งานฉลองหนาว
โดย พ่อท่านสมณะโพธิรักษ์
ธรรมก่อนฉัน เมื่อ ๒๔ มกราคม ๒๕๔๗
ณ พุทธสถานภูผาฟ้าน้ำ
หมู่บ้านแม่เลา ต.ป่าแป๋ อ.แม่แตง เชียงใหม่

เอ้า วันนี้... เขาก็ถือเป็นการจัดการทำงานในด้านพรรคการเมืองด้วย เป็นโครงการ ประชาธิปไตยอาริยะ เราเรียกว่าอาริยะ แต่ทางการเขาไม่ยอมรับคำว่าอาริยะ เขาบอกว่าไม่มี ในพจนานุกรม เขาไม่ยอม เขาจะต้องใช้คำว่าอริยะ อย่างไรก็ไม่ยอม อาริยะอย่างไรก็ไม่ยอม ไม่มีในพจนานุกรมว่าอย่างนั้น เอ้าก็ไม่เป็นไร เราก็ยอมเขา เขาไม่ยอมเรา เราก็ยอมเท่านั้นแหละ ใช้ได้ เราก็ยอมใช้อริยะก็อริยะ

โดยความหมายของคำว่าอริยะนั้นน่ะ แต่เดิมมันก็แปลว่าความประเสริฐ มนุษย์ประเสริฐ ความเป็น อริยะนี่ มนุษย์นี่แหละ มีความประเสริฐนั้นในตัวคน ทีนี้ประเสริฐที่หมาย ที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้นี่ มันประเสริฐที่พิเศษ ประเสริฐของพระพุทธเจ้า ที่หมายนี่คือเป็นคนประเสริฐจริงๆ เป็นคนประเสริฐ เพราะกิเลสลด ความโลภ ความโกรธ ความหลง ลดลงไป ชื่อว่าเป็นคนประเสริฐ และความโลภ ความโกรธ ความหลงที่มันลดจริงๆ นี่ พระพุทธเจ้าท่านใช้ทฤษฎีของท่าน สอนให้คน มาลดความโลภ โกรธ หลง พอคนลดความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ตามทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า จริงๆ นี่ กิเลสมันออกจริงๆ กิเลสมันลดจริงๆ เพราะท่านมีทฤษฎีเรียนรู้ไปอ่านถึงอาการของกิเลส อาการของ ความโลภเป็นอย่างไร พวกเราเคยอ่านออกไหม อาการทางจิต มันเป็นนามธรรม มันไม่เป็นก้อน เป็นแท่ง มันไม่เป็นสีเป็นตัวตนอะไรหรอก แต่มันก็อ่านอาการออก เพราะมันเกิดที่ใจเรา อาการนี้ มันอาการโลภ อาการโกรธ เราอ่านออกใช่ไหม

แล้วเรามีทฤษฎีของพระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติให้เรียนรู้ พอรู้แล้วก็ให้ลด ลดด้วยวิปัสสนา ลดด้วยสมถะ อะไรก็แล้วแต่ จะทำได้อย่างชนิด ตทังคปหาน หรือ วิขัมภนปหาน ก็ตาม มันก็สามารถลดลงได้ ตทังคปหาน หมายความว่า ปหานลงได้เป็นชั่วขณะๆ ตทังคะ ทังคะนี่แปลว่าขณะๆ แต่ละขณะ ที่เราเกิดกิเลส แล้วเราก็จับมันได้ แล้วก็พยายาม ลดละมันได้ ด้วยวิธีกดข่ม เรียกว่าสมถวิธี หรือ วิธีวิปัสสนา วิปัสสนาแปลว่า ด้วยปัญญา ด้วยการรู้แจ้งเห็นจริง คือมีเหตุมีผล มีหลักฐาน มีความจริง มีสิ่งอ้างอิง ยืนยันแล้วก็ทำให้มันลดไปได้ ไม่ต้องไปกดไปข่มมัน ไม่ต้องไปทิ้ง ไม่ต้องทำเป็นลืมๆ ไม่ต้องไปทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อะไรไม่ใช่ แต่รู้ๆ เลย เห็นกิเลสแล้วก็เอาเหตุเอาผล เอาหลักฐานเอาความจริง เอาข้อดีข้อด้อย เอาอะไรต่ออะไรแล้วแต่หลักฐาน หรือว่าผู้ที่เป็นตัวอย่างของเรามายืนยันอ้างอิงกับมัน แล้วกิเลสมันก็จางคลายลงไป ลดลงไปเรื่อยๆ เรียกว่าวิปัสสนาวิธี อย่างสมถะนี่กดข่มไปเฉยๆ ดื้อๆ ไม่ให้มันเกิดมีเรี่ยวมีแรง หรือว่าทำลืมๆ ทำไม่เอาถ่าน ทำเป็นวางเฉยประเภทที่ทิ้งๆ ขว้างๆ ไปเลย ได้เลย โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีปัญญา เข้าไปกำกับ หรือว่ามีหลักฐานความจริงอะไรเข้าไปยืนยันอะไร ให้มันไม่ใช่ มันมีวิธี ๒ วิธีนี่ ต้องเข้าใจวิธี ๒ วิธีนี่ให้ชัด เพราะฉะนั้น ถ้าทำได้ในขณะใด เรียกว่า ตทังคปหาน ขณะที่เราไปชั่วขณะหนึ่ง เราก็ทำได้ ทำได้โดยวิธีนี่แหละ จะเป็นสมถะหรือวิปัสสนา ก็อีกทีหนึ่ง ทำได้แต่ละขณะๆ นี่เรียกว่า เราสามารถปฏิบัติ โดยเฉพาะ ถ้าตทังคปหานแล้ว ท่านมัก จะโน้มไป ในทางอธิบายแบบวิปัสสนา ทีนี้วิธีการวิปัสสนาคือทำในปัจจุบันธรรมนี้ รู้แจ้งเห็นจริง ในขณะนี้ แล้วก็ใช้วิธีวิปัสสนา ให้มันลดละลงไปได้จริงๆ เลย นั่นคือวิธีของพระพุทธเจ้าโดยตรง

ส่วนวิธีวิขัมภนะนี่แปลว่ากดข่ม วิขัมภนปหาน นี่กดข่ม กดข่มแล้วกิเลสมันก็สงบได้ชั่วคราว แต่มันไม่จริง มันไม่ชัดเจน มันไม่ถาวร ของพระพุทธเจ้านี่เหมือนกันกับรู้เห็นตัวตน ทั้งๆ ที่ไม่มีตัวตน หรอก รู้เห็นตัวตน ชิ้นเนื้อ เป็นชิ้นเป็นอันเลย หยิบมันได้ จับมันได้ จับมั่นคั้นตาย แล้วก็ขจัดมันเป็นตัวๆ ชิ้นๆ ออกไปเลย เหมือนหยิบเอาฝุ่นละออง หยิบตัวชิ้นมัน แล้วก็เอาออก ส่วนวิขัมภนปหานนั้น มันกดขุ่น กดตะกอน ให้มันแน่น มันตกไปแล้วก็ใช้น้ำใสๆ ข้างบน

ส่วนของวิปัสสนานั่นน่ะกวนให้ขุ่นเลยก็ได้ มันกระทบกระแทกกระเทือนขึ้นมาให้มันเห็น แล้วก็จับ ตัวมัน ได้ชัดๆ แล้วก็ทำลายตัวมัน เอาให้ตัวมันตาย มันหายไปเลย หยิบออกๆ เลย ให้ตัวตน มันหายไปเลย มันก็จะออกไปอย่างเด็ดขาด เพราะว่าตัวตนมันตายหายไป แต่วิธีของกดข่มนี่ มันไม่หายไป มันจะไป นอนเนื่องอยู่ข้างใต้ก้นเรียกว่าอาสวะ เรียกว่าอนุสัย เรียกว่า สิ่งที่นอนเนื่อง หรือสิ่งที่จะไปตกอยู่ใต้ก้นบึ้ง แต่กลายเป็นเชื้อ หรือกลายเป็นยีสต์ กลายเป็นตัวที่แตกตัวได้ ยังมีตัวตน ยังมีบทบาท มันไม่หายเด็ดขาด นี่คือความแตกต่างของศาสนาพระพุทธเจ้า กับวิธีทำฌานสะกดจิต เป็นวิธีที่เขาทำมาก่อน

อาตมาอธิบายถึงหลักวิชานี้ให้ฟัง ก็คือวิธีของพระพุทธเจ้านี้ เป็นวิธีที่ลดกิเลสถูกตัวตน ถูกโลภ โกรธ หลง อย่างชัดเจน ตัวมันตายแท้ๆ เพราะฉะนั้น คนที่ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า ถูกทฤษฎีของ พระพุทธเจ้า เรียกว่า สัมมาทิฐิ กิเลสมันจะหายไปจริง การที่กิเลสมันลดไปจริงเช่น กิเลสในระดับ โสดาบัน เรียกว่ากิเลสในระดับหยาบ ขั้นชั่วๆ หยาบๆ น่ะ อบายมุข หัวหน้านรก หัวหน้าความเลื่อม ความต่ำ อบายนี่เป็นความต่ำ ความต่ำความเสื่อม อย่างที่ท่านบอกอบายมุข ๖ พวกที่ยังติดสิ่งเสพติด ยังมากในกาม ยังเป็นคนเล่นการพนัน ยังเที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว ขี้เกียจ นี่อบายมุข ๖ กิเลสพวกนี้นี่ เรารู้อาการมัน เรารู้ตัวตนมัน เราจัดการฆ่ามันได้ ดับมันได้จริงๆ คิดดูสิคนที่ไม่ติดเรื่องกามเรื่องราคะ เรื่องการพนัน เรื่องเสพย์สิ่งเสพติด สิ่งเสพติดหยาบๆ อะไรพวกนี้ กิเลสไม่ไปติด แล้วก็จับกิเลสได้ ฆ่ากิเลสตาย คนเหล่านั้น ก็ไม่ไปวุ่นวายเรื่องอบายมุขพวกนี้ ไม่ไปเรื่องการพนัน ก็หยุดสนิทเลย ไม่มีรส มีชาติ เป็นอุเบกขาฐาน จิตเฉยๆ มันไม่สุขไม่ทุกข์ด้วยเลย เขาจะสุขจะทุกข์อย่างไร เขาไปเล่นการพนัน สุข เรื่องของเขา แล้วก็ทุกข์เพราะไม่ได้เล่น หรือว่าเล่นการพนันแล้ว ไปมีทุกข์ ก็เรื่องของเขา

แต่คนที่ตัดกิเลสได้ ก็เฉยๆ มันสบาย โล่ง ว่างโปร่งเป็นสุขอย่างว่างๆ จิตว่างๆ จิตสบายๆ การพนันก็ดี ก็ละกิเลสได้ สิ่งเสพติดก็ดีก็ละกิเลสได้ เรื่องเจ้าชู้ กาม เรื่องราคะหยาบๆ สำส่อนอะไรนี่ก็เลิกได้ ก็มีกิเลสในระดับผัวเดียวเมียเดียว พอสมควร นี่ในระดับโสดาบัน โสดาบันนี่ ปิดอบายมุข ไม่เที่ยว กลางคืน ไม่คบมิตรชั่ว ระเบิดเทิดเทิงอะไรที่สนุกสนานกลางคืนนี่จะต้องไป โอ ตะโพนดังที่ไหน ไปที่นั่น เสียงระเม็งละครที่ไหนไปที่นั้น อะไรนี่ ถ้าใครศึกษามาจะรู้ ก็ไม่แล้ว ก็เฉยๆ เสียงแหม เขาโหมโรง เขาตีเสียงดัง ระเม็งละคร เสียงปี่ เสียงกลอง เสียงดนตรีฉึ่งฉั่งๆ เราก็เฉย ไม่ดูดไม่ดึง ไม่ดูดไม่ติด เพราะเราละกิเลสพวกนั้นได้จริง ตัวเหตุมันตายจริง ไม่เที่ยวกลางคืน ไม่คบมิตรชั่ว ไม่ขี้เกียจ ขี้เกียจนี่ ลึกซึ้งหลายๆ ชั้น อาจจะขี้เกียจในระดับหนึ่ง แต่ขี้เกียจหยาบๆ ตื้นๆ นี่เรารู้ตัวแล้ว โอ๋ยเราขี้เกียจ อย่างขนาดนี้นี่ เราน่าอายแล้ว เราไม่เอาแล้ว เป็นความขี้เกียจนี่มันน่าอาย คนที่ลด กิเลสอันนี้ ได้จริงแล้ว ความไม่ดีไม่งามขนาดนี้ได้จริงนี่ ชีวิตจะรุ่งเรือง ชีวิตจะดี จะไม่สูญเสีย จะไม่เปลือง เปลืองไปด้วย สิ่งเสพติด เปลืองไปด้วยการพนัน เปลืองไปด้วยเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เรื่องชู้ เรื่องสาว เรื่องอะไรพวกนี้ เรื่องราคะที่มันเป็นไปพวกนี้ลดลง ไม่ต้องเปลืองด้วยการเที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว พาไปในทางเสื่อมเสีย อะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา มันก็จะไม่เสีย ไม่ขี้เกียจ ขยันหมั่นเพียร ก็สร้างสรร คนพวกนี้จะเลี้ยงตนเองรอด จะอยู่ดีกินดีขึ้นมา สังคมจะดีขึ้นมา จริงๆ

