ขั้นตอนฐานะคน ๔ ประเภท ในสังคม
โดย พ่อท่านสมณะโพธิ์รักษ์
ก่อนฉัน วันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๔๖
ณ พุทธสถานสันติอโศก

ตอนหลังนี่ อาตมาได้พยายามที่จะอธิบายถึงงานหรือฐานะของกิจที่มนุษย์ทำอยู่ในสังคม โดยอาตมาแบ่งงาน แบ่งสภาพของงานออกเป็น ๓ - ๔ อย่าง คือ แบ่งออกเป็นฐานะของ
นักผลิต
นักบริการ
นักบริหาร
นักบวช
๔ ฐานะ

คนในสังคมนี่ อาตมาว่าแบ่งชั้นฐานะออกแล้ว ก็มีอย่างนี้แหละ อยู่ในโลก อยู่ในสังคม นักผลิตแท้ๆ นั่น ก็คือตัวจักรตัวงาน ที่จะสร้างสรร อะไรก็แล้วแต่อยู่ในโลก ให้กิน ให้อยู่ ให้ใช้ ให้อาศัย เป็นการผลิตวัตถุ ผลิตเครื่องใช้ ผลิตรูปแบบ ผลิตกรรมกิริยาอะไรก็ตามใจเถอะ แม้แต่ผลิตท่าทาง นัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็ตาม แต่อย่าไปประดิษฐ์ หรือผลิตให้เป็น วิสูกะ ทัสสนา เป็นสิ่งที่ไม่น่าทัศนา เป็นข้าศึกแก่กุศล อย่าไปผลิตให้เป็นอย่างนั้นก็แล้วกัน ถ้าผลิตให้เป็นกุศล เป็นศิลปะ เป็นมงคล อันอุดม ก็เป็นประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นนัจจะ คีตะ วาทิตะ ก็จะเป็นศิลปะ เมื่อเป็นศิลปะ ก็เป็นมงคลอันอุดม ๑.นักผลิต

๒.นักบริการ นักบริการ คือผู้ช่วย หรือผู้รับใช้ หรือผู้ไม่ใช่เจ้าของ นักผลิตนี่จะเป็นเจ้าของกิจการ เป็นเจ้าของงาน เป็นเจ้าของสมบัติ เป็นเจ้าของส่วนใหญ่เลย ส่วนนักบริการนั้น เป็นผู้ช่วย หรือเป็น ผู้รอง เป็นผู้มาสนับสนุน ไม่ใช่เป็นเจ้าของแท้ ต่อไปก็นักบริหาร

๓.นักบริหาร คือ ผู้มีความสามารถ ผลิตก็สามารถ บริการ ก็สามารถบริการ ก็สามารถบริหารจัดการ ดูแล ปกครอง ประสาน ทำให้ก้าวหน้า พัฒนาขึ้นไปด้วยดี ด้วยเจริญ อะไรก็ตามแต่ นักบริหาร ในระดับสูง เป็นผู้ทำงานในระดับสูง ในระดับรวมหมู่ รวมพล ในระดับขยายผล ในระดับที่เป็น เรื่องกว้าง เรื่องใหญ่ เรื่องสูง อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่านักบริหาร

๔.ฐานะนักบวช

นักบวชนี่ หมายความว่า เรื่องของคุณธรรมโดยตรง เพราะฉะนั้น คำว่า นักบวชนี่ก็คือ บุคคลที่เด่นชัด เป็นนักบวชก็คือ บุคคลที่จะต้องรู้ในเรื่องผลิต จะต้องรู้ในเรื่องบริการ หรือรู้ในเรื่องบริหารอย่างดี แล้วตัวเองก็ไม่ไปอาศัยการผลิต การบริการ หรือการบริหารนั้น เป็นเครื่องแลกเปลี่ยน เป็นเครื่อง ที่จะไปแย่ง ยื้อแย่งอะไรเลย นักบวช ถ้าโดยเนื้อหาแท้แล้ว นักผลิต ก็ต้องมีความเป็นนักบวช หรือ มีคุณธรรม นักบวช หมายถึงคุณธรรม คำว่านักบวชนี่ คนฐานะคนที่มีคุณธรรม เพราะฉะนั้น คนที่จะมีฐานะดีในนั้น ต้องมีคุณธรรม นักผลิตก็มีคุณธรรม นักบริการก็มีคุณธรรม ยิ่งนักบริหาร ยิ่งต้องมีคุณธรรมอย่างยิ่ง ถ้านักบริหารแล้วไม่มีคุณธรรม มันจะได้เปรียบ แล้วมันจะเอาเปรียบ เพราะเป็นนักบริหาร

คำว่านักบริหารนี่ เป็นผู้ที่ได้รับสิทธิพอสมควร นักบริหารนี่ สิทธิดูแล สิทธิออกเสียง สิทธิที่จะจัดการ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา อยู่ในฐานะระดับนักบริหารนี่ จะมีสิทธิที่ได้จากสังคมให้ เพราะฉะนั้น การได้สิทธิเหล่านี้ ถ้าไม่จริงแล้ว ยิ่งมีกิเลสมาก ก็จะใช้อำนาจในสิทธิที่ตัวเองได้นั้น มาเอาเปรียบ เอารัด ข่มขี่ คนในระดับที่ด้อยกว่า ทั้งในแง่ของหลักเกณฑ์ ในแง่ของ การกำหนด กฎระเบียบ ทั้งในแง่ของสภาพสังคม แถมถ้ายิ่งเป็นนักบริหารที่ฉลาดด้วย ก็จะใช้เชิงฉลาดนั้น ใช้ช่องทาง และ โอกาสเอาเปรียบเอารัด ข่มขี่ นี่เป็นเรื่องจริงๆ เลย

ส่วนนักบวชนั้นจะเป็นผู้ที่มีปาสาทิกะ มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นคนไม่สะสม เป็นคนที่มีคุณลักษณะ ๙ เป็นคนที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นคนมักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลากิเลส เป็นคนที่มีศีลสูง ศีลเคร่งได้ เป็นคนที่มีอาการที่น่าเลื่อมใส น่าเคารพบูชาจริงๆ เป็นคนไม่สะสม แล้วเป็นคนยอดขยัน วิริยารัมภะ แล้วเป็นคนมีคุณลักษณะ ๙ ที่แท้จริง เป็นวรรณะ ๙ ที่อาตมาก็เอามาอธิบาย เป็นของ พระพุทธเจ้า ที่ท่านได้ตรัสสอนเอาไว้อย่างดี

เราได้มาปฏิบัติตัวเอง ให้เป็นคนมีวรรณะ ทุกคนสามารถจะปฏิบัติให้เป็นวรรณะสูง หรือมีคุณภาพ เป็นคนมีคุณธรรม มีคุณภาพดี เพราะฉะนั้น คนที่มีคุณธรรม มีธรรมะที่ดีขึ้นมาแล้ว คุณจะไม่เป็น นักบวชโดยรูป โดยสมมุติตามรูป เป็นฆราวาสก็ตาม ถ้ามีคุณธรรมมันก็ประเสริฐ ประเสริฐ เป็นนักผลิต ก็ประเสริฐ เพราะมีความเป็นนักบวช หรือมีคุณธรรมของธรรมะ เป็นนักบริการก็ประเสริฐ เป็นนักบริหาร ก็ประเสริฐ เพราะฉะนั้น ในฐานะของนักบริหารนี่เอาคุย หรือพูดขยายความ แค่นักบริหาร ไปก่อน

นักบริหารทุกวันนี้นี่ ทุกคนอยากจะไปเป็นนักบริหาร คณะการศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ นี่ เดี๋ยวนี้นี่ ขึ้นหม้อเลยนะ คณะนักบริหารนี่ บริหารธุรกิจนี่ เท่าที่จะไปศึกษาระบบ ระเบียบ วิธีการอะไรต่ออะไรมา ซึ่งก็เป็นวิธีการ เป็นทฤษฎี พอไปศึกษามาจบมาแล้ว นึกว่าจะเป็นนักบริหารเป็น ความจริงแล้ว กิเลสก็ยังเลอะเทอะอยู่เลย จะบริหารโดยที่ตัวเอง ก็ยังไม่ลดกิเลส ตัวเองก็ยังไม่ได้เป็นนักผลิตที่ดี นักบริการที่ดีอะไรมาก่อน ก็ข้ามขั้น แล้วบริหารมันก็เลย เลอะๆ เทอะๆ ใครมีสตางค์ ก็ส่งลูกไปเรียน จบนักบริหารธุรกิจ ระดับด็อกเตอร์อะไรก็แล้วแต่ เสร็จแล้วก็มาสตาร์ตเป็นผู้บริหาร ก็เลยได้ฐานะ แล้วก็ได้เปรียบสังคม นี่คือความฉ้อฉล ความไม่เป็นไปดีของสังคม เป็นการจัดสรร แล้วก็วางระบบ อะไรต่ออะไรของสังคม ที่เป็นไปได้ไม่เป็นสัดส่วน ไม่เป็นลำดับที่ดี นักบริหารทุกวันนี้นี่ ไม่ได้เข้าใจความจริง

