ค่ำมาฆะพุทธาฯ
สมณะโพธิรักษ์
วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘
ที่ พุทธสถาน ศาลีอโศก อ.ไพศาลี จ.นครสวรรค์


เจริญธรรมทุกๆ คน

๒๕๙๓ ปีมาแล้ว ศาสนาพุทธเกิดขึ้นมาในโลก มาถึงวันนี้ศาสนาพุทธก็ยังอยู่ แล้วก็ยังมีความเป็น ศาสนาพุทธ มีเนื้อแท้เนื้อธรรม อันเป็นลักษณะพิเศษของศาสนาพุทธ ก็ยังสามารถที่จะให้มนุษย์ สามารถที่จะเอาประโยชน์ เอาคุณค่าของความเป็นศาสนาพุทธนั้น มาเกิดขึ้นในตน ให้ตนแต่ละคนๆ นั้นสามารถพิสูจน์ เข้าถึงเนื้อแท้ของพุทธธรรมได้อยู่ เป็นอกาลิโก เป็นการกล่าวไว้ว่า ศาสนาพุทธนี้ จะอยู่ได้สักประมาณ ๕,๐๐๐ ปี ตอนนี้ก็เกิดมาได้ ๒๕๙๓ ปีแล้ว ก็นานโขอยู่

ที่อาตมาพูดว่า ศาสนาพุทธ มาถึงวันนี้ ก็ยังมีผู้ที่สามารถได้เนื้อแท้เนื้อธรรมของศาสนาพุทธอยู่ ก็เพราะว่า อาตมาเห็น อาตมาใช้ปัญญา เท่าที่ตัวเองมี จะได้วัด หรือจะเรียกว่าตรวจสอบจากคน คือพวกเรา ชาวอโศกนี่ ได้ประพฤติ ปฏิบัติธรรมะ มีทางปฏิบัติ มีทิฐิ มีความเข้าใจ มีความรู้ว่า ทิศทางเป็นอย่างไร เป้าหมายสูงสุด หรือที่หมายถึงอัตถะ ที่เป็นสภาพ ของเนื้อๆ แก่นๆ ของธรรมะ เป็นอย่างไร มีสาระสัจจะ ที่แท้ ของความเป็นพุทธ อย่างไร

เมื่อเอามาเปิดเผย เมื่อเอามาอธิบายบอกแจ้ง ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธนั้น แน่นอนที่สุด เนื้อแท้ของ ศาสนาพุทธคือ ธรรมะที่ทวนกระแสโลกีย์ หรือทวนกระแสสามัญของโลก เนื้อแท้เนื้อธรรม เป็นโลกุตระ ซึ่งพ้นวิสัยของโลกีย์ คือพ้นวิสัยของคนชาวโลกๆ สามัญ กระนั้นก็ดี คนยุคนี้ ทั้งๆ ที่ศาสนาพุทธ เกิดผ่านมาแล้วจนถึง ๒๕๙๓ ปีผ่านมา ยุคนี้ถ้าเผื่อว่าเป็นจริง ดังที่มีผู้กล่าวว่า ศาสนาพุทธอยู่ ๕,๐๐๐ ปี มันก็เลยกึ่งหนึ่ง ของศาสนา มาแล้วหลายปี ก็เรียกว่าค่อน ค่อนไปหา ความเกลี้ยง ความหมดของศาสนา ขึ้นไปเรื่อยๆ ขนาดนั้น เนื้อแท้เนื้อธรรม ที่แสนยาก ที่พระพุทธเจ้า ท่านยืนยันว่าเป็น คัมภีรา ทุททสา ทุรนุโพธา สันตา ปณีตา อตักกาวจรา นิปุณา ปัณฑิตเวทนียา ซึ่งเป็นเรื่องที่ลึกซึ้ง เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบอย่างพิเศษ สงบอย่างที่เรียกว่า ต้องรู้ว่า สงบนั้นคือสงบอะไร ความสงบ อะไรสงบ สงบจริงๆ หรือไม่ เป็นเรื่องประณีต เป็นเรื่องสุขุมลึกซึ้งจริงๆ เดาเอาไม่ได้ คาดคะเนไม่ได้ ใช้หลักเหตุผล มาไม่ได้ ต้องเข้าถึงความจริง เพราะว่าเป็นเรื่องที่ ภาษาไทยไม่มี นิปุณา ภาษาไทยไม่มีคำแปล นิปุณา นี่ก็คือ มันเป็นเรื่องที่ละเอียด ลึกซึ้งที่จะต้องใช้ ญาณปัญญา ฉลาดเข้าไปล่วงรู้ เข้าไปสัมผัสเห็น สาระสัจจะ ของศาสนาพุทธ นิปุณา นี่บางที เขาก็แปลว่า ละเอียดลออ แปลว่าอะไรอีก หลายอย่าง ที่มันเป็นเรื่องที่จริงๆ ภาษาไทยตรงๆ มันแปลไม่ได้ นิปุณา นี่ บัณฑิตจริง บัณฑิตหมายความว่า ผู้ที่มีภูมิธรรม มีภูมิปัญญาแท้ๆ หรือจริงๆ ก็คือ ผู้มีวิชชาของพระพุทธเจ้า วิชชาที่เป็นตัว ที่ตรงกันข้าม กับคำว่า อวิชชานั่นแหละ เป็นความรู้ยิ่ง รู้จริง ที่รู้แบบพุทธ รู้เข้าไปถึงปรมัตถธรรม สามารถที่จะวิเคราะห์ วิจัย แยกแยะความจริง ตามความเป็นจริง ของจิตเจตสิก ถึงขั้นรูป นิพพาน ได้

ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ก็ยังเข้าใจกันได้อยู่ในเมืองไทย เข้าใจโดยพยัญชนะ เข้าใจโดยปริยัติ เข้าใจว่า ทางปฏิบัติอันเอก คือมรรคองค์ ๘ มรรคองค์ ๘ ที่ผู้ศึกษาอย่างสัมมา มรรคองค์ ๘ คือ ทางปฏิบิติ ผู้ใดเข้าใจเป็นสัมมา ในทางปฏิบัติ แล้วก็ปฏิบัติได้มรรคผล เป็นสัมมาด้วย โดยมี สัมมาทิฐินั่นแหละ เป็นตัวประธาน เมื่อสามารถมีสัมมาทิฐิเป็นตัวประธาน ถูกต้องแน่ๆเลย สัมมาก็คือ ถูกต้อง ถูกถ้วนรอบ ถูกสมบูรณ์ หมดเกลี้ยง จนกระทั่งเกิดสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ มรรคทั้ง ๘ ก็เป็นสัมมา ผลอีก ๒ ก็เป็นสัมมาครบ สัมมัตตะ ๑๐ เรียกว่าครบ ความถูกต้อง มันก็เป็นผู้ที่ได้ มรรคผล อันเป็นเนื้อแท้ของ ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธถ้าเอาแค่ สัพพปาปัสสะ อกรณัง คือละบาป ทั้งปวง แล้วก็กุสลัสสูปสัมปทา กระทำแต่ความดีที่เป็นกุศล ไม่ทำบาปทั้งปวงได้จริง ทำแต่ดีเท่านั้น บาปก็ดีบุญก็ดี ก็เป็นสมมุติสัจจะ ศาสนาทุกศาสนาก็สอน ศาสนาพุทธก็สอน มีด้วย และมีอย่าง ลึกซึ้งด้วย คำว่าบาปของพุทธนั้นลึก ลึกละเอียดมาก จะเห็นได้ชัดเจนว่าลึก แม้แต่ศีลข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นหลักปฏิบัติอันสำคัญ ที่ใช้กันอยู่

พระพุทธเจ้าก็ตรัส อย่างชัดเจนว่า ไม่ฆ่าสัตว์ใดๆ ไม่ว่าจะในเรื่องไหน จะฆ่าด้วยเรื่องใดๆ ในเรื่อง ไหนๆ เหตุผลอะไร ก็ไม่ฆ่าทั้งสิ้น อย่างนี้เป็นต้น เพราะว่ามีพระเมตตา รู้จักจิตวิญญาณ จิตวิญญาณสัตว์ เดรัจฉานก็ตาม จิตวิญญาณมนุษย์ก็ตาม ซึ่งเป็นสภาพของจิตของวิญญาณ พระองค์เข้าใจ ลึกซึ้งในเรื่อง ความเป็นจิตวิญาณ ที่มันมีอยู่ในโลก วนเวียนอยู่ในโลก ในวัฏฏะสงสาร นี้ และมันก็เกิดตาย ตายเกิด เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็น จิตวิญญาณของ สัตว์เดรัจฉาน หรือจิตวิญญาณ ของคน มันเกี่ยวพันกัน หมุนเวียนเปลี่ยน เปลี่ยนสภาพ จิตวิญญาณ ของมนุษย์ แม้เป็นมนุษย์แล้ว ก็ยังไปเกิดเป็น สัตว์เดรัจฉานได้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงไม่ละเว้น ในความเป็นเดรัจฉาน ในข้อยกเว้นใดๆ แม้แต่จะฆ่ามากิน เหตุผลใหญ่ละ ฆ่ามากิน เลี้ยงชีพเลี้ยงชีวิต ก็ไม่ให้ทำ ไม่มีเงื่อนไขว่า ฆ่ามากิน แล้วไม่บาป ทำเป็นทีส่งไปถึงพระเจ้าก่อน แล้วค่อยกินก็ได้ ศาสนาพุทธไม่ได้ ไม่ได้ทำ เพราะศาสนาพุทธ ไม่ใช่เทวนิยม เพราะไม่มี อย่างนี้เป็นต้น เป็นความลึกซึ้ง ที่รู้แจ้ง เห็นจริง ในเรื่องความเป็นพลังงาน ที่เรียกว่า พลังงานระดับจิต อุตุ พีชะ จิต เป็นพลังงาน ที่ไปก่อกรรม หรือพลังงานนั้นจะประกอบธรรม ประกอบเป็นกุศล ประกอบเป็น อกุศลใดๆ ก็ตาม