แล้วเมื่อมันเป็นจริงในระดับอย่างนี้แหละ คนที่ได้ลดละกิเลสแท้ได้นี่ เรียกว่า อารียะ ทีนี้ก็เรียก ตามภาษาที่เขาไม่ยอม อาริยะ เขาจะบอกว่าอริยะ ก็ใช่ แต่จะต้องของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้ มันฟั่นเฝือแล้ว เป็นพระอริยะ ก็ไปเป็นพระอริยะอะไร ของเขาก็ไม่รู้ อริยะเหาะเหิรเดินน้ำดำดินอะไร ซึ่งเป็นทางโลกๆ น่ะ อริยะเก่ง หรือรดน้ำมนต์ได้เก่ง เคาะหัวได้เก่ง อาริยะนั่งฌาน หลับตาสะกดจิต ไปได้แล้วก็ ไม่รู้หรอก ท่านก็ว่าของท่านไปตามเรื่อง นี่มันไม่ใช่มรรคองค์ ๘ ไม่ใช่โพธิปักขิยธรรม ไม่ใช่ทิศทางอันเป็นสัมมาทิฐิของพระพุทธเจ้า มันก็เลยเป็นอริยะ กันคนละแบบ อาตมาก็เลย ไม่เอาแล้วอริยะแบบนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น เขาจะเรียกอริยะก็ช่างเขา ให้เขาเอาไปเลย คำว่า อริยะ

อาตมามาเรียกอาริยะ ซึ่งใช้ทฤษฎีของพระพุทธเจ้าอย่างที่อาตมาอธิบายนี่ ปฏิบัติกันจนกระทั่ง ลดละ กิเลสได้ พอลดละกิเลสได้ อย่างยกตัวอย่าง อย่างได้อย่างโสดาบันนี่ ลดอบายมุข ดับกิเลส อบายมุข ได้จริงๆ โสดาบันจะต้องมีปัญญารู้ตัวเอง รู้ว่าเราลดได้ นี่เราไม่แล้ว อ่านกิเลส อ่านจิตใจ ที่ว่าง จากกิเลส กิเลสมันตาย กิเลสมันว่าง ออก เออนี่ แต่ก่อนนี้เราติด เสียงอย่างนี้ไม่ได้แล้ว สิ่งเสพติด อย่างนี้นี่ เราเห็นสัมผัสด้วยตา ด้วยหู จมูก ลิ้น กาย สัมผัสอย่างนี้นี่ โอ อดไม่ได้ ได้กลิ่น มันก็อดไม่ได้แล้ว เห็นรูปมันก็อดไม่ได้ ได้ยินเสียง ได้สัมผัส โอ..มันอดไม่ได้ เดี๋ยวนี้มันเฉยๆ มันอดได้ไม่ต้องอดด้วย ไม่ต้องทนด้วย อดได้จริงๆ ละเว้นได้ เพราะฉะนั้น ถอนอาสวะยังได้เลย โสดาบันนี่ถอนอาสวะสิ้น ในเรื่องอบายมุข เห็นเลยว่า เราถอนอาสวะ กิเลสไม่มี ในก้นบึ้งของจิตก็ไม่มี กิเลสหยาบ เรื่องของ วิติกมกิเลสก็ไม่มี กิเลสกลางปริยุตฐานกิเลสก็ไม่มี กิเลสลึก กิเลสปลาย ระดับปลายละเอียด เรียกว่า อนุสัยกิเลสก็ไม่มี ถอนอาสวะสิ้น ถอนอนุสัยสิ้น อย่างนี้เป็นต้น เราจะมี ญาณ ๗ อ่านกิเลสออก อ่านใจของเรา อ่านกิเลสของเรา ได้หมดจริง ต้องรู้แจ้งเห็นจริง เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ รู้ได้ด้วยตน รู้อย่างชัดเจน ไม่ใช่งมงาย ไม่ใช่มาถูกหลอก ไม่ใช่ว่า เป็นจริง หรือไม่จริงก็ไม่รู้ เขาบอกเรา เขาแกล้ง ยกยอเรา ว่าเป็นโสดาบัน แล้วเราก็เรียกโสดาไปกับเขา แต่เป็นจริง หรือไม่จริง ก็ไม่รู้ เลอะเทอะ ใช้ไม่ได้ อย่างนั้นไม่ใช่เรื่อง ศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธคือ ศาสนาที่ไม่งมงาย คือศาสนาที่มีปัญญาญาณ คือศาสนาที่รู้แจ้งเห็นจริง เป็นศาสนา ที่เป็น วิทยาศาสตร์ทางจิต ๆ หมายความว่า มันต้องมีความจริง ที่พิสูจน์ได้ แม้จะเป็นอาการทางจิต ก็รู้แจ้งเห็นจริง พิสูจน์ได้ ทุกคนปฏิบัติถูกทาง ปฏิบัติถูกทฤษฎี และพากเพียรจริงๆ รู้จักกิเลสจริงๆ ลดละกิเลสได้บ้าง ได้มากได้น้อย มันมีความจริง มีของจริงรองรับ นี่เป็นของพระพุทธเจ้า อาตมา ขยายความอาริยะ ก่อนที่จะขยายเข้าไปถึงคำว่าประชาธิปไตย ให้รู้ลักษณะ ของคนที่เป็น อาริยะ เมื่อคนที่ปฏิบัติตนเป็นอริยะได้ เป็นมวล เป็นกลุ่มชุมชน เป็นสังคม เป็นคนชนิดที่เป็นสังคม ที่มีธรรมะ ของพระพุทธเจ้า ได้มรรค ได้ผล ของธรรมะพระพุทธเจ้า และเป็นคน ลดละกิเลส อย่างที่เราเป็นกันนี่ อบายมุขเราก็เฉย เรามีร้องมีรำด้วยนะ มีเต้น มีร้อง มีรำอะไรพวกนี้ มันมีแต่เป็น ศิลปะ เป็นเครื่อง ที่จะจรรโลงใจ เป็นมงคลอันอุดม เราร้อง เรารำ ก็เป็นการสื่อ สื่อเพื่อที่ จะให้ได้เกิด จิตวิญญาณ รับรสรับรู้ ประทับใจ เป็นเรื่องพัฒนา ไม่ใช่เรื่องมอมเมา ไม่ใช่เรื่องพา ให้ไปดูดดึง ในเรื่องที่จะตกต่ำ ในเรื่องที่จะไปหลงใหลในเรื่องที่จะไปอบายมุข ไปอะไรต่ออะไร ไม่ใช่ ถึงจะเป็นร้อง เป็นรำอะไรต่างๆ นานา นี่เป็นศิลปะ อันนี้ต้องเข้าใจ อย่าพาซื่อ ถือศีล ๘ ร้องเพลง ก็ไม่ได้ ร้องเพลง ที่มีคุณค่า มีประโยชน์ สำหรับตนก็เป็นการเอามาท่อง มาทวน เอามาร้องแล้ว มันทำให้เราน ี่แหมสำนึก ลดละกิเลสได้ เพลงอย่างนี้เป็นศิลปะ เป็นมงคลอันอุดม ไม่ได้อาบัติ ไม่ได้บาป ไม่ได้เสียอะไร ต้องเข้าใจให้ลึกซึ้ง

แต่ในขั้นต้นนั่นคนแยกไม่เป็นหรอก เพลงอย่างไรเป็นเพลงที่เกิดคุณค่า เป็นมงคลอันอุดม เป็นศิลปะ เพลงอย่างใด เป็นสิ่งอนาจาร เป็นสิ่งมอมเมา ทำให้คนยิ่งเลวลง กิเลสยิ่งหนาขึ้น แยกกันไม่ออก เมื่อแยกกันไม่ออกก็ตัดทิ้งก่อน เพลงอะไรก็ไม่เอาทั้งนั้น อย่างนี้เป็นต้น นั่นเป็นขั้นต้น พอขั้นสูงขึ้นมา เหมือนกับเราเรียนคณิตศาสตร์ เรียนคณิตศาสตร์ขั้นต้น ๐ ไม่มีค่า ตัดทิ้งหมดเลย ไม่ต้องเอา ๐ ไม่มีค่า แต่ในระดับคณิตศาสตร์ชั้นสูงขึ้นมา ระดับ advance แล้ว ขืนไปเอา ๐ ไม่มีค่า ตัวเดียว แล้วพังเลย ไม่ได้ ๐ มีค่าๆ มาเติมเข้าข้างท้าย ๑ ก็มีแล้ว มาเติมเข้าข้างท้าย สองตัวเข้าไป ค่าเพิ่ม หรือว่าเอา ๐ ไปคูณ อะไรบรรลัยเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้น เมื่อมีลักษณะที่ลึกซึ้งขึ้นไปในอนาคต ๐ มีค่า ๐ นี่จะต้อง มีบทบาท ในอะไรต่ออะไรอีกเยอะแยะเลย มันได้ทั้งบวกทั้งลบ เติม ๐ เข้ามีค่าได้ เอา ๐ ไปคูณ ไปหารเข้า ค่าหาย อะไรก็แล้วแต่ ในเรื่องคณิตศาสตร์ชั้นสูง ก็ต้องมีค่า อย่างนี้เป็นต้น ก็เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ศีลในระดับขั้นต้น ก็บอกว่า ไม่ต้องมีร้องเพลง ไม่ต้องมีร้องรำทำเพลง ไม่ต้องมีอะไร ต่ออะไรเลย ก็ใช่ โดยหลักก็ต้องตัดไปก่อน เพราะยังแยกไม่เป็น พอขั้นสูงมาแล้ว ก็ต้องแยกเป็นว่า เพลงการก็ดี โคลงกลอนก็ดี คีตะ วาทิตะ วาทิตะก็คือโคลง คือกลอน คีตะก็คือ สำเนียง ซุ่มเสียงต่างๆ นัจจะก็คือ ท่าทางลีลาต่างๆ ต้นๆ ก็เอาแต่แค่ฟ้อนรำ ท่าฟ้อน ท่ารำ พอสูงขึ้นก็ทั้ง นัจจะ แปลว่า ท่าทีลีลา ท่าทางของคนบางคน แสดงท่าทีลีลา แสดงความโกรธ แสดงท่าทีลีลาความโลภ แสดงท่าที ลีลาราคะ นึกออกไหม ท่าทีแสดงลีลาราคะนี่ สัตว์เดรัจฉาน มันแสดง เรายังดูออกเลย ยิ่งคนแล้ว ยิ่งป้อไปป้อมา ไอ้หนุ่มบ้าง คนแก่เฒ่าหัวงูบ้าง แสดงท่าที ราคะออกมา อย่างนี้ เออเห็นแล้ว ผู้หญิงก็ตาม ผู้ชายก็ตาม ยิ่งผู้หญิงนี่เซ็กซี่ อะไรพวกนี้ ราคะ ลีลาท่าที ราคะทั้งนั้นแหละ แสดงท่าทาง โอย..สุดยอด สุดยวน แล้วเก่งด้วยนะ เขาหาว่า เขาเก่งด้วยนะ แหมแสดง ท่าทีเซ็กซี่ดีนี่โอ้โฮ เก่งด้วยนะ นั่นน่ะ มันไม่เข้าใจอะไรในโลก แล้วก็มอมเมา ปรุงแต่งอะไรกัน เต็มไปหมดในสังคม เพราะฉะนั้น เราต้องรู้จัก นัจจะ คีตะ วาทิตะพวกนี้ แล้วเรา ก็รู้จักการลดการละ แก้ไข อย่าให้มันเกิด ในวงการของเรา ชาวอโศก เรานี่ เป็นชุมชนที่ได้รับธรรมะ ของพระพุทธเจ้า

อาตมาทำงานมา ๒๐ , ๓๐ ปีนี่ มีได้แล้ว เพราะว่าเมื่อเกิดกลุ่มหมู่เป็นประชากร รวมตัวเป็นประชากร ทีนี้จะเข้าหาคำว่า ประชาธิปไตย อธิปไตยแปลว่าอำนาจ แปลว่าเป็นใหญ่ เราเอาประชาชนเป็นใหญ่ เอากำลังหรือว่าความคิด หรือความเห็น หรือ สภาพรวมของประชากร ประชากรรวมกัน เป็นความเห็น ร่วมกัน เป็นความต้องการร่วมกัน เป็นความคิด เป็นปัญญา ร่วมกัน เอามาแสดงเป็นมติ อันนี้เรียกว่า ประชาธิปไตย เป็นหนึ่งของความคิดความเห็นของแต่ละบุคคลนี่ สอดคล้องกัน ตรงกันเป็นเอกภาพ เราเอาความหมายอันนี้มาใช้ ยกตัวอย่างเป็นรูปธรรม เช่นว่า อาตมาจะสมัครเป็น ส.ส. ของชาวอโศก อาตมาก็สมัคร ไปลงทะเบียนสมัคร เป็น ส.ส. ของชาวอโศก อาตมาไม่หาเสียงหรอก อาตมา จะได้ไหมนี่ จะได้เป็น ส.ส. ไหม (ได้) เพราะว่ามันเป็นความเห็นจริงของพวกเรา เป็นอำนาจ ความรับรองว่า โอ..ถ้าพ่อท่านเป็น ส.ส. นี่ จะไปบริหาร ไปทำงานแทนตัวพวกเรานี่ โอ้โฮ..ไว้ใจเลย เชื่อมั่น มีประสิทธิภาพ มีสมรรถภาพ มีน้ำหนักที่จะไปช่วย เป็นตัวแทนของเรา ส.ส. นี่คือตัวแทน ของประชาชน