นักบริหารที่ดีที่สุด คือนักบริการ หรือแม้เป็นนักผลิตก็เวลาผลิตจะน้อยลง เพราะนักบริหารแล้ว จะมีเวลาไปผลิตน้อยลง แต่มีความรู้ในเรื่องผลิต ถ้าเป็นนักบริหารที่ดี มีความรู้การผลิตด้วย แล้วเป็นนักบริการ คือรับใช้ เป็นนักรับใช้ที่ดี เป็นนักบริหาร หรือผู้นำ ผู้นำที่ดีคือผู้รับใช้ จะเป็น ผู้รับใช้ที่ดี ไม่ไปเบ่ง ไม่ไปข่ม เป็นผู้ที่ช่วยเหลือ รับใช้ คือช่วยเหลือ บริการนี่ คือผู้ช่วย ช่วยคนไป ทั้งหมด แล้วเป็นนักผลิตด้วย เป็นนักผลิตระดับที่ไม่เป็นเจ้าข้าว เจ้าของแล้ว สละได้หมด ยิ่งเป็นคน ที่เป็นนักบวชในตัว ก็เป็นคนที่สละกิเลส กินน้อยใช้น้อย เป็นคนมักน้อยสันโดษจริง เป็นคนที่มีแต่สาระ ไม่มีความไร้สาระ เป็นคนที่รู้จักเศรษฐศาสตร์อย่างสมบูรณ์ สร้างสรร เสียสละ อะไรที่ควรจะสร้าง อะไรเป็นความต้องการของสังคม เป็นอุปสงค์ของสังคม เป็น demand ของสังคมก็อุปาทาน หรือ supply ให้แก่สังคม อย่างมีปัญญาอย่างนี้ เป็นต้น โดยไม่ได้ไปคิดว่า ตัวเองจะทำ โอ๊! อันนี้โลก ต้องการ สังคมต้องการ ตอนนี้นี่ เอาหนังสือโป๊มานี่ มาทำสิ โอ้โห ทำเลย ทำเหล้า ตอนนี้ก็โอ้โห เกลื่อนเลยตอนนี้ เหล้า แล้วก็จะมีอะไรต่ออะไร จะมีโรงงาน ประเภทโรงงานอย่างพวกนี้อีก เกลื่อนเลยต่อไป เพราะคนมันติด คนมันกิน เหมือนกับทำยาบ้า เปิดโรงงานให้ทำยาบ้า ฟรีขึ้นมา เหมือนเหล้าสิ รับรอง เต็มบ้านเต็มเมือง เน่า ทำเต็มบ้าน เต็มเมืองเลย เหล้านี่ก็เถอะ คอยดู คอยดู จะยุ่ง คือมองพื้นๆ ตื้นๆ ง่ายๆ ว่า โอ๊ย! ถ้าเปิดอย่างนี้เสียแล้วนี่ มันจะเกิดอะไรต่ออะไร คอรัปชั่น จะหมดไป หรืออะไรต่ออะไร จะไม่มี อะไรแล้วแต่ คือเชิงคิดมันได้หลายอย่าง อาตมาว่าผลเสีย ในระยะยาวจะมี

เพราะฉะนั้น เราจะไม่ไปเที่ยวได้วุ่นวาย สร้างในสิ่งที่ไม่ควรสร้าง อย่างที่ยกตัวอย่างนี่ง่ายๆ จริง เป็นความต้องการ ของสังคม เพราะมันกิเลส มนุษย์ในกิเลส นี่ตอนนี้ คนต้องการดูภาพนู้ด ขายเมื่อไร ก็ได้ ยิ่งนู้ดมันยิ่งโอ้โห! ยิ่งโป๊มากๆ ก็ขายได้ ก็ใครจะไม่รู้ละ มันก็ทำภาพนู้ด ยิ่งโป๊มากๆ ก็ขายได้ ใครจะไม่รู้ละ มันก็ทำภาพนู้ด ยิ่งวับๆ แวมๆ ยิ่งโป๊เปลือย ได้มากเท่าไร แล้วขายได้เงินอย่างนี้ เป็นต้น เป็น demand ของสังคมกิเลสเขาใช้ นี่คือจะต้องมีปัญญาเข้าใจว่า เราเอง รู้ความต้องการของสังคม แล้วเราก็สร้างให้แก่สังคม ไม่ใช่โง่ๆอย่างนั้นความต้องการของกิเลสไม่ใช่ สร้างสิ่งที่ดีให้แก่สังคม

จริงๆ แล้วในโลกขณะนี้ ขาดคลานอะไร ขาดแคลนคนเสียสละ ขาดแคลนคนมีธรรมะ ขาดแคลน คนขยันหมั่นเพียร แล้วสร้างสรร ขาดแคลนคนมีสมรรถนะก็จริง มีสมรรถภาพแข็งแรงแล้วสร้างสรร เสียสละให้แก่โลก โดยตัวเองเอาน้อย กินน้อยใช้น้อย

สรุปง่ายๆ อาตมาบอกได้เลย ทุบโต๊ะเปรี้ยงบอกได้เลยว่า โลกต้องการบุญนิยม ใครจะว่าอาตมาก็ว่า อาตมาไม่มีปัญหา อาตมายิ้มรับอย่างองอาจแกล้วกล้า สง่าผ่าเผย ใครจะว่าก็ว่า อวดดิบอวดดี หลงตัว หลงตน ก็ไม่ว่ากัน เขาจะว่าก็ว่า ต้องการระบบบุญนิยม ต้องการคนที่มีวรรณะ ๙ นี่ คนที่มักน้อย สันโดษ เพราะฉะนั้น จะมาเป็นคนผลิต ก็มีความรู้ ความสามารถในการผลิต สอนได้ แนะนำได้ หรือทำเองได้ ลงมือเองได้เลย แล้วต้องการ แล้วไม่ยึดตัวเองเลย ไม่ยึดติดตัวเอง เป็นผู้ช่วย ก็ได้ เป็นนักบริการก็ได้ ช่วยเหลือเฟือฟาย รับใช้ได้ ไม่ถือศักดิ์ถือศรีว่าตัวเองนี่เก่ง ตัวเองเป็นเจ้าของ ตัวเองมีความรู้ ความสามารถ ไม่ถือตัวถือตน เป็นนักบริการได้ ให้เป็นผู้รับใช้ก็เป็นผู้รับใช้ได้ เป็นผู้ช่วยได้ คุณจะเอาหน้าเอาตาไปเลยก็ได้ ไม่ว่ากัน ขออย่าให้ทำผิดก็แล้วกัน ฟังกันบ้าง อันนั้น ไม่ถูกนะ เราผู้ช่วย แนะนำแล้วนะ ผู้ช่วยบอกแล้วนะ ผู้รับใช้เตือนแล้วนะ อะไรอย่างนี้นะ ก็ฟังบ้าง แล้วก็แก้ไข ปรับปรุงกันดีๆ ไม่ว่ากัน เราไม่ติดยศ ติดศักดิ์ แม้จะเป็นผู้รับใช้เป็นผู้ช่วย คุณเป็น ผู้ใหญ่เลย เป็นผู้เอาหน้าเอาตาเลย ก็ไม่ว่ากัน นี่คือคุณธรรม ในฐานะนักบวช มันแทรกตัวเข้ามาอยู่ ในฐานะของผู้ผลิต ผู้บริการ มีความสามารถ จนกระทั่งบริหารได้ บริหารจัดการดูแล รักษา ควบคุม ประสาน บูรณาการอะไรได้ดีด้วย มีความรู้ ความสามารถ ถึงขนาดนั้น ถึงอย่างนั้นก็ไม่ติดยึด ในฐานะผู้บริหาร จริง เป็นคนสูง คนสูง คนที่มีคุณค่า มีคุณสมบัติ มีสมรรถนะดีจริงๆ อย่างนี้ คนควรเลี้ยงไว้ไหม ควรเลี้ยงไว้ ควรอุปถัมภ์ค้ำชูไว้ อย่าเพิ่งให้ตายง่ายๆ ใช่ไหม ควรส่งเสริม จะทำงานก็ส่งเสริม ช่วยเหลือเฟือฟาย ในสิ่งที่จะต้องไปช่วย ในเรื่องของการงาน แม้แต่สุขภาพ ร่างกาย การดำเนินการ ก็ควรจะอุดหนุนเจือจุนทุกอย่าง และคนผู้ที่เป็นนักบริหาร ที่มักน้อยสันโดษ ไม่สะสม ทำงานฟรีด้วยเลย คนคนนี้ยิ่งจะต้องเชิดชูบูชายกย่องใช่ไหม คนจะต้องพิสูจน์ความเป็น อย่างที่กล่าวนี้ให้ได้ นี่เป็นธรรมะของพระพุทธเจ้านะ

