เศรษฐศาสตร์บุญนิยม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้า ๒ พฤษภาคม ๒๕๔๖
ณ พุทธสถาน
สันติอโศก
*****

มาเป็นมนุษย์นี่นา ก็มีแต่การพูดกันคุยกัน สื่อกันนี่แหละ เป็นสิ่งที่แน่กว่าสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เดรัจฉาน คุยกันไม่ได้ ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันสื่อกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น มันก็ทำอะไรลึกซึ้งไม่ได้ ทำอะไรได้มากมาย ก็ไม่ได้มากเหมือนคน คนทำอะไรได้มากมาย ทำคุณค่าประโยชน์ได้มาก แต่ก็เพราะการพูดกัน สื่อกัน ได้เรื่องได้ราว รู้เรื่องกันมากนี่แหละ มันจึงทำโทษก็ได้มาก ทำประโยชน์ ก็ได้มาก ทำโทษก็ได้มาก เพราะฉะนั้น คนจึงต้องศึกษามาก ฝึกฝนมาก เรียนรู้มาก เพื่อที่จะไม่ทำ สิ่งที่เป็นโทษ สิ่งที่เป็นภัย ให้ได้ แล้วเราก็จะได้มาเป็นคนที่ทำแต่คุณค่า ทำแต่ประโยชน์ ได้มากขึ้น ยิ่งปฏิบัติธรรมเข้าไป ยิ่งเรียนรู้ มนุษยชาติ เรียนรู้ชีวิต เรียนรู้ความเป็นจริง อะไรต่ออะไรขึ้นมาแล้ว มันก็เท่านั้นแหละ ในวัฏสงสารนี้ หรือว่าในเอกภพนี้ มันก็หมุนเวียนกันไป อะไรๆ มันก็เกิดมา แล้วก็หมุนเวียนกันไป เราเกิดมาเป็นพลังงาน ที่มันจับตัวขึ้นมาเป็นคน เป็นสัตวโลกแล้ว ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราไม่ได้ศึกษามัน ก็จะเหมือนกับ สิ่งที่มัน อยู่ในโลก ในมหาจักรวารนี้ ก็จะถูกมันผลักดัน เป็นไป อะไรต่ออะไร ไม่รู้จักสูญสิ้น พลังงานที่มันเกาะตัว เป็นอาตมัน หรือเป็นอัตภาพขึ้นมาแล้ว มันก็เป็นแล้ว เป็นแล้วเราไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้

ถ้าเผื่อว่าเราเอง เราไม่รู้จักวิธี ที่จะหยุด หรือว่าเลิก ความเป็นอาตมัน เลิกความเป็นอัตภาพ หรือเป็นอัตตา เป็นตัวเรา ถ้าเราไม่เลิก ถ้าเราไม่มีวิธี มันก็หมุนเวียนไปอย่างนั้นแหละ โลกนี้มัน จะแตกอีกนี่ เนบิวลา (nebula) ก็เกิดใหม่ เขาเจอ กาแล็กซีใหม่ กลุ่มของอะไร ต่ออะไร อยู่ใน มหาจักรภพ มหาจักรวารนี้ นี่ส่องกล้อง กล้องก็ทำ ใหญ่ขึ้น ส่องได้มากขึ้น ไกลขึ้น ได้เจอหมู่ ไม่ต้องเจอหรอก มันก็ต้องเจอ มันก็ต้องมีอยู่ อย่างนี้แหละ ใหญ่ขึ้น กำลังแตกตัว กำลังเป็นหมู่ กาแล็กซี กำลังเป็นหมู่ สุริยจักรวาลแตกกันออกไป แล้วก็ค่อยๆ เซ็ตตัวไปเรื่อยๆ กี่ล้านๆ ปีก็ช่าง มันก็ทำของมันไป มันก็เกิดอยู่ อย่างนี้แหละ ในโลกบางโลก โลกบางลูก ก็เป็นโลกที่พลังงาน จับตัวกันเป็นสัตว์ แล้วก็เกิดสัตว์ขึ้นไป จนกระทั่ง พัฒนามีสัตว์ ระดับคน ระดับมนุษย์นี่เกิดขึ้นมา แล้วก็อยู่อย่างนั้นแหละ หมุนเวียนไป ก็กระจายกันไป อีกตลอดเวลา ไม่รู้จักจบสิ้น แต่ทีนี้ ทางจบสิ้นมันมี ก็คือเมื่อคนนี่แหละคิดค้นพบ การจบสิ้น ที่จริงมันก็จะจบสิ้น มันก็ หมุนเวียนไป จบสิ้น โดยชาติ โดยอะไรของมัน คนก็มีทางจบสิ้น ถ้าเผื่อว่ารู้จักทาง แล้วก็ยิ่งเรารู้วิธีแล้ว เราก็จบสิ้น ได้เร็ว จะไม่จบสิ้นเร็วก็ได้ จบสิ้นเร็วก็ดี ถ้าผู้ใดอยากจบสิ้น แต่ถ้าไม่จบสิ้นก็ตาม เราจะยัง ให้มีอัตภาพใ ห้มีพลังงานนี้ หมุนเวียนไปอยู่อีก ตายเกิด เกิดตายอีกก็ได้

แต่วิธีที่มีหลักประกัน คือศาสนาพระพุทธเจ้า หรือศาสนาอื่นเขาก็พยายามทำ มันก็เป็นพลังงาน ที่สามารถ ที่จะก่อวิบาก เป็นกุศล แล้วก็รับวิบากเป็นกุศลไปได้ ก็ได้นานเหมือนกัน แต่ว่าศาสนาอื่นๆ ที่เป็นเทวนิยมนั้น ไม่สามารถ ที่จะเลิกล้มพลังงานนี้ได้ ไม่สูญ ไม่สิ้น ไม่หมดไปจากวัฏสงสารได้ เขาก็ทำได้ดี พยายามสั่งสม กดข่ม ทำน้ำหนักให้มันมาทางกุศล กุศลๆๆ ก็เวียนว่ายตายเกิด มีกุศลเป็นผลบุญ แล้วก็เกิดมาวนเวียน ก็รับผลบุญนั้นไป ซึ่งหนักๆ เข้าก็เวียนไปเหลิง พอได้กุศล มากๆ ก็ลืม พอนาน นานมาก นานเข้า แล้วมันก็จะลืม จนกระทั่ง เหลิง นึกว่าบาปไม่มี เพราะว่า เสวยแต่กุศลไปเสียนาน จนกระทั่งนึกว่า บาปมันไม่มี มันก็จะเหลิง แล้วก็ทำบาป ทำบาปไป ก็เป็นผลไปเรื่อยๆ จนกระทั่งสุดท้าย ก็หมุนเวียนกันอีก ก็ได้รับบาปอีก รับบาปรับบุญ หมุนเวียน อยู่อย่างนั้นแหละ

แต่ทีนี้ของพระพุทธเจ้านี่มีหลักประกันตรงที่ว่า บาปนั้น พลังงานที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดบาป จับพลังงานได้แล้ว ก็สลายตัวได้ อันอื่นก็มีแต่กดข่ม มีแต่พยายามที่จะมุ่งไปสร้างแต่ดี โดยเฉพาะ ศาสนาที่ มุ่งสร้างแต่ดี สิ่งที่ไม่ดีนี่ ทิ้งไปเลย ลืมโยนทิ้ง ไม่ไปเอาใจใส่เลย พยายามมุ่งแต่ดีๆๆ ชั่วนี่โยนทิ้งไปห่าง ไกลๆ แต่ไม่ไปศึกษาตัวเหตุ ศึกษาตัวเชื้อ เหมือนกับหมอรักษาไข้นี่ รักษา ความเจ็บป่วยนี่ ถ้าไม่ไปค้นให้เจอเหตุ แล้วก็บำบัดที่เหตุ สุดท้าย ให้สำเร็จ บำบัด สลายหรือ ทำลายเหตุที่แท้ โรคมันไม่หายขาด ไม่หายขาดๆ ฉันเดียวกันน่ะ ศาสนาพุทธนี่ รู้จักเหตุ แม้เป็นนามธรรม ก็หยั่งลงไป พวกเราอย่าลืมเชียว พวกเรานักปฏิบัติธรรมของพุทธนี่ ต้องอ่านจิต อ่านใจ เป็นนามธรรม เป็นอาการเกิดที่จิต แล้วเกิดจริงเป็นจริง เรายอมรับว่า กิเลสมีใช่ไหม มาถึงวันนี้แล้ว นักศึกษา ทางพุทธเรานี่ เราอ้อ กิเลสมันมีจริงๆ รู้แล้วละๆ ว่ามันพบกิเลส แต่กิเลสนี่มันมีบทบาท มันมีฤทธิ์แรง มันมีอำนาจ อยู่ในตัวเรา มันมีจริง มีอำนาจ เพราะฉะนั้น เราจะต้องจับมัน แล้วก็ทำให้มันจางคลาย ทำให้มันจนกระทั่ง ให้มันยอมจำนน จน กระทั่งสุดท้าย มันยอมหยุด ยอมสลาย ยอมไม่เกิดอีก