อุตุ พีชะ กรรม ธรรมะ ซึ่งเป็นสภาพที่ละเอียดลออรู้แจ้งเห็นจริงเข้าใจสภาพนั้นๆ เมื่อเราเอง เราเอาธรรม ของ พระพุทธเจ้ามาอธิบายกัน มาชี้ บอกแจ้ง แล้วเราเข้าใจกัน จนกระทั่ง มีผู้มาเห็นจริง เห็นดี เห็นชอบ แล้วก็มาปฏิบัติ จนเกิดความจริงกับตนๆ แล้วก็เดินทางออกจากโลกีย์ คือเนกขัมมะ เนกขัมมะ คือ การออกจากโลกีย์ ตั้งแต่ออกจาก ในสภาพแรกคือออกจากสายกาม ซึ่งเป็นคำพูด หรือคำแปล ความหมายของ เนกขัมมะอันตรง ออกจากกาม ออกจากภพ ออกจากคำว่ากาม หรือออกจากคำว่า เป็นอัตตา ลดละออกมา ตัวตนที่มันติดกาม ถ้าอธิบายถึงเนื้อแท้ มันก็อธิบายได้ และเราก็ได้มาพิสูจน์ จนกระทั่ง ออกมาจากกาม ออกมาจากความไปติดยึดในความเป็นอัตตา ซึ่งเป็น ความติดยึด อีก ๒ ส่วน ของโลกีย์ ตามธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่พระพุทธเจ้าท่านเปิดเผย ธรรมของพุทธ กัณฑ์แรก แสดงธรรมะ กัณฑ์แรกในโลก ท่านก็ประกาศ สภาพสุดยอด ลึกซึ้งสุดยอด แล้วว่า โลกนี้เต็มไปด้วยกามกับอัตตา เท่านั้นแหละ จนกระทั่ง ล้างกาม ล้างอัตตาได้หมด สูญ.. เป็นมัชฌิมา เป็นกลาง เป็นสะเทิน หรือ ว่าเป็นนิวตรอน เป็นสภาพที่ไม่มี ผลกระทบ ไม่ทำปฏิกิริยากัย กามกับอัตตาใดๆ อีก ก็เป็นอันสุดสิ้น

อาตมานำธรรมของพระพุทธเจ้ามาให้พวกเราปฏิบัติกัน ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ เป็นการทำงาน เริ่มต้น เข้ามาสู่ความเป็น ผู้ที่จะสืบทอด หรือผู้ที่จะทำงานพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ก็ถือว่าอาตมา เข้ามาสู่การบวช ทางพิธีการ บวชเป็นพระ เป็นภิกษุ สมณะทางรูปธรรม ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๓ ที่จริงอาตมา ก็ทำงาน เกี่ยวกับธรรมะมาก่อนแล้ว ก่อนที่จะมาบวชเป็นพระทางรูปธรรมนี่ แต่ก็ถือว่า เราเข้ามาสู่ ความเป็นหน้าที่ ความรับผิดชอบหน้าที่อย่างสมบูรณ์เต็มที่ ในพ.ศ. ๒๕๑๓ มาถึงวันนี้ก็ ถ้าจะนับกัน ตัวเลขง่ายๆ ไม่ต้องนับละเอียดไปถึงเดือน พ.ศ. จาก ๑๓ ถึง ๔๘ ก็ย่างเข้าไปแล้ว เป็นปีที่ ๓๕ ในช่วง ระยะ ๓๕ ปี ที่ทำงานมานี่ อาตมาก็พอใจ พอใจที่ธรรมของพระพุทธเจ้า นั้นเห็นผล อาตมาขอ ยืนยันว่า เห็นผล ผลที่เกิดนี้เป็นกลุ่มมนุษย์ ทั้งที่ที่ถือว่าตัวเองเป็นพุทธศาสนิกชน ทั้งที่ผู้ที่ไม่ได้เป็น พุทธศาสนิกชน ก็ยังมาประพฤติ ปฏิบัติด้วย มีทั้งผู้ที่นับถือศาสนาอื่น มาปฏิบัติด้วย แล้วก็มีเนื้อแท้ เนื้อธรรมด้วย ในศาสนาอื่นๆมีอยู่ร่วม โดยเฉพาะพุทธศาสนิกชนจริงๆ ก็มีเป็นกอบ เป็นกำ ถึงวันนี้ เกิดเป็นกลุ่มชน อยู่ทั่วไปในประเทศไทย ที่ไม่มาปรากฏตัว ไม่แสดงตัว ว่าปฏิบัติธรรมะ สายอโศก ก็มี แต่เอาเถอะ เราตามรู้ตามเห็นไม่ได้ เพราะท่านปิดตัว ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าบุคคลที่ปฏิบัติ โดยกรรม โดยการประพฤติ ของตนเอง กระทำของตนเอง ที่มันเป็นสาระ อย่างไร เป็นสาระสัจจะ ที่จริงอย่างไร ของผู้นั้นก็เป็นของผู้นั้น จะเปิดเผย หรือ ไม่เปิดเผย จะเป็นศาสนา นับถือ ศาสนาไหนๆ ก็ตาม กรรมอันเป็นจริง อย่างที่เป็นจริง มันก็คือสัจจะ