ทุกวันนี้นี่กำลังมีทิศทาง กำลังมีคนลักษณะนี้ขึ้นมาไรๆ แล้ว เพราะฉะนั้น อยากจะเป็น ก็อย่าเพิ่ง อยากจะเป็น ล้างกิเลสให้ดี ล้างกิเลสได้ดีๆ เดี๋ยวเราก็พาฝึกฝน อาตมาพาฝึกฝนอยู่นี่ พาทำงาน ทำการขยัน หมั่นเพียร จนพวกเราบอก โอ้โห พวกเราอโศกนี่ มาทำงานกันมาก คนทำงาน คนที่เข้าใจ เขาก็ขยันหมั่นเพียร เอาใจใส่ ขวนขวายฝึกฝน ทำงานมันก็เก่ง ก็ชำนาญไปเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งอาศัย อย่างนั้น เป็นการปฏิบัติธรรมก็ลดละ ลดละความเห็นแก่ได้ ลดละความเห็นแก่ตัว ลดละอะไรที่เรา มันจะมีกิเลสเชิงนั้นเชิงนี้ อุปกิเลสเชิงนั้นเชิงนี้ ก็เรียนรู้ไปลดไปด้วย เพราะความจริงมันเกิดกิเลส มันไม่บอกเรานะ มันเกิดจริง มันยังมีจริง มันก็เกิดแล้ว คุณต้องอ่านให้มันรู้ว่า กิเลสเราหนอ อย่างนี้ กิเลส ล้างกิเลสไป มันก็เจริญไปในตัว ปฏิบัติจริง กิเลสเกิดจริง เราไปนั่งคิด นั่งนึกเอาเอง ไม่มีตัว ไปกระทบไปสัมผัส แล้วกิเลสก็ไม่เกิดหรอก มันไม่มีอะไรมากระแทก ไม่มีสัมผัส ไม่มีเหตุปัจจัย ที่มันจะเกิด มันก็จะไม่เกิดให้เราเห็น นี่มันเกิดแล้ว แล้วเราก็จะต้องเห็นให้ได้ ต้องญาณตาทิตย์ ต้องอ่านให้ออกว่า โอ้ กิเลสเราเกิดนะ เราล้างกิเลสให้ได้ เมื่อเราฝึกฝนวิธีการล้างกิเลส ของ พระพุทธเจ้า แล้ว เราก็จะเท่าเราเป็นนะ มีวิธีการที่ดี สมถภาวนา วิปัสสนาภาวนาอะไร ที่เราสามารถ ทำได้แคล่วคล่องแล้ว เราก็จะใช้ล้างได้ แล้วกิเลสมันจะเกิดมาให้เราเห็น จะเกิดมาเพราะ มีเหตุปัจจัยนี่แหละ มันจะพาเราเกิดกิเลส เพราะฉะนั้น จะไปนั่ง นั่งคิด นั่งไม่มีอะไรกระทบสัมผัส แล้วกิเลสมันจะได้เกิด มันไม่เกิดหรอก มันจะเป็นอนุสัย หรือมันจะเป็นอาสวะ มันจะนอนเนื่อง นิ่งอยู่ใต้ก้นบึ้งของจิต เพราะไม่มีอะไรไปกระทบ มันก็ไม่ขึ้น ไม่ฟุ้ง แต่มันแตกตัว อาสวะนี่มันเหมือน ยีสต์ มันจะแตกตัวอยู่ข้างในไปตามเรื่องตามราว แล้วคุณจะไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะการศึกษา ของพุทธนี่ จะต้องหยั่งเข้าไปจนถึงโยนิโส ลงไปถึงที่เกิดสมุทัย รากฐานที่แท้จริง ของนามธรรมนี่แหละ กิเลสที่ในจิต ก้นบึ้งของจิตนี่ให้ได้

ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ ศึกษาอย่างนี้ ลงไปเลย ใช้ภาษาฝรั่งเขาบอกว่า concious subconcious unconcious ลงไปถึงข้างในนี้เลย เป็นความรู้สึกนึกคิดกับการที่ฝังกลับได้นี่ อนุสัย unconcious มันอยู่ได้ถึงขนาดนั้น มันไม่รับ ให้เรารู้ได้ง่ายๆ เลย unconcious มันไม่รับรู้ มันไม่รู้ตัว คนเรา เมื่อไม่ศึกษา ไม่ฝึกฝน เราจะไม่มีญาณปัญญา หรือไม่มีประสิทธิภาพ ในสิ่งที่เข้าไปหยั่งรู้พวกนี้ เรียกว่าญาณ หรือวิชชา จะไม่มีญาณทัสสนวิเศษพวกนี้ เข้าไปหยั่งรู้ หรือวิชชาเข้าไปหยั่งรู้ เราเรียน เราฝึกฝน เท่ากับเราสร้างญาณทัสสนะ หรือสร้างวิชชา วิชชา ๙ มันจะมีฤทธิ์ พลังของความสามารถ ของญาณทัสสนะ หรือพลังของความสามารถของวิชชา จะเข้าไป หยั่งรู้ๆๆ นั่นแหละ คือคนเจริญ ทางธรรมะ ของพระพุทธเจ้า มีวิชชา ๙ วิเศษขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่เริ่มต้นฌาน ฌานก็มีปัญญา หรือ ญาณทัสสนะประกอบ อาตมาถือเป็นวิชชาที่ ๑

๒. วิปัสสนาญาณ คือญาณที่จะเข้าไปรู้ไปเห็นความจริงที่ลึกเข้าไปในจิตวิญญาณ จิต เจตสิก รูป นิพพาน หยั่งเข้าไปรู้ เรื่อยๆๆ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ

มโนมยิทธิ คือฤทธิ์นั่นแหละ อิทธิ มโนมยิทธิ อิทธิหรือฤทธิ์เดชหรือความสามารถ สามารถทำกับตนเอง มโนมยิทธิ สำเร็จ ทำกับใจตนเองสำเร็จ ทำอะไรลดกิเลสไง จับกิเลสได้ รู้จักกิเลส แล้วก็ลดกิเลสได้ มีฤทธิ์ สามารถลดกิเลสได้ ตามอนุสาสนี ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า จึงเรียก อนุสาสนีปาฏิหาริย์ มีฤทธิ์ที่ลดกิเลสตามคำสอน แล้วก็มีอิทธิวิธี อิทธิวิธีก็คือมีฤทธิ์ หลายวิธีเลยทีนี้ จากมโนมยิทธิ ก็จะมีฤทธิ์ ต่างๆ นานา ซึ่งพิสดาร หลากหลายวิธีที่สามารถลดกิเลสได้ ตามอนุสาสนี เช่นเดียวกัน ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ หรือ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่เป็นอนุสาสนีปาฏิหาริย์ เป็นฤทธิ์ทางอนุสาสนี เป็นปาฏิหาริย์ ทางอนุสาสนี ตามคำสอน ลดได้ เพราะฉะนั้น อิทธิวิธีของพระพุทธเจ้า ก็จะลดกิเลส ได้จริง โสตทิพย์ก็เป็นความลึกซึ้งขึ้น สามารถที่มีความเก่ง ความกล้าในการรู้สิ่งที่ซ้อนแฝง เรียกว่า เสียง ๒ สามารถรู้สิ่งที่ซ้อนที่ปนที่ลึกซึ้งละเอียด ใกล้ก็ดี ไกลก็ดี เหมือนรู้จักเสียงที่ได้ยินมาแต่ไกล รู้ได้ ไกลก็ยังได้ยินนะ เสียงกลองที่มาจากไกล ก็รู้ได้ว่า เสียงนี้ดังมาจากที่ไกลได้ยิน สามารถได้ยิน เสียงนั้นจากที่ไกล ท่านเทียบ อุทาหรณ์ เทียบเหมือนได้ยินเสียงกลอง จากที่ไกล มันเหมือนที่ของรู้ยาก ของลึกของไกล ก็สามารถหยั่งรู้ และรู้โดยมีญาณปัญญารู้ด้วยว่า อ้อ เสียงนี้ แยกได้เลยว่า นี่เป็นเสียง เปิงมาง นี่เป็นเสียงกลอง นี่เป็นเสียงตะโพน อย่างนี้เป็นต้น แยกออกได้ว่า อ้อ เสียงลักษณะนี้ คืออันนี้ รู้ว่ากิเลส ที่ไกลที่ลึกก็ตาม อ้อ อย่างนี้เป็นราคมูล นี้เป็นโทสมูล นี้เป็นโมหมูล รู้จักความต่าง รู้จักลิงคะ รู้จักความต่างของมัน รู้จักเพศอย่างนี้เป็นต้น นี่คือโสตทิพย์ สามารถรู้ลึกรู้ไกล แล้วแยกส่วน วิจัยได้ละเอียดขึ้น นี่คือโสตทิพย์

รู้ละเอียดครบก็เจโตปริยญาณ เจโตปริยญาณ ๑๖ อาตมาก็เคยเอามาขยายความให้ฟังชัดเจนหมดแล้ว รู้เลยนี่ตระกูล หมวดหมู่อะไรนี่ ราคมูล โทสมูล โมหมูล วิเคราะห์วิจัยได้ เราสามารถปฏิบัติได้ไหม เป็นสังขิตตะ วิกขิตตะ เป็นมหัคคตะ อมหัคคตะอะไร จนกระทั่งถึงสุดท้าย วิมุตติ อวิมุตติ โน่นแหละ อาตมาก็ขออธิบายลัดๆ รวบๆ ไปเลย มีเจโตปริยญาณ ที่จริง มีจุตูปปาตญาณ สามารถที่จะเห็น ความเกิด ความดับ แล้วสามารถทำให้กิเลสดับจนสิ้นเหตุ จนสิ้นสิ่งที่มันเป็นเชื้อ หมดสนิทได้ ไม่ใช่งมงาย ธรรมะของพระพุทธเจ้าต้องมีตาทิพย์ ทุกคนต้องมีวิชชา เป็นสามัญผล วิชชาจรณะ สัมปันโน เข้าถึงวิชชา และจรณะ เป็นของสามัญ เป็นสามัญผล ศาสนาพุทธมีสามัญผล สามัญ แปลว่า สมณะด้วย และแปลว่า เรื่องธรรมดาด้วย สามัญ สมณะหมายความว่าเป็นผู้บรรลุธรรม

