รวมพลังกู้ดินฟ้า
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
๒๑ พฤจิกายน ๒๕๔๖

*****

เจริญธรรม ทุกคน ดีน้อ มาเจอกันเยอะๆ นี่นา ทุกคนนี่ คนทั้งนั้นใช่ไหมนี่ ทุกคนคนทั้งนั้น พระพุทธเจ้า เรานี่ก็คน พระพุทธเจ้าเราไม่ใช่อวตาร คือไม่เหมือนกับ พระเยซูอย่างนี้ ศาสดาของ ศาสนาคริสต์ เขาอย่างนี้เป็นต้น หรือศาสดาของศาสนาด้านเทวนิยม ด้านที่เขานับถือ พระเจ้ากัน ที่เขามีพระเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นสิ่งยิ่งใหญ่กันนี่ สำหรับศาสดาเขา เขาไม่ได้ถือว่า เป็นคน เขาถือว่าเป็นอวตาร คือเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า อย่างศาสนาพราหมณ์ อย่างนี้ ศาสนาพราหมณ์ เขาก็ถือว่า ผู้ที่เกิดมาเป็นศาสดาหรือว่าเป็นผู้สั่งสอน เป็นผู้สำคัญนี่ ถือว่าเป็นผู้ที่ เกิดมาจาก พระพรหม พระพรหมเป็นผู้ที่แบ่งส่วนใดส่วนหนึ่งของพรหม มาเกิดเป็นคน แล้วก็ถือว่า ไม่ใช่คน เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่คน แล้วก็การเทศน์ การบรรยาย การสอน ไม่ใช่คำสอนของศาสดา ถือว่าเป็น โองการ ของพระเจ้า ศาสดาจะมาสอน มาบอกนี่ ถือว่าไม่ใช่ของศาสดาเอง เป็นของพระเจ้า พระเจ้าให้มาพูดอย่างนี้ พระเจ้าให้มาบอก อย่างนี้ พระเจ้าให้มากระทำอย่างนี้ จงทำตามคำสั่ง พระเจ้า นั่นคือศาสนาที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีพระเจ้า มีอะไรที่บันดาล เขาจะนับถืออย่างนั้น ต่างกันกับ ของพุทธ

ของพุทธเราไม่มีพระเจ้าบันดาล ไม่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีอะไรที่จะมาคอยให้เป็นอย่างโน้น ให้เป็นอย่างนี้ แต่ว่าศาสนาพุทธเรา ทุกวันนี้ เพี้ยนไปมากแล้ว เพี้ยนไปเป็นแบบ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็อ้อนวอนร้องขอ สาธุ แม้แต่จะทำบุญ ทำทาน แม้แต่ทำอะไรต่ออะไรก็ตาม ก็อ้อนวอนร้องขอ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย ให้บันดล บันดาล นั่นน่ะผิด ศาสนาพุทธหมด

ศาสนาพุทธนั้นเชื่อกรรม ไม่ได้เชื่อพระเจ้า ไม่ได้มีพระเจ้ามาคอยบันดาล แต่เป็นศาสนาที่ให้เชื่อกรรม ให้เชื่อตัวเอง อัตตา หิ อัตโน นาโถ ให้เชื่อตน ตนของตนเป็นที่พึ่งของตน ไม่ใช่ไปพึ่งพระเจ้า มันเป็น ศาสนาที่ต่างกันคนละขั้ว พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่รู้นะ ไม่ใช่ไม่รู้ว่าศาสนาที่เขามีพระเจ้า เขามี แล้วเขา ก็นับถือกันอย่างยิ่ง ไม่ใช่ไม่รู้ พระพุทธเจ้าเกิดมา อุบัติขึ้นมาในตอนนั้น ก็มีศาสนามีพระเจ้า ทั้งนั้นแหละ ในยุคที่พระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมา นี่ ศาสนาต่างๆ ก็เป็นศาสนาที่มีพระเจ้าทั้งนั้น นับถือพระเจ้า ศาสนาฮินดู ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาอะไรอื่นๆ ที่มีลัทธิย่อยๆ แยกๆ ไปอีกเยอะแยะ นับถือพระเจ้าทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมานี่ประหลาดเขา ไม่เหมือนเขา ไม่นับถือพระเจ้า ไม่คิดว่า พระเจ้านี่มีฤทธิ์มีเดช มาบงการ มาคอยจะต้องบันดาล ให้เป็นอย่างนั้น จะต้องบันดาล ให้เป็นอย่างนี้ ท่านไม่เอา ท่านถึง ต้องต่อสู้ พระพุทธเจ้านี่ อุบัติขึ้นมาตอนนั้น แล้วก็ต้องต่อสู้อย่างหนักเลย เพราะว่าทั้งหลาย ทั้งแหล่ เขาเชื่อพระเจ้า เมื่อไม่เชื่อพระเจ้า คล้ายๆ กับไป ลบหลู่พระเจ้าเขา ท่านก็เลยต้องลำบาก สาวกของท่าน ถูกฆ่าตายเยอะเลย ถูกฆ่าตาย

เพราะเรื่องของศาสนานี่ ไม่ได้นา ลบหลู่กันไม่ได้ ดูถูกกันไม่ได้ ฆ่าแกงกันตาย ยิ่งสมัยโบราณ ยิ่งฆ่ากัน เล่นๆ เลย ไม่เหมือนสมัยนี้ กฎหมายมันเข้มงวด สมัยก่อนนี้ ก็ฆ่ากันแล้วก็ ไม่ค่อยจะมีตำรวจ มาสอบสวนอะไร กันนักกันหนาหรอก ๒๐๐๐ กว่าปีที่แล้วนี่ ก็ไม่ค่อยมีกัน เพราะฉะนั้น ก็ต้องต่อสู้ อย่างหนักเลย โดยเฉพาะก็ต่อสู้ ในเรื่องของความคิด ในเรื่องของความเข้าใจในทิฐิ ทิฐิความเห็น ความเข้าใจ ความเชื่อ

คนส่วนใหญ่ก็เชื่อพระเจ้าทั้งนั้น เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งนั้น แต่พระพุทธเจ้านั้นท่านก็บอกว่า เอาละสิ่งนั้น ก็ยกไว้ คือท่านต้อง ประนีประนอม ท่านไม่ไปเถียง ท่านไม่ไปลบหลู่เขา ท่านไม่ไปพูดอย่างที่อาตมา พูดหรอก อาตมาพูดนี่ เพราะศาสนาพุทธเรา เกิดมาตั้ง ๒๕๐๐ กว่าปีแล้ว แล้วเมืองไทยเรา ก็เป็น เมืองพุทธด้วย อาตมาก็เลยพูด ตรงนี้ได้ ถ้าขืนไปพูดอย่างนี้ ในแดนดงที่เขานับถือพระเจ้ากันนี่ เดี๋ยวจะวิ่งหนี ไม่ทันนา มันเหมือนไปดูถูกเขา แต่นี่เป็นความจริง ที่พูดนี่เป็นความจริง โดยเฉพาะ เราพูดกัน ในวงการพุทธเรา

ศาสนาพุทธเราไม่ได้ไปเที่ยวได้อ้อนวอนพลังพิเศษอะไรจากใครมาบันดลบันดาล เราต้องช่วยตน อัตตา หิ อัตโน นาโถ หรือเราต้องพึ่ง อย่างจะพึ่งที่สุด เราก็พึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ หรือ พึ่งกรรม กัมมปฏิสรโณ กัมมปฏิสรโณ ก็แปลว่า กรรมเป็นที่พึ่ง เรามีกรรมเป็นที่พึ่ง ไม่ใช่ไปมี พระเจ้า เป็นที่พึ่ง นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า อัตตา หิ อัตโน นาโถ ก็ให้พึ่งตน กัมมปฏิสรโณ หรือรัตนะ รัตนะยัง สรณังรัตนะยัง พึ่งพระรัตนตรัย รัตนติยัง รัตนติยังสรณัง พึ่งพระรัตนตรัย พึ่งแก้วสามดวง หรือพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ความจริงแล้ว พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์นั้น ก็ไม่ใช่เป็น สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่สิ่งบันดลบันดาล จะบอกว่าศักดิ์สิทธิ์ไหม กรรมศักดิ์สิทธิ์ ที่เราทำไปนี่ ศักดิ์สิทธิ์ เราทำอะไรลงไปนี่เป็นของเรา เป็นของจริง กรรมเป็นของจริง ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็สั่งสม กรรมนี่สะสม สะสมเป็นวิบาก กรรมวิบาก วิบากแปลว่าผล สะสมเป็นผล เป็นพลัง มันเป็นนามธรรม เราไม่เห็นหรอก คือทำไปแล้ว เรานึกว่ามันไม่มี ที่แท้มันเป็นสมบัติของเรา เราด่าคนเปรี้ยงเข้า ไปนี่เป็นกรรมดี หรือชั่ว (ชั่ว)

ด่าดีก็มีนา อาตมานี่ด่าเก่งเหมือนกัน ด่าให้ดี พ่อแม่ด่าลูกนี่ ไม่ใช่ด่าให้ชั่วด่าให้เลว ด่าให้จมธรณี ไม่ใช่ ด่าให้มันดี ด่าลูกนี่ด่าให้มันดี เอาที่เนื้อหา ด่าก็หมายความว่า โอแหมคำนี้แรง คำนี้โอ้โฮ กระแทก โอ้โฮกระแทกเราจังเลย กระแทกกระเทือนเลยนะ เราว่าด่า ที่จริงก็ดุหรือด่า ด่าอาจจะลักษณะ มีกิเลสมาก หรือว่าหยาบคายอะไรก็ได้ แต่ในเนื้อหา แม้ว่ามันจะมีกิเลส แต่มันก็เป็นกิเลส ประเภทที่ เรียกว่า กิเลสต้องการให้ดี เหมือนพ่อแม่ดุลูก ด่าลูกอย่างนี้ ต้องการให้มันดี เพราะมันทำชั่ว อะไร อย่างนี้เป็นต้น เอาละในนัยละเอียด อาตมาจะไม่ขยายความ พูดแล้วก็คงพอเข้าใจ

โกหกก็แล้วกัน โกหกแหมโกหกอย่างชนิดที่คนจับไม่ได้เลย ชั่วแล้ว ผิดศีลข้อ ๔ ด้วย บาปแล้ว เป็นกรรมแล้ว เป็นการกระทำ ที่เราได้ทำจริงแล้ว สะสมเป็นทรัพย์เราแล้ว คนเรา ศาสนาพุทธนี่ ศาสนาท่านสอนให้พึ่งกรรม กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นของ ของเรา กัมมัสโกมหิ หรือ กัมมัสสกตา กรรมเป็นของเรา เป็นของเราหมายความว่า การกระทำนั้นน่ะ เราต้องรับ กัมมทายาโท เราต้องเป็นทายาทของกรรม ของเรา เพราะเราทำแล้วนี่ เราต้องรับมรดกอันนี้ หมายความลึกซึ้งนา มรดกอันนี้แบ่งใครไม่ได้ด้วย กรรมนี่ แบ่งแล้วบอกโอ้โฮ เราไปตีหัวคนมา ๕ คน บอกเฮ้ยเอ็งแบ่งเอาไป ๒ ข้าเอา ๓ ข้าไปทำแล้วนา ข้าไปทำไปตีหัวคนมา ๕ คน ตายไปตั้ง ๕ คน บอกเฮ้ยเอ็งเอาไป ๒ ข้าเอา ๓ เองนา ไม่ได้ คุณทำคุณต้องรับ เป็นของคุณ กัมมัสสกตา เป็นของคุณ คุณต้องรับ เป็นทายาทของมรดก มรดกนี้คุณไปทำไว้ กรรมเป็นมรดก กรรมเป็นมรดก ฟังให้ดีนา คุณทำแล้ว แล้วก็ทิ้งมรดกนี้แบ่งใครก็ไม่ได้ ไม่หก ไม่ตก ไม่หล่นด้วย สัจธรรมนี่เก็บไว้หมดเลย คุณทำในที่ลับ ไม่มีใครเห็น ทำในที่สว่าง ในที่แจ้ง ทำโดยเจตนา ทำโดย ไม่เจตนา เป็นกรรมทั้งนั้นแหละ ไม่เจตนาก็เป็นกรรม แต่ว่ามันไม่ผิดโลก ไม่ผิดวินัยเท่านั้นเอง

เช่น เราไปเหยียบหัวงูตาย งูมันถูกเหยียบตาย ถามว่างูนั้นน่ะ เราไม่เจตนา เหยียบมันนา มันจะอาฆาต คนเหยียบ มันตายไหม ไม่อาฆาตหรือ เหยียบมันโดย ไม่เจตนาน่ะ เราไม่เจตนาน่ะ มันจะเป็น กรรมวิบากไหม มันจะอาฆาตเราไหม ไม่เชื่อก็ลองๆไปเหยียบหัวงูจงอางดูนะ ไม่ต้องไปเหยียบหัว ตัวแม่มันหรอก เหยียบหัวลูกมันน่ะ ลูกงูจงอางน่ะ ไปเหยียบหัวลูกงูจงอางตาย ไม่ต้องไปเหยียบหัว แม่มันหรอก จิตวิญญาณมันไม่รู้หรอก จิตวิญญาณ ที่มีกิเลส จิตวิญญาณ ที่ไม่ใช่พระอรหันต์นะ มันก็จะมีการจองเวรจองกรรมกัน จะรักก็ตาม จะชังก็ตาม จะมีเวร มีกรรมกัน อ้าวนี่แวะนิดหน่อย เรื่องของจิตวิญญาณ ของคนนี่ มันเป็นกรรม คนเราไปทำ จะเป็นกายกรรมก็ตาม ฟังให้ดีนะตรงนี้ คนเราไม่คิด กายกรรมก็นึกว่า เป็นกรรมก็พอฟังขึ้น ไปทำกรรมชั่วอันนี้ เออเป็นบาป ไปพูดชั่ว ก็เป็นบาป ว่าอย่างนั้น เออก็เป็นรูป แต่คิดชั่ว เป็นบาปไหม (เป็น) แล้วคิดบ้างไหม คิดชั่วคิดบ่อยไหม เผลอ จะเผลอคิด คิดชั่วๆ คิดบาปๆ คิดเลวๆ จองเวร จองกรรมอาฆาต คนนี้จะ เอามันตาย คนนี้แหม เหยียบมันได้ จะเหยียบมัน คนนี้แหม เอามันได้ก็จะเอา จองเวรจองกรรมอาฆาต คิดชั่วเมื่อไร ก็เป็นกรรม มโนกรรมก็เป็นกรรม ไม่ได้ละเว้นว่า เออกายกรรม วจีกรรมนั่นน่ะเป็นบาปที่สั่งสม เป็นบาป เป็นวิบาก ที่เราจะต้องรับผิดชอบ

แต่มโน ไม่นะ มโนกรรมไม่ใช่กรรมเหรอ มโนกรรมก็คือกรรม คิดชั่วก็สั่งสมลงไปเป็นวิบาก อันนี้แหละ อาตมา อยากจะย้ำพวกเรา ให้ระมัดระวัง ใจเรานี่ อารมณ์ของเราก็ตาม อารมณ์ก็คือกรรมเหมือนกัน คิดผสมผเส กิเลสบ้าง ไม่กิเลสบ้าง คิดจิตดี จิตไม่ดี เป็นเรื่องจริงทั้งสิ้น เป็นเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องหลอก เราคิดจริงๆ เลย เอาจริงเอาจังเลยนะ แหมมัน โกรธ มันรัดอะไรก็ตาม มันจะทำชั่วทำดีอะไรก็ตาม มันคิดชั่วคิดดี เป็นสิ่งที่สะสมลงเป็น วิบากทั้งหมด อาตมาอยากจะขอเตือนพวกเรา แล้วเผลอ เอ มันไม่เป็นไรนี่ ไม่มีใครรู้ แล้วตำรวจก็ไม่จับ เพราะไม่มีใครรู้นี่ แหมนี่เราฆ่าคนตายไปแล้ว ทางจิตนา ฆ่าคนตายไปตั้ง ๕ ,๖ คนนี่ เอามันตายนี่โอโฮนี่ โอโฮ อาฆาตมาดร้าย เลว ชั่ว เอามันตายไป ๕ คนแล้ว ตำรวจก็ไม่จับ เพราะอยู่ในความคิด ทางโลกเขาก็อย่างนั้น แต่ในทางธรรม พระพุทธเจ้านั้น กรรมคือ ของจริง อย่าประมาท อย่าไปคิด แหมคิดชั่ว ให้รู้ตัวให้ดีเลยว่าโอ้โฮนี่ เราคิดอย่างนี้แล้ว เลิก ปรับทันที เพราะมันเป็นกรรมจริงๆ ด้วย สั่งสมลงไปด้วย สั่งสมลงเป็นวิบาก เป็นทรัพย์ไง เป็นมรดก กรรมทายาโท เราเป็นทายาทของกรรม เราต้องรับมรดกที่เราทำ ต้องรับ เพราะฉะนั้น เกิดมาชาติหน้า ชาติไหนๆ มรดกนั้น จะตามไป ทุกชาติ มรดกกรรมนี่ไม่มีหาย ไม่มีหก ไม่มีตก ไม่มีหล่น

ซึ่งอาตมาเคยเทศน์ให้ฟัง คนเราเหมือนขวดน้ำนี่ เราทำชั่ว สมมุติลงเป็นสีแดง ใส่เข้าไปในขวดน้ำนี่ มันจะอยู่ในนี้ ทำดีเหมือนสีน้ำเงิน สมมุติว่าเป็นสีน้ำเงิน ก็ใส่ลงไปในนี้ พอทำปุ๊บ ลงไปในนี้ ในขวดน้ำ หรือในตัวเรานี่ ตัวเราจะเป็น เจ้าของกรรม เป็นมรดก พอทำแล้ว มันก็ใส่อยู่ในนี้ ถ้าเราทำแดงมากๆ ทำชั่วมากๆๆๆ เราจะมองเห็นสีแดง หรือสีน้ำเงิน เห็นสีแดง นั่นแหละ มันจะออกฤทธิ์ ให้เราเอง ได้รับผล ของกรรมเป็นอย่างนั้น ถ้าเราหยุดชั่ว หยุดแดง เราใส่แต่น้ำเงินมากๆๆ แดงมันก็หมดฤทธิ์ น้ำเงินมันก็จะออกฤทธิ์ แต่แดงไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้หาย ถ้าคุณหยุดน้ำเงิน แดงมันก็จะมีฤทธิ์ แล้วแถมไปใส่แดงขึ้นมาอีกมากๆๆ ด้วย น้ำเงินก็หาย ออกฤทธิ์มาเป็นแดง แดงนี่ก็คือ การให้ฤทธิ์ ที่เราทุกข์ เรายาก เราลำบาก ลำบน ไปชั่ว ชั่วก็ให้ฤทธิ์เป็นบาปเป็นทุกข์เป็นร้อน เป็นเรื่องไม่ดีไม่งาม ดีหรือกรรมบุญ กรรมกุศลก็ให้ฤทธิ์ในทางดีทางงาม ทางเจริญ อันนี้เป็นสัจจะ เป็นความจริง และ ไม่หายไปไหน มรดกอันนี้ไม่รั่วไม่ซึม ไม่ระเหิดระเหย อยู่ในขวดนี่แหละ จนกว่าคุณจะปรินิพพาน ขนาดพระพุทธเจ้า ทุ่มหินฆ่าน้องชายตายเลย ปางหนึ่งนาน พอมาบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กรรมวิบากนั้นน่ะ ที่เคยฆ่าน้องชาย ก็ยังตามมา แต่ก็อย่างว่าแหละ มันบวกมันลบ บุญบาป มันเยอะแยะ ท่านทำบุญก็อีกเยอะ จนกระทั่ง เหลือกรรมวิบากตามมาในตอนนั้น ท่านเล่าให้ฟังว่า เศษบาปวันนั้นน่ะ ทำให้พระเทวทัต กลิ้งหิน มาทับพระบาทห้อเลือด ยังเหลือเศษ ยังต้องเจ็บตัว ห้อเลือด มีอยู่ปางหนึ่ง ท่านบอกนี่เพราะเหตุอันนี้ เพราะเหตุท่าน เคยฆ่าน้องชายต่างมารดา น้องชาย คนละแม่ ท่านเคยฆ่าตาย หลอกไปในถ้ำ แล้วก็เอาหินทุ่มตาย ท่านบอกชาติหนึ่ง ท่านเคยฆ่า นั้นแหละ วิบากกรรมอันนั้นน่ะ ยังเหลือเศษมาให้ ท่านถูกพระเทวทัต ทุ่มหินทับพระบาทห้อเลือด อย่างนี้เป็นต้น ขนาดตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว กรรมบาป ยังตามมาเล่นงานได้ ทำดีมากี่ชาติๆ คิดดูสิ กรรมบาป อื่นๆ ท่านเล่าไว้เยอะ บาปเพราะอย่างนี้ ท่านถึงต้องถูกเขามาหาเรื่อง อย่าง นางจิญจมานวิกา มาหาเรื่อง ต้องถูกช้างนาฬาคีรี มาไล่แทงอะไรนี่ ท่านก็เล่าวิบากให้ฟัง หรือ แม้แต่ท่าน จะปวดหัว ปวดเจ็บนั่นนี่ เป็นนั่น เป็นนี่อะไร ท่านก็เล่าให้ฟัง ถ้าใครอ่าน พระไตรปิฎก อ่านตำนาน ก็จะได้เห็น เพราะฉะนั้น อย่าไปดูถูก บาปแม้น้อย อย่าไปประมาทสร้างบาป สร้างกรรม มันอยู่ที่เรา