เมื่อเกิดกลุ่มหมู่ สังคม จนกระทั่ง เป็นชุมชน มีวัฒนธรรม มีจารีตประเพณี มีวิถีการดำเนินชีวิต กันอย่าง ที่มันเป็นเห็นๆนี่แหละ เป็นเครื่องยืนยัน เป็นเครื่องชี้บ่งให้เห็นว่า ความจริงได้เกิดขึ้นแล้ว ว่าธรรมะของ พระพุทธเจ้านั้น มีมรรคมีผล หลักง่ายๆ หรือว่าสิ่งที่เอามาพูดกัน แล้วก็ลอง ตรวจสอบดู ต้นๆง่ายๆ เช่นว่า เมื่อปฏิบัติธรรม แล้วมันลดโลภ โกรธหลง ซึ่งเป็นกิเลสหลัก รู้กันทั่วไป มันลดได้ จริงไหม คนลดความโลภ หรือลดราคะ ลดได้แล้ว คนนั้นจะเป็นอย่างไร ก็เป็นคนไม่ค่อยโลภ ลดได้บ้าง ไม่โลภ ไม่ติด ราคะ เป็นอย่างไร ก็ลด เห็นว่าลดได้ ลดได้บ้าง ได้จริง ลดได้อย่างมีพฤติกรรม ที่อยู่ด้วยกัน คบคุ้นกัน ๕ ปี ๑๐ปี ๒๐ปี อะไรขึ้นไป มันก็พอบอกได้ มันก็พอที่จะวัด จะให้คะแนน พอได้

หลง โดยเฉพาะคำว่าหลงคืออะไร หลงก็คือ ผู้นั้นยังตกเป็นทาส ยังติด ยังเมา คือไม่ค่อยรู้น่ะ หลงนี่คือไม่ค่อยรู้ หลงติดหลงยึดอยู่ในโลก ตั้งแต่อบายมุขเป็นต้น ก็หลงติดยึด รู้ทั้งรู้ บางทีรู้แล้วนะ โดยสำนึก สามัญนี่ รู้มันไม่ดี แต่มันก็หลง จิตมันหลง มันหลงคลั่ง หลงที่จะต้องเป็นทาส เหมือนคนเมา สามัญสำนึก รู้ว่ามันไม่ดี แต่ก็หลงติดมันอยู่นั่นแหละ เป็นทาสมันอยู่อย่างนั้นแหละ นั่นแหละคนหลง เป็นทาสผู้ปล่อยไม่ไป เมื่อเราได้พยายามทำ เอาหลักเกณฑ์ต่างๆ ของพระพุทธเจ้า มาเทียบมาวัด มันเป็นเรื่องที่เห็นเด่นชัดว่า มันทวนกระแสโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็คือโลกีย์ คนในโลก ก็เป็นอย่างนั้นแหละ มาสะสมลาภ ได้ลาภมาสมใจก็สุข เสื่อมลาภก็ทุกข์ ได้ยศชั้นก็สุข เสื่อมยศก็ทุกข์ ได้สรรเสริญเยินยอก็สุข ถูกนินทาก็ทุกข์ ได้กามตามที่ ติดยึด มันเสพ มาบำเรอ ก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ ได้อะไร ที่สมใจตนเป็นอัตตา บำเรออัตตา ก็สุข ถ้าไม่ได้ก็ทุกข์ นั่นคือ โลกธรรม หรือโลกียะธรรมดาๆ สุขๆทุกข์ๆ อยู่อย่างนี้แหละ

พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ว่า โอ..มันเรื่องหลอก สุขโลกีย์ก็หลอก คนมันก็ติดอยู่อย่างนั้น ถ้าเผื่อว่าเราเอง เรามาดู ต้นเหตุ มันยังเป็นกาม มันยังเป็นราคะ มันยังเป็นความอยากได้อยากมีอยากเป็น มาล้าง ตัวกิเลสตัวนี้ โดยมีลำดับเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ไอ้โลกโลกียะที่มันเสื่อมๆ ต่ำๆ เรียกว่า อบายอย่างนี้ เอาก่อน หรือโลภะ ราคะมันจัดๆ จ้านๆ ก็คืออบายนั่นแหละ หรือโทสะจัดๆ แรงๆ ก็คือ อบายนั่นแหละ โมหะก็เหมือนกัน ที่มันยังจัดจ้าน ก็คืออบาย อย่างนี้เป็นต้น เป็นเบื้องต้น แล้วลดละมา ล้างกิเลส นั้นมา ตามทฤษฎีที่พระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้ พวกเราก็มาศึกษา เห็นจริง ก็พยายามลดละล้าง ลงมา จนกระทั่ง กลายเป็นชุมชน ไม่มีอบายมุขได้ ท่ามกลางโลกทั้งโลกนี่ ไม่มีชุมชนไหนหรอก ที่เขาจะ เป็นไปได้อย่างนี้ จะชุมชนที่เล็กกว่าเรา เขาก็ยังมีอบายมุข เขาไม่ปลอด ไม่ไร้อบายมุข ได้อย่างที่เราทำ นี่เป็นเครื่องชี้ ยืนยันนา จงรักษาไว้ให้สะอาด ปลอด มันเป็นชื่อว่า ฐานะของอาริยะ เพราะฐานที่ไม่มี อบายนั้นน่ะ มันคือฐานโสดาบัน เพราะฉะนั้น เป็นโสดาบัน แต่เพียงรูปก็ตาม มีแต่รูปธรรมอยู่แค่นี้ ก็ตาม โดยไม่มีอบายมุข ไม่มีอบายมุข ทั้งหมู่กลุ่มเราไม่มี ในสังคมเรา ไม่มีอบายมุข มีศีล ๕ ซึ่งเป็น โสดาปฏิยังคะ คือเป็นองค์แห่งความเป็นโสดาบัน โสดาปฏิยังคะ เป็นองค์แห่ง ความประกอบ ความเป็น โสดาบัน เราก็มีกันได้ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่พูดปด มีการสังวรในศีล ๕ จริงๆ ตัวเล็กตัวน้อย ไปจนกระทั่ง ถึงคนแก่ รู้ ตั้งใจประพฤติ

วันนี้เป็นวันมาฆะบูชา ข่าวออกทางสื่อ สื่อสาร อาตมาก็อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ได้ดูโทรทัศน์ ไม่ได้ฟังวิทยุ ก็ไม่รู้ว่าเขาจะออกข่าว ออกอะไรหรือเปล่า เกี่ยวกับวันนี้ วันมาฆะบูชา ก็มีบางคอลัมน์ เขาเขียนถึง กันว่า วันนี้วันมาฆะบูชา เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ แต่คนตื่นตัว เห็นแต่ว่าเป็นวันสำคัญ ประชาชน คนไทยเป็นพุทธ กัน ๘๕ เปอร์เซ็นต์ ตื่นตัวในวันมาฆะ ไม่เท่า วันวาเลนไทน์ ไม่ตื่นตัวเท่า วันวาเลนไทน์ ไม่เกิดปฏิกิริยา ของสังคม ที่รับซับทราบอะไรได้เท่าไหร่ เขาก็พูดไปถึงว่า คนไทยทุกวันนี้ แม้ไม่ใช่วันสำคัญนี่ก็ตาม เขาไม่ไปวัดกันหรอก วันสำคัญ ก็ไม่ไปอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น วันธรรมดา ก็หมดหวัง ๖๐ ถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ในคนไทย เขาสำรวจว่า ชีวิตเกิดมา ไม่เคยไปวัด ๖๐ ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ในพุทธศาสนิกชน เกิดมาแล้ว จะอายุเท่าไหร่ก็เฉลี่ย เกิดมา คนไทยขณะนี้ เป็นพุทธมา ตั้งแต่เกิด ๖๐ ถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ ไม่เคยไปวัดเลย นั่นมันคืออะไร เขาก็เทียบศาสนาคริสต์ วันอาทิตย์ เขาก็ยังไปโบสถ์ ศาสนาอิสลามเขาก็ละหมาดกัน ถึงวันละ ๕ ครั้ง เขาก็ระลึกถึงศาสนา

