เราจะสร้างระบบการศึกษาเพื่อเป็นมาตรฐานของประเทศ
โดยพ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
โอวาทแก่นักเรียนสัมมาสิกขาสันติอโศก
เมื่อ ๑๒ มีนาคม ๒๕๔๖

******

เอ้าวันนี้ก็เป็นฤกษ์งามยามดี อาตมาไม่ค่อยได้พบกับพวกเรา ไม่ได้บรรยาย ไม่ได้พูด ไม่ได้สอน ไม่ได้ทำความเข้าใจ อะไรกัน เท่าไรเลย เพราะว่าตอนนี้ อาตมามีงานเยอะเหลือเกิน แต่ก่อนนี้ รุ่นก่อนๆ ตั้งแต่รุ่นพี่ ที่เขามาก่อนๆ นี้ อาตมา สอนอาทิตย์หนึ่ง ๒ วันด้วยนะ แรกๆ ใหม่ๆ ตอนหลังๆ มาก็อาทิตย์ละวัน หลังมาก็เดือนละ ๒ หน หนักเข้า เดือนละหน ต่อมาก็เลยไม่มีสักหน อย่างรุ่นหลังๆ นี่ก็ไม่มีสักหน แล้ว ไม่ได้พูด ไม่ได้คุย ไม่ได้โอภาปราศรัยอะไรกันเลย วันนี้เลยคิดว่า เราจะพูดจา โอภาปราศรัยบ้าง พอมีเวลาที่จะหลีกปลีกได้ ก็เลยนัดแนะกันมา ก็มีเรื่องราวต่างๆ ได้รับซับซาบกันอยู่ บางคนไม่สบายใจ บางคนก็รู้สึกว่าไม่อบอุ่น อยู่ที่นี่ไม่ค่อยจะเป็นไปดังคาด อะไรก็แล้วแต่ สารพัด ที่เราจะมีอารมณ์ หรือว่ามีความคิดนึกของแต่ละคนจริงๆ เป็นไปได้ เพราะว่าแต่ละคน มีความคิด ไม่เหมือนกัน ความชอบ ความไม่ชอบ จริตต่างๆ ไม่เหมือนกัน มันก็ต้องมีอะไรต่ออะไร ที่เป็นอย่างนี้ เป็นธรรมดา ต้องมีอย่างนี้แหละไปตลอดกาลนาน

จะตั้งโรงเรียนนี้ มีครู อาตมาจะอยู่ อาตมาจะไม่อยู่ก็แล้วแต่ เรื่องที่จะสมบูรณ์ ไม่มีอะไรที่ขัดข้องเลย ไม่ทำอะไรให้เกิดเรื่อง ไม่สบายใจอะไรเลย เรียบราบสงบ อบอุ่นไปหมดเลย มันไม่ได้หรอก เป็นไปไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างใจ ต่างคนก็ต่างคิด ต่างคนก็ต่างยึดถือ ท่านเรียกว่ายึดถือ ต่างคนต่างยึดถือ ต่างคนต่างมีความเห็นของแต่ละคนไป มันเป็นจริงของแต่ละคน มันเป็นจริง มันไม่เหมือนกันหรอก ก็คงจะรู้ๆ อย่างนี้ใครๆ ก็เข้าใจกันอยู่ เพราะฉะนั้น จะให้มันมาลงกัน จะให้มันไปด้วยกัน แหม แหมทุกอย่างแหม่ ไปเรียบ ไปด้วยกันหมดเลย ไม่มีอะไรขัด ไม่มีอะไรแย้ง ไม่มีหรอก ธรรมดานะ

แต่อาตมามั่นใจอยู่อย่างหนึ่งว่า โรงเรียนนี้ โรงเรียนสัมมาสิกขานี่ ตอนนี้เราก็ขยายออกไป หลายโรงเรียน แต่ละโรงเรียนๆ หลายโรงเรียน แต่ก่อนนี้เป็นสาขาของศีรษะอโศก แต่สันติอโศกนี่ ไม่มีสาขา ไม่มีใครขอไปเป็นสาขาเลย สันติอโศก ไม่มีใครขอไปเป็นสาขาเลย มีแต่ศีรษะอโศกเยอะ แต่ก่อนนี้ก็มีเป็นสาขาไป เดี๋ยวนี้ก็ขอจดทะเบียนเอง อย่างราชธานี อย่างนี้ แต่ก่อนก็เป็นสาขา ของศีรษะอโศก เดี๋ยวนี้ก็ขอจดทะเบียน เป็นโรงเรียนสัมมาสิกขา ราชธานีอโศกเองไปเลย แล้วเรียบร้อย อย่างนี้เป็นต้น ศาลีฯ ก็ทำอยู่ หินผาฟ้าน้ำเขาก็จะทำของเขาอยู่ แม้แต่ภูผาฟ้าน้ำเขาก็จะทำ แต่สีมาอโศก ยังไม่ได้ทำ เพราะว่ายังไม่พร้อมด้วยคณะครู ก็เลยยังไม่ได้ขอจด ไปขอจดของตัวเอง

ในขบวนโรงเรียนสัมมาสิกขาของเราทั้งหมด ตอนนี้มี ๘ แห่ง มี ๘ โรงเรียนด้วยกัน ที่จริงมี ๑o เพราะมีอาชีวะอยู่อีก ๒ โรงเรียนซ้อนอยู่ ที่ศีรษะอโศก กับที่ปฐม มีอาชีวะซ้อนอยู่ มี ๒ โรงเรียน อย่างปฐมฯ ก็มี ๒ โรงเรียน โรงเรียนสามัญ กับโรงเรียนอาชีวะ ศีรษะฯ ก็เหมือนกัน มีอาชีวะ แล้วก็มีสามัญ เป็น ๒ โรงเรียน อีก ๒ แห่ง และอาตมาก็กำลัง จะพยายามโปรโมต พยายามจะส่งเสริม ให้โรงเรียนอาชีวะนี่ ขึ้นเป็นโรงเรียนที่เด่นกว่าสามัญ เพราะความจริงนั้น ชาวนักเรียนอาชีวะนี่ เป็นคนมีประโยชน์ต่อโลกมากกว่าสามัญ นักเรียนสามัญไร้ประโยชน์ หรือประโยชน์น้อยกว่า นักเรียนอาชีวะ เพราะนักเรียนสามัญนั้น มีแต่หัวสมอง มีแต่คิด มีแต่เอาเปรียบ มีแต่ฉลาด เก่ง แต่บริหารโลก บริหารประเทศ หรืออยู่ในโลก อยู่ในประเทศ มีแต่เอาเปรียบ คิดราคาค่าความรู้แพง คิดในลักษณะบุญนิยมนี่บาป เหลวไหล แล้วทำให้สังคมโลกเสื่อมอยู่ทุกวันนี้ ทั่วโลกเลย ไม่ใช่แต่เมืองไทย นิยมผิดมา อย่างนี้นานแล้ว นิยมผิดๆ มาแล้ว เพราะนักเรียนอาชีวะนี่ เป็นนักเรียน ฝึกหัด ฝึกทำงาน อย่างที่อาตมา พามาทำงานนี่ แม้ไม่เป็นอาชีวะ อาตมาก็พาทำงาน สามัญนี่ ก็พาทำงาน แล้วเราจะเป็นผู้ที่มีคุณภาพ สามารถเลี้ยงโลกได้ สามารถผลิต อะไรต่ออะไรอยู่กับโลก ไม่ใช่ไปเอาเปรียบเอารัด แต่จะเป็นผู้ที่เสียสละ เป็นผู้ที่สร้างสรร แล้วก็เสียสละ ให้แก่ชาวโลก ได้มากกว่า

