เพราะทิ้งศาสนา สังคมจึงวิกฤต
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
ก่อนฉัน วันที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๔๖
ณ อุทยานบุญนิยม จ. อุบลราชธานี

... ซึ่งเป็นสังคม ที่อาตมาว่า เป็นสังคมธรรมรัฐนะ เป็นสังคมที่เขาอยากได้ ธรรมรัฐนี่ เป็นชื่อที่ทาง ธีรยุทธ์ บุญมี เขาเป็นคนตั้ง good government แปลว่า เป็นระบบ หมู่ กลุ่ม ธรรมรัฐ คือ เป็นหมู่ ชุมชน ที่อยู่กันอย่างเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นแกน มี บ้าน วัด โรงเรียน อยู่กันอย่างสงบ อยู่กันอย่างมีศีล เด็กๆ ก็มีศีล นี่พวกเจ้านี่ มีศีลแล้ว บ่ ละนี่ ศีล ๕ เป็นพื้น มีศีลจริงๆ เช็คศีล ไม่ใช่มีไว้แล้วก็ไป ศีล ต่างคนต่างมี แล้วไม่รู้ว่าไปใช้ไหม เช็คศีล มีการเช็คศีล เอ้าใครผิดศีลบ้าง วันนี้ วันไหน มี ศีล เช็คศีล ใครผิดศีล เด็กๆ ก็ให้ไปทำความดีชดเชย ให้แก้ไข แล้วก็ทำความดี ชดเชย อย่างนี้เป็นต้น ให้ไปทำนั่น ทำนี่ อะไรก็แล้วแต่ มันมีระบบแบบนี้ เรามีโรงเรียน ตั้งแต่โรงเรียนอนุบาล ประถม อะไรของเรา อยู่ในนั้นเสร็จ เพราะฉะนั้น เด็กๆ ก็อยู่ในโรงเรียนที่ในหมู่บ้านเลย แล้วก็เรียนกันอย่าง แบบวิถีพุทธ ตอนนี้ ทางกระทรวงศึกษา เขามีวิถีพุทธแล้ว มีการศึกษาแบบวิถีพุทธ ของเรานี่ วิถีพุทธ เราทำมา ก่อนแล้ว เรามีมาอย่างนั้นจริงๆ สอนกันเป็นธรรมะ เอาธรรมะเป็นแกนนำ หลักการในการสอน โรงเรียนเรามี ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา ศีลเด่นก็คือคุณธรรมนี่แหละ ศีลธรรม เป็นงานก็คือ เด็กนักเรียน ต้องทำงานเป็น ไม่ใช่นักเรียน เรียนแต่ตัวหนังสือ ทำอะไรก็ไม่เป็น หยิบอะไรก็ไม่เป็น ทำโน่นทำนี่ อะไรไม่รู้เรื่องเลย สังคมหมู่บ้านที่เขาอยู่ อยู่อย่างไร เขาทำอะไรกันบ้าง เด็กไม่รู้เรื่องไม่ได้ ที่นั่น เด็กให้รู้เรื่องตามฐานะวัย วัยของเด็กขนาดนี้ ควรรู้อันนี้ ควรทำอันนี้ ควรช่วยอันนี้ ทำไป เด็กจะรู้เลยว่าในหมู่บ้าน ในสังคมของตัวเองนี่ มีงานอะไรบ้าง งานอะไร เด็กขนาดนี้ทำได้ งานอะไร โตขึ้นมาขนาดนี้ทำได้ งานอะไร โตขึ้นมาขนาดนี้ทำได้ มันจะมีเลย เพราะฉะนั้น เด็กของพวกเรานี่ จะเก่ง เด็กพอสมควรแล้วนี่ จะทำโน่นเป็น ทำนี่เป็น

คือเราเอง เรา อาตมาเอง ทำงานศาสนานี่ ก็เพื่อสร้างคน ให้คนมีศีลมีธรรม เดี๋ยวนี้ศีลธรรม ไม่เอากันแล้ว คนก็เลย ย่ำแย่ สังคมเดือดร้อน ดูซินี่ ข่าวคราว ฟังข่าว ไม่มีข่าวอะไรหรอก มีแต่ข่าว ฆ่ากัน แกงกัน มีแต่ข่าวโกงกัน มีแต่ข่าวจับไปนั่น ขึ้นศาลนี่ อะไรต่ออะไรกัน โอ๊ย มีแต่ข่าวอย่างนี้ ทั้งนั้นเลย นอกนั้นก็มีข่าวบ้าๆ ข่าวกีฬา ข่าวบันเทิง แต่ว่าข่าวธรรมะทำไมไม่มี เวลาต่อไปนี้ เป็นเวลาข่าวกีฬา ต่อไปนี้เป็นเวลาข่าวบันเทิง ว่าอย่างนั้นนะ แล้วมีประจำ ทุกช่องเลย ช่องโทรทัศน์ก็มี วิทยุก็มี แม้แต่หนังสือ ก็มีคอลัมน์พวกนี้ แต่ทำไม ต่อไปนี้เป็นช่วงเวลาข่าวธรรมะ มันจะชักดิ้น ชักงอ หรืออย่างไรก็ไม่รู้ จัดเวลาไม่ได้ ไม่มี ข่าวธรรมะไม่มีเลย ทำไมคนเรา มันถึงได้ โง่เง่าลงไปทุกที ทุกที ข่าวพวกนี้มอมเมา มอมเมากันไป จนกระทั่งฟุ้งเฟ้อ แล้วเด็กสมัยใหม่ก็เลย กลายเป็นคลั่งไคล้ หลงใหล ไปในเรื่องบันเทิงเริงรมย์ ... เพราะฉะนั้น สังคมทุกวันนี้นี่ มันหวังไม่ได้แล้ว จากเด็กๆ

ถ้าเมื่อเราไม่ช่วยกันแล้ว มันไปไม่รอดหรอก เด็กๆ มันจะมาฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ ทุกวันนี้เห็นไหม มันฆ่าพ่อ ฆ่าแม่ขึ้นไปเรื่อยๆ แล้ว มันจะเป็น อย่างนั้น จริงๆ พวกเรานี่ มันหวังไม่ได้แล้ว ถ้าเผื่อว่า ไม่ช่วยกัน เร่งรัดพัฒนาเด็กให้ดีขึ้น อาตมาก็พยายามทำ เหน็ดเหนื่อย สร้างโรงเรียนขึ้นมา เดี๋ยวนี้มีโรงเรียนกัน ประมาณ ๑๑ แห่งแล้ว ของพวกเรา เป็นโรงเรียน ที่สอนแบบนี้แหละ สอน ศีลเด่น เป็นงาน ชาญวิชา นี่แหละ ศีลเด่น ๔๐% เป็นงาน ๓๕% ชาญวิชา ตามกระทรวงเขากำหนดมา ๒๕% สอบได้ พอ นอกนั้น เราเอา ศีลเด่น เป็นงาน ไม่เอา เป็นเด่น เป็นโก้ อะไรหรอก เรื่องการเรียน ไม่ไปแข่งเขา แต่ผลสรุป มาแล้ว ที่สันติอโศก กระทรวงศึกษาธิการ มาสรุปผลว่า คุณภาพของการศึกษา ที่เรียนแล้วนี่ เขาก็เช็ค เช็คเลย ตัดกราฟเลย ให้คะแนนไป ตามวิธีการของเขา สรุปผลแล้ว ค่ารวม ปรากฏว่า โรงเรียน สันติอโศก ได้ที่ ๑ ในกรุงเทพฯ ของวิถีพุทธ ออกมาเลยเป็นกราฟ มันมีประเด็น ที่เขาไม่ชนะอยู่ คือ ในค่ารวม แต่ค่าย่อยมันมีอยู่อันหนึ่ง แพ้เขา แต่นอกนั้นชนะ รวมแล้ว ค่ารวม ชนะหมด ค่ารวมเราชนะ เป็นที่ ๑ โรงเรียนสันติอโศก เป็นที่ ๑ ไม่ได้พูด ถึงศีลเด่น เป็นงานนะ ได้ต่างหากแล้วนะ นี่คือเอาที่ ที่ทั่วไป ทั่วไป แบบชาญวิชา วัดกัน ไม่ได้ด้อยกว่าเขาเลย ชาญวิชา ก็ไม่ได้ด้อยกว่าเขา เด็กของเรา ไปสอบเอนทรานซ์ แข่งกับพวกชาว พอจบ ม.๖ กัน ก็ไปเข้า เอนทรานซ์กันใช่ไหม เด็กอโศกเรา ก็ไปสอบ เอนทรานซ์ กับเขาทุกปี ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง จะตกบ้าง ก็แน่นอน แต่มันก็ได้ เด็กของเราไม่มาก แต่เขายังสอบได้ เด็กบางโรงเรียน เขาหลายพันคน สอบได้สักเท่าไร เปอร์เซ็นต์มันคิดแล้ว สู้เรา ไม่ได้เลย เพระฉะนั้น การเรียน ทุกวันนี้นี่ มันเฟ้อ แล้วมันก็กลายเป็นเรื่องเหลวไหลแล้ว มันไม่จริง เรียนไม่จริง

เอาละ อาตมาพูดไป ประเดี๋ยวมันจะกว้าง อยากจะพูดเข้าหาตัวพวกเรา ทำไมสังคมมันจึงเป็น อย่างนั้น ที่สังคม มันเป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า เราทิ้งศาสนา ทิ้งธรรมะ ทิ้งจริงๆ ขอยืนยันว่า นั่งๆ อยู่นี่ ทิ้งธรรมะ เอาไหมละ ทิ้งธรรมะ มีแต่จารีตประเพณี บอกว่า เราเป็นพุทธศาสนิกชน แล้วเป็นอย่างไร เป็นชาวพุทธ ชาวพุทธทำอะไรบ้าง ก็ไปวัด ไปเมื่อเวลา ๑.งานศพ ๒.งานที่เขามีรื่นเริง ระเริง บันเทิง วัดนี้มีจัดงาน ไป นานๆ จะไปวัดวันพระ หรือวันอะไร ที่ควรจะไปบ้าง นานๆ ไปเสียที เวลา ๓๖๕ วัน ไปวัด เอ้ายกให้ไปวัด สัก ๑๐ วัน อีก ๓๕๕ วัน ทำบาป แล้วถามว่า คุ้มไหม ๓๕๕ วันทำบาป ๑๐ วันไปวัด แล้วก็ไม่ได้ทำบุญตลอดวันหรอก พอกลับจากวัด ก็ทำบาปอีก เข้าวัด ก็ทำบ้างบุญ พอออก จากวัด หันเข้าหาบาป อย่างเก่า ก็ไม่ได้อยู่วัดทั้งวันด้วย แล้วมันจะคุ้มไหม