สมณะที่ ๑ คือโสดาบัน สมณะที่ ๒ คือ สกิทาคามี สมณะที่ ๓ คือ อนาคามี สมณะที่ ๔ คือ อรหันต์ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติ ของพระพุทธเจ้า ทางปฏิบัตินี่เป็นสามัญผล หมายความว่า ปฏิบัติได้ ต้องมีเป็นสมณะเป็นปกติ เป็นธรรมดา เป็นสามัญ คือสามัญ มันมีความหมายได้ ๒ อย่าง เป็นสามัญ เป็นธรรมดา ไม่ใช่ของลึกลับ แต่ลึกซึ้ง แล้วเป็นของคนทั่วไป เรียกว่าสามัญ แล้วทำให้เกิดความเป็น สมณะได้ ตั้งแต่สมณะที่ ๑ ถึง ๔ ทุกคนปฏิบัติได้ ไม่ใช่เป็นของที่ปฏิบัติไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ แยกไว้ ต่างหาก ใครจะบรรลุอรหันต์ มีวิชชาไม่ได้ นี่คือความเข้าใจผิดของศาสนาพุทธในประเทศไทยว่า วิชชา ๘ เขาเรียกวิชชา ๘ เขาไม่เรียกวิชชา ๙ เขาว่าวิชชานี่เป็นฤทธิ์พิเศษ เป็นฤทธิ์พิเศษ เป็นพระอรหันต์ โดยไม่มีฤทธิ์พิเศษนี้ได้ เรียกว่า สุกขวิปัสสโก ทั้งๆ ที่คำว่า สุกขวิปัสสโก ไม่มีในพระไตรปิฎก เป็นสุกขวิปัสสโก ไม่ต้องมีหรอกวิชชา ๘ นี่ บรรลุกิเลสได้เลย นี่คือความเข้าใจผิด เป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปแล้ว ขอยืนยันว่า ไม่มีวิชชานี้ไม่ได้ ไม่มีทางบรรลุถ้าไม่มีวิชชา เพราะวิชชานี้ เป็นสามัญของ สามัญผลของพุทธ คุณต้องมีวิชชา คุณจะเกิดเป็นพระอาริยะ คุณยังมีวิชชา ตั้งแต่โสดาบัน สมณะที่ ๑ ก็ต้องมีวิชชา ไม่มีวิชชาแล้วจะเป็นสามัญได้อย่างไร จะเป็นสมณะได้อย่างไร เห็นไหม มันเพี้ยน มันกลับตาลปัตร อธิบายกันผิดมานานแล้วนี่ ศาสนาพุทธ มันก็เลยล่มสลายไม่มีแล้ว มรรคผล มีไหมไม่มีหรอก ปฏิบัติไปเป็นโลกียธรรม ธรรมดา เอ้า ศาสนาไหนก็ได้อย่างนั้น โลกียธรรม แล้วเขา เคร่งครัดกว่านี้ด้วย โลกียธรรม ของศาสนาอื่น เขายังดีกว่า ของพุทธเรานี่เป็นศาสนาอิสรเสรี เพราะฉะนั้น ก็บอกไม่มีอะไรบังคับ คริสต์วันอาทิตย์ ต้องไปโบสถ์ อิสลามต้องวันศุกร์ ต้องไปสุเหร่า ไปมัสยิดหรือสุเหร่า ต้องไป ส่วนของพุทธละ ไม่มีเลย ไม่ไปสักวัน ไม่ได้บังคับใครสักวัน ก็เลยหลวม ไปใหญ่เลย

ศาสนาอื่นเขาก็ยังมีกฎระเบียบ มีข้อบังคับต้องละหมาด ต้องอย่างโน้น อย่างนี้ อะไร ต่างๆ นานา เขาก็เลยพอมีผล ทางโลกีย์ก็ตาม เขาก็มีผลบ้าง เพราะฉะนั้น ก็เลยอยู่ในธรรมะ หรือว่ามีธรรมะ หรือว่ามีการได้ขัดเกลา มีการได้ประโยชน์อะไร จากศาสนาพอสมควร ส่วนพุทธก็เลยบอก โอ๊ย อิสระเสรี ฉันไม่ชอบฉันก็ไม่ไป ฉันไปโลกีย์ดีกว่า โลกีย์เลอะๆ ด้วยนะ โลกีย์ หยำฉ่า โลกีย์ไปเอารูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอะไรก็ไม่รู้ โลกๆ โลกีย์ เลยไม่เอาถ่านกับศาสนา คนไทยเป็นพวกมักง่าย ก็เลย ชอบศาสนาพุทธ เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธเลยอยู่ในเมืองไทยมาก และนาน คนไทยนับถือ ศาสนาพุทธถึง ๙๕ % เพราะศาสนาพุทธ สบายมาก ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ ไม่ถูกบังคับ ให้กิเลสเป็นเจ้านาย อยู่ได้สบาย ไม่มีอะไรบังคับ ก็เลยชอบศาสนาพุทธ มันซวย หรือมันเฮงกันแน่นี่ นี่คือความเข้าใจผิด

พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสสอนไว้หมด ความเสื่อมของศาสนานั้น ๗ ประการ ข้อที่ ๑ ไม่หมั่นเยี่ยมเยียน พระ ก็คือไม่ไปวัด ไม่ไปพบสมณะ ไม่ไปพบพระภิกษุ ไม่ไปคุยธรรมะ ไม่ไปฟังธรรมะ ไม่เจริญในอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาอะไรเพิ่มขึ้น ดีไม่ดี ก็ดูถูกดูแคลน คนข้างนอกขณะนี้นี่เขาไม่เคารพพระ เขาดูถูก ดูแคลนด้วย อย่าว่าแต่พระผู้แก่ พระผู้ก่อน พระผู้กลาง เขาดูถูกหมดแล้ว เขาไม่ฟังหรอกพระเทศน์ เขาไปฟัง โน่นนายอุดม แต้พานิช บรรยาย เขาไปฟังจตุพลบรรยาย ไปฟังโน่นแน่ะ ทอล์คโชว์ ไปฟังพันเอกนายแพทย์พงษ์ศักดิ์ ตั้งคณา โน่นทอล์คโชว์ หรือไม่ก็ไปดูเชิญยิ้ม ไปดูมกจ๊ก โน่นเลย มันล้มเหลวหมดแล้ว ให้มาฟังธรรมะ บอกว่าพระนี่เทศน์ดีนะ โดยเฉพาะ พระโพธิรักษ์ เฮ้ย ไม่เอา พระโพธิรักษ์พวกนอกรีต พระพะยอมก็ตาม เขาไม่ค่อยไป เห่อเดี๋ยวเดียว แต่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อย กรูเกรียวแล้ว แต่ก่อนนี้เห่อ โอ๊ท่านตลกเก่ง เขาชอบตลกละ เพราะว่าเอาลักษณะเชิญยิ้ม เอาลักษณะ มกจ๊กไปใส่ ผสมผสานไว้หน่อย มีกระสายที่มันเป็นตลก เยอะหน่อย คนก็ชอบไปดู พอต่อไป มันก็ชินชา มุขนี่ก็ชักหมด มุขน้อยลงๆๆ สู้เชิญยิ้มไม่ได้ เขาก็เลยไม่ดูท่านพะยอมแล้ว ไปดูมกจ๊ก ไปดูเชิญยิ้มดีกว่า เพราะมุขมันยังเยอะ มันก็เป็นไปอย่างนั้นแหละ เพราะไม่รู้จักสาระ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ เราก็มายืนยัน เอาธรรมะของพระพุทธเจ้ามา พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้หมด ไม่หมั่นมาวัด มาวา ไม่หมั่นมาพบพระ ไม่หมั่นมาวัด ไม่หมั่นที่จะมาฟังธรรม ไม่ตั้งใจฟังธรรม ไม่เจริญอธิศีล ไม่เคารพ ไม่ไปดูถูกเหยียดหยามสมณะผู้แก่ ผู้เก่า ผู้ใหม่อะไรก็แล้วแต่ อะไรต่างๆ นานา พวกนี้ หนักเข้าก็นอกรีต ทำบุญนอกขอบเขตพุทธ แล้วเขาก็ไม่รู้ว่า เขาทำบุญ นอกขอบเขตพุทธทุกวันนี้ สาธุ ไปไหว้กราบพระพุทธรูปก็ตาม ไปไหว้กราบเจดีย์ก็ตาม ไปทำบุญที่ไหนก็ตาม เสร็จแล้ว ก็ไปถึง ก็สาธุขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอให้บุญกุศลที่ทำนี้จงบันดล บันดาล คำว่าบันดล บันดาล คำเดียวนี่ คือออกนอก เขตพุทธแล้ว คำว่าบันดล ขอให้บันดลบันดาลให้ข้าพเจ้าได้ร่ำได้รวย ได้ประสบอะไร ก็แล้วแต่เถอะ ขออันนี้มันเป็น ศาสนาอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ อ้อนวอนพระเจ้า อ้อนวอนอำนาจพิเศษ ที่ไม่รู้ ไม่รู้จัก เพราะอำนาจนี้เป็นเรื่องของที่ เขากำหนดเอาไว้ ในสายเทวนิยม เป็นเรื่องเทวนิยม เขากำหนดเอาไว้ว่า เป็นเรื่องของพระเจ้า แล้วแต่พระเจ้า จะประทานอย่างไร เป็นเรื่องของพระเจ้า จะให้เป็นให้มี ยอมรับโองการของพระเจ้าอย่างเดียว แล้วพระเจ้าเป็นอย่างไร ไม่มีใครมีสิทธิ์รู้ มีรู้ได้พระบุตรเท่านั้น พระบุตรก็คือผู้ที่เป็นศาสดา พระบุตรไม่ได้ถือว่าเป็นคน พระบุตรถือว่า เป็นลูกพระเจ้ามาเกิด ไม่ใช่คนนะ อย่าไปเข้าใจว่าคน เพราะฉะนั้น คนจะไปเป็นอย่างพระบุตรไม่ได้ คนเป็นไม่ได้ เพราะฉะนั้น เขาถึงเถียงกันอยู่ทุกวันนี้ที่ว่า เอ๊ะ พระเยซูนี่เกิดมาจากโยเซฟ จริงหรือเปล่า เกิดมาจากพระนางมารี จริงหรือเปล่า เขาบอกไม่ใช่ บริสุทธิ์ พระเยซูนี่ต้องไม่เกิดแบบโลก ไม่ใช่คน เขาก็เถียงกันอยู่ยังไม่เสร็จ จนป่านนี้ เขาก็ยังเถียงกันไปอยู่นี่ ทางวิทยาศาสตร์เขาก็ยืนยันบอกคน มันจะเกิดมาได้อย่างไร ไม่มีผัว มันมีลูกมาได้อย่างไร ถ้าสมัยนี้ก็ได้ เพราะทำเอาเชื้อเข้าไปแบบเทียม ยิ่งสมัยนี้โคลนนิ่งเลย อะไรนี่ก็ได้ เอาละไม่ต้องพูดอะไร มันคนละเรื่อง มัน ๒ พันกว่าปี ไปพูดทำไม