สมาชิกที่เป็นผู้แทน เขาเรียกย่อๆ ว่าผู้แทน ผู้แทนประชาชน เข้าไปในสภา เป็นตัวแทน เข้าไปในสภา จะเอาไปทั้งประเทศมันไม่ได้ มีประชากรหนึ่งแสน เอ้าประชุมเอามาทั้งแสน มันช่วยไม่ได้ มันเข้ามา ช่วยคิด ช่วยบริหาร ช่วยมาออกกฎหมาย ช่วยมาเป็นตัวแทน อะไรที่ควรจะเป็น ควรจะมี หมายความว่า เลือกตัวแทนเข้าไป อย่างนี้เป็นต้น ถ้าอย่างอาตมานี่ มีประสิทธิภาพ มีปัญญา มีความจริงใจ มีความสะอาดบริสุทธิ์ ไม่ไปผลาญไปพล่า ไม่ไปทำลาย ไม่ไปอะไร ยิ่งหัวใจคน มีคุณภาพอย่างนี้ มีประสิทธิภาพอย่างนี้ นี่แหละตัวแทน เป็นตัวแทนอย่างดีเลย นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่ง วิธีหนึ่งของ ประชาธิปไตย ประชาธิปไตยไม่ใช่แต่เลือกผู้แทนอย่างเดียว ประชาธิปไตยมีสารพัด เดี๋ยวจะได้ ขยายความไปเล็กๆ น้อยๆ ไป วันนี้เรียนรัฐศาสตร์โดยดอกโพธิรักษ์ ไม่ใช่ด๊อกเตอร์หรอก อาตมาหมา กลางตลาด ด๊อกโพธิรักษ์ ไม่ใช่ด๊อกเตอร์ เราไม่ได้จบอะไรมา ก็สอนรัฐศาสตร์ แอ๊คไปอย่างนั้นแหละ ชาวรัฐศาสตร์บัณฑิต เขามาฟังแล้วเขาอาจจะบอกว่า โอ้ โธ่เอ๋ย เชยแหลกเลย อะไรก็แล้วแต่ ผิดบ้าง ก็แล้วแต่ เขาจะว่าผิดก็ฟังดู มันจะผิด จะถูกอะไรก็อธิบายไปตามภูมิ จริงใจตามภูมิ อธิบายไป ตามความจริงใจ ที่ตัวเองมีภูมิเท่าไร ก็ตามภูมิตัวเอง ไปอย่างนั้นเองนา

เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยที่ว่านี่ คือพลังของประชาชน เป็นอำนาจ หรือพลังของประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ว่าจะแสดงออก ในเรื่องไหน เป็นประชามติไป รวมกลุ่มกันไป แสดงมติ อย่างที่บอกว่าเดินขบวน หรือไปประท้วงเป็นกลุ่มไป มีประชากร รวมกลุ่มกัน กลุ่มใหญ่ ยิ่งใหญ่เท่าไรยิ่งดี เป็นเสียงของ ประชาชน ในหมู่ ในพวก ในกลุ่ม ถ้าในประเทศก็ระดับประเทศ ระดับจังหวัดก็ระดับจังหวัด เขาจะมี สจ., สก. อะไรอย่างนี้ ระดับกลุ่มระดับล่าง ก็กำหนดขอบเขตกัน เพราะฉะนั้น พวกที่จะให้มีสิทธิ์ ในขนาด สก., ในขนาด สท., ในขนาด สจ., ในระดับจังหวัด ในระดับเทศบาล ในระดับเขตอะไร ก็แล้วแต่ สข. อะไรพวกนี้ เขาจะมีไป ตามแต่ที่จะกำหนดกันเลยในประชากร สมาชิกในที่นั้นๆ รวมกันแล้วแสดงมวล เอาส่วนมาก เป็นเกณฑ์ โอ..ถ้าเผื่อว่าคน ไม่ใช่คนงมงาย คนทุกคนเข้าใจตัวเอง แต่ละคนๆ ว่า เรามีสิทธิ์ที่จะออกเสียงออกสิทธิ์ สิทธิมนุษยชนมีเท่าไร เราก็ไม่นอนหลับทับสิทธิ์ เราก็มาแสดงสิทธิ สิทธิอันนี้โดยธรรม สิทธิโดยชอบ โดยควร เรามีสิทธิ ที่จะแสดงได้ เราก็มาแสดง ในกาละที่ควรแสดง เช่นว่าเลือกตั้งบุคคลไปเป็นตัวแทน ส.ส. สจ.,สท., อะไรเป็นต้น หรือ แสดง ในบางครั้ง บางคราว บอกโออันนี้รัฐบาลหรือว่ากลุ่มหมู่ผู้บริหาร นายอำเภอก็ดี ผู้ว่าราชการ ก็ตาม เออ ทำอย่างนี้ มันไม่ถูกเรื่องแล้ว ยิ่งในสมัยนี้ ผู้ว่าอะไร CEO= chief executive officer

คนนี้แหละเป็นหัวหน้า ว่าอย่างนั้นนะเอา ก็ในระดับอย่างนั้นก็ตาม ยิ่งทำงานอะไรกับสังคม ในระบบ ประชาธิปไตยนี่ เป็นผู้ว่าราชการก็คือ ผู้ที่ดูแลในจังหวัดนี้ มีสิทธิ มีเสียง มีธรรม อะไรต่ออะไร นำพาอะไรต่ออะไร ถ้าไม่จะมาพากล เราจะประท้วงผู้ว่า นั่นแหละเป็นอำนาจของประชาธิปไตย เราจะประท้วง เราจะไปแสดงความคิดเห็นว่า เอ.. ผู้ว่าจะพาคิดอย่างนี้ พาทำอย่างนี้ ขอแย้งหน่อยนา ขอออกความเห็นหน่อยนา ได้ ก็ทำได้ อย่างนี้เรียกว่า ลักษณะ ประชาธิปไตย เป็นเรื่องถูกต้อง ของระบบระบอบนี้เลย เพราะฉะนั้น เราจะกระทำอย่างนี้เชิญ อาตมาเข้าใจแต่เนื้อหา ด้วยภาษา เป็นภาษา technical term เขาน่ะ เป็นภาษาทางวิชาการ ภาษาอะไรพวกนี้ อาตมาไม่ค่อยเก่ง เพราะว่า ไม่ได้เรียน ไม่ได้ท่อง ไม่ได้จำอะไรมา เพราะฉะนั้น ก็ได้พอสมควร ได้เป็นลูกทุ่งๆ ไปอย่างนี้แหละ ก็ฟังเนื้อหาแล้วกัน อาตมายืนยันแน่ใจว่า อาตมาไม่ผิดเนื้อหา เพราะอะไร เพราะอาตมา เข้าใจประชาธิปไตยคืออะไร

ถ้าประชากรเป็นคนดี เป็นคนมีภูมิปัญญา เป็นคนที่ไม่ฟุ่มเฟือย ถ้าเอาคนขี้เหล้าไปออกเสียง เอาคนที่สำส่อนในเรื่องกาม ไปออกเสียง คุณว่าจะได้รับการยอมรับไหม เอาคนฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย เที่ยวกลางคืน เล่นการพนัน ไปเป็นคนออกเสียง ไปเป็นคนแสดงภูมิ ไปเป็นคนอะไร คนไม่ยอมรับ แต่คนที่จริงเขาไม่มีแล้วอบายมุขนี่ อาตมายกตัวอย่างได้แค่โสดาบัน อบายมุขต่างๆ ที่ยกตัวอย่างมานี่ เขาไม่มีจริงๆ นี่ คนเหล่านี้เป็นคนที่มีฐานะที่น่านับถือ เป็นฐานะที่ดี นี่เรียกว่า ประชาธิปไตยอาริยะ พัฒนาคนเสียก่อน พัฒนาคนนี่ อย่างนี้ไม่ใช่ว่าจะเอากาสิโนมามอมเมาคนเข้าไปอีก จะอะไรต่ออะไร ไปอีก แก้ปัญหาอย่างหลวมๆ อะไรอย่างนี้ อาตมาว่ามันไปไม่รอดหรอก เพราะว่าไม่รู้ขั้นตอน ของการพัฒนาว่า จะทำอย่างไรให้คนสะอาดบริสุทธิ์ ให้คนที่มีปัญญามีภูมิ เป็นคน ถ้าจิตวิญญาณ ปราศจากกิเลสนี่ จิตมันสะอาดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อจิตสะอาดขึ้นจะมีปัญญา ปัญญาจะรู้จัก ความควร ความไม่ควรอย่างดี เพราะฉะนั้น ยิ่งเป็นสกิทา เป็นอนาคาขึ้นไปแล้วยิ่งเยี่ยมเลย ยิ่งเป็นคน ที่จะไม่ต้องไป ยิ่งเป็นอนาคา สมมุติให้ฟัง เป็นอนาคานี่ เป็นคนที่ไม่ติดใจแล้ว อย่าว่าแต่อบายมุข อย่าว่าแต่เรื่องของกาม เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เรื่องรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความสวยความงาม ก็ไม่หลงติด หลงยึด เรื่องไพเราะ เรื่องนั่นเรื่องนี่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส กามคุณ ๕ หมด เรื่องของ ความโกรธ ความแค้น ความอาฆาต จองเวรจองกรรม หมดปฏิฆสังโยชน์หมด

เป็นพระอนาคามี จะไม่หลงอะไร มาบำเรอตน เพราะฉะนั้น ก็ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคาร เงินทอง ก็ไม่ต้องโลภ ไม่ต้องเอา ไม่ต้องไปมีมาก เพราะว่าเป็น อนาคามีนี่ จะกินน้อยใช้น้อย ไม่เปลืองไม่ผลาญ ไม่ฟุ่มเฟือยแน่นอน เป็นคนมักน้อย สันโดษ แล้วเป็นคนขยัน ไม่ขี้เกียจ แน่นอน พระโสดาบัน ก็ต้องลด ความขี้เกียจ ลงมาแล้ว เป็นขั้นตอนๆ สกิทาก็ยิ่งลดความขี้เกียจชั้นสอง อนาคาก็ยิ่ง ไม่มีความขี้เกียจ ลดความขี้เกียจ ลงไปอีก ลดจน ไม่เหลือแหละความขี้เกียจ ลึกๆ มันมีอะไรลึกๆ มีนิดๆ หน่อยๆ เท่านั้นเอง นี่ก็แนวลึก เพราะฉะนั้น พระอนาคามีจะมีความขยันสร้างสรร สร้างได้มากๆ แล้วไม่ผลาญ ไม่เปลือง ไม่ใช้ จริงทีเดียวต่อคนอื่น เพราะฉะนั้น เมื่อมีความซื่อสัตย์ เมื่อมีความสะอาดในจิต มันไม่ต้องหวงแหน มันไม่ต้องไป ตะกละ ตะกลาม ไม่ไปขี้โลภ ไม่ไปต้องได้เปรียบ คนเหล่านี้ ก็จะเห็นความตรง ความซื่อสัตย์ของ เอ..อันนี้ มันควรจะได้มาก อันนี้มันควรจะได้น้อย ความลำเอียง ก็ลดลง อคติ ๔ ก็ลดลง ลดลงโดยสัจจะเลยนี่ อาตมาพยายามอธิบายให้ฟังนี่