ถ้าบอกว่าพระเจ้าไม่มี แล้วทำไมคนบางคนนี่โอ้โฮ มีเหมือนกับมีอะไรบันดลบันดาลให้ ที่บันดล บันดาลให้ แต่ละคนนี่ ไม่ใช่พระเจ้า กรรมของเราเองบันดาลให้เป็น อย่างอาตมานี่ ไม่ใช่พระเจ้า มาบันดาล ให้อาตมามาเป็น สมณะโพธิรักษ์ มาเที่ยวได้สอน มารู้จักธรรมะ มาทำอะไรต่ออะไร อยู่ทุกวันนี้ ไม่ใช่ ไม่ใช่พระเจ้า มาบันดาล กรรมที่อาตมาทำมาเอง แต่ก่อนๆ อาตมาสั่งสมมา เรื่องธรรมะ ชาตินี้อาตมาก็ไม่ได้เรียนธรรมะด้วยซ้ำไป ไม่ได้เรียนเลยชาตินี้ อาตมาไม่เคย ไปเรียน ธรรมะ จากสำนักไหน เป็นนักธรรมตรี โท เอก อะไร หรือว่าเป็นเปรียญอะไรไม่เคย นอกจากไม่เคยแล้ว เขาจะเอาตายด้วย ศาสนาทางหมู่ใหญ่ เขาว่า นี่มันมาสอนผิด มาทำธรรมวินัยให้วิปริต จะจับอาตมา เข้าคุก ไม่ใช่จะจับหรอก เขาทำไปแล้ว เขาฟ้องศาลแล้ว ๓ ศาล ขึ้นศาลไปตั้ง ๓ ศาล ๕ ศาลแนะ เฉพาะอาตมาส่วนตัว ๒ ศาล แล้วยังมีศาลที่จะพ่วงไปเป็นผู้สนับสนุนให้เขาบวชอีก ๓ ศาล ศาลชั้นต้น ศาลชั้น กลาง ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ๕ ศาล แพ้หมดรวด คดีของอาตมาเอง อาตมาขึ้นไป ๒ ศาล แล้วอาตมายอมแพ้ อุทธรณ์แล้วก็แพ้ ทนายเขาก็จะขอฎีกา อาตมาบอกไม่เอาหรอก ฎีกาก็แพ้ อย่าไปขึ้นเลย

เพราะว่าคดีของ อาตมาน่ะ คือเขาสั่งให้อาตมาสึก ทางมหาเถรสมาคม มีคำสั่ง ให้อาตมาสึก ในกฎหมายเขาบอก ถ้าทางโน้นให้อำนาจสั่งให้สึก ถ้าอาตมาไม่สึก ภายใน ๗ วันนี่ ผิดกฎหมาย นั่นน่ะออกกฎหมายอย่างนี้ด้วยนา มีสิทธิ์ มีอำนาจสั่งให้สึก ทั้งๆ ที่อาตมาไม่ผิด ทางธรรมวินัย ไม่เคยสอบทานเรื่องธรรมวินัย มีแต่สั่ง ว่าสึกหรือไม่สึก อาตมาก็บอกว่า ไม่สึก ไม่สึกก็ต้องผิดสิ ๗ วันก็แล้ว ๑๔ วันก็แล้ว ๒๑ วันก็แล้ว ๗ ปี ไม่ถึง ๗ ปีหรอก ๖ ปี ๖ เดือน ๖ วัน ประหลาด ที่สุดเลย ตัดสินอาตมานี่ ที่บันลังที่ ๖ ที่ศาลแขวง บัลลังที่ ๖ ด้วย ตัดสินอาตมานี่ อาตมาต้องใส่ชุดขาวไป ถึงวันตัดสิน ๖ ปี ๖ เดือน ๖ วัน แพ้ ตัดสินก็แพ้สิ ก็สั่งให้สึก ไม่สึกนี่ อาตมายอมเป็นพระ ไม่สึก ก็ต้องไม่สึก สึกมันก็เป็นฆราวาสใช่ไหม อาตมาก็ไม่ยอมสึก ก็เป็นพระ อยู่อย่างนั้น แต่แพ้ แพ้กฎหมาย กฎหมายไม่ใช่ธรรมวินัย เพราะฉะนั้น ทำให้อาตมา ไม่เป็นพระไม่ได้ อาตมาก็ต้องเป็นพระ เพราะศาล สั่งให้อาตมาแพ้ แพ้เพราะอะไร เพราะไม่สึก อ้าวแล้วไม่สึก ก็เป็นพระ หรือ ไม่เป็นพระล่ะ นี่เขาเรียกว่า แพ้เป็นพระ โอ้โฮ ที่พูดกันมานานๆ แล้วนี่ มันลงตรงนี้เป๊ะเลย แพ้เลยต้องเป็นพระ มาตลอด มาจน กระทั่งบัดนี้ อาตมาก็ ไม่ยอมสึก เพราะอาตมาไม่ได้ผิดอะไร อาตมา จะมาทำงานนี้ แล้วอาตมา ก็ทำงาน มาเรื่อย จนกระทั่ง ๓๐ กว่าปีแล้วก็คงอยู่ไปจนตาย อาตมาตั้งใจ จะอยู่จนให้อายุ ๑๕๑ ปี จะตาย อย่าหัวเราะเยาะ อาตมา ตามไปให้ดี อาตมาจะอยู่จริงๆ จะอยู่ให้ถึง ไม่ถึงก็ช่างมัน ตั้งใจ จะให้ถึง ตั้งใจจะอยู่ อายุยืนยาว อันนี้ เรื่องจริงนา อาตมาตั้งใจจะอยู่อายุยาวๆ เพื่อที่จะทำงานอันนี้ ให้ตลอดรอดฝั่ง

เพราะว่าเกิดมาชาตินี้ อาตมาทำงานนี้นี่ อาตมาภาคภูมิใจ ถ้าอาตมาไม่มาทำงานนี้ อาตมาไปเผลอ เผลอไป ทำงาน อยู่ทางโลกๆ หาเงินหาทองแข่งกัน ให้ร่ำ ให้รวย ให้โด่ง ให้ดังอะไรอย่างโลกๆ นี่ อาตมาก็เชื่อว่า อาตมาก็ต้องดัง เพราะตอนนั้น อาตมาก็พอจะดังบ้างแล้วน่ะ ใครรู้จักอาตมาบ้างล่ะ ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ มีไหม มีใครรู้จักอาตมาไหม ตั้งแต่ เป็นหนุ่มๆ นี่ ไม่มีเลยหรือ มียกมือหน่อยซี ใครรู้จักอาตมาบ้าง ลองยกมือสิ ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ น่ะ คนอายุมาก ๔๐ ขึ้นไปนี่รู้จักอาตมาๆ เพราะอาตมา ดาราโทรทัศน์ ก็เหมือนกับ ไตรภพ ลิมปพัทธ์อะไรอย่างนี้ อาตมาเป็นโฆษก อย่างนั้นแหละ ไม่ใช่ดาราแบบ จอห์นนี่ แบบแซม ยุรนันท์ หรือแบบสมัยใหม่มีใครบ้างล่ะ ดาราเยอะ นับไม่ถ้วน เดี๋ยวนี้ แต่ก่อนนี้ ดาราน้อย โทรทัศน์ก็มี ๒ ช่อง อาตมาอยู่ช่องใหญ่ คือช่อง ๔ แต่ก่อน ขาวดำ แล้วโทรทัศน์มัน มีใหม่ๆ ด้วย ใครมีสตางค์ซื้อโทรทัศน์ก็ต้องซื้อแล้ว ซื้อแล้วก็ต้องดู เพราะมันใหม่ เขาทำอะไรมาให้ดู มันก็ต้องดู แต่ก่อนนี้ อะไรก็ต้องดูทั้งนั้น เพราะมันใหม่ ใช่ไหม มันเห่อ ดูกัน แล้ว พอกินข้าวเสร็จ แต่ก่อนเขามี ๕ โมงเย็นก็ค่อยมี ไม่ใช่มีทั้งวัน อย่างเดี๋ยวนี้ ๕ โมงเย็นไป ถึง ๒ ยาม ถึงหกทุ่มก็ปิดแล้ว แต่ก่อนสูงสุด เลยไปบ้าง ละครมันยาว เลย ๒ ยามบ้าง นานๆ ที บางทีก็ไม่ถึง ๕ ทุ่มกว่าปิดแล้วอะไรอย่างนี้ สมัยก่อน อาตมาออกโทรทัศน์มาก บางวัน ออก ๓ รายการ คนไม่รู้จัก ต้องรู้จัก เพราะว่ามันแหลมหน้าออกมาเกือบทุกวัน อาตมาออก โทรทัศน์เกือบทุกวัน แล้วออกวันหนึ่ง หลายรายการ อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยจำเป็นจะต้องรู้ จักอาตมา จะว่าดังหรือไม่ดัง ก็ต้องรู้จัก อาตมา ก็ต้องดังน้อ แล้วอาตมาก็ไม่ได้ออกมาทำเรื่องไม่ดีอะไร ก็ออกมาเป็นโฆษก แล้วก็ไปในทาง สาระด้วย ส่วนใหญ่ ไม่ได้มาทำอะไรน่าเกลียดน่าชังอะไรเหมือนกับดาราเดี๋ยวนี้ สร้างแต่เรื่องอะไรไม่รู้ ต่างๆ นานา อาตมาก็ไม่ เคยมีเรื่องราว แบบนั้น แล้วก็หาเงินได้มากทางโทรทัศน์ หรือทางการบันเทิงพวกนี้ หาเงินได้เยอะ เขาคิดราคามัน แบบนั้น แบบราคาบันเทิงนี่มันเยอะ ใครจะเป็นเด่น ทางไหนก็รวย ดาราแต่ละคนดูสิ เด็กๆ แท้ๆ เป็นดาราดังติดลม เดี๋ยวเดียว ก็มีเงินล้าน มีรถเบ็นซ์ขี่ อะไรอย่างนี้ ชอบลัดกันเดี๋ยวนี้ หาเงินทางนี้เก่ง

อาตมาถ้าเผื่อว่าทำงานต่อมาก็คงดัง ก็คงเป็นที่รู้จักกัน แล้วก็คงจะได้ตุ้งได้ตังค์อะไรเยอะ รวย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ยิ่งอาตมาทำ ในรายการที่เป็น รายการสาระ เป็นรายกา รทางวิชาความรู้ ทางอะไรแบบนี้ ดังก็ไม่เหมือนกับดารา ที่ดังไปในทางทำเล่นๆ หัวๆ เพราะอาตมานี่ทำเรื่องมีสาระ มันก็ต้องดังเขื่องๆ อะไรอย่างหนึ่ง

แต่เอาเถอะมันไม่เป็นแล้ว นี่ก็พูดไปย้อนๆ อดีตไปอย่างนั้นเอง ถ้าอาตมาไปหาเงิน หาทอง หากิน ทางโลก แบบนั้นอยู่ อาตมาก็ต้องทำอะไรต่ออะไร เพราะว่า อาตมามีหัวทางนี้ อาตมาชอบทางด้าน บันเทิงธุรกิจ ทั้งนั้นแหละ สื่อสาร อาตมาเขียนหนังสือก็เป็น จะเรียกว่า เขียนได้ทั้งนั้นแหละ เขียนได้ ทั้งสารคดี เขียนได้ทั้งนวนิยาย เขียนได้ทั้งกวี เขียนได้หมด แต่งเพลงก็เป็น แต่งกลอนก็เป็น แต่งฉันทลักษณ์ แต่งอะไรก็เป็น เขียนหนังสือได้ทุกอย่าง ได้ทั้ง นวนิยาย ได้ทั้งสารคดี ได้ทั้ง บทสัมภาษณ์ อาตมาทำทั้งนั้น เป็นคอลัมนิสต์ เป็นอะไร ก็ทำมา ทางด้านหนังสือพิมพ์ ทางด้าน เพลงกานท์

อาตมาจบทางศิลปะมาโดยตรง จบมาทางศิลปะ ทางด้านวาด ด้านเขียน ด้านร้อง ด้านรำ ด้านอะไร นี่อาตมา เคยทำมา ออกท่าออกทางประกอบ เกือบๆ จะ opera เราเรียกว่า operetta ทำละคร แบบเพลง ไม่มีคำพูด คิดเป็นเพลง ทั้งหมดเลย เกือบทั้งเรื่อง เป็นเพลงต่อกันไปหมดเลย แล้วก็มีท่ามีทาง มีกรรมสิทธิ์อะไร อาตมาก็ทำมา ทั้งนั้น หนังละคร ทำทั้งนั้น ทำหนัง ทำละคร ก่อนจะออกมาบวชนี่ ก็หนังโทน ทำแล้วก็ดัง พลิกประวัติศาสตร์ ได้เงินมาก ตั้งแต่เคยมีหนัง ในยุคโน้นมา ก็ทำมา แล้วก็ไม่ได้ติดใจ ถ้าอยู่ก็ทำได้ทั้งนั้น อาตมาก่อนจะมานี่ หุ้นส่วน ทำงานอยู่ด้วยกัน ก็คือทำหนังโทนนี่ ได้ตังค์มาเป็นสิบล้าน สิบล้าน แต่ก่อนนี้ ไม่ใช่น้อยๆ อาตมาก่อนจะออก มาบวชนี่ รายได้เดือนละ สองหมื่น สองหมื่นตอนนั้นนี่ นายกรัฐ มนตรีของประเทศไทย เงินเดือนหมื่นสอง ที่มันจำง่าย เพราะเลข มันใกล้กัน อาตมาสองหมื่น สองหมื่นกับหมื่นสองนี่ต่างกันนา ใครคิดไม่ออก ก็อย่าบอกอาตมา สองหมื่น กับหมื่นสอง นี่ต่างกัน นายกรัฐมนตรีนี่ เงินเดือนทางรัฐนี่ ได้หมื่นสอง อาตมานี่รายได้ สองหมื่นแล้ว หนุ่มๆ อายุ ๓๐ กว่านี่ รายได้เดือนละสองหมื่นบาท เพราะฉะนั้น เรื่องรายได้เรื่องเงินทอง ไม่ได้แพ้ทางโลก แล้วเงินมันแพง แต่ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้เงินมันถูก เงินหมื่นสอง สองหมื่น อะไรพวกนี้ เดี๋ยวนี้มันเป็นแสน หลายแสนแล้ว รายได้เดี๋ยวนี้เดือนหนึ่ง หลายแสน แล้ว อาตมาก็พอทำหนังโทนนี่ หุ้นส่วนหรือว่าที่ทำร่วมกันคือ คุณชวนไชย ยังคิดจะสร้างสำนักงาน จะสร้างตึก ๖ ชั้น ที่บางขุนพรหม ที่ของแก ก็คุยกันแล้วด้วยว่าสร้างตึก ๖ ชั้น แล้วทำ สำนักงานนี่ เป็นสำนักงาน ธุรกิจบันเทิง ซึ่งอาตมาถนัด หนังสือก็ทำร่วมกันอยู่ พิมพ์หนังสือ ดาราภาพ ทำอะไรต่ออะไร ทำร่วมกันอยู่ ทั้งหนัง ทั้งหนังสือ ทั้งเพลงการอะไรนี่ อาตมาเป็นหมด ใช่ไหม รู้จักในวงการนี้หมด

ถ้าอาตมาทำก็เหมือนกับ GRAMMY น่ะ เหมือนกับ RS ซึ่งอาตมาว่ากว้างกว่านั้นด้วย เพราะอาตมา อยู่ใน วงการ หนังสือพิมพ์ด้วย คงจะต้องมี สำนักพิมพ์ อาจจะไม่ถึงไทยรัฐ ก็อาจจะรัฐไทยนี่ ทำ ทำจริงๆ อาตมาทำแน่ ทุกวันนี้ อาตมา ก็ยังทำอยู่หนังสือพิมพ์ เพราะว่ามันเป็นเรื่องสำคัญ เป็นสื่อสาร ที่จะต้องกระทำ หนังสือพิมพ์ ทุกวันนี้ อาตมาทำอยู่ เพลงยังทำเลยแต่งเพลงยังทำ ทุกวันนี้ แต่ทำไปใน ทางด้านสื่อสาร ให้มาเป็นประโยชน์ ในทางธรรมะ สร้างคน ไม่ใช่ไปมอมเมาคน ถ้าอาตมา อยู่ทางโลก อาตมาก็ทำพวกนี้ขึ้นมา ก็อาจจะร่ำรวย แกรมมี่ ร่ำรวยฉันใด อาตมาก็คงจะ คล้ายๆ อย่างนั้นน่ะ ไม่แน่นะ อาตมาเกิด แกรมมี่อาจจะไม่เกิด ก็ได้ นี่ก็พูดไปนะ พูดไป แต่มันเป็นลักษณะนั้น จริงๆ อาตมาไม่ภูมิใจหรอก ต่อให้อาตมาจะร่ำรวย แหมเซ้งตึกทีหนึ่ง พันล้าน สองพันล้าน อะไร เหมือนแกรมมี่เขาเซ้งนี่นา ก็อาจจะไม่อย่างนั้นก็ตาม หรือจะอย่างนั้นก็แล้วแต่ รวยอย่างนั้นก็ตาม อาตมาก็จะ ไม่ภาคภูมิใจเลย

จะไม่ภาคภูมิใจกว่าที่ อาตมาได้มาทำงานอย่างนี้ ยิ่งมั่นใจ มั่นใจว่าทำงานนี้ถูกเรื่อง ถูกคุณค่า เป็นคน แล้วมีคุณค่า อย่างนี้ เป็นความประเสริฐที่แท้จริง เพราะเป็นเรื่องของคน มาช่วยคนให้เป็นสุข มาช่วยคนให้เจริญ มาช่วยคน ให้พ้นทุกข์ มาช่วยคนนี่ให้เงยหน้าอ้าปาก ลืมตา อ้าปาก ให้คนมา พัฒนาขึ้นมา ไม่ง่ายๆ เป็นงานที่ยาก งานธุรกิจ บันเทิง ถ้าอาตมาไปทำอยู่ นา อาตมาโอ.. งานพวกนั้น กล้วยๆ ไม่ใช่หมูๆ นะ เพราะอาตมา เลิกกินหมูมาแล้ว กล้วยๆ งานอย่างนั้นน่ะ ไม่ยากหรอก พากัน มอมเมากัน หาเงินให้คนหลงไหล มอมให้คนคลั่งไคล้ ให้คนมีกิเลสหนาขึ้น ทำให้คน กิเลสหนาขึ้นนี่ ง่าย ไม่เชื่อไปถาม ลูกเกด ไปถามใครต่อใคร ทำอยู่ทุกวันแหละ ทำให้คนมีกิเลสขึ้น ทุกวันๆ แล้วเขาก็พูด แหมนี่เป็น ศิลปะ ขี้หมาอะไร ศิลปะอะไร

ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม ศิลปะคือสิ่งที่พาคนประเสริฐ สรุป แล้วคือพาให้คนกิเลสน้อยลง ศิลปะ ให้เกิด ความประเสริฐ เป็นมงคลอันอุดม นี่ตัวเองทำให้ กิเลสคนขึ้น แล้วมาบอกว่าศิลปะ นี่คือเบี้ยว เบี้ยวสัจธรรม เบี้ยวธรรมะ พูดผิด แล้วเขาก็ ไม่เข้าใจกัน เขาคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือทุกวันนี้ โลกไม่เข้าใจแล้วว่า ศิลปะคืออะไร อนาจารคืออะไร เขาไม่รู้หรอก เอาละอาตมาแวะนิดหน่อย ไม่พูดลงไปในเรื่องนั้นให้ยาว

มาพูดถึงเรื่องสาระ ว่าอาตมาอบอุ่นใจ อาตมาภาคภูมิใจ ที่อาตมาได้มาทำงานนี้ พาให้คนนี่ ลืมตาอ้าปาก หรือ เงยหน้าอ้าปากขึ้นมาได้จากย่ำแย่ แม้จะน้อยคน ก็ตามๆ อาตมาก็ภาคภูมิใจ มันยาก ถึงได้น้อยคน ก็ขอให้มัน เป็นเรื่องจริง ถ้าเป็นเรื่องจริง ช่วยคนอย่างนี้ขึ้นมาได้แล้ว อาตมา ก็ดีแล้ว ดี อาตมาช่วยคนอย่างนี้นี่ เอาทฤษฎี ของพระพุทธเจ้าๆ อาตมามั่นใจ มั่นใจว่า อาตมาเอา ทฤษฎีของพระพุทธเจ้านี่ มาสอน มาบอก มาเล่า แล้วก็มาพา พวกเรานี่ทำตาม จะมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ โพธิปักขิยธรรมอะไรก็แล้วแต่ พระพุทธเจ้าสอนไว้หมด

อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่ได้เรียนหรอก ชาตินี้ไม่ได้เรียน แต่ อาตมาแตะเข้าเท่านั้น อาตมาก็รู้ เปิดตำรา เปิดพระไตรปิฎก แป๊บ อาตมาก็เข้าใจ ไม่ต้องไปเรียน ไม่ต้องไปสอบ เพราะมันเป็นบุญเก่า ที่อาตมาได้เรียน เคยสั่งสม เคยมาแล้วเก่าๆ อันนี้ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมา ก็บังคับใครไม่ได้ แต่อาตมาบอกความจริง ว่ามาถึงวันนี้ อาตมากล่าว หรือว่าพูด เรื่องอย่างนี้ให้ฟัง แล้วได้เชื่อว่า คนเรานี่มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็น เผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่ง มีกรรมที่ได้ทำไว้เป็นสมบัติ ที่อาตมา ย้ำแล้วก็ขอย้อน มาหากรรม อีกนิดหนึ่ง กรรมเป็นสมบัติ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กรรมพาเราเกิด ไม่ใช่พระเจ้ามาพาเราเกิด พระเจ้าบันดาลให้เราเกิด ไม่ใช่ กรรมของเราเอง พาเราเกิด ถ้าเรามีกรรมดี กรรมกุศล เราก็เกิดมาดี ถ้าเรามีกรรมชั่ว กรรมที่สั่งสมไว้เป็นกรรมชั่ว เป็นกรรมบาปมาก เราก็เกิดมา ทุกข์ร้อน เกิดมาเจอวิบาก อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา สารพัด ซึ่งอย่าไป สงสัยเลย เราทำมาเอง สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ไปหา เราไม่ได้ไปอยากได้ เราไม่ได้ไป พยายามหลีกเลี่ยง แต่มันมา หลายคน อาจจะบอกว่า โอ้โฮ อะไรกันนักกันหนา เราไม่ได้ไปทำชั่ว เราไม่ได้ไปทำโน่นนี่ นา แต่ทำไม เราเป็นอย่างนี้

อย่ามานั่งบ่น คุณเองทำไว้เอง ไม่ใช่พระเจ้ามาบันดาล ทำไว้แต่ชาติไหนก็ไม่รู้ จงจำไว้เข็ดหลาบ อย่าไปทำชั่ว ชั่วใดๆ ไม่ทำทั้งนั้นแหละ ชั่วใดๆ ก็บันดาล มาให้เราไปในทางเสื่อม ไปในทางเลว ไปในทางไม่ดี ทุกข์ร้อน แน่นอน อันนี้คงไม่มีใครเถียง ใช่ไหม เพราะฉะนั้นอย่าไปทำ สำนึกให้ได้แล้ว อันนี้เป็นกรรม ตลอดกาลเลย

อาตมาขอพูดซ้ำ หลายคนได้ฟังเทศน์อาตมาแล้วก็คงจะจำเรื่องนี้หรือนิยายนี้ได้ สมมุติคุณไปปล้นเขา หรือไปโกงเขา ไปคอรัปชั่น ได้มา ๕๐๐ ล้าน พันล้าน ได้เงินมา คุณนึกว่าเงินนั่นเป็นของจริงหรือ ได้มา แหมโกงเขามา หรือ ไปปล้นเขา ได้มา ๕๐๐ ล้าน ไม่ใช่ของจริง ของปลอม ไม่ใช่ของเรา แต่กรรมคุณ คือกรรมไปปล้น กรรมไปคอรัปชั่น ไปโกง ชั่วหรือดี ไปโกง ไปปล้นเขา ชั่วหรือดี เป็นกรรมบาปใช่ไหม คุณตายไปแล้ว หรือไม่ตาย ก็ตาม มันได้แล้ว ตั้งแต่คุณทำ ทำเสร็จปุ๊บได้ปั๊บไม่รอ ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ แล้วทำชั่วด้วย แล้วทำชั่วด้วยหนอ มันเป็นทันที ไม่มีอะไรคั่น เป็นของเรา กัมมัสสกตา เป็นของเราแล้ว เพราะฉะนั้น คุณตายไปจากเงินนี่ ต่อให้คุณ กอดเอาไว้ ไม่กระเด็นเลย สักบาท แหมกอดเอาไว้ไม่กระเด็นเลย มันก็เอาไปไม่ได้ ไม่เป็นของคุณ แต่ กรรม เป็นของคุณไหม เป็นตั้งแต่ ยังไม่ตายแน่ะ เป็นของคุณ เพราะคุณเป็นคนทำ กรรมปล้นก็ดี กรรมไปโกงมาก็ดี เป็นแล้ว เป็นของจริง เป็นทรัพย์แท้ๆ เป็นมรดกที่คุณจะต้องรับ เป็นทายาทต้องรับมรดกกรรมที่ตนทำ อย่าไปอุตร ิแบ่งให้คนนั้น แบ่งให้คนนี้ เออเราโกงมา ตั้ง ๕๐๐ ล้าน เอ็งเอาไป ๒๐๐ สิ ต่อให้แบ่งเงินให้เขาก็ตาม ต่อให้คุณแบ่งเงิน ๕๐๐ นั่นน่ะคุณ แบ่งให้เขา ๒๐๐ ล้าน คุณเอา ๓๐๐ ล้าน แต่คุณไปปล้นมาเองตั้ง ๕๐๐ นา เขาไม่ได้ปล้น ด้วยเลย คุณแบ่งเงินนี่ให้ไป ก็ไม่ได้หมดนี่ ไม่ได้หมายความว่า โอ แบ่งให้เขา คืนไปแล้ว ๒๐๐ ล้านแล้ว เลิกกันนา กรรมนั้น หรือว่า ลดไปนา กรรมนั้น เหลือ ๓๐๐ ล้านเองนะ ไม่ คุณปล้นมา ๕๐๐ ล้าน คุณก็ต้องรับผิดทั้ง ๕๐๐ ล้าน คุณจะแบ่งเงิน ไปให้คนอื่นเป็น ๒๐๐ ล้าน ๓๐๐ ล้านก็ตาม กรรมปล้นก็เป็นของคุณ ทำแล้วจะบอกไม่ใช่ไม่ได้ นี่ลึกซึ้งนา เพราะฉะนั้น ระมัดระวัง อย่าไปสะสมทรัพย์ เรื่องหลอก ไปสะสมทรัพย์หลอก ฟังให้เข้าใจ

อาตมาอยากจะบอกเรื่องนี้ อยากจะบอกเรื่องกรรมลวงนี่ กรรมลวง ไปทำกรรมลวงๆ แล้วเป็นกรรมบาป เรานึกว่า มันไม่ใช่ทรัพย์ อะไรมันลวง ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกีย สุขมันลวงเรา โอ้โฮ นี่เป็นลาภ นี่เป็นวัตถุ นี่เป็นข้าวเป็นของ นี่เป็นเพชร เป็นพลอย นี่เป็นบ้าน เป็นเรือน โอ้โฮ โกงบ้าน โกงที่ดิน โกงทรัพย์ศฤงคาร โกงอะไรก็โกงนั่นโกงนี่ โกงกันไป โกงกันมา โกงมันก็คือกรรมที่ชั่ว กรรมที่บาป ทุจริต อันไม่ใช่ของเรา ผิดศีลข้อ ๒ โกงเขา อันไม่ใช่ของเรา อย่าไปทำเลย เราได้อะไรมาจริงในขณะนี้ โกงเขาสำเร็จ เราฉลาด ว่าอย่างนั้นเถอะนะ ฉลาดโกงเขามาสำเร็จ ได้มาชาตินี้ แต่ไม่ใช่ทรัพย์

ทรัพย์แท้ๆ นั้นคือโกง คือบาป แล้วมันได้ติดตัวไปเป็นมรดก พาเราเกิด พาเราเป็น กัมมโยนิ ไม่ใช่พระเจ้า พาให้เราเกิด สั่งให้เราเกิด ไม่ใช่ กรรมสั่งให้เราเกิด บันดาลให้เราเกิด กรรมโยนิ กรรมพันธุ สั่งสมมากๆๆๆ จิตวิญญาณก็ต่ำ แบ่งเป็นสัตว์ กัมมัง สัตเต วิภชติ กรรมจำแนกสัตว์ กรรมเราทำชั่ว ก็แบ่ง พอชั่วมากๆ ได้ขีดหนึ่งก็แบ่งว่า เฮ้ย เอ็งสัตว์นรก ไม่ใช่ภาษานะเรื่องจริง เราจะเป็นสัตว์นรก เราจะเป็นสัตว์เทวดา หรือเราจะเป็น สัตว์อาริยะ เป็นอาริยบุคคล เราจะเป็นคน ถึงระดับอาริยะ หรือเราจะเป็นเทวดา หรือเราจะเป็น สัตว์นรก กรรมจำแนกสัตว์ กัมมัง สัตเต วิภชติ ไม่ใช่จะไปเป็นสัตว์นรก ก็ไปเพราะพระเจ้าบันดาล จะตกนรกก็พระเจ้าบันดาล จะขึ้นสวรรค์ ก็พระเจ้าสั่ง จะมาเกิดเป็นคนฉลาด ก็พระเจ้าสั่ง เกิดเป็นคนโง่ก็พระเจ้าสั่ง ไม่ใช่ เราเองทั้งสิ้น เราเองทำเอง สั่งสมเองทั้งสิ้น กรรมพันธุ จะเป็นพันธุ์ไหนล่ะ สัตว์นรก เป็นเทวดา หรือเป็นอาริยะ บุคคล เป็นพันธุ์ แบบไหนล่ะ เผ่าพันธุ์ไหน เราเองทำทั้งสิ้น กัมมปฏิสรโณ กรรมเป็นที่พึ่งอันยิ่งใหญ่ เราจะได้พึ่ง เพราะว่า เราทำชั่ว ก็ได้พึ่งชั่ว เราทำดีก็ได้พึ่งดี แปลงไปแล้วมันก็เป็นทุกข์ เป็นสุข หรือ เป็นเลว เป็นเจริญอะไรต่างๆ นานา ก็อยู่ที่นี่ อันนี้เราจะต้องศึกษาให้ดีๆ ศาสนาพุทธ

พวกเรา ชาวอโศก ขออภัยที่ต้องยกชาวอโศกเป็นตัวอย่าง เพราะว่าอาตมาทำงานกับพวกก็คนนี่แหละ ทำงานกับคน แต่พวกชาวอโศก ก็คือคนที่เขาศึกษา ตามอาตมา แล้วก็มาปฏิบัติ มาประพฤติ จนกระทั่ง กลายมาเป็นอย่างนี้ๆ ก็นี่ๆ ก็เถ้าแก่เนี้ย อะไรก็แล้วแต่ ก็มาอยู่อย่างนี้ เถ้าแก่เนี้ยนี่ ชอบสวย ชอบงาม ชอบรวย โอยแต่งตัว อย่างผิดๆ ยังเยอะอยู่ ยังสีสัน ยังแต่งสวยงามอยู่พอสมควร เอ้านี่ เป็นพยาบาล อะไรอย่างนี้ นั่นก็พยาบาล อะไร อย่างนี้ ก็ลาออกมา ลาออกมา มาทำงานฟรี ไม่มีเงินเดือน โง่ตาย ทำงานมีเงินเดือน มีขั้น มีตอน มีซี ป่านนี้ เพื่อนซีเท่าไรแล้ว เพื่อนซี ๗ ซี ๘ บ้างหรือยัง ไม่ทราบแล้วนา ไม่ได้ติดต่อเลย ก่อนออกมาก็เท่าไร ซีเท่าไร ซี ๗ มาหรือ ป่านนี้มานานแล้ว เป็น ๑๐ ปีแล้ว ปานนี้ ก็ต้องไปเป็น ซี ๘ ซี ๙ แล้วอย่างนั้นน่ะ ก็ออกมามันซี ๗ แล้วน่ะ ก็ออกมา ทิ้งฐานะ ทิ้งยศศักดิ์ ทิ้งเงินทิ้งทองมานี่ คนเหล่านี้โง่หรือ อาตมาพามาสอนบอกโอ อย่าไปแย่งเลย เงินทอง พระพุทธเจ้า มีวังมีเวียง ท่านก็ทิ้ง มาเจอพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าพิมพิสารก็บอกโฮ ดี อย่างนี้เชียวหรือ เจอพระพุทธเจ้าดี แหม ชอบใจมาก บอกถ้าอย่างนั้นมาครองบ้านครองเมืองด้วยกัน แบ่งกันคนละครึ่ง ให้พระพุทธเจ้า ครึ่งหนึ่ง แคว้นมคธนี่ พระเจ้าพิมพิสารจะแบ่งให้พระพุทธเจ้าจริงๆ ให้ครึ่งหนึ่ง แล้วตัวเอง เอาครึ่งหนึ่ง มาช่วยกันครองบ้าน ครองเมือง พระพุทธเจ้าบอกไม่เอาหรอก มคธน่ะถึงแบ่งครึ่งหนึ่ง ก็ยังใหญ่กว่าแคว้นของ พระพุทธเจ้านา พระพุทธเจ้ากบิลพัสดุ์น่ะแคว้นเล็ก มาเจอพระเจ้า พิมพิสารนี่ แคว้นมคธนี่ แคว้นใหญ่ มาถึง พระเจ้าพิมพิสาร ก็จะแบ่งให้คนละครึ่งด้วย แต่พระพุทธเจ้าไม่เอา ทรัพย์ ศฤงคาร ทรัพย์สมบัติไม่เอา มาเป็นคน ไม่มีเงินสักบาท มีแต่บาตรใบหนึ่ง เดินเหมือนขอทาน ใครให้กินก็กิน ใครไม่ให้ก็ไม่ขอเขานะ ไม่เหมือนเดี๋ยวนี้ แหม เดินไปขอ เดินไป โอ้โฮ น่าเกลียด ไปเที่ยวได้เฝ้า ตามร้าน ยืน..มัน เสียเกียรติพระพุทธเจ้าหมดเลย

สรุปแล้วก็เป็นคนไม่ต้องไปหลงว่าจะต้องมีทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชาน นี่ เยอะแยะเลยชาวอโศก เรานี่ ปฐมอโศก ก็ตาม หรือที่อื่นๆ ก็ตาม ศีรษะอโศก ราชธานีอโศก สีมาอโศก ศาลีอโศก อะไรต่างๆ หรือไม่ชื่อว่าอโศก ภูผาฟ้าน้ำ หินผาฟ้าน้ำ ดินหนองแดนเหนือ อะไรก็แล้วแต่ ชุมชนพวกชาวอโศกเรา เดี๋ยวนี้ มีใหญ่ๆ เป็น ๑๐ แล้ว เป็น ๑๐ ชุมชน แล้ว พอสมควรนะนา ที่มีการอบรมกันนี่ เดี๋ยวนี้มันกว่า ๑๙ แล้ว ตอนแรกเริ่มอบรมนั่นมี ๒๒ กลุ่มหรือ ๒๒ แหล่ง อบรมนี่ อบรมสหกรณ์ อบรมกสิกรกันอยู่นี่ ๒๒ แห่ง แต่ก่อนนี้๑๙ แล้ว เพิ่มขึ้นมา ว่าอย่างนั้น ๒๒ แล้ว ส่วนชุมชนเล็กๆ น้อยๆ ที่ยังไม่ถึงขั้นมีหมู่ มีกลุ่มทำงานอะไร เป็นอบรม อะไรไปอย่างนี้ ไม่ได้อยู่อีกมี ก็หลายสิบ ร่วมร้อย ชุมชน ซึ่งคนเหล่านี้ ศึกษาธรรมะ ที่อาตมายืนยันว่าเป็นธรรมะของพระพุทธเจ้า พาเรามากล้าจน กล้าจน นี่ภาษาบาลี ท่านว่าอัปปิจฉะ แปลว่ามักน้อย มักน้อยนี่กล้าจน คือทำมากๆ แล้วเอาไว้ น้อยๆ เอาไว้น้อยๆ ก็คือจน นั่นแหละ ไม่สะสม ไม่กอบโกย เอาทำสร้างมากๆ แล้วก็ให้คนอื่นไป ให้มากๆ ไม่ใช่ให้ไปแล้ว ก็เอาคืน มามาก มากกว่าเก่านา ไม่ใช่ นั่นทุนนิยม จะขายของทุนพันหนึ่ง ก็ขายมากกว่าพัน อย่างนั้น ทุนนิยม นี่ไม่

