะแล้วยิ่งเป็นสวะที่ปรารถนาแรง โลภโมโทสัน ทำตัวเองให้เป็นตัวเบิ้ม ๆ ตัวโต ก้อนสวะกอใหญ่ ๆ แต่ไม่มีฤทธิ์ในตัวเอง แตกกระจายได้ง่าย กระทบกระแทกง่าย อะไรมาก็เจอ อุปสรรคของโลก ไม่ว่าจะเป็นแรงน้ำ แรงลม แรงอะไรมาซัดเอาก็เจอไปทั้งนั้น

เพราะเขาไม่รู้จักว่าชีวิตคืออะไร ชีวิตต้องการอะไร ชีวิตควรจะดำเนินไป ทำกายวาจาใจ ของเรา ให้เป็นอย่างไร จึงจะดี จึงจะประเสริฐเขาไม่รู้ เขารู้แต่ว่า เขาจะทำอะไรตามที่เขาทำ แล้วเขาจะได้ ราคา ได้ค่าแรงงาน ค่าความคิดได้เฉย ๆ ได้โดยที่เรียกว่า ตัวเองจะได้มาโดยทางใด ก็แล้วแต่ได้ มีแต่โลภ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ได้มาแล้วก็เอามาบำเรอตน เสพสุขให้กิเลสหนาขึ้น ๆ ไปเรื่อย ไม่รู้เรื่องเรื่อย จะเสพสุขนี่ก็ใส่อะไรมาก็บำเรอสิ่งที่ตัวเองต้องการ ได้สมใจตามสมมุติ ใครสมมุติ อะไรมา ก็หลงเชื่อโลกเขาหมด เขาว่าอย่างโน้นดี อย่างนั้นดีอะไรน่าได้น่ามีก็ว่าไป แล้วเขาก็ต้องการ มาบำเรอให้แก่ตน ถ้ามีอำนาจมากมีลาภมากมียศมากมีสรรเสริญมาก มีทางได้ทรัพย์ศฤงคาร มามาก ก็ใช้ทรัพย์ศฤงคาร ไปกวาดซื้อ กอบโกยอะไรเอาไว้เป็นของตัวของตนไป มหาศาล แล้วก็ตายจาก สิ่งนั้นไป แต่กรรมกิริยาที่ตัวเองเที่ยวได้กอบโกย ไปหอบมาเป็นของตัวของตนก่อนตายนั่นน่ะ มันก็จะไปมี มีมากมีมาย แต่ที่จริงนั่น เสียทั้งนั้นแหละ โลภโมโทสัน กอบโกย มาอะไรต่ออะไร ก็ยึดครองมา แต่แล้วตัวเองก็ต้องตายจากสิ่งเหล่านั้นที่เป็นของโลกีย์ง่าย ๆ นั่นแหละไป โดยไม่เข้าใจ เลยว่า ชีวิตของคนนั้น ขึ้นอยู่กับจิตวิญญาณเป็นประธาน จิตวิญญาณเป็นหลัก จะสุข จะทุกข์ จะทำให้มีคุณค่าประโยชน์อะไรต่าง ๆ นานา ก็จิตวิญญาณเป็นหลัก จิตวิญญาณฉลาด จิตวิญญาณ เชี่ยวชาญ ทั้งฉลาด ทั้งเชี่ยวชาญ

เราจะฝึกอะไรก็แล้วแต่ ฝึกหัดทางฝีมือนี่ เราก็ใช้จิตวิญญาณเป็นตัวคุม จิตวิญญาณเป็นตัวกำหนด จะมีฝีมือ ก็ใช้จิตวิญญาณคุม จิตวิญญาณศึกษา จิตวิญญาณเรียนรู้กำหนด นักดนตรีจะเล่น เปียโน แคล่วคล่อง มือซ้ายมือขวาขยับไป สั่งการให้มือซ้ายดีดนิ้วนั้น มือขวาดีดนิ้วนี้ ดีดทีละ ๒ นิ้ว ทีเดียว ทีละ ๕ นิ้วอะไรก็แล้วแต่ จิตวิญญาณเป็นตัวกำหนดสั่งพวกนั้นทั้งนั้นแหละ แล้วก็เกิดความชำนาญ ฝึกปรือไปด้วย จิตวิญญาณก็ได้รับการฝึกฝน ได้รับการอบรมให้มีความชำนาญเชี่ยวชาญ จิตวิญญาณ ทั้งนั้น เป็นตัวประธานหมด

ถ้าเราหลงไปว่า โอ๊อันนี้ดี อันนี้มันเอาเวลาไปเป็นไปฝึกเชี่ยวชาญในการเตะฟุตบอล เราก็จะเก่งแต่เตะ ฟุตบอล แล้วมันมีค่าไหม มีประโยชน์ไหม มีคุณค่าต่อตนต่อผู้อื่น ต่อตนก็คือมีคุณค่าที่ทำให้ตนเองนี่ ได้รับสิ่งที่เป็นคนอื่นได้ประโยชน์ คนอื่นได้ประโยชน์นั่นก็คือ คนอื่นได้ยังชีพ อยู่ไปรอด คนอื่นได้หาย จาก เกิดแก่เจ็บตาย จริงๆ แล้วก็บำเรออารมณ์เท่านั้นเองสนุก แม้แต่เล่นเปียโนก็ตาม หรือแม้แต่ เอาละไม่ตรง ไม่ได้บำเรออารมณ์ แต่เป็นองค์ประกอบในการทำให้ตัวเอง นี่มีปรัชญาอะไรขึ้นมา ดูเตะฟุตบอล ก็มีปรัชญา ฟังเปียโนเขาเล่น ก็มีปรัชญา ถ้าเขาทำให้มีปรัชญา จริงๆ ให้รู้สึกว่า เออ ดูเตะฟุตบอลคราวนี้ รู้สึกว่า ดีนะ มันให้ปรัชญาในการอดทน ให้ปรัชญาในการที่เสียสละ ให้ปรัชญา ในการสร้างสรร อย่างโน้นอย่างนี้ เอ้าก็ดีไป ฟังเขาเล่นเปียโนแล้วให้เกิด จิตใจที่เจริญอย่างนั้น อย่างนี้ เป็นปรัชญาอย่างนั้นอย่างนี้ ซ้อนลงไป เอ้าก็ดีไป แต่ถ้าฟังแล้วก็ได้แต่บำเรอ โอ๊! ไพเราะสนุก มันสะใจ อะไรเฉย ๆ ไม่ได้เกิดปรัชญาอะไรเลย มันก็มอมเมาเฉย ๆ ลงทุนลงแรง คนที่ไปมันประกอบอยู่ที่เงิน กับยกย่องกัน ลาภยศได้สรรเสริญได้ยศ คนที่ทำถ้าได้มา แล้วมันก็ลดค่าของตัวเองไปเป็นหนี้ แล้วก็ซับซ้อน ในเรื่องของวิบากต่าง ๆ เพราะฉะนั้น การศึกษาที่จะรู้ว่า เราจะทำกรรม กรรมการงาน หรือการกระทำอะไร ถ้าทำแล้ว มันมาเกิดคุณค่า สร้างสรร ทำให้คนได้รับสัมผัสแล้ว หรือได้ให้คน ไปแล้ว คนรับไปแล้ว เขาเกิดประโยชน์มาก ก่อให้เกิดการพัฒนา เกิดการเจริญงอกงาม เกิดเป็นคนดี คนประเสริฐ เกิดเป็น คนที่มีคุณค่าต่อสังคม ถ้ามันไปอย่างนั้นได้มันก็วิเศษ

ถ้านักร้องคอนเสิร์ตนี่มันร้องแล้ว คนฟังคอนเสิร์ตแล้ว มันก็ไปเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคมมันก็ดี แต่ไอ้คนไปฟังนักร้องคอนเสิร์ต ส่วนมากนี่มันไปติดยา มันไปมั่วกาม มันไปอะไรกันเละ ๆ เทะ ๆ มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มันก็ไม่มีคุณค่าอะไร คนไปดูบอล ไปดูมวยไปดูอะไรเสร็จแล้วมันก็เละเทะ ไม่ได้เกิด การรังสรรค์ให้เป็นคน เกิดเป็นคนที่มีคุณค่าต่อสังคมอะไรไป มันก็ไม่ได้เรื่องอะไร

เพราะฉะนั้น การเลือกการงานให้เป็นการงานอันประเสริฐ เป็นการงานเป็น สัมมากัมมันตะ หรือแม้แต่ที่สุด ทำการงานอันนั้นจริง ๆ เป็นอาชีพเลย เป็นงานหลักเป็นงานจริงจัง เป็นงานที่ตั้งใจ ทำอยู่ ส่วนใหญ่ส่วนมากของชีวิต เรียกว่าอาชีพ แล้วก็เป็นคุณค่าประโยชน์ต่อท่าน การศึกษาของ พระพุทธเจ้านั้น ศึกษาทั้งในการฝึกฝนสังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ฝึกฝนทั้ง การเรียนรู้ ที่จะมี โพธิปักขิยธรรม ลดละกิเลสตนเองในตัว หรือเพ่งเล็งกล้าในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ทั้งฝึกฝน ทั้งการงานน้อยใหญ่ ของเพื่อนสหธรรมิก เพื่อนพรหมจรรย์ ฝึกฝนทั้ง ๒ ด้าน แล้ว มันได้ไปด้วยกัน เพราะการฝึกฝนงานเกี่ยวข้องกับวัตถุ เกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ เกี่ยวข้องกับสังคม เกี่ยวข้องการกระทบ สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เกี่ยวข้องทั้งการเป็นอยู่ ในการดำเนินชีวิต แล้วการกระทบสัมผัส เหล่านั้น เป็นสัมผัสเป็นปัจจัย ตามปฏิจจสมุปบาท

มีสัมผัสเป็นปัจจัยแล้ว มันก็จะเกิดตัณหา เกิดอุปาทาน แล้วก็เกิดภพ เกิดชาติ เกิดชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส เพราะฉะนั้น ถ้าเราอวิชชามาตั้งแต่ต้น ก็จะเกิดอวิชชา ก่อให้เกิด สังขาร สังขารเกิดวิญญาณ วิญญาณเกิดนามรูป นามรูปเกิดสฬายตนะ สฬายตนะเกิดผัสสะ พอเกิดผัสสะ เกิดเวทนา แล้วเราก็ ไม่รู้จักเวทนา ไล่เลียงไม่ทัน วิเคราะห์วิจัยไม่ออก ปรับปรุงเวทนา เวทนานี่ เป็นตัวหลัก ในการใช้ สติปัฏฐานปฏิบัติ เพราะฉะนั้น ผัสสะแล้ว ปรับเวทนาเป็นเนกขัมมะ ไม่เป็น ก็เกิดตัณหา เกิดอุปาทาน แล้วก็เกิดภพ เกิดชาติ เกิดไปตลอดสาย ทุกขโทมนัสไปตลอดสาย