ชีวิตเรานี่ เราไม่รู้ว่า เราเอง เราเกิดมานี่ เราได้อะไร เราได้เงิน ตายแล้วเอาเงินไปด้วยไหม เอาไปได้ไหม เอ้า หาเอาเองจังซั่น เอาไปบ่ได้ หาเอาเอง หยัง หือ หาไว้แล้วไม่พอด้วยนะ หาไว้ให้มันเยอะๆ แล้วก็ต้องตายจาก เอามากอง กอบเอาไว้ แล้วบอกทิ้งให้ลูก ลูกก็เอาทิ้งไว้ให้หลาน หลานทิ้งไว้ให้เหลน กองเอาไว้ ไม่ได้ไปหรอก จริงๆ ถึงว่า จะทิ้งไว้ให้ใช้ ก็ใช้ไปเถอะ แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่เราได้จริงๆ ในชีวิตนี่ พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ คืออะไร คือกรรม กรรมวิบาก นั่นน่ะเป็นทรัพย์แท้ ถ้าเราทำชั่วก็เป็นของเรา เราทำดีก็เป็นของเรา ไม่เอาได้ไหม ไปปล้นเขา ชั่ว หรือ ดี ได้เงินนะ คนปล้นเก่งๆ นี่ ได้มา ปล้นคราวนี้ ได้มา ๕๐๐ ล้าน แหม ปล้นมาได้ ๕๐๐ ล้าน ดีใจใหญ่เลย กอดไว้ด้วย ๕๐๐ ล้าน ไม่ให้ใครเลย ไม่ให้กระเด็นเลยนะ กอดไว้ เสร็จแล้ว ตายไป ๕๐๐ ล้าน ได้ไหม ตายไป เอาไปด้วยได้ไหม ไม่ได้ แล้วกรรมที่ไปปล้นมา ๕๐๐ ล้านนี่ เป็นกรรมชั่ว หรือ กรรมดี กรรมชั่วไปกับเราไหม อันไหนเป็นของแท้ ที่เราได้ คิดดีๆ นะ เกิดมาจะเอาอะไรไป ในชีวิต ถ้าเราเข้าใจศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ชาติเดียว ตายแล้วสูญนะ ตายแล้วสูญ ก็เป็นพระอรหันต์ เท่านั้นเอง ตายแล้วไม่เกิดอีก ใช่ไหม ก็เป็นพระอรหันต์ น่ะสิ กลัวจะตายแล้วมาเกิด เป็นหมาน่ะซี แล้วก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ลงนรกกันเยอะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ชัดเจนว่า คนเรา เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ตายจากมนุษย์ไปแล้ว จะได้เกิด มาเป็นมนุษย์อีก หรือได้เป็นเทวดานั้น น้อยกว่าน้อยนัก ส่วนมาก ตกนรก เป็นเดรัจฉาน ได้กลับ มาเกิดเป็นคนอีก เป็นมนุษย์อีก หรือเป็นเทวดานั้น น้อยกว่าน้อยนัก ส่วนมากตกนรก เป็นเดรัจฉาน

พระพุทธเจ้าท่านไม่ตรัสของเล่น ท่านตรัสเรื่องที่เป็นจริง ท่านรู้แล้วว่าความจริงเป็นอย่างไร อาตมา พูดอย่างนี้ ฟังดีๆ นึกถึงแต่ว่า ในชีวิตเรา นึกว่า เราไม่ได้ทำบาป ใครไม่เคยฆ่าสัตว์ ยกมือขึ้น ใครไม่เคย เอาของเขา ที่ไม่ใช่ของของเรา ในฐานะอันเป็นขโมย เขารู้ หรือไม่รู้ก็แล้วแต่ กรรมเป็นกรรมนะ เขาไม่รู้ ก็เป็นกรรมนะ ไปเอาของที่ไม่ใช่ของเรา มาเป็นของของเรา เอาละ อาจจะคิดไม่ออก หรืออาจจะนึกออก แต่ไม่กล้ายกมือ อาย ผิดผัวเขา เมียใคร นอกใจ นอกใจ ไม่ใช่นอกกายนะ นอกกายนั่นเขาฟันเอาเถอะ เดี๋ยวจะไปนอกกาย นอกใจนี่ เขายังไม่ฟันนะ เพราะเขาไม่รู้ ใช่ไหม นอกใจนี่ ใจมันไปแลบเลีย มันไป นอกใจผัว นอกใจเมียตัวเองใช่ไหม นอกใจ ท่านไม่ได้บอกว่านอกกาย ใช่ไหม คำสอนนี่ใช่ไหม หือ อย่าไปนอกใจผัวเขา เมียเขา แม่นบ่ละ อย่าไปนอกใจ นอกใจ บาป ใครไม่เคยพูดปด เงียบกริบ ไม่มีเลย ใครไม่เคยกินเหล้า เออ มี พูญิงยู ๒-๓ คน ขนาดพูญิงยังบ่ยกเลยนี่ แสดงวาเคยถองไปแล่ว เคย

สรุปแล้ว ศีล ๕ นี่ ใครไปละเมิดมัน ก็คือบาป มันก็คือผิดศีล มันก็คือไม่ดี แล้วแต่ละชีวิต ตั้งแต่เกิดมา บางคน ๒๐, ๓๐, ๔๐, ๕๐ บางคน ๖๐ แล้ว กว่า ๖๐ แล้ว แล้วคิดดูซิ แล้วลองผองดูซิ ผองบาปดูซิ ลองผองดูซิ ผองบาปจะได้เท่าไร แล้วมันจะไม่ตกนรกอย่างไรไหว นี่ฟังดูแล้ว อย่านึกว่าเป็นของเล่นนะ อาตมาพูดนี่ เรื่องจริงนะ กรรมเป็นของจริง ทำไปแล้ว แล้วได้ไปแล้ว เป็นไปแล้วนะ ถ้าไม่รู้สึกตัว ตั้งแต่วินาทีนี้ แล้วไม่พยายามจะหันกลับมาทำบุญ มาทำกุศล มาสร้างสิ่งที่ไม่บาป เริ่มตั้งแต่วันนี้ กลับไปแล้ว อย่าไปผิดศีล ๕ ระมัดระวัง อย่าฆ่าสัตว์ อย่าว่าแต่ฆ่าสัตว์เลย บาปน่ะ ฆ่าสัตว์นั่น มันบาปจริงๆ แล้ว ไม่ฆ่าสัตว์ กินเนื้อสัตว์นี่ก็บาป เอ้า ฟังไม่เชื่อ ก็เราไม่ได้ฆ่านี่ จะบาปได้อย่างไร เราไม่ฆ่า แล้วสัตว์นั้นตายเพราะเราหรือเปล่า เวลาคนไปบอกคนฆ่าคนนี่นะ คนสั่งไปฆ่า กับคนไปฆ่านี่ ใครติดคุกมากกว่ากัน คนสั่งกับคนไปฆ่านี่ ใครติดคุกมากกว่ากัน คนสั่ง ไม่ใช่คนฆ่านะ ติดคุกมากกว่า บาปมากกว่านี่ ตัวการ เอ้า ในตลาดนี้ ฆ่าหมูมาขาย ๕ ตัว คน ก็พวกเจ้านี่ละ เอาสตางค์ไปซื้อ เท่ากับ ไปสั่งเขาฆ่า ถ้าพวกเจ้านี่ ไม่เอาสตางค์ไปซื้อเลย เขาจะฆ่าหมู ๕ ตัวไหม ฆ่าไหม ฆ่ามา ขายไม่ได้ เขาก็หลุบ เท่านั้นแหละโวย ขายไม่ออก แต่พวกเราเอาเงินไปซื้อเขา เห็นไหมว่า มันมี อิทัปปัจจยตา มันมีเหตุปัจจัย เกี่ยวเนื่องกัน เพราะเราไปสั่งซื้อเขา ไม่ได้บอกว่า ข่ามาให่ข่อยแนเด๊อ ไม่ได้ไปบอก เขาหรอก แต่เอาเงินไปให้เขา เอาเนื่อมาแน นั่น ก็เจ้านั่นแหละ เพราะฉะนั้น จะบอกว่า เอ๊ย เอ็งฆ่า เอ็งบาปไปสิ ข้าไม่ได้ฆ่านี่ ข้ากิน เอาไม้หน้าสามตีหัวดีไหม หน็อย บาปไม่รับ แล้วกินนะ

พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้ ฆ่ามานี่ เขาเรียก อุทิสมังสะ คือสัตว์ที่จงใจ หรือ เจาะจงใจฆ่า หรือ มุ่งหมายฆ่า มุ่งหมายทำให้มันเสียชีวิต ผิดศีล เต็มองค์ประกอบศีล ๕ ปาณาติบาต ผิดศีล ๕

๑.มันมีชีวิต ๒.รู้อยู่ว่ามันมีชีวิต ๓.คิดจะฆ่า ๔.พยายามฆ่า ๕.ฆ่ามันจนตาย

จ้อย ครบองค์ประกอบ ๕ ข้อเลย บาป ปาณาติบาต เพราะฉะนั้น สัตว์ใดที่ตายโดยเจตนา ตายโดย มุ่งหมาย ทำปาณาติบาต ครบองค์ ๕ สัตว์ตัวไหน มันก็คนที่จะฆ่า มันก็รู้นี่ ปลา ปู หมู หมา อะไร ที่จะมา หมานี่ฆ่าที่สกลนคร เพราะฉะนั้น สัตว์ที่ถูกฆ่าโดยคนเจตนาจงใจ เรียกว่า อุทิศ ส่วนสัตว์ที่ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า จะกินก็กินได้ มันไม่บาป คือ ปวัตตมังสะ คือ ๑. เนื้อสัตว์ที่ตายเอง ไม่มีใครฆ่า ไม่มีใครฆ่า มันตายเอง ก็ไม่มีใครบาป ไปเอามากินเถอะ จะกินก็กินได้ ท่านไม่ว่า แล้วจะกินไหมเล่า เนื้อตายเองน่ะ ก็นึกว่ามันเป็นโรคนั่น โรคนี่ กลัวใช่ไหม ใครมันจะไปกล้ากิน เนื้อมันตายเอง ก็ไม่กินอีกแหละ แต่พระพุทธเจ้าท่านให้กิน แต่ก่อนกินได้ แต่ก่อนไม่ค่อยมีเชื้อโรค สมัยนี้มันไม่ไหว เชื้อโรคมันเยอะ ๑. สัตว์ตายเอง เนื้อสัตว์ตายเอง ๒. เนื้อเดนสัตว์กิน เดนมันได๋ ก็จะไปยาดมันได๋ ไปยาดมันนี่ จะหาว่าอาตมายุเด๊อ เดนสัตว์กิน คือ สัตว์มันไปฆ่าเอง เราไปห้ามสัตว์ ไม่ได้หรอก สัตว์มันกิน ไปห้ามเสือว่า เอ็งอย่าไปกินสัตว์นะ เอ็งอย่าไปฆ่าสัตว์มากินนะ เอ็งต้องไป กินพืช มันจะไปได้หรือ มันเป็นธรรมชาติของมัน เดนสัตว์กิน หมาไน หมาน้อยอะไรก็แล้วแต่ มันไปฆ่าสัตว์มา แล้วเราก็ เออ ซากมันเหลือ เราไปเก็บมากิน อย่าไปแย่งมัน ให้มันทิ้งเสียก่อน เรียกว่า เดนสัตว์กิน ไม่บาป ถือว่ามันไม่บาป หรือไม่บาป มันเรื่องของสัตว์ มันสุดวิสัย จะไปห้ามมันได้อย่างไร มันเรื่องของสัตว์ แต่มันไม่ได้เป็นคนก็แล้วกัน ไม่ได้มีคนไปเจตนาฆ่ามัน เหมือนกับอุทิสมังสะ