สรุปแล้วก็คือเป็นเรื่องกำกวม เป็นเรื่องคลุมเครือ เป็นเรื่องไม่ชัด พระพุทธเจ้าเรานี่นะ ท่านองอาจ แกล้วกล้า ในยุคของท่านนี่ ในยุคสมัยพระพุทธเจ้า ๒ พันกว่าปีนี่ แทบทั้งนั้นเลย เกือบหมด นับถือ เทวนิยมทั้งนั้น นับถืออำนาจพิเศษ นับถือพระเจ้า นับถืออะไรต่ออะไร พระเจ้าคนละองค์บ้าง พระเจ้า หลายองค์ ต้องพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น พระเจ้าอื่นไม่พระเจ้าอะไรก็แล้วแต่ เขาก็มีว่าอย่างไร แบ่ง แบ่งกันไป พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาปั๊บ ทุกคนก็พึ่งพระเจ้าหมด พระพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาปั๊บ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ เราต้องพึ่งตัวเราเอง ไม่ต้องไปพึ่งพระเจ้าหรอก เป็นคำประกาศที่อื้อหือ เอาไม้ซีก ไปงัดไม้ซุง พระพุทธเจ้านี่อาจหาญมาก ประกาศท่ามกลางสังคมของเทวนิยม ทุกคนเขาพึ่ง พระเจ้าหมด เขายกย่อง เชิดชูพระเจ้าหมด พระพุทธเจ้าเหมือนจะมาลบหลู่พระเจ้า บอก เอ๊ย พระเจ้าไม่แน่หรอกว้า เราพึ่งตนเองนี่แน่กว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ คำประกาศคำนี้นี่ เป็นคำที่ ประกาศ ศาสนาอย่างอาจหาญ ฟังให้ดีเถอะ คนอื่นไม่บรรยาย โพธิรักษ์จะบรรยายให้ฟัง ฟังให้ดี เป็นคำประกาศ แม้แต่คำว่า อัตวาทุปาทาน ก็เป็นคำประกาศ เพื่อนำศาสนา อัตวาทุปาทาน ก็คือ มันเป็นศาสนามีแต่พูด อัตวา วาทะมันยึดได้แต่แค่วาทะ พูด พระเจ้าอยู่ไหน ก็พูดกันเฉยๆ ไม่มีใครรู้จักพระเจ้าหรอก เป็นคำพูดเท่านั้นแหละ พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น พระเจ้าเก่งอย่างนี้ มีแต่คำพูด ความจริงพิสูจน์ไม่ได้ เหมือนวิทยาศาสตร์ พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า อัตวาทุปาทาน เป็นคำที่ ถ้าจะว่าจริงๆ ก็คือ บอกคุณให้รู้ว่า คุณไม่จริงหรอก คุณก็มีแค่นั้นแหละ ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นแต่คำพูด ได้แต่คำพูด อัตตาหรืออาตมัน หรือ ปรมาตมันของคุณ คุณก็นั่นแหละ คุณก็ยึด อุปาทาน ยึดได้แต่แค่ปรมาตมัน บอกเป็นพระเจ้าคือปรมาตมัน หรืออาตมัน ไม่มีใครรู้ มีแต่คำพูด เท่านั้น อัตวาทุปาทาน ฟังให้ดี

ในศาสนาพระพุทธเจ้านี่ พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาตอนยุคนั้นนี่ ท่านต่อสู้อย่างมาก ต่อสู้อย่างมาก ไม่ต้องถามนะ ว่าทำไมอาตมารู้ ห้ามถาม ท่านต่อสู้อย่างที่อาตมายกให้ฟังนี่แหละ มีเหตุผล มีหลักฐาน ยันให้คุณฟัง ไม่ใช่ว่าพูดลอยๆ ที่อาตมายกมาให้ฟังนี่คือ หลักฐานความจริง คุณฟังด้วย ปฏิภาณ คุณก็รู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องจริง แต่ไม่มีใครเข้าใจ อาตมาเข้าใจ อาตมารู้แจ้ง รู้เข้าใจอันนี้ อาตมาก็เอามาพูดให้ฟังหลายๆ อย่าง ศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า เออประกาศ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ กัมมปฏิสรโณ พึ่งกรรม ติสรณะ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ติสรณะ ก็คือพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พึ่งพระไตรรัตน์ ติสรณัง หรือว่า รัตนยังสรณังก็ได้ เพราะพึ่งรัตนะทั้ง ๓ มีรัตนตยัง เป็นคำมาส แปลว่า รัตนะ ๓ รัตนตยัง สรณัง พึ่งแก้ว ๓ ดวง หรือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ได้ หรือติสรณะ เรียกสั้นๆ ว่า ติสรณะ ติสรโณ ซึ่งเราก็ท่อง ก็สวดอยู่แล้ว ติสรณัง ติสรโณ พึ่งรัตนะ ๓ ไม่ต้องพึ่งพระเจ้า

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาของคน โดยคน เพื่อคน ส่วนศาสนาที่พระเจ้านั้นของเขา คือ ของพระเจ้า ศาสนานี้เป็นของพระเจ้า โดยพระเจ้าเพื่อคน เขาจะมาเพื่อคน ของพระเจ้านั้น ห้ามแตะต้อง ห้ามวิจารณ์ คุณล่วงล้ำไม่ได้ รับก็แล้วกัน เชื่อก็แล้วกัน ทำตามก็แล้วกัน จึงเป็นศาสนาที่ค่อนข้าง จะเผด็จการ ค่อนข้างจะเหมือนทาสอยู่ อาตมาอาจจะพูดแรงไป ก็ขออภัย

ศาสนาของพุทธจึงเป็นศาสนาที่ทันสมัย อิสรเสรีภาพ นี่ถ้าต่างประเทศ หรือว่าทางตะวันตก หรือ ทางอะไรเขารู้นะ ทั้งหมดนี่ เขาจะมาเอาพุทธหมด อาตมากลัวคนจะมาเอาพุทธไปหมด เอาไปโดยที่ ไม่ได้พุทธ จะมาเอาจากพวกคุณก็ยังดีนะ พวกคุณ ยังมีเนื้อๆ ให้แถกบ้าง แต่ไปเอาจากพุทธที่อื่น ที่ว่าพุทธมียี่ห้อเท่านั้น เขามาเอา ปี๊ดไปเลย โอ้โห น่าสงสาร คุณได้แต่เปลือกแท้ๆ ไปเลย เปลือก มันยิ่งกว่าเปลือก เพราะว่าศาสนาพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดหมด นี่ไม่ใช่เปลือกหรอก แค่กิ่งกับใบ กิ่งกับใบนี้ คือลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กิ่งกับใบนี้คือโลกธรรม สะเก็ดนี่คือศีล เปลือกคือสมาธิ กระพี้คือ ปัญญา แก่น คือวิมุตติ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ละเอียดหมด แต่เราศึกษากันไม่ครบ สุดท้ายศาสนาทุกวันนี้ เอาแต่ใบ กับดอก เอาแต่กิ่งกับใบ แล้วเอากิ่งกับใบไป เต็มไปหมดเลย เป็นศาสนา ที่ไปล่าลาภ ยส สรรเสริญ โลกียสุขกันอยู่ เต็มไปหมด แม้แต่ศีลก็ไม่เอา สะเก็ดก็ไม่เอา แล้วสมาธิละ ยิ่งไม่รู้เรื่องเลย สมาธิไปเป็นฤๅษี อย่างเก่า สมาธิของ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ บอกเป็น สัมมาสมาธิ ปฏิบัติด้วยมรรคองค์ ๘ อะไรนี่ ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ปัญญาก็ตาม ก็เป็นปัญญาผิวเผิน เป็นปัญญาที่ไม่ได้หยั่งเข้าไปถึงความจริง ตามความเป็นจริง ที่เป็นนามธรรม เป็นปรมัตถ์ เป็นสิ่งที่เป็น กิเลสอย่างจริง ละกิเลส จริงแล้วก็วิมุตติ เป็นอย่างไร ไม่ได้มีญาณเข้าไปรู้สิ่งเหล่านั้น ไม่มีญาณ ๗ ของพระโสดา อะไรก็แล้วแต่ อย่างนี้เป็นต้น คือไม่มีแก่น ไม่มีสารแล้ว

