สร้างจิตพุทธะให้ปรากฏเข้าถึงอรหันต์
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ทำวัตรเช้าที่ ๑ มกราคม ๒๕๔๗
ณ พุทธสถานราชธานีอโศก

สำนึกดีปีใหม่ ทุกๆ คน

ใครอธิษฐานว่ายังไงบ้างเมื่อกี้ หือ อธิษฐานว่ายังไงบ้าง อาตมาอธิษฐานว่า อาตมาตั้งใจว่า จะพยายาม ใช้อิทธิบาท จะพยายามมีอายุให้ยาวๆ หน่อย ตั้งใจจะดูแลจริงๆ เลย ให้ครบครัน ให้มีอิทธิบาท มีความยินดี อย่ายินร้าย เบิกบาน ร่าเริงเสมอ เจอเหตุที่เป็นอุปสรรค เป็นเรื่องเลว เรื่องร้ายขนาดไหนก็ตาม มันเป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะมีวิบาก หรือมีกรรม ที่เราจะต้องประสบกับ สิ่งที่มันยาก มันหนัก มันไม่น่าชอบใจ ไม่น่าชื่นใจ หรือเป็นสิ่งที่ทำให้เราจะต้อง กิเลสที่มีอยู่ในตัวเรา เมื่อได้รับสัมผัสแตะต้องแล้ว มันก็จะต้องเกิดผลัก เกิดไม่ชอบใจ เกิดไม่ยินดี จะไม่ยินดีอย่างมาก อย่างน้อย อย่างไรก็ตาม อ่านอารมณ์ให้ทัน แล้วเราก็จะต้องปรับจิตใจให้ยินดี ให้เป็นความเบิกบาน ร่าเริง แม้แต่จะยังไม่ถึงขั้นชอบ ก็อย่าให้มัน เศร้าหมอง อย่าให้มันหดหู่ อย่าให้มันหงุดหงิด อย่าให้มันรำคาญ

สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องฝึกจริงๆ เรียนรู้อารมณ์ ใน ๗ อ. มี อ.อารมณ์ อารมณ์นี่แหละ มันเกี่ยวข้องกันกับอิทธิบาท แม้แต่อื่นๆ ก็เกี่ยวข้องกับอิทธิบาท อาหารก็เกี่ยวข้องกับอิทธิบาท อากาศก็ตาม ก็เกี่ยวข้องกับอิทธิบาท ทุกอย่างแหละ แม้แต่เอนกาย แม้แต่เอาพิษออก ก็ต้องเกี่ยวข้อง กับอิทธิบาท ต้องมีความวิริยะ อิทธิบาทมีฉันทะ แล้วมีวิริยะด้วย หรือมีจิตตะ มีการเอาใจใส่ ถ้าเรา ไม่เอาใจใส่ เราไม่พยายามที่จะระลึกรู้ สำนึกเสมอเรื่องอะไรก็แล้วแต่ เกี่ยวกับอารมณ์ อาหาร อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก อะไรต่างๆ ถ้าเราไม่เอาถ่าน ไม่มีวิริยะ หรือไม่มีสติ ระลึกรู้อยู่เสมอ ระลึกรู้อยู่เสมอนั่นคือ จิตใจเรานี่แหละ ต้องมีสติสัมโพชฌงค์ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีวิริยสัมโพชฌงค์ อยู่ในเรื่องของจิต เอาใจใส่ ในเรื่องของจิต ที่เราจะต้องพึงปฏิบัติ

ยิ่งปฏิบัติโพธิปักขิยธรรมไปเลย เรื่องของจิตนี่ เอาใจใส่ก็คือเอาใจใส่ดูแลทั้งกาย วาจาโดย เฉพาะจิต นักปฏิบัติธรรม จะต้องเข้าถึงจิต จะต้องตรวจจิต อ่านจิต ระลึกรู้เท่าทันว่า จิตของเรา ขณะนี้นี่ มันอยู่ในอารมณ์อะไร ฉันทะไหม มันเฉื่อย มันเบื่อ มันเซ็ง มันเศร้า มันหมอง มันหงุดหงิด มันรำคาญ มันไม่สบายใจ ไม่ชอบใจเรื่องอะไรที่เป็นในเชิงที่ไม่ดีไม่ชอบ ในเชิงนี้นี่ อาตมาก็เคยมีโศลก บอกแล้วว่า ในตระกูลของโทสมูลนี่ เชิงผลัก เชิงไม่ยินดี ไม่ว่าจะอย่างยักษ์ อย่างใหญ่ อย่างกลาง อย่างเล็ก อย่างน้อย บรรจุซอง ธุลีละอองขนาดไหน ไม่มีเหตุผล ไม่ต้องไปวิจัยอะไรมันมาก รู้มันให้ชัดว่า มันในตระกูลนี้ ปรับได้ทันที ปรับออก อย่าให้มันเกิดอยู่ในอารมณ์ เปลี่ยนไปใช้ ทั้งความรู้เหตุผล ความจริง หลักฐาน ตัวอย่างอะไรก็แล้วแต่ ที่เราจะพึงมีสิ่งที่อ้างอิง ยืนยัน พิจารณา

ถ้าเผื่อว่า ยังไม่แน่ใจก็พิจารณาอีกว่า มันทุกข์ หรือมันเป็นสุข อารมณ์อย่างนั้นน่ะ มันไม่สุขหรอก อารมณ์ทุกข์ โทสมูล ตั้งแต่น้อยใหญ่ ไปถึงขนาดไหนก็ตาม มันเป็นอารมณ์ทุกข์ เพราะฉะนั้น ในประเด็นแรกนี้ของการปฏิบัติธรรมที่อ่านอารมณ์ตนเอง แล้วก็ปรับอารมณ์ ตนเองนี่ ถ้าใครสามารถ ทำได้ ก็จะเกิดความไม่ทุกข์ ในขั้นที่ ๑ อย่างสำคัญ หรือจัดการกับโทสมูล อย่างสำคัญ ถ้าใครทำเป็น แล้วทำได้ ทำจริงจนชำนาญ จนไม่เกิด มันเกิดมาเมื่อไร เราก็รู้ทัน มีจิตใจ มีตีรณปริญญา หรือมี ธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ มีการสัมมัปปธาน มีสังวรปธาน แล้วก็ปหาน คือ ทำลายมัน กำจัดมัน อย่าให้มัน มีอยู่ในจิตใจ เอาออก ถ้าเราทำได้ เราก็จะรู้ว่า ความสุขมีแน่ มันเป็นความทุกข์ ความทุกข์จริงๆ ก็พิจารณาเถอะ มันเป็นทุกข์ ทุกขอาริยสัจ เพราะมันเป็นทุกข์ที่เกิดจาก สิ่งที่เกิดนั้น คือกิเลสแท้ คือความไม่รู้ หรือความโง่ คืออวิชชาแท้ๆ คนเราถ้ามีวิชชาแล้ว เราไม่ต้องไปเศร้าไปหมองนี่ เราจะรู้อะไรก็รู้ ในขณะใด เหตุการณ์ใด ประสบการณ์ใด อยู่ในขณะใด มันเป็นเหตุเป็นปัจจัย ที่ทำให้เราทุกข์ เราเหนื่อย เราหนัก เรายาก เราลำบาก เราทรมาน อาจจะสังขาร ทรมาน ตากแดดร้อน จำเป็นต้องตากแดดอยู่ จำเป็นจะต้องอยู่ในที่ลำบากลำบน ต้องฝืน ต้องอดทน

ถ้าเหตุการณ์ หรือว่าประสบการณ์นั้นมันเกิดแล้ว มันเป็นแล้ว เราจำเป็นจะต้องอยู่ในสถานะนั้น อยู่ในอาการนั้น อยู่ในอิริยาบถอย่างนั้น โดยเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ หรือจำเป็นต้องทำ เพราะเป็น สิ่งที่ต้องทำ มันดี มันต้องพากเพียร อุตสาหะทำ มันเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ เกิดการ สร้างสรร เราก็ต้องทำ มันไม่ถึงขั้นทำให้ตาย ทำให้ต้องเสียหาย บุบสลาย เสื่อมอะไรก็แล้วแต่ มันไม่ถึงขั้นที่จะทำให้มันเสียหายอะไรขึ้นมา เราก็ต้องรู้ว่า มันก็ต้องหนักอย่างนี้ มันก็ต้องร้อนอย่างนี้ มันก็ต้องเหนื่อยอย่างนี้ มันก็ต้องลำบากอย่างนี้ มันต้องสาหัสสากรรจ์อย่างนี้ อะไรก็ตาม เราก็ต้อง ทำใจของเรานี่แหละ ให้มันเบิกบาน ร่าเริง อย่าให้มันชัง อย่าให้มันผลัก อย่าให้มันไม่ชื่นชอบ เพราะมันไม่เป็นประโยชน์ ไม่เป็นพลัง ไม่สุข มันทุกข์ มันทุกข์ มันไม่สุข

ถ้าเราทำความสุขแรก ที่ทำใจให้มันเบิกบาน ร่าเริง รับรู้ เพราะจิตรับรู้ได้ แม้จะอยู่ในสภาวะ อยู่ในเหตุการณ์ อยู่ในประสบการณ์ ขณะนั้น มันเป็นขณะที่ไม่ได้เรียบร้อย ราบรื่น ไม่ได้ง่าย ไม่ได้งาม มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าชื่นชม ไม่น่ายินดี มันเป็นเรื่อง ไม่น่ายินดี แต่เราก็จะต้องฝึกหัดทำใจของเราให้ยินดี ทั้งๆ ที่องค์ประกอบของมันขณะนั้น มันไม่น่ายินดี แต่ถ้าเรารู้ว่า เราไม่ต้องเลี่ยง เราเลี่ยงไม่ได้ หรือว่า ไม่ควรเลี่ยง เพราะควรทำ ควรอยู่ ควรผจญ ควรจะสร้างสรร ควรจะพัฒนา ควรจะแก้ไข แม้มันยาก มันลำบาก มันหนัก สาหัสสากรรจ์ อย่างไรก็ตาม ควรจะทำให้มันได้ เราก็จะ ต้องทำจิตใจของเรา ให้ยินดี ให้ฉันทะ ก่อนอื่น จากนั้นไป เราก็ต้องพยายามพากเพียร ไม่ต้องอธิบายมาก เรื่องพากเพียร วิริยะ อุตสาหะ สิ่งที่ควรพากเพียร ควรวิริยะ ต้องใช้พลังอย่างนี้ ใช้สมรรถนะอย่างนี้ ให้เป็นวิริยินทรีย์ ให้เป็นวิริยพละให้ได้ ให้มีความก้าวหน้า ให้มีวิริยะนั้น แกร่งกล้า แกร่งๆ แกร่งกล้า หรือว่าให้มัน มีคุณภาพ ให้มันมีประสิทธิภาพ วิริยะนี่ต้องฝึก ไม่ฝึก มีแต่เลี่ยง มีแต่ขี้เกียจ มีแต่เหนื่อยหน่าย ไม่เอาถ่าน ไม่ฝึก วิริยะ คุณก็อ่อนแอ ไม่เป็นคนมีความเพียร ไม่เป็นคนมีความอุตสาหะ ไม่เป็นคน อดทน ไม่เป็นคนเอาใจใส่ ไม่เป็นคนที่จะขยันอะไรขึ้นมาได้ เพราะตัวที่ลักษณะอย่างนี้ มันต้องรู้

ทุกคนเข้าใจความเพียร ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขยัน ความสู้ทนอะไรพวกนี้ เราต้องรู้ว่า มันจะต้องมีที่ในคน มีจริงๆ ก็ดีจริงๆ ถ้าไม่มีจริงๆ มันก็แย่ จริงๆ คน คนนั้น คนไหนก็ตาม เพราะฉะนั้น ยิ่งมีวิริยะที่เป็นสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ หมายความว่า ความเพียรที่มีคุณภาพ ถึงขั้นเป็นองค์แห่ง การตรัสรู้ สัมโพชฌงค์ แปลว่า องค์แห่งการตรัสรู้ หมายความว่า ความเพียรนั้น อยู่ในทาง อยู่ในมรรคของโลกุตระ อยู่ในทางที่กำลังจะสร้างจะเดิน จะก้าวหน้า จะพัฒนาไปสู่นิพพาน สู่จุดสูงสุดของมนุษย์ ที่ควรจะถึง ควรจะได้ ถ้าวิริยะนั้น มันไม่เป็นสัมโพชฌงค์ ก็เป็นวิริยะของระดับ โลกียะธรรมดา ไม่เป็นโลกุตระ วิริยะที่เป็นโลกุตระ ไม่ถึงขั้นสัมโพชฌงค์ก็ได้ วิริยะที่เป็นอาริยะ วิริยะที่เป็น ความพากเพียร ที่อยู่ในทาง อยู่ในมรรคเหมือนกัน แต่มันก็ยังไม่มีพลัง ยังไม่มีกำลัง ยังไม่ตรงเต็ม ๑๐๐ ก็เป็นอาริยะ นับว่าเข้าขั้นอาริยะ เข้าขั้นประเสริฐ เข้าขั้นดี แต่ถ้าเข้าขั้นชื่อว่า สัมโพชฌงค์ แล้วเป็นองค์แห่งการตรัสรู้ เป็นองค์แห่งการที่จะเกิดมรรค สัมมามรรค สัมมาผล

ทีนี้วิริยะที่เป็นแค่โลกีย์นั่นคือความเพียร ถ้าโลกีย์ที่เป็นกุศลก็ยังดี ศาสนาทุกศาสนาสอน ให้เป็นกุศล ให้สร้างกุศล ให้ประพฤติกุศล แต่ก็ยืนยันแล้ว ไม่ใช่ไปข่ม ไม่ใช่ไปเบ่ง ไม่ใช่ไปว่าดีกว่า เหนือกว่า อะไรหรอก แต่มันมีพิเศษ ศาสนาพุทธ มีโลกุตระ มีโลกุตระ มีทางไปนิพพาน มีทางไปถึงสูญ ถึงขั้นดับวัฏสงสาร ถึงขั้นเลิกล้างอัตตา อัตภาพ เป็น อเทวนิยม ไม่ใช่เทวนิยม ศาสนาทุกศาสนา อื่นๆ มีศาสนาที่เป็นศาสนามิจฉาทิฐิ มีแนวมิจฉาทิฐิ แนวหนึ่งที่เป็นศาสนา ที่เขาไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร เหมือนกัน แต่เป็นความหลงผิดของเขาเอง เขาบอกไม่มีอะไรหรอกในโลกนี้ ไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร ตายก็สูญไป อะไรมันจะเกิดมันก็เกิด เป็นพวกอเหตุกะ อเหปัจจยวาทะ เป็นพวกอเหตุกะ อเหปัจจยวาทะ เป็นพวกที่ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เป็นพวกที่ไม่มีอะไร ไม่เป็นอะไร หรือเป็นพวก นัตถิกทิฐิ เป็นลัทธิ นัตถิกทิฐิ ไม่มีอะไร ไม่เอาอะไร อะไรไม่เป็นอะไร ไม่มีอะไรหรอก มันจะเป็นอะไรของมัน มันก็เป็นของมันเอง คนนี้ก็สูญเหมือนกัน เขาคิดเอาเองนะว่าเขาสูญ