ของพุทธนี่มันไม่เกิด จนทำให้มันไม่เกิด แล้วก็มี ปัญญาสำทับ มันไม่เกิดแล้ว แล้วปัญญาเห็นพร้อม ด้วยว่า เมื่อไม่มีมันเกิด ตัวเหตุตัวร้ายตัวนี้ เมื่อไม่มี มันเกิดแล้วมีคุณค่า มีคุณงามความดี มีความสุข มีความสูง มีการสร้างสรร มีการเสียสละ มันมีสิ่งที่ เป็นคุณค่า มันเป็นสมบัติ อันสุดยอด การไม่มีกิเลสนี่ มันมีปัญญาจะรู้ อ๋อ มันวิเศษอย่างนี้ เพราะฉะนั้น น้ำหนักของอุปโตภาค เจโตวิมุตติ กับ ปัญญาวิมุตติ ปัญญารู้ว่า วิมุตตินี่ดี แล้วเป็นวิมุตติที่แท้ เจโตมันก็ วิมุตติได้จริง หมดหลุดพ้น จากกิเลส กิเลสมันตายได้จริง มันก็มี วิมุตติญาณทัศนะ เป็นปัญญา ญาณเป็นความรู้ความเห็นแจ้ง ที่เห็นในวิมุตตินี้ อย่างสมบูรณ์ เพราะฉะนั้น มันจะไม่เวียนกลับอีก มันจะไม่เวียนกลับ มันจะเที่ยงแท้ มันจะคงทน มันจะถาวร มันจะไม่เป็นอื่น มันจะไม่มีอะไรมาหักล้าง เปลี่ยนแปลงได้ เพราะฉะนั้น มันจะไม่ตายฟื้น อสังกัปปัง มันจะไม่ตายฟื้น มันจะไม่กลับกำเริบอีก เป็นอันขาด อันนี้เป็นข้อยืนยัน แล้วก็เราต้องพิสูจน์ เราเป็นนักวิทยาศาสตร์ เราต้องพิสูจน์ ธรรมอันนี้ มันไม่กลับไปจริงๆ

ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่นว่าเราเอง เราเลิกดูดบุหรี่ เลิกกินเหล้า เลิกทาลิปสติก เลิกอะไรต่ออะไรมาแล้ว เราเห็นไหม คุณค่าของ ความดีงาม มันไม่ได้อยู่ที่ลิปสติก มันไม่ได้อยู่ที่ไปดูดยา ไปกินเหล้า ไม่ได้อยู่ที่ แม้ที่สุดคุณค่าของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ที่ เราเป็นคนมีเงินมากๆ มีทรัพย์เยอะๆ เอาไว้ฟาดหัวคน เอาไว้เบ่ง เอาไว้ให้คนมากราบ มาเคารพ อะไรต่างๆ ก็แล้วแต่ มันไม่ได้อยู่ที่นั่นเลย มันไม่ได้ สุดยอดเลย จริงๆ แล้วมันกลับกันเลย คนมากราบเรา เพราะเรามีเงินมาก มันจะวิเศษอะไร มากราบเรา เพราะเราไม่เอาเงินไว้เลยนี่ ไม่ต้องมีเงินเลยสักบาท อันนี้ต่างหากเล่า ที่มันยิ่งยอดกว่า มากราบอะไรเล่า เขาไม่ได้มากราบ ที่เรามีเงินมาก แต่เขามากราบ เพราะเราไม่มีเงินเลย และเป็นคน ที่จะไม่มีเงินเลยด้วย ถ้ามีเงินมาเมื่อไรไม่เคารพ ไปสะสมเงินทองอีกไม่เคารพ อ้าว มันกลับกันอีก อย่างนี้เป็นต้น

นี่มันวิเศษกว่ากัน มันจะเข้าใจ มันจะเห็นจริงเลย โอ๊! ไปมีเงิน ไปสะสมเงิน ไปใช้เงิน มันจะวิเศษ อะไร ที่ไม่ต้อง ไปมีเงิน ไม่ต้องไปใช้เงิน ไม่ต้องไปสะสมเงินทอง ไม่ต้องไปเอามาไว้เป็นของตัว ของตนได้ อันนี้ต่างหากเล่า คนเห็น คนรู้ แล้วมันวิเศษกว่า มันจะเข้าใจ มันจะทำเพราะว่าเราเอง เข้าใจด้วยปัญญาญาณ ทำเพราะเต็ม ใจ ทำเพราะว่า ไม่เห็นอันนี้เป็นคุณค่า เป็นสิ่งที่มันต้องทำน่ะ มันต้องทำอย่างนี้ และเราก็ทำได้แล้วด้วย ทำได้แล้ว แล้วมันก็เป็น สิ่งที่ดีงามด้วย นอกจาก จะดีงาม ส่วนตัวแล้ว ดีงามทั้งสังคม

คิดดูสิถ้าเผื่อว่าคนนี่นา ในประเทศไทย ๖๒-๖๓ ล้านคนนี่ เป็นคนไม่สะสมเงิน เหมือนอย่าง ชาวอโศก เรานี่ ไม่สะสมแ ล้วเงิน ไม่ต้องเอาหมดหรอก คนเขาสะสมก็คงต้องมี มันจะมามีไม่สะสม ทั้งขนาดนี้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก เอาแต่ประเทศไทย ไม่สะสมเงินนี่ มีคนอย่างอโศกนี่ ๓๐ ล้าน ๒๐ ล้าน แค่นั้นก็ได้ คุณคิดดูซิว่า สังคมประเทศไทยจะมี ฐานะ เศรษฐกิจอย่างไร โอ้โฮ มันจะไม่แย่งกัน มันจะสะพัดกันดี มันจะคล่องตัว ค่าของเงินจะแข็งปั๋งเลย อะไรต่างๆ นานาพวกนี้ นี่คือเป็น เศรษฐศาสตร์บุญนิยม หรือเป็น เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ซึ่งโลกเขายังไม่รู้นะ นี่เขาเรียก เศรษฐศาสตร์ อะไรต่ออะไร มาจนกระทั่งมา จนถึงเศรษฐศาสตร์ คาร์ลมาร์กซ์ คาร์ลมาร์กซ์ก็ล้มเหลวไปแล้ว วนเวียนมาหาเศรษฐศาสตร์ทุนนิยม ทุนนิยมซับซ้อนอีก ทุนนิยมเสรี เอาก็ว่ากันไป คิดอ่านกันไป แต่อาตมาว่า เศรษฐศาสตร์ บุญนิยมนี่ สุดยอด ในอนาคตนี่จะต้องมาเป็นอย่างนี้ เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่สูงเด่นกว่า เศรษฐศาสตร์ใน ทฤษฎีอื่นๆ หมด เป็นแต่เพียงว่า คนมาทำเศรษฐกิจลักษณะนี้ ได้ยากเท่านั้นเอง แต่ก็จะต้องมี

เพราะชาวอโศก มีแล้ว ชาวอโศกนี่ทำขึ้นมาแล้ว เป็นตัวอย่างแล้วในกลุ่มคน แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างนี้ เราก็เป็น ไปสบายๆ เศรษฐศาสตร์เชิงนี้แหละ อาตมาดูแล้วก็ทึ่ง พวกเรายังทึ่งเลย ซื้อที่แปลงนี้ ไม่มีเงินสักบาท แบมือมา อาตมาก็บอกพวกเรา เอ้า มาร่วมหุ้นกันซื้อ บอกกันพอสมควร เราก็มา ลงขันกันซื้อ ก็มีได้ เป็นได้ เสร็จแล้ว ที่ดินแปลงนี้ ก็เป็นของเรา ไม่ได้เป็นของใคร ที่จริงไม่ใช่ ของเราหรอก แต่ก็เป็นของเรา ใส่ชื่อ นิติบุคคล ๙ ชื่อ มูลนิธิ ๓ มูลนิธิ มูลนิธิธรรมสันติ กองทัพธรรม มูลนิธิ มูลนิธิเพื่อนช่วยเพื่อน สมาคมอีก ๒ สมาคมผู้ปฏิบัติธรรม กับ ธรรมทัศน์สมาคม ๕ แล้ว แล้วก็มีบริษัทอีก ๔ เป็น ๙ บจ.ฟ้าอภัย บจ.พลังบุญ บจ.แด่ชีวิต บจ.ขอบคุณ เป็นเจ้าของ ซึ่งเจ้าของ ก็เหมือนไม่ใช่เจ้าของ เพราะว่าระบบของบุญนิยม นี่มันเกิดแล้ว ก็เป็นระบบของส่วนกลาง ระบบสาธารณโภคี ระบบไม่ใช่ของใคร แต่ก็มีตามโลกเขา เขาก็จะต้องมีเจ้าข้าวเจ้าของ เขาจะต้อง มีหลักฐาน ก็จะต้อง มีตัวตน มีผู้รับผิดชอบ มีอะไรต่ออะไรกัน ซึ่งเป็นสิทธิ ยิ่งทุกวันนี้ เป็นเรื่องของ สิทธิ เรียนรู้สิทธิกันมากมาย เราก็ต้อง ทำตามสิทธิ ที่เขาเองเขาก็ต้องเป็น เพราะคนในสังคม เขายังยึดถือเป็นเรา เป็นของเรา ยังมีกิเลส ยังหวงแหน สิทธินั่นสิทธินี่อยู่ต่างๆ นานา สิทธิในวัตถุ สิทธิในทรัพย์สิน สิทธิในพฤติกรรม สิทธิในความเป็นมนุษยชาติ อะไรก็แล้วแต่ เขาก็ทำของเขาได้ ก็เป็นจริง