ถ้าคนที่เป็นจริง ลดละกิเลสได้จริง ความฉลาดก็จริง ความเสียสละก็จริง ความเข้าใจในเรื่องของ มนุษยชาติ ของสังคม เอออันนี้คนนี้ควรได้ ไม่ลำเอียง คนนี้ไม่ควรได้ คนนี้ร่ำรวย คนนี้ขี้โกง ขี้โกงต้องดัดสันดานหน่อย คนนี้ซื่อสัตย์ดี และ ขยันมาก แต่ปัญญาน้อย สมรรถนะต่ำ ก็ควรได้มาก เขาขยันเขาพากเพียร เขามีใจอุตสาหะ อย่างนี้ก็คือ ความเหมาะสม ควรช่วยเหลือ เราก็จะกระจาย รายได้ แบ่งทรัพย์สิน เฉลี่ยอะไรต่ออะไรแก่คน แก่ประชากร ได้สัดส่วนที่เหมาะสม ถูกต้อง ก็เป็นคนบริหาร ที่ซื่อสัตย์สุจริต มีภูมิปัญญา ไม่ลำเอียง จัดสัดส่วนของ ความเป็นอยู่ ของสังคม มนุษยชาติ ก็จะเป็น นักบริหารที่ดี เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยนี่ ความสำคัญต้องสร้างคน สอนคน ระบบวิธีก็ดี หลักเกณฑ์ทฤษฎี ที่จะให้ไปประกอบในการใช้ มีกฎหมาย มีหลักเกณฑ์บังคับนั่นบ้าง บังคับนี่บ้าง ก็ใช้ได้ แต่สำคัญรองกับการปฏิบัติ ประพฤติคุณภาพของคนให้ดีขึ้น ทุกวันนี้คนไปเข้าใจ ถึงเรื่องกฎหลักเกณฑ์ ทฤษฎี ไปออกแต่กฎหมาย ไปเอาเข้าใจแต่เรื่องหลักเกณฑ์ มาบีบบังคับ ไม่พยายามที่จะพัฒนาให้คนรู้จักสิ่งที่ดีไม่ดี แล้วก็สมัครใจที่จะลด สิ่งไม่ดีของตนๆ เป็นทั้งบาป เป็นทั้งความชั่วร้าย เป็นทั้งบาปจริงๆ เป็นทั้งความชั่วร้ายจริงๆ ถ้าเราลดเราละเสียแล้วนี่ จะติด จิตวิญญาณเรานี่เป็นบุญ ละบาป บำเพ็ญบุญที่แท้ แล้วเป็นความดีที่ไม่ใช่ความชั่วร้าย ติดตัว ติดตนไปอีก เป็นทรัพย์แท้ด้วย เป็นสมบัติแท้ด้วย ถ้าคุณเข้าใจอย่างพวกเราเข้าใจแล้วก็มาทำ ลดละไป จริงๆ เราจึงเกิดคุณค่า เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยพวกเรานี่ มันไม่ต้องแย่งต้องชิง ใครอยากจะเป็นใหญ่ เป็นโต มันไม่อยากเป็นใหญ่เป็นโต เพราะมันไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญแล้ว

คนที่ใหญ่ที่โตเพราะคุณภาพ สูงส่งเพราะความสามารถ สูงส่งเพราะความรู้ สูงส่งเพราะ ความขยัน หมั่นเพียร สูงส่งเพราะการสร้างสรรเสียสละ คนอย่างนี้นี่ ใครก็ยอมรับนับถือ ใครก็อยาก ให้เป็นใหญ่ แล้วคนที่ยิ่งปฏิบัติธรรม ยิ่งขยันหมั่นเพียร ยิ่งไม่เห็นแก่ตัว ยิ่งเสียสละสร้างสรร ยิ่งมีสมรรถนะสูง คนเหล่านั้น ก็ยิ่งเป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ คนก็กราบไหว้เคารพบูชาได้ ไม่ต้อง ไปงอนง้อ ไม่ต้อง ไปขอร้อง ไม่ต้องไปทำทีแอ๊คอาร์ต ให้เขามาเคารพนับถือหรอก เป็นคนที่เสียสละจริง สร้างสรรจริง มีน้ำใจจริง ใช่ไหม เป็นคนที่ช่วยเหลือเฟือฟาย เป็นประโยชน์ต่อโลก เขาก็กราบเคารพ ด้วยความจริง ใครไม่กราบเคารพก็ไม่อยากได้

พระพุทธเจ้าก็สอนให้รู้จิตรู้ใจตัวเองว่า อย่าไปอยากได้เลย ความเคารพนับถือ เขาจะมายินดี ยกย่อง เชิดชู ถ้าเขาเห็น เขารู้ เขาให้เราเอง เขาให้เรา ยกย่องเราเอง นับถือเราเอง อันนั้นเป็นของจริง ไม่ต้อง ไปหลอกไปล่อ มีความดี กระทำความดีไป มีสมรรถนะไป ทำสมรรถนะไป มีความขยัน สร้างสรรไป มีการเสียสละที่จริง มีการเกื้อกูล ช่วยเหลือจริง มีน้ำใจดีจริง ทำไปเลย คนมันจะเห็นเอง ไม่ต้อง ไปบอกกันหรอก มนุษย์มันจะรู้ อันนี้คือความจริง ที่เป็นของจริง ที่มนุษย์สามารถ พิสูจน์ได้ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยอริยะ ก็คือ ให้คนเป็นอาริยะ เมื่อคนเป็นอาริยะ แล้วคนจะรู้เองว่า คนนี้ ควรจะอยู่ ในระดับ เป็นผู้ไปทำงานในระดับนี้ คนนี้ควรไปทำงานระดับนี้ คนนี้ควรเป็นยอดคน ควรจะเป็นคนผู้นำหมู่เลย หมู่ใหญ่ ขนาดไหน ก็ให้เป็นผู้นำได้ ก็จะเป็นความจริงเองแหละ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตย ต้องหาเสียงให้กับตนเอง ไปโฆษณา ว่าเลือกฉันนา ฉันเก่งนา ฉันซื่อสัตย์นา ฉันจะไปรับใช้ปวงชน ฉันขยันหมั่นเพียรนา ขี้หมาแน่ะครับ คุยโม้ตัวเอง ไม่ต้อง ไปบอกหรอก ความจริงน่ะ เพราะฉะนั้น ประชาธิปไตยที่สูงสุด การหาเสียงให้ตัวเองอยู่ ยังไม่ถือว่า ประชาธิปไตย ฟังเข้าใจไหม

เราจะสร้างประชาธิปไตย เราจะสร้างการเมืองแบบของเรา สร้างรัฐศาสตร์แบบของเรา ตามที่อาตมา พูดนี่แหละ อาจจะไม่วิจิตรพิสดาร อาจจะไม่เหมือนนักวิชาการ ไม่เป็นหมวดเป็นหมู่ เป็นเรื่องเป็นราว ใหญ่โตอะไรก็ตามแต่ อาตมาอาจจะพูดเป็นลูกทุ่งๆ ไปแล้วก็ตาม ประชาธิปไตยจะเป็นอย่างนี้ ประชาธิปไตยอาริยะของเรา เราจะต้อง พยายามสร้างคน ...

จริงๆ แล้วมีพรรคการเมือง ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย ยังมีพรรคการเมืองอยู่ ไม่ใช่ประชาธิปไตยที่ absolute ยังเป็น ประชาธิปไตย ที่ยังจะต้อง มีกฎมีหลักเกณฑ์ไอ้โน่นไอ้นี่ เพราะว่าคนมันยังไม่ได้จริง ต้องมี ข้อบังคับ มีกฎหมาย มีพรรคการเมือง ก็แสดงว่า ยังมีข้อบังคับ ก็จริงๆ แล้วนี่ประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ ที่สุดนี่ ก็อิสระเสรีภาพสูงสุด ไม่มีกฎ ไม่มีหลักอะไรหรอก ไม่ต้องมีหลักเกณฑ์เลย ทุกอย่าง คนมีปัญญา เข้าใจเองเลย เป็นไปโดยธรรมชาติ เป็นไปโดยธรรม ไม่ต้องมีกฎหลักเกณฑ์ เพราะฉะนั้น จะต้องบังคับให้มีการเมือง มีกฎหมาย จริงๆ อเมริกาเขาไม่มีกฎหมายพรรคการเมือง อเมริกาเขา ไม่มีหรอก กฎหมายพรรคการเมืองเขาไม่มี แต่พรรคการเมืองมันเกิดโดยธรรมชาติ การเมืองรวมกัน

อย่างชาวอโศกนี่เหมือนพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ชาวอโศกนี่ โดยธรรมชาติ ชาวอโศกทั้งหมดนี่คือ พรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ใครเป็นหัวหน้าพรรครู้ไหม ชาวอโศกนี่ จริงๆ นี่แหละคือธรรมชาติ ชาวอโศกนี่ มีพญาแร้ง เป็นหัวหน้าพรรคโดยธรรม เป็นโดยธรรม แล้วก็มีผู้ทำงาน ขึ้นมา เป็นระดับนั้นระดับนี้ ที่เขาจะยอมรับรองลงไป อะไรลงไป หัวหน้าพรรค เป็นหัวหน้าหน่วยนี้ หัวหน้าองค์กรนี้ หัวหน้า ทางด้านนี้ หัวหน้าทางด้านการเงิน หัวหน้าทางด้านทะเบียน หัวหน้าทางด้าน ต้อนรับ หัวหน้าทาง ด้านกิจการ ทางวิศวกรรม หัวหน้าทางด้านเกษตรกรรมอะไรนี่ มันจะมีเอง มันจะเข้าใจเอง มันจะเป็น ของจริง ของตัวบุคคลจริง ที่มีสมรรถนะ มีความสามารถ แสดงออก ซึ่งทุกคนยอมรับ แล้วเราก็ไม่ทำ เพื่อลาภ เพื่อยศ อะไรนี่ โอ..มันจะจริง มันจะชัดเจนเลย มันจะยอมยกให้เลย ถ้าเราเองเราเป็นคนเก่ง ทางกสิกรรม เราก็ทำงานกสิกรรม กับหมู่ฝูงนี่ แต่ฉันเอาค่าของงาน เอาค่าแรงงาน เอาค่าของผลผลิต มากอบโกย ให้แก่เราเอง เราก็ไม่อยากจะนับถือเท่าไรหรอก ใช่ไหม คนอย่างนี้หรือ มันทำเพื่อส่วนตัว

แต่ถ้าคนนั้น เป็นคนที่ถนัด เก่งทางด้านกสิกรรม โอโฮ ความรู้แจกแจง ช่วยเหลือเฟือฟาย ทำแล้ว ก็ไม่เห็นแก่ตัว อาศัยตัวเอง กินอยู่กับพันคน ที่ทำงานร่วมกัน กินก็ไม่มาก เพราะว่ามักน้อยสันโดษ ใช้ก็ไม่มาก แต่ขยันหมั่นเพียร ทั้งถ่ายทอดวิชาการ ทั้งช่วยทำงาน ทั้งสร้างสรร กสิกรอย่างนี้ จะยก ให้เป็นเต้ยไหม ใช่ไหม จะยกให้เป็นหัวหน้าไหม นี่คือโดยธรรม นี่คือสัจจะโดยธรรม เพราะฉะนั้น เข้าใจสิ่งจริงเหล่านี้ ไม่ต้องไปเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข นี่ฉันเป็นกสิกรที่เก่ง เพราะว่า ฉันทำแล้วนี่ เห็นไหมนี่ ฉันได้ค่าแรงงาน ค่าความรู้ ค่าผลผลิตของฉันมานี่ เห็นไหม ฉันมาสร้างบ้าน หลังใหญ่ๆ นี่จากฝีมือ การทำกสิกรรมของฉันนะ ฉันซื้อที่ไว้ตั้งเยอะตั้งแยะ เป็นของฉันนี่ ฉันมีเงิน ซื้อเพชรซื้อพลอย เหลือไปซื้ออะไรมา โอ่โฮ.. เยอะแยะเลย ซื้อรถยนต์มาใช้ตั้ง ๑๐ คันแน่ะ คันละ ๔๐ ล้าน นี่ฉันเป็นกสิกร ฝีมือการกสิกรของฉันทั้งนั้นแหละ กับกสิกรคนที่ เขาไม่กอบโกย มาให้กับตัวเอง มีแต่ไปช่วยเหลือ เฟือฟายประชาชน ช่วยสอน ช่วยแนะนำ แล้วตัวเอง อาศัยกิน อาศัยใช้ ไม่ต้องสะสม คุณจะเอากสิกร คนไหน กสิกรคนที่เก่ง

เอ้าสมมุติว่าเก่งเท่ากันเลยเอ้า สองคนนี่เอ้า คนนี้เก่ง มีฝีมือทางกสิกรรมเก่งทั้งคู่ แต่คนหนึ่งมีนิสัย แบบนั้นน่ะ ทำแล้ว ก็เอาไปขาย แบบทุนนิยม แล้วก็เอาไปค้า แล้วก็เอาไปกักไปตุน เอามาแสดงภูมิ แสดงตัวเองว่าฉันเองร่ำรวย เพราะฝีมือ กสิกร กสิกรรมของฉัน เก่งขนาดนี้ ส่วนอีกคนหนึ่งนี่ ไม่หรอก ไม่สะสมหรอก ทำแล้วก็สร้างสรร เก่ง สมมุติแล้วเรา constant กันแล้วว่าของ ๒ คนนี้เท่ากัน เป็นคนที่ มีความสามารถเท่ากัน คุณก็เปรียบเทียบ ได้ว่า คุณจะเอาแบบไหน เอ้า..กสิกรคนนี้ไม่สะสม มีแต่ช่วยเหลือ เฟือฟาย แจกจ่ายเจือจาน ไม่เอามา กักตุน บ้านก็ไม่มี เพชรพลอยก็ไม่มี รถยนต์ก็ไม่มี หลายคัน ไม่มีอะไรมากมาย มีแต่ทำงานเผื่อคนอื่นไป เผื่อแผ่คนอื่นไป ไม่กอบโกย เป็นอุดมการณ์ คนอื่นคนละอุดมการณ์ คุณจะเอา กสิกรคนไหนล่ะ ใครสอบตก เอาหัวทุบดินเลย ใครก็ต้องตอบได้ ใช่ไหม นี่คือสัจจะ และคนต้องเป็นได้ เป็นคนดี ดังที่กล่าว เป็นอาริยะอย่างที่ว่านี่ ต้องเป็นให้ได้ คุณจะเป็นกสิกร คุณจะเป็นวิศวกร คุณจะเป็นอะไรกรๆ ก็แล้วกัน สุดท้าย เป็นกรรมกร เหมือนท่าน กุสโลนี่ ท่านชอบชื่อท่าน ท่านชื่อกรรมกร มีคนเดียว ในประเทศไทยมั้งชื่อนายกรรมกรนี่ ท่านกุสโล ท่านเอาชื่อนี้เลย ท่านจองชื่อนี้ แล้วทำงาน ดะเลยนา ท่านองค์นี้นี่ ลุย ทั้งๆ ที่ไส้นี่ตัดเหลือเท่าไร ตัดออกไป ทิ้งเสียเยอะแล้วไส้ เป็นคนมีวิบาก ต้องตัดลำไส้