ผู้ใดเป็นผู้ที่อวิชชา ก็ต้องมีสังขาร มีวิญญาณ มีนามรูปมัสฬายตนะ มีผัสสะ แน่นอน อวิชชาก็เป็น ตัวโง่ มาตลอดสาย เพราะฉะนั้น จากผัสสะที่จะมาพิจารณาเวทนาในเวทนา พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ทำไม่เป็น ไม่เป็นผัสสะก็ผัสไป เมาไปกับผัสสะ โอ๊มันดี สวยดี หล่อดี อร่อยดี อะไรดี ดี ๆ ไปกันหมดเลย แล้วก็ไม่เคยได้มีโจทย์ ปฏิบัติอะไรมีแต่บำเรอ เพราะฉะนั้น ปฏิจจสมุปบาททั้งสาย มันก็จะอวิชชาหนาขึ้น ๆๆ ทวนไปก็จะมีแต่หนาขึ้นไปหาอวิชชา เสริมภพชาติ หนักขึ้น แล้วไปด้วยตัณหาหนาขึ้น ไปหาอวิชชานี่หนักยิ่งขึ้น สังขารก็ยิ่งปรุงมากขึ้น ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ถ้าเราได้ศึกษาจริง ๆ แล้ว ตั้งแต่รับความรู้ไป อย่างน้อยก็เป็นความรู้ทางปริยัติ เป็นสัมมาทิฐิต้น ๆ เสร็จแล้ว เราก็ไปปฏิบัติก่อให้เกิดรู้เท่าทันสังขาร รู้เท่าทันการปรุงแต่ง เพราะเรารู้จัก สติปัฏฐาน ๔ เรารู้จักวิธี เมื่อมีผัสสะแล้วเราก็อ่านกาย อ่านออก อายตนะต่าง ๆ ก็ไล่ทั้งนอกทั้งใน เรียนรู้ตั้งแต่ ผัสสะ อะไรเป็นอารมณ์อย่างไร เวทนาเป็นอย่างไร สุดท้ายก็วิเคราะห์ออกว่าอย่างนี้เป็นตัณหา เป็นกาม เป็นพยาบาท เป็นโน่นเป็นนี่ อะไรต่าง ๆ แล้วเราก็มีวิธีสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา ลดละได้

คนยิ่งทำงานมากเกี่ยวข้องกับมนุษย์มาก โจทย์ก็ยิ่งมาก แหลมคมลึกซึ้งหลายเล่ห์หลายเหลี่ยม ผู้ใด มีจิต มุทุภูเต กัมมนิเย ฐิเต อาเนญชัปปัตเต พร้อมปฏิบัติแล้วจะสั่งสมความแววไว ความดัดได้ง่าย จิตก็จะเป็น จิตหัวอ่อนง่ายขึ้น มุทูภูตธาตุ จิตหัวอ่อนง่ายขึ้นต่อการรับรู้และเร็วทัน และ ดับได้ปรับได้ เจโตก็คือ ตัวจิตสามารถปรับให้กิเลสมันลดลงได้เร็ว เจโตก็ลดกิเลสลง รู้เท่าทันก็เรียกว่าปัญญา ปัญญารู้เท่าทันจิตหัวอ่อน รู้เท่าทันกรรมกิริยาที่เราทำ ก็เป็นกัมมนิยะ หรือ กัมมัญญา เป็นการงาน ที่เหมาะ ที่ควร ที่ดีขึ้นเรื่อย เพราะฉะนั้น จิตของคนก็เจริญขึ้น การงานก็เจริญขึ้นไปด้วยกัน เหมือน แม่โค แม่ลูกอ่อนเลี้ยงลูกด้วย เล็มหญ้าให้ตัวเองไปด้วย พร้อมกัน เพราะฉะนั้น คนที่ได้ฝึกถูกทาง ก็จะเป็นคนที่มีมรรคองค์ ๘ ครบสมบูรณ์ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็เจริญไปเรื่อย ๆ

สมาธิ เป็นสัมมาสมาธิก็แข็งแรงตั้งมั่นเป็นฐิเต อาเนญชัปปัตเต ขึ้นไปเรื่อย ปัญญา สัมมาญาณ ก็เกิดปัญญา ปัญญิณทรีย์ ปัญญาผล ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฐิ มัคคังคะ เจริญขึ้นเรื่อย ๆ สัมมาทิฏฐิ ก็เจริญขึ้นเรื่อย ธัมมวิจัยก็เชี่ยวชาญขึ้นเรื่อย มัคคังคะคล่อง สบาย มีชีวิตปฏิบัติอยู่ ทั้งการดำรินึกคิด ช่วยคนก็เร็ว ตนเองก็หลุดพ้นไปเรื่อย ๆ วาจาก็ดี พูดก็เป็นประโยชน์ต่อตนต่อท่าน จนเราหมดกิจ หมดงาน จบกิจ กิเลสหมด หมดกิจตน ก็เหลือแต่กิจผู้อื่นต่อไป ก็อยู่กับสังคมนี่แหละ แคล่วคล่อง ว่องไว มีสังกัปปะ มีความดำริ ไม่มีกาม ไม่มีพยาบาท ไม่มี วิหิงสา มิจฉา ๓ ของสังกัปปะ ดับสนิท มิจฉาวาจา ๔ ก็ไม่มี มิจฉากัมมันตะ ๓ ก็หมด มิจฉาอาชีวะ ๕ สบาย ทำงานฟรี ไม่มีลาภ แลกลาภ ไม่มอบตนในทางผิด ไม่ตลบตะแลงอะไรแล้ว ไม่มีการทุจริต ไม่มีการโกง ไม่มีการหลอก ไม่มีการเลวร้ายอะไรแล้ว มีแต่ประโยชน์ท่าน มีแต่ความเชี่ยวชาญ มีแต่การงาน ที่จะเชี่ยวชาญไปเรื่อย แล้วก็จะรู้โลก โลกวิทูมากขึ้น ๆ ๆ จะรู้ว่าอ๋อ สังคมขณะนี้ มีอุปสงค์อะไร มีความต้องการอะไร แล้วเราก็จะข่วยเขา อุปาทาน ซัพพลาย อะไรต่ออะไรให้แก่สังคม ก็เป็นคน มีคุณค่า มีประโยชน์ มากขึ้น ๆ ๆ เหมือนกับพวกเราทุกวันนี้ งานการมากขึ้น ทำอะไรต่ออะไรมากขึ้น แล้วสังคม เขาก็เข้าใจ เรามากขึ้น

การสัมมนาครูหรือว่างานอโศกรำลึกผ่านมานี่ มีอะไรต่ออะไรสัมพันธ์ มีอะไรเกิดขึ้น คนข้างนอก ข้างในเกี่ยวข้องมากขึ้น เราก็รู้จักวิธีการที่จะสัมพันธ์กับสังคมดีขึ้น ขยันขึ้น รู้จักหน้าที่ ที่ควรจะกระทำ ในฐานะเราเป็นเจ้าภาพ ไม่ถือตัวถือตน รู้จักว่าควรจะทำให้ประสานสัมพันธ์อย่างไร ไม่ดูเสียธรรม แล้วดู มันไม่ไปกระทบสัมผัสกระแทกกระทุ้งอะไรใคร ยังไงก็ปรับตัวไปเรื่อย ๆ ผลก็ขยายดีขึ้น แต่คนที่จะขยาย คนที่จะเขยิบเข้ามานี่ยังยาก แต่ตัวพวกเรานี่ดีขึ้นไปเรื่อย ๆ จะเห็นได้ว่า แต่ละคน ๆ เรามีการเจริญ เราปฏิบัติธรรม ถ้าเราอ่านจิดเป็น วางจิตเป็น มันจะมีอัตโนมัติ ของมันในตัวด้วย บางที เราอ่านไม่รู้หรอก บางทีเราไม่รู้จิตของเรา แต่เราก็รู้สึกว่า เออ เราทนได้ง่ายขึ้น โดยไม่ลำบาก คือ เป็นฌาน ได้โดยไม่ยาก ได้โดยไม่ลำบากในฌานทั้ง ๔ หมายความว่า จิตของเรานี่ ฌานนี่คือ จิตของเรา จะรู้เท่าทัน มันจะเพ่งรู้แล้วก็เพ่งเผา ฌานนี่คือการเพ่งรู้แล้วเพ่งเผา มันรู้ก็คือ เกิดวิเคราะห์ วิจัยนั่นแหละเกิดสติปัฏฐาน ๔ เกิดสัมมัปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ มันจะเกิด เออ ถ้าเข้าใจแล้ว มันรู้สึก เราทำงานอยู่ทุกวันนี้ไม่ได้ได้เงินนะ ไม่ได้ลาภยศ สรรเสริญโลกียสุข ไม่ได้โลกธรรม แต่มันก็ยินดี มันมีฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เรามีอิทธิบาท เออ เราทำงานก็เพลิน ยินดีเราก็ขยันเพิ่มขึ้น วิริยะ เอาใจใส่มากขึ้น แล้วเราก็มีสัมมัปธาน มันสังวรปธานไปในตัว มันก็มีปหานปธานไปในตัว เออ เราได้ละกิเลส เราได้แข็งแรงขึ้น จิตของเรารับได้ แต่ก่อนนี้เรารับไม่ได้ ตอนนี้เราดีขึ้น แข็งแรงขึ้น มีปหานปธาน มีภาวนาปธาน มีผลได้

นี่เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านตราตั้งให้ตรวจสอบ แต่บางทีเราก็ไม่เข้าใจ เราได้ปหานเมื่อไร ภาวนาปธาน มันเกิดผลเมื่อไหร่ เราไม่ค่อยจะรู้กันใช่ไหม มันไม่ได้บอกมา พอได้ปั๊บ ก็มีคนมา ประเมินผล เอ้าได้แล้ว ๑ คะแนน ได้แล้ว ๒ คะแนน ได้แล้ว ๕ คะแนน ใช่ไหม มันไม่มีมาบอก แต่ ปฏิบัติถูกต้องจริง อยู่ด้วยกันไปนี่ มันเกิดเจริญอยู่ตลอดเวลา พวกเรานี่ อาตมาเห็นความเจริญ เป็นแต่เพียงว่า พวกคุณไม่มีวิชาอย่างเก่งเท่านั้นเอง ไม่สามารถที่จะอ่าน วิปัสสนาญาณไม่เก่ง หรือแม้ แต่ญาณในฌานไม่เก่ง ไม่มีวิชชา ๙ ญาณในฌาน วิชาข้อแรกคุณไม่เก่ง อ่านมันไม่เป็น ในขณะที่ คุณปฏิบัติเพ่งเผา เพ่งและเผาไปปฏิบัติ คุณก็เพ่งและเผาไป ทำฌานลืมตานี่ รับรู้ รู้ทันกิเลสเรา เราก็ ปรับของเราไป ไปเรื่อย ๆ เราอ่านไม่เป็น ญาณอยู่ในฌานไม่มีวิปัสสนาญาณก็ไม่มี คุณได้มโนมยิทธิ คุณได้อิทธิวิธี ได้โสตทิพย์ ได้อยู่เรื่อย ๆ แต่ญาณ ๒ อย่าง ญาณในฌาน กับ ญาณใน ปัสสนาญาณ ๒ ตัวนี่ พวกเราก็ยัง มันมี ที่จริงมันเกิดอยู่ในตัว แต่ว่ามันไม่ค่อยเก่ง