แต่ความจริงมัน มีวิบาก มีกรรม มีวิบาก มีจิตวิญญาณ เพราะจิตวิญญาณที่ไปสร้างกรรม สร้างวิบากชั่ว วิบากดี มันก็สั่งสมลงไป ในจิตวิญญาณเป็นอัตภาพ อัตภาพมีไหม มี แต่อัตภาพจริงๆ แล้วสูญได้ ทำให้สูญได้ เพราะฉะนั้น พวกนัตถิกทิฐิ หรือพวกที่เป็นอเหตุกอปจยวาทะนี่ เป็นพวกที่ ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย ไม่มีอะไร เขาเข้าใจ เป็นอย่างนั้น เป็นพวกนิรัตทิฐิ ไม่ใช่เป็นพวกอนัตตา อนัตตา เป็นพวกนิรัตตา เป็นพวกที่ เข้าใจว่า อะไรไม่มี อัตตาไม่มี อะไรก็ไม่มี นิรัตตะ นิรัตตา คือนิร+อัตตา ถ้าใครได้อ่านหนังสือ ถอดรหัส ที่อาตมาได้อธิบาย ถึงนิรัตตา อัตตา อนัตตา นิพพานอะไรนั่น ก็จะเข้าใจ เป็นการเข้าใจเอาเองว่า ไม่มีหรอก อัตตาอะไรไม่มีหรอก แล้วเขาก็เชื่อว่าไม่มีอัตตา เป็นลัทธิ ที่ไม่มีอัตตา ไม่ใช่อนัตตานะ ด้วยภาษาแล้วมันคล้ายกัน มันแปลว่า ไม่มีอัตตาเหมือนกัน นิรัตตา ก็แปลว่า ไม่มีอัตตา อนัตตา ก็แปลว่าไม่มีอัตตา แต่อนัตตานั่นมีอัตตานะ อนัตตานั่นรู้จักอัตตาดี เข้าใจอัตตานี่ เราเองนี่เรามีอัตตา นี่เราสร้างอัตตา ใส่ตัวเอง นี่เรายังยึดถือ นี่เป็นอัตตาของเราอยู่ เพราะฉะนั้น ลัทธิพุทธนี่รู้ความไม่มีอัตตา ทั้งนิรัตตา และอนัตตา

นิรัตตาก็พวก อเหตุกอปจยะ อย่างที่กล่าว หรือพวก นัตถิกทิฐิพวกนี้ ไม่มีอะไรพวกนี้ เขาจะไม่ปฏิบัติ เขาจะไม่ล้าง ไม่ละ ไม่ลด ไม่รู้จักอัตตาที่ตัวเองยึดถืออยู่ ยึดเสพ ยึดติดอะไรก็แล้วแต่ เขาไม่รู้จัก ไม่ได้ศึกษา เพราะฉะนั้น เขาก็ไม่ได้จัดการกำจัด จัดการลดละ จางคลายทำให้มันน้อยลง ทำให้มันเสื่อมสภาพไป ทำให้มัน ลดตัวตน วิราคะ จนกระทั่งถึงนิโรธ ดับสนิท อัตตานั้น ดับสนิท ไม่เหลือสูญสิ้น จนสิ้นอาสวะ

อัตตา หรือสักกายะ หรืออาสวะพวกนี้ ก็คือ ความเป็นตัวตน ความเป็นสภาวะของ อาการ ลิงคะ นิมิต อุเทศ เป็นนามรูป ที่เราจะต้องรู้จักด้วยญาณ ด้วยวิชชา ด้วยญาณ หรือด้วย วิชชา ต้องอ่าน อาการ พวกนี้ เป็นนามธรรม เป็นนามรูป เป็นสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็นนามธรรมที่เราจะต้องอ่านด้วยญาณ มีญาณ อ่านของเราเอง ไม่ใช่ไปเที่ยวได้ เพ่งรู้คนนั้น คนนี้ของคนอื่นเขา นั่นน่ะเป็น ผลพลอยได้ ถ้าเผื่อว่า เราสามารถที่จะสร้างความรู้ให้แก่ตนเอง มีวิชชาแล้วรู้จักนามธรรมพวกนี้ มีตาทิพย์ที่แท้ เราก็จะมี ประสิทธิภาพ มีคุณภาพ สามารถที่จะไปรู้ของคนอื่นได้ ไปตามลำดับเอง ไม่ต้องไปคำนึง ไม่ต้องไป กังวลมัน รู้ของตัวเองให้จริง ให้ชัด ให้แน่ เมื่อรู้ของตัวเองไปจริงๆๆๆ แล้ว มันก็ค่อยๆ เข้าใจ จะประกอบกับพฤติกรรม ประกอบกับสิ่งที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้อง สัมพันธ์ สัมผัส แล้วมันก็จะหยั่งลึก ตามกระแส ตามพลังงานต่างๆ พวกนั้นเข้าไปรู้ ถ้าใครฝึก เอาใจใส่ มันก็จะรู้เอง ได้มากขึ้น ใครไม่เอาใจใส่ ไม่ฝึกฝน ก็จะไม่ค่อยรู้

เรามีวิริยสัมโพชฌงค์ที่อาตมาขยายความให้เห็นชัดนี้ว่า วิริยะในระดับโลกียะนั้น เป็นกุศล ได้ ศาสนาอื่นๆ เขาก็สอนกุศล ให้ละชั่ว ประพฤติดี ดีก็คือกุศล แต่เขาไม่มีโลกุตระดังกล่าว ไม่รู้จักจิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่เป็นอนัตตา เพราะฉะนั้น เขาจะสูญไม่ได้ เขาจะไม่หมดภาวะในวัฏสงสารนี้ แม้เขาจะสร้างความดี เขาก็จะต้องเวียนตาย เวียนเกิด มารับวิบาก วิบากดีก็ยังดี จะเกิดมารับวิบากดี ก็ได้รับวิบากดีของตน ก็ได้อาศัยวิบากดีนั้นเป็นกัมมปฏิสรโณ ได้พึ่งได้อาศัยกรรมที่ตนเอง ได้กระทำ จริง เมื่อกระทำดีก็ได้รับผลดีอาศัย ส่วนโลกุตระนั้นมีกุศล กุศลทางโลกีย์ด้วย มีกุศลโลกุตระด้วย กุศลโลกียะนั้น เป็นกัลยาณชน ฝึกฝนไปก็จะยิ่งมีวิริยะ เขาก็ได้ใครก็ได้ พุทธก็เหมือนกัน วิริยะ ที่เป็นกุศลโลกียะ ก็ได้กุศลโลกียะ แต่ไม่ได้โลกุตระ แต่ถ้าใครพากเพียรปฏิบัติให้เกิดโลกุตระ ได้โลกียะ พ่วงติดมาด้วย ๒ ส่วน ถ้าปฏิบัติ โลกุตระ มันจะได้ ๒ ส่วน มันจะได้ ๒ อย่าง พร้อมกัน ติดๆ กัน ไม่แยกกัน

ส่วนโลกียะนั้น ไม่รู้จักโลกุตระ ปฏิบัติให้ดีขนาดไหน ยอดขนาดไหน เป็นกุศลมากขนาดไหน ก็ได้แต่โลกียะ เพราะมัน ไม่รู้จักรูปนาม ไม่รู้จักจิต ไม่รู้จักเจตสิกต่างๆ ไม่รู้จัก อาการลิงคะ นิมิต ต่างๆ ของนามธรรม แล้วไม่รู้ชัดเจนถึง กุศลาธรรมา อกุศลาธรรมา ไม่รู้ธรรมะที่ลึกซึ้ง ถึงขั้นโลกุตรธรรม ว่าโลกียะนั่นน่ะ มันเป็นเช่นนี้ มันเป็นความดี ความสุข แบบโลกีย์ สุขแบบ โลกุตระ แยกไม่ออก ไม่รู้จักสุข แบบเคหสิตะ หรือสุขแบบเนกขัมมะ อย่างนี้เป็นต้น แยกเวทนาใน เวทนาไม่ออก ไม่รู้ว่า อาการของจิต อารณร์ของจิต มันเป็นเคหสิตะอย่างไร ซึ่งพระพุทธเจ้าแยกไว้ ชัดเจน ให้รู้ถึงเคหสิตะ ๑๘ เนกขัมมะอีก ๑๘ อย่างนี้เป็นต้น เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แยก วิเคราะห์ได้ ไปเป็นทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งไม่สุขไม่ทุกข์ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ลักษณะเกิดจากตา สุขก็ได้ ไม่สุขก็ได้ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ ก็ได้ สุขก็ได้ ทุกข์ก็ได้ ไม่สุขไม่ทุกข์ก็ได้ เวทนา ๓ เกิดจากสภาพที่มา สัมผัสทางตา สัมผัสทางหู จมูก ลิ้น กาย หรือแม้แต่ในใจ ๖ ทวาร กับแยกเป็น ๓ แล้วยังรู้จัก อินทรีย์มันด้วย มันมาก มันมาก มันน้อย มันเหลือน้อย เหลือมาก หรือมันแรง มันเบาอะไรต่างๆ อินทรีย์ ๕ ของมันอะไรอย่างนี้ เป็นต้น แยกไป จนกระทั่งถึง มันเกิดทางกาย กายิกเวทนา หรือเกิดมาจากเหตุทางจิต เจตสิก เวทนา ก็แยกออก เวทนา ๒ เวทนา ๓ เวทนา ๕ เวทนา ๖ เวทนา ๑๘ หรือเวทนา ๓๖ รวม ๑๘ แล้วก็ เนกขัมมะอีก ๑๘ เป็น ๓๖

ปฏิบัติไปจนกระทั่งเป็นเนกขัมมะ ละอย่างเคหสิตะ สุขอย่างเคหสิตะ ทุกข์อย่างเคหสิตะ หรือไม่สุข ไม่ทุกข์ อย่างเคหสิตะหมด บรรลุเป็นเนกขัมมะ เนกขัมมะสูงสุดเป็นอุเบกขา เนกขัมมะชั้นอุเบกขา เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราก็รู้ของจริงพวกนี้ ทำจนกระทั่งมันเป็น อุเบกขา เป็น อากาสา ตรวจสอบไป ปฏิบัติสั่งสมไป เป็น อากาสา เป็นวิญาณัญจา เป็นอากิญจัญญา พ้น เนวสัญญานาสัญญายตนะ จนถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ สมบูรณ์เป็นนิโรธ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ รู้จักสภาพของสัญญาเวทยิตนิโรธ คืออย่างไร รู้แจ้งเห็นจริงว่าของจริงเป็นอย่างนี้ มี ปัจจัตตัง เวทิตัพโพวิญญูหิ มีความรู้ด้วยตนเองของตน บรรลุในตนรู้ของตนเอง ทำได้เอง เห็นแจ้งเอง รับรสเอง เป็นวิมุตติรส เป็นรสอันวิเศษสุด เป็นรสของความหลุดพ้นจากโลกีย์อย่างแท้จริง เป็นธรรมรส ระดับ วิมุตติรส เราจะรู้ของจริงอันนั้นเอง ของเรา มันบอกใครไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ที่รู้แล้ว เข้าใจแล้ว เห็นจริงแล้ว มีจริงแล้ว รับรสเอง เหมือนที่เขาเทียบกันว่า ช้อนแกง รู้จักแกง เหมือนช้อนแกงแหละ ช้อนแกง มันไม่มีความรู้ มันอวิชชา มันอยู่ในแกง แต่มันไม่รู้รส แต่ของพุทธนี่ มันไม่ใช่ช้อน มันไม่ใช่อวิชชา มันรู้ มันอยู่ในแกง มันก็รู้รสแกง เพราะฉะนั้น เราจะต้องทำอันนี้ สำเร็จเหมือนกับเรา ทำแกงสำเร็จ แล้วเราก็ได้รู้รส ใครไม่ได้ไปสัมผัสกับแกง ช้อนไม่ได้ไปแตะ สัมผัสในแกง มันก็ไม่รู้จัก ว่าแกงคืออะไร

เหมือนปลาอยู่ในน้ำ ไม่ได้ขึ้นไปบนบก เหมือนกบก็ไม่รู้ว่าบนบกมันมีอะไรอีกใหญ่โต มโหฬาร กว้างขวาง รู้แต่อยู่ในน้ำว่ามีอะไร ก็เท่านั้นเอง นึกไม่ออก เพราะฉะนั้น ต้องรู้ได้ด้วยตน คนอื่น จะรู้แทนไม่ได้ว่ามันเป็นอย่างไร นี่เราก็รู้กัน คนที่รู้ตรงกันว่า วิมุตติรส เป็นอย่างไร ก็มาพูดด้วยกัน ก็จะพอเข้าใจกันได้ เพราะฉะนั้น วิริยะของโลกียะ ของศาสนาหรือของโลก ที่มีความดีกันก็ดี ถ้าไม่มีเสียก็แย่

ก็จะต้องมีความดี มีคนดี มีผู้ที่วิริยะ อุตสาหะ ที่จะพากเพียร ปฏิบัติดี กดข่มชั่ว เลิกชั่ว ฝึกนิสัย ฝึกสันดาน ฝึกให้ตนเองนี้ชำนาญในเรื่องดี แต่ไม่ชำนาญในเรื่องชั่ว แต่ไม่ได้ล้างกิเลส ไม่รู้จักกิเลส ไม่รู้จักเหตุสำคัญ โลกุตระนี่รู้จักเหตุสำคัญ รู้จักกิเลส รู้จักสมุทัยอาริยสัจ รู้จักความเป็นทุกข์ หรือ ความไม่ดีไม่งาม แล้วก็ล้างตัวเหตุ มันแท้ๆ กำจัดจนดับสนิท มีทางปฏิบัติ มีอาริยสัจ ๔ สมบูรณ์ ปฏิบัติจนหมด แม้กระทั่งหมดเหตุแห่งทุกข์แล้ว มันเป็นโลกียสุข คือสุขที่ไม่เสพ สุขที่ยัง เป็นสิ่งที่อาศัย เท่านั้น มันสุขว่างๆ แต่แม้ว่างๆ เป็นอุเบกขา ก็ยังเป็นอุปกิเลสที่จะต้องไม่ติดยึด ใน จุดอุเบกขาอีก นี่ก็พูดลัด วิปัสสนูปกิเลส อีกตั้ง ๑๐ เราก็จะต้องเรียนรู้

แม้ที่สุดแห่งที่สุด คือนิกันตะ เราก็ต้องรู้อารมณ์ของนิกันตะ ไม่ต้องว่าแต่แค่อุเบกขา อารมณ์เป็นยังไง สภาพเป็นยังไง เราต้องไม่ติด ไม่ยึด แม้แต่จะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ถ้าเป็นจิตวิญญาณ เป็นอาการในจิต เป็นตัวตนในจิต ที่เราจะยึดติดอยู่ ว่าถ้าเราไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา หรือว่าเราจะต้องให้อยู่ ให้เป็น ให้มี มันก็เป็นก็มี แต่ถ้าเราจะไม่ให้เป็นให้มี ผู้ที่ได้ฝึกแล้วว่า เราวางได้ ปล่อยได้ ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา ไม่สำคัญมั่นหมายเป็นเรา เป็นของเรา ไม่สำคัญ มั่นหมายจริง ผู้ใด สามารถทำได้ ถึงขั้นสุดอย่างนั้น จึงจะเป็นผู้ที่หลุดพ้น อย่างที่ไม่มีการเกิดใหม่ เมื่อได้ปฏิบัติให้ตน ไม่เกิดใหม่ แต่ถ้าจะไม่ละวาง แต่ว่าฆ่ากิเลสได้หมดแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว ไม่ละวาง ก็ได้ ก็จะเป็น จิต ที่ปราศจาก กิเลสนั้นอยู่ เป็นอัตภาพอยู่ เป็นจิต ถึงขั้นอรหันต์ หรืออรหัตตา เป็นอัตตาชนิด อรหะ ชนิดไม่ลึกลับ เพราะผู้นั้นรู้แจ้ง เห็นจริง รู้แจงแทงทะลุ หมดแล้วว่าของเรานี้บริสุทธิ์ สะอาด สะอาดจนถาวร ไม่กลับกลอก จะเวียนตาย เวียนเกิดอีก ในสังสารวัฏอยู่ ก็ได้ สำหรับการจะเวียนตาย เวียนเกิด ของสังขาร ในสังขารส่วนที่เป็นหรือเป็นวิสังขาร เป็นสังขารที่วิเศษ วิสังขารนี่ เป็น สังขารที่วิเศษ เป็นสังขารที่ไม่มีกิเลสแล้ว จะเวียนตาย เวียนเกิดอีก ก็เรื่องของท่าน จะพากเพียร ปฏิบัติต่อไป เรียนรู้ต่อไปอีก ก็เรียนรู้ได้ เป็นสัพพัญญุตญาณ สั่งสมสัพพัญญุตญาณต่อไป แล้วก็ ทำประโยชน์ เพราะมีหลักประกัน จิตวิญญาณที่บรรลุแล้วเสร็จ พระพุทธเจ้ายืนยัน อาตมาก็ยืนยัน แต่จะเชื่อ อาตมา ก็คงสู้พระพุทธเจ้า ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าท่านยืนยันไว้ ว่าได้แล้วเสร็จ มัน สมบูรณ์จริง ทบทวนแล้ว