อุทิสมังสะนี่ มีคนไปเจตนา เป็นคนมุ่งหมายฆ่ามันจนตาย เพราะฉะนั้น มันไม่พ้นบาป บาปอยู่กับคน ด้วยกันหมด เราก็บาป เขาก็บาป แล้วยิ่งสมัยนี้ ถ้าบริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือ ๑.รู้ว่าสัตว์นี้ฆ่ามา ๑.เห็น บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ คือ ๑.เห็นว่าสัตว์นี้เขาฆ่ามาจริงๆ นี่ โอ๊ย นี่ เห็นว่าฆ่าอยู่ ๒.ได้ข่าว ไม่เห็น กับตาหรอก ได้ข่าวว่า สัตว์นี้เขาฆ่ามานะ นี่ ได้ข่าวว่า เขาฆ่ามานะ นี่ ไม่เห็นหรอก แต่ว่าได้ข่าวมาว่า เขาฆ่ามา ก็กินไม่ได้ ๓.เอ๊ เขาฆ่ามาหรือเปล่า หรือ สัตว์บังสุกุล หรือ สัตว์ ปวัตตมังสะ ไม่รู้แฮะ สงสัย แค่สงสัย ยังไม่ให้กินเลย พระพุทธเจ้า นี่คือ บริสุทธิ์โดยส่วน ๓ ถ้า ๑. ไม่เห็นเขาฆ่า ๒. ไม่ได้ข่าว ๓. ไม่ได้สงสัยของนี้เป็นปวัตตมังสะ เป็นสัตว์บังสุกุล เนื้อสัตว์บังสุกุล เนื้อสัตว์เขาทิ้งแล้ว เนื้อสัตว์เดน มันสัตว์กินแล้ว เนื้อสัตว์ สัตว์มันตายเอง เป็นปวัตตมังสะ หรือ เป็นสัตว์ บังสุกุล เนื้อสัตว์บังสุกุล เออ กินไปเถอะ ได้ ถือว่าไม่บาป

แต่ถ้าคนมาหัดปฏิบัติแล้วไม่กินหรอก เนื้อมันคาว ไม่ต้องกินเนื้อสัตว์นั่นแหละดี ดีกว่า มันคาว แต่ไปติดมัน แซบ แต่คนที่หัด ฝึกหัด ฝึกหัดทางธรรมนะ ไม่ติดรส ติดรูป ติดกลิ่น ติดเสียง ติดสัมผัส ไม่ติดกาม มันก็ไม่ติด มันก็ไม่กินแล้ว เด็กพวกเรานี่ไม่กินเนื้อสัตว์มา ไปถามสิ เด็กบางคน ไม่กิน เนื้อสัตว์นี่ ไม่กินมาตั้งแต่เมื่อไร ไปถาม มีบางคนเขาไปถามเด็กพวกเรา เด็กบางคนเขาก็ตอบ ไม่กินมา ตั้งแต่ในท้อง เพราะพ่อแม่เขาไม่กิน เขาก็ไม่ได้กิน ตั้งแต่ในท้อง ไม่กินมาตั้งแต่ในท้อง ...

อาตมาอยากจะย้ำนะ ย้ำให้รู้ว่า คนเรานี่ เกิดมา กี่ชาติๆๆๆ นี่ มีกรรมเป็นทรัพย์ เพราะฉะนั้น ทรัพย์ดี ก็ช่วยให้เราดี เป็นสุข อุดมสมบูรณ์ เนื้อหนังมังสาดี สุขภาพดี ร่างกายดี ปัญญาดี อะไรก็ดีๆ ไปทั้งหมดแหละ ถ้าเผื่อว่า เรามีกรรมเป็นกุศล มันก็พาให้เราดีไปหลายๆ อย่าง กรรมกุศล ก็จะพา ให้เราดี ในส่วนที่ควรจะดีทั้งนั้น เช่น อาตมานี่ สร้างบุญมานาน เกิดมาชาตินี้ก็เลยจน งงหรือ จนนี่แหละดี คนรวยนี่มีดีอะไร ยิ่งรวยมากๆ แล้ว โอ้โห ต้องมี body guard คุ้มกัน ประเดี๋ยวก็ถูก คนร้าย จับไปเรียกค่าไถ่ ลำบากลำบนจะตาย เดี๋ยวคนนั้นมาขอ คนนี้ก็มา แหม อยากได้นั่น อยากได้นี่ ถ้าคนจนๆ แล้วมันไม่มาหรอก มันไม่มีใครจะมาขอ ขอได้อย่างไร เงินไม่มี สบาย นี่เป็นเรื่องลึก เรื่องมาจนนี่ อาตมาสอนให้คนมาจน เพราะฉะนั้น คนไม่ค่อยอยากจะมา คืออยากจะไปรวย ไปรวยให้มันทุกข์ทำไม แต่จนเป็นสุขนี่วิเศษ รวยแล้วสุขไม่เป็นนี่ สุขไม่ได้นี่ โอ๊ย ซวยตาย ไปรวย ไปทำไม รวยแล้วก็ สุข ทุกข์ สุข ทุกข์ ทุกข์ๆ ร้อนๆ แล้วมันจะทุกข์จริงๆ เพราะว่ารวยนี่ มันจะหวงแหน มันจะกลัวจะหมด กลัวจะพร่อง จะต้องวุ่นวาย กับคนจะมารบกวน คนจะมาขอ คนจะมาแย่ง มาชิง มีเงินกองโตๆ ก็แหม เก็บก็ยาก ลำบาก ถ้ามีเงิน ๑๐ บาท ๒๐ บาทก็เก็บง่ายหรอก มีเงินสัก ๑๐ ล้านนี่สิ เก็บง่ายไหม โอ๊ย เก็บลำบาก ไม่รู้จะไปหมกไว้ตรงไหน จะไปไว้ตรงไหน ก็กลัวคนเขารู้ กลัวคนเขาเห็น กลัวคนเอาไป ไม่ต้องกลัวใครหรอก กลัวลูกมันมาเอา อย่าว่าแต่คนนอกเลย แม้แต่ลูก มันก็ยัง กลัวมันมาเอา ๑๐ ล้านเอาไว้นี่ เดี๋ยวเถอะ ลูกมันรู้ด้วย มันจะเอาไป ไว้ใจไม่ได้ เดี๋ยวนี้ เดี๋ยวมันเอาไปกินขนม มันเอาไปทำอะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะ มันเยอะแยะไปหมดเลย ใช่ไหม

คนที่มารวยนี่ ไม่ใช่เรื่องดี แต่คนที่มาจนอย่างมีปัญญา หมู่บ้านของเรานี่ ทุกคนละ อยู่ในหมู่บ้าน พวกเรานี่ จน รวยก็ต้องพยายามมาจนให้ได้ จน จน จนลง จนกระทั่งจนเสมอกัน ถ้ารวยนี่ ไม่เสมอกันหรอก เพราะมันแย่งกันรวย ไม่เสมอกัน ต่างคนต่างจะรวยขึ้นไปเรื่อยๆ คนนี้รวยไม่พอ คนนั้นก็รวยไม่พอ จะรวยกันใหญ่เลย ไม่มีจบ ปากกรวย ไม่มีจบ ไปเรื่อยๆ รวยมันไม่มีจบ แค่จนนี่ สูญ จบ แอ๊ดแล็ด จบหมดเนื้อหมดตัวแล้ว สูญแล้วนี่ เท่ากันหมด นี่จน นั่งอยู่นี่ ไม่มีเงินสักบาท นั่งกันอยู่นี่ อย่าว่าแต่สมณะ อย่าว่าแต่สิกขมาตุเลย แม้แต่ฆราวาสเราก็ มากมายอยู่ ในหมู่บ้านเรานี่ จน ไม่มีเงินส่วนตัวเลยสักบาท แล้วก็ยิ้มแย้ม สบาย เป็นสุข ไม่ต้องห่วงเลยเรื่องเงิน เรื่องทอง ทำมาหากิน ไม่ต้องวุ่นวาย เรื่องเงิน เรื่องทอง ทำสร้างสรรไป ผลิตไป ไม่ต้องคิดเลยว่า นี่ ผลิตออกมาแล้ว จะเอาไปขายที่ไหน ขายแล้วจะได้กำไรไหม ถ้าเผื่อว่าได้กำไรมาแล้ว ได้เงินมาแล้ว จะเอาไปเก็บไว้ที่ไหน จะเอาไปไว้ที่ไหนดี จะเอาไปซื้อหุ้น จะเอาไปซื้ออะไร มันถึงจะออกดอก ออกนั่น ออกนี่ดี ระวังเถอะ ออกดอกแล้ว เดี๋ยวตาย เคยเห็นคนออกดอกไหม ตายมาเยอะแล้ว คนออกดอก

เพราะฉะนั้น พวกเรา มาเรียนรู้ธรรมะนี่ จะรู้อะไรลึกซึ้งขึ้นไปเยอะ พระพุทธเจ้าท่านจนหรือรวย พระพุทธเจ้านะ ไม่ใช่ เจ้าชายสิทธัตถะนะ ตอบให้ถูกนะ จนหรือรวย พระพุทธเจ้า ก่อน พอเกิดมา ปั๊บนี่ รวยหรือจน [รวย] เสร็จแล้ว ท่านมารวยหรือมาจน [มาจน] พระพุทธเจ้า โง่หรือฉลาดนี่ ฉลาดนะ เป็นหยัง บ่เอาอย่าง ไปเอายางแต่คนโง คนสิไปรวยนี่ มันโงตั๊ว พูดแล้วก็ฟังเฉย อาจจะไม่สะดุ้ง สะเทือน อาจจะไม่ประทับใจ แต่คนฟัง ถ้ามีปัญญาดี ฟังดีๆ นะ จะประทับใจว่า โอ๊ เราคิดผิด หรือคิดถูก พระพุทธเจ้าท่านพาคนมารวย หรือพาคนมาจน