พวกเราถ้าเผื่อว่าเราเข้าใจสัจจะอย่างที่อาตมากล่าวนี้แล้วนี่นา เราจะเห็นได้ว่าสังคมมนุษยชาตินี่ ถ้าเผื่อว่า เข้าใจสัจธรรมที่ดี แล้วก็มาพยายามนำพากัน ให้การศึกษา พัฒนากันขึ้นมา การศึกษา สำคัญ ตั้งแต่เด็กจนใหญ่ จนแก่จนเฒ่า จนตาย ต้องศึกษาและฝึกฝน ทำจนเดี๋ยวนี้ เป็นคนประเสริฐ ให้เป็นคน อาริยะ เมื่อเป็นอาริยะที่ถูกต้อง อย่างที่อาตมาแนะนำมาแล้ว พูดมาแล้ว

ถ้าเป็นคนมีอาริยธรรม ที่แท้จริง อย่างที่อาตมากล่าว คนเรียนรู้กิเลส เรียนรู้สิ่งที่ ไม่ดีไม่งาม พฤติกรรม ไม่ดีไม่งาม กายกรรม วจีกรรม ที่ไม่ดีไม่งาม เลิก มาเป็นคนที่มีกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม โดยเฉพาะ มโนกรรมน่ะล้างกิเลสถึงตัวตนแท้ ถึงเหตุแท้ สมุทัยแท้ แล้วคนเหล่านั้น จะเป็นคนสังคมเจริญ ประเสริฐแท้

อาตมาก็ขออธิบายย้ำ ซ้ำซากอีกว่า พระพุทธเจ้านี่เป็นคนเหมือนเรา อาตมาว่าถ้าคุณเข้าใจ อย่างที่ อาตมาเข้าใจ คุณจะไม่ไปเอาอื่นหรอก คุณจะมาเอาอันนี้ จริงๆ ถ้าคุณเข้าใจที่อาตมาอธิบาย ซ้ำซาก อันนี้คือ พระพุทธเจ้านี่ เป็นคนเหมือนเรา ท่านเกิดมานาน แต่นานก่อนเรา หรือไม่ก่อนเรา ก็ไม่รู้ล่ะ เพราะว่า คนเราเกิดนับชาติไม่ถ้วน นี่นั่งๆ อยู่นี่ บางคน อาจจะเกิดก่อนพระพุทธเจ้าก็ได้ แต่มันยัง งมโข่งอยู่ พระพุทธเจ้าบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าไปแล้ว แล้วพวกคุณ ก็ยังงมอยู่ในโลกชั่ว โลกดี อยู่ใน สวรรค์ นรกอะไรของคุณอยู่นี่ กี่ชาติต่อกี่ชาติก็ไม่รู้ จริงๆ นามันไม่แน่ ว่าคุณเกิดก่อน พระพุทธเจ้า หรือไม่ ไม่รู้ แต่พระพุทธเจ้าท่านศึกษาของท่านแล้ว ท่านก็พยายามแสวงหา การเป็น คนประเสริฐ จะเป็นอย่างไร ท่านก็ค้นคว้าเจอ จนนกระทั่งไล่มา แต่ละชาติๆๆ จนกระทั่งสุดท้าย ตรัสรู้เป็น พระอรหันต์ จากอรหันต์ ก็จนกระทั่ง ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า สั่งสมความรู้รอบอีก อรหันต์แค่ใบไม้ กำมือเดียว รู้กิเลสของตนเองให้หมด แล้วก็บรรลุธรรม แล้วอยากจะปรินิพพานไป ก็เชิญ เพราะเป็น อรหันต์ปรินิพพานได้แล้ว แต่ถ้าคุณไม่ปรินิพพาน คุณจะเกิดมาอีก มาศึกษาโลกอีก ใบไม้ทั้งป่า ศึกษามนุษยชาติมีอีกมากมาย เรียนรู้อีก ซึ่งก็ต้องมีวิบากอีกมากมาย โอย..มันหนักหนา สาหัส เพราะวิบากของคนสั่งสมมามันไม่รู้ มันตามมาใช้

ขนาดเป็นพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว วิบากกรรม ที่เป็นอกุศล มันยังตามมาเล่นงานท่านอีกพอสมควรเลย คนเรานี่กรรมวิบาก มันมากขนาดไหน ขนาดตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้วนี่ วิบากยังตามมา ส่วนเหลือ ยังมาเล่นงานท่านอีก ขนาดนั้นน่ะ แต่แล้วก็ตาม วิบากมันจะตามไม่ได้ ก็ต่อเมื่อ เราปรินิพพานแล้ว เลิกไม่เหลือเชื้อ ไม่เหลืออะไรเกิด อีกแล้ว ไม่มีคน ไม่มีมนุษย์ ไม่มีตัวฉัน ไม่มีอะไรอีกแล้ว ไม่ว่ารูปธรรม นามธรรม สิ้นสุดปรินิพพาน เมื่อนั้นกรรมวิบากก็ต้องจบไป เอ็งจะเหลืออีกเท่าไรก็ไม่มีตัวตน ให้มาตาม เล่นงานแล้ว เพราะฉะนั้น กรรมวิบากบุญก็เลิก กรรมวิบากบาปก็ต้องยกเลิก จะยกเลิกต่อเมื่อ ปรินิพพาน เท่านั้น ส่วนนิพพานนั้น คุณได้ตัวกิเลสดับ นิพพานคือดับกิเลสได้จริงๆ เท่านั้น กรรมกิริยายังมี บุญบาปยังมี ยังออกฤทธิ์ ออกผลให้แก่ตัวเรา ยังออกนาไม่ใช่ไม่ออก ยังออกฤทธิ์ ไม่ใช่ว่าเป็นอรหันต์แล้ว บุญบาปไม่ออกฤทธิ์ กับเราอีกแล้ว ไม่ใช่ แต่พระอรหันต์นั้น ท่านรู้จักบาป ท่านไม่ทำบาปจริงๆ ท่านทำแต่บุญ เพราะฉะนั้น เจ้าบาปนี่ก็จะถูกสกัดไว้แล้ว มันเหลือ ส่วนเหลือ เท่านั้น ที่จะออกฤทธิ์ แล้วจะถูกอำนาจบุญ ก็จะสร้าง บุญๆๆๆ เพราะฉะนั้น ในอำนาจบุญ ก็จะมากขึ้นๆ ทำให้อำนาจ ฤทธิ์ของบาปนี่ลดลงๆ

อย่างที่อาตมาสมมุติเป็นรูปธรรม คนเหมือนกับขวดน้ำ ที่ใส่สีแดงกับน้ำเงิน สีแดงคือบาป สีน้ำเงิน คือบุญ ที่ใส่ๆๆ เมื่อคุณรู้แล้วว่า เฮ้ยงานบาปนี่ หยุดกันตั้งแต่วันนี้แล้ว เป็นพระอรหันต์หยุดบาป ไม่บำเพ็ญ มีแต่สร้างแต่บุญ ยังกุศล ให้ถึงพร้อมอย่างเดียว ไม่ทำบาปทั้งปวง สัพพปาปัสสะ อกรณัง กุสลัสสูปสัมปทา ทำแต่บุญอย่างเดียว หยุดบาป หยุดแดง เติมแต่น้ำเงินๆ ฤทธิ์ของแดงก็หายไปๆ ไม่ใช่หมด ลดลงๆๆๆ น้ำเงินก็จะขึ้นออกฤทธิ์ๆๆ จนกระทั่ง แดงหมดสิทธิ์ ที่จะออกฤทธิ์ได้มากเท่าไร มันไม่ใช่สูญ เห็นไหม อาตมาว่ายกตัวอย่างเป็นรูปธรรมพวกนี้ ให้พวกเราฟังได้ชัดเจน

พระพุทธเจ้านี่เป็นคนเหมือนเรา แล้วพระพุทธเจ้าก็ค้นคว้าหาว่า เกิดเป็นคนนี่จะประเสริฐที่สุดอย่างไร เป็นอย่างไรคนประเสริฐสุด ท่านก็ค้นคว้าแสวงหา แล้วสะสมความรู้นี่มา จนกระทั่ง ให้เป็นคนที่ ประเสริฐสุด หรือเป็นอย่างไร ท่านค้นพบ เชื่อไหมล่ะว่าพระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ความประเสริฐสุด ของคนอย่างแท้จริง ศาสนาอื่น เขาไม่ศึกษาอย่างนี้ พระเจ้าหรือศาสดาไม่ใช่คน เอาอย่างไม่ได้ เรียนรู้ไม่ได้ มันก็เลยว้า... แล้วมันจะประเสริฐ อย่างพระเจ้าได้อย่างไร เพราะมันเรียนรู้ไม่ได้ ใช่ไหม มันต่างกันตรงนี้ อาตมาว่าสุดยอด พระพุทธเจ้านี่สุดยอด พระพุทธเจ้า ท่านไม่ได้บอกว่า ท่านเป็น อวตาร ท่านไม่ใช่เป็นพระเจ้า ท่านเป็นคนเหมือนเรา ท่านไม่ใช่อวตาร ส่วนทางศาสนาอื่นนั่น ศาสดานี่คือพระเจ้า

ก่อนอาตมาจะมานี่ มีชาว... คนหนึ่งเป็นแขก มาพบอาตมา อาตมาก็ไม่อยากขัดอะไรแก ฟังแกพูด คือไม่อยากไปโน้มน้อมอะไรแกหรอก แกก็เก่งพอใช้ได้ แกก็ไปถามศาสดา ศาสดาองค์ปัจจุบันนี่นา คือเขาจะมีศาสดา นับยกขึ้นไป เป็นศาสดาแต่ละองค์ๆ พอศาสดาองค์นี้ตาย เขาก็หาศาสดาองค์ใหม่ ที่จะเป็นยอด แล้วก็มาเป็นศาสดา แทนไปตลอดเลย เขาจะมีศาสดา แกมีปัญญา แกเลยไปถาม ศาสดา แกไปขอถามส่วนตัวสองต่อสองเลย แกขอถามปัญหา สองต่อสองหน่อยเถอะ ได้ไหม ศาสดาบอกได้ เอาได้ให้คนอื่นออกไปหมด ทุกคน คนใกล้ชิด คนขนาดไหน ก็ออกไปหมด ศาสดา อนุญาต คนอื่น ออกไปหมดเลย เหลือแกคนเดียวกับศาสดา แกก็ถามศาสดา ว่าถามจริงๆ เถอะ ศาสดา ศาสดาเป็น อวตารพระเจ้าใช่ไหม ถามอย่างนี้ แกถามว่า ศาสดานี่ เป็นอวตาร ของพระเจ้า ใช่ไหม ศาสดาอึ้ง ไม่กล้าตอบ อึ้ง สุดท้ายก็ไม่ตอบ เลื่อนไปอื่นหมดเลย แต่แกก็เป็น...แกก็ไม่เข้าใจ ศาสนา เหมือนพุทธ แกก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่แกก็ลดลงไป ทำไมไม่ตอบผมเล่าว่า เป็นอวตาร หรือเปล่า เพราะศาสดา คืออวตาร คือคนที่ พระเจ้าส่งมา ไม่ใช่มนุษย์สามัญ แตะต้องไม่ได้ ถ้าศาสดา พูดอย่างไร ต้องเชื่อตามโองการ เพราะเชื่อว่า ศาสดาคือ ผู้นำโองการของพระเจ้ามาพูด มาบอก เพราะฉะนั้น สายศรัทธา สายเทวนิยมเขานี่ เขาจะเชื่อศาสดา เขาจะศรัทธาสูง ศรัทธาสูง จริงๆ ศรัทธาศาสดา ศรัทธา อย่าง Pope นี่เขาศรัทธาทั่วโลกเลย ศรัทธา พูดอะไรต้อง เป็นศักดิ์สิทธิ์ ถือว่าเป็นผู้ที่นำโองการ ของพระเจ้ามาพูด กับมนุษย์ เพราะฉะนั้น มนุษย์ต้องรับฟัง โองการของ พระเจ้า นี่คือศาสนาเทวนิยม จะไม่เหมือนของพุทธ

ของพุทธอเทวนิยม ไม่มีโองการพระเจ้า ไม่มีพระเจ้า ไม่ใช่ไม่มี แนวลึกมี พระเจ้าคืออะไร ศาสนาพุทธ ก็รู้ คือพลังงานชนิดหนึ่ง ที่วิเศษ ที่สูงส่ง อย่างพลังงานของพระเจ้านี่เรียกว่า จิตวิญญาณของพระเจ้า นั่นแหละ จิตวิญญาณของพระเจ้าที่เรานับถือ ไปพิสูจน์ได้ เป็นของจริง แล้วมีฤทธิ์มีเดช มีพลังงาน มีปัญญา มีพระบริสุทธิคุณ มีพระปัญญาธิคุณ มีพระกรุณาธิคุณ สมบูรณ์ นั่นแหละคือคุณภาพ ของพระเจ้า คุณภาพเขามี พระกรุณา มีพระผู้สร้าง เป็นพระผู้สร้าง เป็นผู้ประทาน เป็นจิตวิญญาณ บริสุทธิ์ แท้จริง นั่นคือของพระเจ้า