อย่างที่อาตมาเคยอธิบาย ถึงสภาพของเวทนา ๑๐๘ ทำสั่งสมให้เป็นอดีต เป็นอนัตตา เป็นสุญญตา จิตที่ไม่มีกิเลส อันนั้นแหละ ทำจนกระทั่งเราก็เรียนรู้ จนนับไม่ถ้วน อดีตสั่งสมลงถึง เป็นสภาพนั้น สัมผัสแตะต้องเหตุปัจจัย ที่มันเคยทำให้เราทุกข์ ให้เราเกิดกิเลส มันก็ไม่เกิด ทำเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านครั้ง มันก็สูญ สูญ สุญญตา หรือว่าอนัตตา อนัตตา สั่งสมเป็นอดีต แม้ปัจจุบันนี้ จะรู้ตัวไม่รู้ตัว จะระมัดระวังตัว ไม่ระมัดระวังตัว สูญ เป็นอัตโนมัติ อดีต นั่นทำมาล้านๆ ครั้ง มันก็อัตโนมัติ ปัจจุบันมันก็สูญ ตรวจสอบจนกระทั่ง พยากรณ์อนาคตได้เลย อย่างมั่นใจ ของตนเอง เพราะอดีตมันเป็นเครื่องยืนยัน ปัจจุบันก็เป็นเครื่องที่ยืนยันปรากฏ เป็นสิ่งที่ ยืนหยัด ยืนยันได้ อย่างแน่แท้ เด็ดเดี่ยว มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงเป็น นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

นิจจังเที่ยงแท้ ธุวังมั่นคง สัสสตัง แน่นอนไม่มี อวิปริณามธัมมัง ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนแปลง เป็นอะไรไปอื่นอีก อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง ไม่มีอะไรมาล้มล้างได้ อสังกุปปัง ตายไม่ฟื้น ไม่กลับกำเริบ อสังกุปปัง เป็นคุณลักษณะแท้ เป็นของจริง ที่ท้าทายให้ พิสูจน์ เพราะฉะนั้น สิ่งใดได้ถึงขั้นวิมุตติ สมบูรณ์ วิมุตติจนกระทั่ง ถึงขั้นสัญญาเวทยิตนิโรธดับ นิโรธดับชนิด สัญญา กำหนดรู้ เรียนรู้ เคล้าเคลียอารมณ์ อ่านอารมณ์ อารมณ์วิมุตตินี่ อ่านจนแทง ทะลุซ้ำซาก ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทั้งอาเสวนา ทั้งภาวนา ทั้งพหุลีกัมมัง อเสวนาก็คือซ้ำแล้วซ้ำอีก คบคุ้น คุ้นแล้วเคยอีก ทำอีก คุ้นอีก เคยอีก ทำอีก ทำแล้ว ทำเล่า แล้วก็เกิดผลภาวนา เกิดผลดังที่มันเคย เกิด มันวิมุตติแล้ว ก็วิมุตติอีก วิมุตติ ๑ ครั้ง วิมุตติ ๒ ครั้ง วิมุตติร้อยครั้ง วิมุตติพันครั้ง วิมุตติหมื่นครั้ง ซ้ำแล้วซ้ำอีก ทำให้มาก พหุลีกัมมัง มากจนไม่รู้จะมากยังไง มันจะมีความแน่นอน มั่นคง มั่นใจของตนเอง เพราะฉะนั้น เป็นสิ่งที่ รู้แจ้งเห็นจริง ไม่ใช่เป็นสิ่งหลักลอย ไม่ใช่เป็นสิ่งสมมุติ ไม่ใช่เป็นสิ่ง เอกๆ เป็นสิ่งที่คาดคะเน เป็นสิ่งที่ ไม่ได้สัมผัส ไม่ใช่

สัมผัสแท้ มีภาวะปรากฏ มีปาตุภาวะ ปรากฏอยู่ เห็นอยู่ อย่างแท้จริงเลย นี่เป็นคุณลักษณะ สุดยอด ของศาสนาพุทธ เป็นโลกุตระมีในศาสนาพุทธเท่านั้น คนทุกคน ถ้ายังไม่ถึงระดับโลกุตระ มีแต่แค่ โลกียะ ก็จะยังเวียนวน เปลี่ยนแปลงได้ ไม่ ธุวัง ไม่นิจจัง ไม่สัสสตัง ไม่อวิปริณามธัมมัง ไม่อสังหิรัง ไม่อสังกุปปัง ยังเปลี่ยนแปลงได้ เป็น อนิจจัง จะทำให้มัน แข็งแรง กดข่ม แต่ไม่เรียนรู้สภาวะจริง ที่เป็นต้นเหตุ แล้วก็แก้ไขที่ต้นเหตุให้ สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น ศาสนาพระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า ทุกอย่าง มาแต่เหตุ ดับเหตุเสียได้สิ่งนั้นก็ดับ มาแต่เหตุ

ถ้าไม่ถึงรู้จักเหตุ สมุทัย ที่แท้จริงแล้ว ไม่สัมบูรณ์ เพราะฉะนั้น วิธีอื่นๆ ใดๆ จะเป็นฤๅษีนั่งสะกดจิต แต่ไม่ได้เรียนรู้อย่างที่อาตมากล่าวไป มี วิชชา มีตาทิพย์ มีความรู้แจ้งเห็นจริง มีฌานก็มีปัญญา รู้จักในฌาน อาการของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นฌานแบบพุทธ หยั่งรู้หมด ต่อสภาพที่มันเกิด ในขณะลืมตานี่แหละ ตาเห็น หูได้ยินในขณะเป็นๆ ในขณะจิตขึ้นรับวิถีรู้หมด อ่านชัด จึงมีญาณ หรือมีปัญญา ที่เป็นวิชชา ในฌานของพุทธ จะต้องเห็น อย่างนั้น แล้วก็สามารถที่จะวิปัสสนา สามารถเห็นแจ้ง เห็นจริง วิเคราะห์วิจัยออกได้ จนสามารถ จับตัวกิเลสได้ แล้วก็ประหาร ทำลาย กำจัดกิเลสได้ กำจัดกิเลสได้ ก็เป็นคนเก่ง มีฤทธิ์ เป็นมโนมยิทธิ สำเร็จมโนมยิทธิ มโนก็คือจิต เก่งทางจิต มีฤทธิ์ที่เก่งทางจิต คือมีฤทธิ์ สามารถทำให้กิเลสมันลด หรือมันตาย สำเร็จมยัง มยะ มโนมย+อิทธิ ก็เป็นมโนมยิทธิ เก่ง มีฤทธิ์ สามารถทำตามคำสอน ของพระพุทธเจ้าได้ สามารถรู้จัก ทุกข์ รู้จักเหตุแห่งทุกข์ ดับเหตุแห่งทุกข์ได้ด้วยการ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ มันทำได้ สำเร็จจริง มโนมยิทธิ มีฤทธิ์สามารถทำให้จิตของเรานี่ลดกิเลสได้จริง ฆ่าเหตุตัวร้ายได้จริง เป็น มโนมยิทธิ

ไม่ใช่มีฤทธิ์เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ไปเหาะ เหินเดินน้ำ ดำดิน ไปเที่ยวได้หยั่งรู้ใจคน ไปเที่ยวได้ทายทักไอ้โน่น ไอ้นี่ได้อะไร เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ เป็น อิทธิปาฏิหาริย์ ไม่ใช่อิทธิ นี้ไม่ฤทธิ์แบบอิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่เป็น อนุสาสนี ปาฏิหาริย์ เป็นปาฏิหาริย์ ตามคำสอน ของพระพุทธเจ้า ที่สอนให้เลิกให้ละ เหตุแห่งทุกข์ จนละได้ สะเด็ด เป็นอาริยบุคคล เป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ได้จริงๆ ในมโนมยิทธิ แล้วก็มี คุณธรรม หรือมีวิชชาที่สูงขึ้นไปเรื่อยๆ มีโสตทิพย์ มีเจโตปริยญาณ มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ มี จุตูปปาตญาณ มีอาสวักขยญาณ ต้องมีจิตรู้จักอาสวะ รู้จักอัตตา รู้จักสักกายะ รู้จักอาสวะมัน หยาบ กลาง ละเอียด อย่างไร จนเหลืออาสวะ ก็ดับอาสวะสิ้น เป็นอาสวักขยะ มีญาณรู้ว่ามันสิ้น แล้วอาสวะ นั้นดับแล้ว ต้องรู้ต้องเห็น ของตน ถ้าไม่รู้ไม่เห็น มันไม่จริง ตนเองนั่นแหละ มันไม่จริง แล้วคนอื่น จะไปจริงได้ยังไง ก็ตัวเองก็ยังไม่รู้แจ้งเห็นจริง ยังไม่จริง ไม่เป็นจริง เป็นจริงก็ไม่รู้ มันก็ไม่ชัดเจน มันจะต้องชัดเจน มันต้องมีจริง เพราะฉะนั้น คนปฏิบัติธรรมของพุทธเป็นโสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ต้องมีวิชชา ๘

หรือวิชชา ๙ ที่อาตมาจะเรียกว่า ดัดจริตเพิ่มเป็น ๙ ก็ตาม อาตมาก็ไม่ว่าหรอก เพราะว่าอาตมาดัด จริตจริงๆ อาตมาเอาวิชชามาเพิ่มขึ้น เอาฌาน มานับ ทั้งๆ ที่เป็นจรณะ ไม่ใช่ ไม่ใช่วิชชา จรณะ ๑๕ แล้วก็ วิชชาอีก ๘ จรณะมี ๑๕ อย่างที่ได้ไล่ให้ฟังแล้ว มีศีล สังวรศีล แล้วก็สำรวมอินทรีย์ แล้วก็ โภชเนมัตตัญญุตา แล้ว ชาคริยานุโยคะ ๑.ศีล เป็นข้อที่ ๑, ๒.อปัณกธรรม ๓ สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ก็เป็น ๔ แล้ว สัทธรรมอีก ๗ มีศรัทธา มีหิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ ปัญญา อีก ๗ สัทธรรมอีก ๗ นี้คือ คุณภาพของอาริยบุคคล ตัวศรัทธา ไม่ใช่ศรัทธา บ้าๆ ศรัทธาโง่ๆ ศรัทธา เขาบอกว่า อะไรละ มาเจาะลิ้น แล้วก็เอาเม็ดอะไร มีเพชร มีมุกใส่ลิ้นดี โอ๊ย เชื่อเขา ก็ไปเจาะ เขาว่าอย่างโน้นดี อย่างนี้ดีก็ตามเขาไปหมด ไปไอ้นั่น มันมาเต้น มันมารำ เป็นดาวรุ่ง ในจังหวัดในประเทศนั้น ประเทศนี้เป็นดาวร้อง ดาวเต้น มา โอ้โห! มันมาก อร่อย เชื่อเขาไป ลงทุนไป ลงแรงไป เหน็ดเหนื่อยก็เอา เชื่อดายๆ ในโลกีย์ ไปเสพโลกีย์ หรือเชื่อว่าอย่างนี้ละสะกดจิต นี่ละ แหมนั่งสมาธินี่แหละ เดี๋ยวจะไปอรหันต์ ไปนิพพาน เชื่อเขา หรือเชื่อว่าอย่างนี้ไสยศาสตร์ ต่างๆ เดรัจฉานวิชาต่างๆ เชื่อเขาไป เชื่ออะไรก็ได้ แม้แต่ที่สุดก็เชื่อ ไปเรียนด็อกเตอร์มาแล้วก็จะเอา มาหาเงิน ได้เยอะๆ ก็เชื่อเขา ก็พากเพียรไป แล้วก็หาเงินมา ก็เชื่อได้สารพัด เชื่ออะไรก็ได้

แต่เชื่อของพระพุทธเจ้า ศรัทธานี้ เชื่อเพราะชีวิตนี้ คืออะไร ชีวิตจะประเสริฐสุดคืออะไร เหตุแห่งการ ไม่ประเสริฐ คืออะไร ดับเหตุที่ไม่ประเสริฐ ดับเหตุที่ทำให้คนไม่ประเสริฐได้สนิท เป็น อรหันต์คืออะไร เชื่ออย่างนี้ เชื่ออาริยสัจ เชื่อโลกุตระ เชื่อว่าชีวิตมาวนเวียน แล้วก็รับวิบาก มีโลกุตระ มีโลกียะ จะทำแค่โลกียะ ก็อยู่ในโลกียะ สร้างแต่กุศล ก็ได้รับส่วนกุศล มีกุศล มีกุศล เสวย แต่มันไม่เที่ยง มันไม่เที่ยง และมันไม่ได้จำได้ และไม่มีความมั่นคง ไม่เที่ยงนั่นแหละ มันไม่มั่นคง มันไม่นิจจัง มันไม่ธุวัง มันไม่สัสสตัง นั่นแหละของพุทธยืนยันว่า นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง แน่นอน เพราะฉะนั้น จะไม่เหมือนกัน คนโลกียะชาวโลกียะ ชาวโลกียะที่คน ค้นพบ ศาสดาต่างๆ สอน เป็นศาสนา แล้วคนในโลก ก็นับถือกันอยู่ก็ดี แต่มันยังไม่เป็นโลกุตระ เท่านั้นเอง

พระพุทธเจ้าศึกษา ฝึกฝนมา แต่ละชาติๆๆ ท่านเรียนรู้ อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย อาตมาก็เรียนรู้ อย่างเทวนิยม คุณค่าอย่างเทวนิยม ดีอย่างไร โลกีย์ดีที่สุดอย่างไร ดีอย่างไร อาตมาก็ศึกษา มาหลายชาติ ไม่จำเป็นจะต้องไปถึงพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้านั่น แน่นอนอยู่แล้ว ท่านก็ฝึกฝน ศึกษาเวียนตาย เวียนเกิด ศึกษาทุกชาติๆๆ ติดต่อกันมา จนเจอพระพุทธเจ้า เวียนตาย เวียนเกิด ในสังสารวัฎนี้ มีผู้เอาสถิติมายืนยันไว้ว่า พระพุทธเจ้านั่น เจอพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้เกิดมา ในยุคต่างๆ นี่ ได้เกิดในยุคที่มีพระพุทธเจ้า ได้พบพระพุทธเจ้า ถึง ๕ แสน สถิติที่ท่าน เดินดิน เขียนไว้ในหนังสือ เราคิดอะไร ท่านก็ยืนยันว่า มีถึง ๕๑๒,๐๒๘ พระองค์ ๕ แสนนะ คนเราจะเกิด ในยุค ที่จะพบพระพุทธเจ้านี่ มันง่ายที่ไหน แต่พระพุทธเจ้าเวียนตาย เวียนเกิดอยู่ จนกระทั่ง สามารถพบพระพุทธเจ้า ได้เกิดในยุคเดียว กับพระพุทธเจ้า ได้พบพระพุทธเจ้า ถึง ๕ แสน ๑ หมื่น ๒ พัน ๒๘ พระองค์ มันจะมากขนาดไหน คิดดูซิ มันจะเกิดกันกี่ล้านๆ ชาติ