เดี๋ยวนี้มาสอนผิด สอนว่า พระพุทธเจ้านี่ พามารวย มีหัวใจเศรษฐี มีอะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา สอนผิดมาหมดเลย คนมันถึงได้ยุ่งยาก ลำบาก มันถึงตีกัน ฆ่ากัน แกงกัน คนเราต่างคนต่างจะรวยนี่ มันก็แย่งกัน พวกทุนนิยมนี่ แย่งกัน พวกเรานี่ อาตมาตั้งชื่อพวกเรา เป็นพวก บุญนิยม ไม่แย่ง มีแต่เสียสละ เพราะฉะนั้น พวกเสียสละก็จะไม่แย่งกัน อยู่ด้วยกัน พวกเสียสละนี่ ให้, พวกทุนนิยมนี่ เอา, เพราะฉะนั้น พวกบุญนิยมนี่ ให้ พวกทุนนิยม เอา แล้วบุญนิยม กับ ทุนนิยม อยู่ด้วยกันได้ไหม ได้ เพราะคนหนึ่งให้ คนหนึ่งเอา ก็อยู่ด้วยกันสบาย พวกเราจึงอยู่ กับพวกทุนนิยม สบาย เขาเอา เราให้ พวกทุนนิยม อยู่ด้วยกัน มันแย่งกัน กูก็จะเอา มึงก็จะเอา เห็นไหม นี่ ฆ่ากันทุกวันเลย แย่งกันไม่มีจบ ไม่มีสิ้น ขาดนิดขาดหน่อย ก็ไม่ได้ ฆ่าแกงกันทุกวัน เพราะฉะนั้น อยู่อย่างนั้นน่ะ มันเป็นอยู่อย่างผิดวิธี เป็นวิธีที่ผิด ของมนุษย์

ใครมีปัญญา สุสสูสัง ลภเต ปัญญัง ฟังดีๆ แล้วได้ปัญญาดีๆ ฟังดีๆ นะ ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ ถ้าเผื่อยังสงสัยว่า แล้วจน มันจะอยู่อย่างไร ไปดู ไปนอนที่ ราชธานีอโศกบ้างก็ได้ ไปนอนดูซิ นี่พวกนี้ มันมาจนแล้ว มันอยู่อย่างไร มันจนแล้ว มันจะตายหรือไม่ตาย ไปดูบ้าง มันจนแล้ว มันอยู่อย่างไร มันกินอย่างไร นอนอย่างไร แล้วมันใช้อย่างไร มันมีมาใช้อย่างไร พวกเรามีระบบวิธีการดำเนินชีวิต แบบบุญนิยม เป็นระบบใหม่ ระบบใหม่ของโลกเลยนะ โลกยังไม่มีหรอก ระบบนี้ แต่ระบบนี้ อาตมา ทำขึ้นมา เพื่อเสนอต่อโลก ต่อไปสหประชาชาติ จะต้องมาศึกษาอันนี้ นี่ อาตมาพูดใหญ่นะ แล้วยืนยัน ด้วยว่า ไม่ได้พูดเล่น พูดจริง เพราะระบบนี้ เป็นระบบที่แปลกประหลาด เรียกว่า นวัตกรรม เป็น นวัตกรรมของโลก เป็นสิ่งใหม่ เป็นคนมายินดีจน ยินดี ไม่แย่ง ไม่ชิง สร้างสรรแล้วก็เสียสละ รู้จักพอ มีอัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะพวกนี้ พระพุทธเจ้าสอนไว้ อัปปิจฉะ คืออะไร คือ กล้าจน มักน้อย ทำเยอะๆ เอาไว้น้อยๆ หรือไม่เอาเลย ให้มันอยู่ได้ มีสันโดษ พอ ไม่มีเลยก็พอ โอ๊ ไม่มีเงิน สักบาทเลย ก็พอ แล้วก็อยู่อย่าง เป็นสุขด้วย ประหลาดไหม คนแบบนี้ ประหลาดไหม มีของจริงนะ

อาตมาพูดนี่ ไม่ใช่ว่า พูดเล่นๆ พูดเล่นลิ้น ไม่ใช่นะ ของจริงนะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ หรือว่ามี สุภระ สุโปสะ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ

สัลเลขะ ธูตะ ปาสาทิกะ อปจยะ วิริยารัมภะ พวกนี้ คำสอนพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ เป็นคนเลี้ยงง่าย กินง่าย อยู่ง่าย ไม่ใช่ โอ้โห เป็นมนุษย์จานบิน กินไม่ถูกปาก ขว้างจาน เมียทำกับข้าวมา ผัวกิน เอ๊ย มึงเฮ็ดมาให่ไผกิน ไม่ถูกปาก เขวี้ยงจานเลย นี่พวกมนุษย์จานบิน ไม่ใช่นะ กินง่าย กินอย่างนี้อร่อย ไม่อร่อย ก็หัดฝึกเข้าไป อย่าไปติดมันนาน ก็ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั่นน่ะ หัด จนกินรู้จักธาตุ เออกินเอาธาตุ กินข้าวเปล่าก็ได้ กินข้าวสุก ขนมสดก็ได้ กินข้าว กับผัก กับพืช ผักต้ม ผักผัดอะไรมา ง่ายๆ กินง่าย อยู่ง่าย ไปง่าย มาง่าย นอนง่าย เป็นคนง่ายๆ เป็นคนไม่ติดยึด ไม่วุ่น ไม่เรื่องมาก กินก็ยาก นอนก็ยาก ไปก็ยาก มาก็ยาก ตายซ่ำซะ ยากหลาย เฮ้อ สอนยาก

ข้อที่ ๒ สุโปสะ ไม่สอนยาก บำรุงยาก ทำให้เจริญยาก โง่เง่า ดื้อดึง แต่เป็นคนพูดง่าย ว่านอนสอนง่าย สอนง่าย กินง่าย อยู่ง่ายนี่ สุภร สุโปสะนี่ สอนง่าย บำรุงง่าย ให้พัฒนา ให้เจริญง่าย อย่างนี้เป็นต้น เป็นคนสอนง่าย เชื่อฟัง เข้าใจ ตั้งใจศึกษา พัฒนาตนเอง อัปปิจฉะ มักน้อย หรือกล้าจน สันตุฏฐิ ใจพอ สันโดษ อย่าไปแปลว่า พึงพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ ไปถามคุณทักษิณซิว่า พึงพอใจในสิ่งที่มีไหม มีอยู่เท่านั้นๆ น่ะ มีแค่หลายหมื่นล้านเท่านั้น พอไหม พอใจไหม มันก็พอใจสิสิ่งที่ตนมี แล้วยิ่งมีรวยๆ มันก็พอใจสิ มันไม่ใช่อย่างนั้น มันก็ไม่มีการสละออก มันใจพอ หมายความว่า รู้จักพอ รู้จักน้อยๆ ลง แล้วก็พอ ใจพอ ฝึก มันเกี่ยวกัน อัปปิจฉะ กับ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ นี่มันเกี่ยวกัน หัดน้อยลง แล้วก็จิตสงบ ไม่ต้องไปดิ้นรน เดือดร้อน สร้างสรร เสียสละ แล้วก็ทำตนให้อยู่รอด โดยน้อยๆ อยู่ได้โดยน้อย แต่ไม่ทรมานตนนะ ไม่ให้ตนเองลำบากลำบน อะไรเกินการไม่ทรมานตน เป็นวิธีฝึกหัด ที่ยากอยู่ เหมือนกัน แต่ของดี

นอกจากนั้น ก็มีการขัดเกลากิเลส สัลเลขะ มีศีลเคร่ง เช่นมีศีล ๘ ศีล ๑๐ ฆราวาสของเรา อยู่บ้านราชฯ นี่ ศีล ๑๐ หลายคน ไม่ใช้เงินใช้ทอง ไม่มีเงินไม่มีทอง พระหลายๆ วัด ยังสู้ไม่ได้ เป็นพระนะ ยังสู้ไม่ได้ ฆราวาสเรานี่ ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่เก็บเงินเก็บทอง ไม่สะสมเงินทอง เป็นของตัว ของตนแล้ว มีแต่ ทำได้มาเข้ากองกลาง กินใช้ร่วมกัน เป็นสาธารณโภคี เรียกว่า สาธารณโภคี คือ กินร่วมกัน ใช้ร่วมกัน ปาสาทิกะ มีอาการที่น่าเลื่อมใส มีกายกรรมก็น่าเลื่อมใส มีวจีกรรมก็น่าเลื่อมใส มีมโนกรรมก็น่าเลื่อมใส เป็นคนที่มีอาการ กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม สุจริตดี น่าเลื่อมใส มีอปจยะ ไม่สะสม ไม่สะสมกองกิเลส ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร วัตถุเงินทองอะไร เป็น อนาคาริกบุคคล เป็นคน ไม่ต้องยึดบ้านของเรา เรือนของเรา ทรัพย์ของเรา เงินของเรา ทองของเรา ไม่มีบ้านช่องเรือนชาน เป็นผู้ที่โภคักขันธาปหายะ เป็นคนไม่ต้องมีแล้ว พวกข้าวของเงินทอง โภคทรัพย์ ไม่ต้องไปยึดถือ โภคทรัพย์เป็นของตน เป็นอนาคาริกชน เป็นผู้ไม่ต้องมี บ้านช่องเรือนชาน ทรัพย์ศฤงคาร เป็นของตัว ของตน แต่มีบ้านอยู่ร่วมกัน อาศัยกันได้ ไปนอนบ้านนั้นได้ นอนบ้านนี้ได้ นอนส่วนกลาง บ้านส่วนกลาง ก็ได้ นอนศาลาส่วนใหญ่ก็ได้ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ไม่ต้องมีบ้าน ของตัวเอง ก็อยู่ได้ ทำงานอยู่ในหมู่ ในฝูงนี่แหละ ไม่มีของตัวเอง มีกิน มีใช้ มีอยู่ อะไรต่ออะไร แม้ป่วยเจ็บ ก็มีเงินมีทอง ของส่วนกลาง ช่วยรักษาดูแล สังคมแบบนี้ เป็นสังคมนวัตกรรม เป็นสังคมใหม่ ที่อาตมากำลังทำอยู่ อย่างเป็นรูปธรรม เป็นรูปเป็นร่างแล้วตอนนี้ เป็นรูปเป็นร่าง ขึ้นมาพอสมควร ยังไม่ดีทีเดียว ยังไม่สวยงาม ยังไม่อุดมสมบูรณ์ ยังไม่เป็นรูป เป็นร่างอย่างหลาย ดีงาม หลายเปอร์เซ็นต์เลยนะ แต่มันก็ได้เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาแล้ว เพราะปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า ไม่ได้เพราะอะไรเลย ไม่ใช่ไปเรียน จบด็อกเตอร์มาจากนั่น แหมมีวิธีการ ไปเรียนเศรษฐศาสตร์มา จบบริหารศาสตร์มา จบอะไรศาสตร์ๆๆ หลายสาด หลายเสื่อมา ไม่ใช่ จากพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้เป็นหมู่บ้าน เป็นคน คน แบบนี้