อาตมาก็ขอขอบคุณนะ ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ แล้วก็เสียสละ หลายคนเสียสละกันอย่างน่า ปลาบปลื้ม น่าประทับใจ เงินทอง มีเท่านี้ คราวนี้เห็นความจำเป็น ก็เอามาเทกระบะให้มา เด็กเล็ก เด็กน้อย พยายามช่วยกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ อาตมาว่ามันเป็นเรื่องหายากนะ เดี๋ยวนี้ในโลก ในสังคม มนุษย์ เป็นเรื่องที่หายาก ซึ่งมีสิ่งพิสูจน์แล้ว ยืนยันแล้วว่า มันเป็นไปได้ แล้วมันก็เป็นความดีงาม ไม่ได้ประกาศ ไม่ได้ไปโพนทนาอะไรให้มันเอิกเกริกเฮฮายิ่งใหญ่อะไร แต่เราก็ทำของเรา ไปเงียบๆ ของเรางุบงิบๆ ของประสาเราๆ เราก็ช่วยกันไป ทำอะไรกันไป ซึ่งอาตมาว่าเป็นผู้ที่ พวกเรานี่แหละ จะรู้เอง จะซาบซึ้งเอง หลายคนผู้คนก็ทำกันไป บางคนมีที่มีทางก็เอาไปขาย เป็นแปลงสุดท้าย แล้วนะ ขาย ขายได้เท่าไรก็ขาย ขายแล้วเอามาลง บางคนมีทอง เอาทองไปขาย ไม่ขายเอาทอง มาให้เลยก็มี ก็แล้วแต่ นอกจาก มีทอง มีอะไรก็ให้มา ถ้าเห็นว่ามันจะเป็นสมบัติอะไรก็ว่าไป รวมแล้วมันก็เป็นไปได้ ก็มีงานทีไรนี่ เราต้อง เห็นว่า คนเราหนอ พวกเรานี่ได้ศึกษาฝึกฝน แล้วก็ได้ เรียนรู้ตัวเอง เป็นคนชนิดนี้ พอมีงานที อย่างงาน พ.ฟ.ด. ที่ราชธานีอโศก ปีนี้ที่ผ่านมา โอ .อาตมาซาบซึ้งใจมากเลย

ถ้าไม่มีคนอย่างพวกเรานี่นา ยาก คน ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ คน อยู่ในนั้น เหมือนไก่เอามาใส่เข่ง ไก่ เอามาอัดใส่เข่งไว้แล้วไก่ แหม ! ไก่หลายเผ่า หลายพันธุ์ มาจากหลายที่ด้วยนะ ไก่ไม่รู้จักกันด้วยนะ ไก่ไม่รู้จักกันด้วย เอามาใส่เข่ง เออ มันไม่จิกกันโว้ย เพราะมันช่วยกัน แบ่งกันอยู่ แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ แล้วก็ต่างคนต่างตั้งใจ เพราะมีคน ตั้งใจเสียสละ มากกว่า มากว่า พวกที่มาอบรมนี่ เขาก็รู้แล้วว่า เขาจะต้องมาลดมาละ เขาก็จะต้อง มาอดมาทน เขาก็รู้มาก่อน เพราะเราไม่บอกว่า คุณจะมาสำเริง สำราญ เอามาประชุมกัน สัมมนากัน มาสนุกสนานรื่นเริง meeting มาเอะอะเฮฮา ทุกคนก็จะมาเอา ไม่ใช่จะมาเสีย จะมาเอา ไม่ใช่จะมาเสียสละ อย่างนั้นคนละรูปเลย นี่มันต่างกัน เพราะฉะนั้น คนมาก็รู้ตัวบ้าง แล้วพวกเราก็ช่วยเขาอีก อย่างแต่ละคนๆ ก็ไปช่วยกัน โอ้โฮ อาตมาต้องขอบคุณ อีกจริงๆ เลย แม้แต่พวกเรา ไปจากสันติฯ จากปฐมฯ จากศีรษะฯ จากที่ไหนๆ มา คนละไม้คนละมือ เด็กเล็ก คนแก่ คนเฒ่าอะไรก็แล้วแต่ โอ้โฮ ถ้าไม่เป็นพวกเรานี่ ไม่สำเร็จหรอก อาหารการกิน เราไม่มีมื้อ ใครจะกินมื้อไหน กินไปเลย โอ เขากินกันขนาด ดูเหมือนจะก๋วยเตี๋ยว ของโยมซ้อวิบูลย์นี่ โอ้โอ คน ธ.ก.ส.คนหนึ่งกิน อื้อฮือเด็ดขาดเลยครับ ก๋วยเตี๋ยวนี่ ผม ๔ ชามครับ น้ำก็อย่าทิ้งเลยนะน้ำ โอ้โฮ ซด โอ้โฮ กิน ๔ ชาม น่าดูเลย ยังไม่แปลกใจ อาตมาไปได้ ข้อมูลหลัง มาอีก ว่าเด็กของเราซัด ๑๕ ชาม อาตมาบอกโอ้โฮ! มันกินอย่างไรวะเด็กของเรา ธ.ก.ส. ๔ ชาม เราก็ว่า เขาแน่แล้ว แต่เด็กของเราล่อ ๑๕ ชาม ยังไม่รู้ตัว อาตมายังตามไม่เจอ ใครกันแน่ ข้อมูลมา เด็กคนนั้นกิน ๑๕ ชาม อ้อ อยู่สีมา พวกคุณรู้ด้วย อ้อ นายโด่งหรือ เป็นหูนี่ อ๋อนายโด่งนี่หรือ โอโห! รู้จักตัวนายโด่งน่ะ ๑๕ ชามเลยหรือ เขาบอก กินต่อเนื่องกันด้วยนะ ไม่ใช่กินเช้าแล้วก็กลางวัน แล้วก็เย็น ๑๕ ชาม ไม่ใช่นา มื้อเดียวต่อเนื่องกันนา ๑๕ ชามน่ะ จริง คุณไม่ต้อง กินข้าวก็เชื่อแล้ว คุณกินแต่ก๋วยเตี๋ยวนั่นแหละ ๑๕ ชาม ก็เชื่อแล้ว โอ้โฮ! สถิติสันติ ๑๐ ชาม เอาเถอะมื้อเดียว ต่อเนื่อง ใช่ไหม โอ้โฮ จุ๊ๆๆ พวกเรานี่หนอ กินนะนี่นะกิน อาตมานึกว่ามันอะไรละ เขาว่าอัด เขาไม่ว่าอัดหรอก เขาว่า ย.อัดใส่เข้าไปๆๆ มันไม่ใช่อัดแล้วนี่ ย อ้าวก็เอาไม่เป็นไร กินได้ก็กิน กระเพาะใคร กระเพาะมันนะ

สรุปแล้วก็คือ คนที่ทำนี่นะ กลุ่มนี้แกะกระเทียมก็แกะมันทั้งวันเลย แล้วคนก็มาเอาวัตถุดิบไปทำ กลุ่มนี้ล้างผักล้างไป เดี๋ยวผักไม่มี เดี๋ยวไปเอาผักมา ผักเอานี่ ผักบุ้งก็ปลูกเอาไว้ ไปตัดผักบุ้ง ผักบุ้งยังไม่ทันตัด ยังไม่ทันเสร็จเลย ประเดี๋ยว มีคนเอาผักมาให้ ผักบุ้งมาเสร็จแล้ว โอโฮ ประกาศ ตอนนี้หยุด ขอให้คนไปตัดผักบุ้งหยุดได้แล้ว อย่าไปตัด มีคนเอาผักบุ้งมาให้แล้ว พอเพียง หยุด ต้องสั่งประกาศ ไม่ต้องตัดผักบุ้ง ของเราปลูกเอาไว้ใช่ไหม เราทำไว้สำหรับ รับจริงๆ ก็ไม่ต้องตัด หยุด แล้วเราก็เอา ที่เขาเอามาสมทบ มีคนเอามาทำบุญด้วย สมทบมา ก็ได้ผักบุ้งมา ก็หยุด อะไรอย่างนี้ โอ อาตมาดูแล้ว กิจกรรมของพวกเรานี่ แต่ละวงๆ คนโน้นดูแลอย่างนี้ คนทำขยะก็ดูแลขยะกัน อู้ฮูขนกันทั้งวัน ดูแลขยะแล้ว ก็ปรับกันไป ไม่มีแมลงวัน เอาไปแล้วก็ไปโรงขยะ แล้วก็เอาไปทำปุ๋ย ทำอะไร ก็ทำกันไป อาตมาก็ไปดูที่ ขยะ ไม่เหม็น เรียบร้อย ปีนี้ไม่เหม็น แมลงวันมีนิดๆ หน่อยๆ ถือว่าไม่มี ถือว่าใช้ได้ สะอาดสะอ้านดี เรียบร้อยเลย แมงวงแมงวันไม่มี อะไรต่างๆ นานา รับผิดชอบกัน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ดูแลกัน เราแบ่งส่วน เราแบ่งงานกัน แบ่งคนกัน โอ้โฮ อาตมาว่า ที่อื่นทำไม่ได้