แต่คนไทยวัดก็ไม่เคยไป อยู่ที่บ้านก็อย่าไปพูดถึงสวดมนต์สวดพร ระลึกถึงธรรมะ เอาธรรมมาศึกษา มาอ่าน ก็จะมีอยู่บ้าง ใน ๓๐-๔๐ เปอร์เซ็นต์นั่นแหละ ที่ศึกษาบ้าง ถึงแม้ว่าจะมาวัด พูดก็พูดเถอะ อาตมาอ้างตัวเองว่า อาตมาอายุ ปาเข้าไป ๗๐ กว่าแล้ว พูดไม่ต้องกลัวว่าเขาจะมาตีหัวแบะ วัดต่างๆ ทุกวันนี้ก็ไม่รู้สอนอะไร มันไม่ใช่ เนื้อหาของพุทธ ไม่ใช่สจิตตปริโยทปนัง เลย อย่างดีก็สอน กันแค่ ละบาป บำเพ็ญบุญเลย ซึ่งเหมือนกับศาสนาอื่นๆ ไม่มีโลกุตรธรรมที่เป็นจุดเนื้อแท้ ของพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาพุทธ ซึ่งไม่เหมือนศาสนาอื่นใด จนเขาหาว่าศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนา เพราะไม่เหมือนเขา ไม่เหมือนศาสนาทั้งหลายเขา ที่เขาต้องมีพระเจ้า ศาสนาพุทธไม่มีพระเจ้า เขาก็เลยหาว่าไม่ใช่ศาสนา เป็นแต่เพียงปรัชญา ให้คนมาปฏิบัติประพฤติ มันก็เป็นประโยชน์บ้าง เขาก็ว่าเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้ว ศาสนาเทวนิยมนั่นแหละ เป็นประโยชน์บ้าง แต่ไม่ได้เข้าถึงจิตวิญญาณ จริง เหมือนศาสนาพุทธ

ศาสนาพุทธทั้งเรียนรู้จิตวิญญาณอย่างทะลุทะลวง ถ้าบอกว่าจิตวิญญาณ พระเจ้าก็คือ พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ศาสนาพุทธนี่แหละคือศาสนาที่พิสูจน์ถึงจิตวิญญาณได้ รู้แจ้งเห็นจริง ว่าจิตวิญญาณบริสุทธิ์คืออย่างไร ศาสนาพุทธนี่แหละ ศึกษาได้ถึงของจริง มีญาณหยั่งรู้ จิตวิญญาณ จิตเจตสิกต่างๆ จึงมีผู้รู้ท่านแยกท่านแยะ พระอภิธรรมต่าง โอ๊ย ละเอียดละออ ลีลา อาการของ เจตสิกต่างๆ ซึ่งก็คือจิต อาการของจิต เจตสิกก็คืออาการของจิต เป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ จนกระทั่ง ที่สุดมีวิธีล้าง สิ่งที่มันแฝงอยู่ในจิตคือกิเลส พระพุทธเจ้าละเอียด ภาษาของศาสนาอื่น ว่าเป็นผี เป็นซาตาน อะไรนี่ ล้างออกจนเกลี้ยงได้ ไม่มีผี ไม่มีซาตาน เหลือแต่จิตบริสุทธิ์แท้ๆ จึงเป็นผู้รู้แจ้ง เห็นจริง เป็นวิทยาศาสตร์ ว่าเป็นผู้รู้แจ้งเห็นจริง เป็นจิตวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งทางศาสนา อื่นๆ ก็กล่าว ว่าเป็นพระจิตวิญญาณบริสุทธ์ นี่คือวิญญาณพระเจ้า พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ พระผู้สร้าง พระผู้ประทาน พระจิตวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นนิยามของพระเจ้าเป็นผู้สร้าง

และศาสนาพุทธก็พิสูจน์การเป็นผู้สร้างจริงๆ หรือผู้กระทำ ผู้ปฏิบัติ กอปร์ก่อ เป็นผู้ปฏิบัติผลิต สร้างสรรค์ขึ้นมาให้แก่โลก แล้วก็ประทานหรือให้ หรือทาน แจกจ่ายเจือจานแก่ผู้อื่นอย่างแท้จริง