แม้จะไม่ได้ชื่อว่า โรงเรียนอาชีวะ อาตมาก็พาทำแล้ว อย่างพวกเราจะรู้จะเห็น พาทำแล้ว ไม่เหมือน โรงเรียนข้างนอก เพราะฉะนั้น นักเรียนของสัมมาสิกขา อยู่ที่นี่ ๖ ปี ออกไป อาตมามั่นใจว่า ไม่ได้น้อย ก็ได้มาก ไม่ได้มากก็ได้น้อย ได้ทั้งคุณธรรม ได้ทั้งความเป็นงาน และด้านวิชาการ อาตมาว่าโรงเรียน สัมมาสิกขาของเรานี้ ไม่ได้ด้อยกว่า โรงเรียนข้างนอกเขาเลย เพราะทุกปี มีนักเรียนสัมมาสิกขา ไปสอบเอ็นทรานซ์ กับเขาทุกปีเหมือนกัน และได้ทุกปี ทั้งๆ ที่นักเรียนเราน้อย นักเรียนเราจบ ๖ ออกไปนี่ ปีหนึ่งไม่กี่คน แล้วก็ไปสอบเอ็นทรานซ์ไม่กี่คน จำนวนนักเรียนของเรา ไปสอบเอ็นทรานซ์ ไม่กี่คนหรอก ปีๆ หนึ่ง ๅ ๑๐ คนถึงไหมไม่รู้ ทุกโรงเรียนนี่ในโรงเรียนสัมมาสิกขาของเราทั้งหมดนี่ ไปสอบเอ็นทรานซ์ ปีๆ หนึ่งจะมีถึง ๑๐ คนหรือเปล่าไม่รู้ นั่นแหละ ประมาณนั้นแหละ สมัครไปสอบ เอ็นทรานซ์ จะติด คิดดูสิ ๑๐ คน จากนักเรียนสัมมาสิกขาไปสมัครสอบแข่ง กับนักเรียนของเขา อีกเป็นแสนๆ บางโรงเรียนเขามีนักเรียนจบ ม.๖ ไปเป็นร้อยๆ หลายร้อยเป็นพัน บางโรงเรียน สอบได้ ไม่เท่าไรเลย หารเปอร์เซ็นต์กันดูสิ คิดเปอร์เซ็นต์กันดู สู้สัมมาสิกขาเราไม่ได้หรอก สัมมาสิกกขาเรานี่ได้ แต่กระนั้นก็ตาม พวกสัมมาสิกขาเราก็ ถูกสอนไปแล้ว ได้รับการสอนไปแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องไปแย่ง ไปชิงเขาหรอก จะเรียนเอาแค่ปริญญาใบๆ อย่างนั้น นี่เราก็จบกันมา ตั้งเยอะตั้งแยะ เรียนที่ไหนก็ได้ เรียน มสธ.ก็ได้ เรียนรามคำแหงก็ได้ มหาวิทยาลัยเปิด ที่สามารถที่จะทำปริญญามา ก็ได้เท่าเทียมกัน คิดราคาพอๆ ให้เท่ากัน คุณวุฒิเท่ากัน ไม่ได้ต่ำกว่ากันเลย แล้วจะยากกว่าด้วย พอโรงเรียนเปิดนี่ ยากกว่า โรงเรียน มหาวิทยาลัยเปิดนี่ สอบได้ยากกว่า เพราะมันต้องเข้มงวด เพราะเขาจะต้องตัด เคิร์ฟ ตัดคะแนน มากกว่านักเรียนเยอะ นักศึกษามันเยอะ เพราะฉะนั้น จำนวนนักศึกษาเยอะ ตัดคะแนนให้นี่เข้มกว่ามหาวิทยาลัยปิด เพราะมหาวิทยาลัยปิดนั้น ปิดประตูตีแมว มีสอบกัน ส่วนมากก็ได้ๆๆ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรงนะ ได้ทั้งนั้นแหละ มหาวิทยาลัยปิด แต่มหาวิทยาลัยเปิดนี่ ยาก ยากมาก เพราะจะต้องตรวจสอบคนที่ต้องมีความรู้จริง เพราะว่า มันมีทั้ง สะเปะสะปะ มีทั้งอะไร ต่ออะไรอยู่เยอะ เขาจะต้องตรวจสอบเข้มงวด เพราะฉะนั้น ผู้ที่สอบได้ในโรงเรียนต่างๆ เดี๋ยวนี้ รามฯ ไปเป็นใหญ่เป็นโต เยอะแยะไป จบรามน่ะ จบ มสธ.ก็ตาม เยอะแยะไป แต่เรามองเผินๆ เราไปมอง โดยค่านิยมหลวมๆ แบบโลกๆ เรานึกว่า มันไม่มีเกียรติ์ มันไม่มีศักดิ์ศรี แหมจบมหาวิทยาลัยไม่เด่น ไม่อะไร ไม่โก้ พวกนี้เป็นความล้มเหลว เป็นความคิดที่เหลวไหล

อาตมาไม่จบปริญญาอะไรเลยสักใบ อาตมามาพิสูจน์ตัวเองว่า อาตมาจะทำงานให้สังคม มีความรู้ในด้านไหนก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นอะไรศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ พาณิชยศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ อะไรก็ตามใจ สังคมศาสตร์ อะไรก็แล้วแต่ อาตมาว่า อาตมามีความรู้พอที่จะสอน จะแนะนำ และนำพาสร้างด้วย ไม่ใช่เป็นความรู้เป็นใบๆ ปริญญา แต่นำมาใช้งาน นำมาประกอบการงาน ทำกับสังคม อาตมาพาเราทำกันอยู่นี่ จะทำเศรษฐกิจก็ตาม จะทำการศึกษาก็ตาม จะทำเรื่องของอะไร ก็แล้วแต่ ที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ ทำจริง ไม่ใช่ว่า มีแต่ใบปริญญามาเฉยๆ อาตมาไม่ได้จบใบอะไรมาเลย แล้วก็มีมากมายเลย ไม่ได้จบปริญญาใบอะไรออกมาหรอก แต่ก็ศึกษาเอาได้ คนเราฝึกฝนเอาได้ เป็นแต่เพียงอยู่ในโลกนี้ มีค่านิยม จะต้องมีใบรับรอง มีอะไรต่ออะไร เสร็จแล้วก็เหลวไหล พวกที่จบ ปริญญาไปแล้ว ก็ไปได้ใบอะไร แล้วก็ไปศึกษา เอาตำแหน่ง เอาเงินเดือน เอาอะไรต่ออะไร อยู่ตามรัฐ เป็นข้าราชการบ้าง ไปทำงานอยู่ในองค์กรนั้น องค์กรนี้ อย่างนั้น อย่างนี้บ้าง ก็แล้วแต่ ความจริงแล้ว ไม่ได้เป็นท่าอะไรเลย เยอะเยอะ แต่คนที่เขาพยายามพากเพียร ปฏิบัติฝึกฝน ศึกษาด้วยตนเอง ไม่ต้องมีใบอะไร ไม่ได้ใบรับรองอะไรก็เยอะไป เขาไปสอบเอาใบรับรอง เอาใบประกาศนียบัตร เอาใบปริญญา เขาไปสอบเอาทีหลัง ก็มีเยอะแยะไป ศึกษาเอาได้

ในเรื่องของการศึกษา อาตมาถึงบอกว่า มันเข้าใจผิดๆ แล้วก็สร้างค่านิยมกันผิดๆ มาไว้เยอะ อาตมา ทำการศึกษา หรือว่าพยายามทำโรงเรียนขึ้นมานี่ ตั้งแต่แรกมาจนถึงวันนี้ สิบกว่าปีแล้ว เราตั้งโรงเรียน มานี่ สิบกว่าปีแล้ว ยังไม่ถึง ๒๐ ปี

สิบกว่าปีมานี้ เราได้พิสูจน์ถึงแนวคิด วิถีทางในการที่จะศึกษา จะเรียกมันว่าหลักสูตร จะเรียกมันว่า ทฤษฎี จะเรียกมันว่า แนวการศึกษาอะไรก็ตามใจ อาตมาได้นำพา แล้วก็ได้พิสูจน์มาแล้ว จนถึงวันนี้ ทุกวันนี้นี่ การศึกษาในระดับกระทรวง ในระดับทบวงมหาวิทยาลัยก็ตาม เขาก็มองๆ เล็งๆ ทางเราอยู่ จะเห็นได้ พวกเราคงพอจะได้ข่าวคราว พวกเราไปประชุม เอาอย่าง อาตั๋ง ไปประชุมมาไม่นาน แล้วก็ มาเล่าๆ ให้พวกเราฟัง ของพวกเราเป็นอย่างไร ส่งเข้าไป หรือว่าไม่ได้ส่งละ เขาก็ต้องรู้บ้าง ทั้งๆ ที่เราไม่ได้ไปยัดเยียดอะไรเขาหนักหนา เราก็เปิดเผย บอกสัจจะความจริงออกไป ทางสังคมบ้าง เป็นข่าวเป็นคราว เป็นอะไร นอกนั้นเขาก็เข้ามาดูงาน เข้ามาสัมผัส มาเรียนรู้เอง มารู้จักพวกเราเอง ก็ค่อยๆรับ ซับซาบเอาไป