ของเรานี่ คนทั้งตัวเล็กตัวน้อย ตัวใหญ่ ทำกัน โอ ๓, ๔ วัน พรึบ เรียบร้อย คนที่ละเอียดลออดีๆ นะ เขาจะไปดู เขาจะเห็น โอ สิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ เรื่องธรรมดา แต่ที่พุทธมณฑล เป็นอย่างไง ขยะเต็มเลย มันจริงๆ คนไม่ต้อง ถึงพันหรอก ร้อยคนนะมา งานที่นี้เขาทั้งกินทั้งอยู่ เขาอะไรพรึบ พอเขาลุกไปปั๊บ ร้อยคนไม่ต้องมากหรอก รก เลอะเลย ตรงนั้นน่ะ ถ้าเผื่อว่าไม่อายหน่อย ก็คงขี้และเยี่ยวอยู่ตรงนั้น ด้วยกัน กองอยู่ตรงนั้น ถ้าเขาไม่อายน่ะนา อาตมาว่า ลุกออกไปร้อยคนนี่ พอเสร็จงานชั่วโมง หรือ ๕ ชั่วโมงนี่ ลุกออกไปนี่ รับรอง เละอยู่ตรงนั้นแหละ ถ้าไม่อายกัน ทั้งขี้ทั้งเยี่ยวอยู่ตรงนั้นแหละ เสร็จ พิสูจน์กันที่สนามหลวง เราไปนอนแต่ก่อนนั้น ที่ไปบรรยาย ไปอะไร ไปหาเสียง ก็ตาม ไปอะไรก็ตาม ที่สนามหลวงเราก็เคย สะอาดสะอ้าน สิ่งเหล่านี้เป็นวัฒนธรรม สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่พวกเรา ต้องรักษา แล้วเราก็ทำได้ ถ้าเรามองไปในแง่ของทุนนิยม อาตมาพูด ต่อหน้า ธ.ก.ส. เขาเหมือนกันว่า ถ้ามองในแง่ทุนนิยม เราจัดงานนี้นี่ โอ งานนี้นี่ ใช้ไม่ได้เลยมองในลักษณะทุน เพราะอะไร ถ้าคิดค่า แรงงาน คนทุกคนคิดค่าแรงงานนี่ โอ้โอ ฟุ่มเฟือย ฟุ่มเฟือยแหลกลาญเลยนี่ โอ้โฮ เอาคนมาใช้กัน เปลืองผลาญ ถ้าคิดค่าแรงงานนี่ ไม่คุ้มเลย แบบนี้จ้างผู้ชำนาญพิเศษ เขามา แต่ละ JOB แต่ละงาน ๆ ทำงานนี้จนสำเร็จ ไม่ต้องเปลืองขนาดนี้ โอ้โฮนี่เปลือง ผลาญ ใช้แรงงานคนเกิน เฟ้อ มองในแง่ ทุนนิยม ใช่ เพราะทุนนิยมนั้น คือ วัตถุนิยม เขาจะไม่รู้จักเลย

แต่อาตมากลับ ไปมองในลักษณะของบุญนิยม บอกโอ้โฮงานนี้นี่ได้สร้างจิตวิญญาณ ได้สร้าง มนุษยชาติ ได้สร้างสังคมศาสตร์ ได้สร้างความสัมพันธ์อันดีงาม ได้สร้างการลดละ ได้สร้าง การเสียสละ ได้สร้างการอดทน ข้อ สำคัญคือ สังคมมนุษย์ มนุษย์ได้เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์ มาเกี่ยวข้อง ทั้งคนหน้าใหม่ หน้าเก่า หน้าเก่าก็ หลายคน ก็หนักนะ งานนี่แหม จะอดทนอย่างไร จะรับกับคนใหม่อย่างไร อย่างโน้นอย่างนี้ จะประสานกันอย่างไร คนใหม่มา ก็มาหัดอดทน ได้ทั้ง คนใหม่ คนเก่า คนกลาง อะไรก็แล้วแต่ มันเป็นการสังเคราะห์ สังเคราะห์มนุษยชาติ ให้เป็นสังคม ที่ไม่มีสงคราม มีสันติภาพ เป็นภราดรภาพ อาตมาว่ายังพูดไม่หมด สิ่งเหล่านี้ มันเกิดโดยธรรมชาติ หรือ เป็นสิ่งที่มันเกิด เพราะพิธีกรรมนี่ ถือว่าเป็นงานพิธีกรรม อันหนึ่ง เพราะเน้นไปในทางวัตถุน้อย

อาตมามุ่งหมายทางจิตวิญญาณมาก แต่เขาจะเรียกเป็นกิจกรรม ก็แล้วแต่ กิจกรรม พฟด. งาน พฟด. ก็ไม่ว่ากัน แต่อาตมาว่า มันเป็นพิธีกรรม งาน พฟด. มันสร้างจิตวิญญาณ สร้างพฤติกรรม มนุษยชาติ เน้นมันได้ประโยชน์ เท่านี้ ทางวัตถุน้อย ทางวัตถุไม่ได้เน้นอะไรมากมาย ก็เป็นรูปธรรม บ้างเล็กน้อย มีไอ้โน่นไอ้นี่เป็นสิ่งก่อสิ่งสร้าง เป็นผลผลิต เป็นสินค้า หรือว่าเป็นงานผลผลิต ทางกสิกรรมอะไรต่างๆ นานาบ้าง

แต่อาตมาก็ว่า มันไม่ได้เหมือนกับงานสินค้าของเขาที่จัด มุ่งเน้นอย่างโน้นเลย ทางจิตวิญญาณ เขาไม่เอาถ่านอะไร เขาเอาเรื่อง ของสินค้าเต็มที่ มันไม่เหมือน จะเป็นงานพิธีกรรมทีเดียว จัดแจง มีแต่เรื่องพิธีกรรมทั้งหมด มันก็ไม่ใช่ ทีเดียว แต่มันก็เป็นพิธีกรรม แต่ถ้าใครได้ไปงานนี้ จะเห็นได้ว่า โอ้โฮ มันได้งานกสิกรรม ขึ้นมาบนเวที เข้ามาพูด มาแสดงความเห็น มาอะไร ต่างๆ นานา มายืนยัน มาประกาศ บางคนประกาศแก่แล้วนะ จนกระทั่ง ต้องขอดึงไมค์ ออกจากปาก ก็ดึงไม่ออกแล้วนะ โอยแกยืนยันแก โอขนาดนี้นะนา มัน รู้สึกว่ามันได้อะไรขึ้นมาเลย คนที่รู้จักในการ สร้างสังคม หรือคนบริหารประเทศนี่นา อาตมาว่าผู้ใหญ่ๆ น่าจะได้มาศึกษา ได้มาเห็น แต่เอาละ เราได้ขนาดนี้ ก็ดี แต่ก็มีผู้ใหญ่ มาพอสมควร แล้วก็มีวิดีโอ มีอะไรต่ออะไรถ่ายทอดออกไป สู่ข้างนอกบ้าง แล้วก็ มีการบันทึก มีอะไร ต่ออะไรเอาไว้ เพื่อที่จะได้ดู ได้รู้ ได้เห็นอะไรกันบ้าง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่ เกิดในสังคม มนุษยชาติจริงๆ จังๆ งานสิ่งต่างๆ พวกนี้ ที่เกิดขึ้นมานี่ ทำให้อาตมายิ่งเห็นว่า โอ้! พวกเราเดินมานี่ เป็นทางที่วิเศษ เดินมานี่ทางนี้นี่ เป็นวิถีทางที่วิเศษ วิเศษยิ่งๆ ตามที่อาตมาเห็น ด้วยปัญญาของอาตมา เพราะสังคมมันกลับมีวิถีทางที่เดินไปอีกทิศหนึ่ง เป็นทิศที่ มีเล่ห์มาก มีเหลี่ยมเยอะ มีเชิงแฝงซ่อน มีเชิงชั้นที่เอาเปรียบ เอารัดกัน มันมากขึ้นๆๆ นี่วิถีทางของสังคมทุกวันนี้

แต่ของเรานี่พยายามที่จะมาในวิถีทางที่ทุกคน มาจริงใจ มาเสียสละ มาสร้างสรร มาสร้างค่า สร้างประโยชน์ มาลดตัว ลดตนอย่างแท้จริง มากก็ตาม น้อยก็ตาม มันก็มีทิศทางนี้กันอยู่แล้วจริงๆ พวกเราก็ตั้งใจทำกันไปแล้วจริงๆ คนอื่นๆ เขาก็เริ่มมารับรู้ แล้วเขาก็มาทำของเขาบ้าง หลายคน เขาก็อด เขาก็ทนนะ พวกที่เขามางานนี้ ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ บางคน น้ำมันก็ไม่ค่อยพอ โอ้โฮ น้ำ มันไม่ไหวจริงๆ เพราะว่าประปาของเรา มันไม่ได้ทำประปาไว้ เพื่อคน ๕,๐๐๐ แล้วมาใช้ พร้อมกัน ท่อเท่อ ก๊อก เกิ๊ก มันเปิดขึ้นมาพันท่อ แรงดันก็หมดแล้ว น้ำอะไรมันก็ไหลไม่ออกแล้ว มันหมด แรงดันแล้ว เปิดพันท่อนี่ มันก็วืดปูดๆ หมดแล้ว แรงดันก็หมดแล้ว มันไม่ได้ทำเพื่อคน ๔,๐๐๐-๕,๐๐๐ อย่างนี้ เพราะฉะนั้น น้ำ มันก็เลยไม่ค่อยพอกันเท่าไร มันก็ขาดแคลนน้ำ ขาดแคลนน้ำ ไฟฟ้ามันก็ไม่ค่อยพอ เพราะไฟฟ้ามัน เรายังไม่ได้เตรียมการ ถึงขนาดนั้น เอารถถ่ายทอดมา ตอนแรก ก็ติด ไฟไม่พอ ไฟมันตกไป เหลือ ๑๗๐ , ๑๘๐ เอง มันไม่ถึง ๒๒๐ โอ มันอะไรก็ไม่รู้ เราก็ไปจั๊ม ตรงโน้น ทำตรงนี้ อะไรต่ออะไรก็ว่ากัน ไป ก็ขาดแคลนไปบ้าง เขาก็ต้องอด ต้องทน น้ำท่าไม่ค่อย พอนี่ เขาต้องอดต้องทน อยู่กัน แล้วเขาก็มาเสียสละ มันประหลาดตรงที่ว่า เรามีบ้าน เจ้าของบ้าน ลงจากบ้าน ให้แขกอยู่ตามสบายเลย บางบ้านก็เอาข้าวของซุกไว้มุมหนึ่ง แล้วก็เอาผ้า คลุมไว้ คุณจะเอาอะไร ลักขโมยกันก็ได้ มันไม่ต้องลักขโมยกัน เพราะมันไม่มีอะไรจะให้ลัก ให้ขโมย อะไรกันนักหนา ซึ่งมันเป็น เรื่องที่อาตมาดู มันประหลาดจริงๆ สังคมคนหมู่นี้ เขาอาจจะมอง ในแง่หนึ่งก็ได้ ตอนนี้เราเปิดไส้ เปิดพุง ให้พวกคนข้างนอก เข้ามารู้ พวกนั้นก็เข้าไปรู้นา โอ้โฮ! ไม่รู้กี่บ้าน ก็เข้าไปหมด เข้าไปแล้วเสร็จบอก เฮ้ย คนบ้านนี้ มันท่าทาง มันรวยนะ แต่เข้ามาดู ในบ้านมันแล้ว ดูทั้งไส้ทั้งพุงแล้ว มันไม่มีอะไรหรอกวะ มันจนๆ มันไม่มีสมบัติ อะไรกันเลย จริงๆ แล้วบ้านพวกเรา มันไม่มีเครื่องใช้ไม้สอยอะไร มันไม่มีเครื่องหรูหรา พวกเครื่องเฟอร์นิเจอร์ หรูๆ หราๆ เหมือนอย่างกับชาวบ้านที่อื่นเขา แม้บ้านเขาอื่น เขาจนกว่าเรานี่นา เขาก็มีกว่าเรา