แต่มโนมยิทธินี่เป็นวิชชาที่เป็นผล สามารถทำให้จิตของเรามีฤทธิ์ชนะโลกีย์ชนะกิเลสขึ้นไปเรื่อย ๆ น้อยก็ตาม มากก็ตาม แล้วมีอิทธิวิธี คือเป็นการดำเนินฤทธิ์อิทธิวิธีนี่ มันมีวิธีสร้างฤทธิ์ให้แก่ตนเอง หลาย ๆ วิธีขึ้นเรื่อยๆ ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ เกิดอย่างนั้นอย่างนี้ขึ้นมา ก็ยิ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ โอ๊ย แต่ก่อนนี้ เดินบนน้ำไม่ได้ เดี๋ยวนี้เดินบนน้ำได้แล้ว แต่ก่อนนี้ดำดินไม่ได้ เดี๋ยวนี้ดำได้ แต่ก่อนนี้เหาะไม่ได้ เดี๋ยวนี้ เหาะได้แล้ว มันเบา แต่ก่อนนี้โอ้โหหนักจังเลย ทำมันไม่เบาเลย มันยาก มันแข็ง มันลำบาก แต่ก่อนนี้ โอ้โห! กำแพงกิเลส กำแพงแห่งศัตรู กำแพงแห่งสิ่งที่เราจะต้องสู้ หนักขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ โอ้โห เดินผ่าน สบาย เหมือนเดินในที่ว่าง ยิ่งกว่าทะลุภูเขา ทะลุกำแพง แต่ก่อนนี้ เป็นกำแพงอุปสรรค เป็นกำแพง แห่งกิเลสเรา เราเองเราทะลุของเราเองไปไม่ได้ มีวิธีอย่างนั้น

เดี๋ยวนี้อยู่สบายเลย แม้เขาจะร้ายขนาดพระอาทิตย์ เราก็ลูบคลำพระอาทิตย์ได้ด้วยฝ่ามือ ไม่เกิดพิษ เกิดภัย ไม่เกิดร้อนเย็นสบาย ต่อให้คุณเป็นฤทธิ์แรง ที่แต่ก่อนนี้เราแพ้อย่างที่สู้ไม่ได้เลย ดีไม่ดี เราก็จะต้อง กลายเป็นผีไปด้วยกันกับเขา แต่เดี๋ยวนี้เราลูบคลำได้ เหมือนลูบคลำพระอาทิตย์ ด้วยฝ่ามือ พวกนี้เป็นอิทธิวิธี เป็นอิทธิฤทธิ ที่เราสามารถเจริญขึ้น โสตทิพย์สามารถรู้ละเอียดขึ้นเรื่อย ที่ใกล้ ที่ไกลวิจัยออก ไอ้นี่เป็นเสียงเปิงมาง นี่เป็นเสียงตะโพน นี่เป็นเสียงกลอง นี่เป็นเสียงอะไร ก็แยกออก มีธัมมวิจัย สัมโพชฌงค์สูงขึ้น รู้ได้ใกล้รู้ได้เร็ว รู้ได้ไว รู้ได้ทันมากขึ้นเป็นโสตทิพย์

มีเจโตปรียญาณเจริญ เจโตปริยญาณ ๑๖ ไปตามลำดับ ๆ ยิ่งถ้าคุณสามารถที่จะใช้เตวิชโช ฝึกเอา วิชโชด้วยบุพเพนิวาสนุสติญาณ รู้ความเกิดความดับ จุตูปปาตญาณ และเข้าใจอาสวะของเรา เราก็จะรู้ว่า อ้อ อาสวะเรื่องนี้เราหมด อาสวะเรื่องนี้เราดับ อาสวะเรื่องนี้เราแข็งแรง สั่งสมเป็น เนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา มาได้เรื่อย ๆ ๑ ครั้ง ๒ ครั้ง ร้อยครั้งพันครั้ง หมื่นครั้งเป็นอดีต ปัจจุบันนี้ ก็ฐิเต อาเณญชัปปัตเต เกิดโจทย์อย่างนี้แล้ว โอ๊ย สบายมากแข็งแรง ไม่ได้หวั่นไหว ไม่ได้เป็นอะไร อีกเลย ผุฏฐัสสะ โลกธัมเมหิ จิตตัง ยัสสะ น กัมปติ สัมผัสเท่าไรเราก็สบายแข็งแรง อดีตพันครั้ง หมื่นครั้งก็สูญ ปัจจุบันนี้ก็สูญ อนาคตก็สูญ ยิ่งมั่นคง ยิ่งมั่นใจ เพราะมันได้ฝึกปรือเป็นของแท้ แล้วมันก็ได้สั่งสมกำลัง ไม่ใช่ไปนั่งฝัน เหตุปัจจัยยังไงไม่รู้เรื่องไม่ใช่อย่างนั้น ของพระพุทธเจ้านั้น มีเหตุปัจจัย ที่ชัดเจน ยืนยันได้

อาตมาพูดตัวแทนในฐานะที่เอาหลักการวิชาของพระพุทธเจ้า เอาญาณหรือวิชชา ๙ ประการ มาขยาย ให้ฟังนี่ เราฟังไปแล้ว ก็ทำความเข้าใจไปเรื่อย ๆ กว่าเราจะรู้ว่า อ๋อ! อันนี้ มโนมยิทธิ อันนี้มันคือญาณ หรือ วิชชาในฌาน ความรู้ในฌาน ญาณผู้ใดมีฌาน ไม่มีญาณ ไม่มีปัญญา หรือไม่มีความรู้ ไม่มีวิชชา ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า

ฌานของพระพุทธเจ้าเราจะต้อง ปฏิบัติไปเราอ่านรู้ อ้อ รู้ตัวเหตุตัวปัจจัย มีปริญญา มีตีรณปริญญา มีปหานปริญญา เข้าใจหมด มีความรู้ว่า อ้อ องค์รวมเป็นอย่างนี้ ตีรณปริญญาวิจัยวิเคราะห์ออก ได้ชัดเจน ถึงตัวเหตุตัวปัจจัย แล้วก็ได้ปหานปริญญา ได้ทำลาย ได้ล้าง ได้เผามัน ได้ทำให้มันลดฤทธิ์ ลดเดช ลดอำนาจของตัวที่เราจะ ปหานมัน ตัวการ เรียกว่าตัวอัตตา สักกายะอัตตาอาสวะ อะไรก็ ตามใจ ตัวตนของมันที่เราจับมันได้ มีปัญญาญาณรู้แจ้งเห็นจริง แล้วก็ลดมันได้จริง เพราะฉะนั้น คุณจะค่อยๆเกิดญาณปัญญาในฌาน เกิดความรู้วิปัสสนาญาณ หรือ ญาณทัสสนะวิเศษ รู้ มีญาณ ที่ล่วงรู้ ชัดขึ้นเรื่อย ๆ ๆ ๆ

จะญาณตัวที่เป็นมโนมยิทธิก็ดี ที่อาตมาไล่ไปแล้ว อิทธิวิธีก็ดี โสตทิพย์ก็ดี เจโตปริยญาณก็ดี มันเกิดอยู่ มันเป็นวิชชาที่เกิดซ้อน ๆ ๆ ตัวที่จะเป็นญาณ ในฌาน กับญาณวิปัสสนาญาณ หรือ ญาณทัสสนะนี่ ตัวนี้เป็นตัวอย่างที่มันรู้ตัวหลัก จะค่อย ๆ อ้อ เรามีแฮะ เรามีวิปัสสนาญาณ วิปัสสนาญาณขณะนี้ มันกำลังทำงาน ขณะนี้เรากำลังมีญาณอยู่ใน ฌานตอนนี้กำลังรู้นี่ กำลังต่อสู้ ขณะที่ทำฌาน ขณะที่เป็นฌานนั้น มันกำลังต่อสู้ ฌานคือสนามรบ เพ่งรู้เพ่งเผา เผาสำเร็จ ก็สำเร็จฌาน ฌาน ๔ หรืออยากจะตรวจสอบอีก อรูปฌานตรวจสอบว่ามันได้ ผลเป็น อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ ก็วิญญาณละเอียดสนิท อากิญจัญญายตนะ คือสิ่งที่ ไม่ให้มี มันก็ไม่มีแล้ว เนวสัญญานาสัญญายตนะ เราก็พ้นไปสู่สัญญาเวทยิตนิโรธ เราจะค่อย ๆ เข้าใจความจริง เพราะฉะนั้น คำต่าง ๆ พวกนี้ที่อาตมานำมาพูดนี่เป็นภาษาธรรมะชั้นสูง เป็นภาษา อภิธรรม เป็นภาษาปรมัตถ์ ไม่ใช่เอามาเรียนสอบเปรียญ ๙

เรียนแล้วเอามาปฏิบัติได้ ปฏิบัติเป็นทุกคนเห็น หน้าเซ่อ ๆ ซื่อ ๆ อะไรพวกนี้ มีวิชชาพวกนี้ทั้งนั้น แต่ให้เรียนเปรียญ ๙ นั่นท่องได้ แต่โอ้โห สอน จ้อย ๆ มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง ได้รับเป็น เจ้าคุณสมเด็จก็ตาม แต่ไม่ได้มีท่า ปฏิบัติไม่เป็นท่าอะไรเลย ไม่ได้ธรรมะของพระพุทธเจ้า ไม่มีวิชา ที่แท้จริง ไม่มีวิชชาจรณสัมปันโน ไม่ได้เข้าถึงวิชชาจรณะอะไรที่แม้จริง เพราะฉะนั้น จะต้องมี วิชชาจรณสัมปันโน โดยเฉพาะจรณะเป็นได้ แท้ มีศีล เป็นคนมีศีล เจริญด้วยศีล เป็นคนอยู่ รู้กินรู้อยู่ โภชเนมัตตัญญุตา เป็นคนสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มีสำรวมอินทรีย์ ๖ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ มีเห็นเลย กิริยากรรม ประพฤติ จรณะ ที่จริงประพฤติอยู่ทุกวันจะเห็นว่า เออ คนนี้มีศีล คนนี้มีการสังวรตา หู จมูก ลิ้น กาย

คนนี้รู้นี่ประมาณในเรื่องการกินการอยู่ รู้กินรู้อยู่นี่รู้เลย ไปกินอย่างนักปฏิบัติธรรม ไม่ได้หลงได้เละ ไม่ได้ระเริง ไปตามแบบคนโลกีย์ โอ๋ย กรี๊ดกร๊าด แหมกินนั้นก็ดีอร่อยปรุงแต่ง อย่างโน้นอย่างนี้ หลงใหล เละเทะอะไร ไม่ได้เรื่อง รู้จักการกินการอยู่ มันจะเห็นได้เลยนะ จรณะหรือ ความประพฤติ หรือ พฤติของเรา เราประพฤติอยู่เป็นจรณะ ๑๕ ถ้าเข้าใจแล้วจะเห็นเลยว่าคนนี้ มีจรณะ มีวิชชา มีจรณะ ๑๕ มีวิชชา ๙ เห็น ๆ เลย ในพวกเรานี่มี อาตมาเห็นอยู่ พวกเราสังวร ในศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ พยายามที่จะตื่นออกมาจากโลกีย์ หลุดออกมาจากโลกีย์ หลุดพ้น จากโลกีย์ เป็นชาคริยา เป็นคนตื่น ไม่ใช่ถูกครอบงำจม หลงใหลมัวเมา วนเวียนอยู่ในโลกีย์อย่างเก่า ไม่ใช่ เป็นคนที่จะหลุดออกมา พ้นออกมา ตื่นได้แล้ว รู้เท่าทันแล้ว และ ก็ลดกิเลสลงมาได้ จนทำตน หลุดพ้นออกมาได้ ชาคริยา ชาคริ เป็นพุทธะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน เป็นผู้หลุดพ้นมาจากโลกีย์ได้ แล้วมีสัทธรรม ๗ มีอาการทางใจรู้เท่าทัน จะเป็นคนที่มีศรัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีพาหุสัจจะ มีความรู้ มีหิริ มีโอตตัปปะ