ถ้าเผื่อว่าปล่อยให้ฝรั่ง หรือให้ทางตะวันตก หรือคนที่เขาเห็นว่า โอ๊ ศาสนานี้เป็นศาสนาอิสรเสรีภาพ เป็นศาสนาที่ไม่มี เผด็จการ แล้วเป็นศาสนาที่ลึกซึ้ง เป็นศาสนาที่ถึงแก่น ถึงเนื้อจริงๆ เขาเห็นว่า เป็นของจริงที่ดีจริงแล้วนะ เขาจะมาเอา อาตมากลัว เขาจะมาตะปูมตะปามมา รีบตะกรุมตะกราม เข้ามาเอา แล้วเราจะตาย แม้พวกเราก็ตาม เขามาพรึบนี่ คุณตายเลยนะ คุณทำรับไม่ไหวหรอก คนพลโลก ๖ พันล้านนะ แล้วคุณมีอยู่กระหย่อมเดียว คุณจะทำอย่างไร เขากรูเกรียว ตูมเข้ามา คุณตาย นี่ไม่ใช่พูดเล่นนะ พูดจริง นี่ไม่นานนี่ ฝรั่งเขามาถามอาตมาว่า ไม่คิดจะเผยแพร่ ไปข้างนอกหรือ ไปน่ะ ผมอยู่อเมริกา ผมตั้งใจเลยนี่ ผมจะทำให้ มีที่ของผมอยู่ ๕๐ เอเคอร์ ผมจะเอา แบบอโศกนี่แหละไปทำ ฝรั่งคนนี้อายุ ๒๖ ปี แค่นั้นเอง แหมคิดการใหญ่ อาตมาบอก คุณไปทำ ก็แล้วกัน อาตมายังไม่ไปหรอก ไม่ใช่ว่าอาตมาเอง พูดภาษาฝรั่ง ไม่รู้เรื่องเท่านั้น อาตมาไม่ได้คิด แค่นั้นหรอก อาตมาเองนี่มันบุญนะ ที่อาตมาไม่ไปตั้งใจเรียนภาษาฝรั่ง เอาจนกระทั่ง อาตมาพูด ฝรั่งได้เก่ง ที่จริงอาตมามี มีพูดได้ มีทางนี้ได้ อาตมาเรียนภาษาอังกฤษกับหม่อมเจ้าวิเศษศักดิ์ ชยางกูร ตั้งแต่มัธยมอยู่ต่างจังหวัด ท่านยังชมเชยว่าอาตมานี่นำเพื่อน ท่านสอนภาษาฝรั่งอย่างธรรมชาติ สอนมาไม่อะไร เอ้า มาเรียนรู้ ตัวเรามีอะไรบ้าง มีตั้งแต่ขน ผม หนัง มีหู ตา จมูก มีขี้หู ขี้ตา ท่านบอก หมดแหละ อาตมาเรียนมาหมด ขี้นี่มันไม่มีภาษา นี่เขาก็เรียก ear wax ขี้ตา ดิสชาร์จ ออฟ ดิอาย มันไม่มีชื่อขี้ตา ขี้ฟัน ทา ทาร์อะไรอย่างนี้ เรียนกับท่าน ก็บอกขี้เหงื่อ ขี้ไคลอะไรต่างๆ มาเรียนรู้สัจธรรม เรียนรู้ธรรมชาติ ต้นหมากรากไม้ ใบโน่น ใบนี่ไป แล้วก็ถามพูดกัน เป็นภาษาธรรมชาติ แล้วท่านก็ชม อาตมาว่าไว ลูกของท่านก็มี หลานของท่านก็มี มาเรียนด้วยกัน ลูกเป็น ม.ร.ว.สิ ท่านเป็นหม่อมเจ้า อาตมาก็เคยเรียนภาษาอังกฤษ คือพูดกันว่า ที่อาตมาหยิบมาพูดนี่ เพื่อยืนยันให้เห็นว่า อาตมามันมี มีพรสวรรค์ หรือมี talent ทางนี้บ้างอยู่เหมือนกัน แต่ว่าอาตมาไม่ได้ มันเป็นสัจธรรม อาตมาจะต้อง เป็นอย่างนี้ จริงๆ แล้วอาตมานี่ใครก็รู้ อาตมานี่ มี talent ไปในทางอักษรศาสตร์ มากกว่าวิทยาศาสตร์ ใช่ไหม พี่ชายอาตมานี่ยังบอกเลยว่า ถ้าอาตมาไปเรียนอักษรศาสตร์นี่ มันได้เหรียญแน่ะ แต่มันดัน แม่ให้ไปเรียนวิทยาศาสตร์เลยได้ ๑๐ ส่วน ๑๐๐ ตกไม่รู้กี่ปี ตกวิทยาศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์ ไม่ต้อง สอบได้กันพอดี ถ้าไปเรียนอักษรศาสตร์นี่ได้เหรียญ เขาก็บอก พวกคุณก็รู้ ทุกวันนี้ มันก็มีอะไร แสดงออกอยู่ ใช่ไหม ถ้าอาตมาไปเรียนอักษรศาสตร์ ป่านนี้อาตมาก็ติดลมบนไปไหนๆ แล้ว ป่านนี้ ก็อาจจะไปเป็นทูต หรือเป็นอะไรต่ออะไรไปก็ได้ ใช่ไหม

แต่สัจธรรมมันผลักดัน ไม่ให้อาตมาไป จะอะไรก็ตามแต่ เรื่องนี้เป็นอจินไตย มันคิดไม่ออกหรอก มันไม่ได้คิด คิดก็คิดไม่ออก มันก็ไปของมันไปตามเรื่อง อาตมาก็มาของอาตมาไปอย่างนี้ แล้วมัน ก็มาทำอย่างนี้ แล้วก็ไปอย่างนี้ แต่มันมีอะไรส่อ แสดงเห็นไหม มันยืนยันอยู่ ถ้าอาตมาไปทางโน้นไปได้ ทำไมอาตมาจะไปไม่ได้ อะไรๆ ก็พอไปได้ อย่างทางโน้น ก็ไปได้ แต่มันให้เป็นอย่างนี้ แล้วมาถึงอย่างนี้ ก็ตาม อาตมาไม่ได้บอกว่า โอ๊ยอาตมามีปมด้อย ตรงที่อาตมา พูดภาษาฝรั่งไม่ได้ ก็เลยไม่เอาเรื่อง ของต่อต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องนี้ ตื้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ คือเรื่อง มันมีโครงสร้าง อะไรหลายๆ ลึกๆ อาตมาบอกพูดให้ฟังชัดๆ อยู่หลายอย่าง หลายทีแล้ว บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องดี แต่ยังไม่ถึง ครั้งคราว อาตมาจะสร้างแกน สร้างกลุ่มก่อน

อย่าว่าแต่ไปถึงต่างประเทศเลย แม้แต่ในประเทศไทยนี่ อาตมาก็เปิดกว้างที่ไหน ค่อยๆ เขยิบขยับไป ถ้าใครจะมาก ก็จะดึงกันอยู่นี่ อย่าเพิ่งเปิดกว้างเกินไป อย่างเพิ่งแพร่ออกไป อย่าเพิ่งแหยมออกไป ข้างนอกมันเกินแล้ว ต้องอยู่ในขอบเขต ต้องมีสัดส่วน ต้องประมาณให้ได้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว มันจะฟ่าม หรือมันจะไม่ได้แก่น จนกระทั่งต้องเขียนคำไว้ว่า เน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นลากแม้ยากกว่าแล่น เน้นจริงให้ยิ่งกว่าแค่น เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้าง โอ้โห กว่าจะเรียงคำมาได้ เป็นบทนี้นี่ มันไม่ใช่ เล่นๆ นะ ได้เนื้อครบๆ นี่ ก็ยืนยันอย่างนั้น

ทุกวันนี้นี่ เราทำงานมาได้มีนักผลิต มีนักบริการที่น่าชื่นใจ พวกเราเป็นนักบริการที่น่าชื่นใจ แล้วก็มี เนื้อความ มีเนื้อหา มีพฤติกรรม ของเป็นนักผลิตในตัว เป็นนักผลิต เป็นนักบริการ และเป็นนักบริหาร โดยมีเนื้อของความเป็นนักบวช สอดแทรกอยู่ในความเป็นฐานะทั้ง ๓ นั้น แท้ๆ มีคุณธรรม เป็นนักผลิต ก็ไม่ยึดเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ แต่ก็เอาจริงเอาจัง สร้างสรร สิ่งนี้ไม่ใช่ของสักแต่ว่ามาทำ ทิ้งๆ ขว้างๆ เอาจริง เอาจัง ดูแล รักษา พัฒนาให้ดี เป็นผู้ช่วยได้ ไม่ถึอเนื้อถือตัว เป็นผู้รับใช้ได้ เป็นนักบริการที่ดี เป็นนักบริหาร ช่วยกันดำเนินการ ช่วยกันจัดการ ช่วยกันควบคุมรักษา ช่วยกันพัฒนา ช่วยกันดูแล บริหารกันไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้แหละ เป็นเรื่องจริง ที่เราพยายามสร้างสรร แล้วก็พิสูจน์กัน ทำกันให้เกิดผล เกิดคุณค่า

ที่อาตมาพาทำนี่ ถ้าเผื่อว่าเป็นความจริง พิสูจน์กันได้ พวกเราก็จะปรากฏต่อโลก ปรากฏต่อสังคม เออ พวกเราเป็นคนนี่ โดยเฉพาะฆราวาส จะต้องเป็นตัวแสดงพฤติกรรม อยู่เต็มที่ ไปเป็นนักผลิตของโลก ที่มีปัญญา มีสมรรถนะ สร้างสรร ผลิตแล้วก็ไม่ยึด เป็นของตัวของตน ไม่เป็นเจ้าข้าว เจ้าของ ทั้งๆ ที่เราเป็นสัดเป็นส่วน แม้แต่จะเป็นเจ้าของบริษัท เป็นเจ้าของ กิจการเอง สุดท้ายก็ ค่อยๆ แบ่งปัน แบ่งทรัพย์สินให้แก่ผู้ช่วย ให้แก่ผู้บริการที่มาช่วยกับเรา แล้วเขาก็ดี เขาก็เก่งขึ้นมา จนกระทั่ง ถ่ายเท ไปให้แก่ผู้ช่วย แล้วก็ขึ้นไปเป็นนักบริหาร ที่ไม่เอารายได้ ที่ผ่องถ่ายให้กันหมดเลย ช่วยกันบริหาร ช่วยกันผลิต ช่วยกันทำงาน องค์กรที่สร้างนั้นก็จะเป็นองค์กรที่ประหลาด เป็นองค์กรที่ยิ่งใหญ่ขึ้นมา อย่างมีคุณลักษณะ คุณฟังดูดีๆ สิ ต่างคนต่างช่วยกันผลิต ต่างคนต่างช่วยกันบริการ ต่างคนต่าง ช่วยกันบริหาร แล้วไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา มันจะเป็นมวล ที่เป็นมวลกลมกลืน เป็นเอกภาพ มีพลังรวม เป็นขบวนการกลุ่ม ที่แข็งแรงขนาดไหน คุณฟังดู ใช่ไหม ทุกวันนี้มีรูปร่างของสิ่งเหล่านี้