ได้ศึกษามาในโลก ในสังสารวัฏนี้ ศาสนาหรือลัทธิ ที่เรียนรู้ศึกษาว่า ความเป็นคน มันประเสริฐอย่างไร สุดยอดแห่งความเป็นคนนี่ เป็นอย่างไร ท่านได้ศึกษาทั้งนั้น ศึกษาค้นคว้ามา เป็นประวัติศาสตร์ ที่บันทึกโดยญาณ บันทึกโดยจิตวิญญาณ ไม่ได้บันทึกด้วยที่เขาบันทึกประวัติศาสตร์ ที่เขามาพูด มาเอาไอ้นั่นมา มีหลักฐานเอานี่มาเป็นหลักฐาน แล้วก็วิจัยวิจารณ์ อะไรกันไป เอามาเรียนรู้กันอยู่ ทุกวันนี้ มันตื้น มันไม่มาหรอก นอกนั้นก็คาดคะเน เอาฟอสซิลมา เอาหลักฐานส่วนนั้นส่วนนี้มา ที่มันยังหลงเหลืออยู่ ก็เอามาคาดคะเน เอามาอนุมาน เอามาอะไรละ มันเดาเอา เดาเอา มันต้องเป็น อย่างนั้น ไดโนเสาร์นี่ ได้กระดูกมันมา ส่วนนั้นส่วนนี้มา มันก็ต้อง เป็นอย่างนี้ ตรงนี้มันออกมาอย่างนี้ กระดูกอย่างนี้ โครงกระดูกอย่างนี้ หน้าตาต้องเป็นอย่างนี้ โครงสร้างต้องเป็นอย่างนี้ อะไรก็ว่ากันไป มีฟอสซิลอย่างนี้ จะต้องยืนยันว่าเป็นอย่างนี้ มันจะต้อง ประกอบอย่างนี้ เป็นอย่างนี้ มีส่วนถูกบ้าง แต่ไม่สมบูรณ์หรอก มันก็เดา หรือจะมีอะไรหลักฐาน อะไร อื่นๆ อีกก็ตาม มันเป็นรูปธรรม ไม่ใช่นามธรรม

ของพระพุทธเจ้านั้น นามธรรม ละเอียดยิ่งกว่า บันทึกได้ยิ่งกว่า ได้ฟัง ดร. นิติภูมิบรรยายไปเมื่อวาน เป็นสิ่งที่ไม่น่า จะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปอย่างเหลือเกินทางรูปธรรมก็ตาม อย่างที่อธิบายเมื่อวานนี้ ที่ใครฟังไปแล้ว โอ๊ มันพิลึกพิลือ มันจะไปกันใหญ่โลกนี้ มันจะต่าง ๆ นานา มันเป็นเหมือนอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชที่ใช้ เหมือนนามธรรม แต่มันก็ไม่ใช่ ซึ่งอาตมาก็เคยเอามาเทศน์แล้วว่า ทางโลกวิทยาศาสตร์ เขาค้นพบอนัตตา เขาค้นพบ ทุกวันนี้ เขายอมรับแล้วว่า พระพุทธศาสนา นี่ มีอนัตตา มีอนิจจัง แล้วเขาก็ยืนยัน ซ้ำวิทยาศาสตร์ ก็พิสูจน์ และยอมรับความจริง อันนี้ว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนอนิจจัง และอนัตตา ทางวิทยาศาสตร์ quantum วิทยาศาสตร์ quantum เขายอมรับแล้ว เขาพิสูจน์แล้วจริง ว่าศาสนาพุทธนี้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ อนิจจัง อนัตตา นี้ ใช่ เขายอมรับ ไม่มีอะไร เที่ยงแท้เลย ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน มันเปลี่ยนแปลงไป ทั้งหมดจริง ไม่มีอะไร หลงเหลืออยู่อย่างนั้นๆ เขาศึกษาทางรูปธรรม เขาศึกษาทางรูปธรรม

เขาศึกษาในด้านของอุตุเท่านั้น พลังงานละเอียด หรือว่าจะเป็นรูปธรรมที่ละเอียดขนาดไหน ก็ตาม เขาก็ศึกษาไปได้ แค่อุตุและพีชะ ความรู้ในระดับพีชะ อย่างเก่ง ก็พีชะ สามารถที่จะให้ มันเกิด การกำหนด มีสัญญาได้ มีสังขารได้ แต่ไม่มีเวทนา สัญญาได้กำหนดรู้ได้ นามธรรมก็ตาม หรือ เป็นรูปธรรมก็ตาม เป็นสิ่งแค่ละเอียด เขาก็เป็นได้แค่อุตุ เป็นได้แค่กำหนดรู้ หรือสังขารปรุงแต่ง แต่เขาไม่รู้จักอารมณ์ พีชะนี่มีสัญญา มีสังขาร ไม่ถึงจิต เพราะฉะนั้น พลังงานในระดับจิตนี่มีอารมณ์ มีความรู้สึก รู้สึกสุข รู้สึกทุกข์ วิทยาศาสตร์เขาค้นพบอนิจจัง กับอนัตตา ทุกขัง เขาค้นไม่พบ เขาไม่สามารถเรียนรู้ทุกขังได้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เขารู้อนิจจัง และอนัตตา เขาไม่รู้จักทุกขัง วิทยาศาสตร์ สุดยอดอย่างไร ที่ค้นพบทุกวันนี้ ก็ยังไม่รู้จักทุกขัง ยังไม่รู้จักทุกขัง ยังไม่รู้จักอาริยสัจ หรือทุกขอาริยสัจ รู้จักทุกข์แต่โลกีย์ ทุกข์แบบโลกีย์ แล้วเขาก็แก้ปัญหาทุกข์โลกีย์ยังไม่ได้เลย เขาได้แต่บำบัด บำเรอสุขโลกีย์ ไม่มีเงินก็หาเงินมาให้ได้ อยากได้อะไรไม่ได้ ก็หาให้มันได้ อยากเอาดาวเอาเดือน เขาก็พยายามหาดาวหาเดือนอยู่

ทุกวันนี้เขาจะไปเอาดาวอังคาร จะไปเอาดาวพุธ เขาจะไปเอาดาวพระศุกร์ พระศุกร์ พระเสาร์อะไร เขาก็ไป เขาไปได้เกินกว่า จักรวาลน้อยของเรานี้เป็นสุริยจักรวาล ที่มีดาว ๙ ดวงนี่ จะออกไปได้อีก เขาก็จะไป แต่ตอนนี้ เขายังไม่คิด เพราะมันเกินไกลเกิน เขาไม่คิด เขาคิดแต่ดาวใกล้ๆ นี่ ก่อน เขาจะเอาดาวนี่ แข่งกันอยู่เดี๋ยวนี้ ไม่ว่ารัสเซีย ไม่ว่าอเมริกา เดี๋ยวนี้จีนก็ได้แล้ว เป็นประเทศที่ ๓ แล้ว อีกหน่อยก็มีประเทศที่ ๔ ส่งไป ออกไป กำลังแย่งตอนนี้ ไม่รู้ใครจะได้ดาว พระศุกร์ไปก่อนกัน หรือ ดาวพระอังคารใครจะได้ก่อน ก็ยังไม่รู้เลย ตอนนี้ ไปปักธงจอง อย่างอเมริกา เขาบอก เขาไปจอง ดวงจันทร์ก่อนเพื่อนอะไรอย่างนี้ ก็จองไป จะจองเอาไว้กี่ปีละ คนที่จอง จองตกทอดกันเป็น มรดก แต่ยังไม่ได้สัญญากันในระดับโลกนะว่า อเมริกานี่เป็นเจ้าของดวงจันทร์ ยังไม่ได้สัญญากัน แต่ก็ไป ให้มันได้สิ สัญญากัน ใครเป็นเจ้าของก็ไปเอาสิ มันก็จะเอาทุกอย่าง มันก็จะหาให้ได้เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น ในคนที่มีจิตวิญญาณนี่ เป็นตัวธาตุรู้ที่จะเรียนรู้ อะไรต่ออะไรกันให้รู้ขอบเขต ว่า ควรจะศึกษาต่อไหม หรือว่ามันเฟ้อไปแล้ว มันเกินไปแล้ว ที่จะไปเอาดวงดาวดวงนั้นดวงนี้ นี่ มันเกินไปแล้ว มันเฟ้อไปแล้ว

ไม่รู้จะเอาไปทำไม จะต้องไปเอาถึงดวงดาวเลย คุณเอาเพชร เอาพลอย เอาทองคำอะไรนี่ กอดเอาไว้ ตายไปแล้ว คุณจะเอาไปได้ของคุณที่ไหน ละลายส่วนเป็นสิ่งที่ละเอียด เป็นนามธรรมไปด้วย ละลายเอาเพชร เอาพลอย หรือเอาของที่รัก สุดรัก สุดหวงนี่จะเป็น ยอดสามี ยอดภรรยา ยอดลูก ยอดคนที่รัก หรือจะเป็นยอดวัตถุ สมบัติ ยอดเพชร ยอดทอง ยอดอะไร ก็แล้วแต่ คุณเอาไปด้วยได้หรือ คุณจะย่อวิทยาศาสตร์เก่งๆ นี้อย่างที่ นิติภูมิพูดเมื่อวานนี้ โอ้โฮ จนเล็ก จนละเอียด แล้วก็ย่อไปใช้ เป็นอะไร ในกันและกัน ปฏิกิริยาในกันและกันให้มันปรับปรุงตัว ช่วยตัวมันเองได้ ขนาดไหน คุณจะเอาไปได้ไหมละ มันก็เอาไปไม่ได้อยู่ดี

แต่กรรมกับวิบาก นี่ละเอียดยิ่งกว่า เพราะฉะนั้น ในระดับของนิยาม ๕ นี่นะ อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ ในด้านวิทยาศาสตร์นี่ได้ แก่พีชะ ชีววิทยา ทางวิทยาศาสตร์ ได้แค่ชีวะในระดับพีชะ กับอุตุ เรียนรู้ ได้เก่งเท่านั้น เรียนรู้กรรม ยังไม่รู้จักเลย วิทยาศาสตร์ เพราะฉะนั้น ยิ่งไปเรียนรู้ธรรมะด้วย ก็ได้แต่ วัตถุธรรม นามธรรมไม่รู้จัก วิทยาศาสตร์ จิตวิญญาณ ที่จะสามารถรู้จักกรรม รู้จักธรรมะ ของ เวไนยสัตว์ อเวไนยสัตว์ก็เรียนรู้ กรรมไม่ซาบซึ้ง และไม่เชื่อกรรม ธรรมะเป็นกุศล อกุศล หรือธรรมะ ที่เป็น โลกียธรรม เป็น โลกุตรธรรม ไม่สามารถ มีปัญญาหยั่งเข้าไปรู้ ไม่มีปัญญาหยั่งเข้าไปรู้ โลกุตรธรรม โลกียธรรม แยกอย่างไร และล้างโลกียะ จนไม่ติด ไม่ยึดโลกียะ อยู่เหนือโลกียะ จึงเรียกว่า โลกุตระ จะเหนือโลกียะ เป็นโลกุตระได้อย่างไร ทรงสภาพ ธรรมะแปลว่าทรงไว้ ทรงไว้ซึ่งความเป็น ผู้อยู่เหนือโลกียะได้อย่างไร จิตวิญญาณของ เวไนยสัตว์เท่านั้น ที่จะเรียนรู้ได้ เวไนยสัตวที่เรียนรู้ โลกียะดีชั่วก็มี เหมือนกันขนาดหนึ่ง แค่กัลยาณชน ส่วนอาริยชนนั้นเหนือกว่ากัลยาณชน เรียนรู้ โลกุตระได้ แล้วก็สามารถที่เป็นเวไนยศาสตร์ ที่เรียนรู้ โลกุตระ จึงจะรู้จักกรรม รู้จักวิบาก รู้จักธรรมะ ที่แตกต่างกัน ถึง ขั้นโลกียธรรม โลกุตรธรรม แล้วก็สั่งสม โลกุตรธรรมได้สมบูรณ์ ได้ครบครัน

นี่คือเนื้อหาของศาสนาพุทธ ที่อาตมาพยายามย้ำ พุทธเป็นอเทวนิยม จึงมีสุญญตาพ้นทุกข์ที่แท้จริง เพราะฉะนั้น ผู้เป็นอาริยะ เป็นอรหันต์แล้วนี่ ทุกข์ของโลก คนเราทุกข์ ทุกข์เพราะกายิกทุกข์ ทุกข์เพราะ รูปทางกาย แดดร้อน ร้อน ถ้าจะฝึกทน ก็ทนได้ เก่งกว่ากัน น้อยกว่ากัน มากกว่ากัน ได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่ทนร้อนได้ ทนร้อนได้จริงๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นอรหันต์ มันทนทางกาย ทุกข์ของ พระพุทธเจ้านั้น ทางเจตสิกทุกข์ ไม่ใช่กายิกทุกข์ เพราะฉะนั้น กายจะถูกกระทบสัมผัส อรหันต์นี่ เอาไม้หน้า ๓ ตีหัว เปรี้ยง หัวแตกเลือดออก สรีระไม่สมดุล เลือดวิ่งไม่ถนัด เกิดขัดข้อง ก็ปวด ก็เจ็บ อรหันต์ก็เจ็บ อย่าไปเอาว่า อรหันต์ไม่ทุกข์แล้วกระทั่งเอาไม้หน้า ๓ ตีหัวแบะเลย เลือดไหล เป็นแผล เหวอะ แล้วอรหันต์ก็ไม่เจ็บเฉย กายิกทุกข์ยังมี พระพุทธเจ้า ขนาดอย่าว่าแต่ อรหันต์ธรรมดา ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังเจ็บยังปวดได้ ยังเจ็บ ยังปวดด้วยสังขารกาย กายิกทุกข์

แต่เจตสิกทุกข์ท่านไม่มี อรหันต์ไม่มี พระพุทธเจ้าไม่มี แม้เป็นพระอาริยะโสดา สกิทา อนาคา ก็เจตสิกทุกข์ ก็ลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ส่วนกายิกทุกข์นั้น ไม่ได้ฝึกหัดเจ็บได้ง่าย ร้อนง่ายๆ ถ้าฝึก ก็อดทนได้ ฝึกพลัง พลังงานทางจิตนี่แหละ พลังงานทางนามธรรมนี่แหละ ฝึกให้มันทนได้ ให้พิเศษ ให้วิเศษได้ ฝึกจนกระทั่งอยู่ยงคงกระพัน แปรรูปมีฤทธิ์ที่สามารถ ทำให้พลังงานทางจิตนี่ มีพลังพิเศษ เป็นอิทธิปาฏิหาริย์ เป็นอาเทสนาปาฏิหาริย์ เหาะเหิน เดินน้ำ ดำดิน อะไรต่อ อะไรต่างๆ นานา แปลงตัว อะไรต่างๆ นานาได้ แต่ไม่ใช่คุณลักษณะของอรหันต์ เป็นคุณลักษณะ อีกส่วนหนึ่ง ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ในเกวัฏสูตร ว่าท่านเกลียดชัง ท่านเบื่อระอา ท่านไม่ชอบเลย อัฏฏิยามิ ชิคุจฉามิ หรายามิ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ท่านไม่ชอบเลย ท่านชัง ท่านเกลียด ท่านเบื่อระอาเต็มที สิ่งเหล่านี้ โลกหลง แต่ในโลกุตระก็รู้ คุณจะสั่งสมอีกก็ได้ แต่ก่อนจะสั่งสมพวก ฤทธิ์เดชพวกนี้ ความสามารถพวกนี้ เอาอรหันต์เสียก่อน เอาละกิเลสให้หมด เสียก่อน เมื่อละกิเลส หมดแล้ว คุณอยากจะฝึก ก็ฝึกไป ฝึกแล้วคุณก็ไม่ติด ไม่หลง ไม่เป็นทาสมัน เก่งได้เร็วด้วย ถ้าจะ ฝึกนะ เก่งได้เร็วด้วย เก่งได้ไว จะเป็นอิทธิปาฏิหาริย์ ก็ตาม อาเทสนาปาฏิหาริย์ก็ตาม ถ้าได้อรหันต์แล้วนี่ ฝึกได้ เร็วกว่า เร็วกว่าที่ยังไม่ได้อรหันต์ ถ้าอยากได้ ไม่มีปัญหาหรอก แล้วก็ต้องได้ที่สุด ที่สุด เป็นพระพุทธเจ้าได้ทุกองค์แหละ ถึงขั้นเป็น พระพุทธเจ้าได้ทุกองค์ ฝึกไปนี่ ใครถนัด ทางด้าน เจโต ก็จะได้สายแบบเจโตก่อน ใครถนัดทางปัญญา ก็ได้ทางปัญญาก่อน อาจจะชำนาญไปได้ ไป เรื่อยๆ