จริงๆ อันนี้มันซับซ้อนนา เขามีเครื่องนั่น เครื่องนี่ๆๆ โปเกจะทิ้งบ้าง ไม่ทิ้งบ้าง เขาก็หวงแหนของเขา สะสมเต็ม ไว้ในบ้านน่ะ มีเยอะนะ แต่ของเรา มันไม่มี ใช่ไหม มันของเครื่องทุ่นแรง เครื่องฟุ้งเฟ้อ อะไรต่ออะไร มันไม่ค่อยมีหรอก มันมีสิ่งจำเป็น มีอะไร ต่ออะไรบ้าง โดยเฉพาะที่ โลกๆ เขารู้กัน สิ่งพวกที่เขามีกัน มันไม่มี เพราะฉะนั้น คนที่เขามาอยู่ เขาก็จะต่าง เอาไปพูดกัน เฮ้ยบ้านที่คุณพักนี่ มันมีอะไรบ้างไหม ก็คงอาจจะไปพูดกันนา บอกโอบ้านนี้ มันไม่มี อะไรเลย มันก็มี ก็แค่นั้นแหละ แม้แต่ของใช้ของสอยมันก็ดู เขาจะไปเห็นหมด เห็นไส้เห็นพุงหมด อันนี้อาตมาว่า โอมันน่าอวด อวดความไม่มี อวดความไม่รวย อวดความไม่ฟุ้งเฟ้อ มันน่าอวด แล้วมันก็ไม่ได้อวดกันเล่นๆ ด้วยนะ อวดกัน ทุกมุมเลย เข้าไปในที่นั่น มันไม่ใช่ว่าซุกไว้ตรงนั้น ซอกไว้ตรงนี้ นี่มันไม่ใช่ เรื่องนี้นี่ มันไม่ใช่ เรื่อง บังเอิญ มันไม่ใช่เรื่อง ทำผักชีโรยหน้า แต่มันเป็นเรื่องจริง เห็นไหม มันกลายเป็นเรื่องจริง มันได้อวด จริงๆ มันกลายเป็น เราอวดนะ เราได้อวด แต่เราไม่ได้เจตนาจะอวดนา แต่มันได้อวด อวดจริงๆ ไม่ใช่ ผักชีโรยหน้า แต่เป็นครั้งที่ มันจะต้อง เป็นไปตามธรรม อะไรต่างๆ นานาพวกนี้ ซึ่งมีรายละเอียด

ยิ่งมองไป ยิ่งคิด ยิ่งเห็นไป อาตมายิ่งบอก โอ้โฮ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์นะนี่ เป็นเรื่องแปลกๆ หลายคน อาจจะ มองว่า มันไม่มีอะไรเลยนา โอ้โฮ! มันมีอะไร แล้วก็มีอะไร ก็พวกเรานี่แหละ ได้ไปช่วยไปเหลือ ได้ไปทำ อะไรต่ออะไร ขึ้นมาให้เป็นชิ้นเป็นอัน เป็นงานเป็นการ เป็นอะไร เรียบร้อย ขึ้นมา จริง มันมีอะไรบกพร่อง บ้างเล็กๆ น้อยๆ เราก็จะค่อยๆ แก้ไขปรับปรุงกันไป พัฒนากันไป อะไรมันหก มันตก มันหล่น มันไม่ครบ ไม่ครัน เราก็ซ่อมๆ แซมๆ กันไป เติมๆ กันไปให้เรียบร้อย

สรุปแล้วชีวิตของคนนี่ก็อยู่อย่างนี้อยู่กับงาน มีงานทั้งส่วนตัว หนักเข้าจริงๆ แล้ว งานส่วนตัว มันไม่มีอะไร มากหรอก งานก็เช็ดก้น คุณขี้แล้วไม่เช็ดก้น ก็เรื่องของคุณนา งานเช็ดก้น งานเข้าป่า กินข้าว กินอาหาร แหมอาตมาละ กินข้าว กินอาหารทีไรแล้ว บ่นหลายทีแล้ว แหมคนเรานี่นา ไม่กิน คงจะ ไม่เสียเวลา ไม่เห็นจะต้องเมื่อย กินนี่มันเมื่อยจังเลย กว่าจะกินเสร็จ เหงื่อหัวล้านอาตมานี่ ออกซกเลย กว่าจะกินเสร็จนี่ ถ้าอากาศนั่งอยู่ข้างล่าง ไม่กินเสียได้นี่ ไม่เสียเวลา ไม่เมื่อยเลย ต้องกิน ต้องขี้ ต้องเยี่ยว เท่านั้นเองคนเรา ไม่มีอะไรเลย เขามาทำงาน ถ้าไม่อย่างนั้น เราไม่ต้อง ไปเสียเวลา พวกนี้มาก เราจะมีเวลาทำงาน ทำอะไรต่ออะไรไป แหมทำงานนี่ มันก็เป็นประโยชน์คุณค่า งานอะไรดี งานอะไรที่เราเห็นว่าจำเป็น สำคัญที่เราทำได้ดีที่สุด ที่จะเป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ ไม่ใช่ทำไปเพื่อ ไอ้นี่ทำแล้วมัน ขายได้ดีนะ ขายได้เงินแพงๆ เราก็จะทำงานอย่างนี้ ทุนนิยม เขาจะมอง อย่างนั้น

แต่บุญนิยม หรือว่าในทางธรรมนี่ มอง เอองานนี้ มันเป็นงานสร้างสรร ให้แก่ มนุษยชาติ เป็นคุณค่า อย่างดี เป็นคุณค่าอย่างวิเศษ แล้วเขาจะมองงานพวกนี้ เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ชั้นสูง เป็นนักเศรษฐศาสตร์ที่มองสิ่งที่มีคุณค่า ที่ควรจะต้องสร้าง ให้แก่สังคม ที่ควรจะ supply อะไรมันเป็น ความจำเป็น คนเขาอาจจะไม่รู้สึก ไม่ใช่ไปเอากิเลสเป็นตัวตั้ง โอ อย่างนี้ สังคมต้องการ มันก็ต้องการกิเลสอยู่สังคม เพราะฉะนั้น พวกที่หาเงินนี่ จะเอากิเลสนี่เข้ามาปรุงมาแต่ง ถ้าไม่ผิด กฎหมาย ถ้าไม่ดูน่าเกลียด เขาจะทำสุดยอดเลย เอากิเลสกาม กิเลสอะไรก็แล้วแต่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อะไรต่ออะไรเข้ามาปรุงมาแต่ง มาทำเข้าไป เพื่อที่จะให้ได้รับความนิยม ให้ได้เงิน ให้ได้ราคา สูงๆ ก็เท่านั้นเอง

ซึ่งมองแล้วโอ้โฮ! มันไร้ค่าจริงๆ เลย คนพวกนี้ ทำลายสังคม ทำลายเพราะ เขายิ่งมาก่อให้กิเลส ของคนนี่ มากขึ้นๆ มา สร้างในสิ่งที่ มันจะยั่วยุกิเลส มอมเมา ซึ่งคนที่เขา ไม่ได้ศึกษาสัจธรรมนี่ เขาจะไม่รู้สึก แล้วก็จะไม่แก้ไข สังคมมันจึง เสื่อมลงไปๆ ทุกวัน เลวร้ายเข้าไป ทุกวัน แต่พวกเรา มาศึกษาธรรมแล้ว จะเห็นได้ชัดเจน แล้วก็จะทำในสิ่งที่ มันควรจะทำ มันจะสร้าง สิ่งที่มันเป็น คุณค่าประโยชน์ ไม่ไปมอมเมา อะไรที่จะมอมเมา ก็พยายามมาลด มาละกัน ตัวเราเองมี เราก็อย่าไปก่อ ไปสร้างเลย เรามาลด คนอื่นก็ควรลดๆๆ แล้วมันก็จะเป็นอยู่สุข สิ่งที่เราจ่ายออกไป เป็นแรงงาน เป็นความสามารถ เราก็จะไปสร้างในสิ่งที่ดีที่งามขึ้นมา สังคมก็จะอยู่กันอบอุ่น เป็นสุข อุดมสมบูรณ์ อยู่กันอย่าง ไม่มีพิษมีภัย อยู่กันอย่างอายุยืนด้วย อย่างอบอุ่นแข็งแรง เป็นคนที่ แข็งแรงด้วย อะไรพวกนี้ต่างๆ นานา ซึ่งอาตมายิ่งเห็นทะลุว่า โอโฮ! สุดยอดแห่งธรรมะ สุดยอด แห่งคุณค่า ของความเป็นมนุษย์ของสังคม นี่เราจะต้องขึ้นมา สร้างทุกคน กิเลสของแต่ละคนๆ ที่มีนี่ พยายามเถอะ อย่าปล่อยปละละเลย