มีความเชื่อที่เป็นศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ เห็นเลยว่าโอ๊เรายิ่งเชื่อ มีกำลังในความเชื่อ เชื่อไม่ได้เชื่องมงาย เชื่อมีอินทรีย์ ๕ พละ ๕ ด้วย เชื่ออย่างมีปัญญาอย่างมีวิริยะ จิตตะ สมาธิ แล้วมี สติสมาธิพร้อม แล้วมิวิริยะสติปัญญามีสัทธรรม ๗ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา ๗ อันนี่ซ้อนลึก ถ้าคนมองเป็นอ่านเป็นแล้ว ก็จะเห็นว่า เออคนนี้มีศรัทธา อาตมาเห็นนะ ว่าพวกเรา มีศรัทธาในศาสนาสูง คือสรัทธาในพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์สูงขึ้น ไม่ใช่ศรัทธา พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ เช้าเย็น ๆ วันหนึ่ง ๑๐๘ ทีนะท่อง สวดมนต์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ อะไรต่ออะไรตลอดเวลา มันไม่ใช่ เป็นอาการที่อาตมาเห็นแล้วว่า เออ ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศรัทธาในศาสนาพุทธ ศรัทธาในการศึกษา ศรัทธาในสิ่งที่ตนเองได้ตนเองมี คือ คุณธรรมทางธรรม มันก็จะชัดเจน

จะเห็นว่าพวกเรานี่มีหิริ พวกเรามีโอตตัปปะ นี้เป็นพฤติกรรมเห็นจรณะเห็น ๆ เลย แต่ก่อนนี้ มันไม่ละอายหรอกนี่ มันดิ้น ดิ้นเข้าใส่เลยแล้วไม่อาย เอามาใส่เป็นผีแล้ว มาแล้วยังไม่รู้ตัว แต่เดี๋ยวนี้ รู้แล้วเขาไม่เอาแล้วนี่ เรื่องของโลกีย์เรื่องผี ๆ ทางโลก เขาอายเขากลัว มีหิริ มีโอตตัปปะ มีพาหุสัจจะ มีความรอบรู้ แล้วเกิดความเฉลียวฉลาดรู้เท่าทัน มีวิริยะ มีความเพียร เพียรที่จะออกจากอันนั้น เพียรที่จะเป็น ใช้ความขยันหมั่นเพียร ที่จะช่วยงานการที่จะทำงาน ที่จะเป็นไปด้วยดี มีสติดี มีปัญญาดี แล้วมีฌานทั้ง ๔ มีจรณะ ๑๕ เป็นคนมีฌาน ฌานลืมตา ไม่ใช่ฌานไปนั่งหลับตา อาตมามี เห็นได้ว่า พวกเรามีจรณะ มองออก ถ้าคุณเอง คุณเข้าใจอย่างอาตมาเข้าใจ คุณก็จะรู้ เพราะฉะนั้น คนที่จะสังวร คนที่มีฌานอยู่ตลอดเวลา ก็คือคนมีสติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ นั่นแหละ คือคนมีฌานอยู่ตลอดเวลา ปฏิบัติฌานลืมตาอยู่ตลอดเวลา

คนมีฌานนี่ คือคนมีมรรค ๘ มีโพชฌงค์ มีโพชฌงค์อย่างน้อยมีโพชฌงค์ ๓ เห็น ๆ เป็นคนมีธัมมวิจัย เป็นคนมีสติสัมโพชฌงค์ ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยะสัมโพชฌงค์ มีสติเป็นสติสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่สติแค่สติกัลยาณชน เป็นสติสัมโพชฌงค์ ไม่ใช่สติแค่กัลยาณชนแค่นั้น ไม่ต้องพูดเลยว่า สติของปุถุชนไม่ต้องพูด มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์มีการวิจัยไปในที การงานก็รู้การงานข้างนอก การงานทางโลก ๆ การงานที่จะเป็นกรรมกิริยา กาย วาจา ใจ ก็ทำไปสร้างสรรค์ไป พร้อมกัน นั้นก็มี การงานของตัวเอง ปฏิบัติธรรมอยู่ของตัวเอง ฝึกปรือของตัวเอง มีโพธิปักขิยธรรมของตัวเอง มีสัมมัปปธาน มีสติปัฏฐาน ๔ อยู่ไปพร้อมกัน

ผู้มีฌานจึงเป็นผู้ที่ประกอบไปด้วยโพธิปักขิยธรรม มีทั้งหมด คือมีทั้งโพชฌงค์ ๗ มรรค ๘ อยู่ในตัว เห็นว่า เออคนนี้มีโพชฌงค์ มีมรรค ๘ สังวร สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะอยู่นะ เขาสังวร ของเขาอยู่ หรือ เขามีสัมมัปปธาน ๔ อยู่ เขามีสติปัฏฐาน ๔ อยู่ มีอิทธิบาท มีความเอาใจใส่ พากเพียรยินดี ในการกระทำ เพราะฉะนั้น คนไหนซังกะตายยืนยืด ไม่มีวิริยะ ไม่มีอิทธิบาทมันเซ็ง ไอ้คนนี้ มันไม่มีอะไรหรอก มันไม่ได้มีฌาน ไม่ได้มีการปฏิบัติอะไร อิทธิบาทไม่มี มันมีแต่ซวยกับเสื่อม มันจะเห็นได้ แล้วก็เป็นคนเบิกบาน ร่าเริงแม้จะหนัก โอ๊ยงานหนัก งานร้อน งานเหนื่อย งานอะไรอยู่ ก็เห็นเลย เบิกบานร่าเริง คนเราเหนื่อยนะเหนื่อยแต่ เบิกบานร่าเริง กับไอ้คนที่แข็งแรง ไม่ได้เหนื่อย เลยนะแต่โอ้โห มันเซ็งมันเบื่อ มันอะไรละ มันไม่เบิกบานร่าเริง มันเหี่ยว ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เหนื่อยเลยนะ ไม่ได้หนักเลยนะ แต่เหี่ยวอยู่อย่างนั้นแหละ เข้าใจไหมเห็นได้ไหม ฟังแล้วเข้าใจไหม เพราะฉะนั้น คนที่ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้าถูกแล้วนี่ จะเห็น โอ้โห ขยันหมั่นเพียรหนักอยู่บ้าง เหนื่อยอยู่ก็ตาม ก็เห็นเบิกบานร่าเริงยิ้มแย้มแจ่มใส สนุก สนานอิทธิบาทดีมีความยินดี มีวิริยะ มีจิตตะ มีวิมังสา อยู่ในอิทธิบาทเต็ม ๆ มีความยินดีร่าเริง มี ความขยันเอาใจใส่ มีจิตเท่าไรก็ตั้งใจเต็ม ๆ แล้วก็ทำงานไป วิมังสาไป ตรวจตราไป เพราะฉะนั้น คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ละอัน ๆ พวกนี้นี่ ถ้าเผื่อว่าเราทำ ถูกต้องหมดเลย มันจะชัดเจน มันจะเห็นว่า โอ้มีอยู่ในคน ไม่ได้มีอยู่ในใครหรอก มีอยู่ในเรานี่ แหมนี่แจ๋วไหม แจ๋ว ขวัญบุญเลย เดี๋ยวนี้เขาลืม สุวิภาแล้วนะ แจ๋ว สุวิภาลืมแล้ว แจ๋วขวัญบุญเลย

แต่คนที่ยังไม่คล่องแคล่ว มันก็จะฝืน ๆ หน้าจะเคร่ง ๆ เข้ม ๆ หน่อย แต่ถึงยังไงมันก็ยังมีสี สีสันของ ความยินดี สีสันของความชอบใจ พอใจ แม้มันจะอื้อหือ แหมมันหนักนะ เราก็ยัง สีสันของความพอใจ มันจะมี แต่ ถ้าคนไม่มีฉันทะแล้วนี่ โอ๊ยมันเหี่ยว มันไม่มีสีสันของความยินดีอะไรผสมเลย มันเหี่ยว มันเคร่ง มันเครียด ดีไม่ดีมันเขี้ยวงอกเอามันจะกัด ระวังนะ อย่าไปใกล้มันนะ คนลักษณะนั้น

พวกเราดูง่ายนะ เพราะว่าพวกเราไม่ได้ทำเพื่อเอาลาภเอายศเอาสรรเสริญโลกียสุข เพราะฉะนั้น ดูง่าย แต่คนทางโลกดูยาก เพราะมันทำเพื่อลาภ มันก็ยอมยินดี ยอมฉันทะไม่ได้มันเพื่อลาภ เพื่อยศ เพื่อสรรเสริญ ยังไงมันก็ทน มันก็ฝืนเอา เพราะฉะนั้น บ๋อยเสิร์ฟอาหารอยู่ในร้านค้านี่มันยิ้ม ได้ตลอด เวลาเลย แม้มันทุกข์ขนาดไหนก็ช่าง ยิ้มเบิกบานร่าเริง ไอ้นั่นมันไม่ใช่ของจริง โลกธรรม มันทำเพรา ะลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขพาให้มันยิ้มตลอดเวลาเลย แต่พวกเรานี่ มันไม่ได้มีลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุขเป็นตัวล่อไว้เลย เพราะฉะนั้น คุณจะเบิกบานหรือไม่เบิกบานของจริงดูง่าย แต่ของโลกดูยาก โอโหนี่มันเบิกบานร่าเริงจริง หรือว่ามันไม่ใช่ พอถอดคราบออกจากงานรับแขก อันนี้ เสร็จแล้ว กลับบ้านมัน อื้อหือเดี๋ยวตบเมียตีลูกอะไรก็แล้วแต่ ไประบายออกโน่น แต่ข้างหน้า นี่แจ๋ว ออกแขก เราดูยาก แต่พวกคุณนี่ดูไม่ยากหรอก เพราะว่ามันไม่มีตัวลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อะไรกำหนดไว้ พวกคุณของแท้ อย่างเก่งก็เสแสร้งเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ก็มันมีชั้นเดียว มันมีตัวที่ควบ คุมตัวเอง กับความจริง ส่วนทางโลกนั้น มันมีโลกธรรมมาครอบไว้ ความจริงแล้ว ไอ้ตัวรักหน้าก็มี อีกต่างหากนะ ความจริงเหลือน้อยมากเลย คนทางโลก เพราะฉะนั้น คนทางโลกดูออกยาก มันเสแสร้งมาก แต่คนทางธรรมเรานี่ดูง่าย ดูได้ ได้ง่ายกว่ากัน