ทีนี้พระพุทธเจ้าท่านก็พบ ท่านเกิดมาไม่รู้กี่ชาติ ท่านจะพบศาสนาเทวนิยมไหม แสนจะรู้ดี แล้วพระพุทธเจ้าก็ศึกษา แบบเทวนิยมมาทั้งนั้น อย่าว่าแต่พระพุทธเจ้าเลย โพธิรักษ์ก็ศึกษา แต่ไม่บอก นี่ไม่บอกนา ก็ศึกษา ก็ศึกษามาทั้งนั้น เพราะศาสนาเทวนิยม มันมีอยู่ครองโลก ครองตลอดกาล ศาสนาพุทธเท่านั้น จะมาช่วยโลกเป็นวาระ พอหมด ๕๐๐๐ ปีไปนี่ จะไม่มีศาสนาพุทธ แล้วจะช่วง ไม่มีศาสนาพุทธไปอีกยาวนานเลย อาตมาไม่รู้ล่ะ ไม่รู้อีกกี่ปีๆ กี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นกี่แสนปี จะว่างจาก ศาสนาพุทธไปอีกนาน เรียกว่าพุทธันดร ช่วงนั้นไม่มีศาสนาพุทธ พอเกิดไฟประลัยกัลป์ คนก็จะเหลือ น้อย เพราะฉะนั้น คนก็จะไม่ต้องทำบาปอะไรมาก ธรรมชาติมันก็จะขึ้นมาช่วยเยอะ ทองคำก็จะเหลือ เพชรก็จะเหลือ เพราะคนมันน้อย ต้นหมากรากไม้ ก็จะไม่มีใครทำลายมาก แย่งก็ไม่ต้อง แย่งกันกิน มันจะขึ้นทัน ธรรมชาติมันจะเกิด จะมีอุดมสมบูรณ์มากมาย อากาศไม่เป็นพิษ ทุกอย่างก็ดี น้ำก็จะ สังเคราะห์ตัวเอง ใส เรียบร้อย

ทุกอย่างก็จะเข้าที่ เข้าทาง โลกทั้งโลก จะปรับตัวสู่สภาพธรรมชาติที่สมบูรณ์ สะอาด บริสุทธิ์ คนก็ยังน้อย กิเลสยังไม่มาก ไม่ต้องแย่ง ต้องชิง ไม่ต้องมาหลอกมาลวง ไม่ต้องมามอมเมากัน ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างเกื้อกูลกัน มีเท่าไร แบ่งเอาไปซี เหลือเฟือ จะเอาที่ไหนก็ได้ เพชร ก็ไปหยิบ เอาที่หลุมโน่นเยอะแยะ ทองก็ไปเอาที่โน่น ไม่ต้องอวดต้องอ้างกัน ไม่ต้องเบ่ง ต้องข่มกัน เพราะมัน เหลือเฟือ ฟังเข้าใจไหม มันเป็นธรรมชาติสามัญ เพราะฉะนั้น คนจะไม่แย่งไม่ชิง คนจะไม่โกรธไม่เคือง คนจะไม่ทะเลาะวิวาท จะอยู่สงบสุข ศาสนาพุทธไม่ต้องเกิด เพราะยุคสบาย ยุคสงบ ยุคที่ไม่ต้อง ไปมีความซับซ้อน ในเชิงทางปัญญา ไม่ต้อง ทุกอย่างมันสะอาดบริสุทธิ์ มันซื่อสัตย์ พุทธไม่ต้องเกิด จนกว่าคนจะขี้โกง จะมีความซับซ้อน จะต้องแย่งชิง จะต้องอะไรต่ออะไรขึ้นมาอีกเยอะ ศาสนาพุทธ จึงจะค่อยมาช่วย

ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าองค์ต้นๆ หลังจากกลียุค หลังจากประลัยกัลป์แล้วนี่ จึงชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรย์ พระศรีอาริยเมตไตรย์ จะสอนคนได้มากกว่าพระสมณโคดม เพราะคนยังกิเลส ไม่มาก พูดคำเดียวก็เป็นพระอรหันต์ กิเลสนิดเดียว กิเลสไม่มาก สอนคนง่าย คนบรรลุธรรมเป็นแสน เป็นล้าน พรึบๆๆ มีคนสอนแล้วบรรลุเยอะ จนกระทั่ง ศาสนาพุทธ ก็จะเกิดขึ้นมาอีกยุคหนึ่ง พอนานไปๆ ศาสนาพุทธเฟื้ออีกแล้ว เลอะเทอะอีกแล้ว เปื้อนเปลี่ยนแปลง เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เหมือนอย่าง ทุกวันนี้ ไม่เป็นพุทธเลย มันเป็นอะไรก็ไม่รู้ เลอะเทอะ เอาความผิดเป็นความถูก ไปหมดแล้ว เปลี่ยนไปอีก หมดไปอีก ก็ต้องมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่มาอีก มันก็จะใช้ไม่ได้ จนกระทั่ง มีพระพุทธเจ้า องค์ใหม่ขึ้นมา มาช่วยศาสนาพุทธขึ้นมาใหม่อีก คือเกิดประลัยกัลป์อีกทีหนึ่ง ก็ล้างอีก อย่างนี้ มันจะเป็น อย่างนี้ไปตลอดกาลนานเลย นี่ก็เล่าอจินไตยอะไรสู่ฟัง เพราะฉะนั้น มนุษยชาตินี่ จะเกิดอีกกี่ชาติ พระพุทธเจ้าเกิด พระพุทธเจ้าองค์สมณโคดมนี่ มีผู้มีพระอริยเจ้าองค์สำคัญ ท่านประเมินเอาไว้ ท่านเป็นนักสถิติ อาตมาไม่ใช่นักสถิติ ประเมินอะไรไม่ได้ แต่องค์นั้นท่านประเมินว่า พระพุทธเจ้าสมณโคดมนี่ ในชีวิตของท่าน ที่ปรินิพพาน ไปแล้วนี่ ท่านพบพระพุทธเจ้าถึง ๕๑๒,๐๒๘ องค์ แหม ! ช่างจดสถิติ ทำสถิติได้อะไรขนาดนั้น พระพุทธเจ้าแต่ละองค์นี่ เราจะเกิดมาเป็นคน จะไปพบพระพุทธเจ้าแต่ละองค์นี่ไม่ใช่ธรรมดา พระพุทธเจ้านี่ พวกคุณนี่ เกิดมายุคนี้ ก็ไม่เจอ พระพุทธเจ้าแล้ว จะได้พบพระพุทธเจ้าแต่ละองค์ ก็ต้องมีบุญบารมีพอสมควร พระพุทธเจ้าองค์นี้ สมณโคดมนี่เกิด ได้เกิดพบพระพุทธเจ้าในยุคพระพุทธเจ้าถึงตั้งห้าแสนกว่ายุค คิดดูซีว่า ท่านจะเกิด เท่าไร ท่านจะต้องเกิดอีกกี่ล้านๆๆๆๆ ชาติ เพราะฉะนั้น ทุกชาติท่านศึกษา แสวงหา ความประเสริฐ เพราะฉะนั้น เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่เกาะติด กัดไม่ปล่อย พยายามจะพิสูจน์ ความประเสริฐว่า มนุษย์ประเสริฐมันจะเป็นอย่างไร จนท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ทำตัวเอง ให้ประเสริฐที่สุด แล้วท่าน ก็ตรัสอย่างองอาจ ไม่มีใครเทียมทัดเท่าเรา ไม่ใช่ฐานะที่คนในโลกนี้ จะมาทำตนเองให้ได้เสมอ เหมือนเท่าเทียม คนสองคนที่จะเท่าเทียมกัน

พระพุทธเจ้าสององค์ ในยุคเดียวกัน ไม่มีในมหาจักรวาลนี้ เกิดพระพุทธเจ้าสององค์เท่าเทียมกัน ไม่มีในโลก ลูกใดลูกหนึ่ง ในโลกลูกหนึ่ง จะเกิดพระพุทธเจ้าสององค์พร้อมกันเป็นไปไม่ได้ พระพุทธเจ้า องค์หนึ่ง คนที่จะไล่เทียบเคียงได้นี่ ก็หาได้ยากแล้ว เพราะฉะนั้น ไม่ต้องพูดถึงว่า พระพุทธเจ้าสององค์ เกิดพร้อมกัน ไม่มี ในเวลาใกล้เคียงกันก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าที่เกิดองค์ที่สอง ในเวลาไล่เลี่ย ๑๐๐ ปี เกิดอีกองค์หนึ่งไม่ได้ พันปีก็ยังไม่ได้ หมื่นปียังไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าเกิด อีกหมื่นปี ยังไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าเกิดอีกหมื่นปีไม่ได้ เพราะศาสนาพุทธยาวนานกว่านั้นมาก พระพุทธเจ้าสมณโคดมนี่ ห้าพันปี ศาสนาของท่าน น้อยที่สุดแล้ว แล้วจะว่างไปอีกนาน กว่าจะมี พระพุทธเจ้า อีกหลายแสนปี กว่าจะเกิดพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ อีกหลายแสนปี กว่าคนมันจะพัฒนา ตัวเอง กว่าคนมันจะมีกิเลสหนา กว่าคนจะมีทุกข์ ในสังคมในโลก กว่าพระพุทธเจ้า จะต้องเกิดมาโปรด กว่าจะมาช่วย อีกนาน

นี่ก็เล่าอจินไตย เล่าเรื่องละเอียดๆ อะไรต่ออะไรสู่ฟัง ใครมางานฉลองหนาวก็ได้ฟัง เป็นบุญหู แต่สมัยนี้ ไม่ต้องฟังอย่างนี้ก็ได้ ไปฟังเทปเอาก็ได้ แต่นี่เหมือนจริง ใช่ไหม อ๋อ ! นี่ฟังแล้ว ก็เห็นอาตมา แสดงมือ แสดงไม้ ออกท่าออกทาง อะไรต่ออะไรอยู่ โอ้โฮ..รสชาติมันหนอ มันยิ่งกว่าไปฟังใบ้ๆ ฟังเทป เสียงใบ้ๆ มันก็ไม่จริง ไม่อย่างนั้น คนไม่ไปดู คอนเสิร์ตหรอก ก็ซื้อเทปไปฟังก็พอแล้ว ใช่ไหม ไปดู คอนเสิร์ต มันก็เห็น โอ้โฮ..ลีลา เต้นร้อง อะไรจริงกว่า ไม่อย่างนั้นก็ซื้อแต่เทป ซื้อแต่ VCD ไปฟัง ก็พอแล้ว ใช่ไหม แหม ขาย VCD ก็ฟังก็เถอะ แพงกว่าไปซื้อ VCD ตั้งเป็นกองใช่ไหม เหมือนกันแหละ ฟังธรรม ก็เหมือนกัน มาฟังของจริงนี่ดีกว่า อาตมาก็อธิบายรายละเอียด อะไรต่ออะไรพวกนี้สู่ฟัง

สรุปเรื่องประชาธิปไตยนี่เป็นเรื่องของสังคมมนุษยชาติ ทุกวันนี้จะบอกว่า ไม่มีระบอบอะไรดีเท่า ประชาธิปไตย ก็ถูก แต่ต้องเข้าใจประชาธิปไตยให้ดี ถ้าเข้าใจประชาธิปไตยไม่ดี พัฒนาประชาธิปไตย ไม่ถูกลักษณะของ ประชาธิปไตย ตรงตามรัฐศาสตร์ที่เป็นสัจจะ เหลวไหล

เศรษฐศาสตร์เหมือนกัน เพราะเศรษฐศาสตร์แล้วก็ไปพัฒนาเศรษฐศาสตร์ที่ไม่ตรงตามสัจจะ ก็เหลวไหล สังคมไปไม่รอด แต่ถ้าเข้าใจเศรษฐศาสตร์ที่ถูกต้อง แล้วก็พัฒนาเศรษฐศาสตร์ไปถูกต้อง รัฐศาสตร์ก็ตาม เข้าใจรัฐศาสตร์ถูกต้อง แล้วก็พัฒนาให้ถูกต้องตามรัฐศาสตร์ที่ว่านี้ พัฒนา ประชาชน ก็อยู่ตามหลักรัฐศาสตร์ที่ดี อยู่กันอย่างสงบ