สรุปแล้วความเป็นคนนี่ พระพุทธเจ้าได้ศึกษาแล้ว สุดยอดคนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก พระพุทธเจ้า ได้ศึกษาจริงๆ ท่านศึกษาความเป็นคน ท่านไม่ได้ไปศึกษาโลกทั้งโลก ลูกโลกนี่ทั้งลูกโลก หรือ ดาราศาสตร์ มีดวงดาวอยู่ในจักรวาล มหาจักรวาล อันยิ่งใหญ่ใครสร้าง มันเกิดมายังไง มันเป็นยังไง ท่านไม่ศึกษา แต่รู้ พอรู้ มันเกิดมาเป็นธรรมชาติ แบบวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ พิจารณาอย่างไร ก็อย่างนั้น ส่วนศาสนาเขาจะพิจารณาอย่างไร ก็ว่ากันไป เพราะฉะนั้น นักวิทยาศาสตร์กับศาสนา ต่างกัน ในยุคที่ศาสนายิ่งใหญ่ อย่างที่เราเคยได้ยิน ประวัติศาสตร์ มีอำนาจยุค ศาสนายิ่งใหญ่ มีอำนาจมาก นักวิทยาศาสตร์บอกว่า โลกหมุนรอบตัวเองจับไปฆ่า เพราะมีอำนาจ ผู้ที่ยิ่งใหญ่ ทางศาสนา มีอำนาจจับไปฆ่า พูดผิด มาแย้งได้ยังไง อย่างนี้เป็นต้น ศาสนาเขาเชื่อว่า พระเจ้าสร้าง แล้วก็ แล้วจะเป็นอะไรยังไง ก็แล้วแต่ พระเจ้าสร้าง ก็เป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ ทางวิทยาศาสตร์ ไปแย้ง ผิด เขาก็จัดการ แต่ถ้าวิทยาศาสตร์มีอำนาจ ศาสนาจะว่ายังไงก็ว่ากันไป อย่างยุคนี้ วิทยาศาสตร์มีอำนาจ ทางโลกียะมีอำนาจ ทางรูปธรรมมีอำนาจ นามธรรม ทางศาสนา ไม่มีอำนาจ ในโลกนี้

จริงๆ แล้วทางศาสนาที่เป็นศาสนาบริสุทธิ์ ศาสนาที่เป็นอิสรเสรีภาพ ก็ไม่ต้องการที่จะมีอำนาจ อะไรหรอก ในความละเอียด ลึกซึ้ง ที่อาตมาค้างไว้ สำหรับพวกเรานี่ อาตมาขอยืนยันว่า พวกเรานี่ อยู่ในมหาวิทยาลัย แห่งพระพุทธศาสนาของโลก เป็นมหาวิทยาลัย ที่ได้เรียน แล้วฝึกฝนกัน อย่างจริงจัง ม.วช. หรือ สัมมาสิกขาลัย ที่อาตมาพาทำนี่ เราศึกษากันอยู่แล้ว กำลังเรียบเรียง หลักเกณฑ์ เรียบเรียงวิธีการ ที่จะเป็นระบบ ทำเอาไว้ใช้ เอาไว้ปฏิบัติ วิธีปฏิบัติ จะศึกษาอย่างไร เป็นธรรมชาติ แล้วก็จะเก็บสถิติ รวบรวมหรือมีเส้นทาง มีแนวทาง ที่จะปฏิบัติ ที่จะประพฤติ ให้เป็น ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ให้ได้รูปแบบที่ดี ที่จะต้องทำ อย่างนี้ๆๆ แนะกัน พอสมควร แล้วก็มี หลักเกณฑ์ ก็จะทำตามๆ กัน เป็นวัฒนธรรม ที่นำพากันในสังคม เป็นรูปแบบ ของสังคม เป็นวัฒนธรรม ของสังคม เป็นพฤติกรรมของสังคม เป็นวิถีที่ดำเนินอยู่ ในชีวิต ของสังคม มันจะพากัน เป็นไป ถ้าจะให้ประเมินผล ทุกคนประเมินตนเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ประเมินตนเอง แล้วบอกใครไม่ได้ หรือประเมินตนเองแล้วไม่บอกใครเลยไม่ใช่ ประเมินตนเองแล้ว บอกคนอื่นด้วย แล้วก็บันทึกชี้แจง ให้คนอื่น ได้รับทราบด้วย จะได้ถ่ายทอด แล้วก็เอามาเป็นหลักฐาน ยืนยัน เป็นกรอบ เป็นหลักเกณฑ์ หรือเป็นมาตรวัด ก็จะมีมาตรวัด มีเครื่องตรวจวัด หรือมีสิ่งที่ เป็นแผนที่ เป็นแนวทาง มันก็จะเกิดประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เพราะฉะนั้น การเรียบเรียง การรวบรวม การบันทึก การรู้จักจัดสรร ให้มันเข้ารูป เข้าร่องเข้ารอย มันก็ดี

ชุมชนของชาวอโศก เป็นรูปแบบของ ทั้งมหาวิทยาลัย เป็นแหล่ง แห่งการศึกษาของมนุษย์ โดยมีชื่อว่า พระพุทธศาสนา เป็นชื่อวิชา มหาวิทยาลัยที่ชื่อว่า สัมมาสิกขาลัยนี้มีอยู่คณะเดียว คือ คณะ พุทธชีวศิลป์ พุทธชีวศิลปะนี่นะ พุทธชีวศิลป์ มีศิลปะ รู้รอบในความเป็นศิลปะ ในการที่จะ ดำเนินชีวะ ชีวิต หรือในการรู้จักชีวะ ชีวิตในการจัดการ กับชีวะ ชีวิต ด้วยศาสตร์ของพุทธ ด้วยวิชาพุทธศาสนา มาปฏิบัติกับชีวะ ชีวิตมีศิลปะ มีคณะเดียว แต่มีหลายแขนงที่มนุษย์พึงมี เพราะฉะนั้น แขนงที่จะ ไปหัดปรุงเหล้าไม่สอน แขนงที่จะไปหัดเดินแฟชั่นโชว์ไม่สอน แขนงที่จะไป หัดรับใช้ เสิร์ฟในโรงแรม ไม่สอน หลายวิชามากมายที่อาตมายกตัวอย่างนี่มาย่อยๆ เท่านั้นเอง วิชาที่หาเงิน ได้ดีอยู่ในโลก วิชาการพนัน วิชาอบายมุข วิชาที่โลกีย์ที่เขาพึงได้เปรียบ แม้แต่ไปเรียน เชิงวิชาที่เป็นประโยชน์ แต่ไม่สอนคุณธรรม สอนแต่วิชาการ ไปเอาเปรียบคนก็ไม่เน้น ไม่แนะนำ ถ้าใครจะเก่ง แต่ไม่มีคุณธรรม ไม่สอน ต่อไปเก่งเอง ถ้าไม่มีคุณธรรม

เพราะถ้าเผื่อว่า เก่งวิชาการ ที่เป็นประโยชน์ คุณค่าเหมือนกันในโลก แต่ไม่มีคุณธรรม ไปเป็นคน เห็นแก่ตัว เห็นแก่ได้ ขี้โลภ แล้วก็แย่งชิง รุนแรง แย่งไม่ได้ ฆ่ามันเลย เอามันมาให้ได้ มันจะมีทั้งโลภะ โทสะอยู่ในตัว เพราะเขาไม่เรียนรู้ธรรมะ แต่เขาเก่ง เก่งวิชาทางโลก เป็นประโยชน์ด้วย เป็นประโยชน์ ในสังคม ก็ตาม แต่เป็นภัยต่อสังคม เป็นภัยต่อตนเอง เพราะตนเอง จะก่อบาป ให้แก่ตัวเองไป จนชีวิตจะหาไม่ เพราะฉะนั้น เรียนเก่งอย่างเดียว ไม่มีคุณธรรม ไม่มีหลักประกัน คนๆ นั้นจะได้บาป ยิ่งเก่งยิ่งได้บาปมาก เพราะจะเอาไป แย่งชิงคนอื่นมาก ถ้ามีความรุนแรงทาง โทสมูลก็จะเอาไป ห้ำหั่น เข่นฆ่า ทำร้าย คนอื่นถึงตาย บาปมาก บาปหนัก ขี้โลภมาก เอาเปรียบมาก แล้วยังทำร้าย ทำลาย ฆ่าแกง ทำอะไร ให้มันรุนแรง โหดร้าย ในสังคมอีก รุนแรง ซับซ้อน เช่นมีอำนาจมากในโลก เป็น มหาอำนาจ สั่งคนไปฆ่าคนในประเทศนั้น ทั้งๆ ที่โลกไม่ยอมรับ ไม่มีมติเห็นชอบ กูจะทำ เอ็งจะทำไม สั่งฆ่าไม่พอ เอา ประเทศไหน ไม่มาร่วมฆ่า ประเทศนั้นไม่ ใช่มิตร เป็นพวกอีกฝ่ายหนึ่ง นี่คือ ความซับซ้อน นี่คือความอำมหิต สั่งฆ่า ไปฆ่าคนแล้วก็ไปร่วมมือ กันฆ่าอยู่ ทำบาปอย่างนี้แหละ

นี่ทางโลก เขาไม่รู้ เขาไม่รู้ว่าเขาบาป เขาได้บาปขนาดไหน ขนาดนี้แล้ว อาตมาเห็นแล้ว ก็ สังเวชใจ เขาไม่รู้ตัว เขานึกว่า เขาทำถูก เขานึกว่าเขาทำเพื่อโลก เขานึกว่าเขานี่เขาช่วยป้องกันให้ นะโลกนี่ ประเทศนี้นี่ มันมีคนเลว แล้วมันทำร้าย มันจะเป็นภัยต่อโลก เขาจะไปป้องกันให้ เขาอ้างอย่างนั้น ยังไม่มีใครตัดสินว่าที่เขาพูดนั้น ถูกต้องหรือไม่ หาเหตุว่านี่ เพราะคนเขามี นี่สะสมอาวุธร้าย จะไปทำลายโลก ตรวจแล้วทุกวันนี้ ก็ไม่มีจริง พิสูจน์แล้ว ก็ไม่มีจริง แต่เขาก็ยืนยัน ต้องทำ ต้องทำต่อ จะพัฒนาให้อะไรไปโน่น จะบูรณะให้ จะสร้างให้ดีๆ จะเป็นประเทศที่ดี ก็คือ อาณานิคมของเอ็ง นั่นแหละ เพราะฉะนั้น จิตวิญญาณของมนุษย์ ที่เขาเป็นเจ้าข้าว เจ้าของ ของเขา อยู่ของเขา เขาอยู่ตรงนั้นมา ไม่รู้กี่ชาติ เขาก็รักของเขา เขาก็ยอมตาย ตายแล้ว ก็ช่างมัน ช่วยสังคม ประเทศชาติ ของเขา เขาก็มีสิทธิ์ ที่จะทำ กล้าตาย นี่เป็นเรื่องของ จิตวิญญาณทั้งนั้น สมควรไม่สมควร ไม่รู้

อาตมาบอกได้ว่า มันจะรุนแรงโหดร้าย ซับซ้อน แล้วเบ่งอำนาจยิ่งกว่าที่มันเป็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ เราไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว เราไม่ต้องไปข้องแวะ เราได้แต่ดู แต่ต้องไม่ไปคิดร้ายกับเขา เราก็ ไม่คิดร้าย เขาทำก็เป็นของเขา กรรมใครกรรมมัน เขาจะทำอย่างนั้นก็เรื่องของเขา นี่ก็เอาเหตุ ปัจจัยพวกนี้ มาอธิบายให้ฟังประกอบเท่านั้น อธิบายไปมากกว่านี้ก็ได้ยกตัวอย่างอะไรพวกนี้ก็ได้ โลกสังคม จะเป็นอย่างไร ก็คือพฤติกรรมจริงของคนนี่ ถ้าเราเข้าใจสัจธรรมแล้ว เราจะมองออกว่า อะไรคืออะไร ใครทำชั่วทำดี ใครทำแรงทำเบา ทำซับซ้อนอย่างไร พลิกแพลงอย่างไร เราก็จะรู้

อาตมาได้ค้างไว้ว่า อาตมาจะอธิบายเรื่องสาธารณโภคี เหตุที่ต้องเอาสาธารณโภคีมา ขยายผล ถึงขั้นไปสู่สังคม ของฆราวาส มันมีเหตุผลอะไร สาธารณโภคี ในสมัยพุทธกาลจึงไม่เกิด แต่สมัยนี้ ยุคนี้ อาตมาต้องทำให้เกิด สาธารณโภคี ที่ยังไม่มีในสังคมฆราวาสสมัยพุทธกาลนั้นก็ เพราะว่า ๑.ยุคสมัยนั้นยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ นี่อาตมาจะอ่าน เป็นข้อๆ ให้ฟังก่อน มันมี ๙ ประเด็น ด้วยกัน อาตมาวิเคราะห์ไว้แยกไว้ ถึง ๙ ประเด็น

๑.ยุคนั้นสมัยนั้นยังเป็นยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์

๒.ยุคนั้นสมัยนั้นเป็นยุคของสังคมทาส

๓.คนในยุคสมัยนั้นยังไม่มีความรู้ เรื่องสิทธิมนุษยชนที่มีตามธรรมชาติ มีตามกฎหมาย มีตาม วัฒนธรรม และมีตาม สัจธรรมดีพอ ในยุคนั้นยังไม่มีดีพอ มันยังไม่มีความรู้ ในเรื่อง สิทธิมนุษยชน ดีพอ ไม่ว่าจะเป็นตามธรรมชาติ ตามกฎหมาย ตามวัฒนธรรม หรือตามสัจธรรมก็ตาม

๔. ยุคสมัยนั้นสังคมยังไม่เลวร้ายหนักหนา สาหัสเท่ากับสังคมยุคนี้ จึงไม่จำเป็นต้องมีกลุ่ม สังคม ที่ไม่เลวร้าย หรือเป็นสังคมดี สังคมคนดี วัฒนธรรมคนดีที่ดี อย่างเข้มข้น ที่ดีอย่างเป็นตัวอย่าง ได้จริงชัดเจน ยืนยันความเป็นคน เป็นสังคมคน ที่ดีที่สุด ถึงขั้น สังคมฆราวาส ที่ต้องมีประสิทธิภาพ ถึงขั้นระบบสาธารณโภคี เพื่อถ่วงดุลหรือจะนำ สังคม ที่ยังไม่ดีส่วนใหญ่ มันยังไม่มีความจำเป็น ถึงขนาดนั้น แต่ยุคนี้จำเป็นแล้ว แล้วจะต้องมีสังคมที่ดีเยี่ยม ดีถึงขนาด สาธารณโภคีนี่

๕.ทรัพยากรของโลกในยุคนั้นยังไม่อัตคัด ขาดแคลน เท่ายุคสมัยนี้

๖.สิทธิในทรัพยากร สิทธิในทรัพยากรยุคนั้น สมัยนั้นยังไม่เคร่ง เครียด เท่าสมัยนี้ ยังไม่แย่งชิง เท่ากับสมัยนี้ สิทธิในทรัพยากร ในยุคสมัยนั้น สมัยโน้นแหละ ยังไม่เคร่ง เครียด ยังไม่แย่งชิงกัน สาหัส สากรรจ์ เท่าสมัยนี้