บุญนิยมของเรานี่ ทุนพันหนึ่งขายต่ำกว่าพัน ให้ไปให้มาก ให้มากๆ ขายต่ำกว่าพันได้เท่าไร กำไรมาก เท่านั้น ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้พูดผิด ขายต่ำกว่าทุนได้มากเท่าไร กำไรมากเท่านั้น นี่ขอยืนยัน พูดถูกต้องแล้ว ใครงงก็ไม่รู้ด้วย เอาไป คิดก็แล้วกัน ขายต่ำในฐานะที่ต่ำ จนกระทั่ง เราสามารถอยู่ได้ ก็แล้วกัน ขายต่ำเท่านี้ เราก็ไปรอด เราอยู่ได้ก็แล้วกัน คุณจะคิดอย่างไร ไปคิดเอาเองก็แล้วกัน คุณขาย จนกระทั่งไม่มีเงิน มาทำทุนต่อ ก็เรื่องของคุณน่ะ แต่เราทำให้ได้ ให้มีทุนต่อ ก็แล้วกัน แต่มันขาย ต่ำกว่าทุนได้อย่างไร เราไม่ได้คิดค่าแรง ค่าแรงงานของเราหรือของใคร ทำร่วมกัน อย่างปฐมอโศกนี่ ทำงานตั้งไม่รู้กี่คนนี่ ค่าแรงงาน ไม่ได้คิดเลย ค่าแรงงานที่เหลือนี่ เราก็เอาไปลดต้นทุน เราจะให้สินค้า ที่เราผลิตนี่ราคาต่ำได้ ต่ำกว่าทุนได้ พอเราทำแล้วเสร็จนี่ คนเหล่านี้ก็มา อยู่เย็นเป็นสุข ต่างคนต่างกิน ต่างอยู่ พิสูจน์ พิสูจน์สังคมแบบใหม่ ว่ามาอยู่อย่างนี้แล้ว ไม่ต้องมีทรัพย์ศฤงคาร เป็นของส่วนตัว ไม่ใช่พี่ใช่น้อง กันด้วย มาจากไหนก็ไม่รู้ บางคน ก็มีเชื้อมอญ บางคนมีเชื้อแขก บางคนมีเชื้อจีน เชื้อจีนเยอะหน่อย เชื้อลาวเยอะ อีสาน มีเชื้อลาว อาตมาก็มีเชื้อลาว อีสาน ก็มาอยู่รวมกัน ไม่รู้ จะเชื้อไหน ชาติไหนก็แล้วแต่ มารวมกันอยู่ เป็นพี่เป็นน้องกัน อยู่เป็นพี่เป็นน้อง ดูแลกัน ช่วยเหลือกันนี่ กว้างนา ครอบครัวใหญ่ ตัวเล็กตัวน้อยมาในนี้ บางคน เอ ปฐมอโศกนี่ เรามีเกิดในนี้หรือยัง มีแล้วหรือ ใคร ตั่งกับใคร อูดคือลูกใคร อ๋อ ตั่งลูกกล้ายอมหรือ ตั่งลูกกล้ายอม เกิดในนี้ นอกนั้น ก็เกิดใกล้ๆ กัน คือคนในนี้ไปคลอดข้างนอก ตอนแรก เรายังไม่ได้ส่งเสริมเท่าไร เดี๋ยวนี้มันชัก ต้องมามีท้องกันในนี้ แล้วก็มา ต้องเกิดกันในนี้แล้ว นอกนั้นก็หอบกันมา จากข้างนอก ก็มาอยู่ตัวเล็กตัวน้อย อยู่ไป วิ่งกันอยู่ในนี้ ไม่ต้องกังวลว่า เดี๋ยวใครจะเอาไปขาย เดี๋ยวอย่างโน้นอย่างนี้ ต่างคนต่างช่วยกันดูแล เลี้ยงดู เหมือนลูกๆ หลานๆ ทั้งหมด เด็กที่นี่อบอุ่น พ่อเยอะ แม่เยอะ พี่ ป้า น้า อา ตา ยาย ปู่ ย่า เยอะ พี่ๆ ก็เยอะ ไปตรงนั้น คนนี้ก็เคาะหัว ไปตรงนี้ คนนี้ก็เคาะหลัง คนนี้ก็เคาะหน้า ก็วิ่งเล่นหนีไป คือ หยอกกันล้อกัน เหมือนเด็กๆ ลูกๆ หลานๆ อยู่ในนี้ อย่างนี่น้องสาวเอาลูกมา ๒ คน ตัวน้อยๆ ลูกหมู ลูกแมว วิ่งอยู่ตรงนี้ ใครๆ ก็เคาะหัวเคาะหู ไปตามเรื่อง ตามราว สบาย ต่างกับข้างนอกเลย โอ้โฮ ข้างนอกไม่ได้ เฮ้ยเดี๋ยวใครมันเอาไปไหน เดี๋ยวหายไปไหน โอ้โฮ ตกใจ ใจหวอมใจหวำ ใช่ไหม อยู่ที่นี่ ไม่มีปัญหาอะไร ช่วยกันเลี้ยง บางทีพ่อแม่บอก เฮ้ยเดี๋ยวฝากลูกไว้ด้วย ไปไหนก็ไม่รู้ ไปทำงาน กลับมา ลูกอยู่นี่ ก็มาถึงก็ตามหา หรือไม่ตามหา เดี๋ยวก็ว่ากัน ไปอยู่ตรงนี้ เป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม ต่างกันกับ สมัยนี้แล้ว

แต่สมัยก่อนเป็นอย่างนี้ สมัยก่อนโบราณนี่ อย่างนี้ เด็กๆ ลูกบ้านนั้น บ้านนี้ ขึ้นบ้านโน้น บ้านนี้ก็กินได้ อยู่ได้ นอนได้ สมัยก่อนจริงๆ เดี๋ยวนี้มันไม่ได้แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนก่อน แต่ที่นี่พยายามจะปรับไปเป็น อย่างนั้น เหมือนอย่างเก่า เพราะมันเป็น วัฒนธรรมที่ดี ไม่ต้องหวงต้องแหน อะไรก็แบ่งกัน อะไร ก็เกื้อกูลกัน น้ำใจที่เกื้อกูลกัน ไม่มีใครปฏิเสธ ว่าไม่ดี รู้กันทุกคน แต่ไม่ทำ จิตใจขี้เหนียว ขี้หวงแหน เห็นแก่ตัว ฝึกเข้าไปเถอะ ให้โง่เข้าไปเถอะ ฝึกโง่ๆ อย่างนี้ ใช่ไหม ทำไมจึงโง่ไม่เสร็จสักที แปลกจริงนา แล้วก็ฝึกสิ่งที่มันไม่ดีอย่างนี้ ผิดหมด เราก็มาฝึกใหม่ ตั้งใจใหม่ ตั้งสติสัมปชัญญะดีๆ ว่าเออเราฝึกดีๆ นี่เป็นคนใจดี มีน้ำใจเอื้อเฟื้อเจือจาน อย่าหวง เจือจานเกื้อกูล ขี้เหนียว ไม่ดีหรอก เกื้อกูล ทำทาน แบ่งแจก บริจาค เอื้อเฟื้อ เสียสละ ดี อาตมาว่านั่งอยู่นี่รู้ทุกคนแหละ แต่ไม่ทำ หรือทำก็ยาก ทำน้อยๆ ทำที่มันโง่ๆ น่ะมาก ทำอย่างขี้เหนียว เห็นแก่ตัว ดีไม่ดีขี้โกงอีกต่างหาก ไปทำทำไม น่ะ ฮือ พูดกันรู้ๆๆ นะ กิเลสมันเข้าตัว กิเลสมันบงการ เพราะฉะนั้น เรื่องกิเลสนี่สำคัญ แล้วมาเรียนรู้ แล้วตั้งใจ เอาชนะ กิเลสให้ได้ เอาชนะอะไรก็ไม่เก่งหรอก ต่อให้คุณชนะอีรัก ต่อให้ชนะอเมริกาเอ้า เดี๋ยวนี้อเมริกา ก็พยายาม จะชนะอีรัก เขายังไม่เบ็ดเสร็จนา ยังไม่แน่ ใจว่าชนะอีรักนะตอนนี้ จะไปเอาชนะบ้านเมือง จะไปเอาชนะประเทศนั้น ประเทศนี้ ชนะยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตามแต่ เป็นเจงกีสข่าน อเล็คซานเดอร์ มหาราช อะไรพวกนี้ แหมชนะสิบทิศ มีอาณาเขต ไม่ใหญ่หรอก ชนะกิเลสเรานี่ใหญ่ๆ ขอยืนยัน

พวกเรานี่อาตมาว่า พวกเราที่มาจน อย่างนี้พามาจน เงินดาวเงินเดือนทิ้งไปแล้ว ทำงานเข้าส่วนกลาง เข้าส่วนกลาง ก็ไม่ได้หมายความว่า ที่นี่จะรวยมหาศาล ไม่ ถึงไม่เข้าส่วนกลาง เราก็เอามาทำงาน แล้วก็สะพัดไปให้คนอื่น นี่มีโรงงาน มีโน่นมีนี่ เราก็มีขึ้นมา ทำงานนะ ไม่ได้ทำเพื่อร่ำรวย ไม่ใช่ทำเพื่อ ที่โอ้โฮ ต่อไปนี้เราจะเป็นเจ้าสัว ใหญ่เลย นี่ จะต้องมีหุ้น หรือว่าจะต้องกอบโกยมา มีสมบัติมาก

ที่นี่นี่ ชื่อว่าสมบัติของข้าทั้งนั้น ไม่ใช่ เอามาทำงานแล้วก็สะพัดออกไป ผลิตออกไป เพื่อสร้างงาน เพื่อทำ ประโยชน์ ให้แก่สังคมมนุษยชาติ ขายอย่างถูกๆ ให้ได้ ของดีราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ นี่เป็นหลักการ การตลาด ของบุญนิยมเราจริงๆ ไม่ใช่พูดเล่น นา ทำจริงๆ เพราะฉะนั้น มาทำงานที่นี่ ก็มาทำงาน ช่วยเหลือมนุษย์ชาติ ช่วยเหลือ ผู้คน แล้ว เราก็สบายใจ เพราะเราเข้าใจ แล้วว่า เราได้ช่วยเหลือเขา มันเป็นคุณค่า เราไปเอาเปรียบ เขามานี่น่าเศร้า แต่เราได้ เสียสละ ได้เกื้อกูลคนอื่นนี่น่าดีใจ น่าอบอุ่นใจ น่าภาคภูมิใจใช่ ไหม เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องดี เพราะฉะนั้น พวกเราก็มาทำสิ่งที่ดีนี่ให้มันตรง ไม่ใช่ไปเบี้ยวๆ ทำทีเป็นว่าแหม ไปช่วยเหลือคนอื่น แต่ที่แท้ ล้วงกระเป๋า ทำทีเป็นช่วย แหม อันโน้นอันนี้ ช่วยๆ แต่เสร็จแล้วมีอะไรก็ไม่รู้เป็นกลไก ไหลเข้า เทเข้า หลังบ้าน ไหลเข้า เทเข้ากระเป๋าเรา แต่ข้างหน้านี่เหมือนจะช่วยคุณๆๆ หลอกให้คุณไปหาน่ะ หาได้นะ คุณหาได้แล้วก็ไหลเข้า มาให้เราเอง นี่คือยุทธศาสตร์ ของทุนนิยม นี่คือกลยุทธของชาวทุนนิยม เขาทำวิธีนี้ หลอกให้คุณหลง หลอกให้คุณเข้าใจผิด ว่าเราไป ช่วยคุณนา นี่มาช่วยแล้วนา นี่ให้ยืมเงิน ไปแล้วนา ให้ช่วยอันโน้น อันนี้แล้วนา แต่เสร็จแล้ว เรานี่แหละจะได้ จากที่อาศัยคุณ ที่จริงใช้คุณ ให้คุณ ไปออกแรง ให้คุณไปทำงาน เสร็จแล้วคุณจะต้อง หมุนกลับคืน มาให้ฉัน ได้มากขึ้น เป็นวิธีการ ของทุนนิยม เก่ง เดี๋ยวนี้คนเหล่านี้เก่ง

สรุปแล้วก็คือเห็นแก่ได้ สะสมกอบโกย ขูดรีด เอาเปรียบเอารัดโลก มีมากๆ พวกนี้ไม่กล้าเสียสละ ไม่กล้า หมดตัว ไม่กล้าจน เราสอนให้คน ตรงกันข้ามกันเลย มาจน กล้าจน เสียสละ เห็นได้ชัดว่า เป็นความดี แล้วเราอยู่ได้ไหม อยู่ได้ ที่นี่อยู่กัน เป็นร้อยๆ ยังไม่ถึงพัน หมู่บ้านนี้ก็ยังไม่ถึงพัน หมู่บ้าน ของชาวอโศกจริงๆ นี่ แต่ละหมู่บ้าน ยังไม่ถึงพัน สักหมู่บ้าน เป็นจำนวนร้อย บางหมู่บ้าน ไม่ถึงร้อย ๆ แต่ก็อยู่กันได้ อยู่ได้ด้วยระบบนี้ ระบบที่จะเสียสละให้มาก ให้มากอย่าเอามามาก อย่ากอบโกย อย่าเอาเปรียบ นี่เป็นพฤติกรรม ที่จริงของชาวอโศก หรือชาวบุญนิยมจริงๆ เลย พยายามสร้างสรร แล้วก็เสียสละให้มากๆ อย่าเอาเปรียบ อยู่ได้ไหม ได้ ท่ามกลางเศรษฐกิจอย่างนี้แหละ อย่างนี้แหละ เป็นครอบครัวใหญ่ เป็นสาธารณโภคี เป็นครอบครัวเดียวกัน กินใช้ร่วมกันส่วนกลาง หาได้ก็มารวมกัน แล้วก็ พยายามสะพัดออก สร้างสรรขึ้นไป ให้คนอื่น ได้รับกำไร ถ้าจะพูดโดยภาษาทุนนิยม ให้คนอื่นเขาได้ มากกว่าที่เราได้ เราเสียสละให้เขาได้มากๆ นั่นแหละ เราเสียสละ เรามาร่วมกัน เสียสละ สร้างขึ้นมามากๆ แล้วก็ให้เขาอื่น มากกว่าที่เราเอาไว้ ให้เขามากกว่าที่เราเอาไว้ นี่ พูดกันนี่ ไม่ใช่อาตมาเล่นลิ้นนา ไม่ใช่พูดว่าแล้ว ไม่มีรูปร่าง ไม่มีสิ่งที่เป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ มีตัวอย่างแล้ว เป็นจริง นี่ทำอย่างนี้ อาตมาสร้างคน หรือ สร้างสังคม สร้างชุมชน หมู่กลุ่ม เป็นหมู่บ้าน เป็นตำบล ถ้ารวมกัน ได้เป็นตำบล ตำบลนี้ แหมหลายหมู่บ้านนี่โอ้โฮ ถ้าอาตมาทำ ถึงขั้นเป็นตำบล สาธารณโภคี ตำบล ที่เป็นบุญนิยมด้วยได้อื้อฮือ รับรองเลย โลกนี้ทั้งโลก จะดังสนั่นเลย จริงๆ นี่มันได้แค่หมู่บ้านนี่ อาตมาก็ชื่นใจแล้ว นี่ได้หลายหมู่บ้านแล้ว หมู่บ้านที่เป็นทางการ ก็ได้ไป ๒ หมู่บ้านแล้ว ราชธานีอโศก กับศีรษะอโศกนี่ ขึ้นทะเบียนเป็นหมู่บ้านทางการแล้ว แล้วก็อยู่อย่างนี้ ระบบบุญนิยมนี่ ระบบ สาธารณโภคี อย่างนี้แหละ เสร็จแล้วก็ ทำขึ้นไปๆ เพื่อที่จะยืนยัน ให้เห็นว่า คนเรานี่นา มาเป็นพี่ เป็นน้องกัน มากินใช้ร่วมกัน มาขยันหมั่นเพียร อย่าขี้เกียจ สร้างสรรแล้วก็ไม่ต้องหวงแหน ไม่ต้อง ขี้เหนียว สะพัดเผื่อแผ่ เกื้อกูลคนอื่น นี่แหละ มันเป็นเรื่องดี เป็นความดีของมนุษยชาติ เชื่อหรือไม่เชื่อ ใครๆ ตั้งใจ ฟังที่อาตมาพูดนี่ เชื่อไหมว่าดี เป็นเรื่องเยี่ยมยอด ของมนุษยชาติ เชื่อไหม (เชื่อครับ)

อันนี้แหละอาตมามั่นใจว่า จะกอบกู้สังคมมนุษยชาติทั่วโลกเลย ไม่ใช่แต่เมืองไทย นายจอร์ชบุช ยังไม่เคย ได้ยิน อาตมาเทศน์นา ไม่รู้จักนโยบายวิธี นี่เป็นนโยบาย เป็นวิธีที่ จะกอบกู้โลก เขายังไม่เคย ได้ยิน อีกหลาย ผู้นำประเทศ อีกหลายประเทศ ไม่เคยได้ยิน ขออภัย ทักษิณก็ยังไม่เคยได้ยิน จริง ทักษิณ ไม่เคยมาฟังเทศน์ อาตมาอย่างนี้หรอก ทักษิณไม่รู้จะได้เคยอ่าน หนังสือหรือว่าฟังเทศน์ ฟังอะไร ที่อาตมาเทศน์นี่ หรือเปล่าไม่รู้ แล้วจะเห็นด้วยหรือเปล่าไม่รู้ เอาเถอะ เห็นด้วย ไม่เห็นด้วย ไม่เป็นปัญหา อาตมาไม่ขัดแย้งทักษิณ ทักษิณจะสร้างให้คนรวยทั้งประเทศ ทำไปเลย เพราะว่า ทักษิณทำได้เท่านั้น

แต่อาตมาจะทำให้คนจนทั้งประเทศ โอ้โฮคนละขั้วเลยหนอ แต่ไม่ขัดแย้งกันหรอก เป็นคนจนอย่าง ชาวอโศก เป็นคนจน อย่างชาวบุญนิยม จนอย่างเต็มใจจน จนอย่างขยัน หมั่นเพียร จนอย่างพึ่ง ตนเองรอด สร้างสรรตัวเอง กินใช้ อย่างของที่ตัวเองกิน แรงงานของตัวเอง ความสามารถของตัวเอง พอแล้ว เหลือแล้ว ก็ให้คนอื่น เราก็ต้องจนสิ เราไม่ได้เอาไว้ น่ะ เราไม่ได้มานั่งกอบโกย กักตุน ไม่ได้เอาเปรียบ เอารัดใคร เราก็ต้องจนแน่นอน คนจน ชนิดนี้นี่ เป็นคนจน ต้องกราบ ต้องไหว้ นี่ไม่ได้ไปคาดคั้น เอาของใครนา เขาจะกราบก็กราบเอง เขาไม่กราบก็ช่างเขาเถอะ เราเสียสละ สร้างสรร ให้คนอื่น เราต้องจน เพราะฉะนั้น คนจนอย่างเรานี่ไม่ค้านแย้งกับคนรวย คุณชอบเงิน ชอบทอง เราก็สละ คุณก็เอาไปซี มันก็ไม่ทะเลาะกันแล้ว

คนจนอย่างเรานี่นะ เป็นคนจนที่ประหลาด เป็นคนจนที่พิเศษ เป็นคนจนมหัศจรรย์ เพราะเป็น คนจน ที่มีสุข คนจน ที่สร้างสรร คนจนที่เสียสละ คนจนที่มีสมบัติ คนจนที่สูญ มีสมบัติอยู่ที่ศูนย์ ถึงจิตสูญ แต่สมบัติที่ พอกินพอใช้ ก็มีพอเลี้ยงกาย เลี้ยงตน เป็นคนจน ที่สัมบูรณ์ มีสมบัติอยู่ที่สูญถึงจิตสูญ แต่สมบัติ ที่พอกินพอใช้ ก็มีพอเลี้ยงกาย เลี้ยงตน เป็นคนจนที่สัมบูรณ์ ๗ ส. เป็นสุข เป็นคนจนที่สุข คนจนที่สูง สูงเพราะมีคุณค่า ถ้าเราได้ให้เขานี่ เรามีคุณค่า ถ้าเราเอา ของเขามานี่ เราไร้ค่า ฟังให้ดีนะ คุณหอบมา กอบโกยมา เอากำรี้กำไร เอาเปรียบมามากๆ แล้วกอบโกยไว้ ไม่ให้ใคร คุณไม่มีค่า คุณยิ่งหมดค่า แต่ถ้าคุณสร้างสรร สร้างๆๆๆ คุณสร้างมาเยอะๆ แล้วคุณก็แบ่งให้คนอื่นๆ ไม่ต้องไป เอาเปรียบมา คุณยิ่งมีค่า มีประโยชน์ต่อผู้อื่น ฟังดีๆ อาตมาไม่ได้พูดลึกลับอะไร พูดชัดๆ