ชาวอโศกจะเห็นได้ว่า อาชญากรรมไม่มีในกลุ่มชาวอโศก ปล้ำข่มขืนฆ่า ไม่มีหรอก แทงกันตาย ฆ่ากันตาย ไม่มี แม้แต่กินยาตาย เพราะว่ามันไม่มีสตางค์แล้วนี่จน กินยาตาย ไม่ตายด้วยซ้ำ ชาวอโศก ไม่มีตังค์ ก็ไม่เห็น ต้องฆ่าตัวตายทำไม มากินภูผาฟ้าน้ำก็ได้ ไปกินบ้านราชฯ ก็ได้ ไม่เห็นต้อง ไปฆ่าตัวตายทำไม เพราะว่าเป็นคนมีคุณภาพ ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน มาตรฐานคือ อย่ามีอบายมุข ถึงมีก็ต้องกดข่มให้ได้ อย่ามาประเจิดประเจ้อแถวนี้ เป็นคนไม่มีอบายมุข เป็นคนที่มีศีล พัฒนาศีล พัฒนาตนเอง ไม่สำส่อนในกามเกิน อะไรต่ออะไรต่างๆ อย่างมาตรฐานขั้นต้น ของเรานี่แหละ นี่ชาวอโศกเรา นับเป็นสมาชิกชาวอโศก ก็ไปสิอยู่สบาย มีกิน มีใช้ อู้ฮู.. สังคมแบบ สาธารณโภคี อาตมายิ่งมองเห็นความวิลิสมาหรา ความยิ่งใหญ่ของสาธารณโภคี

อาตมามองไปอนาคต ข้างหน้านี่โอ้โฮ.. มันจะรุ่งเรือง ไปอีกขนาดไหนไม่รู้ เพราะมนุษย์มันต้องการ สิ่งที่ประเสริฐ มนุษย์นี่ทุกวันนี้ฉลาด ปัญญาของมนุษย์ยุคนี้นี่ มันยิ่งกว่า ปัญญามนุษย์ยุค พระพุทธเจ้า ยุคก่อนพระพุทธเจ้า ปัญญายุคก่อนพระพุทธเจ้า ยุคพระพุทธเจ้า ยุคนี้ ปัญญาทุกวันนี้ มันฉลาดมากเลย แต่มันเอาไปใช้โกง เป็นปัญญาฉลาดในลักษณะ ภาษาบาลีเรียกว่า เฉกะ หรือ เฉโก หรือ เฉกตา เฉกะคำนี้แปลว่าฉลาด ปัญญาก็แปลว่าความฉลาด กุศลก็แปลว่าฉลาด แต่ฉลาด อย่างกุศลหรืออย่าง กุศลเป็นคำกลางๆ ส่วนปัญญานี่เป็นฉลาดที่เจริญ ฉลาดไปทางด้านดี ส่วนเฉกตะ เฉกะ หรือเฉกตานี่ ฉลาดไปทางด้านเสื่อม ที่เราฟังมาเป็นภาษาไทยๆ นี่เราเรียกว่าเฉโกๆ นี่มันโกง ฉลาดแกมโกง ฉลาดไปในทางอกุศล นี่คนที่ร่ำๆ รวยๆ นี่ เฉโกทั้งนั้นน่ะ ฉลาดแกมโกง ชาวทุนนิยมนี่คือพวกฉลาดเฉโกทั้งนั้น ชาวทุนนิยม ฉลาดเฉโกทั้งนั้นแหละ ฉลาดเอาเปรียบเอารัด ฉลาดหาช่องทางที่จะได้เปรียบทั้งนั้นแหละ ฉลาดหาช่องทางได้เปรียบมันก็เลวแล้วน่ะ ใช่ไหม

ฉลาดที่จะหาทางเสียเปรียบ หรือหาทางเสียสละ ยอด นั่นคือปัญญา ปัญญา ฟังดีๆ เข้าใจความหมาย ชัดๆ เพราะฉะนั้น ในโลกนี้ ทุกวันนี้นี่มันฉลาดมาก แต่ฉลาดเฉโก ฉลาดเฉโกนี่ รู้จักจอร์ชบุชไหม อย่างนี้เป็นต้น นั่นละฉลาดเฉโก ...

อาตมารู้ว่าเชื่อว่า อย่างบุชก็ดี อย่างใครก็ดี พวกนี้ปัญญาชน พูดด้วยสัจจะนี่เข้าใจ ลึกๆ นี่เขาเข้าใจ เพราะฉะนั้น สัจธรรมนี่ คนเรานี่ลึกๆ มันรู้ว่าอะไรดี อะไรชั่ว ปัญญาชนนี่ จะรู้จริงๆ เลยว่าอะไรดี อะไรชั่ว เพราะฉะนั้น แม้เขาจะเป็นคนชั่ว เขาก็เกรงใจความดี คนชั่วก็เกรงใจความดี เพราะฉะนั้น เขาจะไม่ค่อย จะทำกับคนดีจริงๆ เขาจะทำอะไรไม่เต็มที่ เขาจะทำไม่เต็มที่หรอก เขาจะไม่กล้า เขาจะเกรงๆ ก็มันมีส่วนดีน่ะ ส่วนดีที่ว่านี่แหละ ส่วนดีนี่แหละ คือสิ่งป้องกันคน ที่แปลโดยพยัญชนะ โดยพระพุทธเจ้า ตรัสว่า ธัมโม หเว รักขติ ธัมมจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรม อันนี้แหละ สิ่งดีของมนุษย์นี่ แม้แต่คนชั่ว เขามีปัญญา คนชั่วที่มีปัญญา คนชั่วไม่มีปัญญายกไว้นา มันทำเลว ได้ทุกอย่าง มันไม่รู้จักดีอะไรเลย มันไม่เกรงใจความดีหรอก เพราะฉะนั้น คนชั่วที่ไม่มีปัญญา ก็ไม่ต้องไปนั่นอะไร ก็แน่นอนคนชั่วไม่มีปัญญา

ทีนี้บางคนคนฉลาดๆ บริหารประเทศ อาจจะไม่มีปัญญาก็ได้ มีแต่เฉโก มีแต่ความฉลาดแบบเฉกตา เพราะฉะนั้น เขาจะทำชั่วได้สารพัด ไม่รู้คนดงคนดีเขาจะฆ่าเหี้ยนเลย เพราะเขาจะไม่รู้จักคนดี เขาจะไม่เกรงใจความดี แต่เขาเข้าใจความดี เกรงความดี มันก็จะดี สิ่งนี้ลึกๆ มีทั้งนั้น

อโศกเราอยู่ได้เพราะ เถรสมาคมยังมีคนมีปัญญาเกรงๆ อยู่ ถ้าไม่เช่นนั้น ป่านนี้แหลกแล้ว ถ้าผู้เป็นใหญ่ ในเถรสมาคมไม่มีปัญญาจริงๆ มีแต่เฉโกอย่างเดียวนา อโศกอยู่ไม่รอดหรอก แบนแล้ว เขามีอำนาจนา มีอำนาจจะเก็บเมื่อไร จะล้างให้เตียนเมื่อไรได้อโศกนี่ นิดเดียว แต่เพราะคน ในเถรสมาคม ผู้ใหญ่หรือผู้บริหาร ผู้ที่มีอำนาจในเถรสมาคมนั้น ยังเป็นคนมีปัญญา ยังเป็นคนมีภูมิ จึงรู้ว่า อโศกมีอะไร แล้วจะทำไป ก็ทำไปด้วย อาจจะพูดชั่ววูบชั่ววาบ แล้วก็สำนึกทีหลัง อันนี้มีจริง ทำไปชั่ววูบชั่ววาบ แล้วมาสำนึกทีหลัง แล้วบอกไอ้ย่า ผิด ไปแตะโพธิรักษ์ ผิด อันนี้มีจริง อาตมา มีข้อมูล แล้วไม่พูดในที่นี้ บางคนเคยพูดให้ฟัง แต่ไม่พูดประเจิดประเจ้อไม่ดี

สิ่งเหล่านี้เป็นสัจธรรมในโลก อาตมาคิดว่าพวกเรานี่ตั้งใจศึกษาสัจธรรมมาดีแล้ว ชาตินี้มาได้แค่นี้ ก็พากเพียรเอา เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นทรัพย์แท้ของมนุษย์ กรรมที่ได้สั่งสมกระทำแล้ว เอายางลบ ลบไม่ได้ ไม่เอาก็ไม่ได้ นอกจากไม่เอา ก็ไม่ได้แล้ว รับรองไม่หก ไม่เรี่ย ไม่ระเหย ไม่ระเหิด ศัพท์วิทยาศาสตร์ ระเหิดยิ่งกว่าระเหย เพราะว่าระเหิดนี่มันยิ่งกว่า มันไม่เห็นเลยด้วยตา เลยระเหิดนี่ ถ้าระเหยนี่ยังเห็น เออนี่มันระเหยขึ้นไป ยังพอจับได้ แต่ระเหิดนี่ โอ้โฮจับยากเลย ละเอียดกว่าระเหย ไม่ระเหิด ไม่ระเหย ไม่หก ไม่ตก ไม่หล่น ทุกอย่างเต็มๆ คุณทำไปแล้วเป็นของคุณเต็มๆ ต้องเป็น กัมมทายาโท คุณต้องเป็นทายาท รับมรดกกรรมของคุณทุกชาติๆๆๆ ไม่มีหายไปไหน นี่เป็นคำตรัส เป็นคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้า เป็นความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ แล้วเอามาตรัสรู้สอนไว้

อาตมา ฟังแล้วซาบซึ้ง จึงเอามาขยายความให้คุณฟัง แล้วให้พวกคุณเข้าใจ แล้วเอาไปปฏิบัติเถิด เกิดมา เป็นมนุษย์ไม่มีอะไรหรอก มันก็จะอย่างนี้แหละ แล้วก็วุ่นวายไป มันจะมีโลก โลกีย์ ครอบงำ เก่งนา อาตมานี่เกิดมาชาตินี้ ถูกโลกมันมอมเมา เป็นลิงลมอมข้าวพอง โอ..เราเป็นคนแบบโลกๆ ๓๐ กว่าปี กว่าจะรู้ตัว กว่าจะหลุดออกมา เออ.. แหมดึงเราไปแปดเปื้อน อาตมาไปทำบาป ไปทำชั่ว ไปทำ เลอะเทอะ อยู่ทางโน้น ไม่ใช่น้อยเหมือนกัน นา อย่างน้อยไปเอาเปรียบเขามา ตามระบบทุนนิยม ใช่ไหม ไปทำงานจะต้องได้รายได้ จะต้องเอาอันโน้นอันนี้ส่วนตัว ส่วนอะไร มันไม่ซื่อสัตย์หรอก มันเฉโก มันฉ้อฉลอยู่ในตัว อ้าวแล้วไปคิดอยากได้เปรียบเขา อย่างโน้นอย่างนี้ อาตมาทำมา

คิดอย่างนี้ มันจะได้เปรียบ มันไม่ผิดกฎหมายหรอก แต่เรารู้ว่า เราเองเรานี่ ต้องใช้วิธีการเล่ห์เหลี่ยม ต้องอย่างนี้มันถึงชนะเขา ใช่ไหม มันทำมาแล้ว นี่อาตมาก็ไปเปื้อนมา แหม.. เสียดายตั้ง ๓๕ ปี กว่าจะมาได้บวช กว่าจะมาทำอย่างซื่อสัตย์มานี่ มันจะมีลิงลมอมข้าวพอง อย่างนั้นแหละ อย่างพระพุทธเจ้านี่ เกิดมามีบารมีพร้อม ตัวเองก็ไม่อยากจะไปอะไรหรอก พ่อแม่จับแต่งงาน ต้องไป แปดเปื้อน ต้องไปมีลูก ไปมีอะไร ต้องไปอะไรๆ อย่างนี้ ก็ตามประสาของท่าน ท่านไปถูก มอมเมา นี่อาตมานี่ถูกมอมเมา ต้องไปเล่นไพ่ ต้องไปกินเหล้า ฮูว.. นึกว่ามันดีนักหนา ต้องไปหัด ไปกับเขานา แหม.. แมนมันไม่กินเหล้า ไม่ดูดยา มันไม่เท่อะไรอย่างนี้ ก็ไป มันมอมเมาเรา โอ้โฮ.. เราก็ไปโง่ตามมัน นี่อาตมายกตัวอย่างอันนี้ให้ฟัง จะเห็นได้ว่า อจินไตยนี่มันลึกซึ้ง แล้วมันก็อย่างนี้ โลกมันจะมี อาตมาไม่รู้จะใช้ภาษาอะไร ใช้ภาษานี้มาจากต้นวาโย ลิงลมอมข้าวพอง โลกโลกีย์ มันมอมเมาเรา ให้เราเมาตามเขา แล้วไปหลงตามเขา เมื่อรู้ตัวแล้ว หรือเข้าใจชัดแล้ว อย่าเสียเวลา