จนถึงทุกวันนี้ พวกเราก็ไม่ได้รับการปฏิเสธ ว่าพวกเรานี่แย่ เหลวไหลอะไร หรือว่าเสื่อม อาตมากลับ เห็นว่า อยู่ในขั้นเยี่ยมด้วยซ้ำ เพราะเด็กพวกเรา ไม่ได้เป็นเด็กเหลวไหลเสียหาย เหมือนอย่างกับ ข้างนอก มีบกพร่องบ้าง คือบกพร่องถึงขนาด เราก็ไม่เอา เรายังเข้ม เป็นนักเรียนที่จะต้องพยายาม ที่จะให้เป็นนักเรียนที่มีคุณภาพจริงๆ จะเห็นได้ ต้องให้ออกไป ตั้งบ่อยๆ กัน ถ้าไม่มีคุณภาพ เพียงพอ ก็ไม่เอาละ ไม่ตั้งใจเรียนดีๆ ไม่ตั้งใจที่จะฝึกฝนตนเป็นคนดี ก็ไม่ต้องเอา เพราะว่าเราไม่ได้ทำการค้า เราทำงานสอน เราทำงานสร้างคน สร้างจริงๆ จะเห็นได้ เราสร้างจริงๆ เพราฉะนั้น เมื่อไม่รักที่จะรักดี ให้เราได้สร้างดีๆ ก็ไปที่อื่น เพราะที่นี่เราตั้งใจสร้าง ทุกคนก็มาเสียสละ ไม่ได้มารับจ้างเลย ไม่มีใคร มีเงินดาวเงินเดือนรายได้อะไร ทุกคนมาทำด้วยจิตวิญญาณ มาช่วยกันทำจริงๆ

แล้วที่พูดนี่ ไม่ได้มาทวงบุญคุณนะ แต่ว่าเป็นคุณลักษณะอย่างนั้นตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ทำ แล้วต่อไป ก็จะทำอย่างนี้ คือเป็นลักษณะ ที่เราจริงใจ เป็นลักษณะที่เราจะสร้างคนให้ดีๆ ขึ้นมาใน สังคม ซึ่งเราก็ไม่พยายามที่จะไม่ไปหลง ในปริมาณ ปริมาณคนจะต้องปีๆ หนึ่ง จะเอามากๆ ให้มี นักเรียนเพิ่มขึ้นๆ เยอะๆๆๆ ทับทวีขึ้น เราไม่ได้ไปเน้นตรงนั้น เราเน้นที่คุณภาพ พยายามให้มีคุณภาพ ให้ดีๆ ขึ้นเรื่อยๆ เราทำมาจนถึงทุกวันนี้ พวกเราก็คงจะเห็นได้ ก็คงจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น ในโรงเรียน ของสัมมาสิกขา เราจึงยืนยันกับโลกเขาได้เลย ยืนยันกับสังคมประเทศไทยนี่ด้วยได้ ว่าโรงเรียนของเรา เป็นโรงเรียนที่ปลอดอบายมุข

ซึ่งโรงเรียนข้างนอกเขาเดี๋ยวนี้ ไม่มีโรงเรียนไหนกล้ารับรองว่าโรงเรียนเขาปลอดอบายมุขได้เลย เพราะไม่มีตั้งแต่ครู ครูก็มีอบายมุขไปแล้ว ในโรงเรียนต่างๆ เขาน่ะ เพราะฉะนั้น อย่างที่อาตั๋ง มาเล่าให้ฟังนะ เวลาประชุมกัน สัมมนากันเสร็จ แล้วก็จะต้อง เริ่มต้นที่ใคร เริ่มต้นที่ครู ครูบอกโอย ไม่ได้หรอก ต้องเอาที่นักเรียน เอาที่ครูก่อนไม่ได้ ต้องเอานักเรียนก่อน มันไม่ได้หรอก นั่นเห็นไหม แล้วมันจะไปได้เรื่องอะไร แม่พิมพ์มันไม่เป็นแม่พิมพ์แล้ว แม่พิมพ์มันไม่มีคุณภาพแล้ว แล้วมันจะมา พิมพ์อะไรออกมาได้ เป็นคุณภาพตามที่มันจะเป็น เพราะฉะนั้น จะได้ยินข่าวคราวข้างนอก มันเละเทะ ขนาดไหน อาตมาก็ไม่อยากจะมาพูดซ้ำซากอะไรมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ด้านสังคม ด้านพฤติกรรม ของเขา ด้านไปมัวเมา หลงในสิ่งเสพติด ในไอ้โน่นไอ้นี่อะไรต่ออะไรต่างๆ นานา ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย อะไรต่ออะไร ต่างๆ ไม่เข้าท่าเลย เสียหายไปหมด

ถ้าจะเอาเปอร์เซ็นต์ของคุณภาพที่จะเป็นเด็กที่จะมีคุณภาพ คือเด็กที่ดีๆ แล้ว คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ออกมา แต่ละโรงเรียนๆๆ นี่ รับรองว่า โรงเรียนสัมมาสิกขา ชนะนำหน้าในประเทศไทย คิดสิ อาตมา ยืนยันได้เลย เสนอไปเลย ในจำนวนนักเรียน ทางโน้นกับทางนี้ อย่างที่เรากำลังพาทำ ต่างกันไปหมด

ทีนี้อาตมาก็อยากจะพูดถึง ตัวแต่ละบุคคลบางคน มีความไม่ชอบใจ มีความไม่สบายใจ เกิดขัดแย้ง ขัดแย้งกับผู้ใหญ่ ขัดแย้งกับเพื่อนเอง ขัดแย้งกับครู ขัดแย้งกับอาๆ อย่างโน้นอย่างนี้ มันเป็นเรื่อง เอาขี้หมาไปแลกทองคำ เอาขี้หมาไปแลกทองคำคืออะไร มันเรื่องนิดเดียว เรื่องเหมือนขี้หมา เรื่องเล็กๆ แต่เสร็จแล้ว เราโยนทองคำทิ้ง หรือเอาทองคำ ไปแลกขี้หมา เอาส่วนดีใหญ่ๆ ทิ้งไปทั้งยวง โดยเพราะ เหตุเล็กๆ เพราะเหตุไม่ได้ใหญ่อะไรเลย เสร็จแล้ว เราก็เลิก เช่น คนไม่ชอบใจแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่อยู่แล้ว ไปแล้ว ไม่เรียนแล้วที่นี่ จริงๆ ที่นี่ไม่ได้ไปง้องอน ที่นี่ไม่ได้อ้อนวอน ขอร้องเอาไว้นะ แต่เราไม่อยากให้โง่ เราไม่อยากให้คนคิดวูบวาบ เป็นคนคิดแหมมีอารมณ์ เอาแต่อารมณ์อย่างนั้น แล้วก็วูบวาบ แล้วก็ เสียผล ถ้าไม่ดีน่ะเขาไม่ให้เอาไว้หรอกที่นี่น่ะ เขาเอาออก ไม่ต้องกลัวหรอก ถ้าเราไม่ดีนี่ เขาให้ออกแน่ๆ เห็นอยู่ เขาให้ออกอยู่บ่อยๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังไม่ถึงขั้นที่เขาให้ออก อาตมาว่า ทนอยู่ต่อไปเถอะ จะมีการขัดแย้ง มีการไม่สบายใจ มีเรื่องที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์อะไรเรานัก อย่างโน้น อย่างนี้ อะไรต่างๆ นานานี่ อาตมาว่า มันไม่ได้เหลือบ่ากว่าแรงอะไรนักหนาหรอก มันต้องเป็นอย่างที่ อาตมาพูด ในตอนต้นแล้ว มันไม่มีอะไรที่จะเรียบราบ สงบอบอุ่น แหม ทุกอย่างไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่มีอะไร ขาดหกตกหล่น ไม่มีขัดแย้ง ไม่มีโน่นไม่มีนี่ อะไรเลย มันไม่มีหรอก ในโลก หาไม่ได้หรอก ใช่ไหม มันไม่มี มันจะต้องเป็นอย่างที่มันเป็นนี่ ตลอดกาลนาน มันจะต้องมีเล็กๆ น้อยๆ มีโน่น มีนี่ แต่ส่วนรวม ค่ารวมมันก็ดูดี มันมีบางคนและบางเรื่องเท่านั้นเอง บางเรื่องไม่นานนัก มันก็หายไป ปรับกันได้ ทุกอย่าง ก็เลิกลา บางคนถูก ในจิตในใจยึด ไม่ยอมปล่อย ไม่ยอมวาง ไม่ยอม มันไม่สมใจ มันไม่ได้อะไรก็กดเก็บ กดกัก หนักเข้า จะเป็นโรคประสาทเอา นั่นส่วนตัวบุคคลนะ ส่วนบุคคล ถ้าใคร เป็นอย่างนี้ก็ฟังไว้ ถ้าอยากจะเป็นโรคประสาทก็ เก็บๆ กดๆ เอาไว้เหอะ เพราะฉะนั้น พวกนี้เราก็ อธิบาย จะเก็บกด จะมีเรื่องอะไรต่ออะไร อย่างโน้นอย่างนี้ อะไรกันอย่างไร เราก็พยายาม แจกแจง อธิบาย บอกกล่าวกันให้รู้อยู่ แล้วก็ให้คลี่คลาย ให้เปลี่ยนแปลง ให้ปรับไปเสีย ดีขึ้น อะไรขึ้น