เราจะประมาทตรงที่ว่า เราอยู่รวมกันแล้วมันค่อยๆ ดีขึ้น มันไม่ต้องขยัน มันก็พอกิน มันไม่ต้องทำ มันก็พอใช้ คนนั้นทำ คนนี้ทำ แค่นี้ก็พอแล้ว อันนี้แหละ มันทำให้เราขี้เกียจ มันทำให้เราประมาท มันทำให้เราเลี่ยง แล้วมันทำ ให้เราเอง ก็เราก็เท่านี้ มันก็ได้แล้วนี่ กิเลสของเราเท่านี้ มันก็ไม่หนัก ไม่หนา เราก็ไม่หาเรื่องมาก แล้วเราก็ ไม่ต้องลดก็ได้ เพราะลดกิเลส มันไม่อยากลดเท่าไร อาตมาว่า ในโลกนี้ หวงแหนอะไรมากที่สุดในโลก (กิเลส) นี่พวกเราตอบได้ ไม่ใช่หวงทองคำ ไม่ใช่หวงบ้าน หวงเรือน ไม่ใช่หวงแฟน ไม่ใช่หวงลูก ไม่ใช่หวงนั่นหวงนี่หรอก หวงกิเลส สุด คนเรานี่ มันหวงกิเลสนี่ หวงที่สุดๆ เพราะ ฉะนั้น อย่าไปหวงเลย

ถ้าเผื่อว่าเราลดละมาได้พอสมควรแล้วก็อยู่ในสถานะที่ มันก็พอเป็นไป มันไม่ต้อง กระเบียด กระเสียน อะไรมาก ข้าวมีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ เห็ดมีเก็บ แต่เราไม่ค่อยช่วยเก็บ หรอก ป่วยเจ็บมีคนช่วยรักษา แต่เราไม่ช่วยไปรักษาใครหรอก ขี้หมามีคนช่วยกวาด แต่ข้าไม่กวาด เอ็งกวาดแล้วกัน ผ้าขาดมีคนช่วยชุน เออ มีคนชุนแล้ว ฉันไม่ต้อง มันจะขี้เกียจ มันจะเกี่ยง มันจะเกี่ยง มันจะให้คนนั้นทำไปเถอะ เออ คนนั้นเขาก็ทำ ชื่นชม อู๊ย! แล้วก็ไปยอเขา อู๊ย! ขยันนะ เก่งนา ดีนา แต่ เราเองก็ร่อยๆ ไป แฝงไปวันๆ หมดไปวันๆ แล้วก็หมดวันไปๆ สุดท้าย ก็ตาย ไม่ได้พัฒนาอะไรตัวเองขึ้นมา อาตมาว่าช่องนี้แหละ อยากจะสำทับ กำชับกำชาพวกเราว่า อย่าดูดาย อย่าปล่อยปละละเลย

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า วันเวลากำลังล่วงไปๆ บัดนี้เธอกำลังทำอะไรอยู่ สิ่งที่ดีกว่านี้ กายกรรม วจีกรรม ที่ดีกว่านี้ ยังมีอีก ต้องทำขึ้นมาจริงๆ ต้องพยายามดูตรวจสอบ ว่าเราอย่าปล่อยปละ วันเวลาให้มันล่วงเปล่าไป โดยที่เรียกว่า ไม่ได้พัฒนา ไม่ได้สร้างสรร อย่างน้อยคุณทำงานสร้างสรร สิ่งที่เป็นประโยชน์คุณค่า พวกเราก็เลือกอยู่แล้ว งานการที่เราทำ เราไม่ไปทำสิ่งที่มันผลาญพร่า ทำลาย ก็ช่วยกัน คนนั้นคนนี้ มีกิจอะไรก็มาช่วยกัน มันก็ได้สร้าง สิ่งที่อาศัย เป็นกุศลโลกีย์อยู่แล้ว พร้อมกับกุศลโลกีย์ เราอย่าลืมตัวเอง ต้องเพ่งเล็งกล้า ในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ต้องตรวจสอบ ของเราอยู่ นี่ศีลของเราสูงขึ้นอีกได้ไหม ตั้งกรรมฐาน ตั้งข้อที่จะรอบรัด ที่จะเคี่ยวเข็ญตัวเอง ให้สูงขึ้น อันนี้ควรละ อันนี้ควรขยันขึ้น อันนี้ควร อย่างนั้นอย่างนี้ขึ้น อันนี้ควรปล่อยได้แล้ว อันนี้ควรวางได้ อันนี้ควรเลิกได้ อันนี้ควรสละได้แล้ว อันนี้ ควรจะหยุดยึด หยุดวาง อย่าไปยึด อย่าไปวางอีก อะไร ต่างๆ นานา เราต้องตรวจสอบ ตัวเราเอง อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาขึ้นไปด้วย แล้วพร้อมกันนั้น การปฏิบัติธรรมก็อยู่ด้วยกันกับ การทำงาน เพราะฉะนั้น การทำงานพร้อมกันไปกับ การปฏิบัติธรรม พร้อมกันไป ถ้าเราทำได้ลงตัว ทั้งการงาน ทั้งปฏิบัติธรรม มันไม่ต้อง แยกส่วน มันไปด้วยกันเรื่อย เราก็จะได้ทั้งกุศลโลกีย์ กุศลโลกุตระ

สักวันหนึ่ง กุศลโลกุตระก็ได้ จบสิ้นเป็นอรหัตผล พอจบสิ้นอรหัตผลแล้ว มันก็เหลือแต่งานโลกียะ กุศลโลกียะ โลกเดียว เราก็พึง สร้างกุศลโลกียะ ถ้าใครจบกิจแล้ว อย่างพระอรหันต์จบกิจแล้ว กุศลโลกุตระของท่าน ก็จบ ถ้าไม่จบ ท่านจะต่อพุทธภูมิ ก็เป็นไปตามธรรมของมันเท่านั้นเอง ท่านสร้าง ท่านอะไรอีก ท่านไม่ต้องไปละกิเลสของท่านแล้ว เพราะว่าท่านไม่โลภแล้ว หมดความโลภ แก่ตัวแล้ว หมดตัวหมดตนแล้ว ท่านจะสร้าง บำเพ็ญ ก็มีแต่ ความรอบรู้ เป็นโลกวิทู โลกานุกัมปา มีแต่จะเกื้อกูลคนได้มากขึ้นอย่างไร แล้วเรา ก็จะรู้จักคน รู้จักสังคม รู้จักอะไร ต่ออะไร ขึ้นอย่างไร โลกุตรจิตของท่านนั้นน่ะ เป็นอรหันต์แล้ว ถือว่าจบแล้วโลกุตรจิต ไม่ว่าจะเป็นอรหันต์ ขี้กะโล้โท้ หรือ อรหันต์ที่เป็นโพธิสัตว์ มหาสัตว์ หรือ อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า โลกุตรจิต ที่เป็น วิมุตติเท่ากัน หลุดพ้นกิเลส เกลี้ยง แล้วไม่ต้องมีอีกแล้ว เหมือนกันเท่ากัน ศูนย์เท่ากัน อรหันต์ เบื้องต่ำสุด กับอรหันต์สูงสุด ที่มีสมรรถนะ ความสามารถ มีโลกวิทูกว้างขวาง มีโลกานุกัมปา เกื้อกูลมนุษยชาติ ได้มากมายเท่าไร กับคนที่เป็นอรหันต์ ยังเกื้อกูล มนุษย์ไม่ได้มาก ยังไม่เก่ง ยังไม่มีสมรรถนะ ยังไม่รู้จักโลก ยังไม่รู้จักสังคม ยังไม่รู้จักมนุษยชาติอะไรมากมาย ก็ตาม แต่จุดที่ เหมือนกันเท่ากัน นั้นคือ นิพพานและวิมุตติ หลุดพ้น กิเลสหมดเกลี้ยง ตายสนิทของเรา ของเรา กิเลส ของเรา ตายเกลี้ยง เหมือนกันเท่ากันหมด สูญเท่ากัน พระอรหันต์ขี้กะโล้โท้ กับพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มีสูญ เท่ากัน แต่สิ่งที่ไม่เท่ากันก็คือ มันจะมีโลกวิทู โลกานุกัมปา ที่มากที่มาย ไปได้เรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ก็มีแต่ ประโยชน์ท่าน เกื้อกูลคนอื่น สร้างสรรไป อะไรต่ออะไรไป สิ่งเหล่านี้ มันเป็น เรื่องของมนุษยชาติ ที่ยิ่งใหญ่จริงๆ