มันน่าอัศจรรย์นะ มันน่าอัศจรรย์ คิดให้ดีๆ แล้ว งึดซะหัวแตกเลย งึดซะหัวแตกอีหลี ไปดูเถอะ ไปดูเถอะ ขอยืนยันเลย หมู่บ้านนี้ แล้วทุกวันนี้นี่ คนเหล่านี้นี่ ต่อไปนานๆๆ คนที่เป็นอย่างนี้แล้ว นานๆ มันจะกลายไหม ตรงนี้แหละ มันน่ากลัวตรงนี้แหละ นานๆ แล้วจะกลายไปเป็นคนเหมือนๆ กัน อย่างนี้แหละ เหมือนโลกๆ เขาไหม มีหลักประกัน พระพุทธเจ้าท่านมีหลักประกันอยู่ว่า ถ้าเผื่อว่า บรรลุเป็นอุภโตภาค บรรลุ ๒ ส่วน คือ จิตฆ่ากิเลสนั้น ตายจริง ๒. มีปัญญาเห็นเลยว่า ถ้ากิเลสมันตาย พฤติกรรมอย่างนี้ เช่น เราไม่ต้องไปกินเหล้า กินยาแล้ว กิเลสเราตายแล้ว เราทำได้แล้ว จิตไม่ต้อง ไปฝืนแล้ว สบาย จิตมันเป็นเจโตวิมุตติแล้ว สบายๆ แล้ว แล้วยังจะมีปัญญาอีก เห็นว่า ก็ไม่กินเหล้านี่ มันของดี มันดีจริงๆ มีปัญญาจริงๆ ฉลาด เข้าใจแล้วว่ามันดีจริงๆ คนนั้น อุภโตภาค วิมุตติอย่างนี้ ไม่กลับไปทำชั่วอีกหรอก คนที่ยังทำชั่วอยู่มากๆ ทุกวันนี้ ก็เพราะ

๑.กิเลสมันยังมี กิเลสมันยังไม่หมดไปจากจิต กิเลสมันก็บังคับให้ตัวเองทำอยู่นั่นแหละ แม้จะรู้แล้ว ว่าไม่ดี คนไปกินยาบ้านี่ ทุกคนเลย มันรู้ไหมว่า ไปกินยาบ้านี่ไม่ดี รู้ไหม รู้ทุกคน ทั้งเด็ก ทั้งผู้ใหญ่ รู้ทุกคนแหละ แต่กิเลส กิเลสนี่มันบวก ทั้งโง่ด้วยนะ โง่นี่ก็กิเลสนะ กิเลสก็คืออำนาจอย่างหนึ่ง ที่มันติด มันยึด มันอยากเสพ มันอยากลอง มันติดแล้ว มันก็เลยอร่อยไปเลย เป็นความสุขไปเลย อะไรอย่างนี้ นั่นละ มันเป็นกิเลสแท้

๒. ไม่เชื่อปัญญาพระพุทธเจ้าจริง พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้แล้วว่า อย่างนี้แล้วมันของจริงนะนี่ ใครฉลาดๆ จริง อย่างพระพุทธเจ้าฉลาด ว่า อย่างนี้ไม่ดี อย่าไปมีอีกเลย อย่าไปเป็นอีกเลย ปัญญา มันไม่ขึ้นถึงขั้น ปัญญาไม่ถึงขั้น ญาณ ไม่ถึงขั้นภาวนามยปัญญา ไม่ถึงขั้น ที่มันมีญาณทัสสนะ เป็น ญาณวิเศษ หรือว่า ญาณทัสสนะ เป็นญาณที่รู้รอบ ชัดเจนหมด ทุกอย่างเลย จนกระทั่งว่า มันบรรลุ มีความสว่าง แจ้ง เป็นสัจฉิกตะ หรือเป็นสัจจะ ปฏิเวธะ อะไรพวกนี้ ภาษาบาลีก็มีไว้ เป็นการ แทงทะลุรอบ ด้วยความจริง สัจจะ ปฏิเวธะ หรือเป็นสัจฉิกตะ เป็นการสว่างแจ้งแล้วจริงๆ สัจฉิกตะนี่ เขา โอ้โห เป็นความรู้ ความสว่างที่มันชัดเจนจริงๆ เลย มันไม่กลับไปทำอีก เห็นทุกข์ เห็นสิ่งที่ไม่เป็นไป เพื่อประโยชน์ มันเป็นภัย เป็นโทษ เหน็ดเหนื่อย เปล่าดาย อะไรหลายอย่าง เพราะฉะนั้น เมื่อปัญญา ขึ้นถึงที่แล้ว แล้วจิตเราก็ไม่ฝืนด้วย จิตเรามันไม่มืดแล้ว มันไม่มีกิเลสมาบังคับแล้ว มันก็เลย ไม่กลับ ไปเวียนกลับอีก นี่เป็นหลักประกันแท้ พระพุทธเจ้าท่านขอยืนยัน ถ้าผู้ใดบรรลุธรรม สมบูรณ์ด้วย อุภโตภาควิมุตติ อย่างนี้แล้ว ไม่มีเวียนกลับ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง พระพุทธเจ้ายืนยันเป็นภาษาบาลี นิจจัง คือ เที่ยง ไม่เปลี่ยนแปลง เที่ยงแท้ นิจจัง ธุวัง ยั่งยืน มั่นคง สัสสตัง ก็มั่นคง ยั่งยืน ถาวร อวิปริณามธัมมัง ไม่แปรเป็นอื่น อยู่อย่างนี้ ไม่แปรเป็นอื่นแล้ว เป็นอย่างนี้ ไม่แปรเป็นอื่น อสังหิรัง ไม่มีอะไรมาบังคับหักล้างได้ อสังกุปปัง ตายไม่ฟื้น ไม่กลับกำเริบ ตายแล้วตายเลย อสังกุปปัง

พระพุทธเจ้า ท่านยืนยันว่า ผู้ใดบรรลุอย่างนี้จริงแล้ว ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ไม่มีการกลับไปอีกใหม่ นี่คือ หลักประกัน ท้าทายให้พิสูจน์ เอหิปัสสิโก เชื้อเชิญให้มาดูได้ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ท้าทาย ให้พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น ถ้าสงสัย ยังข้องใจอยู่ว่า เอ๊ แล้วหมู่บ้านนี้ คนพวกนี้ มันไม่กินเนื้อสัตว์นี่ มันจะกลับไปกินอีกไหม มันไม่ใช้เงินไม่ใช้ทอง แล้วต่อไป มันจะไปใช้เงินใช้ทองอีกไหม มันไม่ไป แย่งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขเขาอีก แล้วมันจะไปแย่งอีกไหม ไปพิสูจน์กันดู ถ้าเข้าถึงความจริง ถ้าเข้าถึงธรรม บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าอย่างที่กล่าวแล้วนี้ ขอรับรองว่า ไม่มีเวียนกลับ เพราะฉะนั้น พวกเราสอดส่องกันดูหน่อย ใครอยากดู ไปตรวจ ช่วยตรวจสอบหมู่บ้านชาวอโศก พูดแล้วเหมือน ไปท้าทาย ขออภัย ไม่ได้ท้าทายหรอก เชิญชวน เชิญชวนช่วยไปตรวจสอบให้ด้วย พวกเรา อยากจะเป็น อย่างนี้ ยั่งยืน เพราะเราถือว่า อย่างนี้ ดี มาจนนี่แหละ ดี ไม่กินเนื้อสัตว์ ไม่มีอบายมุข ไม่ต้องร่ำ ต้องรวย แล้วก็ กินกัน แบ่งกัน ใช้กัน ขยันหมั่นเพียร สร้างสรร สร้างได้มากๆ ก็เอามาเผื่อแผ่ เกื้อกูลกัน แจกจ่าย เจือจานกัน

โอ๊ เป็นตาออนซอนอีหลีเลยนี่ ไผบ่ออนซอนแนนี่ ไผบ่ออนซอน ยกมือเบิง บ่กล้า ก็เรื่องมันดีใช่ไหม เรื่องมันดี มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม ออนซอนนี่ มันเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมเหลือเกินนะ เอ้า ทำไมนี่ ไม่รู้จักหรือ ออนซอน หือ ไม่ใช่เด็กอีสานหรือ หือ เชียงใหม่หรือ อ๋อ เชียงใหม่หรือ ออนซอนนี่ ภาษาอีสาน ชื่นชม มันน่าชื่นชม น่ายินดีนี่ โอ๋ น่าปลาบปลื้มยินดีเลย น่า โอ๋ น่าชื่นชมมาก ออนซอน คนแบบนี้ มันน่าชื่นชม หมู่ กลุ่มมนุษยชาติอย่างนี้ มันน่าชื่นชม ระบบการดำเนินชีวิตอย่างนี้ น่าชื่นชม