นี่อาตมาก็มาพูดมาคุย นี่ก็มาพูดมาคุยรวมๆ ซึ่งมีมากมายหลายเรื่อง เพราะอาตมาไม่มีเวลา ได้มาคุยเลย ก็เหมาๆ รวมๆ มาพูดกัน อะไรต่างๆ นานา เกลี่ยๆ ให้ฟัง ก็อยากจะเตือน อยากจะบอกว่า เมื่อเราได้มาเรียนที่นี่ ที่นี่นี่อาตมาไม่รู้นะ คนอื่นอาตมาไม่รู้ อาตมารู้แต่ใจอาตมาเอง อาตมา ปรารถนาดีๆ พยายามที่จะทำอันนี้ขึ้น เรื่องการศึกษานี่ขึ้น โดยที่เห็นว่า เออเด็กๆ เล็กๆ มันก็เกิดมา เรื่อยๆ โดยเฉพาะก็ลูกหลานของญาติธรรมเรา ซึ่งญาติธรรมก็พยายามที่จะมาเรียน มาเล่าเรียน มาเรียนทางศาสนา ทางธรรมนี่ มีลูกมีเต้า ก็ไปโรงเรียนข้างนอก กว่าจะจบ ม.๕ ม.๖ จบปริญญา อะไรต่างๆ นานานี่ มันก็จะถูกไปครอบงำ ทางด้านโน้นน่ะ จะมีอะไรๆ เขาก็ใส่หัวให้ไปเป็นอย่างนั้น หมด อาตมาว่าสังคมมันล้มเหลว ก็สงสารน่ะ โอ ! แล้วมันจะไปอย่างไรนะ นับวันมันก็จะมากขึ้นๆ ญาติธรรมเราก็เพิ่มขึ้น เพราะคนเห็นดีเห็นชอบ มีเพิ่มขึ้น อย่างที่เห็นๆ

อาตมาก็เลยดำริ เอ้าทำโรงเรียนนี่ โรงเรียนนี่เขาก็ทำไปตั้งแต่ยังไม่เป็นท่าอะไรเลย เป็นการศึกษา กศน. พวกเราก็คิดกัน หลายคน ก็เห็นดีเห็นชอบร่วมกัน ก็มาทำเป็น กศน. มาก่อน จนกระทั่ง มาตั้งเป็น โรงเรียนเลย โรงเรียนสัมมาสิกขา ตามแนวคิด ที่เราคิดว่า ควรจะเป็น เอามาเลี้ยงเหมือนลูกๆ หลานๆ มากิน มาอยู่ มาหลับ มานอน มาอยู่อย่างนี้แหละ ก็เหมือนกับบ้านเรา ตั้งแต่เช้าจรดเย็น จนกระทั่ง วันต่อวัน ๆ เป็นเดือน เป็นปี เหมือนอยู่บ้านน่ะ จะอบรมกันอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ แม้คนที่นี่เอง ก็เหมือนกัน กินอยู่ก็เหมือนกัน จะใช้จะสอย จะโน่นจะนี่ ก็เหมือนๆ กัน พวกเราจะกินมากกว่าด้วย เพราะเห็นว่าเป็นเด็ก กินมากกว่าหน่อยก็ไม่ว่ากัน ก็เอา จะกิน ๒ มื้อบ้าง บางคนก็มีกินจุบกินจิบ อะไรนิดหน่อย ก็แล้วแต่ ก็ไปบ้าง อะไรแล้วแต่ หรือแม้แต่จะเล่นจะหัว พวกเราก็เด็กก็เล่น ผู้ใหญ่ที่นี่ เขาก็ไม่ไปเล่นกระโดกกระเดก วีดว้าย อย่างโน้นอย่างนี้ อะไรมากมาย เราก็เห็นๆ อยู่ แต่พวกเราเด็กๆ เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร ก็ตามประสา ก็มีบ้าง อะไรมากไป ก็ปรามๆ กันพอสมควร ก็อย่างที่เห็นๆ เป็นๆ

อาตมาเชื่อว่าพวกเราก็คงจะมีสามัญสำนึก หรือว่ามีปฏิภาณ มีไหวพริบของแต่ละคน ก็พอรู้ว่า อยู่ที่นี่มันดี หรือใครว่า อยู่ที่นี่ไม่ดี แต่ก็คงไม่มีใครกล้าพูดหรอกนะ ถึงถามไปอย่างไร ก็คงไม่มีใคร กล้าพูดหรอกว่า ที่นี่ไม่ดี พูดได้อย่างไร ก็ต้องตอบว่าดี ไม่ดีอย่างไร ก็คงไม่กล้าตอบ แต่อาตมาว่า คงไม่หรอก จริงๆ ก็คงรู้ว่าที่นี่น่ะดี ปรารถนาดี ตั้งใจเสียสละ สร้างสรรกันดีจริงๆ และแม้ไม่ใช่ว่าดี โดยภาษาเท่านั้น แม้แต่เนื้อหา แม้แต่พฤติกรรม แม้แต่การอบรมสั่งสอนเรียนรู้ ช่วยเหลือ สร้างสรร พวกเราให้เกิดมีคุณค่า หรือคุณภาพขึ้นมา ให้เป็นคนมีคุณภาพในตัว จะด้านไหนก็แล้วแต่ พวกเราก็คง มีปฏิภาณ มีไหวพริบพอรู้ว่า ที่นี่เจตนาสร้างให้พวกเรา มีอย่างนั้นจริงๆ แม้แต่เล็กๆ น้อยๆ อย่างข้างนอกเขานี่โอ้โฮ! นักเรียนข้างนอกเขาน่ะ ครูก็ไม่ได้ไปเอาถ่านอะไรมากมายใช่ไหม จะเกะๆ กะๆ เละๆ ละๆ อย่างโน้นอย่างนี้ เขาก็ไม่หรอก แต่ที่นี่ รู้สึกจะเฮี้ยบ อย่างนี้ไม่เอา อย่างนี้ไม่ได้ ไม่ดี ใช่ไหม พยายามที่จะเก็บจะเล็ม ในส่วนที่มันไม่ดีไม่งามอะไร ก็ติงเตือน ปรับขึ้นมา เอาใจใส่ เอาภาระ ข้างนอกเขาไม่เอาภาระหรอก ทั้งๆ ที่เขาเสียเงินนะ จ้างนะ ให้ครูมาช่วยอบรม ดูแล สั่งสอน ครูก็รับไป โรงเรียนก็รับเงินไป ทั้งๆ ที่จ้างให้เขามาดูแล เขาก็ดูแลอย่างนั้นแหละ ดูแลทิ้งๆ ขว้างๆ ดูแลไป เอาบ้าง ไม่เอาบ้าง ปล่อยปละละเลย แต่ที่นี่ไม่ได้จ้างเลย แต่เราก็ดูแลด้วยใจ ด้วยจิตวิญญาณน่ะ อย่างที่อาตมา บอกแล้วว่า ปรารถนาที่จะช่วยให้พวกเราได้สิ่งที่ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ เท่าที่เรา จะสามารถ พยายามหล่อหลอม กล่อมเกลา ทำให้ได้จริงๆ