พวกเราได้ปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้ามาถึงวันนี้แล้ว อาตมาก็อยากจะให้พวกเราตรวจสอบ ฟังไป ตามที่อาตมาจะพูดต่อไปนี้ หลักใหญ่ของศาสนาพุทธนั้น คือทิฏฐิ ทั้ง ๑๐ ซึ่งเป็นข้อแรกของมรรคองค์ ๘ ทิฐิ ๑๐ นี้ ถ้าเผื่อว่ามิจฉาตั้งแต่ต้น มันก็หมด ไม่ได้มีมรรคมีผลอะไร เข้าใจไม่ถูกต้อง ทิฏฐิ ทั้ง ๑๐ ก็ขอทวนและขอขยายให้ฟังในวันนี้ วันสำคัญนี่บ้าง ทิฏฐิที่ ๑๐ ข้อที่๑๐ ถ้าผู้เข้าใจถูกก็คือ อัตถิ ถ้าผู้เข้าใจไม่ถูกก็คือนัตถิ ถ้าเข้าใจถูกเป็นอัตถิ

อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ถ้าเป็นอัตถิ ก็คือผู้เข้าใจเห็น รู้ มี เห็นสมณะ เข้าใจสมณะ สมณะพราหมณา สัมมัคคตา ผู้ที่เป็นสมณะแท้ สมณะที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถึงขั้นเป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ที่มี สยัง อภิญญา มีความรู้ยิ่งของตนๆ หรือด้วยตนเองแห่งตนเอง สยัง อภิญญา ความรู้ยิ่งอันนั้น เป็นของ ตนเอง สยัง อภิญญา ก็เป็นลักษณะของปัจเจก เป็นลักษณะของส่วนตัว รู้ได้เอง เห็นเอง เป็นของตนเอง สามารถที่จะอธิบาย เอามาประกาศโลกนี้โลกหน้า เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา จนรู้แจ้งเห็นจริงกัน คนอื่นก็รู้แจ้ง แทงทะลุโลกเรื่องโลกหน้ากันได้ เมื่อเอามา ประกาศ และคนอื่นก็รู้ตามได้ เห็นได้

ในทิฐิข้อที่ ๑๐ นี้ ไม่ได้เป็นทิฐิของพระพุทธเจ้า แต่หมายถึงทิฐิของสาวก ไม่ใช่สยัมภู ไม่ใช่หมายถึง พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสเป็นทฤษฎีหลัก ของคนทั่วไป สมณพราหมณา ท่านก็ตรัสอยู่ชัดๆ สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา สมณพราหมณา ไม่ได้หมายความว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าคือ "สมณะโคดม" สมณะพราหมณ์ทั้งหลายก็คือ เป็น คอมมั่ลนาวส์ เป็นที่กล่าวถึงภิกษุทั่วไป สมณะพราหมณ์ทั่วไป ไม่ได้หมายความว่าตถาคต ไม่ใช่

สยัง อภิญญา จึงไม่ได้หมายความว่าสยัมภู ไม่ได้หมายความว่า เป็นพระพุทธเจ้า หมายถึงพระสาวก สมณะพราหมณ์ทั่วไป สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญจ โลกัง ปรัญจ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ ประกาศให้คนอื่นรู้แจ้ง รู้ถึงได้ตาม อาตมาเองอาตมาขอกล่าว ณ.ที่นี้วันนี้ว่า อาตมาเป็นผู้นั้น อาตมาเป็นสมณะพราหมณ์ผู้นั้น เป็นจนกระทั่ง มันเกิดมาจริงๆเลย

ในปี ๒๕๓๒ เขาให้เป็นสมณพราหมณาโดยทางการเลย โอ้"ทำไมมันเป็นทั้งรูป ทั้งนามก็ไม่รู้ จริงๆเลย นี่เราก็ย้อนอดีตเอามา เราไม่ได้เจตนา เราไม่ได้ตั้งใจ เขาเอามาให้ก็เป็น อยู่ดีๆก็ต้องให้เราเป็น สมณพราหมณา ก็ไม่ได้คิดอะไรกันมากหรอก พวกเราก็ไม่ได้คิดอะไรกันมาก อาตมาเชื่อว่า เขาพูดกัน วันนั้น ที่ตกลงกัน ให้เราเป็นสมณะพราหมณ์นี่นะ ก็ไม่ได้คิดถึงทิฐิข้อที่ ๑๐ นี่เลย ใช่มั๊ย? ไม่ได้คิด ถึงหรอก จำนนน่ะ ก็มาให้เราเอาสมณะพราหมณ์ ตอนแรกก็เรียกเต็มๆว่าพวกเรา สมณะพราหมณ์ แหมก็ยาวรุงรังเนาะ ตอนหลังๆเราก็มาตัดพราหมณ์ออก มาพราหมณ์ๆๆ เราก็จะมาเป็นพุทธอยู่แล้ว ก็เลยไม่เอาพราหมณ์เท่าไหร่ ที่จริงคำว่าพราหมณ์ก็เป็นคำกลางๆ หมายถึงผู้บริสุทธิ์ พราหมณ์ก็ หมายถึง พระอรหันต์เหมือนกันนะ พรหมณ์หรือพราหมณ์พวกนี้ เมื่อเป็นสมณะพราหมพ์เราก็เป็นมา จนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ เราก็ได้ความเป็นสมณะ