พวกเราได้เล่าเรียนได้ศึกษาฝึกฝน อาตมาอธิบายไปแต่ละวัน บางทีมันอธิบายไม่ถึงจุดนี้ ๆ วันนี้อธิบาย ไปถึง จุดที่อะไรต่ออะไรขึ้นไปให้ฟังนี่ จะเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า เออใช่ เราผ่านอันนี้มานะ แต่ก่อนนี้ เราก็ไม่เข้าใจ เดี๋ยวนี้เราเออใช่ อย่างนี้มากขึ้น เพราะฉะนั้นพวกเรานี่ปฏิบัติธรรมไป มีการศึกษาไป อาตมาพาทำไป ปีแล้วปีเล่า ขยันหมั่นเพียรไปเถอะ แล้วพากเพียรอ่านให้ทันทำไป เพราะฉะนั้น ใครยิ่งหลบ ยิ่งเลี่ยง ยิ่งช้า ถ้าใครไม่หลบไม่เลี่ยง มีผัสสะเป็นปัจจัย ตัวผัสสะนี่เป็นตัวที่เป็นตัว ได้ลงสนามรบ ถ้าไม่มีตัวผัสสะไม่ได้ลงสนามรบ ในปฏิจจสมุปบาทนี่ ผัสสะเป็นตัวกลาง อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เสร็จแล้วก็เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพชาติ จากชาติไป นี่เขาถือว่าเป็นอันเดียวกัน ชาติ ชรา มรณะอะไรพวกนี้ไป แล้วก็ไปจนกระทั่ง โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส อุปายาส อะไรนั่นไป เขามาจบที่ชาติ มันมี ๑๑ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะตัวที่ ๖ ตรงกลาง ๑๑ ตัวผัสสะนี่อยู่ตรงกลาง ปฏิจจสมุปบาท ๑๑ ถ้าจะปุโลปุเลนับท้ายที่มัน เกิดไอ้สังสารวัฏทิ้งแห่งการทุกข์ได้เป็น ๑๒ ก็แล้วไป แต่จริง ๆ ตัวนี้เป็นตัวกลาง พอผัสสะแล้วทีนี้ เราก็จะรู้ตัวเวทนา เวทนาจึงเป็นตัวหลักในการไขรายละเอียดทั้งหมด มีเวทนา ๑๐๘ พิจารณาเวทนา ในเวทนา

เวทนาก็คือรายละเอียดของจิตในจิต จิตในจิตมันคือรากเหง้า สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้ว เราปฏิบัติ ลดละได้ไหม ในเวทนาคุณอ่านออกไหม นี่เป็นเคหสิตเวทนา นี่เป็นโสมนัสเวทนา หรือ มาตั้งแต่ เวทนามันมาจาก รากเหง้าอะไร มาจากกาย มาจากจิต กายิกเวทนา หรือ เจตสิกเวทนานั่น เวทนา ๒ เวทนา ๓ ก็สุขทุกข์ อทุกขมสุข หรืออุเบกขา สุขทุกข์อุเบกขาใช่ไหม เวทนา ๓ เวทนา ๕ ก็เนื้อหาของมัน ทุกขินทรีย์ สุขินทรีย์ โสมนัสสินทรีย์ โทมนัสสินทรีย์ อุเบกขินทรีย์ คือน้ำหนัก ของความสุขความทุกข์ ของคุณ มีหยาบมีกลางมีละเอียด หรือว่ามันเฉย ๆ ได้แล้ว นอกนั้นก็ ๖ มาจากทวารทั้ง ๖ เวทนาทั้ง ๖ มาจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ มันก่อเกิดมาจากสายไหนทวารไหนนี่ เสร็จแล้วก็มารวมกันกับ สุขทุกข์ กับ ไม่สุขไม่ทุกข์ ๖ ทวารก็เป็น ๑๘ แล้วก็มาแยกหลักสำคัญเลยทีนี้ เนกขัมมะ กับ เคหสิตะ อย่างไร เป็นแบบโลก ๆ คุณจะสุขแบบโลก ๆ ทางตา หู ลิ้น กาย คุณจะทุกข์ โลก ๆ โลกีย์ แบบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็ว่ากันไป มันเป็นอารมณ์เป็นอาการที่มันเกิดอารมณ์ อย่างนั้น ๆ แบบโลก ๆ เราแยกโลกีย์ แยกโลกุตระ

ถ้าเป็นเนกขัมมะนี่ คุณสามารถแยกออกว่านี่เนกขัมมะ นี่เป็นการออกจากโลกีย์ นี่เป็นการลดตัวเหตุ มันได้ ลดเหตุปัจจัยของที่จะไปสุขทุกข์อยู่แบบโลกีย์ ลดเหตุ ก็คือลดเหตุที่มันไปติดไปยึด มีเวทนา แยกออก มีตัณหาอยู่ในนั้น มีอุปาทานอยู่ในนั้น ดับตัณหาดับอุปาทานได้ ดับตัณหาดับอุปาทานได้ ดับตัณหาดับอุปาทานได้ เวทนาก็สะอาดขึ้น ๆๆๆ ภพก็ลดลง ชาติก็ลดลง ภพก็ลดลง ชาติก็ลดลง ดับได้หมด ดับสนิทภพชาติก็หายไป ผัสสะก็แข็งแรง เวทนาก็เป็นเวทนาบริสุทธิ์ ตัณหาไม่มี อุปาทานหมดเกลี้ยง ข้างบนเป็นยังไง อวิชชาเป็นยังไง ถ้าคุณทำตรงนี้หมดแล้วอวิชชา ก็หายไป มีแต่วิชชา สังขารก็เป็นวิสังขาร วิญญาณก็เป็นวิญญาณสะอาด นามรูป ก็เป็นสักแต่ว่านามรูป สฬายตนะ อายตนะ ๖ ก็สามัญ รู้สักแต่ว่ารู้ เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน รสสักแต่ว่ารส สัมผัสสักแต่ว่าสัมผัส ไม่ใช่สักแต่ว่าโดยดาย ๆ นะ แต่มีญาณปัญญาชัดเจนด้วย เพราะฉะนั้น สฬายตนะก็แข็งแรงสบาย ผัสสะเป็นตัวกลาง นี่ก็ทวนปฏิจจสมุปบาทให้ฟัง

ถ้าเราเข้าใจแล้วนี่ทุกอย่างเป็นตัวปฏิบัติหมด แล้วมันก็จะเกิดจริงตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส เราจะ อนุโลมปฏิโลม ปฏิจจสมุปบาท สบายทั้งสายเลย เพราะฉะนั้นหมดแล้ว โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาสะ หรือการเกิดไม่มี ชาติไม่มี เพราะฉะนั้น ชราก็ไม่มี ชาติชรามรณะมันไม่มี แล้วนี่ ชราไม่มี มรณะไม่มี เพราะมันไม่มีอะไรเกิด อะไรไม่เกิด กิเลสไม่เกิด กิเลสตัวตนกิเลสดับแล้วสนิทแล้ว ไม่เกิดแล้ว ไม่มีชาติภพไม่มีที่อาศัยแล้ว ภพที่ให้กิเลสอาศัยไม่มี มีแต่สูญ ๆ ๆ เพราะฉะนั้น ผัสสะ ก็ผัสสะไป เป็นสามัญของปกติที่มันยังมีร่าง ยังมีกาย ยังมีขันธ์ ๕ มันไม่มีอุปทานในขันธ์ ๕ ต่าง ๆ แล้วด้วย ยิ่งขณะนั้นในฐานะพระอรหันต์ที่จะพิจารณาอุปาทานขันธ์ ๕ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณของเรา

เอ้า ยกเหตุปัจจัยเรื่องนี้เรื่องเดียว เรามีรูปเรามีเวทนา เรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่ เรื่องลิปสติก อะไรก็แล้วแต่ เราเวทนา เราความรู้สึกเป็นอารมณ์กับไอ้สิ่งนี้ เราถอนอาสวะสิ้นแล้วกับเรื่องนี้ เหตุปัจจัยนี้ มันมา ผัสสะ มันมากระทบสัมผัสเราก็เฉย เฉยอย่างรู้อย่างเข้าใจ อย่างไม่มีกิเลสเกิดอีก มันไม่มีเกิด มันไม่มีชรา มันไม่มีตาย มันไม่มีเวียนวน มันหมดวัฏสงสาร มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาอีก เพราะฉะนั้น โสกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัสอะไรไม่มีเหลืออะไร อุปาทานไม่มี ตัณหาไม่มี เฉยไม่ได้เกิดจะเป็นตัณหา เพราะว่า โอ้โห มันอยากได้นะ กามตัณหาใคร่อยากไอ้เหล้าอย่างนี้บ้าง บุหรี่บ้าง ลิปสติกอันนี้บ้าง มันก็มีกามตัณหา หรือแม้แต่ในภวภพ ภวาสวะ อวิชชาในภพ จิตของเรา เราก็ได้ตรวจสอบไปในภพ จนพ้นอวิชชา อวิชชาสวะไม่เหลือ เป็นวิชชาสัมบูรณ์ ไม่เหลือแม้แต่ความไม่รู้ไม่มี รู้ละเอียดหมดเลย

ถ้าจะเอารูปฌานเข้าไปซ้อน คุณก็ตรวจสอบอากาสา ความว่าง ความสะอาด อากาสาความว่าง วิญญาณละ วิญญาณก็สะอาด อากิญจัญละ ส่วนใด คืออย่างเพชร หรืออย่างแก้วนี่ความใส ความว่าง มันเป็นเช่นนี้ ตัวแก้วมันเป็นเช่นนี้ คือตัววิญญาณเป็นเช่นนี้ เออตัวแก้วหรือวิญญาณ ก็ใช่ ความใสก็ใสจริง ๆ แล้วมีอะไรไหมที่เป็นอะไรของเพชรนี่เป็นไอ้ความหม่น ความหมอง ความที่ มันมีอะไร ที่มันเป็นรอยตำหนิ มีตำหนิ มีไหม ตรวจ ไม่มีตำหนิอะไรเลย อากิญจัญญายตนะไม่มี นิดหนึ่งน้อยหนึ่งไม่มี แล้วคุณก็ต้องตรวจด้วยญาณของคุณให้หมด เนวสัญญานาสัญญานี่ หมายความว่า สัญญากำหนด จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ ไม่ได้รู้ รู้ก็ใช่ ไม่รู้ ไม่ได้ ต้องรู้ต้องใช่ ผ่าน เนวสัญญา ล่วงเลยเนวสัญญา สัญญาเวทยิตังนิโรธังโหติ ต้องให้กำหนดรู้ อย่างเคล้าเคลียอารมณ์ เคล้าเคลียของจริง เคล้าเคลียสิ่งที่เราจะตรวจสอบนี้ให้หมดว่า นิโรธอาริยสัจ นะดับอย่างผู้ประเสริฐ ถึงความจริงนะ นิโรธอาริยสัจนะ ไม่ใช่นิโรธมิจฉา นิโรธมิจฉาวิมุตติ มิจฉานิพพานไม่ใช่นะ สัมมา ตรวจสอบ เป็นนิโรธอย่างอาริยสัจนะ ต้องดับอย่างสนิทสะอาดหมดเลย ตรวจสอบ เพราะฉะนั้น อรูปฌาน ๔ นี่ เป็นเครื่องตรวจสอบนี้แบบพุทธ