ทุกวันนี้นี่ มันเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว น่าจะบูรณาการให้เจริญต่อ หรือควรจะปราบให้เรียบ ว่าอย่างไร ควรจะปราบ ให้เรียบ หรือควรจะบูรณาการให้เจริญต่อไป มาช่วยกันนะ ที่พูดนี้ หมายความว่า หาพวกนะนี่ หาพวกนะ ถ้าของดี มันก็ควรช่วยกัน ใช่ไหม ช่วยกันพัฒนา ช่วยกัน develope integrate ช่วยกัน พัฒนาการขึ้นมา บูรณาการขึ้นมา ให้มันเจริญงอกงาม ใช่ไหม มันของดี เราไม่ควรจะต้อง มาทำให้เสื่อม ใช่ไหม ควรจะต้องช่วยกัน อย่างน้อย ไปช่วยดูแล ไปช่วยดูหน่อย อันไหนที่ควรติ ติเลยนะ พวกเรานี่ ไม่กลัวความติ การตินี่ เป็นความเจริญ ถ้าไม่ติกันเลยนี่ นั่นละ ซวยลงๆ หรือ ซวยขึ้นๆ ซวยขึ้นสิ ถ้าไม่ตินี่ จะเสื่อม แล้วก็จะซวยขึ้นไปเรื่อยๆ เลย แต่ถ้าติกันนี่ แต่ระวังนะ ตินี่ ติไม่ดี ปากแตกนะ เอ้า จริง ไปติเขา ติไม่เป็นท่า ติไม่ดี ติไม่มีศิลปะ ติไม่ดูจังหวะ คนกำลังหมึนๆ กำลังโมโห ไปติเข้า ระวังเถอะ เดี๋ยวถูก ลูกศอก ลูกเข่า ลูกดีด อะไรก็แล้วแต่ เจ็บตัวนะ ระวัง ไปติเขา แต่ตินี่ดี

พระพุทธเจ้าท่านสอนเรื่องตินี่ เป็นเรื่องยาก แต่ตินี่ เป็นสิ่งที่เจริญ พาให้เจริญ พาให้พัฒนา ในสังคหวัตถุ ๔ ท่านให้ติน่ะ ๑.ทาน ๒. เปยยวัชชะ เปยยวัชชะ นี่ เดี๋ยวจะแปลให้ฟัง ๓.อัตถจริยา ๔.สมานัตตตา สังคหวัตถุ ๔ นี่ หมายความว่า เป็นสิ่งที่เกื้อกูลกัน เป็นสิ่งที่อยู่กันอย่างเอื้อเฟื้อ เจือจาน เกื้อกูล อยู่กันอย่างสงเคราะห์ อยู่กันอย่างสบาย ต่างคนต่างช่วยเหลือกัน เรียกว่าสงเคราะห์ ต่างคน ต่างอยู่กันอย่างอบอุ่น ต่างคน ต่างคนละไม้ คนละมือ เพราะมีการเจือจาน แจกจ่าย ทาน มีการไม่หวง ไม่แหน มีการให้กัน เรียกว่ามีทาน ๒.เปยยวัชชะ เปยยวัชชะนี่ ท่านขยายความว่า คนเรานี่ ถ้าจะพูด ให้ดี ต้องพูด เปยยวัชชะ แล้วก็พูดให้คนอื่น แล้วก็พูดอย่างนี้แหละ เป็นการพูด แล้วเป็นที่รัก เรียกว่า ปิยวาจา ปิยวาจา แปลว่า คำพูดอันเป็นที่รัก คำพูดอันเป็นที่รัก คืออย่างไร คือ เปยยวัชชะ เปยยวัชชะ คืออย่างไร ติเขา วัชชะนี่ แปลว่า ตำหนิ ติเตียน เปยยะ แปลว่า ของควรดื่ม ติเขาให้เขาดื่มได้ ให้เขาเป็น ให้ติ การติอย่างไร ติแล้ว เป็นของควรดื่ม ไม่ใช่ติแล้ว เป็นของควรถีบ ติแล้วเขาถีบเอานี่ ไม่ใช่คำสอน ของพระพุทธเจ้า เห็นไหม ลึกซึ้งไหม ถ้าไปติแล้ว เขาเตะเอา ติแล้วเขาเตะนี่ มันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่เปยยวัชชะ ต้องตำหนิ ให้เขาดื่มคำตำหนิได้ ลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น คนใดที่สามารถใช้วาจาติ ตินี่มันก็คือ ใช้วาจาใช่ไหม คำพูด ไปติเขานี่ แล้วให้เขา ดื่มคำตำหนินั้นได้ นั่นแหละ คือ ปิยวาจา คือคำอันเป็นที่รัก ไปชมเขา แล้วเขา เป็นที่รัก ปัดโธ่! ใครมันก็ทำเป็น ไปชมเขา แล้วเขาก็ชอบใช่ไหม ไปชมเขา แล้วเขาก็ชอบนั่น มนุษย์ไหนมันก็ทำได้ มันจะไปยากอะไร มันไม่ต้องไปใช้ฝีมือ แต่ไปตำหนิเขา ให้เขาดื่มได้ นั่นแหละ ฝีมือ เรียกว่า ปิยวาจา เรียกว่า วาจาอันน่ารัก อันน่าทึ่ง อันน่านับถือ ไปชมเขานั่น เขารับได้ ไม่มีฝีมือเลย มันจะไปเข้าท่าอะไร ใช่ไหม นี่ ลึกซึ้ง คำสอน พระพุทธเจ้า ลึกซึ้งอย่างนี้

เพราะฉะนั้น ผู้ใด ไม่ทิ้งธรรมะ ศึกษาธรรมะ แล้วเอาธรรมะไปปฏิบัติให้แก่ตน แต่ละชาติๆ ก็ได้ประโยชน์ มีทรัพย์ เป็นกุศลแท้ไป ให้ตัวเอง บอกแล้วว่าคุณจะทำดี ก็เป็นทรัพย์ คุณจะทำชั่ว ก็เป็นทรัพย์ ทำในที่ลับ ไม่ต้องทำในที่แจ้ง ให้คนเห็นหรอก เป็นทรัพย์ของเราไหม เป็น แล้วไปหาซื้อเอา ตามร้านขายยา มีไหม ทรัพย์ดี เอ้า ไปซื้อเอาสิ ตามร้านขายยา ถ้าอย่างนั้น ไปซื้อตาม ไปโน่นเลย โลตัสมีไหม มีขายไหม ซื้อไม่ได้ กรรมซื้อไม่ได้ แบ่งกันก็ไม่ได้ อุตริ ทุกวันนี้นี่ มาแบ่งบุญไปให้คนตาย โน่น คนเป็นยังแบ่งให้ไม่ได้เลย แล้วดันจะไปให้คนตาย แล้วไม่รู้คนตาย ตายแล้วไปอยู่บ้านเลขที่เท่าไร อยู่นรก หรืออยู่สวรรค์ ยังไม่รู้เลย อยู่บ้านเลข ๔ ซอยนรกที่ ๕ ยังไม่รู้เลย มา เอ้า ทำบุญ หยาดน้ำ ส่งไปให้คนตาย ยถา วารี วหา คนที่อาสาจะส่งนี่ ยังไม่รู้ว่า คนตายไปอยู่บ้านเลขที่เท่าไร ตายแล้ว ไปอยู่นรก หรือสวรรค์ ยังไม่รู้เลย แล้วอาสาจะส่งไปให้ เก่งไหม บุรุษไปรษณีย์ ไม่รู้บ้านคนที่จะไปส่ง แล้วไปส่งได้ นี่คือ หลอกกันนั่นหนึ่ง หลอกกันส่ง คนส่งก็ไม่รู้ว่าไปส่ง แล้วส่งไปถึงไหน ตรงไหน ก็ไม่รู้ แล้วส่งไม่ได้ แบ่งไม่ได้ บาป บุญ แบ่งไม่ได้ จะแบ่งไปให้คนตาย นี่คือ หลอกชัดๆ อยู่แล้ว คนเป็นๆ นี่ ยังส่งกันให้ไม่ได้เลย แบ่งกันไม่ได้เลยนี่

อาตมามีบุญไหม จะมีบ้างละเนาะ ไม่มาก ก็น้อยละนะ มีบุญ ยังไม่ตายจากพวกโยมเลยนี่ เอ้า แบ่งเอา ไปเลย อย่าเอาอีโต้มาถากนะ ถึงถากอย่างไร บุญอาตมาก็ไม่ออกไปหาคุณหรอก ยิ่งคุณจะได้ บาปน่ะสิ เอาอีโต้มาถาก อาตมาเอา แบ่งเอาไปเลย วิธีไหน เอาน้ำกรดมาใส่ หรือเอาสารเคมีมาแบ่ง จะแบ่งเอาอย่างไร บุญน่ะ กัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมมพันธุ กัมมปฏิสรโณ พระพุทธเจ้า สอนเราเรื่องกรรม กรรมของใครของมัน ใครทำแล้วเป็นของเรา ไม่หก ไม่ตก ไม่หล่น ทำแล้ว บอกว่า ทำไปนี่ ตีหัวเขาอย่างรุนแรง ราคามันประมาณ ๑๐๐% ตีอย่างเต็มที่เลย ๑๐๐% เออ เราไม่เอา ๑๐๐ เราเอา ๙๐ ทำบาปไปเต็ม ๑๐๐ แล้ว เราบอกไม่เอา เอา ๙๐ ได้ไหม มันแบ่งไม่ได้ มันไม่หก มันไม่ตก มันไม่หล่น มันไม่ละเหี่ย มันไม่ระเหย ไม่มี มันไม่ระเหิด ไม่มี ระเหยก็ไม่ระเหย ระเหิดก็ไม่ระเหิด เป็นของเรา เต็มๆ

ทรัพย์แท้ คือกรรม ชาติไหนๆ คุณเกิดมานี่ คุณจำไว้เถอะ ทุกวันนี้ คุณมีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม อยู่ตลอด เวลาเลย แล้วคุณทำบาปเป็นอย่างไร ยังไม่รู้ ทำบุญเป็นอย่างไร ยังไม่รู้ ก็ทำไปเรื่อย เอาเปรียบเขา บาปหรือบุญ ทุน ๑๐๐ เอาไปขาย ๑๑๐. ๑๐ บาทนี่ค่าอะไรทุนนั่นมันคิดหมดแล้วนะ ค่าโสหุ้ย เขาคิดหมดแล้วทุน ใช่ไหม ค่าเรี่ยว ค่าแรง ค่าโสหุ้ย ค่า ขาด หก ตก หล่น เรียกว่า error ยังคิดไว้อีก ๓%% บวกไว้ ทุน เพราะฉะนั้น ทุนอันนี้ ๑๐๐ เวลาไปขาย ต้องขายเกิน ๑๐๐ เอาเปรียบ เขามาทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ทุกคนที่ค้าที่ขาย อย่างระบบทุนนิยมนี่ บาปทุกคน ยิ่งไปเอาเปรียบเขามา มากเท่าไร ยิ่งบาปมากเท่านั้น เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ อาตมาเห็นแล้ว น่าสงสาร เพราะหาวิธี เอาเปรียบ เอารัดเขา ให้เขาโง่ ตัวเองฉลาดนี่ ใช้จิตวิทยา ใช้วิธีล่อ ดีไม่ดี ก็เอามากักไว้ให้มันมากๆ แล้วให้เขาอยากได้ ไปยั่วยุให้อยากได้ เราจะได้ขึ้นราคาของสูงอะไรอย่างนี้ หาวิธีสารพัด เสร็จแล้ว ได้เปรียบมา ก็คือได้บาปมา ได้เปรียบมา มากเท่าไร ก็บาปเท่านั้น นี่คนเราหาบาปให้ตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะไม่เข้าใจสัจธรรม ฟังให้ดีนะ พวกคุณทำอยู่ทุกคน อาตมาขอตราหน้า อย่ามาหาว่าไม่จริง ทุกคน เคยทำมา