๗.ทรัพยากรสาธารณะ ในยุคสมัยโน้น ยังมีมากมายเหลือเฟือ กว่ายุคสมัยนี้มาก สมัยนี้หาทรัพยากร สาธารณะ เกือบไม่ได้แล้ว

นี่ก็อย่างนิติภูมิพูดเลย ทุกวันนี้นะเกาะทั้งเกาะ มันหายไป เกาะใหม่ มันเกิดขึ้นมา มันก็เป็นทรัพย์ สาธารณะ นี่แผ่นดินงอก เขาก็มีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์ เกาะใหม่ เกิดขึ้นมาอยู่ในกลางมหาสมุทร ยังไม่อยู่ในเขตของใคร เป็นสาธารณะของโลก ใครจะไป แย่งชิง ใครจะไปคว้าเอาไป เป็นของตนเอง ก่อนก็ไป แย่งกันไปได้ นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ สิ่งที่เกิดเป็นสาธารณะ ในทรัพยากร สาธารณะ สิทธิใน ทรัพยากรสาธารณะ สมัยโน้นมีมากกว่านี้เยอะ เกาะยังค้นไม่พบ แผ่นดิน ยังไม่ได้ ไปจับจอง อะไรก็แล้วแต่ แต่เดี๋ยวนี้ มันจับจองหมดเลย มันขีดเส้นหมดเลย นี่เขตของข้า เขตของไทย กับเขมร เขตของไทยกับพม่า นี่อย่ารุกล้ำกันนะ แต่มันก็รุกล้ำกัน หรืออะไรก็ว่ากันไป แย่งกันไป แย่งกันมา แย่งกันอยู่นี่ นานับกัปกาล ตลอดกาลนาน มันก็เป็นอย่างนี้ อยากแย่งก็ไปแย่งเถอะ

๘.ความมีอิสรภาพของคน ยังไม่รุ่งเรืองเท่ายุคสมัยนี้ ความมีอิสรเสรีภาพของคนในยุคโน้น ยังไม่รุ่งเรือง เท่ายุคสมัยนี้

๙.และในยุคโน้นยังไม่ถึงขั้นเปิดโลก หรือยังไม่ถึงยุคโลกาภิวัตน์ globalization ในยุคโน้นยังไม่ใช่ ยุค globalization ยังไม่ใช่ยุคเปิดโลก ยังไม่ใช่ยุคเปิดโลก ยังไม่ใช่ยุคฟ้าบ่กั้น ยังไม่ใช่ยุคโลกาภิวัตน์ ยังไม่ใช่ยุคที่เชื่อมโยงกันติดต่อกัน จนกระทั่ง ไม่มีอะไรที่จะเชื่อมโยงกันไม่ได้แล้ว ยุคนี้มันยุค globalization จริงๆ

นี่เหตุผล เหตุปัจจัย หรือเหตุผลว่า ทำไมอาตมาถึงเอาสาธารณโภคีมาใช้ในยุคนี้ แล้วใช้ได้ไหม ใช้ได้ไหม พวกเราเหมือนกัน เป็นฆราวาสเอง อาตมาเอา แต่ก่อนยุคพระพุทธเจ้านั้น สาธารณโภคี ทำได้แค่อยู่ในหมู่ของสงฆ์ ของภิกษุ ของสมณะเท่านั้น ในสาธารณโภคี ซึ่งเราจะขยายผล สาธารณโภคี จะขยายความรู้ และความเป็นไปได้ ออกไปให้แข็งแรง ให้แข็งแรง และให้ดีงาม วิจิตรพิสดาร ลึกซึ้ง ละเอียดลออขึ้นไปยิ่งๆ ยังมีความลึกซึ้ง ยังมีความละเอียด ลออ ยังมีความดีงาม วิจิตร พิสดาร อยู่อีกมากในสาธารณโภคี เพราะในระดับที่ทำกันอยู่ทุกวันนี้ สาธารณโภคีเรานี่ เป็น ไปได้ถึงชั้นคน ที่ละตัวตน ไม่ติดยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา

ไม่ว่าจะเป็น โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา หรือ อรูปอัตตา ก็ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้น คนที่มีจริง คนที่ละได้จริง ไม่ยึดไม่ติดจริง ก็สบายก็สุข และเป็นคนดี ไม่ต้องมี ไม่มีทรัพย์ศฤงคาร ที่เป็นโอฬาริกอัตตา ไปยึดไปติดวัตถุนั่น ไม่ยึดอยู่แล้ว ใจก็วางได้ปล่อยได้ บ้านของเรา เรือนของเรา ทรัพย์ของเรา เงินของเรา ทองของเรา อะไรๆ เป็นของเรา ลูกเรา เมียเรา ผัวเรา อะไรของเราต่างๆ นานา คนนั้นคนที่เรารัก คนรักของเรา อะไรๆ ของเรา ต้องลาภของเรา ยศของเรา สรรเสริญของเรา รูป รส กลิ่น เสียงอะไรของเรา ก็แล้วแต่ เราไม่ได้ยึดติด ว่าเป็นเรา เป็นของเรา มีก็อาศัยไปเท่าที่มันมีสาระ ที่มันจะให้ได้ ใช้อาศัยสาระเท่านั้น

ไม่ใช่ไปใช้อารมณ์ ที่เป็น อารมณ์กิเลส อารมณ์ประเทือง อารมณ์บำเรอไม่ใช่ เป็นสุข เป็นทุกข์ไม่ใช่ แต่เป็นสาระ ไม่ใช่เป็นสุข เป็นทุกข์ มีรูปอย่างนี้ เออ อาศัยรูปนี่ดีไหม ดีใช้รูปนี่ เสียงนี่ดีไหม เออ อาศัยเสียงไป เสียงอย่างนี้ใช้ได้ เป็นประโยชน์ขณะนี้ อย่างนี้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ ทั้งในใจ เมื่อได้แล้ว เราอาศัยไปแล้ว เราก็ไม่ยึดติดเป็นเรา เป็นของเรา แม้กระทั่งที่สุด เอาแต่ใจเรา เป็น อรูปอัตตา ต้องใจเราเท่านั้น ทั้งๆ ที่ถูกต้องด้วยนะ ที่ถูกต้องอย่างนี้ ต้องอย่างนี้ มันต้องอย่างนี้ เอาแต่ใจเรานี่ ต้องได้ไม่ได้ แล้วก็อึดอัด ขัดเคือง ไม่ได้ก็เอาไปเบ่งไปข่ม จนเกิดความทะเลาะวิวาท แตกแยก หรือทำร้ายกัน ไม่เอา

สุดท้าย แม้ว่าเราเองจะต้องตาย มันขัดแย้งกัน จนกระทั่งเขาจะต้องทำร้ายเราตาย ตายก็ตาย เพราะการตาย เป็นเรื่องสามัญนะ ไม่ใช่เรื่องวิสามัญ เรื่องตาย อะไรมันก็ต้องตาย ใครมันก็ต้องตาย หรือ ใครจะไม่ตาย หรือใครไม่รู้ว่า จะต้องตาย เป็นเรื่องสามัญ เด็กเดียงสาแล้ว รู้มา รู้ทั้งนั้น จนกระทั่ง แก่เฒ่า ก็รู้ทั้งนั้น นอกจากวิปริตทางจิต กำหนดอะไรไม่รู้ เพราะฉะนั้น เรื่องตาย เป็นเรื่องสามัญ ตายกันมาแล้ว ไม่รู้กี่ชาติๆๆ เพราะฉะนั้น ถ้าเรียนรู้จริงๆแล้ว จะไม่มีปัญหา เรื่องตาย

ก่อนตายนี่แหละ มีกรรม มีสิ่งที่ต้องกระทำ แล้วอันนั้น เป็นทรัพย์ อาตมาก็พูดย้ำพูดซ้ำ พูดซาก เป็นแผ่นเสียงตกร่อง ทรัพย์นี่คือกรรม แล้วใครละอยากได้ทรัพย์ที่ชั่ว ทรัพย์ที่เป็น อกุศลกรรม ไม่อยากได้ แต่อย่าทำสิ คุณทำแล้ว คุณบอก ไม่เอาไม่ได้ คุณทำของคุณจริงๆ นี่ ตั้งแต่ ในจิต คิดทำนี่ มันคิดจริงๆ แล้วนี่ แหมอยากจะเขกกบาลเจ้าตัวนี้จัง มันก็ไม่ดี คุณคิดจริงๆ คุณเกิดอาการ อย่างนั้น ทางจิตจริงๆ แล้ว จริงๆ ไม่ใช่คิดเล่นๆ ไม่ใช่ สมมุติ ไม่ใช่ว่า ลองอะไรไม่ใช่ คิด จริงๆ มันเป็นอาการ ทางจิต จริงๆ มีเจตนา มีอารมณ์ แหม อยากเขกหัวคนนี้จัง ก็เป็นกรรมแล้ว ลบไม่ได้ ทิ้งไม่ได้ เอาไปแบ่งให้ใครไม่ได้ ไม่เอาไม่ได้ ระวังนะ

ศาสนาพุทธนี่ ท่านสอนลึกซึ้ง ละเอียด จริงๆ เลย เป็นเรื่องที่ลึกสุดยอด อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ กรรมมีจิตที่เรียนรู้กรรม รู้จักกรรมเป็นทรัพย์ รู้จักกุศล อกุศลเป็นธรรมะ แบ่งเป็นส่วนดี ส่วนชั่ว ส่วนที่ควรไม่ควร อย่าทำสิ่งที่ไม่ควร ทำสิ่งที่ควร เพราะฉะนั้น ต้องทำกุศลกรรม อย่าไปทำอกุศลกรรม มันจะได้เป็นกุศลธรรม หรือจะได้เป็นอกุศลธรรม สั่งสม ธรรมะคือทรงไว้ ในนามธรรม ของมนุษย์ มันทรงไว้ มีธรรมะในนามของมนุษย์ จะเรียกว่าอัตตา หรือไม่เรียกว่าอัตตา ก็ตาม มันทรงไว้ จนกว่า จะปรินิพพาน สลายธรรมะ สลายความทรงไว้ แยกธาตุออกไปเลย ซึ่งอาตมาก็ อธิบาย แล้วก็ยก ตัวอย่าง ประกอบ อะไรก็ไม่ง่าย เท่าที่อาตมาต้องมีความรู้ทางวิทยาศาสตร์นิดหน่อย เช่น H2O น้ำ เป็นธาตุน้ำ น้ำมันเป็นธาตุอย่างนั้น คุณใช้มันก็เป็นธาตุน้ำอย่างนั้นละ แต่น้ำ นั่นมันไม่ใช่ธาตุตัวเดียว มันเป็น H2O มันมี O สองขา มันมี H ขาหนึ่ง มันมาจับกัน เป็น H2O ถ้า คุณแยกธาตุ H O ออกจากกันได้ น้ำหายไปธาตุน้ำไม่มี ธาตุน้ำไม่มี ไม่มีรูปร่างน้ำ สภาพน้ำไม่มี มันกลายเป็นแก๊ส เป็น H กับ O เป็นโฮโดรเจน กับ ออกซิเจนไป นัยเดียวกัน คนนี่เป็นจิตวิญญาณ ของอัตภาพ ก็สลายธรรมะ สุดท้าย เป็นสูญตา ธรรมะก็ไม่มีอะไรทรงไว้ ผู้ที่สามารถเรียนรู้ธรรมะที่ทรงไว้นี้ และสลายธรรมะนี้ได้ มีศาสนาพุทธ ศาสนาเดียวในโลก ไม่เชื่ออาตมา ก็ไม่ง้อ แต่ไม่เชื่อ แล้วอย่าลบหลู่ นี่คือพุทธ

ครบ ๒๕๔๗ นี่ อาตมาอายุ ๗๐ ๒๕๔๗ เดือนมิถุนา ๕ มิถุนา อาตมาก็ จะอายุ เริ่มขึ้น ๗๑ ๕ มิถุนา ๒๕๔๗ ก็เริ่มขึ้น เริ่มอายุ ๗๑ ย่าง ๑ วัน พอไปถึง ๒๕๔๘ วันที่ ๕ มิถุนา ๒๕๔๘ ก็จะครบ ๗๑ ขึ้น ๗๒ ๒๕๔๘ ก็จะขึ้นอายุ ๗๒ ไล่ไปเรื่อยๆ จนครบ ๒๕๔๙ ๒๕๔๙ ๕ มิถุนา ๒๕๔๙ ก็จะเต็มอายุ ๗๒ ขึ้น ๗๓ เพราะฉะนั้น ปี ๔๘ ถึง ๔๙ เป็นช่วงอายุ ๗๒ อาตมาก็จะต้อง ทำงานให้หนัก ทำงานให้ครบๆ ที่ได้ตั้งใจไว้ เพราะไม่รู้ว่า อาตมาจะอยู่ในขันธ์นั้น จะอยู่ครบ ๗๒ หรือเปล่า เพราะว่า ก็ไม่ชัดว่า ตัวเองนี่อายุ ๗๒ นั้นจะตายเดือนไหน ในอายุ ๗๒ อันนี้ไม่รู้ละเอียด ที่บอกนี่บอกความจริง เท่าที่ อาตมารู้เอง แต่อาตมาใช้อิทธิบาทนี่ ก็อาจจะไม่ตาย ในอายุ ๗๒ ก็ได้ เพราะฉะนั้น เราไม่รอ เราไม่หวัง เราทำ ทำสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยวิชชา ทำสิ่งที่ควรที่สุดเท่านั้น

คิดว่าในปี ๗๒ นั้น ถ้ามันรอดได้ มันไปได้ก็ดี แต่ก็น่าจะได้ฉลองอะไร ควรจะทำอะไรเป็นจุดหมาย ในระดับ อีก ๒ ปี นับประมาณนั้น ๗๒ นี่ควรจะทำอะไรให้สมบูรณ์ ให้ครบครันให้ดีๆ แล้ว ก็จะได้ ฉลองกัน อันนี้ก็ควรจะเรียบร้อย เป็นเวทีถาวร ทางเจ้าโคกใต้ดิน เรือลำใหญ่ลำโน้น ก็ควรจะเรียบร้อย ก็ควรจะเสร็จก่อน พวกนี้ควรจะเสร็จก่อนด้วยซ้ำ อะไรที่มันจะยากกว่า หรือว่าเรายังไม่ได้คิดจะทำ ก็ควรทำให้เสร็จๆ อีกน่าจะมีในอนาคต ก็จะได้ทำกัน วัตถุก็ทำสิ่งที่สมควร นามธรรมะ ละสำคัญ จิตวิญญาณของแต่ละคน ของตัวเอง พยายามทำ เพราะว่าจิตวิญญาณ มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา จิตวิญญาณเป็นประธาน ยิ่งใหญ่สำคัญที่สุด

พระพุทธเจ้าท่านค้นพบแล้ว สิ่งในโลกนี้ มหาจักรวาลนี้ ดวงอาทิตย์ก็สำคัญกับโลก มีอำนาจในโลก ศาสนาอื่น เขาบอกว่า พระเจ้าสำคัญในโลก ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก แต่พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า มโน สำคัญที่สุดในโลก เป็นประธาน ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เพราะฉะนั้น เรียนรู้ มโน แล้วก็ให้มโนมีฤทธิ์ มีฤทธิ์ประหนึ่งพระเจ้า มีฤทธิ์ยิ่งกว่าพระเจ้าก็ได้ ถ้าจะพูดกัน ให้มโนนี่มีฤทธิ์ มโนมีประสิทธิภาพ มโนไม่ทำบาป มโนทำแต่บุญ มโนนี่มีแต่กตัญญู กตเวที มโนมีแต่ ความช่วยเหลือ เกื้อกูล ผู้อื่นเป็น ผู้สร้าง เป็นผู้ประทาน เป็นวิญญาณบริสุทธิ์ มโนนี่ เป็นประธาน ทุกอย่าง เพราะฉะนั้น สำคัญที่มโน สำคัญที่จิตใจ