ถ้าแบบโลกีย์แบบนั่งหลับตา ก็ไปอากาสาก็นั่งตั้งภพ สร้างภาพอากาสา ว่างโล่ง สว่างไม่มีที่สิ้นสุด โอ้โห โล่ง คุณก็ได้ภพนั้น ใครเคยนั่งเข้าไปแล้ว คุณก็จะรู้ ใครทำได้ก็จะรู้ โอโหตอนแรกมันลืมตัว มันก็ไม่มีวิญญาณ มันไม่รู้ตัวเอง อัตตาตัวเองไม่รู้ตัวเอง มีแต่ว่าง พอรู้ตัวเองปั๊บ ก็คือนั่นแหล่ะ วิญญาณ วิญญาณัญจายตนะ เอ้าเราอยู่ที่ว่าง เราก็อยู่ที่ว่าง โอ้โหมันสุข เราก็ไม่อยากออก เรารู้แล้วว่า ตัวเรานั่น วิญญาณัญจายตนะ ทีนี้เข้าใจผิด อากิญจัญญายตนะก็ เอ๊ มันยังมีตัวเรา มันยังเวียนมา ว่ามันต้องดับตัวเรา คุณก็ยังดับไม่รับรู้ตัวเอง ที่จริงก็ไม่กำหนดนั่นเอง คือ อสัญญีนั่นแหละ อากิญจัญญายตนะ ก็ไปหลงเข้าใจว่าอสัญญี ก็เลยกำหนดให้ตัวเองไม่รู้อะไร ไม่สัญญา ไม่กำหนด เขาบอกว่า ดับเวทนา ดับสัญญา โน่นแน่ะ อธิบายว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ดับสัญญา ดับเวทนา ก็คือเข้าไปอยู่ภพ นั่นเขาก็ดับเป็นนิโรธเลย เขาบอกนี่แหละคือ นิโรธสมาบัติ เข้านิโรธแข็งเลย ดับปี๋ โอ๊เก่งถึงขึ้นดับอยู่ ๗ วันนั่นนะ ดับ นั่นนะเขาว่าอย่างนั้น เป็นตัวอากิญจัญยายตนะ

เพราะฉะนั้น ฤาษีอาฬารดาบสได้แค่นี้อากิญฯ ส่วนอุทกดาบสบอกว่าถึงจะดับยังไงมันก็จะมีตัว ระลึกรู้นี่ ใครเคยทำแล้วจะรู้ ดับไปประเดี๋ยวเถอะ สักหมดอำนาจกดข่มนี่มันจะวั้บขึ้นมารู้ตัว ทีนี้มา เรียนมาแล้ว เฮ้ยมันยังรู้ตัว มันยังมีภพ มันยังมีชาติ มันยังมี มีนะ มันไม่ได้มีไม่ได้ เขาก็คุณก็ ดับไปอีก พอแว้บ รู้สึกคุณก็ดับต่อ ใครเคยนั่งสมาธิเข้าไปอยู่ในภพนี่เป็นทุกคนแหละ คุณจะได้ลึก หรือตื้น ก็ตามใจ ถ้ายิ่งได้ลึกแล้วนี่อากาสาได้ขนาด อรูปฌาน ๔ ก็อย่างนี้ คุณก็ดับเข้าไปอีก อุทกดาบส ก็เลยจำนนว่า ไม่ให้มันรู้ มันไม่ได้หรอก มันต้องขึ้นมารู้นิดจนได้ แล้วคุณก็รีบดับมันก็แล้วกัน อุทกดาบส ก็เลยไม่ได้ จะว่ารู้ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่รู้ก็ไม่ใช่ มะลำเมลือง รู้แล้วก็รีบดับ อยู่อย่างนั้นแหละ วนอยู่อย่างนั้นแหละ คุณก็แข็งอยู่อย่างนั้นแหล่ะ เป็นนิโรธสมาบัติ นี่สูงสุดของภพของฌาน สมาธิ นั่งอยู่ในภวังค์ ได้เท่านี้ แล้วก็ไปหลงผิดอากิญจัญญายตนะ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ โดยธรรมะของ เปรียญปริยัติ แปลกันไปว่า ดับเวทนา ดับสัญญา ที่จริงอันเดียวกัน อากิญจัญญายตนะ กับ อสัญญีสัตว์ สัญญาเวทยินิโรธ อาการเดียวกัน วิถีธรรมเดียวกันเลย มันวน แล้วมันก็ล้มเหลว ผิดหมด นั่นเป็นฤาษีนั่งอยู่ในภพ

แต่ของพระพุทธเจ้านั้นตรวจสอบ ท่านก็ไม่ค่อยได้อธิบายเท่าไหร่ พระพุทธเจ้าไม่ค่อยได้อธิบาย อรูปฌานเท่าไหร่ แต่ท่านก็อธิบายไว้บ้าง อย่างที่อาตมาอธิบายให้ฟัง เป็นการตรวจสอบ ความว่าง ตรวจสอบวิญญาณ ตรวจสอบสิ่งที่มันจะต้องหลงเหลือ ธุลีละอองอะไรนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง มีเศษ ธุลีละออง ต้องเป็นอเสสะ ไม่ใช่สเสสะ อเสสะไม่เหลือ เสสะ แปลว่าเหลือ อเสสะ ต้องเป็นอเสสะ อะไรนะนิพพาน เป็นอุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิเสสนิพพาน เสสะมันไปอยู่ตัวหลังกับ ของอุปาทิ สอุปาทิเสสนิพพาน สอุปาทิ หมายความว่า สะ แปลว่าประกอบ อุปาทิเสสะยังเหลือ สิ่งที่ประกอบอยู่ เป็นนิพพาน ที่ยังมีขันธ์ ๕ เหลืออยู่ อุปาทิแปลว่าขันธ์ ๕ สอุปาทิเสสนิพพาน กับ อนุปาทิเสสนิพพาน อนุปาทิ ก็คือ อน+อุป ส่วนส+อุป หมายความว่ามี อน แปลว่าไม่มีขันธ์ ๕ ไม่มี ร่างกาย ไม่มีอะไร เหลือแล้ว ตาย หมายความว่า พระอรหันต์ตาย นิพพานตาย กับนิพพานเป็น สอุปาทิเสส เป็นนิพพานเป็น หรือไม่เหลืออาสวะ เสสะ อเสสะไม่เหลือแม้แต่อาสวะ อย่างนี้ เป็นต้น

ก็ต้องตรวจ นิดหนึ่งไม่มี อากิญจัญญายตนะ แปลว่าไม่มี ความไม่มี อากิญจัญนี่แปลว่า ความไม่มี เพราะอะไร ที่เราจะให้ไม่มี ก็จะต้องตรวจสอบ สิ่งที่มันจะต้องไม่มีนั้นไม่มีจริง ๆ นะ ไม่มีอยู่ในที่ว่าง อยู่ในภพ ไม่มีอยู่ในวิญญาณ คุณจะต้องรู้ละเอียดซ้อนไปหมดเลย เออ เศษของภพก็ ไม่ได้ไปติด ในภพ เป็นภพอยู่ เป็นภพเป็นอรูปภพ แม้แต่รูปภพ อรูปภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ไม่ได้ติดเป็นภพ อะไรอยู่เลย ในความลึกละเอียดเข้าไปถึงอรูปภพ เรายังมีภพไร ๆ ยัง นิด ๆ น้อย ๆ อยู่นะ ยังเหลือภพ เหลือชาติอยู่น้อย ๆ มันยังไปเกิด แอบเกิดเป็นภพลึก ๆ อยู่ในใจ ยังฝัง ๆ แฝง ๆ แฝงอยู่ก็ตรวจสอบได้ หมดภพ หมดชาติจริง ๆ จะเข้าใจความเป็นภพ ความเป็นชาติ เข้าใจภวาสวะ เข้าใจภพเข้าใจกามภพ เข้าใจภวภพ ละเอียดเข้าไปจนหมด จนกระทั่งไปสร้างภพใหม่ อรูปภพนี่เป็นภพใหม่ที่เราไปสร้างเสริม ขึ้นมาใหม่เอง เราก็รู้ว่าเราไม่ไปสร้างใหม่ ที่ละเอียดแล้ว ในภพก็หมดภพ มันละเอียดไป จนกระทั่ง ถึงขั้น ไม่มีรูปไม่มีร่าง แต่มันก็ยังมีสภาพของมันจนได้ เราแฝงเราหลงใหลอยู่ในนั้น เราก็ต้องตรวจ สะอาด

การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้านี้ อาตมาให้พวกเรามาทำแล้วก็ได้ผลขึ้นมา ทุกวันนี้นี่ อาตมา ประกาศไปแล้ว ว่าพวกเรานี่เป็นอาริยะ มีความเป็นอาริยะ แม้พวกคุณไม่รู้ตัวเอง อาตมาไม่ได้ระบุว่า คนนี้เป็นโสดา คนนี้เป็นสกิทา คนนี้เป็นอนาคา ซึ่งอาตมาก็ไม่ได้ไปนั่งให้คะแนน จริง ๆ ไปนั่งตรวจว่า คนนี้นี่ดูซิ จรณะเป็นยังไง วิชชาเป็นยังไง มันก็ไม่ใช่ง่ายที่จะตรวจ ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านเอง ท่านก็ไม่ไป ตรวจใครเล่น ๆ ง่าย ๆ หรอกมันยาก แล้วพระอาริยะอื่น ๆ องค์อื่นนี่ ท่านก็ไม่ได้ไปนั่งไปเที่ยว ได้ เที่ยวไปตรวจคนนั้น ตรวจคนนี้ ตรวจของเราเอง อ่านของเราเองให้ได้ ปัจจัตตังเรารู้ได้ด้วยตัวเราเอง แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็ตรัสไว้ด้วยว่า อหเมตัง น ชานามิ อหเมตัง น ปัสสามีติ ของเราก็คือของเรา ไม่มีใครล่วงรู้ได้ด้วยเรา อหเมตัง อหะนี่แปลว่าตัวเรา อหเมตัง น ชานามิ นชานะ ก็แปลว่ารู้ อหเมตัง นชานะ จิต เมตัง นชานามิ ไม่รู้ด้วยเรา อหเม เมก็คือเรา อหะก็คือเรา เพราะฉะนั้น เรานี่ นชานามิ ไม่มีใครมารู้ของเราด้วยของเรา เม ก็คือจิตวิญญาณลึก ๆ ของเรา อหะ ก็คือตัวเรา ตัวเรามันไม่มี นชานามิ ไม่มี ไม่รู้ ชานา แปลว่ารู้ นะ แปลว่าไม่ ไม่มีการรู้ด้วยเรา ของเราไม่มีใคร รู้ของเรา ของคุณ ก็ของคุณ ของเราก็ของเรา ไม่มีใครรู้ใครเห็น ปัสสามีติ ก็เห็น ไม่มีใครเห็นด้วย เราเห็นของเราเอง เรารู้ของเราเอง เป็นชานติปัสสติของเราเอง ชานโต ปัสสโต วิหรติ เห็นอยู่ในขณะนี้ ของเราเองก็ของเรา คนอื่นไม่ได้มาเห็นมารู้ด้วยเราได้