อาตมาก็เคยทำมาก่อน แต่ก่อนนี้ อาตมาก็ไม่รู้สัจธรรมพวกนี้ เคยทำมาก่อนทั้งนั้น แล้วก็บาปมา ทั้งนั้นเลย เพราะฉะนั้น สังวรนะ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ได้ฟังธรรมะที่อาตมาบอกไปแล้วนี่ ไม่ใช่ พูดเล่นนะ ฟังธรรมะอาตมานี่ เป็นสัจธรรม เป็นเรื่องจริง คุณฟังให้ดี ถ้าคุณไม่ไปทำตาม ตั้งแต่วันนี้ ไม่ไปหัด ไปฝึก ขนาดฟังไปแล้วนี่ ยังฝึกไม่ง่าย ยาก แต่ต้องฝึก ต้องทำให้ได้ ไม่อย่างนั้นไม่มี ของจริง ก็คือ คุณทำ กรรมเป็นของ ของตัว กัมมัสสโกมหิ กัมมัสสกตา กรรมเป็นของ ของตน กัมมทายาโท เราต้องรับมรดก เป็นทายาท เป็นมรดกกรรม ของเราเอง ไม่ใช่ว่า ไม่เอา มรดกแบ่งให้คนนั้น แบ่งให้คนนี้ กรรมแบ่งมรดกไม่ได้ กรรมแบ่งให้ใครไม่ได้ แบ่งมรดกกรรม ให้ใครไม่ได้ กัมมทายาโท เราต้องเป็นทายาทของกรรม ของเราเอง แบ่งไม่ได้ แบ่งให้ลูกก็ไม่ได้ กรรม เอ๊ย! ลูก เอาไปแนเด๊อ พอไปเฮ็ดซัวมาร่อยนึง ลูกเอาไปห่าซิบ ไม่ได้ กรรมแบ่งไม่ได้ ฟังให้ดีนะ ถ้าแบ่งกรรมได้ ใครก็แบ่ง กรรมบาปทิ้งหมด เอาไว้ทำไม นี่แบ่งลงใต้ถุนนี่ ไม่มีใครเอา กองไว้นี่ ไม่เอาแล้วบาป แบ่งออกหมด จากตัวใช่ไหม ถ้ามันแบ่งได้ กรรมบาป กรรมบุญ แบ่งได้ มันก็แบ่งบาป ออกหมด เรื่องอะไรเอาไว้ ใช่ไหม มันไม่ได้ เรื่องนี้ เป็นสัจธรรม เป็นของพระพุทธเจ้า ศาสนาอื่น ไม่ได้สอนอย่างพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้านี่สอน ท่านละเอียดหมด เพราะฉะนั้น เมื่อรู้จัก สัจธรรมแล้ว อย่าช้า อย่าช้า อาตมาเอง อาตมายังนึกเสียดายว่า โอ๊ อาตมา กว่าจะออกมาบวช ตั้งอายุ ๓๕, ๓๖ ค่อยออกมาบวช ไปเอาเปรียบ เอารัดเขา ไปสำมะเลเทเมาอยู่บ้างพอสมควร ขนาดอาตมา มีบุญบ้างแล้ว มันยังถูกหลอกเลย โลกมันหลอกเราไป เอาอาตมาไปเล่นการพนัน ไปหัดกินเหล้า กินไม่เป็นก็ไปหัด หัดดูดยา ดูดไม่เป็น ก็ไปหัด หัดแทงบิลเลียด แทงไม่เป็นก็ไปหัด ถูกเขาต้อนเสียไม่มี เราก็ยังว่า เอ๊ ทำไมเราไม่เก่งนะ แต่ก่อนนี้นึก โอ้โห! ทำไมเรา มันก็มีมือเหมือนกัน หัวสมองเหมือนกัน ทำไมเรามันแทงไม่เก่งเท่าเขา แทงจนมือนี่ หรอยเหมิด ยกก็บ่ขึ่น แทงทั้งคืน อาตมาบ้า แต่ก่อนนี้ ถูกเขาหลอกไปทำ มันทำชั่วไม่ขึ้น ทำอย่างไรมันก็ไม่ขึ้น กินเหล้า ก็ไม่เก่ง ให้เขาข่ม ไปเล่นไพ่ ก็เขากินหมด เป็นหมูสนาม แต่ก็ เอ๊ ทำไมเรา แหมมัน ทำไม เราสู้เขาไม่ได้ เราก็ว่าเราฉลาดนะ มันทำชั่วไม่ขึ้น

นี่มันเป็นบุญบารมีเก่า แต่ก่อนอาตมาไม่รู้หรอก นึกว่า เอ๊ มันเป็นอะไรว้า เราสู้เขาไม่ได้ ทำชั่วไม่ขึ้น เราก็นึกว่า เรานี่มันไม่ดี แล้วเราไม่รู้ว่าชั่ว เรานึกว่ามันดี มันถูกโลกหลอก ก็ไปทำ หลงอยู่พักหนึ่ง อายุ ๓๕, ๓๖ รู้ตัว ไม่เอาแล้ว เลิก อาตมาก็เลิกง่าย เพราะมันบุญเก่ามันมี คนบุญเก่าไม่มี ต้องมาฝึกเลิก อยากจะเลิกนั่น เลิกนี่ ก็ต้องมาฝึกๆๆ บุญเก่าไม่มีก็ต้องทำ ยิ่งบุญเก่าไม่มี ยิ่งต้องทำมาก ทำหนัก ต้องตั้งใจ เพราะบุญเก่าเราไม่มี เราต้องสั่งสม บุญเราใหม่ใช่ไหม ยิ่งบุญเก่าไม่มี โอ๊ย ไม่ทำหรอก ทำไม่ไหว มันยิ่งแย่ใหญ่สิ แล้วจะทำอย่างไร ผลัดไปชาติหน้า ชาติโน้น ชาตินี้ แล้วชาติหน้า ยิ่งไม่เจอธรรมะ ไปเป็นนรก ไปเป็นเดรัจฉาน จะไปเจอธรรมะอะไร ก็ยิ่งไปใหญ่เลย มันยิ่งซวย เพราะฉะนั้นชาตินี้ เจอธรรมะแล้ว ได้ฟังแล้ว อย่าช้า จงหยุดบาปเสียแต่วันนี้ รู้ว่าอะไรเป็นบาป ที่ติดอยู่เสียก่อน อย่าไปหยุดทีเดียวนะ หยุดทีเดียว ตาย ไม่ไหวหรอก หมดแรง หยุดไม่ได้ พระพุทธเจ้า ท่านถึงให้แบ่งไง เอาศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ อะไรไป ตามลำดับ

ศีลนี่ ตั้งเอาเอง เออ อันนี้ มันไม่ดี ละซะ สิ่งที่จะเลิกจะละนั่น เรียกว่า พวกบาปสมาจาร ตั้งศีล เลิก ละ เราจะไม่ประพฤติอันนี้ เป็นบาป บาปสมาจาร ก็หมายความว่า ความประพฤติที่เป็นบาป เราก็เลิกซะ ตั้งใจเลิก เรียกว่า บาปสมาจาร ศีลอันไหน ที่มันจะ เออ ตั้งให้ตัวเอง อันนี้แหละ มันจะดี เรียกว่า อภิสมาจาร เออ ศีลอันนี้ ตั้งแล้วนี่ ไปประพฤติให้มันดี ยิ่งขึ้นๆๆ นั่นคือศีล ศีลมี ๒ อย่าง บาปสมาจาร กับ อภิสมาจาร แต่ส่วนมาก พระพุทธเจ้าท่าน ให้ทำบาปสมาจารก่อน คือ ให้ละชั่วก่อน ให้เลิกความประพฤติชั่วก่อน เพราะถ้าชั่วอยู่ในตัวเรา ๑ นาที มันก็ เดี๋ยวเถอะ มันก็ได้ สั่งสมกรรมบาป อีก ๑ นาที มันอยู่กับเรา ๑ ชั่วโมง เดี๋ยวมันก็ไปสะสมบาป ใน ๑ ชั่วโมงนั่นแหละ อยู่กับเรานานเท่าไร มันก็ยิ่งจะทำให้เราทำบาปมากขึ้น สะสมบาปมากขึ้น เพราะฉะนั้น ต้องรีบจัดการ เลิกเหตุชั่วนี้ กิเลสชั่วนี้ให้ได้ก่อน

ส่วนดีนั้น อยู่กับเรา มันจะอยู่กับเราชั่วโมงหนึ่ง ซางหัวมันแมะ ดี มันจะอยู่กับเรา มันก็ไปทำดีอยู่เรื่อย มันจะอยู่ กับเราวันหนึ่ง ดี มันจะอยู่กับเรานิรันดร ยิ่งดี ดีน่ะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น ดี ไม่ต้องไปหัวซามัน ดีไม่ต้องไปกังวลมาก

ศาสนาพระพุทธเจ้า ถึงมองทุกข์ มองเหตุแห่งทุกข์ หรือมองสิ่งที่ทำให้ลำบาก ทำให้ชั่ว ทำให้ตกต่ำ ศาสนาพุทธ จึงมามอง มาเพ่งอันนี้ เพราะฉะนั้น เขาจึงหาว่า ศาสนาพุทธ เป็นพวกทุกขนิยม เป็นพวกมองในแง่ร้าย ศาสนาพุทธนี่ ตัวฉลาด เราต้องมองสิ่งที่มันร้าย มันร้ายของตัวเองก็ตาม ของเพื่อนก็ตาม แต่ของเพื่อนนั่น ระวังหน่อยนะ ไปบอกเขานี่ ต้องเลือก ต้องหัดดีๆ บอกคนอื่นเขา ท้วงคนอื่นเขา ให้คนอื่นเขาเลิกชั่ว ต้องบอกเขาดีๆ ไม่ดีแล้วก็ สีออกปาก อาตมาไม่รู้นะ ใครบอกไม่ดี สีออกปาก เพราะโดนหมัดเขา ปากเลือดออก