เราเป็นคนสูง เพราะเรามีคุณค่า คนเขาจะไม่ยกย่อง เพราะเราจน คนเขาจะไม่อยากกราบเคารพ เพราะเราเอง เราเป็นคน มีแต่ให้ ดูสินี่ ตำแหน่งยศศักดิ์เขาก็ไม่ให้ ไม่เป็นไร ยศศักดิ์ไม่มีก็ไม่เป็นไร รวยก็ไม่รวย เขาไม่ว่าสูง ไม่เป็นไร แต่เราสูงเพราะ สัจธรรม สูงเพราะเราเป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ ต่อผู้อื่น แล้วเราก็สร้างสรร มีสมรรถนะ มีความรู้ ความสามารถก็สร้างสรร แล้วก็เสียสละ ส.ที่ ๔ เสร็จแล้วเราก็ได้ทำอย่างนี้แหละ เป็นการสั่งสมทรัพย์ กัมมัสโกมหิ กัมมทายาโท เป็นของเรา ทรัพย์ทางกรรม มีสมบัติทางกรรม กิริยาเป็นกุศล มีแต่กุศลเป็นสมบัติ มีแต่คุณค่า คุณงามความดี ความร่ำรวย ทางบุญกุศล เป็นสมบัติ เพราะเราไม่หลงไหลในวัตถุรูป มีบ้านใหญ่ มีเพชร มีพลอย มีเงิน มีทองเป็นสมบัติ ไม่สงสัย ไม่ไปสะสมเพชรนิลจินดา สะสมกุศลสมบัติ สะสมกรรมที่เป็นสมบัติ โดยเฉพาะเสียสละ จาคสัมปทาหรือทาน หรือบริจาคหรือเกื้อกูล ช่วยเหลือ เฟือฟาย คนอื่น เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น สะสมอันนี้เป็นสมบัติ จนกระทั่ง ตนเองจิตสูญ ส.สูญ ส.ที่ ๖ สูญ ส.ที่ ๖ สุข สูง สร้างสรร เสียสละ สมบัติ สูญ สัมบูรณ์ absolute ส. สุดท้าย สัมบูรณ์ หมายความว่า ครบ เต็ม จบ absolute สูงสุดแล้ว สุดยอดแล้ว หมดแล้ว ครบแล้ว absolute ๗ ส. เป็นคนอย่างนี้ เมื่อมารวม กันแล้ว พลังสร้างสรรแบบนี้ มันก็จะมาเป็นพลังผนึก เป็นสนามแม่เหล็ก คนแบบบุญนิยม

นี่อย่างชาวอโศก อย่างปฐมอโศกนี่ก็มีโรงงาน ต่างคนต่างทำ ดูแลกันไป โรงงานยา โรงงานแปรรูป โรงงาน ทำอะไรละ ชวนชื่น โรงงานปุ๋ย โอ้โฮโรงใหญ่นะ คนทำยังน้อยเลยนา โรงเบ้อเร่อ ถ้าเป็นแบบ ทุนนิยมนี่ ล่มจมตายเลยนา กู้เงินเขามาสร้าง โรงใหญ่ๆ นี่ เครื่องไม้ เครื่องมือ แล้วก็ทำผลิตไม่พอ ขาดทุนแน่ มีดอกเบี้ย เราไม่ทำ เราทำแบบ บุญนิยม ไม่มีดอกเบี้ย แล้วก็ทำไป มีเท่าไรก็ทำไป แล้วค่อยกระตุก กระเตอะ ไปมีโรงนั่นโรงนี่อะไรต่างๆ แม้แต่สื่อสารมวลชน เราก็มี นิเทศศาสตร์เราก็มี มีโรงเรียน โรงเรียนก็สอน กันฟรีด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น มันเป็นไปได้ มันเป็นไปได้ แล้วก็หากันมา ใช้กันมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไปเอาเปรียบ ไม่ไปกอบโกย แบบทุนนิยม เราก็ใช้ไป หามา แล้วก็มาหมุนใช้ หมุนเวียนกันไป สร้างสรรกันไป เกิดเป็นระบบใหม่ เกิดเป็นสังคมชุมชน ที่มีทฤษฎีใหม่ ยุทธศาสตร์ใหม่ ในการดำเนินชีวิต มียุทธศาสตร์ในการดำเนินชีวิตแบบใหม่ โดยเฉพาะจิตใจ จิตวิญญาณ ของพวกเรา นี่ อยู่กันอย่างพี่อย่างน้อง อยู่กันอย่าง คิดลดกิเลสกัน ช่วยกันดูแล เรื่องกิเลส ขัดเกลากัน

พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว เรื่องหลักการลดกิเลส แล้วก็มาทำให้ลดกิเลสไป เป็นคน เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคน กล้าจน หรือเป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษพอ เหมือนอย่าง เมื่อคืนนี้ แหม บอกพอๆๆๆ แปลกดี คนเขารู้จักพอ เออหนอ มายืนยันกัน บอกพอแล้ว น้อยๆ แค่นี้ก็พอ ไม่ต้องไป เอามาก เอามายอะไรก็พอ มีกินแค่นี้ก็พอ ใช้เท่านี้ก็พอ ไม่ได้ทรมานตัวเอง อย่างนี้เป็นต้น เป็นคน มีการขัดเกลา ขัดเกลากายวาจาใจ ขัดเกลากิเลส เป็นคนมีศีล ศีลสูง ศีลเคร่ง ก็มีได้ มีศีลได้ ศีลเคร่งๆ ศีลที่คนข้างนอกทำยาก แต่ข้างในนี้ทำได้ เช่นศีล ๕ คนจากข้างนอก ก็ทำยากแล้ว นา นี่อย่าว่าแต่ศีล ๕ เลย สูงกว่า ศีล ๕ เป็นอธิศีล ศีล ๕ เป็นชนิดที่มีเนื้อหายากขึ้น เช่นศีลข้อ ๑ ไม่ใช่ว่า ไม่ฆ่าสัตว์ แค่นั้น ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย อย่างนี้เป็นต้น สูงขึ้นไปกว่าศีล ศีลข้อ ๑ ไม่ฆ่าสัตว์เท่านั้น แต่ศีล อธิศีล สูงขึ้นไปก็คือ อย่าว่าแต่ไม่ฆ่าเลย ไม่กินเนื้อสัตว์ด้วย อย่างนี้เป็นต้น ศีลข้อ ๒ ไม่ลักทรัพย์ อย่าว่าแต่ ไม่ลักทรัพย์เลย ไม่โกง ไม่เอาเปรียบ หรือทาน อทินนาทานนี่ ไม่เอาของเขา แต่ ทาน ด้วยซ้ำไป เสียสละ ด้วยซ้ำไป ศีลข้อ ๓ นี่ อย่าว่ามี ผัวเดียว เมียเดียวเลย ผัวก็ไม่มี เมียก็ไม่มี เป็นโสด อย่าว่าแต่ เป็นโสดเลย ลดกาม ลดให้หมด ให้ได้ อย่างนี้เป็นต้น ศีลสูงขึ้นได้ โกหกมดเท็จ ไม่โกรธแล้ว พูดแต่เป็นธรรม พูดภาษาธรรมะ พูดแต่ภาษา ที่เป็นประโยชน์ คุณค่า แก่กันและกันโน่น อย่าว่าแต่ พูดโกหก พูดมดเท็จ พูดส่อเสียด ไม่พูด พูดเจริญขึ้นกว่านั้น เมา อย่าว่าแต่เมาเหล้าเลย ไม่เมา แม้กระทั่ง จิตวิญญาณ หรือว่ากินหล่อพัง เมาทางจิตวิญญาณ เป็นผู้ตื่น เป็นพุทธะ ไม่ใช่เป็น ผู้หลับไหล เป็นผู้เมามาย ไม่ใช่เป็นผู้ไสยะ หรือเป็นผู้มัชชะ เป็นผู้เมาอยู่ หรือมท ไม่ใช่ เป็นผู้พุทธ เป็นผู้ตื่น เบิกบานร่าเริง รู้เท่าทันโลก นี่ศีลข้อ ๕ อย่างนี้เป็นต้น

มีอธิศีลสูงขึ้น เป็นธูตะ ท่านแปลว่าศีลเคร่ง ธุดงค์พระธุดงค์ นี่พระศีลเคร่งทั้งนั้นแหละ พระธุดงค์ ธูตะ ธูตา หรือธูดะ มาเป็นภาษาไทย ถ้าไม่เอา ต เอา ด มาแทน ธูตะเป็นคน ศีลเคร่ง มีศีลเคร่ง มีอาการที่น่าเลื่อมใส ไม่สะสม เป็นคนที่มี วรรณะ ๙ ไม่สะสมนี่ข้อที่ ๘ ไม่สะสม เป็นคนไม่สะสมแล้ว ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร ไม่ สะสมเงินทอง เป็นอนาคาริกชน เป็นคนที่ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร บ้านช่อง เรือนชาน อยู่ รวมกันร่วมกัน นอนที่ไหนก็ได้ กินที่ไหนก็ได้ ไม่มีที่นอน นอนรุกขมูลโคนไม้ ได้ ฝึกฝนแล้ว นอนสบาย แม้รุกขมูลโคนไม้ก็เป็นที่นอนทิพย์ นอนแล้วก็หลับปุ๋ย สบาย ไม่ใช่หลับปุ๋ย พรทิพย์ หลับสบาย นอนไหนก็ได้เป็นทิพย์ นั่งก็ง่าย นอนก็ง่าย ไปง่าย มาง่าย กินง่าย อยู่ ง่าย แต่ไม่มักง่าย เท่านั้นเอง เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนสุภระๆ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคน บำรุงง่าย สอนได้เจริญไว เจริญทางธรรมด้วย เจริญอย่างดีด้วย อะไรอย่างนี้เป็นต้น เราไล่ ไปแล้ว อาตมาไล่ไปถึง ๘ แล้ว อันที่ ๙ คือขยัน วิริยารัมภะ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนบำรุง ง่าย เป็นคนมักน้อยสันโดษ หรือกล้าจน เป็นคน กล้าจน แล้วเป็นคน สันโดษ เป็นคนใจพอ สันโดษ เป็นคนที่ขัดเกลา มีการขัดเกลา เป็นคนที่มีศีลเคร่ง ก็ไล่ไปเรื่อยๆ เป็นคนที่มีอาการ ที่น่าเลื่อมใส ข้อที่ ๗ ข้อที่ ๘ เป็นคนไม่สะสม ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร ไม่สะสม กองกิเลส ล้างกิเลสออก และ เป็นคนขยัน ยอดขยัน ขยัน ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อ ความขี้เกียจ หรือ เกียจคร้าน ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่เป็นของเรา ตถาคต ธรรมใดวินัยใด เป็นไปด้วย ความขยัน หมั่นเพียร ธรรมนั้นวินัยนั้นเป็นของเราตถาคต

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้อย่างนี้เลย ธรรมของพระพุทธเจ้าสอน สอนให้คนขยัน ไม่ใช่สอนให้คน ขี้เกียจ เพราะฉะนั้น เมื่อขยันสร้างสรรแล้ว แต่เราไม่เอาหรือเอาน้อย ให้คนอื่นมาก คนนั้นก็ มีบุญ คนนั้น ก็มีกุศล คนนั้นก็เป็นคนที่ อยู่ในสังคมนี้อย่างเกื้อกูล อย่างมีบุญ อย่างมี ประโยชน์ สร้างสรร มากๆ ให้คนอื่นมากๆ เอาไว้น้อยๆ ของเราน้อยๆ แบ่งแจกเกื้อกูลกันไป

อาตมาพูดมาถึงทักษิณจะทำให้คนรวย แต่อาตมาจะทำให้คนจน ขัดแย้งกันไหม ขอยืนยันว่าไม่ขัดแย้ง เหมือนชาวอโศก อยู่กับสังคมทุกวันนี้ คนในสังคมนี่ ต้องการรวยหรือ ต้องการจน คนในนครปฐมนี่ ต้องการรวยหรือต้องการจน ส่วนใหญ่ (รวย) แล้วคนชาวอโศก อยู่ปฐมอโศกนี่ ต้องการรวย หรือ ต้องการจน (จน) ต้องการจน มีอุดมการณ์ มีอุดมคติอย่าง นั้นจริงๆ แล้วอยู่ได้ไหม อยู่กับชาวนครปฐม ได้ไหม ได้ ชาวนครปฐม ไม่เห็นว่าพวกเราเป็น ศัตรูหรอก เพราะเราให้เขาเอา คนหนึ่งเอา จะเอา อีกคนหนึ่งให้ให้ แล้วมันก็อยู่ด้วยกันได้ มันไม่ทะเลาะกัน อีกคนหนึ่งเอา อีกคนหนึ่งเออๆ เอาของเอ็งไป นี่ให้ ใช่ไหม มันเหมือนกับ คนละขั้ว คนหนึ่งเอา คนหนึ่งให้ มันคนละขั้วนา ฟังอันนี้ มันลึกซึ้งนา ใช่ไหม มันปรัชญาลึกซึ้ง คนหนึ่งเอา คนหนึ่งให้ ก็อยู่ด้วยกันได้ แต่พวกที่อยู่ด้วยกันน่ะ พวกทุนนิยมน่ะ ต่างคน ต่างจะเอาหรือต่างตนต่างจะให้ (จะเอาครับ) ตะลาต่าต๊าๆ เคยได้ฟังไหมเพลงนี้ เพลิงเชิด หนังสมัยก่อนนี้ เวลามันจะชกกัน มันจะต่อยกัน เพลงนี้ขึ้นแล้ว ตะลาต่าต๊าๆ ใช่ไหม ตะลาต่าต๊า เลย เพลงเชิดมันจะตีกันใช่ไหม มันรบกัน ตีกัน ชกกัน มันแย่งกัน เพราะฉะนั้น ทุนนิยมเองน่ะ ฆ่ากันเอง แย่งกันเองมาตลอดกาลนาน พอเกิดบุญนิยมขึ้นมาค่อยยังชั่ว เพราะพวกนี้ให้ พวกนั้นเอา เราให้ เพราะว่า เราสร้างสรร ไม่ใช่ว่าเราให้นี่ เราก็ไปปล้นเขามา แล้วเขาเอามาให้ ไม่ใช่ เราสร้างสรรของเรา สร้างสรรเรากินเราเหลือ เพราะเรากินน้อย ใช้น้อย เรามักน้อยสันโดษ เรามีเหลือแล้วเราก็ให้เขา เขาไม่ฆ่าเราหรอก เพราะเราให้เขา นี่ เขาไม่ฆ่าเราหรอก แต่พวกนั้นน่ะ ไม่มีเวลาจะไปสร้าง เอาแต่เวลา ไปแย่งกันรบกัน หนักเข้า เสือเจอสิงห์นี่ ตายทั้งคู่ รู้หรือเปล่า เพราะมันเก่งทั้งคู่ ชักปืนไวทั้งคู่เลย เสือกับสิงห์นี่ เสือเจอสิงห์มันใหญ่ด้วยกันทั้งคู่ ต่างคนต่างจะเอาชนะกัน ใช่ไหม ปั๊ม มันยิงแล้ว มันไว แต่เสร็จแล้ว เป็นอย่างไร ลูกกระสุนเจาะหัวใจทั้งคู่เลย ตายทั้งคู่ เสือเจอสิงห์ ตายทั้งคู่แหละ เรารอด เพราะเขาไม่ฆ่าเรา พวกนี้จะไม่ฆ่าเรา

เพราะเราจะเป็นกองกำลังอาหารให้แก่เขา เราจะเป็นกองกาชาด เราจะเป็นพวกที่ช่วย เขาเจ็บมา เราก็รักษา อาหารมีกินเราก็สร้างอยู่นี่ เราสร้างให้เขานี่ เรากสิกรนี่แหละ สร้างนักๆ ค้ำจุนโลก พวกเรา นี่แหละ พวกค้ำจุนโลก พวกมีบุญ เพราะฉะนั้น ในอนาคตนี่พวก ต่อไป ยังไม่ทันไรหรอก นี่แหม เห็นแล้ว ขณะนี้มันสงคราม ครูเสด สมัยใหม่ ระหว่างศาสนาบุชกับศาสนาซัดดำ ก็คืออิสลาม กับคริสต์ นั่นแหละ ครูเสดสมัยใหม่ ถ้าใครเรียนเรื่องพวกนี้มาบ้าง ก็คงฟังแล้วเข้าใจ เอาละ ถ้าใครไม่รู้ ก็ไปอธิบายกัน เองก็แล้วกันนา ถามไถ่กันเอง นี่สงคราม ครูเสดสมัยใหม่ รบกัน มันก็จะรบกันอย่างนี้ ต่อไป ไม่ว่าซัดดัม ไม่ว่าบุช ตายทั้งคู่ มันเสือกับสิงห์น่ะ เดี๋ยวมันก็ตายทั้งคู่ อย่างที่ว่านี่ เสร็จแล้ว เรานี่เห็นไหมนี่ ส่งข้าวไปให้ เขากิน อะไรไปให้เขา ดูแลรักษา เขาเจ็บมาก็ดูแลรักษา เราก็รอด เพราะฉะนั้น พวกโลก ทั้งโลกนี่ มันจะตามมาอาละวาด ฆ่ากัน มันจะแย่งชิงกันไปทั้งโลกนี่ ตอนนี้ มันเป็นแล้ว มัน globalization โลกมันทะลุทะลวงกันหมดแล้ว มันเปิดโลก มันต่อเนื่อง ถึงกันหมดแล้ว ไม่มีอะไรปิดกั้นแล้ว โลก globalize โลกสมัยใหม่ นี่โลกนี้มัน สื่อสารถึงกันหมดแล้ว ... มันเดี๋ยวนี้มันไปอย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้น โลกมันจะเป็นอย่างนี้ต่อไป เขาจะรบราฆ่าฟัน พวกที่เขาไม่รู้เรื่อง เขาจะทำอย่างนั้นแหละ แต่พวกเรา ทำอย่างที่เราทำ สุดท้ายโลกนี้เขาก็ฆ่ากันหมด ชาวอโศกรอด นี่แหละที่ท่านพยากรณ์เอาไว้ บอกว่าต่อไปในอนาคต โลกมันจะไฟประลัยกัลป์ไหม้หมด คนมีบุญเท่านั้นจะรอด อันนี้ท่านพยากรณ์ ฟังให้ดีนะ ภาษานี้ลึกซึ้ง ใครอยากรอด ต้องทำตน ให้เป็นคนมีบุญ ทำจริงๆ ไม่ต้องรอ ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ ทำจริงๆ ให้ได้ก็แล้วกัน อาตมาไม่รู้ละ ไม่ได้พยากรณ์ ว่ามันจะอีกกี่ปี ทุกวันนี้มันไฟ ลนก้นแล้ว มันไล่เข้ามาแล้ว นี่อะไรต่ออะไร มันอื้อฮือรุนแรง แล้วรุนแรง เข้ามา เหมือนกับมันไม่รุนแรง เหมือนมัน ประเล้า ประโลมเอาใจ แต่ที่แท้มันล้วงตับกินไส้ ลึกนาๆ ระวังเถอะ

อ้าวทีนี้พูดถึงทักษิณ ท่านจะทำให้คนรวย ถ้าทักษิณทำให้คนรวยได้จริง อาตมาก็อนุโมทนา แต่ถ้า คนรวยแล้ว จะนิสัยเสีย

๑. ถ้าคนเราใครก็แล้วแต่ ทำให้ตัวเองรวย คนอื่นก็ต้องเดือดร้อน ใช่ไหม คุณเอาของคุณเอง คุณก็กอบโกยไป คนอื่นก็ขาดแคลน ถ้าประเทศไทยรวย ก็แสดงว่าประเทศไทยน่ะสร้างเข้ามาอย่างหนึ่ง

๒. ไปดูดเอามาจากประเทศอื่นๆ เราจึงจะรวย ใช่ไหม ของตัวเองมันจะไปรวยอะไรมากมายละ ของตัวเอง มันก็เท่าของตัวเอง มันจะไปรวยอะไร ใช่ไหม ของตัวเอง มันก็เท่าของตัวเอง จะรวยได้ ก็ต้องเอาของคนอื่นมา กอบโกยมาไว้ เราจึงจะรวย