พวกเราได้ปฏิบัติจนได้มรรคได้ผล ได้อะไรต่ออะไรจนกระทั่งเดี๋ยวนี้เป็นสังคมเป็นกลุ่ม กอง เป็นหมู่คน ที่เป็นพุทธบริษัท ที่มีอุบาสก อุบาสิกา มีภิกษุ ภิกษุณี แม้จะไม่มีภิกษุณี แต่เราก็มี นักบวชหญิง ที่ปฏิบัติ เป็นไปได้ อยู่ในสิ่งแวดล้อมอยู่ในฐานะคนที่จะบรรลุธรรมถึงขั้นสูงสุดเป็น อรหันต์ได้ แล้วเรา ก็อยู่กันทำงาน มีกิจมีการมีงาน มีระบบเป็นระบบบุญนิยม ก็สร้างสรรไป เกื้อกูลไป มันเป็นเรื่อง มหัศจรรย์นะ พวกเรานี่ทำงานฟรี เหน็ดเหนื่อย งานสัมพันธ์กับทางโลกเขา โอ้โห ! งาน พ ฟ ด. นี่ แสนโอ้โห น่าดูเลยนะ ใช้คนใช้แรงงานคนพวกเรามากมายทำ เพราะว่า เครื่องเทคโนโลยี การจ้างคน มันไม่เหมือนเขา เราไม่ได้จ้าง เพราะฉะนั้น ต่างคนต่างทำ ใครอยากทำ ก็ทำ ใครไม่อยากทำ ก็เดินไป เดินมา ก็ไปว่าอะไรกันไม่ได้ แต่พวกเราก็เอาใจใส่กันพอสมควร เด็กบ้างผู้ใหญ่บ้างทำกัน โอ้โห กระจอ งอแง ว่ากันไป คนนั้นนิด คนนี้หน่อย ถูไถไปจนงานเรียบร้อย สำเร็จได้ ให้เงินมาขาด ๆ เราก็ยัง ทำได้ ขนาดนั้นเราก็ยังจ่ายเงินเกินไปตั้งหลายแสน แต่เรียบร้อย ตำหนิไม่ได้เลย นี่เขาประเมินผลกันนี่ อาตมาว่า เขาจะต้องมหัศจรรย์อะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นไปด้วยดี

แม้แต่งานต่าง ๆ เดี๋ยวนี้ก็ดีขึ้นอย่างงานอโศกรำลึกนี่ ก็โอ้โห รับแขกโน่น ๆ นี่ ๆ กัน ทำ อะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา คนมันจะเบียดจะนอนจะนั่ง จะอะไรต่ออะไรก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ ปีนี้หนักเข้า จนกระทั่ง คนมาตายในที่นี้ เราก็ต้องช่วยกันเอาคนตายออกไป ดูซิอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา มีจนกระทั่ง แม้จะมีคนมาตายในนี้ ในงานโอ้โห มันบอกเราจัดงานมันอยากจัดงาน อะไรต่ออะไรกัน กำลังยุ่ง ๆ วุ่น ๆ เลยนะ แหมมาตายกันตรงนี้ เออมันก็มี คนเจ็บคนเป็นลมอะไร ไม่ว่ากันละ มันก็ต้อง มีบ้าง อะไรอย่างนั้นนะ นี่เอาถึงตายเลย มาตายกันตรงนี้ ล้มตายเห็น ๆ นี่แหละ ฟุบกันให้เห็น ๆ นี่แหละ หามส่งโรงพยาบาลกัน อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันมีขนาดนะ มันก็เป็นไปหมด แล้วพวกเรา ก็มีครบแล้ว ทั้งตั้งแต่เด็กไปยันคนแก่ อยากให้พวกเรานี่ได้พยายามระลึกถึงกัน แล้วมีน้ำใจ แก่กัน และกัน คนแก่ของเราจะมากขึ้นช่วยดูแลกันหน่อย ซึ่งอาตมาไม่ต้องพูด พวกเรา ก็คงเข้าใจว่า นี่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ควรจะเป็น ต้องฝึก

คนอายุมากขึ้นแล้วก็ช่วยบริการ เหมือนปู่ย่าตายายของเราแก่ไปด้วยกัน เป็นเครือญาตินะ นี่เป็นญาติ กันแท้ ๆ เป็นญาติธรรมพวกเรานี่ ญาติยิ่งกว่าทางสายเลือด ญาติทางโลกเขานั่นมันมีคนน้อย คนมันไม่มาก ปู่ย่าตาทวดของคุณมีแค่อย่างมากก็ ๔ คน คุณไม่มากกว่านั้นหรอก ปู่ย่าตาทวด คุณ นอกจาก คุณจะไปเอาญาติปู่เลี้ยง ตาเลี้ยง ทวดเลี้ยง คุณก็ได้เยอะสิ ถ้าอย่างนั้น ไปนับเอามา เป็นปู่บุญธรรม ทวดบุญธรรม ตาบุญธรรม ยายบุญธรรมอะไรก็แล้วแต่คุณก็ไปเอามาได้ แต่ของ จริงมีก็เท่านั้น แต่ของเรานี่มันเหมือนบุญธรรม แต่มันเป็นบุญแท้ ไม่ใช่บุญธรรมเท่านั้น นี่ปู่บุญ แท้ ตาบุญแท้ ยายบุญแท้ ทวดบุญแท้ นี่แท้ ๆ ญาติธรรมกันจริง ๆ นะ อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน เลี้ยงดูกันไป อาตมาว่า อันนี้ลึกซึ้งดูกันหน่อย ตอนนี้เด็ก ๆ เล็ก ๆ เราก็มีเอ็นดูกัน พวกเด็ก ๆ มาเดี๋ยวนี้ก็ โอ้โห! ชักไม่เหมือนก่อน อุ้มกันมา กระเตงกันมา เอ้าก็ว่ากันไป แต่ในเราแข็งแรงแล้ว แต่ก่อนนี้นี่ มันไม่ใช่ อย่างนี้ แต่นี้มันเออเห็นเด็กแล้วก็อยากมีของเราเองบ้าง อยากมีของเราเองบ้าง เดี๋ยวนี้ก็ เออ เอ็นดูมันได้ แต่ว่ามีเองไม่เอา มันมีฐานแล้ว มันมีแกนแล้ว มันมีแกนแล้ว

อย่าว่าแต่เราเลย ด็อกเตอร์ ๒ คนที่มางานสัมมนา ๒ คนนี่ ดร.ประไพรัตน์กับ ดร.บรรเจิดพร ก็ยัง บอกเลยว่า เขาไม่มีลูกหรอก เขารู้ว่ามันทุกข์ นั่นทั้งคู่นี่ก็สามีภรรยากัน เขาบอกเขาไม่มีลูก ขนาดนั้น เขาก็ยังรู้แล้วว่ามันทุกข์ แล้วพวกเราไม่รู้ได้ยังไง แต่ก็เราก็ไม่ได้หมายความว่า จนกระทั่ง แหม รังเกียจ รังงอนเด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็รู้เราจะเกี่ยวข้องกับเด็ก ๆ ขนาดไหนมีใจเอ็นดู เกื้อกูล ขนาดไหน เดี๋ยวนี้มีโอ้โห บางทียังไม่ถึงเดือน หอบมาแล้ว มาให้ตั้งชื่อ แอ๊! หยิบจับอะไรไป โต เดี๋ยวนี้มีเกือบ ทุกขนาดแหละ อีกหน่อยในอนาคต คนแก่ก็จะมีทุกขนาดถึงร้อย ตอนนี้ยังไม่ถึงร้อย ตอนนี้ก็มีสูงสุดก็ ๘๐ กว่าเกือบ ๙๐ อีกหน่อยก็ถึง ๙๐ ต้องมีเหลือไปถึง ๙๐ไปเรื่อย ๆ สมณะ เราสูงสุดนี่ก็ ๘๘, ๘๙ แล้วหรือ เข้า ๘๙ แล้วหรือ นี่สมณะพ่อท่านองค์นี้ ท่านอมโล ยังจำ ๘๘ อยู่ ๘๙ แล้วหรือ จะ ๙๐ แล้ว เห็นว่า บ่นอยู่ว่า ปีนี้ว่าโอ้โหมันไป มันเสื่อมมาก มันความแข็งแรงน้อยลง ว่าอย่างนั้น เสื่อมมาก ปีนี้บ่นปีนี้ เอ๊ บอกว่า มันชักเสื่อมมาก มันไปมากว่าอย่างนั้น มันตอนปีนี้มันไปมากแล้ว ๘๙ เดี๋ยวร้อย ๙๐ ไปเรื่อย ๆ พวกเรานี่ นี่ละ อาตมาว่า แข็งแรงไปเรื่อย ๆ อาตมายังพูดย้ำแล้วซ้ำหลายทีแล้วนี่อาตมา เอ! เรานี่ ๗๐ ได้ยังไงนี่ คน ๗๐ นี่มันคนแก่นะ ใช่ไหม แล้วอาตมาก็ไม่รู้นะ ขนาดอาจารย์บุญนำ (ทานสัมฤทธิ์) เมื่อวันก่อน โอ๊! ท่าน ไม่เปลี่ยนเลย เหมือนเดิมเหมือนเดิม เหมือนเดิมเมื่อไร ไม่เจอกันมาตั้งเกือบ ๒๐ ปีนะ อาจารย์บุญนำ นี่ไม่เจอกัน

พวกเราได้ทำอะไรต่ออะไรขึ้นมาก็ขอให้อ่านที่อาตมาทบทวนก็ของเก่า ความรู้หลักเก่า ๆ แล้วมา ขยายความเพิ่มเติมขึ้น ถ้าเรามีจริง มีอะไรของเราจริง มีของจริงอยู่ในตัวเรา เราก็จะซับซาบ ได้ว่าอ๋อ อันนี้เอง ฟังมาหลายครั้งแล้ว อ๋ออันนี้หรือ ปัดโธ่! เพิ่งเข้าใจว่าอันนี้เพิ่งรู้ อันนี้อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราก็พากเพียรไป มันจะเห็นได้เป็นสังคมมนุษยชาติที่ประหลาดมหัศจรรย์ พระพุทธเจ้า ท่านก็บอก มหัศจรรย์ เป็นเรื่องที่เหนือมนุษย์ มันเกินมนุษย์ที่จะทำได้ง่าย ๆ แต่มันก็เป็นไปได้

ทุกวันนี้ถ้าเผื่อว่าเราเองเราแข็งแรง ชาวอโศกเรานี่เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม อย่างนี้แหละ ทำงานฟรี ไม่ขึ้นกับโลกธรรมไม่เกี่ยว จะมีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขมาให้แก่เราเอง เราก็ไม่ไป ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียแคลอรีไปคิดทำงาน แล้วก็ปฏิบัติธรรมของเราไป แล้วเราก็มีสันโดษ มีความมักน้อยสันโดษ ของเราได้ในฐานของหมู่ฝูงที่มีมาตรฐาน เรากินเท่านี้อยู่เท่านี้ แล้วเราก็ลด ละเอียดเนียนเข้าไป ได้อีกของเรา เราไม่ติดไม่ยึดในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในทรัพย์ศฤงคาร ในเครื่องใช้เครื่องกิน โภชเนมัตตัญญุตานี่ รวมทั้งเครื่องอุปโภคและบริโภค ทั้งเครื่องใช้เครื่องกิน เราก็ไม่ติดไม่ยึด แม้จะมีบ้าง ไม่มีบ้าง ถ้าอันไหนที่จะทำได้ มันเป็นประโยชน์ก็เอา แล้วไม่หวงไม่แหน ของใช้ส่วนกลาง ก็ของใช้ส่วนกลาง