เพราะแม้คุณจะรู้แล้ว แต่กิเลสมันมี วิบากมี เพราะฉะนั้น คุณจะต้องแข็งแรง ต้องสู้รูปรสกลิ่นเสียงมา นี่อาตมานี่นา พอรู้ อาตมาก็สลัดมาง่ายๆ มันไม่ยาก เพราะอาตมามีบารมีแล้ว เพราะฉะนั้น จะทุบทิ้ง จะเลิก จะละ โอ้ย.. สบาย พุทโธ่เอ๋ย ไปโง่ให้เขาถูกหลอกมา นิดหน่อยเอง หรือจะมากขนาดไหน ก็ตามแต่ อาตมาไม่มีปัญหาอย่างที่ว่านี่ มันมาง่ายนา เพราะคนมีบารมีมากก็มาง่าย คนมีบารมีน้อย ก็มายาก ก็ชัดๆ อย่างนี้แหละ ก็คุณจะให้มันมีบารมี คุณก็ต้องปฏิบัติซี คุณต้องฝืนต้องทนต้องล้าง ต้องกดต้องข่ม ต้องพยายามใช้พากเพียร เลิกละมาให้ได้จริง แล้วก็สั่งสมไปๆ ตามพฤติกรรม ที่คุณ ได้สะสม คุณจะไปเอาจากไหนกัน ขอหน่อยพ่อ จะแบ่งจากพ่อ พ่อมีตั้ง ๑๐๐ กรัมเมติก ว่าอย่างนั้น ก็ไม่รู้หรอก อาตมาตั้งชื่อหน่วย แหมพ่อมีตั้ง ๑๐๐ กรัมเมติก ขอมาหน่อยซีสัก ๒๐ พ่อเอาตั้ง ๘๐ ก็แบ่งมาได้ที่ไหน จากพ่อก็ไม่ได้ จากเพื่อนก็ไม่ได้ จากลูกก็ไม่ได้ จากคนสนิท จากมิตรสหายที่ไหน ไม่ได้หรอก แบ่งให้ใครไม่ได้ เพราะฉะนั้น การแบ่งบุญแบ่งบาป โดยเฉพาะ แบ่งกุศลที่เป็นโลกุตระนี่ สำคัญมาก ร่วมกุศลในโลกียะ ยังร่วมกันได้ ร่วมกุศลในโลกียะนี่ ยังร่วมกันได้นา

เช่น อาตมา เคยทำบุญร่วมกันกับพระพุทธเจ้า ทำบุญร่วมกับในส่วนที่พระพุทธเจ้าที่เป็นกุศลโลกีย์นา เป็นทรัพย์ศฤงคาร เป็นเงินทองข้าวของอะไรก็แล้วแต่ เหมือนลงหุ้นร่วมกันนี่ ถือหุ้นร่วมกันแล้ว บริษัทนี้ มีกำไรแบ่งกัน แล้วขอยืมมาใช้ก้อนเท่านี้ ไม่เกินของของเราก็ใช้ได้ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น ก็เหมือนกันแหละ อาตมาไม่เคยทำบุญ ร่วมกันกับพระพุทธเจ้า อาตมาก็ขอหน่อย เป็นของส่วนกลาง ขอแบ่งมาใช้หน่อย ไม่เกิน เรามีหุ้นอยู่ในนั้น ร้อยหนึ่ง กับของพระพุทธเจ้าร่วมกันอยู่ แต่เราเป็น ของส่วนกลางนา เราขอยืมมาใช้ก่อน นี่ใครเรียน การเงินมาง่ายๆ ก็ขอยืมไปใช้ก่อน ๘๐ ได้ ไม่เกิน ๑๐๐ ไม่เกินหุ้นจริงของเรามี เราก็ยืมมาใช้ได้ เอาเสร็จแล้วก็คืนไปเอาของเราตามมา ถ้าเราคุ้มทุน เราก็เอาคืน อะไรอย่างนี้เป็นต้น นี่คล้ายๆ กันกับบุญส่วนกลาง กุศลส่วนกลางที่เป็นโลกีย์ แต่โลกุตระ คุณตัดกิเลส ของคุณได้ไม่ได้ พระพุทธเจ้าตัดกิเลสได้ ๕๐ หน่วย ขอของพระพุทธเจ้ามาสัก ๑๐ หน่วยเถอะ ขอไม่ได้ ตัดกิเลสของเราเถอะ ของเราไม่ได้ตัดเอง คุณจะขอแบ่งกุศลโลกุตระ จากพระพุทธเจ้ามา ไม่ได้ สาธุ ขอให้ลูกตัดกิเลส ช่วยลูกตัดกิเลสหน่อยเถอะ ขอพระพุทธเจ้า ช่วยลูกตัดกิเลสหน่อยเถอะ ถ้าพระพุทธเจ้าช่วยได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยมา วันนี้เอาสักพันคน ช่วยตัดกิเลส มันง่ายดี มันไม่ได้

พระพุทธเจ้าก็บอก ท่านบอกได้แต่ชี้ทาง พระองค์ก็บอกว่า พระองค์ได้แต่เป็นผู้ชี้ทาง ส่วนจะได้นั้น คุณต้องไปทำเอาเอง เพราะเป็นเพียงแต่ผู้ชี้ทาง ท่านก็ตรัสไว้อย่างนี้แหละ อาตมาก็เหมือนกัน ได้แต่บอกพวกเรา วิธีการเป็นอย่างไร อะไรเป็นอย่างไร ก็ได้แต่บอกพวกเรา อาตมาทำแทนไม่ได้ ให้ไม่ได้ ให้ได้เอาสิ เอามา เอาไป อาตมาตัดกิเลสได้เท่าไร คุณอยากได้บ้าง มาถากเอาไปสิ อาตมาตัดกิเลสได้ เท่านั้นเท่านี้ คุณก็ถากเอา แบ่งเอาที่ตัดกิเลสได้ส่วนนั้นส่วนนี้ แล้วคุณยัง จะติดกิเลส ติดปาท่องโก๋ ขอมาถาก ไปหน่อย ถากอาตมานี่ เราจะได้เลิกกิเลสปาท่องโก๋บ้าง เอาสิมาเอาไปสิ เราติดเพชร ติดพลอยอยู่ มาตัดเอาไป ยังติดบ้านติดเรือน ยังติดลูกติดหลานอยู่ มาตัดเอาไป มาแบ่งมาถากเอาสิ มันถาก ได้ที่ไหน นี่พิสูจน์เห็นชัดๆ นี่ คุณต้องไปเลิก ไปลดเอง คุณต้องไปปฏิบัติประพฤติเอง ใช่ไหม นี่พิสูจน์ธรรมพระพุทธเจ้า มันพิสูจน์ยืนยันกันได้อย่างนี้ มันแบ่งไม่ได้นา มันแบ่งเอาไม่ได้ มันเที่ยวได้ยื้อ ได้แย่ง ไปขอเอา แหมขอหน่อยเถอะๆ บุญกุศล ขอหน่อยเถอะ อะไรต่ออะไร ขอคนนั้น ขอคนนี้ แม้บุญกุศลที่เป็นโลกีย์ก็ขอกันไม่ได้ นอกจาก จะมีอย่างมากก็คือ ทำร่วมกัน คุณทำบุญ ร่วมกับอาตมา คุณมีแน่ มีทำบุญร่วมกับอาตมา โอโฮ.. ร่วมไปตั้ง แหมทำบุญร่วมกับพ่อท่าน ตั้งสองสลึง เอ้าได้ คุณจะแบ่งเอาไปยืม เอาไปใช้บ้าง อีกสลึงหนึ่ง ก็ได้ หรือสองสลึงเอาไป สี่สิบเก้าตั้งก็ได้ แหมเอาไป เกือบหมดเลยโว้ย.. สองสลึง ห้าสิบ เอาไปตั้ง สี่สิบเก้า เอาไปใช้ก่อนก็ได้ แล้วก็เอามาคืนก็แล้วกัน อะไรอย่างนี้ คล้ายๆ กัน

นี่ก็อาตมาอธิบาย เป็นรูปธรรม โดยวิธีการ ความรู้ทุกวันนี้มันมาก เฟ้อ เกินกว่าจะเข้าใจได้ เพราะฉะนั้น จะร่วมกุศล กันนี่ได้ เผื่อแผ่กันไป ชั่วครั้งชั่วคราว กุศลโลกีย์ได้ไหม กุศลโลกุตระไม่ได้ ละกิเลสนี่ไม่ได้ กุศลโลกุตระ คือละกิเลส กุศลโลกียะคือนี่แหละ จะเป็นทรัพย์ศฤงคาร ข้าวของวัตถุ แรงงาน การช่วยเหลือเฟือฟาย อุ้มชู เผื่อแผ่กัน มันเป็นเรื่องของสังคม กุศลโลกีย์เป็นเรื่องของ สังคมศาสตร์ ส่วนกุศลของโลกุตระนั้น เป็นเรื่องของปรมัตถศาสตร์ เป็นศาสตร์เรื่องเจตสิก รูป นิพพาน ต้องเรียนรู้ แล้วละ ของใครของมัน มันต่างกัน

ก็ขอสรุปตรงที่ว่า พวกเรามาอย่างนี้ เราจะมีกิจกรรม มีพิธีกรรม เรียกว่ายัญพิธี มาฉลองหนาวก็ดี ไปงานปลุกเสกก็ดี ไปงานแม้แต่งานตลาดอาริยะก็ตาม หรืองานใดที่เราจะไป เป็นงานย่อย งานจร เราจะมีงานไปช่วยกัน ที่บ้านนิติภูมิเขา ในวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ พวกญวน นิติภูมินี่ เขาสัมพันธ์กับ พวกญวน เขามักมหาวิทยาลัยยิน เป็นพวกศาสตราจารย์ เป็นพวกทางมหาวิทยาลัย เขาสนิทสนมกัน แล้วก็มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกัน เขาก็จะมาทุกปีแหละ เอาคณะศิลปวัฒนธรรม เอาคณะนักศึกษา เอามาทำความสัมพันธ์ เอามาประสานกับทางนี้ ทางรัฐเขาก็ไม่ค่อยเอา นิติภูมิเขาก็ เสนอไปทางรัฐนะ ทางรัฐไม่ยอม ก็ไม่เป็นไร นิติภูมิเขาก็เลยทำเป็นส่วนตัวเขา เขาทำมาแล้ว ๒ ปีแล้ว เราไปร่วมกับเขา ทุกปีเลย ปีนี้เขาก็มาอีก ปีนี้เขาก็พยายามขยายผลให้มากขึ้น โดยรวมเอาศาสนา เป็นแกน รวมทั้ง ศาสนาคริสต์ ทั้งศาสนาอิสลาม ...

เราก็พูดส่วนประสาน ที่เป็นจุดดีร่วมกัน พุทธก็เหมือนกัน คริสต์ก็เหมือนกัน อิสลามก็เหมือนกัน มีจุดดีร่วมกันเยอะแยะ เพราะฉะนั้น เราประสานจุดดีกันไป เราจะร่วมทำกัน อย่างไรได้ ร่วมมือกัน อย่างไร จุดดีส่วนนี้ เราจะมีอย่างไรกัน ก็ว่ากันไป เป็นสังคมมนุษยชาติ ไม่แปลก ก็ร่วมกันทำนี่คือ งานของมนุษย์ เราจะทำอย่างไรให้สามัคคีกัน ให้อยู่ร่วมกันดี ไม่ต้องเดือด ต้องร้อน ไม่ต้องทุกข์ ต้องทรมาน มันเป็นเรื่องดี ทั้งนั้นแหละ โลกทั้งโลก ส่วนใครจะมีวิชาความรู้ ที่จะทำให้มนุษย์ มันสุดยอด อาตมาก็ว่าพุทธ ส่วนคนอื่นเขาจะว่าอย่างไรก็ช่าง แต่เราอย่าไปพูดข่มเขา อย่าไปอวดตัวข่ม ศาสนาฉันดีกว่าคุณ ตรงนั้นตรงนี้ ตรงนี้ เดี๋ยวเจ็บตัวมา อาตมาไม่รับประกันนา อย่าหาว่าอาตมายุ

เมื่อคนเป็นอาริยะได้ จะเป็นประชาธิปไตย เพราะอาศัยคนเป็นมวลที่จะเป็นอำนาจหรือเป็นใหญ่ ในมนุษยชาติด้วยกัน เพราะฉะนั้น แม้ที่สุดคุณจะมีตัวแทน คุณจะเลือกบุคคลเข้าไปทำหน้าที่แทน ทำหน้าที่บริหาร ทำหน้าที่โน่นๆ นี่ๆ มันก็จะเกิดสัจจะของความเป็นจริง ของคนที่มีประสิทธิภาพ มีสมรรถภาพ หรือมีคุณธรรม มีสิ่งที่ดีงาม เป็นคนที่ควรจะเอาไปทำงานแทนเรา หรือ พวกเรามีอำนาจ จะใช้พลังอำนาจ ในกาละที่เห็นควร ในเรื่องราวที่เห็นควร เราก็จะแสดงมติของประชามติ คุณก็ต้องทำ คุณก็ต้องมีสิทธิ์ มีเสียง มีการเป็นอยู่ ในชีวิตสังคม ตามระบบของ ประชาธิปไตย ขอให้ทุกคน ไปพัฒนาตนเองก็แล้วกัน ถ้าพัฒนาตนเองเป็นอาริยะได้ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส อย่างแท้จริงแล้ว อาตมากล้ารับรอง กล้ายืนยันว่า สังคมโลกจะเป็นอยู่สุขกันอย่างแท้จริง



จัดทำโดย โครงการถอดเท็ปธรรมะ
ถอด/พิมพ์ โดย พ.ท.นารถ กองถวิล ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
พิสูน์อักษร โดย ป.ป. ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๗
เข้าเล่มโดย สมณะแดนเดิม พรหมจริโย
เขียนปกโดย พุทธศิลป์
งานฉลอหนาว ๒๔ ม.ค.๒๕๔๗
TCT0486.DOC