เพราะอันนี้ด้วยน่ะ เพราะที่พวกเรารู้สึกว่าเข้ม รู้สึกว่าแหม ! อะไรๆ ก็ไม่ได้ กระดิกยาก อันโน้น อันนี้ ก็ติง อันนี้ก็เตือน ไอ้นั่นก็ไม่ได้ พวกนี้ อาจจะเป็นอันนี้ มันอาจจะมากไปหน่อยหนึ่งก็ได้ แต่อาตมา ขอถาม หน่อยสิ ว่าในขณะที่เราเรียน เรากำลังฝึกฝนนี่ ควรจะปล่อยปละละเลย หรือควรจะเข้มงวด เราอยู่ในวัยที่กำลังถูกเล่าเรียน หรือว่ากำลัง หล่อหลอมหรือเปล่า หรือว่าไปได้แล้วตามสบาย อิสรเสรีแล้ว หรือว่า เรายังอยู่ในเบ้าหลอมอยู่ อันนี้เป็นเรื่องจริงใช่ไหม มันเป็นเรื่องที่ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดฝา ผิดตัว หรือผิดลักษณะอะไร เขาไม่เอาใจใส่ในเบ้าหลอม ปล่อยให้เบ้าแตก เบ้าร้าว รั่วซึม เบ้าไม่ได้เหลี่ยม ได้รูปอะไร เละๆ เทะๆ นั่นอีกต่างหาก ที่เสียหาย อาตมาว่ามันใช้ไม่ได้

แต่นี่เขาอุตสาห์มีเบ้าหลอมที่ดี เอาใจใส่ปะชุน ไม่ให้รั่ว ไม่ให้ซึม ไม่ให้เบี้ยว ไม่ให้บิด ทำให้เป็นเบ้าที่ดี อาตมาว่า อย่างนี้ต่างหาก มันน่าชื่นใจ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ต้องคิดให้ถูก เราเอาแต่ใจเรานี่ มันอยาก ตามใจเรา ไม่ใช่อะไร ตามใจ มันจะเอาแต่ใจตัวแหละ ไม่ใช่อะไรหรอก มันกิเลส มันก็เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติ แต่อาตมาก็ไม่เห็นว่า จะเหลือบ่า กว่าแรงอะไร ที่อยู่ๆ มานี่ เห็นไหมนี่ มันก็หลายปีแล้ว หลายคน อาจจะจบ ม.๖ ปีนี้กี่คน ๑ คน แจ๋วจริงๆ

ตั้งแต่ปีนี้ไปก็จะแจกกลดเป็นปีสุดท้าย จบ ม.๖ ปีต่อไปจะไม่ได้กลดแล้ว จะได้อะไรอันใดอันหนึ่ง ยังไม่เปิดเผย ยังไม่บอกว่าอะไร เป็นสิ่งแทนว่าต่อไปนี่เด็กจบ ๖ ที่นี่จะมีสัญลักษณ์อันนี้เลย ไปที่ไหนเจอกัน ฮาๆ ดีกว่ากลด กลดน่ะ ประเดี๋ยวก็เก่า ก็ฉีก ก็ทิ้งไปสิ ทิ้งได้ แล้วก็เดี๋ยวนี้ก็ ไม่ค่อยเห่อแล้วกลด ไปหลงเต๊นท์แล้วเดี๋ยวนี้ สารพัด เต๊นท์ใหม่น่ะ เต๊นท์เล็กๆ น่ะ เต๊นท์น่ะโอ้โฮ! รูปสารพัดแบบเลยเดี๋ยวนี้ เขามีขายมีใช้กัน โอ้โฮ อาตมาไปนี่ งานภูผาฟ้าน้ำ ปีนี้ ไม่มีกลดเลย กลดหาไม่ค่อยเจอเลย มีแต่เต๊นท์ตะพึดเลย เต็มหมู่บ้านเลย ไปงานฉลองหนาว นี่ไปงานพุทธาภิเษกฯ ปลุกเษกฯ ก็เต็มไปหมดเลย กลดหายากเลยตอนนี้ กันหนาว อ้าวแล้วที่ พุทธาภิเษก กันหนาวหรือ เหงื่อย้อย เหงื่อหยดนั่นน่ะ กันหนาว มาคุย จริงๆ มันก็อย่างนั้นแหละ อาตมาก็ว่า แต่ก่อนนี้ เราก็ถือว่าเป็น ขลังๆ อย่างหนึ่ง แต่อันนี้ต่อไปที่จะได้นี่ ขลัง อาตมาเชื่อว่า ขลังเหมือนกัน ไม่ต้องห่วง บาตรหรือ เป็นนักบวชแล้วหรือได้บาตร โอ้โฮ! เอาบาตรไปแล้ว ไปบิณฑบาตได้หรือเปล่า อย่างนี้ไปบิน ได้หรือ แล้วผู้หญิงล่ะ บาตรไม่ใช่หรอก แหมไม่ใช่บาตรหรอก เอาน่าเดี๋ยวรู้เอง แต่ว่าตอนแจก ปีนี้ ม.๖ แจกกลดอยู่ที่ปฐมอโศกปีนี้ ปีสุดท้ายเขายังแจกกลดอยู่ ยังไม่แจกอันนั้น จะแจกงานคืนสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำ สัมมาสิกขา จะแจกวันโน้นๆ แจกย้อนหลังด้วย แจกย้อนหลังผู้ที่จบ ม.๖ มา รุ่นก่อนๆๆๆ ที่มาแจกหมดทุกคน แจกย้อนหลังด้วย ผู้จบปีนี้ก็แจก ได้ ๒ แต่ก่อนนี้เขาได้ไปแล้ว ทิ้งไปแล้วมั้ง หลายคนคงทิ้งไปแล้วละกลดน่ะ บางคน อาจจะยังอยู่ ก็ได้ ๒ แต่ต่อไปนี่ไม่แล้ว กลดก็ไม่เอา ไม่ใช้ เอาแต่อย่างนี้อย่างเดียว

สิ่งอย่างนี้อาตมาได้กระทำไว้ เพื่อที่จะให้เราเป็นสื่อสังคม เป็นสื่อสัมพันธ์ในความเป็นมนุษยชาติ อย่างพวกเรานี่ มีความสัมพันธ์ มีอะไรกัน เช่นอาตมาจัดคือสู่เหย้า เข้าคืนถ้ำอะไรพวกนี้ก็ เพื่อที่จะ สื่อสัมพันธ์ เพื่อที่จะให้มารวมกัน มีสารทุกข์สุขดิบ ใครต่อใครแยกย้ายกันไปอยู่ไหน พวกที่อยู่ก็ยังอยู่ พวกที่ไม่อยู่กระดอนกระเด็นกระเซ็นออกไปที่ไหนๆ อะไรต่ออะไร ยังไม่ตายก็เอ้ามากันดูสิ ใครจะพอมี เป็นอะไรอย่างไร พอจะช่วยเหลือเฟือฟายกันได้ไหม หรือมีอะไร ใครจะมาช่วย ใครคิดจะช่วยใคร กันบ้าง เป็นการพิสูจน์ด้วย แล้วมันก็เป็นการสร้างความสัมพันธ์ด้วย ซึ่งมนุษย์ควรจะสัมพันธ์กัน อย่างดี ใช่ไหม ไม่ควรจะแยก ไม่ควรจะแตก ไม่ควรจะระแหง อะไรต่ออะไรกันไป จะสัมพันธ์กัน อย่างพี่ อย่างน้อง