บางคนนี่ของใช้ส่วนกลางละนะให้เราดูแล แหมดูแลไม่ให้ใครเกี่ยวข้องเลย อื้อหือกกเลย นะ ของใช้ส่วนกลางนะ อันนี้มันก็ไม่ไหว ของใช้ส่วนกลางก็ของใช้ส่วนกลาง เราจะดูแลก็ดูแล คนอื่นใช้ คนอื่นอะไรบ้าง ก็ต้องให้คนอื่นใช้ ไม่อย่างนั้นก็ยังหลง เพราะฉะนั้น มันซ้อนนะ ของกิน ของใช้ ของส่วนกลางก็ตาม เราก็จะต้องรู้จักการบริหารว่าเราจะใช้ขนาดไหน จะให้เพื่อนใช้ขนาดไหน เราจะช่วยดูแลขนาดไหน ไม่ใช่ของเรา มันยังยึดเหมือนเป็นของเราอยู่ ยิ่งหลาย ๆ อย่าง จะต้องตรวจ อุปกิเลส ๑๖ ตรวจตั้งแต่อภิชฌาวิสมโลภะ พยาบาท โกธะ อุปนาหะ มักขะ ปลาสะ มัจฉริยะ อิสสา มัจฉริยะ มันหวงแหนขี้เหนียว มัจฉริยะ ตระหนี่อ่านความตระหนี่ ตระหนี่น้อย ตระหนี่มาก คนอื่นได้ดี ริษยาเขาอยู่ มันมีการเปรียบเทียบ มันมีการวัดค่า นี่แหละมันก็ไปหามักขะ ปลาสะ ลบหลู่คุณ ของคนอื่น คนอื่นเขาทำดี ก็ไปลบหลู่เขา นั่นหยาบ จนกระทั่งมาถึงริษยา ริษยานี่ จะอ่อนกว่ามักขะ มักขะนี่ ลบหลู่คุณท่าน ปลาสะ ตีตนเสมอ อิสสานี่ไม่ต้องการให้ใครได้ดี เราต้องตรวจ อ่านมันละเอียดไปเรื่อย ๆ

จน มายา สาเฐย อวดอ้างตัวเอง โอ่ตัวเอง หลงตัวเอง ถัมภะ สารัมภะ ดื้อ ดื้อก็คือ มันตีไม่แตก ดื้อดึงดื้อด้าน ตีไม่แตก ถัมภะ สารัมภะ หยิ่งผยองในตัว หยิ่งในที หยิ่งในตัวเอง มันหยิ่งนี่มัน ไม่รู้หรอก ใครเป็นใคร หยิ่งก็คือของฉันนั่นน่ะ ลักษณะอยู่ในตัว สารัมภะ นี่พวกนี้ต้องตรวจสอบ มันกลายเป็นอัตตา มานะ อติมานะ เป็นตัวความหลง มันเป็นขั้นดีแล้ว มานะเป็นความดี การถือดี ดีแล้วก็ยึดดี ติดดี ถือดี มานะ อติมานะ นี่มันยังหลงเมามทะ ปมาทะ มันประมาทพวกนี้ไม่ได้ อุปกิเลส ๑๖ นี่ ไม่ใช่มีไว้ท่อง บอกแล้วเหมือนกัน จะต้องอ่านกิเลสละเอียดลออของเรา มันมีเล็กมีน้อย มีการทำงาน มีการเกี่ยวข้อง มีพฤติกรรมต่าง ๆ พวกนี้ จะเห็นได้ว่า อ๋อกิเลสเล็กกิเลสน้อย กิเลสละเอียด อย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าคุณเอาแต่ไม่มีผัสสะ ไม่มีอะไร ไม่ได้ทำอะไร วันหนึ่ง ไปผ่านไป วันหนึ่งก็หมดไปๆ มันไม่มีอะไรออกมาง่าย ๆ หรอก เล็ก ๆ น้อย ๆ คุณจะไม่มีญาณรู้เลย แต่ถ้าเรา ค่อยๆ ธรรมวิจัย สติสัมโพชฌงค์ วิจัยธรรมะ เล็กๆ น้อยๆ ละเอียดไปเรื่อย ๆ จะชำนาญ จะแหลมคม จะเห็นความลึกคมชัด แม่นตรง ละเอียดลออ ละลอ ละลอ โอ๊! มันวิจิตรสลักเสลา เพราะฉะนั้น ผู้ใดศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ละเอียด ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ปณีโต ปณีตะ ปณีตา สุขุมละเอียดแนบเนียน มันครบไปทั้งนั้นอย่างนั้นทั้งเลย

พวกเราได้มีอะไรต่ออะไรเพิ่มเติมขึ้นโดยที่หลายอย่างมันเป็นไปได้ โดยที่ไม่น่าเชื่อ อย่างที่ดิน ข้างหน้านี่ นี่ของพวกเราอะไรอย่างนี้ เอ๊อ นี่เป็นของเราแล้วนะนี่ พูดหยก ๆ ว่าไม่เอาอะไรเป็นเรา เป็นของเรานะ แล้วก็บอกว่านี่เป็นของเรา มันเหมือนคนตอแหลนะ พูดไปพูดมาเหมือนคนตอแหล คนพูดสับปลับ เห็นไหมเราก็ได้ของเราได้อาศัยได้ใช้งาน ได้ใช้ประโยชน์แล้วสบาย ๆ ซึ่งมันไม่น่า จะเป็นไปได้ มันก็เป็นไปของมัน ถึงเวลาวาระก็ทำไปเรื่อย ๆ นี่พวกนี้ค่อย ๆ โอ้โหเดี๋ยวนี้ นี่ อาณาจักร ของสันติอโศก เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เล็กแล้วนะ ตอนนี้โอ้โหข้าง ๆ เขิ้ง ๆ นี่ ค่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ตรงนั้นตรงนี้ ค่อย ๆ ไล่ไปตามลำดับอย่างนั้นเอง ไม่ต้องเป็นที่อะไรมากมาย สร้างสรรค์ทำประโยชน์ คนอยู่ก็ทำไป คนแก่คนเฒ่า แรงน้อยลงไปมั่ง คนใหม่เด็ก ๆ เล็ก ๆ ก็ขึ้นมาทดแทน เด็ก ๆ เล็ก ๆ ต่าง ๆ นานา

พวกการศึกษาที่เขามาเห็นพวกเรานี่ เขาบอกโอ้โห การศึกษาสมัยใหม่ เขาบอกอืออย่างนี้ ใช่พวกนี้ ดูทำเลยอย่างนี้ เพราะฉะนั้น เด็กเขาทำอันนี้นี่ เขามีหมดเลยนี่ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์อยู่ในนี้หมด ซึ่งเราเองก็นำมาแล้ว นี่พวกเขาจากกระทรวงมา เขาก็มา สำทับบอก โอ้โห อย่างนี้ละใช่ อย่างนี้ อย่างนี้ถูกแล้ว เขาก็สำทับไป พวกเราอบรมเป็นยังไง คุรุ อบรมไปแล้ว เขาพูดเรื่อง ของเราหรือว่า เขาพูดเรื่องของเขา แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง ว่ายังไงผู้ที่อบรมคุรุ ใครบ้างเป็นยังไง เขาพูดเรื่องของเรา หรือว่าเขาพูดเรื่องของเขา แล้วเราก็ไม่รู้เรื่อง หือรู้ เรื่อง เรื่องของเราหรือเรื่องของเขา เขามาพูดเรื่องของเราหรือ เข้าหมดเลยหรือ จริง ๆ ให้เขาศึกษามาเถอะ แล้วเขาจะได้ปริยัติกันมาก่อน ตัวปฏิบัติเขายังไม่มี

พวกเรานี่มีปฏิบัติแล้วเสร็จ แล้วเขาเอาปริยัติมา เอ้า เราทำมาแล้วนี่ เราทำมาแล้วนี่ มันเป็นอย่างนี้ ของเราทั้งนั้นแหละ นี่คือเขาแสดงว่าการศึกษาก็เริ่มจะเจริญขึ้นแล้ว กำลังจะเจริญขึ้นแล้ว เจริญยังไง เขาทำมาเหมือนเรา เขาคิดมาเหมือนเรา นี่คือเขาเจริญ แสดงว่าความเจริญอยู่ที่ไหน นี่เราไม่ได้ขี้ตู่นะ การศึกษาก็จะต้องมาทางนี้แหละ เพราะว่ามันเป็นการศึกษาที่มาสู่ความเป็นอาริยะมา สู่ความประเสริฐ มาสู่ความมีคุณค่า แล้วก็ไม่ติดไม่ยึด ไม่หลงใหล แต่ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร ชำนาญ มีความสามารถ มีสมรรถนะ แล้วก็สร้างสรร ได้แล้วก็เสียสละ ไม่ต้องไปโลภโมโทสัน

ฟังดี ๆ เถอะ ศาสนาพระพุทธเจ้านี้ มันคือคุณค่าของโลกจริง ๆ มันคือประโยชน์ของโลกจริง ๆ พหุชนหิตายะ โลกานุกัมปายะ เป็นเรื่องของการเกื้อกูลโลก อนุเคราะห์โลก ช่วยเหลือโลก ค้ำจุนโลก พระพุทธเจ้าถึงเป็นโลกนาถะ เป็นที่พึ่งของโลกจริง ๆ ไม่ใช่เป็นคนที่ไม่ได้เป็น โอ้โห บรรลุแล้ว ก็ไปอยู่ ป่าเขาถ้ำ แก้ผ้าโทง ๆ ไม่เกี่ยวกับใคร ได้สวรรค์แล้วตายแล้วก็จะไปอยู่โน่นกับพระเจ้า สวรรค์ที่ไหน ก็ไม่รู้ ไม่ใช่ ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ นี่ก็มาย้ำยืนยันให้ฟัง

เอาละสำหรับวันนี้อาตมาก็ทบทวน ทั้งในความรู้ปริยัติ เพื่อที่จะเอามาอธิบายให้คุณรู้ สิ่งที่เรามี เราเป็น เราได้ แล้วอธิบายขยายความไปถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับสังคม กับสัมพันธ์สังคม แล้วขยายผลเกื้อกว้าง ออกไป มีอะไรต่ออะไรเขยิบเพิ่มพูนเพิ่มฐานอะไรขึ้นไป พอสมควร เราถ้าฟังธรรม แล้วดี เข้าใจดี อาตมาว่า พวกเราจะจิตใจเบิกบาน ร่าเริง แล้วก็ตั้งมั่น มีความมั่นใจอะไรมากขึ้น ก็ขอให้ทุกคน มีอิทธิบาทแข็งแรง แข็งแรงแล้วก็รังสรรค์อะไรทุกอย่าง


 

ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑ โดย เทียนฟ้า บูรพ์ภาค
พิมพ์โดย เกตุวดี วงศ์ทองบาง ๒๖ เมษายน ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ปรีดา ๒๗ เมษายน ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

TCT0474.DOC