อาตมายิ่งเห็นว่าพวกเรานี่ก็พยายามก่อ พยายามสร้าง พยายามพัฒนากันไป ยิ่งเห็นชัดเจนว่า ยิ่งเห็นว่า แหม มนุษย์โลกนี้ มันเหมือนอาตมาไปเที่ยวได้ดูแคลนคนอื่นเขา มันเหมือนไปดูแคลนเขา คนอื่นมันทำไมหนา ไม่มาเข้าใจทางนี้ ทำไมถึงโง่ คล้ายๆ อย่างนี้ คล้ายๆ ไปดูแคลนเขาว่า ทำไม ถึงโง่ ทำไมถึงไม่รู้นะ สิ่งเหล่านี้ มันน่าจะสนับสนุน สิ่งเหล่านี้มันน่าจะมาส่งเสริม มันน่าจะมา ร่วมมือกัน อย่างนี้จะเป็นเรื่องดีของสังคม ทำไมนะ เรียนกันมา ก็เยอะๆ ฉลาดๆ กันก็เยอะๆ บริหารประเทศอยู่ด้วยซ้ำไป แต่ไม่ยักจะมามองอีแร้งบ้าง มันเหมือน ดูแคลนเขา ว่าเขาโง่ เขาไม่มี ดวงตา เหมือนดูแคลนเขา เหมือนกับเราหลงตัวด้วย เราหลงตัวว่า เราดีเหลือเกิน อะไร เหลือเกิน มันก็เหมือนกันแหละ เหมือนกับหลงตัวจังเลยว่าเราดี คนอื่นดูซีนี่ ไม่ดีหรอก อย่างนี้ดีกว่า ๆ มันน่าจะมา สนับสนุนเรา มันน่าจะมายกย่องเรา มันน่าจะมาเชิดชูเรา

ความจริงอาตมาไม่มีแง่นี้เท่าไรหรอก แง่ที่มาเชิดชูเรา มายกย่องเรา แล้วเราก็จะได้เด่นเรื่องอันนี้ อาตมาว่า อาตมาได้เรียนรู้ แล้วก็ได้สำรวม ได้สังวร ได้ลดละ ได้อะไรๆ เพราะฉะนั้น ลักษณะอย่างนี้ อาตมารู้สึกว่า อาตมาจะไม่ค่อยมี แต่ ไม่รู้นา คนอื่นเขาอาจจะหาว่ามีก็ตามใจ แต่อาตมารู้สึกอยู่ อย่างหนึ่ง ที่เรียกว่า อืม. .คิดบ้าง มันก็ไม่ได้ ไปถึงเกิดขนาด คิดหนักคิดหนาอะไรหรอก ไม่ได้ไป มุ่งมาดอะไรว่า ทำไมคนโน้นเขาไม่มามองอันนี้ มัน ทำไม ไม่ส่งเสริมอันนี้ ทำไมไม่มายกย่องอันนี้ ทำไมยังโง่อยู่ ทำไมไม่มาเห็น ไม่มาอะไรต่ออะไรนี่ อาตมาอาจจะมี ลักษณะนั้นบ้าง แต่ว่าก็ไม่มาก ไม่มายอะไร ถ้ามากก็คงอึดอัดตัวเองแหละ หรือไม่ก็ไป เหวี่ยงปู๊บ เหวี่ยงป๊าบ เอาเข้าบ้าง แต่ก็ไม่ได้ ถึงขนาดนั้น เป็นแต่เพียงเปรยๆ ปรายๆ ไป เพื่อสะกิดนะ สะกิดเตือนให้คนได้คิดบ้างว่า อันนี้ดี แต่เราก็ไม่กล้า ที่จะคุยของเราเสียจน แหม เกินการน่ะ มันก็คุยบ้าง บอกความจริงบ้าง อันนี้ดีนา ดีอย่างโน้น อย่างนี้ๆ ก็มีลีลา ใช้ศิลปวิธี ในการที่จะสื่อให้คนอื่นเขาได้รับรู้ รับทราบ เชิงนั้นเชิงนี้ สำหรับพวกเรา อาตมาก็สื่อ ได้สนิทใจ สื่อได้ด้วยไม่กลัวพวกว่า คุณจะเพ่งโทษ จะหมั่นไส้อะไร มากมาย สำหรับข้างนอก ต้องระมัดระวังมาก กลัวเขาจะหมั่นไส้ ชิงชังเสียแล้ว มันก็ไม่ได้อะไร มันก็เท่ากับ ไปทำลายประโยชน์เขา เขาน่าจะมา ไม่ต้องไปผลัก เห็นเรา เราก็ไม่ผลัก อย่างนี้ก็ยังดี

อาตมาได้ข้อมูลหนึ่งมา ก็รู้สึกจะน่าชื่นใจ ข้อมูลนั้นก็คือว่า พวกเรานี่ได้เข้าไปกราบพระธรรมปิฎก นี่ท่านองค์นี้ เข้าไปกราบ ใช่ไหม เวลาคุณกราบนี่คุณเฉลียงบ่า นุ่งห่มอย่างนี้ใช่ไหม กราบ ได้ข่าวว่า ไปกราบท่าน ท่านโอ้โฮ รับไหว้ นี่ใช่ไหม โอ้โฮ รับไหว้อย่างงาม งามอย่างไร ลองๆ แสดงซี ….. เป็นกันเอง นัยรับไหว้ คือรับไหว้อย่างเสียไม่ได้ หรือ รับไหว้อย่างมีกิริยา คือมันรู้สึกว่า มันฝืนนา ไม่อยากรับไหว้ มันเห็นน่ะ ทีท่าจะช้าจะเร็วอะไรแล้วแต่ จะยก จะอะไร มันจะเหมือน ถ้าจะรับ อย่างเดียวอะไร มันก็จะเห็น ใช่ไหม แต่ทีนี้ตรงกันนา ไป ๒ รูป สมณะเรา ๒ รูป ท่านฟ้าไทย กับท่านกล้าตาย บอกชื่อท่านหรือเปล่า แล้วท่านทั้ง ๒ องค์นี่ไม่กล้าบอกว่า มาจากที่ไหน องค์นี้ บอกว่า มาจาก กรุงเทพฯ อีกองค์หนึ่งบอกว่า มาจากอุบล คนกลางรินธรรมก็เลยบอกว่า นี่มาจาก สันติอโศก นั่นมาจาก ราชธานีอโศก เลยบอกเสียให้ชัดเสียเลย แหม ๒ องค์นี่เหนียม ไม่กล้า ไม่กล้าบอกความจริง ว่ามาจากที่ไหน ทางโน้นก็เลย บอกให้เสียเลย ท่านก็ดีนะ จริงๆ ท่านเห็น ท่านก็รู้แล้ว ท่านเห็นอะไร สี ท่านก็รู้แล้วนี่ แหม มีสีอย่างนี้ ที่ไหนเล่า ไม่มีหรอก พระที่ไหนสีนี้ก็ไม่มี มีสีอย่างนี้ที่เรานี่เท่านั้นเอง ไปนา ก็ได้รับซับทราบ อันนี้เป็นข้อมูล อาตมาก็ว่า เออก็ดีนะ

ท่านพระธรรมปิฎกนี่เป็นที่นับถือของประเทศไทย ต่างประเทศด้วย เป็นที่นับถือว่าเป็นยอด แห่งปราชญ์ ของทางพุทธศาสนา ซึ่งเราอีแร้งนี่ เราก็จะต้องคอยดู นี่ไม่ได้ไปพูดประชดประชันท่าน ท่าน จริงๆ ท่านเป็นอย่างนั้นจริงๆ ซึ่งก็เอาละ เมืองไทยเรายอมรับนับถือ ท่านก็เป็นคนที่ เป็นผู้ใฝ่ การศึกษา อาตมาก็ได้พึ่งอาศัย ตำรับตำรา ที่ท่านทำเอาไว้ ท่านเรียบเรียง ท่านตรวจสอบ ท่านเอามา อะไรไว้ รวบรวมไว้ โอ้โฮ! ขอบคุณท่าน อยู่ตลอดเวลา ท่านก็เข้าใจ ท่านพยายาม ที่จะไม่ให้มัน ผิดเพี้ยน ในส่วนที่มันควรจะเป็น ในนิรุติภาษา ตามปฏิภาณของท่าน ก็ทำเอาไว้ดี อาตมาได้อาศัย มาเยอะ อาศัยประโยชน์ที่ อาตมาไม่ต้องไปติดตาม แล้วก็อะไรที่ท่านได้บันทึกไว้ ได้เป็นประโยชน์ ศึกษา ซึ่งเป็นความรู้ของท่านด้วย แล้วก็เป็นของพระพุทธเจ้า ที่ท่านเอามารวบรวมไว้ อาตมาตั้งใจว่า จะอ่านพุทธธรรม หนังสือพุทธธรรมของท่าน ยังไม่ได้อ่านจนบัดนี้ ตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือพุทธธรรม ให้จบก่อน แล้วค่อยเขียน พุทธศาสตร์ สงสัยจะไม่ได้อ่านจบแล้วค่อยเขียน สงสัยจะต้องเขียนก่อน อ่านไปบ้าง อาจจะอ่านบ้าง ก็คงจะ ต้องอ่านบ้าง ในบางคราว ในบางส่วน เพราะว่าท่านเอง ได้เรียบเรียง รวบรวมอะไรเอาไว้อย่างไร ก็ไม่ว่ากัน อาตมาเอง อาตมา ที่จริง ไม่อ่านเลย อาตมาก็ เขียนเองได้ เขียนหนังสือพุทธศาสนา ถ้าอ่านบ้างนี่เรา ก็จะได้ปฏิภาณ อะไรอีกบ้าง ที่ควรจะเอา มาเขียน เพราะท่านก็เขียนในเชิงของท่าน อาตมาก็จะเขียน ในเชิงของ อาตมา มันคนละเชิง แน่นอน ซึ่งอาตมาเจตนาจะเขียน เพื่ออะไร เพราะอะไร แล้วอยากจะให้ คนนี่รู้จักศาสนาพุทธอย่างไร อาตมาก็ต้อง เขียน ตามเรื่องของอาตมาแน่นอน ทุกวันนี้ ก็ทำงานเขียนนี่ เพื่อบันทึก หลายอย่าง ที่ต้องบันทึกออกมา ต้องเขียน ออกมา อาตมาไม่เหน็ด ไม่เหนื่อยกับการเขียนที่ จะต้องเขียนจริงๆ มันเหนื่อยน่ะ แต่ว่ามันก็รู้สึก ใจมันทำ มีความยินดี มีความตั้งใจที่จะทำ เหมือนไม่เหนื่อยไม่หน่าย