เพราะฉะนั้น งานนี้นี่แม้แต่คนที่มีความผิด ถึงขั้นมีทัณฑ์ ไม่ให้เข้าในพุทธสถาน ไม่ให้เข้าในชุมชน มีเหมือนกัน บางคนมีความผิด มีทัณฑ์จนกระทั่งไม่ให้เข้า แต่งานคืนสู่เหย้านี่ วรรค เว้นวรรค อนุญาตให้เข้าได้ ช่วงงานนี้เท่านั้น หมดงานนี้แล้วอย่างเก่า ใครมีทัณฑ์อย่างไร ก็จงใช้ทัณฑ์ไป จนหมด ให้ครบทัณฑ์ แต่ตอนนี้วรรค เว้นวรรคหนึ่งเวลา อนุญาตให้มาได้ หรือใครจะพา บางคน ก็ไปมีพ่วงแพ มีเรือพ่วง มีอะไรต่ออะไรก็หอบมา ใครอยากหอบมาก็หอบมา ก็เอามาดูกัน อะไรกันไป ซึ่งมันเป็นเรื่องของมนุษยชาติน่ะ จะมีมันไม่ใช่วันเดียว มันไม่ใช่เดือนเดียวปีเดียว มันไม่ใช่แค่ ช่วงระยะเดียว มันสืบทอด สืบต่อมันจะยาวนานไปอีก ชาวอโศกเราก็ ไม่ใช่อาตมาทำเล่น ชาวอโศก เราทำแล้ว มันก็จะยืดยาวไปอีก พอเราแก่เฒ่าอายุ ๕๐ ๖๐ ๘๐ ๙๐ อายุ ๑๐๐ ใครจะอายุ ๑๐๐ ก็พากเพียรให้ได้ นี่อาตมาพากเพียรนะ อาตมาจะอายุ ๑๐๐ ให้ได้จริงๆ นะ ไม่ใช่พูดเล่น จะพยายาม แต่มันจะได้หรือไม่ได้ไม่รู้ ถ้าอาตมาอายุ ๑๐๐ นี่ พวกเราจะอายุเท่าไรกันนี่ ไม่ใช่ ถ้าอาตมา ๑๐๐ พวกเราจากนี่ไป นับไปถึง ถ้าอาตมา ๑๐๐ แล้วเราจะอายุกันเท่าไร อะไร ๔๐ เองหรือ อาตมานี่ ๖๙ จะ ๗๐ มิถุนานี่ จะเริ่ม ๗๐ ถ้า ๑๐๐ มันก็อีก ๓๐ ปี ถ้าอีก ๓๐ ปี ๑๐๐ พวกเราบวก ๓๐ ปี นี่เพิ่งอายุ ๑๐ หรือ หรือจะ ๔๐ ๔๗ ๔๘ เกือบ ๕๐ กันละหนอแต่ละคนๆ เริ่มต้นเหี่ยวกันแล้ว ๕๐ กว่านี่เริ่มเหี่ยวแล้ว แต่พวกเรานี่นะ จะมีสุขภาพบุญนิยมกัน นี่อาตมาผมมันชักดำขึ้นแล้วนะ เอ้าเห็นหรือเปล่า มันขาวแล้วมันดำขึ้น มันกลับมาดำๆ ขึ้นบ้างแล้วนะ อาตมาเชื่อว่า มันจะดำขึ้นได้ นะ เอ้าจริงๆ เดี๋ยวอาตมาพูดอีกหน่อยหนึ่งนะ

อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาพยายามกระทำสิ่งเหล่านี้นี่ ทำให้พวกเรานี่พยายามที่จะเอามาเพิ่ม เสริมให้พวกเรา ได้มีความรู้ ความสามารถ เป็นมนุษย์ เป็นคนที่ได้รับการหล่อหลอมขึ้นมา อย่างน้อย ๖ ปีนี่ อาตมาว่าหล่อหลอมได้พอสมควร คนที่จบไป จากสัมมาสิกขานี่ อาตมามั่นใจว่าเป็นคนที่ได้ ได้เชื่อมั่นว่าได้มากกว่าโรงเรียนอื่นๆ ในประเทศไทย จริงๆ กล้าพูดอย่างนั้นเลย ทุกวันนี้ อาตมามั่นใจ เพราะว่าเราตั้งมาตั้ง ๑๐ กว่าปีแล้ว มีผลแล้วจริงๆ จะมีได้ มีความรู้ มีความสามารถ มีคุณธรรม โดยเฉพาะมีคุณธรรมมากกว่า จะได้คนละเล็กคนละน้อยอะไรก็ตามใจเถอะ อาตมามั่นใจว่า ได้มากกว่าข้างนอกเขา ยิ่งต่อไปเราจะมีมาตรการ ในการที่จะให้คะแนน คะแนนด้านศีลก็จะมี คะแนนเป็นงานก็จะมี คะแนนชาญวิชาก็จะมี

ถ้าใครตกคะแนนศีล ตกนะ ถ้าใครตกคะแนนศีล ตก แล้วจะมีการสอบตกด้วย ถ้ามันไม่ได้จริงๆ ก็ต้องตก แล้วการตกนี้ อาตมาว่าพวกเราไม่น่าจะต้องมาเจ็บปวดอะไรมากมายเลย เป็นแต่เพียง อาจจะเสียใจบ้าง เพราะเราเอง เราไม่ดีเอง ไม่พากเพียรเอง มันก็ไม่ได้คะแนนพอ มันก็ต้องสอบตก เราก็ต้องรับผลไป แต่การอยู่เพิ่ม ไม่ได้เสียหายหรอก อยู่ที่นี่น่ะ มันไม่เสียตังค์เพิ่มนี่ ใช่ไหม เรียนซ้ำอีก มันก็ไม่ได้เสียตังค์เพิ่มอะไรเลย เราได้รับการอบรมเพิ่มด้วยซ้ำไป อาตมาว่าอยู่สัก ๑๒ ปี ดีไหม ได้รับการอบรมเพิ่มด้วยซ้ำไป จะไปเสียอะไร อาตมาว่ามันไม่น่าจะต้องไปเจ็บปวด อะไรกันมากมาย เป็นแต่เพียงว่าเออ ก็เสียใจก็ต้องสำนึกของตัวเองบ้าง ว่าเรานี่มันไม่น่าตก มันก็ไม่ดีล่ะ ถ้าว่ากันแล้ว ก็คงรู้ล่ะว่า มันไม่ดี ใช่ไหม สอบตกมันก็แหม น่าขายหน้าน่ะ เสียหน้า เสียอะไรบ้าง ก็เป็นบ้าง