ทุกวันนี้นี่ อาตมาสงสารประเทศอยู่เหมือนกัน ก็ถึงจะช่วยประเทศ นายกฯ ทักษิณ จะทำให้คนอยู่สุข ด้วยวัตถุ ทางเศรษฐกิจ ทางอะไร ตามความรู้ ก็เอาละ ทำขนาดนี้ จริงจังขนาดนี้ก็ดีแล้ว แต่ส่วนที่ยัง มีจุดบกพร่อง ยังไม่มีส่วนไปเอนเอียง ไปส่งเสริม ไปสัมพันธ์ไปสนับสนุน ไปเอี่ยว ไปเกี่ยว ในส่วนที่ ไม่ถูกต้องนัก มันก็มีบ้าง ก็ไม่เป็นไร ค่ารวมก็ยังมีส่วนดี ค่ารวมก็ยังมีส่วนที่ใช้ได้ ส่วนบกพร่อง ก็มีบ้าง เราช่วยไม่ได้ เราแก้ไม่ได้ หรือผู้มีอำนาจนี่ ให้ไปเปลี่ยนแปลง ยิ่งผู้ยึดติดมัน ไปไม่ได้ ก็ได้แค่นั้น เราก็ทำ สิ่งที่ควรทำ อาตมาก็ทำในด้านที่อาตมาทำ ก็พยายามที่จะสร้าง ทางด้านนามธรรม สร้างคน ให้คน มีคุณธรรม ถ้าทางผู้มีอำนาจของประเทศ ไม่ส่งเสริมทางคุณธรรม เรายิ่งต้องส่งเสริม เพราะมันขาด ไม่ใช่ว่าประชดประชัน แกล้งกันอะไรไม่ใช่ ส่งเสริมทางด้านโน้นจะทำ ทางด้านรูปธรรม ก็ทำไป ส่วนดีก็มี ส่วนไม่ดีมันมาย้อนแย้ง เราก็พยายามแก้ เราก็ยิ่งต้องทำ อบายมุขจะมีมากขึ้น กาสิโน การพนันอะไร มันจะเกิดขึ้น เราก็ต้องต้านไว้ ต้องพยายาม แล้วก็ต้องทำให้มันเป็นจริง

เราไม่มีอบายมุข เราไม่มีคาสิโน เราไม่มีการพนัน เราไม่มีสิ่งที่มันไม่ดีไม่งาม เราไม่หลงใหล ฟุ้งเฟ้อ สิ่งโลกๆ ที่มันเป็นของหยาบ หรือเป็นของที่ควรจะละ ควรจะหลุด ควรจะพ้นมาได้ เราก็ต้องมาเป็นกัน อย่างนี้ให้ได้ แล้วก็สร้างสรร เสียสละ มีเมตตา มีกตัญญู มีเกื้อกูล มีสิ่งที่จะให้ประโยชน์แก่ผู้อื่น เราก็จะมาทำ แน่นอนมันหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่เราจะเป็นคนมีน้อย มักน้อย เป็นคนจนที่เสียสละ แต่เรารวย อยู่ที่สมรรถนะ และความขยัน เราจะขยัน เราจะมีสมรรถนะ มีผีมือ มีความสามารถ ทำทุกวัน สร้างทุกวัน มารวมกันสร้าง รวมกันพัฒนา รวมกันสะพัด รวมกันกระจาย ไปให้แก่สังคม เรามาเป็น ผู้ให้ ผู้สร้างสรร ผู้เสียสละ ผู้ให้ นี่คือคุณลักษณะของพระเจ้า เราปฏิบัติ จริง ให้เป็นคนอย่างนี้จริง เราก็เป็นตัวพระเจ้า หรือเป็นลูกพระเจ้า ที่ตัวจริง คุณลักษณะอย่างนั้น เป็นของ พระเจ้า มีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา หรือเป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ประทาน เป็นจิตวิญญาณ บริสุทธิ์ พระเป็นอันนี้ ฝึกฝนอันนี้ให้ได้

เพราะในด้านที่เรารู้อยู่ว่า เราทำได้ ไม่มีใครมาห้าม ที่เราจะเป็นคนดี โลกทั้งโลกไม่ห้าม ที่เราจะเป็น คนดี มีคนชั่วร้ายเท่านั้น ที่จะห้ามเรา หรือต้านเรา คนชั่วร้าย เขาก็ทำตามความร้ายของเขา บาปเป็น ของเขา เราก็หลีกเลี่ยงเอา หลีกเลี่ยงทำให้มันได้ ใครมาทำร้ายกับเรา อย่างอาตมาถูกทำร้าย ถูกต่อต้าน ถูกพยายามที่จะกำจัด อาตมาก็พยายาม ที่จะเลี่ยง ไม่ให้เขาทำได้สำเร็จเท่านั้นเอง โดยไม่ไปปะทะ โดยไม่ไปทะเลาะ โดยไม่ไปหาเรื่องอะไรกับเขา ยอมได้ยอม แต่สิ่งใดยอมไม่ได้ มันเสียธรรม ก็ไม่ยอมเท่านั้นเอง ก็พัฒนามา ก็ดำเนินกันมา

ถึงทุกวันนี้แล้ว พวกเราเป็นหมู่เป็นกลุ่ม ชุมชนแต่ละชุมชน อย่าเอาอำนาจอัตตาเป็นใหญ่ เรียนรู้อัตตา ให้ดี โอฬาริกอัตตา เข้าใจง่าย มโนมยอัตตา อาตมาก็ไม่กังวลหรอก เพราะมันเป็นการสร้างเสริม อยู่ในตัวเท่านั้นเอง คนหลง พวกเราไม่หลงมากเท่าไร มโนมยอัตตา มันยังมีอยู่ แฝงอยู่ อาตมายังไม่ได้ ขยายความ ในมโนมยอัตตา นี่มีซับซ้อน จากโอฬาริกอัตตา กับอรูปอัตตา เข้าเป็นมโนมยอัตตา มันมี เอาไว้วันหลัง ค่อยขยาย

สรุปแล้ว อรูปอัตตานี่แหละ เอาแต่ใจตน ยิ่งเราดี ยิ่งเราละได้ ลดได้ เราไม่ติดไม่ยึด เราวางได้ มาเป็นคนดี เป็นคนมีคุณค่าประโยชน์ เป็นคนที่เขายกย่องเชิดชูให้สิทธิ มีอภิสิทธิ์ เสริมขึ้น มีอภิสิทธิ์ให้แก่ตนเองมากขึ้น โดยเขาให้นะ อภิสิทธิ์นี่เราไม่ได้ไปยึดเอาของเรามา แต่เขาให้สิทธิ์ สิทธิยิ่งใหญ่ เขายกให้ เรามีสิทธิ์ มีสิทธิ์ที่จะได้อันนั้น มีสิทธิ์ที่จะได้อันนี้ มีสิทธิ์ที่จะรับอันโน้น มีสิทธิ์ที่จะรับอันนี้ หรือมีสิทธิ์ที่จะกำหนดอย่างนั้น กำหนดอย่างนี้ สั่งการอย่างนั้น สั่งการอย่างนี้ มีอีก ถึงขั้นมีพลัง เป็นอิทธิพลัง หรืออิทธิพล มีอำนาจ มีอิทธิพล ทำอย่างนี้เขาเกรง ทำอย่างนี้เขากลัว ทำอย่างนี้ เขาต้องหยุด ทำอย่างนี้ เขาต้องยอม มีได้เป็นลำดับ เป็นบุคคล ทั้งกำหนดกัน และไม่กำหนดกัน โดยธรรมชาติ มันมีอยู่จริง

เพราะฉะนั้น เราจะมีทั้งความรู้สิ่งเหล่านี้ แล้วก็มาใช้ มีความรู้แล้วก็ใช้ให้มันถูกตัว ถูกตน ถูกฝา ถูกตัว ถูกลักษณะ แล้วมันเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ ก็จะเป็นประโยชน์ สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เราไม่ใช้ เราก็ต้อง กำจัด กำจัดออกไป เลิก ออกไป มันก็จะมีแต่ทำสิ่งที่ไม่ดีออก ทำสิ่งที่ดียิ่งขึ้น และ สุดท้ายจิตของเรา ก็ทำความไม่ติดไม่ยึดให้ได้ แล้วจะเป็นสังคมมนุษย์ ที่เป็นตัวอย่างเอง ทุกวันนี้ ก็เกิดชุมชน เกิดมนุษย์ เป็นตัวอย่าง อย่างที่กล่าวนี้แล้ว

ถึงอาตมาตายลงไปในวินาทีนี้ อาตมาก็มั่น ใจว่า พวกเรารู้ และพวกเราเชื่อมั่นเห็นจริง ข้อสำคัญ อย่าสังฆเภท อย่าแตกแยกกัน ไม่ใช่ดังแล้วก็ แยกวง เก่งแล้วก็แยกวง อย่าให้มีอัตตาอย่างนั้น อัตตาใหญ่ ถึงขั้นแยกวง รวมกันไว้ไม่เสื่อม ถ้าเราไม่แยกวง เราไม่แตกแยกกัน เราไม่วิวาทกัน เราพยายามทำความสามัคคี ทำความรวมกัน เป็นเอโก ธัมโม ให้ได้ อยู่ได้นานเท่าไร ร่วมกันทำ ประสานกันให้ดี ปรึกษากันให้ดี หมั่นพรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกัน วินิจฉัย พรั่งพร้อมกันเลิก มีมติ ทำกันให้เป็นหนึ่งเดียวกันให้ดีๆ

สิ่งนี้จะยืนนานไป จนกระทั่ง หมดพุทธสมัย อีก ๒,๐๐๐ กว่าปี จะนำพาสังคมนี้ไปได้ หมู่กลุ่มนี้ ก็จะเป็นสิ่งที่ยืนต่อไปอีก ใครสั่งสมได้เป็นทรัพย์ ใครสั่งสมกรรมวิบากได้ เป็นทรัพย์ มีอาริยทรัพย์ มีทรัพย์ที่เป็นอาริยะได้ คุณก็เป็นทรัพย์ไป เบื้องหน้าอนาคตอีกกี่ชาติๆ ไป แม้ยุคนี้ มันจะล่มสลาย กลียุค เลว ร้ายตายกันไปหมดแล้ว เหลือคุณ คุณก็ตายด้วย แต่ตายแล้ว คุณก็ต้องเกิดอีก ถ้าคุณยัง ไม่ปรินิพพาน คุณก็เกิดอีก เกิดอีก คุณก็มีทรัพย์ของคุณไป อย่างพระพุทธเจ้า ท่านอุบัติขึ้นมา ท่านสั่งสมบุญบารมีมา มีขุมทรัพย์ ๔ ทิศ เกิดมาพร้อม ก็เป็นวิบากของท่านเอง มันไม่ได้แบกมา เหมือนกับก้อนหิน ก้อนเบ้อเร่ออะไรอย่างนี้ มันไม่ใช่ เป็นนามธรรม เป็นอาริยทรัพย์ ทรัพย์ของท่าน จะเป็นทรัพย์ทางโลกีย์ ทรัพย์ทางโลกุตระ ก็เป็นของท่าน ท่านก็เกิดมาพร้อมขุมทรัพย์ ๔ ทิศ นี่หมายความว่า ท่านมีทรัพย์มาพร้อมหมดเลย ทิศนั้น ทิศไหน ท่านมีหมด อาตมานี่ หมากลางตลาด เกิดมามีแต่ถังกับถังผง เกิดมาพร้อมกับถังผง เป็นหมากลางตลาด ใครเขาเอาขยะ มาทิ้งในถังผง อาตมาก็ไปแอบหากิน ซอกแซกๆ ได้ทรัพย์หากินในถังผง มีอะไรพอกินได้ใช้ได้ ก็เก็บเอง จากถังผง เป็นหมากลางตลาด

ในปีนี้ ถ้าผู้ที่มางานนี้ได้ฟังธรรมนี่ หรือแม้ใครไม่ได้มางานนี้ จะด้วยวิบากใด ก็ตาม ได้เอาเทปม้วนนี้ ไปฟัง ก็สำนึกให้ดี สังวรให้ดี ตั้งใจให้ดี ว่าเราเอง เราควรจะเป็นคนที่เป็น ลูกพระพุทธเจ้า เป็นคนที่ จะเดินไปในทางที่ พระพุทธเจ้าพาเดิน สงสัยอะไรอีก คุณเป็นพุทธแท้ หรือเปล่า มีปัญญาเท่าไร พยายามตรวจสอบ ว่าปัญญาที่ว่านี่ ปัญญาไปหาเงิน ปัญญาไปแข่งขัน โลกเขา นั่นน่ะ อาตมาว่า พักได้แล้ว หยุดได้แล้ว สำหรับคนที่ควรหยุด แต่คนที่มันยังขาดแคลน มันยังมีวิบากมากอยู่ ก็แล้วไป อาตมาคงช่วยได้ยาก วิบากใครวิบากมัน ทุกวันนี้อาตมาช่วย คนที่จะพัฒนา ให้เป็นผู้ที่หลุดพ้นได้ ไม่ใช่ไปช่วยคนที่ยังมีวิบากหนัก อาตมาช่วยคน ที่มีวิบากหนักไม่ไหว ช่วยคนที่มีวิบาก ที่ไม่หนัก สามารถที่จะทำตนให้หลุดพ้นออกมาช่วยคนอื่น เพราะฉะนั้น คนที่ช่วยตนเองก็ไม่รอด ก็รับบาป ไปก่อน รับวิบากไปก่อน คนที่ช่วยตัวเองรอด สามารถที่จะทำให้ตัวเอง พ้นให้ได้ จงทำ

เมื่อเราพ้น ช่วยตัวเองได้แล้ว พ้นภาระ พ้นวิบาก เราก็จะมาช่วยคนอื่นได้ คนเราต้องเกิด มาช่วยคนอื่น ช่วยตนเองได้รอด แล้วมาช่วยคนอื่น ช่วยตนเองก็ไม่รอด นอกจากช่วยตนเองไม่รอด แล้วยังเอาเปรียบ คนอื่น อยู่บนหลังคนอื่น เป็นคนที่เอาเปรียบคนอื่น นี่แหละ ลัทธิทุนนิยม เอาเปรียบคนอื่นทั้งสิ้น ก่อบาปทั้งสิ้น ยังแย่งชิงอยู่ทั้งสิ้น สิ่งเหล่านี้ เป็นความลึกซึ้ง ไปไตร่ตรอง ตรวจสอบเอาเองก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าเราไม่ศึกษาสัจธรรมพวกนี้ เราจะไม่รู้เลยว่า เราก่อบาปอยู่ เพราะฉะนั้น อย่าไปสะสมบาปอีก บาปที่ยังมีอยู่ ยังเป็นอดีตที่เรามีวิบากบาป อดีตที่ไม่ได้มา ในชาตินี้ ยังไม่ได้ ส่งผล ยังเป็นหมาไล่เนื้อ ตามอยู่ตอนนี้ ยังวิ่งกวดไล่ๆ อยู่นี่วิบากบาปนี่จะไล่ เป็นหมาไล่เนื้อ มันยังไม่ถึง บางที คุณวันนี้ยังไม่ถึง หมาไล่เนื้อ ไล่มาถึงพรุ่งนี้ ระวังหมาไล่เนื้อ มันวิ่งตามคุณอยู่ทุกคน เพราะฉะนั้น วิบากบาป มันวิ่งไล่มา ถึงวันนี้ออกผล ถึงพรุ่งนี้ออกผล ถึงมะรืนนี้ มันก็ออกผล นี่มันวิ่งยังไม่ทันคุณเท่านั้นเอง โบราณาจารย์ท่านว่าไว้นั่นดี ท่านเปรียบ เหมือนหมาไล่เนื้อ เหมือน หมาไล่เนื้อ วิบากบาป มันเหมือนหมาไล่เนื้อ มันวิ่งกวดเหยื่อ กัดไม่ปล่อยนะพวก วิบากบาปนี่