อาตมาพูดผิดหรือเปล่า ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องไปเอาของเขามา แล้วถึงจะรวย แล้วเมื่อเอา ของเขามาแล้ว เขาจะเอาคืนไหม แล้วแย่งกันเสร็จไหม แย่งกันไม่เสร็จ ถ้าคุณรวยแบบไปเอาของ คนอื่นมา แย่งไม่เสร็จ ไม่เสร็จหรอก ญี่ปุ่น รวยแป๊บเดียว เดี๋ยวนี้รูดลงแล้ว แต่ก่อนนี่มันเคยรวย เป็นเจ้าโลก เพราะมันขยัน ต่อมาๆ มันอะไรก็แล้วแต่ มันตามประวัติศาสตร์ ที่มันมีอะไรต่ออะไรมา ก็ว่าไป ประวัติศาสตร์โลกก็คือ ประวัติศาสตร์โลก ประวัติศาสตร์ไทยก็ไทย ก็เคยรวย เวลานี้ก็จนลง อเมริกาพยายาม ดึงตัวเองมาให้รวย รักษาฐานะให้ได้ ญี่ปุ่น พยายาม ทำให้ตัวเองรวย วูบแล้ว ฆ่าตัวตายก็เยอะ ไม่เป็นสุข เด็กเสียคน หมดเลย ๒. เมื่อรวยแล้ว ฐานะรวยแล้ว จิตใจไม่เหมือน ชาวอโศก จิตใจไม่ได้ศึกษา กิเลสเยอะ โน่นก็หลง นี่ก็เฟ้อ โน่นก็ไปผลาญ ไปพร่า เหมือนกับ อาเสี่ย ตัวอาเสี่ยเอง เสื่อผืนหมอนใบ แหม ปากกัดตีนถีบ ขยันหมั่นเพียร ขึ้นมาเป็นอาเสี่ย รวย เสร็จแล้วมีลูก อาเสี่ยนี่ มันคนจน บอก อั๊วมันลูกคนจน นั่นมันลูกคนรวย ลูกเขาน่ะ เป็นลูกคนรวย ใช่ไหม แล้วลูก คนรวยนี่ นิสัยจะเสียแล้ว ชั่วอายุ คนหนึ่งนี่จะเสียแล้ว ข้อ ๒. หลานทีนี้ มันยิ่งนิสัยเสียมากขึ้น เพราะมันเป็น หลานคนรวย เพิ่มขึ้น มันจะไม่รู้จัก วิธีหาเงิน แต่จะรู้จักโลกมอมเมา มันจะใช้จะกิน จะฟุ่มจะเฟือย จะอะไรก็ง่าย มักง่ายหมดเลย เพราะไม่ได้เรียนรู้ ทางจิตวิญญาณ เพราะไม่ได้ปรับปรุง ทางจิตวิญญาณ ไม่ได้ปรับปรุงทาง วัฒนธรรม ศีลธรรม จริยธรรมต่างๆ มันก็จะเป็นคน ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ที่ไหนเหมือนกันหมด คนชาติไหน ก็เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น ไม่ถึงสามอายุ คนหรอก หมด รวยให้ตายก็หมด ทักษิณพาให้ประเทศไทยรวย ถ้าไม่มาประสานกัน กับชาวอโศก ไม่มา ประสานกัน กับโพธิรักษ์ ไปไม่นานหรอก รวยได้ไม่นาน ได้ต่อให้ทักษิณ พาให้รวยจริงๆ ด้วย ทั้งประเทศ ไปไม่นานหรอก ฟังเข้าใจหมด ผลาญพร่านิสัยเสียด้วย เป็นคนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เหยียบขี้ไก่ ไม่ฟ่อ จมไม่ลงอะไรก็แล้วแต่ ตาย จะฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย กินใช้ไม่รู้เรื่อง จะไม่มาประหยัด มัธยัสถ์ ไม่รู้จักเสียสละ สร้างสรร เหมือนอย่างนี้หรอก

อาตมาถึงบอกว่า อาตมาไม่ขัดกับทักษิณ แต่ทักษิณควรจะมองพวกอาตมาบ้าง ถ้ามาสนับสนุน มาส่งเสริม ให้อาตมา พัฒนาประเทศไทย ให้คนไทยเป็นอย่างชาวอโศกนี้อีก ไปเลย ทักษิณ มียุทธศาสตร์ ที่จะรวยก็รวย ไม่ว่ากัน ยิ่งรวยยิ่งเป็นประโยชน์ ต่อประเทศอื่นด้วย เพราะรวยแบบอโศกนี่ จะมีมามากๆ แล้วเราก็จะสร้างสรร เกื้อกูล ช่วยเหลือประเทศต่างๆ ไม่รู้ละ พม่า ลาว ญวน เขมร ก็จะได้รับการเกื้อกูล จนกระทั่ง ไปถึงอเมริกา โน่นแหละ ไปถึงยุโรป ไปถึงประเทศไหนๆ ก็เถอะ ถ้าเราทำได้ ใช่ ไหม เราจะเป็นจอมจักรพรรดิ์แบบบุญนิยม ไม่ใช่จอมจักรพรรดิ์ แบบทุนนิยม หรือ จอมจักรพรรดิ์แบบเจงกีสข่าน หรือแบบ อเล็คซานเดอร์มหาราช เที่ยวได้ เอามีด เอาดาบไปล่าแทง เมืองขึ้น ไม่ใช่ แต่เราจะมีประเทศอื่นๆ ที่เข้าใจเรา แล้วก็นับถือเรา เพราะเราเป็น ประเทศที่ สร้างสรร เกื้อกูล ช่วยเหลือ เผื่อแผ่ อุ้มชูเท่าที่เราจะมีได้ เราจะเป็นจอมจักรพรรดิ์แบบนั้น อันนี้เป็นอุดมคติ ที่ยิ่งใหญ่ เป็นอุดมคติของ มนุษยชาติที่ยิ่งใหญ่

ฟังดีๆ ถ้าใครที่เรียนสังคมศาสตร์ หรือเรียนรัฐศาสตร์มาดีๆ ฟังให้ดีๆ จะเข้าใจ อันนี้เป็นอุดมการ ที่ยิ่งใหญ่ๆ คนทำได้ ไปให้ไดโนเสาร์ มาทำก็ไม่ได้ สัตว์ใหญ่ ก็ไม่ได้ ให้ช้างมาทำก็ไม่ได้ คนเท่านั้น จะทำแบบนี้ได้ นี่อาตมาพูดนี้น่ะ ไม่ใช่ฝันๆ เพ้อๆ เป็นลมเป็นแล้งอะไรไปไม่ใช่หรอก คนไม่มีทาง ไปแล้ว สังคมมนุษย์ชาติ ไม่มีทางไปแล้ว มาถึง ยุคนี้แล้ว ยุคสุดท้าย จะใกล้กลียุคแล้ว ทุกคนก็คง เข้าใจ เพราะฉะนั้น ทางรอดมีทางเดียว คือทางมาเป็นคนชนิดนี้ ให้ได้

แล้วสุดท้ายห้ามไม่ได้ ที่จะมีไฟประลัยกัลป์ สุดท้าย ห้ามไม่ได้ พอคนที่มันแก้ไขตัวเองไม่ได้ กิเลส มันหนา มันก็จะต้อง เป็นอยู่อย่างนั้นแหละ มันก็รบราฆ่าฟันกัน เราห้ามไม่ให้เกิด สงครามไม่ได้ ห้ามไม่ได้จริงๆ คนมันมี กิเลสน่ะ มันมีอัตตามานะ มันจะต้อง หวงแหน มันจะต้องโลภมาก อะไร มันจะต้องเห็นแก่ตัว มันเป็นอยู่จริงน่ะ มันทำให้คน ลดกิเลสง่ายที่ไหน ยากจะตาย แล้วคนมันก็จะ เป็นอย่างนี้ อยู่อีกเยอะ คนหกพันล้านในโลก ขณะนี้นี่นา อาตมาว่าอีกร้อยปีนี่ ไม่ใช่หกหมื่นล้าน ถึงแน่ๆ เลย อีกร้อยปีนี่ อัตราการก้าวหน้าของคนนี่ ต่อให้เหมือนเมืองจีน ให้มีลูกได้คนเดียว ก็เถอะ กำหนดบังคับ กันอย่างไรก็ตาม ถึงหมื่นล้าน กว่าหมื่นล้านแน่เลย อีกร้อยปี เพราะฉะนั้น มันไม่มี ทางเลือกหรอก คนมันเกิดมา มันไม่ได้อบรม มันไม่ได้เรียนรู้ อย่างนี้ คนเรียนอย่างนี้ มันจะมีไปเรื่อยๆ เหมือนกัน พอโตขึ้นไป อันนี้ก็จะมีกลุ่มโตขึ้นไปบ้าง แต่ไล่ไม่ทันหรอก ไล่พวกชาวโลก ที่มันมา อย่างโลกๆ แบบพวกนี้ กิเลสเยอะๆ อย่างเก่า แล้วกิเลสก็หนาขึ้นๆ อาริยชนคือ คนกิเลสลด ปุถุชนคือคนกิเลสหนาขึ้นๆ

อาริยชนเกิดอย่างไร ก็ไล่ไม่ทันปุถุชน ปุถุชนจะเกิดขึ้นมาจำนวนมากกว่าแน่นอน ไล่กันไม่ทันหรอก เด็ดขาด แต่ถึงแม้ ไล่ไม่ทัน ทางรอดคือ ไม่ใช่อาตมาพยากรณ์ เขาพยากรณ์ มาแล้ว ทางรอดคือ ผู้ที่รอดจาก ไฟประลัยกัลป์ นั่นคือทางรอด ทำอย่างไรเราจะรอด จากไฟประลัยกัลป์ ฟังออกไหมนี่ ฟังเทศน์มาตั้งแต่ต้น นี่จะหมดเวลาแล้ว เดี๋ยวจะให้ถาม ปัญหา อีก ๕, ๖ นาที ๗ นาที ทางรอด ทางออก ทำอย่างไรจะรอด ได้คำตอบหรือยัง เงียบเลย โอ๊ย! ตาย ทางรอด ก็คือ มาเป็นอาริยะ มาเป็นคนชนิดนี้ให้ได้ เป็นคนที่สร้างสรรเกื้อกูล เป็นคนมีประโยชน์ต่อคนอื่นนี่ แล้วมันเป็น คนกาชาด กับมาเป็นคนสร้างอาหาร อาหาราธิการ คืออาหาร+อธิการ ไม่ใช่พลาธิการนะ เป็นพวก อาหาราธิการ มาเป็นกองกำลัง อาหาร สร้างเลี้ยงโลกเขา เลี้ยงมนุษย์เขา แล้วก็เป็นพวกกาชาด เป็นพวก ที่จะดูแลเ ขาเจ็บป่วยมา บาดเจ็บมา ก็ดูแลรักษาเขาให้รอด นี่แหละพวกนี้แหละจะอยู่รอด เวลาคุณมีสงครามนี่ คนเขาไปกาชาดกัน พวกกองอาหารนี่ ศัตรูสองข้างนี่ มันไม่ฆ่าหรอก มันละเว้นคนพวกนี้ ต่อให้อยู่ ในกลางสนาม รบเลย มันก็ไม่ฆ่า ใช่ไหม นี่เป็นเรื่องจริงนา ทางรอดคือทางนี้ บอกแล้วว่าเสือเจอสิงห์ มันตายทั้งคู่ ใช่ไหม มันฆ่ากัน คือไฟประลัยกัลป์น่ะ มันฆ่ากันแหลกลาญหมด ตายหมดแหละ เหลือพวกเรา ใครอยากเป็นพวกเรา บ้างนี่ ยกมือขึ้นซี โอ้โฮ อยากเป็นพวกเรา มันก็ต้องอย่างนี้แหละ พวกเรานี่จะรอด อย่างนี้ถึงจะรอด นี่คือทางรอด อาตมาไม่ได้พูดเล่นนา แหม นี่พูดมาเป็นชั่วโมงนี่ นึกว่า อาตมาพูดนิยายหรือไง นี่เรื่องจริงนา เรื่องต้องทำให้ได้ ไม่รอ อาตมาไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ ใครจะรอ ใครจะหวัง ใครจะอะไรก็ตามใจ อาตมาไม่รอ แม้แต่ทักษิณ ไม่รอ ทักษิณจะทำให้คนรวย

อาตมาไม่รอแล้ว อาตมาขอจนก่อนเลย เห็นไหมมันกลับกันแล้ว แต่ว่าอาตมาไม่ได้ขัดแย้ง บอกแล้ว อาตมา ไม่ได้ ขัดแย้ง กับคุณทักษิณเลย ไม่ได้ขัดแย้งเลย ฟังให้ดีๆ ฟังเทศน์ดีๆ วันนี้อาตมาพูดอะไร อาจจะดูฟัง เอมัน ทำไม มันคนละเรื่องกัน แต่มันเรื่องเดียวกัน อาตมาไม่ได้ขัดแย้งกับทักษิณ อาตมาเข้าใจ ต้องการ ให้คนรวย ต้องการให้คน ลืมตาอ้าปากให้อยู่ดีกินดีขึ้นมา แต่อยู่ดีกินดีแล้ว ถ้าไปหลงเลอะเทอะ ที่จริงคนในโลกนี้ หลอกกัน พากัน อยู่ทราม กินทรามอยู่กัน อย่างลำบาก อยู่กัน อย่างแย่งชิง อยู่กันอย่าง ข่มเบ่งกัน อยู่กันอย่างเอาเปรียบเอารัด อยู่กัน อย่างอวดอ้าง สิ่งที่ไม่น่า อวดอ้าง แหม ฉันมีเพชรเยอะๆ นะ ฉันหรูหรานะ อวดอ้าง ไม่น่าเอาอย่าง แบบนั้น มันก็ซวยซี มันหนัก มันไปหายากนา เอามาแล้วทำไม ให้โจรมาคอยปล้น ให้โจรมาคอยจี้ เป็นภัยแก่ตัว แล้วก็นึกว่า แหมสวยโก้ ไม่ต้องหรอก มาโทรมๆ อย่างนี้ นี่ดี คนมันไม่ตามปล้น นี่อย่างนี้ คนไม่ตามปล้น ใช่ไหม แล้วคุณไม่มีเพชรนี่ คุณดีได้ไหม โดยคุณไม่ต้อง มีเพชรเลย ดีได้ไหม เอ้าแล้วจะเอามาทำไม ให้มันเป็นภัย มันหลง เออ ไม่มีเพชรคุณดีได้ ไม่มีเพชร คุณเป็นสุขได้ กิเลสเท่านั้นแหละ มันอยากได้ แล้วไม่สุข พอได้มาสุข หลอก ถูกหลอก คนที่พอแล้ว ไม่ต้องมีเพชรก็ได้ สุขแล้วไม่ต้องมีเพชรนี่ ยิ่งสบาย ยิ่งสุข ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ต้องรักษา ไม่ต้องดูแล ไม่ต้องกลัว คนปล้น โอย สบายดีจังเลย แล้วก็ไม่ต้องกิน ไม่ต้องใช้ เพชรนี่ไม่ต้องกิน ไม่ต้องใช้มันตลอดชาตินี้ ก็แข็งแรง สมบูรณ์ สร้างสรรได้ ไม่มีเพชรก็สร้างสรรได้ สมบูรณ์ได้ แข็งแรงได้ เป็นสุขได้ อู้ย อย่าโง่นักเลย โอ โง่ไม่เสร็จ จะหยุดโง่ หรือยัง โอ้โฮ ไม่ต้องไปแย่งชิงที่คนเขาหลอก ยิ่งไปแหม เสื้อผ้าชุดนี้ นมหก นมเหิก บ้าจริงๆ เลย แฟช่งแฟชั่น ต้องสวยอย่างนั้น ต้องสวยอย่างนี้ พอแล้ว

ทำไมเราแต่งตัวไม่สวยนี่ สร้างความดีได้ไหม สร้างสิ่งที่กินที่ใช้ สิ่งที่เป็นประโยชน์ได้ไหม โอ้โฮ ถนัดด้วยซ้ำไป ถนัดด้วยซ้ำ คล่องตัวด้วยซ้ำ ไปอย่างโน้นน่ะ โอ้โฮ เจ้าประคุณเอ๋ย เดี๋ยวก็กลัว ผมมันไม่ชี้ อย่างที่ต้องการ กลัวผมมันไม่ชี้ โอเสีย แล้ว ผ้ามัน โอเสียทรงแล้ว ผ้ามันไม่พรีต มันไม่ยับ มันไม่รัด มันไม่เป็นเหลี่ยม โอ ตาย นี่เรียกว่า โง่ไม่เสร็จ ไม่ต้องเครื่องแต่งตัว เท่านั้นหรอก เรื่องกิน ก็ตาม กินจังเลย เพราะถูกเขาหลอก กินอะไรกัน สาระพัด สาระเพ เดี๋ยวนี้ เด็กๆ เล็กๆ ถูกมอมเมา ถุงๆ อะไรที่มันทำมาขาย ของมีสารพิษ สารเคมี มันปรุง ให้กรอบ มันปรุงให้หอม มันปรุงให้หวาน มันปรุงให้มัน มันปรุงให้อะไรทั้งนั้นแหละ ใช้สารเคมี เดี๋ยวนี้มันเก่งหมดเลยนะ คนเรามีความรู้ สามารถ ปรุงอะไรขึ้นมา แล้วก็ให้กิน จะเป็นพิษ เป็นภัย ไม่กลัว ขนาดผักแช่ฟอร์มาลีนไปขาย มันก็รู้ว่าเป็นพิษ มันไม่กลัว กูขายไปก่อน ของกูไม่เสีย เอาไว้ ๗ วันยังไม่เน่าเลยน่ะ อย่างนี้ดีกว่า ใครจะตายช่างหัวใคร เอาเงินมา อำมหิตจริงๆ คนสมัยนี้ รู้ทั้งรู้ว่า นี่ใส่อะไรเข้าไป มันเป็นพิษ เป็นภัยอย่างไร อย.จะห้าม ใครจะป้องกันอย่างไร กูหลบเลี่ยงได้กูหลบ ขอให้ของของกู ขายได้ คนติด มอมเมาคนอย่างไรก็ช่าง บาปกินหัวทั้งนั้นแหละ คุณอยาก จะบาป คุณไปทำอย่างเขา ให้คนได้พิษ มันไม่บาปหรือ เด็กๆ เล็กๆ รับพิษไป โดยเขารู้แสนรู้นา คนทำน่ะรู้นา เอาเถอะ คนไม่รู้ก็ยกไว้ แต่มันเป็นพิษมันก็บาปเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราไม่ทำ เราอย่าไปหลงไหล อย่าไปสอนเด็กๆ

ที่นี่สอนถึงขนาดไม่ให้กินน้ำอัดลม เคยได้ยินบ้างไหม เคยมีตะปูตกลงไปในถังน้ำอัดลมน่ะ ถังอะไร ก็ไม่รู้น่ะ แล้วตะปูนี่มันกร่อน เคยได้ยินไหม ไม่ต้องเคยได้ยิน คุณไปทำเองก็ได้ เอาไปลองดูสิ แช่ดูสิ เหล็กมันยังกินได้ แล้วกระเพาะคุณ มันกินไม่ได้หรือไง คือพูดไปแล้วก็เท่านั้นแหละ มันเหมือนไป ล้มล้างเขา แต่ความจริงมันก็จะต้องบอกให้รู้ตัวกันน่ะ ถึงอย่างไรเราก็ไม่ต้องเป็นทาสนายทุน มันหลอกมาขายขวดหนึ่ง กี่บาทๆ คุณมาหาให้เขา เป็นทาสให้เขา ตั้งแต่เมื่อไร เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป แหมเลิกเป็นทาส กันเสียที ของดีๆ สอน จะกินน้ำเปรี้ยว น้ำหวาน เราก็เอา ผลหมากรากไม้ เราทำ กินเอง นี่เราก็ไม่ได้ หมายความว่า เราจะไปถึงขนาด แหมไม่ให้กินอะไรเลย กิน อยากจะกิน น้ำเปรี้ยว น้ำหวาน อะไรๆ เราก็ทำกินกันเอง อย่าไปเชื่อเลย โลกนี่มันทำมาหลอกกันสารพัด สาระเพ น้ำส้ม ขวดหนึ่ง มันมีน้ำส้มอยู่เท่าไรนั่นน่ะ มันมีแต่ผงเคมี น้ำส้มขวดอะไรต่ออะไร ต่างๆนั่นน่ะ ก็เราปลูกส้ม คั้นมากับมือเลย นี่ส้มทั้งลูกเลย ๕ ลูก ๑๐ ลูก ใส่ลงไปแก้วเดียว ซดอยู่นี่ น้ำส้มของแท้ ใช่ไหม เมื่อไรจะโง่ไม่เสร็จ สักทีวู้ย พอทีเหอะ น้ำเปรี้ยว น้ำหวาน น้ำอะไรนี่ เลิก ให้มันขาดทุนไปเลย ล้มไปได้ดี ในประเทศ มันจะได้ไม่ลำบาก ลำบน เอาละ อาตมาหมดเวลาที่จะบรรยายนา ๖ โมงแล้ว จะให้ถามปัญหา ...