อาตมาเคยยกตัวอย่างพวกเรา อย่างพวกเรามาผลิตองค์กรนี้ ผลิตงานอันนี้ โดยแต่ละคนๆ ทำของ เป็นส่วนกลาง และไม่ได้ทำ เพื่อที่จะทำไปเพื่อแลกลาภ ยศ ไม่ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เอาจากสังคม แต่เราผลิตสิ่งนี้ให้ดีเพื่อสังคม สังคมจะได้ไปใช้ ไปกิน ไปใช้ ไปอาศัย อย่างถูกๆ ด้วย ขอให้เราอยู่รอดก็แล้วกัน ให้ของเราดำเนินกิจการไปได้ รอดก็แล้วกัน แล้วเราก็สร้างขึ้นมา เพียงแต่ เราไม่ได้คิดว่าของสิ่งนี้นี่ จะต้องเอาไปแลกลาภ เอากำไรแข่งกับบริษัทโน้น แข่งกับบริษัทนี้ แข่งกับ บริษัทนั้น เพียงแต่แค่เราไม่คิดเท่านี้นี่ เราเบาๆไปตั้งเท่าไรแล้ว แล้วเราก็เอาพลังงาน เหลือแคลอรี ไม่ต้องใช้ ในเรื่องเหล่านั้น เอาแคลอรีมาสร้างสรรผลิตทางนี้ แค่นี้ก็เห็นชัดๆแล้วว่า มันมีส่วนกำไร หรือมีส่วนเกิน หรือมีส่วนที่ชนะ แบบโลกๆ โลกๆ เขานี่จะต้องโอ้โห คำนึงคำนวณ ต้องไปคิดกังวล กังวาน ต้องเรื่องนั่น เรื่องนี่ อย่างโน้นอย่างนี้ เจ้าโน้นเขาทำอย่างนี้ เจ้านี้ต้องแข่งขันเขา จะต้อง อย่างโน้น ต้องวางแผนอย่างโน้นอย่างนี้ เราไม่ต้องวางแผน ไม่ต้องอะไร ทำซื่อๆ หลักการของเรา ของเราของดีราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสด งดเชื่อ เบื่อทวง ปวดท้อง จบ นี่หลักการตลาดของเรา แล้วเราก็ทำจริงๆ อาตมากล้าท้าทายให้พิสูจน์ได้เลย

ทุกวันนี้เราดำเนินไปในรากฐานของธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นแกน เป็นรากฐานของชีวิต สังคมพวกเรา ก็สร้างสรรกันขึ้นไป ถึงวันนี้มันก็ได้มาขนาดนี้ มันต้องใช้เวลา ทุกคนก็รู้อยู่ว่า มันไม่ง่าย แต่มันก็ เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจด้วยปัญญา เห็นชัดๆ จริงๆ แล้ว โอ๊อย่างนี้มันดีจริงๆ มันดีจริงๆ มันเป็นความประเสริฐของมนุษย์จริงๆ เช่น ที่อาตมาเคยพูดย้ำ กับพวกเรา คนมาจนนี่มันประเสริฐ คนไปรวยมันไม่ประเสริฐเท่า เอ้อ ฟังตลกโว้ย ใครว่าตลกบ้าง คนมาจนได้นี่ประเสริฐ คนไปรวย ไม่ประเสริฐหรอก ไม่ประเสริฐจริงๆ นี่พูดจริงๆ ไม่ได้พูดตลก ไม่ได้พูดเล่น ไม่ได้พูดเป็นเชิงอะไร นี่เป็นด้วยสัจจะเลย เป็นเรื่องค้านแย้ง เป็นเรื่องทวนกระแส กับมนุษยชาติในโลกเขาแล้ว ใครๆ เขาก็ตั้งหน้าตั้งตา เจตนาจะไปรวยทั้งนั้น แม้แต่นายกทักษิณ ก็จะทำให้ประเทศไทย คนรวยกัน ทั้งหมดทั้งประเทศ ซึ่งอาตมามาพูดอย่างนี้อยู่นี่ อาตมาเป็นขบถต่อรัฐบาล หรือเปล่านี่ นโยบายรัฐบาล จะทำให้คนรวยทั้งประเทศ แต่ส่วนอาตมา มาจะต้องทำให้คนจน ถ้าจนทั้งประเทศได้ เยี่ยมเลย กลายเป็นนักบริหาร ที่ไม่มีสมบัติของตัวเองเลย

แต่ประเทศไทยนี้อุดมสมบูรณ์ ประเทศไทยจะมีนักบริหาร นักบริการ นักผลิต แล้วมีคุณธรรมของ ความเป็นนักบวช ของพระพุทธเจ้า อยู่ในเนื้อบุคคลอยู่ทั้งประเทศนี่ โอ้โหถึงวันนั้นนี่ อาตมา โอ้โฮ! จะสวรรค์ขนาดไหนเลยนะ เพราะฉะนั้น ที่อาตมายกตัวอย่าง แต่แค่ประเด็นของการมาเป็นคนจน กับคนรวยนี่ คุณฟังแล้ว คุณบอกเออเข้าใจแฮะ แล้วเห็นจริงได้ แฮะ แล้วคุณเต็มใจที่จะมาเป็นคนจน คุณตั้งใจ ต้องเป็นคนจนให้ได้ คุณก็ต้องเชื่อจริงๆ เลย คุณว่าจะต้องมาเป็นคนจน ไม่ใช่มาเพราะ พูดเล่น มาเออทำทีจะเป็นคนจน แต่ฉันก็โอ้โห กักเก็บมาหลอกชาวบ้านอยู่ที่นี่ อาตมาว่าไม่หรอก คนไม่อย่างนี้หรอก อย่างพวกเรานี่ เออจริง แล้วชีวิตเป็นของเรา เราจะกล้าไหมละ กล้ามาเป็น คนจนไหม ชีวิตเป็นของเรานะ มันจะรอดไหมนี่ มันจะอยู่ได้หรือ มาเป็นคนจน มันก็ต้องมั่นใจด้วย สัจธรรม เชื่อมั่นว่าความจริงนั้น สัจธรรมนี่กล่าวถูก

๒. มีตัวอย่างหรือยัง มีตัวอย่างได้มีตัวอย่างแล้ว

๓.มีระบบ มีวัฒนธรรมแล้วหรือยัง มีหลักเกณฑ์ หลักเกณฑ์ของสังคม ระบบของสังคมวัฒนธรรม ของสังคม มันมีแล้วหรือยัง เออก็มีแล้วนะ ซึ่งเราก็พัฒนามันอยู่ แม้หลักเกณฑ์ก็ตาม แม้วัฒนธรรม เราก็พัฒนามันอยู่เหมือนกัน มันก็ได้ดีเท่านี้แหละ แต่ดีกว่านี้ได้อีก อย่างนี้เป็นต้น แต่ขนาดนี้ ก็พอได้แล้ว โอ้ขนาดนี้เราอยู่ได้นี่ จะอยู่ไปอีก ๘๐ ปีตาย ตอนนี้อายุ ๙๐ แล้ว อีกไปอีก ๘๐ เท่านั้นแหละ ไม่ตะกละเท่าไร อายุยืนๆ ตอนนี่แค่ ๙๐ ไปอีก ๘๐ ก็ไม่เป็นไร ตายก็แค่นี้ก็เอา ตกลงรวมแล้วเท่าไร ๑๗๐ เนาะ ๑๗๐ ปีตาย ไม่กี่วันนี้โทรทัศน์เขาออก คนที่แก่ที่สุด แล้วเขาไม่มีหลักฐานนะ เขาไม่มีใบเกิด เขาบอก เขาแก่ที่สุดในโลก เขา ๑๑๖ ปี เขาก็ถ่ายออกมาดู เรียกให้อาตมาดูในข่าว อยู่ในข่าว เขาเอาออกมาโชว์ แก่ เนื้อเหี่ยวย่น กินอะไรเขาถ่าย ตอนที่กำลังหยิบอะไรกิน เคี้ยวเอง เดินไม่ได้แล้ว เขาต้องอุ้ม แต่ก็ยังพูดรู้เรื่อง ยังเข้าใจ ยังไม่หลง ไม่เลอะอะไร อธิบาย บรรยายอะไรต่ออะไรได้อยู่ แค่ ๑๑๖ ปี เราจะเอาอายุร้อยกันนะ ชาวอโศกนี่ ใครจะเอาร้อยบ้าง ยกมือขึ้นซิ โอ้โห หลายคน จะเอาร้อย กันนะนี่ อายุร้อย แต่ร้อยประเภทง็อกๆ แง็กๆ ไม่เอานะ ร้อยแล้วก็แหม ทุกคนเป็น มนุษย์พืช แหม เรียงเป็นตับเลย นั่น คนนี้ ๑๐๐ คนนี้ ๑๐๕ คนนี้ ๑๐๘ แต่มนุษย์พืชทั้งนั้นเลยนี่ ไม่พืช ก็เป็นอัมพาต นอนเป็นแถวเลย ไม่เอานะอย่างนั้นไม่เอานะ อาตมาว่ายิ่งเป็นภาระใหญ่เลย ถ้าเป็นอายุยาว อายุยืน ก็ต้องแข็งแรง ทำงานสร้างสรรได้ ไม่เป็นภาระผู้อื่น อะไรต่ออะไรอย่างนี้เป็นต้น ต้องเป็นอย่างนั้น เป็นคนที่แข็งแรง อายุยืน แข็งแรง อย่างแท้จริง