วิบากดี นั้นน่ะอาศัย แล้วก็ไม่ค่อยจะเหมือนหมาไล่เนื้อ มันไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่ โกรธ อาฆาต กับคนที่ดีนี่นะ คนดีนี่อยากจะทำความดี แล้วมันไม่แรงเหมือนคนโกรธ อาฆาตที่จะ ทำร้ายหรอก คนโกรธอาฆาตทำร้ายนี่มัน อื้อหือ มันแรง แล้วมันต้องเอา มันต้องมุ่งทำทันที ส่วนคนทำดีนี่ คนที่จะไปช่วยคนดี หรือคนจะไปทำดี ไม่มุ่งแรงเท่า คุณคิดออก คุณก็ต้องรู้อยู่ทุกคน เพราะมันไม่ทุกข์ร้อน คนจะไปช่วยคนดีนี่ เขาไม่ทุกข์ร้อน แล้วมันไม่แรงร้าย มันมีแต่แรงดี เพราะฉะนั้น ดีไม่เป็นไร ดีอยู่กับเราไปชั่ววินาทีหนึ่ง มันไม่เสีย มันไม่เจ็บปวด มันไม่โหดอะไร แต่ ร้ายนี่ มันไม่ได้ มันใจร้อน หรือว่ามันแรง มันจะต้องเข่นฆ่า มันจะต้องให้มันโหดหมดไป แล้วต้องทำลาย ให้ทันตาอะไรก็แล้วแต่ นี่เป็นลักษณะของมัน เพราะฉะนั้น นี่เป็นธรรมชาติ หรือธรรมะ จะเป็นอย่างนี้

เราอย่าประมาท พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ สรุปรวมลงแล้ว อย่าประมาท ประมาทไม่ได้ เมื่อรู้แล้วว่านี่ดี พยายามทำให้ได้ทันที นี่ไม่ดีพยายามเลิกให้ได้ทันที อย่าประมาท อย่าผลัดวันประกันพรุ่ง อย่าช้า ได้ดีเร็วๆ หรือได้อรหันต์เร็วๆ นี่ ไม่ใช่สิ่งที่น่ารังเกียจ ไม่ใช่สิ่งที่ น่ารังเกียจ ที่ไม่เร็ว รอเอาไว้ เออไม่เป็นไร เราชั่วไปอีกวินาทีหนึ่งก็ได้ ชั่วไปอีกสักเดือนหนึ่งก็ได้ โอ๊ น่ารังเกียจจัง มันน่ารังเกียจนะ ใช่ไหม เป็นความคิดที่น่ารังเกียจ ความคิดที่น่า ขยะแขยง ความคิดที่ ไม่พัฒนาเลย ไม่เป็นไรหรอก จะชั่วอย่างนี้ไป อีกสักเดือน อีกสักชาติหนึ่ง โถๆๆ แหมไม่รู้จะพูด ยังไงแล้ว คนที่บอก ไม่เป็นไรหรอก ชาตินี้ชั่วไปอีกสักชาติหนึ่ง ก็ช่างมันเถอะ เรามันไม่ดี เรามันเลวแล้ว เรามันวิบากชั่วมาแล้ว จำนนแล้ว คนนั้นคือ คนที่เน่าลูกเดียว เน่าลูกเดียว ไม่มีทางที่จะพัฒนา อะไรเลย ถ้าคนทำความรู้สึก ทำความเข้าใจ ให้แก่ตนเอง สรุปตนเอง แบบนั้น

เราต้องพากเพียร เราต้องก้าวหน้า เราต้องเจริญ เราต้องเลิกสิ่งที่ไม่ดีให้ได้ เป็นตายร้ายดี คนนี่แหละ ทำได้ เราเป็นคนหนึ่ง เราต้องทำให้ได้ ต้องพากเพียร เลิกสิ่งที่มันควรเลิกให้ได้ ทำดีที่มันดีนี่ ให้สำเร็จ ให้แข็งแรง อาตมาก็พูดย้ำๆ แล้วพูดแรง เพราะมันต้องพูดแรง พูดหนักยุคนี้ พูดเบาๆ แหมมัน เอาสำลี ไปเช็ดหนังแรด เอาสำลีไปขัด เอาสำลีไปขัดหนามทุเรียน ให้มันเกลี้ยง ก็เอาสำลี ไปขัดมันออก มันยาก มันไม่เป็นไปได้ เพราะฉะนั้น จึงต้องแรง เพราะยุคนี้อะไรก็แรงๆ พระพุทธเจ้า ถึงเกิดไม่ได้ไง พระพุทธเจ้า เกิดมายุคนี้ไม่ได้ เกิดมาแล้วท่านต้องทำแรง มันเสียธรรม แต่อาตมานี่ ไม่เป็นไรหรอก พญาแร้งๆ ยกนิดๆ ขอภาษานิดๆมาเรียก ใครเขาเรียกอาตมาว่าอีแร้ง นี่ แก้เขา นิดหนึ่งนะ แต่ก็ไม่ต้อง เถียงเขาหรอก เขาจะยืนยันว่าอีแร้ง ก็ยอมเขาซะ แต่ถ้าบอกว่า ไม่ใช่อีแร้งหรอก พญาแร้ง ถ้าเขาบอก เอาพญาแร้งก็โอเค ขอนิดหนึ่ง ขอนิดเดียว ขอพญาแร้งก็ว่าดีนะ

อาตมาต้องเกิดมายุคนี้ ก็มาช่วยศาสนา เพราะฉะนั้น จะด่างจะพร้อย ใครจะว่า ใครจะตำหนิ ก็ต้องยอม ไม่เป็นไร อาตมายอมได้ แล้วก็ต้องพิสูจน์อัตตาของเราว่า เรายอมได้ไหม เขาเหยียบย่ำ ทำลาย เป็นเดรัจฉาน เป็นอะไร เป็นศาสดา มหาภัย เป็นเทวทัต เป็นอะไรก็แล้วแต่ เขาด่าเป็นหมู เป็นหมา นี่เขาด่าอย่างหยาบๆ คายๆ อะไร เขาด่ากันเยอะไป พวกภาษา สามัญที่เขาว่ากัน ปากเปราะๆ เขาว่ากันทั้งนั้นละ เขาว่าหมด จะว่าอะไรใครที่เขาว่ากันหยาบๆ เขาให้ฉายาอาตมา เขาก็ว่าไป หรือให้เป็น article นำหน้า แทนที่จะเรียกคุณ จะเรียกท่าน เขาไม่เรียกหรอก เขาก็เรียกอย่างอื่น อะไรก็ว่ากันไป ไม่เป็นไร อาตมาต้องพิสูจน์อัตตาอาตมาว่า อาตมาติด ยึดตัวตน เขาด่า เขาทำลาย เขาเหยียบย่ำ เขาดูถูกดูแคลน อาตมาจะมีอาการ มีอารมณ์ในจิตขึ้นไหม มันต้องพิสูจน์ตัวเอง ต้องยืนยันตัวเอง ทำไปเถอะ ไม่ต้องดีต้องเด่น ต้องได้อะไรหรอก เขาไม่ยกไม่ย่อง ไม่ชูไม่เชิด ไม่ได้รางวัลอะไร ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก เป็นคนที่อยู่เบื้องหลัง ปิดทองในลำไส้พระ ไม่ใช่ปิดทอง หลังพระ ปิดทองในลำไส้พระ ก็ไม่เป็นไร สมัยนี้สมัยวิทยาศาสตร์ เขาสามารถ ที่จะใช้เครื่องเข้าไป ถึงในลำไส้ได้ ไปปิดในโน้น ไปได้ทุกน้ำละนะ อธิบายได้ทุกน้ำ

เอาละนะ ก่อนจะเลิก ก็ ๖ โมงพอดีแหละ นี่ตอนนี้ ๐๕. ๕๕ น. ก็ขอให้ทุกคน ตั้งใจ เกิดมาเป็นคน อย่าให้โมฆะ อย่าให้เสียขณะ พระพุทธเจ้านี่ ท่านย้ำเรื่องอย่าให้เสียขณะ ทำขณะให้เจริญ ทำขณะ ให้เป็นกุศล ทำขณะให้เลิกจากอกุศล ให้ได้ทุกขณะ ขณะนี่ยิ่งกว่าวินาที เราเรียกภาษาว่าขณะ ก็แล้วกัน ยิ่งกว่าวินาที ยิ่งกว่า ฟิลิปดา ยิ่งกว่าอะไรไปอีก ขณะทุกขณะ พยายาม ก็คิดว่าทุกคน ได้ฟังธรรมวันนี้ ก็เทศน์ ก็คิดว่าตามโปรแกรม เขาให้เทศน์ ๓ วัน แต่อาตมาคิดว่า พรุ่งนี้จะเทศน์อีก ใครอยู่ก็ฟัง ใครไม่อยู่ก็แล้วไป พรุ่งนี้ก็ไปเทศน์ในศาลา ไปเทศน์ใน เฮือนศูนย์สูญโน่น เทศน์ทำวัตรเช้า อะไรนี่ไป ใช่ไหม ได้ใช่ไหม ได้ ได้ ได้ ท่านอนุมัติ คือท่านเป็นสมณะผู้ใหญ่ อยู่ที่นี่ ท่านลงอารามที่นี่นะ ท่านเดินดิน ท่านเป็นสมณะผู้ใหญ่ที่นี่ เราก็ต้องเป็นผู้มาอาศัย ก็ต้องถามผู้ที่ท่านดูแล ท่านก็บอกว่าได้ ก็พรุ่งนี้ก็จะเทศน์ ไปตามที่ควรจะเทศน์

สำหรับวันนี้คิดว่าได้สรุป หรือว่าได้เทศน์เรื่อง มหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งโลกซึ่งรวม เป็นมหาวิทยาลัย ที่มีการศึกษา ในระบบอย่างนี้แหละ เป็นชีวิต เป็นธรรมชาติ รวบรวมทั้งสิ่งแวดล้อม ในขอบเขตที่มีบริบทของมัน มีบริบทของมัน คือมีสิ่งที่เรารู้ว่า มันมีอะไรบรรจุอยู่ในนี้ เกินนี้ไม่ใช่ เมื่อเกินนี้ไม่ใช่ เราก็ต้องรู้ขอบเขตว่า เกินนี้ไม่ใช่ คือขนาดไหน อย่างไร จึงเรียกว่าบริบท เพราะฉะนั้น เราก็จะทำในบริบทของเราให้สมบูรณ์ที่สุด ใครจะมาร่วม มา ยินดีต้อนรับ ส่วนใครจะออกไป ก็ไม่ได้ยินดีเท่าไร แต่เขาจะออกไป ส่วนใครที่ไม่ได้อยู่ในมาตรฐาน เราก็ต้องให้ออกไป เขาจะอยากอยู่ เรายังไม่ให้อยู่เลย ส่วนใครที่มีมาตรฐานไม่ถึงขั้น เราขับ หรือไม่ต้องขั้นเราเชิญออก ก็ไม่น่าจะออก ออกไปเราก็ไม่ยินดีเท่าไรหรอก เพราะฉะนั้น คนที่มีมาตรฐาน หรือคนที่ยังมีศีล พอมีศีล พอที่จะ สำรวมศีล สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ อะไรได้ คนที่มีศีลมา ยินดีต้อนรับ ผู้ที่มีศีล ที่ควร จะพอมีพลังอินทรีย์ พละที่จะมาร่วมกัน เป็นมนุษย์ มาร่วมกันเป็นมนุษย์ ที่ประเสริฐ ก้าวหน้าไปได้ ก็เชิญ

ปีนี้มีอะไรต่ออะไร ที่แข็งแรงขึ้นพอสมควร ที่จะอาศัยได้ อยากจะบอกส่งท้ายว่า ขอให้พวกเรา เอาภาระ คนแก่ ดูแลคนแก่ ให้มีน้ำใจ ต่อคนแก่มากขึ้น เรานับวันจะแก่มากขึ้น อาตมาพูด เผื่อตัวเองด้วย เพราะอาตมาจะแก่ขึ้นไปอีก เดี๋ยวจะไม่มีใคร ดูแลอาตมาในอนาคต แต่ถึงกระนั้น ก็ตาม อาตมาก็คงไม่ต้องไปห่วงมาก คนแก่ที่ไม่มีวิบากดี เท่าอาตมา ไม่มีคุณธรรม หรือไม่ได้มีผลงาน อะไรดีๆ จนเป็นที่ยอมรับของพวกเราเท่าไร ก็เลยไม่เอ็นดู ไม่นับถือ หรือว่าไม่รัก ไม่ชื่นชอบ อะไรมากนัก ก็ระลึกถึงบ้าง เป็นคนที่ไม่ได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่อยู่กับเรามาจนแก่แล้ว ตอนนี้ช่วยตัวเองไม่ค่อยได้ กำลังวังชาก็น้อย เจ็บป่วย สังขารเสื่อม ดูแลกันไป เพราะต้องตาย ดูแลกันยังไง ให้ดีขนาดไหน ก็ต้องตาย เพราะฉะนั้น ดูแลกันไปเถิด สักวันหนึ่ง เขาก็ต้องถึงอายุขัย สิ้นตาย อยากให้เอาภาระคนแก่ มีน้ำใจ สำเหนียกหน่อยว่าคนนี้ ระลึกถึง มีสาราณียะ ระลึกถึงบ้าง โอ๊ คนนี้นี่ ควรจะไปดูซิ ขาดเหลืออะไร จะช่วยอะไรได้บ้าง สร้างน้ำใจ อย่างนี้ขึ้นมาให้มาก

ส่วนเรื่องความเจ็บ ขอให้พวกเรา สรุป ด้านการแพทย์ ด้านการรักษา ดูแล ตอนนี้มันค่อนข้างจะสับสน หรือว่าฟุ้งเฟ้อ หรือว่ามีอะไรมาเรื่องพอสมควร ในเรื่องของต้องยังแสวงหาอยู่ ใช่ไหมนี่ ยัง alternative อยู่นี่ ยังจะเลือกการแพทย์ อันโน้น อันนี้อะไรมามาก อาตมาว่าเอามารวบรวม เอามาวิจัยกัน แล้วตัดสิน เอาเท่าไร เอาเท่านั้น เอาเท่านั้น พอสักทีเถอะ ไม่เช่นนั้น การแพทย์ที่ว่าทาง เลือกนี่ มันจะไปเลือกไปสะสมเอามามากเกิน ขณะนี้ก็ได้หัวๆ ก็ยอดวิชาการแล้วละ เพราะฉะนั้น ในการแพทย์ ในการรักษาดูแลนี่ ก็ต้องทำ ต้องทำแน่นอน ในสังคมของคนพวกเราดูแลกัน ของเขานั่น รักษาทุกโรค ๓๐ บาท ของเรารักษาฟรี เหนือชั้นกว่ารัฐบาล รักษาฟรีกันให้ได้ ช่วยกัน เกื้อกูลกัน การศึกษาของ รัฐบาล เราก็ฟรี ของรัฐบาลเขาก็ยังเสียสตางค์ค่าบำรุงบ้าง แต่เขาก็ช่วยนะ แต่ของเอกชนนั่น เสียสตางค์แน่ ของเราฟรี การศึกษาก็ฟรี การรักษาพยาบาลก็ฟรี แม้แต่ในที่สุด สาธารณโภคี อาหาร ก็มีกินฟรี

ขอให้ทุกคน ประสบผลที่ดี ได้รับความประเสริฐที่ชื่อว่า อาริยะ ของบุญนิยมนี้ถ้วนทั่ว ทุกคนเทอญ


จัดทำโดย โครงการถอดเท็ปธรรมะ
ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ๓๑ มกราคม ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๑ โดย เทียนฟ้า บูรพ์ภาค ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
พิมพ์โดย รัตนา แสงทองไพโรจน์ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๗
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป. ๖ กรกฎาคม ๒๕๔๗
พิมพ์ออกโดย ถทธ.
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
TCT 0483.DOC
สร้างจิตพุทธะให้เข้าถึงอรหันต์ ๑ ม.ค.๒๕๔๗