ถาม : คำว่าวิบากแปลว่าอะไร ยังไม่ชัดเจน

พ่อท่าน : วิบากแปลว่าผลของกรรม คือ เราทำกรรมอะไรนี่ ชั่วหรือดี แล้วก็สั่งสมลงเป็นวิบาก เขาเรียก รวมๆ กันว่า เป็นวิบากกรรม คือผล วิบากนี่แปลว่าผล วิปาโก ภาษาบาลี แปลว่าผล ผลของกรรม ที่เราทำ ไม่ไปไหน เป็นทรัพย์ของเรา วิบากนี่คือทรัพย์ๆ คนมีวิบากดี ก็ทำให้เรานี่สุขสบายดี คนมีวิบากชั่ว วิบากบาปมา ก็ทำให้เราชั่ว ทำให้เรา ลำบาก ทำให้เราทุกข์ร้อน ลำบากยากเย็นอะไร อย่างนี้แล้วแต่ วิบากแปลว่าผล

อุปาทาน ๆ แปลว่าความยึดถือ เรายึดว่าอย่างนี้ดี ยึดว่าอย่างนี้ชั่ว ผิดๆ ถูกๆ ไม่รู้นะ ยึดไปอย่างนั้น อุปาทาน แปลว่ายึด เยอะแยะคนที่ไม่รู้นี่ จะยึดชั่วว่าดี เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ยึดว่า พูดง่ายๆ อาตมาอธิบายไปแล้ว ยึดว่า เรามารวยมากๆ นี่ดี นี่เป็นการยึดผิด อุปาทานคือยึด ยึดอย่างนั้นแหละ นี่แต่ละคนก็มีความยึดอย่างนี้ โอ เราจะต้องรวย มากๆ รวยมากๆ ผิดนา รวยมากๆ แล้วคุณรวยมากๆ คนอื่นก็จนลงสิ ใช่ไหม มันก็แย่งเอาคนอื่นมา จะแย่งด้วยสุจริต หรือทุจริตก็ตาม ตกลงเรารวย คนอื่นเขาจน มันไม่ถูกหรอก เพราะฉะนั้น ถ้าจะยึดให้ถูก ยึดอย่าง พระพุทธเจ้าพายึด เรามาจนกัน ให้ได้ อัปปิจฉะ มาเป็นคนกล้าจน จนให้ได้ แล้วให้คนอื่นเขารวยๆ ไปซะให้เข็ด อย่างนี้เป็นต้น อุปาทานคือ การยึด คือยึดผิดก็ได้ ยึดถูกก็ได้ จงมายึดถูกกันให้ดีๆ ที่จริงอุปาทานนี่มันมีภาษาคู่ มันคือ สมาทาน คนเรานี่จะยึดผิดเป็นส่วนใหญ่ เมื่อยึดผิด ก็ทำผิดตามที่ตัวยึดถือ ฉันจะรวย ฉันจะต้องอะไร ก็แล้วแต่ ฉันอยากจะสุข ที่จริงสุขในโลกนี่มันหลอกทั้งนั้นแหละ เอาละพูดไป ประเดี๋ยวเป็นอธิบาย ธรรมอีก ประเดี๋ยว ก็จะยาว มันจะไปไม่รอด สรุปแล้ว ก็เอาตอบแค่นี้ก่อน ว่าอุปาทานแปลว่ายึด ยึดผิดยึดถูก ต้องมาศึกษา ต้องมีปัญญา แล้วเราจะยึดถูก ยึดสิ่งที่ผิดมันไม่ได้ มาสมาทาน สมาทาน ก็แปลว่ายึด ยึดตั้งใจ ที่จะทำสิ่งนี้ๆ ให้ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ถูกต้อง คืออุปาทานนั่น ก็ให้เลิกไปให้ได้

แล้วต่อมาถามว่าคนเราทำไมถึงชอบทำชั่ว ก็โง่น่ะสิ ถึงไปชอบทำชั่ว ใช่ไหม คนฉลาดจะไปชอบทำชั่ว ทำไม ไปชอบชั่ว โง่ตาย ไปชอบชั่ว ทำไมชอบทำชั่วก็เพราะโง่ เพราะอวิชชา เพราะมันไม่รู้ความจริง คนไปรวยยิ่งโง่ นา แล้วก็ชอบ จะไปรวยใช่ไหม ก็โง่ ก็ผิด อย่างนี้เป็นต้น

เป็นกรรมชั่วไกลตัวเพราะเหตุใด ก็เพราะโง่เหมือนกันนั่นแหละ จะไกลตัวหรือใกล้ตัวก็แล้วแต่ ก็โง่ เข้าใจไม่ได้ว่า เอ๊ะทำทำไม ไปชอบทำไม นี่ ชอบทำชั่ว หรือว่า ชั่วไกลตัว ใกล้ตัวก็ตาม ชั่วก็คือ ไม่น่าทำ ทั้งสิ้น เราก็ต้องมาเรียนรู้ ให้ชัดเจน ว่าอะไรชั่ว อะไรดี เช่นยกตัวอย่างง่ายๆ เราอยากจะได้รวยๆ นี่ จริงๆ มันไม่ดีหรอก มันชั่ว อยากจะได้รวยๆ นี่ชั่ว แต่คนไม่เข้าใจง่ายๆ

พระพุทธเจ้าเรานี่ฉลาดหรือโง่ คุณยอมรับว่าฉลาด แล้วพระพุทธเจ้านี่ เป็นพระพุทธเจ้า ท่านมารวย หรือมาจน (จนครับ) ใช่ไหม อย่าไปเอาเจ้าชายสิทธัตถะ เจ้าชายสิทธัตถะน่ะ ท่านเป็นเจ้าชายท่านรวย แต่ท่านมาบวชแล้ว สุดท้าย ท่านก็จน ท่านมาจน ไม่ใช่มาจน ชาติเดียวหรอก ไม่รู้กี่ชาติท่านก็มาจน หัดมาจนให้ได้ คนมาจนให้ได้นี่ เก่งกว่าคนมารวย คนมารวยนี่ จริงๆ ไม่ยากเท่าไรหรอก คนมาจน นี่ยากกว่า เพราะฉะนั้น แม้แต่แง่คิดจะบอกว่า ทำไมคนถึงมาชอบชั่ว อ้าวก็คนชอบโง่น่ะ คนโง่น่ะ มันก็ชั่ว แต่ชอบมาจนนี่ ชอบจนเถอะ ชอบจนดีกว่าชอบรวย อันนี้ก็ยังฟังแล้วก็ยังขัดหู ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องมีปัญญา เข้าใจให้ชัด อาตมาพูดแล้ว พวกคุณก็คงไม่งงว่า เอ๊! มันพูดกันมา อย่างไรโว้ย ให้มาชอบจน ให้มาจน แล้วมันจะดีกว่ารวย ได้อย่างไร ก็คนทั้งโลก มันก็ไปรวย ทั้งนั้นแหละ ไปถามใครก็ได้ ประเทศไหนก็ได้ อย่าว่าแต่ประเทศไทย เมืองพุทธเลย เมืองไหนเขาก็สอน ให้ไปรวยทั้งนั้น ทำไมมา สอนให้จน แล้วจน จะไปอยู่รอดหรือ อาตมายืนยันว่าอยู่รอด ไม่เชื่อก็ต้อง มาศึกษา มาพิสูจน์ ในหมู่ชาวชุมชน ชาวอโศก กันให้ได้

อันที่ ๓ โง่กับชั่วอะไรมาก่อนครับ โง่กับชั่วหรือ โง่มาก่อน อวิชชามาก่อน ก็โง่ น่ะซี มันถึงชั่วไง โง่มันถึงชั่ว ถ้ามันไม่โง่ มันไม่ชั่วหรอก มันโง่ มันถึงชั่ว หมดแล้ว เอ้าตกลง

ถาม การทำประกันชีวิตตนเอง ปัจจุบันนี้มีมากขึ้น มีนายหน้าทำมากมาย คิดว่าเป็นการทำบุญ และ คิดเป็นอาชีพทำบุญ จะได้บุญหรือไม่

ตอบ เป็นการพนันชนิดหนึ่ง การประกันชีวิตนี่เป็นการพนันชนิดหนึ่ง คุณประกันชีวิตนั้น เพื่อที่จะได้ สิ่งทดแทน การประกัน คุณยังต้องการอยู่ คุณยังอยากเอาอยู่ โดยเฉพาะ จะต้องได้เปรียบ ถ้าไป ประกันชีวิตเท่าทุน คุณก็ไม่เอา ใช่ไหม จะต้องมีเปรียบ จึงจะเอา มันเป็นการเอาเปรียบ เอาเปรียบนี่ ดีหรือชั่วล่ะ (ชั่ว) เท่านี้แหละ คำตอบง่ายๆ เพราะฉะนั้น การประกัน คือการเสี่ยงชนิดหนึ่งด้วย เสี่ยงก็ไม่ดีอยู่แล้ว และแถมเสี่ยงนั้น ต้องได้เปรียบนะ ถ้าไม่ได้เปรียบ ฉันไม่ประกันหรอก ประกันต้อง มีส่วนได้เปรียบ ใช่ไหม สรุปแล้ว ตัวประกันนี่ การประกันชีวิตนี่ ๑. เสี่ยงก็ไม่ดี ๒. เอาเปรียบก็ไม่ดี ๓. คนประกันชีวิต ถ้าตายแล้วถึงจะได้ ใช่ไหม คนนั้นโง่ เพราะตัวเอง ก็ไม่ได้ นอกจากชั่วๆ แล้วยังโง่อีก ต่างหาก เพราะตัวเอง ก็ต้องตายไปแล้ว มันได้ที่ไหนเล่า นึกว่าได้เปรียบ ตายแล้ว สรุปแล้วนี่ เป็นกลวิธี ของคนหลอก คนโง่เท่านั้น คนโง่จึงไปประกันชีวิต จบคำถาม ตอบแล้ว

ถาม พ่อท่านคิดอย่างไรกับการนำเงินจากการขายหวยบนดินที่เป็นอบายมุขมาพัฒนา ประเทศ

ตอบ คิดเห็นแต่ว่าประเทศไทยยังฉลาดไม่พอ ยังโง่อยู่ เพราะฉะนั้น ก็ปราบหวยไม่ได้ ทำให้หวย หมดไป จากสังคมไม่ได้ ก็เลยจำนน เมื่อจำนนปราบไม่ได้ ทำให้มันหยุดไม่ได้ ก็เลยรวบมาไว้ในอำนาจ รวบมาไว้ ในส่วนกลางเสียก่อน เป็นวิธีการเท่านั้น อาตมาก็เห็นใจ เหมือนกันนาว่า มันทำไม่ได้ง่ายๆ ต้องมาสอนให้คนอย่าง ชาวอโศกนี่ แล้วมันจะหมดหวย เพราะเมื่อคนไม่ซื้อหวย หวยต้องเลิก จริงๆ เมื่อคนไม่ซื้อหวย แล้วหวยต้องเลิก รัฐบาลก็รัฐบาลเถอะ เลิก แต่คนมันยังซื้อหวยอยู่ ถ้าไปหยุด บังคับเลยมัน จะเป็นเรื่องอื่น หรือมันจะเป็นเรื่อง นอกกฏนอกกรอบ อะไรอีกเยอแยะไปเลย มันก็เป็น ปัญหา เพราะฉะนั้น วิธีออกเขาก็เลยต้องทำอย่างนี้

อาตมาเข้าใจ ก็เห็นใจ จะว่าเห็นใจก็เห็นใจว่า ประเทศมันทำไม่ได้ มันไม่มีทางออก เขาก็เลยต้องทำ อย่างนี้ ถามว่าดีไหม ถ้าใครจะให้ดีก็อย่าไปวุ่นวายเรื่องหวย มันจะมารูปไหน ก็ช่างหัวมัน มันจะมา บนดิน ใต้ดิน มันจะมา ให้รางวัลมากกว่านี้ มันจะมาล่ออะไรวิธีไหนอีกก็แล้วแต่ เลิก เพราะหวยนี่คือ การเสี่ยงทายในการเอาเปรียบ หวยที่ไหนมันก็ จะต้องซื้อ ๕ ต้องได้ ๑๐ ได้ ๑๐๐ การพนันนั่นแหละ แบบเดียวกับ การประกันชีวิตนั่นแหละ แต่มันออกเร็ว เร็วกว่าการประกันชีวิต หวยมันออกเร็วกว่า การประกันชีวิต เท่านั้นเอง การพนันเดียวกัน อ้าว ตอบไปแล้ว

เข้าใจได้ยากจังนะคะ ในเรื่องกรรมเป็นมรดกของเรา มันจะยากอะไรเล่า คุณทำปุ๊บ มันก็เป็นของคุณ ทันที คุณไม่เชื่อกรรม ไม่เชื่อวิบากหรือ คนไม่เชื่อกรรมเยอะนะ ไม่เชื่อหรอก ตายแล้วก็สูญ ตายแล้ว ไปไหนก็ไม่รู้ ก็จะไปรู้ได้อย่างไรเล่า ก็คุณไม่ศึกษา ศึกษาดีๆ สิ คุณจะรู้ เอาละคุณจำไม่ได้ แต่ถ้าคุณ ฟังดีๆ เถอะ พระพุทธเจ้า จะมาหลอกคุณไหม อาตมาว่าพระพุทธเจ้าไม่หลอกคุณหรอก ท่านสอนว่า อย่างนี้แหละ กรรมมันเป็นสมบัติ กรรมมันเป็นของตน แล้วก็จะรับผลของกรรมต่อไปๆ อีกไม่รู้กี่ชั่ว กี่นาน กี่ชาติๆ พระพุทธเจ้าเอง ก็เล่าตัวเองว่า ท่านเกิดมาไม่รู้กี่ชาติๆๆๆ ตายแล้วก็เกิด เกิดแล้วก็ตาย แล้วกรรมมันก็ทำให้ไปพาดีพาชั่ว อะไรไปเรื่อยๆๆ เพราะฉะนั้น สะสมดีเถอะ มันก็พาดี ท่านก็ถึงพิสูจน์ ตัวเอง อ๋อ กรรมมันพาดี ท่านก็ถึงได้ดีๆๆๆ ดีจนกระทั่ง เป็นพระพุทธเจ้าแน่ะ เพราะว่าอาตมาเชื่อ พระพุทธเจ้านะนี่ อาตมาถึงได้มาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วอาตมา จะทำตัวเอง สั่งสมแต่ดี จนกระทั่ง เป็นพระพุทธเจ้าโน่นแหละ ไม่เอาแล้วชั่ว เลิกสะสมแล้ว หยุดสะสมชั่ว แต่สะสมแต่ดี แล้วจะพิสูจน์ว่า ดีนี่แหละมันพาเราขึ้นไป แต่ละชาติๆๆๆ อาตมาเชื่อจริงๆ เพราะฉะนั้น ใครเชื่อตามก็ทำเอา มันเชื่อยาก อยู่ เพราะว่า มันไม่รู้อะไร รายละเอียด

ถาม เวลาคนเราหมดลมลงตายลงแล้ว กรรมมันไปอย่างไรคะ

ตอบ มันไม่ไป มันอยู่กับเรา กรรมมันไม่ไปไหน มันไม่ออกจากเรา ไม่หกด้วย คุณทำชั่วก็ชั่วอยู่เต็มๆ ชั่วอีกกี่ที ก็กองสุม สั่งสมเป็นวิบากไป บอกแล้วเหมือนกับขวดน้ำ ใส่เข้าไปอยู่ในนี้ คุณฟัง คุณจะเชื่อไม่เชื่อ แล้วแต่นะ

ถาม แล้วเกิดมา มันเกิดมาได้อย่างไรคะ

ตอบ เกิดมากับเรื่องของทางรูปธรรมก็พ่อแม่ เกิดมาอย่างนั้น ๒. ต้องมีวิญญาณลงด้วย การเกิด ๑. มีไข่ ๒. มีเชื้อของผู้ชาย ๑. มีไข่ของผู้หญิง ท่านตรัสไว้หมดเลย ในมหาตัณหาสังขยสูตร มีเชื้อ แล้วก็มีไข่ แล้วก็มี วิญญาณ ๓ อย่าง จึงจะเกิดมาเป็นคน เกิดอย่างนี้ จะบอกว่าเกิดอย่างไร วิญญาณนั่นแหละ มีวิบากกรรม อยู่ในวิญญาณ ไม่หมดได้ง่ายๆ นั่นแหละ ถ้าชั่วก็หอบมา ถ้าดีก็หอบมา บุญก็หอบมา บาปก็หอบมา ของใครของมัน แย่งกันไม่ได้ แบ่งกันไม่ได้ เราจะเชื่อได้ เพราะพระพุทธเจ้าบอกสอน หรือคะ พิสูจน์ด้วย ท่านไม่ได้บอกสอนเฉยๆ ท่านให้พิสูจน์ แล้วคุณ จะเข้าใจ คุณจะเห็นจริง อาตมาพิสูจน์แล้วจึงเห็นจริง แล้วก็เชื่อตามจริงๆ ไม่ใช่เชื่อเพราะคำสอน เท่านั้น

ถาม จะทำอย่างไรให้ทุกคนเข้าใจได้เหมือนกับที่ท่านพูดมา แต่ดิฉันเข้าใจ แต่พูดไม่เป็น จะทำอย่างไรหรือ

ตอบ ก็ทำของตัวเรานี่ให้มันเป็นตัวพิสูจน์ เป็นตัวยืนยัน ถ้าเราทำตัวเรายืนยันได้แล้วนี่ จะ ยิ่งกว่าไปพูด ให้คนเชื่อ ถ้าเราทำได้แล้วนี่ คนจะจำนน ชาวอโศกเรานี่ อาตมาพามาทำ มาเป็นให้ได้ มาทิ้งทรัพย์ ศฤงคาร มาเป็นคนจน มาขยัน เสียสละ อะไรจริงๆ มากินน้อย ใช้น้อย มาเป็นคนมีน้ำใจเกื้อกูล เอื้อเฟื้อ ทำคนให้มา เป็นอย่างนี้จริงๆ นี่ ไปโฆษณาจริงๆ คนไม่ค่อยเชื่อหรอก แต่คนมาเห็นนี่แล้ว มันซาบซึ้งมากกว่ากัน แล้วก็ค่อยๆ เป็นไป ไม่ต้องไป โฆษณา โฆษณาแล้วไม่จริงนี่ มันก็ไม่ได้เรื่อง พูดโฆษณาโก้เลยนะ มาเห็นแล้ว มันไม่เป็นอย่างที่ว่า ยิ่งแย่ใหญ่เลย ทำให้จริงเถอะ แล้วคนจะเชื่อ เพราะฉะนั้น เราทำที่ตัวเราให้ได้ ถ้าถามว่าทำอย่างไร ทำที่ตัวเรา

ถาม ทุกคนยังอยากเป็นนาย เป็นผู้สอน เป็นผู้นำ แก้อย่างไร

ตอบ ก็มาแก้ที่เราก่อน เราทำตัวเราเองให้ดีเสียก่อน แล้วเขาอยากให้เราสอน ค่อยสอน เขาอยาก ให้เรานำ ค่อยนำ ถ้าเขาไม่อยากให้เราสอน ไม่ต้องสอน เพราะเราสอน ก็ไม่เอาตังค์อยู่แล้ว ใช่ไหม เราพึ่งตนเองได้อยู่แล้ว เราได้ดีแล้ว ของตัวเราแล้ว คุณไม่เอาก็ช่างคุณ ถ้าเขาจะมาให้เราเป็นผู้นำ ก็นำ นำได้เท่าที่ เรามีแรง นำมากกว่านี้ก็ไม่ไหว อาตมานี่ หลบอยู่นี่ คนจะลากจูงออกไปตรงนั้นตรงนี้ อาตมาไม่ไหว อาตมาทำได้แค่นี้ อย่างนี้ เป็นต้น