ถ้าเผื่อว่า จะมีสอบตกนั้น ไม่ต้องไป ประหลาดอะไรในพวกเรา ทางโรงเรียนทางกระทรวงศึกษา ทางอะไรนี่ เขาไม่แล้ว เดี๋ยวนี้ ไม่เข้มงวดกวดขันแล้ว ถ้าไม่มีอะไร ปูโรปูเร ให้มันสอบผ่านไปเถอะๆๆๆ คือมันอย่างไรล่ะ มันโมเมไปหมดแล้ว ดูสิบางทีนะ มาสอบเข้าที่เรานี่ นักเรียนต่างจังหวัด จบ ป.๖ มา เขียนหนังสือยังไม่เป็นเลย โห แล้วมันจบออกมากันได้ อย่างไรก็ไม่รู้ วิชาการที่ได้มา มันไม่เหมาะ ที่จะไปจบ ป.๖ เลย จริงๆ เยอะแยะ จะเห็นได้ เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ จะไม่เป็นอย่างนั้น ยิ่งอบรม ยิ่งอะไรต่ออะไรไปนี่ก็ยิ่งจะได้ นี่เป็นเรื่องที่บอกกล่าวกันให้ทราบว่า การศึกษา หรือ การเรียนเรานี่น่ะ เราเรียนเอาจริงๆ ทำให้เป็นมาตรฐาน ต่อไปในอนาคต อาตมามั่นใจเลยว่า โรงเรียนสัมมาสิกขา จะเป็นหลัก ของโรงเรียนในประเทศเลย ถ้าผ่านที่นี่ออกไปแล้ว รับรองว่าจะมีเครดิต ทุกวันนี้ เขายัง ไม่รู้เรื่องหรอก เขายังไม่รู้จัก ขอให้มันผ่านไปสัก ถ้าตั้งไปถึง ๕๐ ปีแล้วรับรอง โรงเรียนนี้ ก็แก่ พวกเราจะเห็นผลไง พวกเราก็จบออกไป จากที่นี่ ต่อไปจะรู้เลยว่า เครดิตของโรงเรียนสัมมาสิกขานี่ มันจะเป็นอย่างไร อีกสัก ๕๐ ปี ต่อไปเถอะ เหมือนโรงเรียนอื่นๆ นี่เขาตั้งมานาน โรงเรียนสวนกุหลาบ โรงเรียนสตรีวิทยา โรงเรียนอะไร เขาตั้งมานานอย่างนี้ เขาก็มีเครดิตทางสังคม ใช่ไหม เป็นที่ยอมรับ เป็นที่อะไรต่ออะไรขึ้นมาพอสมควร แต่สำหรับสัมมาสิกขานี่ อาตมาว่า ขอให้มีอายุยืนสัก ๕๐ ปีเถอะ แล้วคอยดูเถอะ คอยดูเครดิตของ สัมมาสิกขาเราบ้าง เอ้า จริง ๆ

ถ้าใครออกไป ไม่จบที่นี่ ไม่ได้สัญลักษณ์ของจากสัมมาสิกขา ไม่ได้จบออกไปว่าอย่างนั้นเถอะ บางคน มาผ่านแค่ ๒ ปี ๓ ปี แล้วก็ออกไป ไม่ผ่าน ม.๖ ไม่ได้นะ ต้อง ม.๖ ผ่านแค่ ม.๓ ก็ไม่ได้สัญลักษณ์อันนี้ ต้อง ม.๖ จึงจะได้ ออกไปแล้วจะรู้ว่า โอ ! เรามีสัญลักษณ์อันนี้ สัญญาลักษณ์อันนี้ มีชื่อติดเลยนะ ไปปลอมแปลงก็ไม่ได้ ชื่อของแต่ละบุคคล ติดในนั้นเสร็จเลย ลบไม่ง่าย เพราะเป็นโลหะ ลบไม่ได้ เป็นโลหะ เพราะฉะนั้น จะรู้เอง ไปแล้วโอ้โฮ เราไม่น่าเลย อะไร ก็ผ่านไปแล้วน่ะ ทำอย่างไรได้ มันก็แค่นั้น

เพราะฉะนั้น คนที่อยู่ที่นี่นี่ อย่างไรๆ อาตมาก็อยากจะ เกลี่ย เรียกว่าเกลี่ยกันว่า เมื่อเราเองเรามีปัญหา หรือเรามีอะไรต่ออะไร ที่เราไม่สะบายใจ ไม่มีสิ่งที่มันเกิดอะไรต่ออะไรขึ้นมานี่ เราควรจะเปิดเผย เราควรจะบอกผู้ใหญ่ เราควรจะบอก ผู้ที่เราคิดว่า ควรจะบอก อย่าไปงุบงิบ แล้วก็เอาไปหาเรื่อง หาหมู่ หาคณะ จัดกันเป็นกลุ่มๆ เป็นโน่นเป็นนี่ เสร็จแล้วก็ก่อหวอด ก่อความเดือดร้อนกันขึ้นมา อย่าไปทำ มันเป็นการสร้างแบบอย่าง หรือว่าเป็นการสร้างพฤติกรรม ที่ไม่ดีไม่งามขึ้นมา ถ้าเราไปหัดอันนั้นไว้ มันก็จะติดตัวเราไป เดี๋ยวออกไปข้างนอก หรือไปทำงานในอนาคต เป็นผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้ มันจะติดตัว ติดตนไป เสร็จแล้วเราก็ไปสร้างสิ่งเหล่านี้ บานปลายไปในอนาคต มันไม่ดี ที่นี่มันไม่เท่าไรหรอก แต่ถ้าไปทำกันข้างนอก ไปทำกันเป็นเรื่องเป็นราว อะไรมากๆ หนักๆ แล้ว ยุ่งนะ อาตมาบอกไว้ ให้ก่อน ว่าจะยุ่ง มันจะเป็นพิษเป็นภัย ร้ายแรงขึ้นมาได้ เพราะฉะนั้น อย่าไปหัดอย่างนั้น

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากจะบอกพวกเราก็คือเรื่องของ ผู้ที่แอบใช้เงิน แอบใช้เงินแล้วก็พ่อแม่เอาเงินมาให้นี่ อาตมาบอกไป ให้เด็ดขาดเลยว่า ถ้าพ่อแม่ผู้ใด ยังเอาสตางค์มาแอบ มาซุกให้พวกเราไว้ใช้นี่ ถ้ารู้แล้ว ถ้ารู้ในอนาคตต่อไปก็จะบอก ให้เอาเด็กออกไปเสีย ถ้าคุณรักที่จะให้เด็ก กลัวเด็กจะใช้เงินไม่เป็น ๖ ปีนี่ หรือว่ารักลูกผิดๆ อย่างนี้ อาตมารับรอง บอกกับพ่อแม่ไปเลย ว่าเด็กอยู่ที่นี่ ๖ ปี ออกไปนี่ ไม่ต้องห่วง เลยว่า จะใช้เงินไม่เป็น จบออกไป ๖ ปีนี่ โอย แม่เอาเงินมาให้ไว้ใช้เลย ตาย จบออกไปแล้วนี่ เด็กมัน ใช้เงินไม่เป็น มันจะอยู่กับโลกได้หรือ รับรอง ขอรับรองว่าไม่ต้องกลัว มันจะใช้เป็นยิ่งกว่า ทุกวันนี้ มันไม่ใช่ใช้เงินเป็น มันใช้เงินมือเติบ มันใช้เงินเฟ้อ มันใช้เงินเสียหาย เพราะฉะนั้น ผู้ปกครอง บอกพ่อแม่อยู่ หรือพ่อแม่เอามาให้ เราก็ต้องบอกพ่อแม่เขาเลยว่า อย่าทำอย่างนี้ อาตมาจะสร้าง จารีตประเพณีเอาไว้ สำหรับโรงเรียนเรา ให้โรงเรียนเรานี่มันสอดคล้องกับบุญนิยม บุญนิยมนี่ ไม่หลงเงิน บุญนิยมจะไม่ฟุ้งเฟ้อเงิน จะเห็นได้ว่า แม้แต่ผู้ใหญ่ที่เราพยายามทำแล้วเป็นบุญนิยมนี่ ไม่ต้องไปวุ่นวายหลงใหลกับเรื่องเงิน เงินทองก็คือ ของที่จะใช้สอย เหมือนกับผ้า เหมือนกับเสื้อ เหมือนกับของอะไรนี่ มีจำเป็นก็พอใช้ไป

ไม่ต้องไปสะสม ไม่ต้องไปกอบโกย ไม่ต้องไปหอบหาม อะไรมากมาย แล้วเราไม่ต้องมีส่วนตัวเลยก็ได้ เงินทองอะไรพวกนี้ อย่างที่เราทำๆ เห็นๆ กันอยู่นี่ เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่เรื่องเอาเงินมาให้ไว้ แม้แต่เรื่อง ผู้ที่มีญาติ มีพี่มีน้อง เป็นพี่เป็นน้อง เช่น พวกเราบางคน เป็นลูกเป็นหลานของครู เป็นลูกเป็นหลานของอา อยู่ในนี้ ต่างๆ นานาพวกนี้ เสร็จแล้วก็อยู่ใกล้อยู่ชิดกัน มีเรื่องราวก็ถึงกัน อะไรต่ออะไรก็ไปฟ้องไปร้อง อะไรต่ออะไร แล้วก็ลำเอียงเข้าข้างกัน ส่อเสียดกัน หาเรื่องกัน ระวังนะ เรื่องนี้ ระวัง ต้องพยายาม ผู้ใหญ่ก็ตาม ก็ต้องทำใจเป็นกลาง แล้วเราเด็กๆ นี่ก็ตาม เราก็อย่าเที่ยว ได้ไปหาเรื่อง ให้ผู้ใหญ่เขาเดือดร้อน ให้ผู้ใหญ่เขาเห็นว่า ผู้ใหญ่ต้องลำเอียง มันเสียไปด้วยกัน ทั้งหมดเลย แล้วก็เกิดสภาพไม่ดี ไม่สงบ มีอะไรพูดกัน หัดฝึกกัน มันเป็นระบบของสังคม เราต้อง หัดฝึกกันว่า มีอะไรก็พูดกัน ตรงๆ มีอะไรไม่ต้องลำเอียง คนนั้นคนนี้ ข้างนั้น ข้างนี้ มีอะไรใคร หนักใครหนาอย่างไร อะไรต่ออะไรก็บอกกัน