อาตมามั่นใจเพราะว่า เราเองเราก็ศึกษาไม่ใช่ว่าเราทำอะไรโดยไม่มีหลักมีฐาน ไม่มีอะไร เป็นเรื่อง เป็นราวเลย มันจะไป อายุยืนได้ยังไง กินก็แหลกเลย นี่หมออะไร กำลังฮิตตอนนี้ อาตมาฟัง เมื่อเช้า ก็ฟัง หือ หมอเปี่ยมโชคหรือ บรรยายโอ้โหนี่ พิษภัย ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรต่างๆ นานา แล้วก็ไม่รู้เรื่อง กินใหญ่เลย นั่นก็พิษ โน่นก็พิษ กินเข้าไปก็แน่นอน มันจะไปอายุร้อยอะไร นี่ไม่ต้องร้อยหรอก อายุ ๕๐ ก็ให้มันถึงเหอะ มันก็ตาย มันก็เอาพิษเอาอะไร ที่มันเกินเรื่อง เกินราว มันมากเกิน คนมันปรุงแต่ง อะไรต่ออะไรมามากเกิน ถ่วงไว้บ้างก็ดี แต่เราก็ต้องมารู้ความจริงว่า มันก็ต้องมีพอสมควร ขนาดนั้น ขนาดนี้

เอาละก็ไม่เป็นไร ก็ค่อยๆ ว่ากัน อาตมาเอง อาตมามองอยู่ได้จากข้าวก็ได้ จากอะไรก็ได้ ซึ่งมันก็เป็น สัดส่วน ที่พอเหมาะ พอดี ไม่มาก ไม่เกิน ทุกวันนี้นะ คนเรานี่ถ้าจะอายุร้อยนี่ อาตมาว่าไม่ต้อง ถึงขนาดกินกล้วยไม่ได้หรอก คุณไม่กินขนม ของที่เขามากับอะไรปรุงแต่งมา น้ำตาลมามากนั่นน่ะ คุณไม่ต้องขนาดนั้น คุณกินได้ ผลไม้นี่เป็นน้ำตาล ผลไม้นี่ น้ำตาลแล็คโตส มันไม่ใช่กลูโคสแล้วมัน มันอะไร หือ แล้วก็น้ำตาลอะไรที่มันมีโทษ มีภัย กลูโคสหรือ มีประโยชน์ กลูโคสมีประโยชน์ เอาละมันก็ศึกษากันรู้กันจนหมดแล้ว ซึ่งพวกเราก็ไม่ได้ไปงมงาย เราก็ศึกษา แล้วพยายามที่จะมี แต่ต้องบริหารร่างกาย ทำไมต้องบริหาร เพราะคนสมัยนี้มันไม่เหมือนสมัยก่อน อะไรก็แล้วแต่เถอะ เอาเถอะก็พูดกันไป เยอะแยะ อธิบายเหตุผลได้

เราก็มาเป็นคนที่มีจิตใจเบิกบาน ร่างกายแข็งแรง สร้างสรร เสียสละ เป็นคนที่น่าภูมิใจในสิ่งที่ ถ้าเรา เข้าใจ ไม่ต้องหรอก เอาแต่แค่จนกับร่ำรวย ถ้าเราเป็นคนที่สร้างสรร แล้วก็ได้เสียสละนี่ มันน่า ภาคภูมิใจดีกว่า คุณสร้างแล้วคุณก็ไปเอา ค่าแรงมา ไปเอาผลผลิต ค่าผลผลิตเกินมา มันเอาคืนนี่ มันรู้อยู่ว่ามันเอาคืน มันน่าภาคภูมิใจตรงไหน คุณเข้าใจไหม แล้วมีปัญญาเข้าใจตรงนี้ไหม เห็นชัดๆ ว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องลึกลับอะไร มันเรื่องลึกซึ้ง มันเรื่องเอาจริงนะ เพราะฉะนั้น เรามาลดกิเลสเราให้ได้ ก็แล้วกัน แล้วเราทำ เราจะสร้างสรร เราจะมีสมรรถนะ ก็ไม่ได้ไปคิดเอาค่าแรงอะไรมากมาย เราก็ได้ เสียสละ เราก็เป็นคนมีคุณค่า แต่คุณไปเอาค่าแรงมาหมด เอามาเกิน เหลือคุณค่าตรงไหนละ ซึ่งมันไม่ได้เป็นเรื่อง ไม่รู้เรื่อง เป็นเรื่องพูดกันรู้เรื่องใช่ไหม เป็นเรื่องภาษาพูด รู้เรื่องอย่างนี้เป็นต้น คุณก็เข้าใจด้วยความมีปัญญา แล้วก็มีปัญญาแล้ว ถ้าไม่ล้างกิเลส คุณก็ไม่ยอมอยู่อีกแหละ หรือ คุณเองไม่ลดสภาพ ที่มีกิเลส ติดโน่น ติดนี่อยู่ ต้องกินต้องใช้ จะต้องโน่น ฟุ่มเฟือย จะต้องอะไร มากมายอยู่ คุณก็ต้องมาหามาให้แก่ตัวเยอะ เพื่อที่จะเอาไปจ่าย สิ่งเหล่านั้นเยอะ

แต่ถ้าคุณลดไปแล้วด้วย กินก็ไม่มาก ใช้ก็ไม่มาก โน่นนี่ก็ไม่ต้องไปมากอะไร มันก็ง่ายแล้ว มันเท่านี้ ก็พอ กินเท่านี้ก็พอ ใช้เท่านี้ก็พอ นอกนั้นก็เครื่องบริขารอะไร ที่จะใช้ประกอบทำงานโน่น นี่ คนเขาก็ อนุเคราะห์อยู่แล้ว ได้เท่านี้ ก็เอาเท่านี้ เครื่องอะไรละ ตัวนี้ เทคโนโลยี มันไฮเทค มากมายอะไรชั้นนั้น ชั้นนี้ ถ้าสมควรที่จะทำจะใช้ ตามเหมาะตามควร เราก็ทำได้ก็เอา ยังไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่นี้เราก็มีกำไร อยู่แล้ว คือเราใช้น้อย แต่เราสร้างมาก เรากินใช้น้อย แต่เราสร้าง มากกว่า คือเรากำไรอยู่แล้วนี่ มันฐานะที่มันสมบูรณ์อยู่แล้ว แต่จะให้มันกำไรมากกว่านี้ คือเหลือให้แก่โลกมากกว่านี้อีก ตัวนี้มาช่วย คุ้มเอาอันนี้มาทดแทน เอาอันนี้มาเป็นเครื่องช่วย มาเป็นเครื่องทุ่นแรง มาเป็นเครื่องทำเสริมสร้าง เข้าไปอีก มีดิจิตอล มีเทคโนโลยี ที่ช่วยอีก เป็นไปได้ทันเขา สร้างสรรได้มากกว่า คุ้มเราก็เอา เราไม่ได้ ปฏิเสธ แล้วเรามีทุนรอนพอได้ไหม ได้ก็เอา ไม่ใช่ความงมงาย อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาว่า อาตมาดูสังคม ดูความเป็นของมนุษย์ ฐานะของมนุษย์ องค์ประกอบการสร้างสรร ของมนุษย์อยู่อย่างไร เป็นอย่างไร อาตมาคิดว่า อาตมาเข้าใจสังคมศาสตร์ เข้าใจแม้แต่จิตวิทยา หรือแม้แต่ฐานะของการศึกษา หรือฐานะ ของอะไรก็แล้วแต่ อาตมาคิดว่าพอเข้าใจ แล้วก็พยายาม ทำกันอยู่ พวกเราได้พิสูจน์ธรรมะมาจนถึงวันนี้ ก็ได้มีตัวอย่าง หรือมีของจริง ได้ขนาดนี้ อาตมาก็เอา ทั้งเรื่องที่เราได้ทำมาแล้ว ทั้งหลักการทฤษฎีปรัชญาต่างๆ ที่พอจะเอามาพูดนำ นิดหน่อย พอเข้าใจได้ หรืออะไรที่มันพิสูจน์ได้แล้ว ก็เอามายืนยัน ย้ำกัน เพื่อความแน่ใจ เพื่อความเป็นจริง เป็นเรื่องพิสูจน์ได้ เราก็จะได้มั่นใจ เราก็จะดำเนินกันไปอย่างนี้

เอ้า เอาละอาตมาเลยเวลามานะ เอ้าจบการเทศน์แต่วันนี้ เพียงเท่านี้

จัดทำโดย โครงการถอดเท็ปธรรมะ
ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๖
ตรวจทาน ๑ โดย จิตสุภา รุ่งเรืองนานา ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๖
พิมพ์โดย รัตนา แสงทองไพโรจน์ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๒ โดย สม.ปราณี ธาตุหินฟ้า ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
พิมพ์ออกโดย รัตนา แสงทองไพโรจน์ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
๑๑๔
TCT0476.DOC