มันรู้สึกว่าเป็นความสำคัญน่ะ มันรู้สึกว่า มันจะต้องสร้าง ต้องทำขึ้นมาไว้ให้แก่โลก ถ้าไม่ทำแล้ว อาตมาว่า มันก็คงไม่ได้ทำ แล้วก็คงไม่มีใครจะทำ ก็อาจจะดูหมิ่นคนอื่นก็ได้ ในใจลึกๆ ถ้าจะมองว่า อาตมาไปหมิ่นคนอื่น อาตมาว่า คนอื่นไม่ได้รู้อย่างนี้นา อาตมารู้ในสิ่งที่อาตมารู้นี่ อาตมาว่า มันเป็น สิ่งที่ไม่ง่าย แล้วมันก็ไม่ใช่ว่า มันจะรู้ได้ง่าย ขนาดที่อาตมาพยายาม จะสื่อมันเป็นภาษาเอาไว้นี่ โอ ตรวจแล้วตรวจอีก แก้แล้วแก้อีก พยายาม มันก็ยังไม่คม ยังไม่แม่น ยังไม่ชัด ยังไม่ดีจริงเลยนา แก้แล้วแก้อีก แก้เท่าไรก็ได้ แต่ก็บอกว่าเอาละ แก้ขนาดนี้พอ ที่อาตมาจะหยุดแก้นี่ จะต้องบอก ตัวเองว่า พอแล้ว ถ้าไม่พอแล้วก็ต้องแก้อีกได้ ซึ่งอาตมาก็บอกว่า มันไม่จบสักที ไม่ไหวหรอก มันขยายได้ มุมนั้น มุมนี้ มันขยายได้ทุกอันแหละ เพราะฉะนั้น มันก็จะต้องเอาเอาขนาดนี้พอ ก็จบ เท่านั้นแหละ ที่จะหยุด แล้วก็ต้องทำให้แก่พวกเราเอาไว้

คืออาตมาก็จะต้องมีเวลาที่จะต้องเขียนหนังสือ จะต้องเทศน์ จะต้องบรรยาย บรรยายก็ได้ด้วย บรรยายก็บันทึกไว้ ขนาดหนึ่ง เขียนอีกขนาดหนึ่ง เขียนนี่จะได้เรียบเรียง ได้หลักฐาน ได้ตรวจสอบ ได้เรียบเรียงอะไร ละเอียดละออ ครบครัน แต่ถ้าพูดนี่ มันมีเท่าไรมันก็พูดไป ลืมบ้างปนๆ เปๆ บ้าง ขาดหกตกหล่นบ้าง เกินๆ บ้าง อะไรก็แล้วแต่ แต่อันนี้ มันได้ตรวจสอบ ดู ตรวจแล้ว ตรวจอีกดี เพราะฉะนั้น ใครที่ฟังเทศน์แล้ว ก็ควรจะอ่านหนังสือด้วย เพราะว่าหนังสือ จะเสริมหนุนความ แม่น คม ชัด มันจะทั้งลึกทั้งกว้าง และทั้งที่ไม่ฟุ่มเฟือย ทั้งที่ไม่ขาดหกตกหล่น อะไรพวกนี้ มันจะดีกว่าที่ มาฟังแต่เทศน์ บรรยาย เพราะบรรยายมันก็ได้อะไรอันหนึ่ง ถ้าอ่านหนังสือแล้ว จะได้อะไรอีกอันหนึ่ง อาตมาว่ามันไม่เหมือนกันทีเดียว เรื่องเดียวกัน ก็ไม่เหมือนกันทีเดียว จะได้ ดูเหมือนเทศน์นี่ง่าย อ่านหนังสือนี่ยาก แต่อ่านหนังสือ จะลึกจะกว้าง จะครบครัน จะได้เนื้อได้แก่นกว่า ถ้าเทศน์ มันก็จะได้ ฟังได้ขนาดหนึ่ง เพราะฉะนั้น ก็ต้องพยายามตามศึกษาดูดีๆ

เอาละ อาตมาได้หยิบอะไรต่ออะไรต่างๆ มาบรรยาย มาพูดเท่าที่ควรจะพูดในวาระวันนี้ เป็นการเทศน์ธรรมดา วันเสาร์ อาตมาก็ตั้งใจจะเทศน์ ทุกเสาร์ พยายาม อยู่ที่ไหนก็จะพยายามเทศน์ ในวันเสาร์ ทำวัตรเช้า จะพยายามทำ ให้มันเป็นกิจของอาตมาเอง ถ้าไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้ทำ คืออาตมา ก็จะทำประโยชน์แก่พวกเรา อยู่ที่ไหนก็ที่นั่น สำหรับ อาทิตย์ก็เทศน์ วันเสาร์ก็เทศน์ อย่างนี้ นอกนั้น ก็เอาเวลา ทำอะไรอื่นๆ อีก ตัวอย่างที่เห็น เยอะแยะ ก็ทำไป โดยเฉพาะ เขียนหนังสือนี่จะมาก แล้วเขียนช้า ไม่ได้แกล้งให้มันช้านะ ไม่ได้อยากให้มันช้า อยากให้มันเร็ว แต่มันได้เท่านั้น ตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบอีก จนกระทั่งบางคนจะหาว่า แหมมันละลอเกินไป

ลืมศัพท์คำว่า ละลอ หรือยัง ไม่ลืมนา มันละลอเกินไป ถ้าคำว่าละเลียดนี่ มันจะเป็นเชิงไม่ดี มันละเลียดไป มันละเอียดเกิน มันละเอียดจนไม่เข้าท่า ละเลียดนี่นา แต่อาตมาว่าไม่ใช่ละเลียด หรอก มันละลอ อันนั้นเขาละเลียดมาจากละเอียด ของอาตมานี่ละลอมา จากละออ ละเอียดละออ ของเขาเอา ละเลียดเข้าไปหาละเอียด ของอาตมาละลอมาหาละออ งาม ละเอียดมันก็อาจ จะละเอียด เหมือนกันอยู่แล้วละ แล้วก็มาละลอ ละเอียดกับละลอ สร้างศัพท์ใหม่ขึ้นมาใช้บ้าง ศัพท์ใหม่ของเรา มีหลายศัพท์แล้วนา เดี๋ยวนี้ เกื้ออย่างนี้เป็นต้น หนุนอย่างนี้เป็นต้น ข้างนอก เขาไม่รู้เรื่องหรอก อะไรวะม่วนเกื้อ เกื้อนี่คือ ยืมเงิน ยืมเงินมาโดยไม่ต้องเสียดอก เรียกว่าเกื้อ แล้วหนุน ล่ะ ก็เงินหนี้ ที่ไม่ต้องเสียดอกนั่นแหละ เรียกว่า เงินหนุน ไม่ได้เรียกว่าเงินหนี้ ไม่มีดอก นั่นแหละ เงินหนุน อะไรอย่างนี้ เราก็ใช้ของเราไป ตามประสาเรา เพราะภาษา มันเป็นสื่อ ที่จะสื่อกัน รู้ความ

อาตมาก็พยายามทำ บัญญัติอะไรหลายๆ อย่างอยู่ พวกเรารับรู้กัน แล้วก็ใช้กันไปในหมู่กันพวกเรา ข้างนอกเขา ไม่รับก็ช่างเขา เขารับก็รับ แล้วแต่ อย่างภาษาที่อาตมาเอาไปใช้กับข้างนอกเขาบ้าง อย่างนี้ เขาไม่รับด้วยก็มีเยอะ เขาหมั่นไส้ ด้วยซ้ำไป แหมทำเป็นใหญ่ ทำเป็นผู้บัญญัติศัพท์ อะไร ต่ออะไร เขาก็อาจจะหาว่าอย่างนั้น ทั้งๆ ที่เรา ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่ได้เป็นราชบัณฑิต ไม่ได้เป็นคน จบปริญญานั่นๆนี่ๆ อะไรเลย ไม่มีเลย แล้วจะมานั่ง แอ๊คด้วยนี่ เขาก็คง มีคนหมั่นไส้ ก็ไม่เป็นไร อาตมาไม่ได้ไปติดใจอะไรหรอก อาตมาใช้อะไรไป ก็ใช้ไปต่างๆ นานา เท่าที่ควร จะเป็นประโยชน์ นา

เอ้าเอาละ สำหรับวันนี้ ก็อยากจะให้พวกเราได้ไปสังวร สำรวม ให้เพิ่มพูน อย่าไปเท่าเก่า อย่าไป ติดแป้น อย่าไปอยู่ เท่าเดิม พัฒนาทั้งโลกียกุศล ทั้งโลกุตระกุศลให้ได้ เพราะว่าจริงๆแล้ว ปฏิบัติ โลกียกุศล กับ โลกุตรกุศลน่ะ มันจะเป็นกุศล ไปพร้อมกัน ซ้อนกันไปทีเดียว

เอา สำหรับวันนี้หมดเวลา


ถอด/พิมพ์ โดย พ.ท.นารถ กองถวิล ๒ มกราคม ๒๕๔๗
พิสูจน์อักษร โดย สม.ปราณี ๘ มกราคม ๒๕๔๗
พิมพ์ออก โดย พ.ท.พึ่งธรรม ๑๓ มกราคม ๒๕๔๗
เข้าปก โดย สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
เขียนปก โดย พุทธศิลป์
TCT0460.DOC