อาตมาเคยสอน เคยแนะนำเรื่อง มีอะไรเวลาเข้าห้องประชุมหรือว่าเข้าที่ประชุมแล้วนี่ มีอะไร พูดออกมาให้หมด มีอะไร พูดออกมาให้หมด ในที่ประชุม ไม่ใช่ไม่กล้าพูด พอออกจากนอกห้องประชุม แล้วไปพูด โน่นน่ะ เอาแล้วซุบซิบกันแล้ว สุมหัวกัน หาเรื่อง อย่างโน้น อย่างนี้ แต่ในที่ประชุม ไม่พูดออกมาเลย ไม่กล้า อย่างนี้เรียกว่า ไม่รู้จักความจริง ไม่รู้จักวิธีการ อันดีงามของสังคมชั้นดี สังคมชั้นสูง เขามีที่ประชุม มีกรรมการ หรือว่ามีผู้ที่ช่วยคิด ช่วยตัดสิน ช่วยวินิจฉัย เพราะฉะนั้น เมื่อเวลามาประชุม จะมีผู้รู้หรือผู้ใหญ่ หรือมีผู้ที่สามารถที่จะวินิจฉัย สามารถที่จะตัดสินอะไร ต่ออะไรได้ เพราะฉะนั้น เป็นโอกาสที่เราจะต้องรู้ว่า เวลามาประชุมนี่ มีเรื่องอะไรพูดออกมาตรงๆ อย่าไปส่อเสียด หาเรื่อง พูดความจริงออกมา ให้ครบ ในที่ประชุม แม้แต่หลายอย่าง นอกที่ประชุม เราเป็นความลับๆ เป็นสิ่งที่มันเปิดเผยไม่ได้ แต่ในที่ประชุมนี่ หลายเรื่อง ในที่ประชุม ต้องบอก ในที่ประชุม แม้จะเป็นสิ่งลับๆ ก็ต้องพูดต้องบอก อันนี้แม้แต่ เป็นสงฆ์นี่ วินัยของพระพุทธเจ้า ท่านสอนไว้เรียบร้อยหมดเลย ถ้าไม่พูดอาบัติด้วย ปกปิดอาบัติด้วย อาบัตินี่หมายความว่ามีโทษ ปกปิดอาบัติด้วย และ ในบางเรื่อง ที่มันอยู่ในที่ประชุมแล้วนี่ เป็นเรื่องที่ไม่ควรเปิดเผย ใครประชุมแล้วเสร็จ ออกจากที่ประชุม เอาไปโพนทะนา เอาไปบอกข้างนอก ข้างนอก อาบัติอีก ให้รู้แต่ในห้องประชุมเท่านั้น เลิกจากห้องประชุมแล้ว อย่านำออกไปพูดข้างนอก

เพราะเรื่องบางเรื่อง ที่ไม่ควรจะมาพูดข้างนอก เปิดเผยประจานอะไรกัน เอาไปพูดเสียหาย แต่ต้องพูด ในที่ประชุม เพื่อที่จะได้วินิจฉัย จะได้พยายามปรับกัน ให้มันอะไรจะแก้ไขอะไรได้ ต้องพูด เพราะฉะนั้น จำไว้ ในที่ประชุม ในห้องประชุม มีเรื่องอะไร เราพูดออกมาให้หมด เสร็จแล้ว เมื่อตกลงตัดสิน มีมติอย่างใดแล้ว เลิก เรื่องที่เราเคยยึดถือไว้ เมื่อมติอะไรชนะ ต้องเอาตาม มตินั้น เรื่องไหนที่มีมติอย่างนี้ๆ มันไม่ตรงกับ ของเรา ก็ต้องเอาตามที่มีมติตัดสิน ของเราแพ้ ก็ต้องรู้จักแพ้ เลิก เอาตามมติที่ชนะ อันนี้จำไว้เลย จะอยู่ไปในอนาคต จะมีชีวิตไปอีกนี่ มันจะเจอเรื่อง พวกนี้อีกเยอะเลย เพราะฉะนั้น หลักเกณฑ์อันนี้ ที่อาตมาบอกไว้นี่ หลักเกณฑ์ประชุมนี่ จำไว้ แล้วจะต้องใช้ให้เป็น จะต้องเป็นคนเจริญ ไม่ใช่เป็นคนแหม ไม่ได้รับการศึกษา ไม่รู้เรื่องรู้ราว อะไรก็ไม่เป็นอย่างนั้น โง่เง่าตาย

เราจะต้องทำให้ถูกต้อง ตามวิธีการของสังคม ที่เจริญแล้วเขาทำให้ถูกต้องอย่างที่ว่านี้ เพราะฉะนั้น ที่อาตมาพูดเปรยๆ ปรายๆ ไปนี่ แม้แต่เรื่องที่เราจะมีการเอาญาติ เอาพี่ เอาน้อง อย่างโน้นอย่างนี้ ลำเอียงอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรต่ออะไรกัน ต่างๆ นี่ ก็จะต้องสังวรระวังบ้าง จะไม่ให้มันมีเรื่องเลย อาตมาพูดมาแต่ต้นแล้ว มันไม่ได้ มันมีบ้าง มีเรื่องอย่างโน้นอย่างนี้ มีไอ้โน่น ไอ้นี่เป็นบ้าง แต่ก็เอามา คุยกัน เอามาตกลงกัน เอามาอภิปรายกัน เอามาวินิจฉัยกัน เรื่องราวอะไรต่ออะไร มันเหลือบ่ากว่าแรง อย่างไร ก็พูดกันได้ มันไม่มีอะไรที่มันจะมาพูดกันไม่ได้ เรื่องไหนก็ต้องแก้ไข ได้ทั้งนั้นแหละ ต้องปรับปรุง และให้มันเป็นไปได้ ทั้งนั้นแหละ อาจจะไม่ดีนัก ได้เท่าไรก็พยายามที่สุด แล้วก็ทำให้ มันดีที่สุด ให้มันได้ก็แล้วกัน

นี่ก็อาตมา เป็นเรื่องที่อาตมาคิดว่า ควรจะบอก ควรจะพูดกันไปบ้าง เท่าที่อาตมาคิดได้ มันอาจจะมี บางเรื่องบางอย่าง ที่ขาดหก ตกหล่น ใครเห็นว่าขาดหกตกหล่นอะไร ก็เขียนโน้ตมาบอกให้อาตมาซิ เอาทีนี้ก็จะตอบปัญหาอะไรต่างๆ ที่พวกเราเขียนมา ของพวกเราเอง ข้องใจหรือว่าสงสัย อยากจะให้ อาตมา พูดอะไร คุยอะไร ถามอะไร


จัดทำโดยโครงงานถอดเทปธรรม ฯ
ถอด/พิมพ์โดย พ.ท.นารถ กองถวิล ๒๓ กันยายน ๒๕๔๖
พิสูจน์อักษรโดย สิกขมาตุปราณี ธาตุหินฟ้า ๒๘ กันยายน ๒๕๔๖
พิมพ์ออกโดย พ.ท.พึ่งธรรม กองถวิล ๘ ตุลาคม ๒๕๔๖
เข้าปกโดย สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
TCT ๐๔๒๒.DOC
เราจะสร้างการศึกษามาตรฐานของประเทศ ๑๒