จะต้องเอาออกให้เร็ว สิ่งไม่ดี อยู่กับตัวเรา ต้องเรียนรู้ แล้วก็ทำเอา เอาออกให้ได้ เลิกให้ได้ เอาก่อน เพราะฉะนั้น เราก็ตรวจตัวเอง ว่าอะไร เราจะเลิกก่อนได้ ศีล ๕ ข้อนี่ เรากำหนดได้ ตั้งเยอะ ตั้งแยะนี่ ไม่ฆ่าสัตว์ ขนาดไหน บางคนบอก เอา ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ก่อน ฆ่าสัตว์เล็กหน่อยไว้ก่อน ก็เป็นไป ตามลำดับ บางคนเขาว่าอย่างนั้น ต่อไป เอ้า สัตว์เล็กก็ไม่ฆ่า ไม่ฆ่าหมดเลย ก็ดี คุณไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ก็ไม่ฆ่าคน คนเราก็ไม่ค่อยฆ่ากันอยู่แล้ว ไม่ฆ่าคน ไม่ฆ่าสัตว์ใหญ่ ก็ไม่ฆ่าให้มันยาก ไปฆ่าช้าง จะมีช้างที่ไหนมาให้ฆ่า ไม่ฆ่าวัว ฆ่าควาย มันก็โต มันก็ไม่ได้เลี้ยงวัว เลี้ยงควายด้วย ยาก ไม่ต้องฆ่า ไปซื้อมากินเลย เพราะฉะนั้น เราก็ไม่ฆ่า ไม่ฆ่าแล้วไม่กินด้วย อย่างที่อาตมาพูด แต่ต้นแล้ว ได้ก็ดี

ถ้าใครไปถือศีลข้อ ๑.นี่นะ เอาแต่แค่ไม่ฆ่าสัตว์นี่ จะไม่ได้ผลมาก แต่ถ้าบอกว่า ไม่กินเนื้อสัตว์ ถือศีล ไม่กินเนื้อสัตว์นี่แหละ จะได้ผลมาก ในศีลข้อ ๑. จะรู้สึกเลยว่า ไปไหนมันก็ เอ๊ ไม่กินเนื้อสัตว์นี่ เมตตาจะเกิดเลย ถ้าใครมาถือศีลแค่ข้อ ๑.นี่ เอาถึงขั้นสูงไปถึงขั้นไม่กินเนื้อสัตว์นี่ จะพาให้เราเกิด เมตตา เพราะฉะนั้น ลองมาศึกษาดีๆ ศีลข้อ ๑ ข้อ ๒ ข้อ ๓ ข้อ ๔ เอาละ อาตมาไม่สาธยายต่อแล้วนะ ก็จะสรุป เดี๋ยวจะเลิก ๔ โมง ๑๕ อาตมาเทศน์มา ตั้งแต่ ๒ โมงกว่านะนี่ ยังไม่ ๓ โมงดี พอพูดๆ ไปแล้ว มันไปบ่น ไปว่าคน มันก็อดไม่ได้นะ มันก็จ่ม แหม จริงๆ นะ คนเรา มันเรียนมา ์จบด็อกเตอร์ เศรษฐศาสตร์ด้วยนะ ยังมาเอาเปรียบ เอารัด มากอบมาโกย เขาสอนมาให้สะพัด เขาสอนมาให้เกื้อกูล ให้มาเฉลี่ยออกไป คนเป็นปลาใหญ่ ก็เฉลี่ยให้ปลาเล็ก ไม่ใช่ปลาใหญ่ เพื่อที่จะมากินปลาเล็ก กินแล้ว ก็ปากโต ท้องโต กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม ไม่พออีกนะ โอ๊ อย่างนั้นไม่ไหวเลย เพราะฉะนั้น คำสอนแบบนี้ หรือ แม้แต่มาเรียนกันแบบนี้ มีทุกแห่งแหละ ในมหาวิทยาลัย ในที่ไหนในโลกสอนกันเรียนกัน เรียนกัน จบแล้ว ก็มาโลภ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข กอบโกยให้แก่ตนเอง การสอนแบบนี้ เป็นการสอน ที่ล้มเหลว เป็นการศึกษาที่ล้มเหลว สอนให้สังคมไปไม่รอด แล้วมันก็ ทุกวันนี้ เห็นชัดแล้วว่า มันไปไม่รอด แต่เขายังไม่รู้ตัว อาตมาบอกพวกคุณ ให้รู้ตัวก่อนบุช ยอร์ช บุช รู้จักไหม นี่พวกคุณได้ฟังนี่ ได้รู้ตัวก่อนบุช บุชยังไม่รู้ตัวหรอก เดี๋ยวนี้ ยังไม่เคยได้ยิน ได้ฟัง พระโพธิรักษ์ เทศน์หรอก ยัง คำสอนนี้ ยังไม่ถึงหูจริงๆ ยังไม่ถึงหู จอร์ช โซรอส พวกนี้ ไม่ได้ยินหรอก พวกนี้ ยังไม่ได้ยิน อย่าว่าแต่ทางโน้นเลย ในเมืองไทยนี่ หลายคนก็ไม่ได้ยิน คนที่ควรได้ยิน แต่ไม่เป็นไร เราทำอย่างนี้ไป

อาตมามั่นใจนะ มั่นใจในธรรมะของพระพุทธเจ้าว่า พระพุทธเจ้านี่ ท่านสอนคนให้ประเสริฐ พระพุทธเจ้า เกิดแล้วเกิดอีก เกิดแล้วเกิดอีก แสวงหาสิ่งที่ดีที่สุด ที่มนุษย์ควรเป็น แล้วก็เกิดมา แล้วก็สั่งสมบุญมาตลอด ไม่รู้กี่ชาติ นานับชาติ สั่งสมมา แล้วท่านก็เห็นว่า มาเป็นคนอย่างนี้ มาเป็นคนจน มาเป็นคนเกื้อกูล ขยัน หมั่นเพียร สร้างสรร แล้วก็อยู่เหนือโลก เป็นโลกุตระนี่ สังคมเป็นอย่างไรๆ รู้หมด เข้าใจ แล้วอยู่เหนือมัน กิเลสของโลก ทำอะไรไม่ได้ กิเลสของโลกีย์ ทำอะไรไม่ได้ อยู่เหนือโลกีย์ แบบนี้ อย่างนี้ เป็นของพระพุทธเจ้า เป็นสิ่งที่วิเศษ ประเสริฐสุด พระพุทธเจ้าค้นพบสิ่งวิเศษสุดแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่เอา เราเป็นพุทธศาสนิกชนแท้ๆ เลยนี่ แต่เป็นพุทธศาสนิกชน ยังไม่เป็นแท้หรอก เป็นแค่เงา มีฉายาว่าพุทธ ฉายานี่ แปลว่า เงา มีแค่ ฉายา ว่าพุทธ ยังไม่ใช่เนื้อจริง เป็นแต่แค่สีดำๆ มืดๆ ตามพุทธไปเฉยๆ สีดำๆ มืดๆ ตามพุทธไป ยังไม่เป็นเนื้อ เป็นตัวพุทธหรอก ได้แค่ฉายาว่าพุทธนี่ เพราะฉะนั้น เอาให้จริง เอาให้เป็นเนื้อ เป็นตัวพุทธแท้ๆ ให้ได้ ถ้าเราไม่ปฏิบัติ เอาเนื้อแท้ ขึ้นมาไม่ได้ จะได้เพราะเราต้องปฏิบัติ เมื่อฟังธรรม แล้วเอาไปทำ อย่าฟังธรรมแล้วเอาไปทิ้ง ฟังธรรมแล้ว เอาไปปฏิบัติ

อาตมาเตือนแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้าเราไม่ทำ มันก็ไม่ได้ ไม่มีใครทำให้เราได้ พ่อแม่ทำให้ลูก ลูกทำให้พ่อแม่ ก็ไม่ได้ เรื่องกรรม กรรมวิบาก เป็นทรัพย์ของเราเอง เป็นกัมมัสสกตา เป็นกัมมัสสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ พาเราเกิด เราเป็น เราจะเกิดดี เราจะเกิดคาบช้อนเงิน ช้อนทอง ยิ่งให้นี่ละ เรายิ่งจะเกิดไปคาบช้อนเงิน ช้อนทอง ยิ่งเราจนนี่แหละ เราให้สละไปนี่ เรายิ่งจะคาบช้อนเงิน ช้อนทอง เพราะเราจนแบบเสียสละ เราไม่ใช่จนแบบ สำมะเลเทเมา ผลาญพร่า มีเท่าไร ก็กินทิ้ง กินขว้าง ขี้เกียจ ขี้คร้าน มันก็จน สำมะเลเทเมา ก็จน ใช้ไม่ประมาณตัว ก็จน ยิ่งเล่นอบายมุขต่างๆ ยิ่งจน จนในแบบนั้น มันไม่ได้ จนแบบนั้น มันไม่รวยหรอก เกิดมาไม่คาบช้อนเงิน ช้อนทองหรอก ลงนรก จนแบบนั้นลงนรก มันไม่คาบช้อนเงิน ช้อนทอง

แต่จนอย่างพระพุทธเจ้าท่านพาเป็นนี่ เกิดมาก็คาบช้อนเงิน ช้อนทอง จะมียศศักดิ์ ผิวพรรณดี ได้ดี ไม่ตกยาก ผิวพรรณดี ไม่ผิวพรรณทราม ได้ดี เพราะกุศล เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องจริง กุศลวิบาก เป็นเรื่องจริง จะพาเราเป็น เราไปเอง

เอาละ อาตมาขอให้ทุกคน ฟังธรรมวันนี้แล้วเอาไปทำซะ อย่ารอ อย่าผลัดวัน ประกันพรุ่ง รีบๆ ทำ แล้วพยายาม ประมาณให้ดี สำหรับของเรา อย่าเพิ่งไปรีบร้อนเกินไป ไปถึงก็พังโรงเลย ไปถึง ไม่เอาแล้วนี่ เดี๋ยวก็ถูกตีกันที่บ้าน อาตมาไม่รู้ด้วยนะ ทำแต่พอประมาณ ค่อยๆลด ค่อยๆละ ค่อยๆ มีศิลปะ ให้ดีๆไปแล้ว ก็ขอให้ได้ธรรมะ อันเป็นโลกุตรธรรม ของพระพุทธเจ้า ทุกคนเทอญ


จัดทำโดย โครงการถอดเท็ปธรรมะ
ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๑.โดย จิตสุภา รุ่งเรืองนานา ๒๓ เมษายน ๒๕๔๗
พิมพ์ โดย ทองคำขาว ๑๐ มิถุนายน ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๒.โดย ป.ป. ๑๓ มิถุนายน ๒๕๔๗
พิมพ์ออก โดย ถทธ.
เข้าปก โดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปก โดย พุทธศิลป์
TCT0491.DOC
เพราะทิ้งศาสนาสังคมจึงวิกฤต