ถาม ทำไมตอนนี้ชาวบ้านป่วยกันมาก เรื่องสุขภาพและปวดขา ปวดกระดูกเป็นเพราะอะไร

ตอบ อันนี้นี่ถ้าพูดแล้วยาว ทำไมป่วยกันมาก ป่วยนี่มันมีทั้งสรีระกาย คือกายภาพกับทางใจ ทางใจนี่ ทำให้ป่วย เยอะเหมือนกัน คนเรานี่ ถ้ารักษาทางใจดีๆ แล้วนี่ การป่วย ก็จะน้อยลงเยอะ ป่วยทั้งใจ ทั้งกาย เอากายก่อน ใจอาตมาคงไม่อธิบายหรอก เพราะว่าใจมันเรื่องของธรรม ที่อธิบายไปแล้วนี่ กายคือ ทุกวันนี้สารพิษและ ยาพิษ ทั้งนั้นเลย นั่นหนึ่ง,

สอง คนเราพาไปทำในสิ่งที่มันไม่ชอบมาพากลเยอะ ไปออกท่าทีนั้น ทำอย่างนี้ ไปอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรแล้วแต่ ไปเต้น ไปดีด ไปพัก ไปนอน ไปเอน อะไรก็ตามใจ มันผิดลักษณะ ก็ยังไม่เท่าไร ที่ให้มากิน ให้มาดม ให้มารับบริโภคนี่ มันเป็นพิษเยอะ คนจึงป่วยเยอะ

สาม วิบากของโลก เชื้อโรคมันมีมาก เชื้อโรคมันเก่ง แล้วเชื้อโรคมาอย่างที่เรียกว่า สมัยโบราณไม่เคยมี สมัยนี้น่ะ ยังล้างยาก เพราะฉะนั้น ยังมีโรคอยู่อีก ตั้งหลายโรค ที่ยังรักษาไม่ได้ในขณะนี้ ยังมีหลายโรคนะ ที่รักษาไม่ได้ ขนาดไวรัส B นี่ยังรักษาไม่หายเลย จะไปเอาอะไรมาก เพราะฉะนั้น ไวรัส HIV น่ะไม่ต้องห่วง เสร็จ เอดส์ ใช่ไหม

เพราะฉะนั้น มีอย่างนี้หลายโรค มะเร็งก็ยังรักษาไม่ได้ ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ยังไม่ชื่อว่า รักษามะเร็งได้ หลายโรค ไม่ต้องเอาอะไร โรคเบาหวานก็ไม่ได้ บรรเทาได้เท่านั้นเอง แต่ถ้ามาปฏิบัติธรรมจริงๆ โรคเบาหวานก็หายได้ แปลก

เอาละอาตมาไม่พูดถึงด้านทางจิตภาพหรือทางใจ เพราะทางใจนี่ถูกมอมเมาเยอะ มันก็เลยป่วย กันเยอะ อวิชชาเยอะ ตอบสรุปง่ายๆ ก็เลยป่วยกันเยอะ มันไม่มีเวลา ถ้ามีเวลา ก็ขยายความ นี่มันป่วยเพราะเหตุนั้น เรื่องจริง

อาจารย์สรรค์ชัยแกอยากตั้งกระทรวงพระพุทธศาสนา โอ้โฮ เอาหนักนา เพราะตอนนี้ศาสนาอื่นมีมาก กลัวว่า ศาสนาพุทธเราจะเสื่อม พ่อท่านคิดว่าอย่างไร ไม่ต้องไปตั้งหรอก กระทรวง ให้กระทรวง มันเกิดเอง ตามธรรมชาติ กระทรวงที่เกิดตามธรรมชาติ ไม่มีใครมาล้ม ทักษิณก็ล้มไม่ได้ กระทรวง กระทรวงคือ แหล่งรวม ที่จะบริหาร หรือจะกำหนด ในสังคม เพราะฉะนั้น ถ้าเราสามารถทำให้เกิดกลุ่ม หมู่คน เป็นสิ่งนี้ ถ้าเป็นศาสนา ก็กระทรวงศาสนา มีกลุ่มบุคคล ที่ดำเนินอันนี้ แล้วก็บริหาร แล้วก็ทำให้กับ สังคมจริงๆ กระทรวงนั้นเป็น กระทรวงธรรมชาติ เกิดเองเป็นได้ มาทำกันอย่างนี้ดีกว่า

ปัจจุบันนี้เหตุการณ์แปลกมาก คนขี้โกงกลับมีเกียรติมียศ คนยกย่อง ตรงกันข้าม คนดีมีศีลสัตย์ กลับไม่มี เกียรติ์ ไม่มีคนยกย่อง ถึงมีแต่ก็น้อย มันบอกให้เรารู้ไง มันเป็นคำตอบว่า โลกนี้โง่ โลกนี้เข้าใจ กงจักรเป็นดอกบัว เข้าใจคนดี เป็นคนต่ำ เข้าใจคนชั่วเป็นคนสูง ก็ยกย่องคนชั่ว คนตากลับ เห็นกงจักร เป็นดอกบัว นี่เป็นคำตอบไง สงสัยทำไม เพราะฉะนั้น แทนที่คุณจะกลายไปเป็นคนที่เหมือนอย่าง เขาเป็นกัน มาพัฒนา มาล้างตาให้เห็นใหม่ ให้เห็นถูก อย่าไปเห็นกงจักร เป็นดอกบัว อย่าไปเห็นคนชั่ว แล้วก็ยกย่องคนชั่ว ต้องเห็นคนดี ให้ถูกต้อง แล้วก็มาสรรเสริญคนดี มายกย่องคนดีกัน มันถึงจะไปรอด แล้วมันเป็นจริง มันเป็นสิ่งที่ บอกยืนยัน ยืนยันความจริงของโลก ว่าคนเรานี่ มันเข้าใจผิด กันไป หมดแล้ว ไปเห็นกงจักรเป็นดอกบัว ไปยกย่องคนไม่ดีกันแล้ว มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น รีบๆ ปรับตัว ไม่เช่นนั้น เราจะกลายเป็นพวกนั้นไปหมด

ถาม พวกปอบ ผีปอบมีจริงหรือไม่ เกิดจากอะไร แล้วทำไมคนชอบบอกว่าปอบเข้าแล้ว ทำการไล่ผีปอบ คนโดนเข้าแล้ว ไม่รู้ตัว

ตอบ เป็นโรคจิตชนิดหนึ่ง ๑. เป็นเพราะตัวเองยอมรับ คนที่เป็นผีปอบนี่ บางคนยอมรับว่า ตัวเอง เป็นปอบ แล้วก็มีภาวะ สะกดจิตตัวเองโดยไม่รู้ตัว เราก็นึกว่าตัวเอง แล้วคลั่ง เป็นอะไรต่ออะไร แล้วก็ทำอะไรไป แล้วก็เหมือนกับ ตัวเราเองได้ ได้รับอะไรมา เขาบอกว่าปอบ จะต้องกินคน ต้องกินไส้ กินอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ที่จริงไม่ใช่ ไปดึงมา อันนี้เป็นเรื่องลึก นา อาตมาอธิบายก็คงจะยาก ที่จะเข้าใจ อาตมาเข้าใจสิ่งเหล่านี้ มันเรื่องของ จิตวิญญาณ แท้ๆ จริงๆ

๒. เจ้าตัวไม่รับหรอก แต่คนว่าคนนี้เป็นผีปอบๆ เขาไม่ได้รับหรอก เขาไม่ได้ว่าเป็น แต่จิตใจเขาถูกคน ไปครอบงำ ถูกคนไปกดดัน ก็เลยกลายเป็นผีปอบ ที่ตัวเอง ไม่ได้ยอมรับ ๑. ตัวเองยอมรับ ตัวเองโง่ ตัวเองไม่เข้าใจ เลยนึกว่า ตัวเองเป็นผีเข้า เป็นผีปอบ เป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็สะกดจิตตัวเอง แล้วก็ตัวเอง จะต้อง ได้รับอารมณ์ อย่างที่ตัวเองเป็น รู้สึกเป็นสุข เป็นเรื่องของทางโรคจิตชนิดหนึ่ง อาตมารู้ อาตมาว่าทางหมอ ก็ยังไม่รู้หรอก แต่ก็คงมีวิชาการ ที่จะอธิบายได้ แบบหมอก็ตาม

ถาม พ่อแม่มีลูก ได้บวชเป็นพระแล้ว พ่อแม่ได้บุญกุศลไหม

ตอบ ได้บุญกุศล ถ้าลูกไปเป็นพระจริงๆ แต่ถ้าลูกไปบวชแล้วไม่เป็นพระจริงๆ ไปเป็นนุ่งเหลือง โกนหัว แต่ไม่ ปฏิบัติธรรมจริง ไปเป็นคนแฝงอยู่ในศาสนา อาศัยกิน อาศัยอยู่ อาศัยหาทางสร้างลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ให้แก่ตนเอง พ่อแม่ก็ได้บาป ไม่ได้บุญอะไรหรอก เพราะพระไม่เป็นพระ เมื่อพระ ไม่เป็นพระ พระนั้นจะทำให้ ศาสนาเสื่อมด้วย การทำให้ศาสนาเสื่อมบาปไหมล่ะ ลูกไปทำให้ศาสนา เสื่อม พ่อแม่จะได้บุญด้วยหรือ ไม่ได้นา เพราะ ฉะนั้น เข้ามาบวช ก็บวชให้จริง เป็นพระจริงๆ เป็นพระ ที่ปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า บรรลุธรรมเป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ให้ได้จริงๆ ถ้าบวชได้เป็นพระ จริงๆ นา พ่อแม่ก็ต้องได้บุญแน่นอน จะไม่ง่าย ยาก เพราะฉะนั้น ก็ต้องรู้ว่า ลูกไปบวชแล้ว บวชได้ แค่ไหน บวชจริงไหม เป็นพระจริงไหม ซึ่งจะเป็นพระจริง ก็ต้องเป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ถึงจะเรียกว่าพระจริง นอกนั้นเรียกว่าพระสมมุติ นอกจากสมมุติแล้ว ก็ยังทำผิด ทำชั่ว ทำบาปอยู่ โดยไม่รู้ กันเยอะเลยในสังคม

อาตมาพูดไปนี่ เขาจะจับเข้าคุกก็เพราะเหตุนี้ ปากจัด ไปว่าเขา คือไม่ถูก อยู่ในวงการเดียวกัน อาตมา บวชแล้ว อาตมาก็ว่าเขา อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกัน ก็ต้องรักษาธรรมของพระพุทธเจ้า เขาก็หาว่า อาตมาปากจัด ที่จริงอาตมาปากชัด ปากชัดกับจัดนี่ต่างกันนา อาตมาพูดมาถูกนา ถูกอาตมาว่าเอา มันถูก เขาก็เลยต้องจัดการ เขาก็หมู่ใหญ่ เขาก็เลย ล้มอาตมา หาว่าอาตมานี่ผิด เขาถูกซะ อาตมาผิด เขาก็ถือว่า เขาถูกซะ แล้วก็ล้มอาตมา เพราะมันต่างกันจริงๆ อาตมาก็ยอม ยอมให้ล้ม แต่ล้มอาตมาไม่ลงเท่านั้นเอง

ถาม การชดใช้กรรมในนรก ทำไมถึงยังไม่สามารถทำให้กรรมหมดไปได้

ตอบ มันใช้ไม่หมด ก็มันไม่มีปัญญา คนเรานี่นา ไปติดคุกแล้วออกมา ก็ยังโง่อยู่อย่างเก่า มาทำชั่ว อย่างเก่า แล้วมันจะหายไหมล่ะ มันก็ต้องเข้าคุกใหม่ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เข้าคุกแล้ว คุณก็จะต้อง รู้ว่าโอย สิ่งที่ชั่วเราทำนี่ มันต้องเข้าคุก เพราะมันชั่วนี่ เราก็เลิกจริงๆ ออกมา คุณก็ไม่เข้าคุกอีก ฉันเดียวกัน คุณตกนรกแล้ว คุณเข็ดหลาบ คุณมีปัญญา รู้ว่า ดีคืออะไร ชั่วคืออะไร แล้วคุณก็ไม่ทำ ชั่วอีก ทำแต่ดี คุณก็ไม่ตกนรกอีก แต่คุณตกนรกแล้ว คุณ ก็ยังไม่มีปัญญาที่จะเลิกชั่ว เพราะไม่รู้ชั่ว รู้ดีที่จริง หรือแม้รู้แต่ทำไม่ได้ เลิกชั่วไม่ได้ คุณก็ต้องตกนรกอีก เพราะฉะนั้น ต้องมาปฏิบัติธรรม ให้จิตมันอย่าไปถูกกิเลสครอบงำ แล้วก็ไปทำชั่วต่อ มาทำดีหยุดชั่วอย่างเด็ดขาดเลย แล้วคุณก็ไม่ต้อง ตกนรกอีก

ถาม วิถีชีวิตที่เป็นไปเพราะกรรม หรือจิตใจเรากำหนด ถ้าเป็นที่ใจ แล้วกรรมจะมีผลอะไร

ตอบ ตัวใจนี่แหละตัวกรรม เมื่อกี้อธิบายไปแล้ววันนี้อาตมาอธิบาย ไม่เคยอธิบายนะว่า มโนนี่ก็เป็น กรรม มโนนี่คือใจนี่แหละ เป็นกรรม แล้วเป็นง่ายๆ ด้วย เพราะเราเผลอ เรานึกว่าเราไม่เป็นกรรม แหมคิดชั่วคิด พูดมาก่อนเลย ตั้งแต่เทศน์ตอนต้นเลย แล้วเราก็ไปคิดแช่งคนนั้น จะฆ่าคนนี้ จะฆ่าแกง ฆ่าไปตั้ง หลายทีแล้วนานี่ ใจนา เป็นกรรมที่แท้เลย สั่งสมนา อย่านึกว่าไม่สั่งสมนา ที่ถามมานี่แสดงว่า ไม่เข้าใจกรรม ไม่เข้าใจใจ ใจก็เป็น กรรม แล้วถามมา แยกใจกับกรรม ออกจากกัน กายก็เป็นกรรมได้ วจีก็เป็นกรรมได้ ใจก็เป็นกรรมได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปแยกกรรม ออกจากใจ ไม่ได้นา ระวังอย่าให้ใจ เป็นกรรมที่ชั่ว อย่าให้ใจ ไปทำกรรมชั่ว ไปคิดชั่ว ดำริชั่ว อย่าเชียว เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเรา จริงๆ นี่กายกรรม วจีกรรมนี่ มันมาจากใจนา เป็นตัวประธาน ถ้าใจคุณไม่โกรธ มือคุณไม่ตบเขาหรอก ใช่ไหม ถ้าใจไม่โกรธ มือคุณไม่ตบเขาหรอก ไม่เตะเขาหรอก มันมาจาก ใจเป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา พระพุทธเจ้าท่านสอน ใจเป็นประธาน เพราะฉะนั้น ใจนี่แหละเป็นใหญ่ จะทำกรรมอย่างไร จะอย่างไร คุณอย่าไปแยก กรรมออกจากใจเป็นอันขาด เรียนให้ดี ศึกษาให้ดี ที่ถามมานี่ อาตมาคิดว่า ตอบเท่าที่มีเวลา ถ้ามีเวลามากกว่านี้ อธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ก็ได้

เอาละฟังธรรมมานี่ ฟังเทศน์ยาวนานี่ ตั้งชั่วโมงสองชั่วโมง ตั้งแต่ตีสี่ครึ่ง ตีสี่กว่า ไม่ถึงครึ่งดี มาจนถึง หกโมงครึ่ง สองชั้วโมงกว่า สองชั่วโมงกว่านี่ ก็ร่อยหรอ ลงไปเยอะ ตอนแรก แน่น ตอนหลังนี่ ร่อยลง ไปเยอะ จะเป็นเพราะว่า นั่งไปแล้ว ปวดขากัน ก็มี ทนไม่ไหว อยากฟังอยู่แต่ปวดขา บางคนก็บอก ฟังไม่ไหวแล้ว ถูกด่ามาหลายกัณฑ์ เหลือเกิน ไปดีกว่า แค่นี้ก็เหลืออิ่มแล้วว่าอย่างนั้นนา ก็ลุกไปก็มี บางคนก็ฟังไม่รู้เรื่อง ฟังไม่รู้เรื่อง โอยไม่ฟังแล้ว เอาเถอะ ฟังไม่รู้เรื่อง แสดงว่า อาตมาเทศน์ไม่เก่ง ก็ขอยอมรับ อาตมาพยายาม เก่งที่สุด ที่จะเทศน์ให้พวกเราเข้าใจ ให้เห็นความจริง ให้ถึงความจริง แล้วคุณก็มาปฏิบัติเลย อาตมาพูด ตั้งแต่ต้น ก็ขอจบยาวไป อีกนิดหนึ่งว่า คนเรานี่ เป็นคนทุกคน เหมือน พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทำไมทำดีได้ เราก็คนเหมือนกันกับพระพุทธเจ้า ทำไมทำไม่ได้ ทำไมไม่ทำ พระพุทธเจ้านี่เกิดมาแล้วก็เป็นเหมือนเรา เคยเหมือนเรา เคยชั่วเหมือนเรา พระพุทธเจ้า เคยเท่ากับเรา มาก่อน เสร็จแล้วท่านก็พัฒนาตนเองไป แต่ละชาติๆๆๆ ไป อย่านึกว่ามันน้อยชาตินา เกิดมาอีกนี่ กองกระดูก เท่าภูเขา เวปุลบรรพต แต่ละคน เกิดมานี่ ชาตินี้เกิดเป็นคน ชาตินี้เกิดเป็นหมา เอากระดูกมา คือของเราทั้งนั้นแหละ เราไปเกิดเป็นหมา บางชาติ เกิดเป็นวัวเป็นควายบางชาติ เอามาชาตินี้เกิดเป็นคน เป็นคนดี คนเลว คนอะไรก็ เอามา คนรวย คนจน เอาแต่ละชาติ เอากระดูก มากองเท่าภูเขาเวปุลบรรพต น้ำตาเท่ากับ สี่มหาสมุทร ไม่เกิน พระพุทธเจ้าไม่ได้พูดอะไรเว่อหรอก พระพุทธเจ้า ไม่ใช่คนเว่อ สี่ มหาสมุทร ไม่น่าเชื่อ มันนับล้านๆๆ ชาติ เรานับ ไม่ถ้วนหรอก คนเราเกิดมา ร้อยปีนี่สั้นนัก นิดเดียว นิดเดียว ถ้ารู้แล้วรีบๆ ตักตวงๆ เอาบุญไว้ๆ ชาติหน้าไม่รู้ว่า วิบาก มันจะพา ไปเกิด เป็นหมู เป็นหมา หรือว่าเป็นควาย เป็นวัว หรือว่าเป็นคนชั่วคนเลว ต้องไปใช้วิบากอะไรมาก กว่านี้หรือเปล่า แต่ชาตินี้มาแล้ว ได้มาเจอแล้ว รีบตักตวง อย่าช้า อย่าช้า ขอยืนยันอันนี้นา ขอบอกไว้ โชคดีหนักหนา คนหกพันล้าน ในโลกนี้ ไม่ได้มาฟังธรรมอย่างนี้ เมื่อคุณได้มาฟัง แล้ว รีบตักตวงเอา บางคน ก็ใกล้แล้ว ไม้ใกล้ฝั่ง เวลาเหลือน้อยแล้ว อย่าช้า

นี่อาตมาขอย้ำ ไม่มีอะไรเป็นทรัพย์ ไม่มีอะไรเป็นสิ่งที่เราจะได้ไปอีกหลายชาติ ไม่รู้กี่ชาติ กว่าจะ ปรินิพพาน ไม่มีอะไรหรอก เป็นของจริง นอกจากกรรม กรรมสัจจะ กรรมเป็นทรัพย์ กรรมนี่แหละ ที่จะเป็น สิ่งที่เราจะสะสมไป เป็นวิบาก เป็นผลวิบาก ที่จะได้ดีหรือชั่ว ได้บุญหรือบาป บุญ บาป เป็นทรัพย์ ฟังดีๆ นา

เอาละพูดไปก็จะยาวไปอีก เกินไปอีกมากมาย ขออภัย เอา เอวัง


จัดทำโดย ถอด/พิมพ์โดย พ.ท.นารถ กองถวิล ๒๕ ธันวาคม ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษรโดย สิกขมาตุปราณี ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
พิมพ์ออกโดย พ.ท.พึ่งธรรม กองถวิล ๖ มกราคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
TCT0477.DOC