ทุกวันนี้นี่ ไปไหนๆเขาก็เรียกเรา สมณะ เราก็เรียกตัวเราว่าสมณะ เราไม่เรียกตัวเราว่าพระ แต่คำว่า ภิกษุนะมันกลางๆ เดี๋ยวนี้มันก็พ้นเรื่อง พ้นราวไปแล้ว จะเรียกภิกษุมั่งก็เรียกได้ เป็นคำกลางๆ แต่เรา ไม่ได้ใช้ เราไม่ได้ใช้ติกขวีโรภิกษุ อะไรอย่างนี้เราก็ไม่ได้ใช้ สันตจิตโตภิกขุ อะไรอย่างนี้ เราก็ไม่ได้ใช้ เราก็ใช้แค่ สมณะสันตจิตโต สมณะติกขวีโร อะไรอย่างนี้แค่นั้น

เอาละ เรื่องของทิฏฐิ ข้อที่ ๑๐ นี้ก็คือ ผู้ใดเห็นว่าโลกนี้ อัตถิ โลเก สมณะพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนานี่ ในโลกนี้ใครเห็นสมณะที่เป็นสยัง อภิญญา สมณะที่มาประกาศโลกนี้ โลกหน้า ให้เรารู้แจ้งตามได้ ผู้ที่เห็นว่ามี ใช่แล้วองค์นี้แหละที่เป็นสมณะองค์นั้นแหละ ผู้นั้นมีสัมมาทิฐิ ผู้ใดเห็นว่า อาตมามิจฉาทิฐิ ผู้นั้นแหละมิจฉาทิฐิ (หัวเราะ เอาหนักเนาะ วันนี้เนาะ...) ก็ศาสนาพุทธ ๒๕๙๓ ปีแล้วนี่ ก็เอาหนักๆหน่อย เพราะฉะนั้น ผู้ใดเห็นว่าอาตมา มิจฉาทิฐิ ผู้นั้นแหละมิจฉาทิฐิแล้ว ตั้งแต่ข้อหนึ่งที่สำคัญ ในทิฐิ ๑๐ ข้อนี้สำคัญนะ เมื่อไม่มีมิตรดีสหายดี หรือไม่มีผู้รู้ที่ถูกต้อง เป็นสัมมาดี เห็นผู้รู้ที่ถูกต้องเป็นผู้รู้ที่ผิด "ก็เท่ากับเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นดอกบัวเป็นกงจักร" ก็น่าสงสาร ก็น่าสมเพชอยู่ แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ก็บังคับความเห็นกันไม่ได้

ที่อาตมากล่าวถึงข้อที่ ๑๐ ก่อน ก็เพื่อจะให้เห็นว่า ผู้ที่เป็นสัตบุรุษ หรือผู้ที่เป็น ผู้ที่เทศนา ในหลักธรรม อื่นๆก็มี ต้องพบสัตบุรุษ ต้องฟังสัจธรรมจากท่าน ถ้าไม่ได้ฟัง ไม่พบสัตบุรุษ ไปฟังอสัตบุรุษ มันก็ไม่ได้ ฟังสัทธรรม มันก็ได้ฟัง อสัทธรรม เพราะฉะนั้น ก็ไปศรัทธาอสัจธรรม หรือ อสัทธรรม มันก็ไม่ได้ศรัทธา สัทธรรม เพราะไม่ใช่สัตบุรุษ ความเป็นสัทธรรมที่บริบูรณ์ ก็เกิดไม่ได้ เพราะได้ฟังอสัทธรรม ไม่ได้ฟังสัทธรรม ต้องเป็นสัตบุรุษ จึงจะได้ฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ เมื่อฟังสัทธรรมบริบูรณ์ จึงจะเกิด ศรัทธาที่บริบูรณ์ เมื่อศรัทธาที่บริบูรณ์ จึงจะมี โยนิโสมนสิการ ที่บริบูรณ์

โยนิโสมนสิการทุกวันนี้เขาก็แปลกันแต่แค่ว่า เรียนรู้ให้ถ่องแท้นะ ให้เข้าใจนะ แค่นั้นแหละ มนสิการเขาก็ไม่รู้เรื่องแล้ว ทำใจในใจอย่างไงเขาก็ไม่รู้เรื่อง อาตมาก็อธิบายให้ฟัง ทำใจคือทำใจจริงๆ ปฏิบัติใจให้มันเกิดมรรคเกิดผล ทำที่ใจเรานี่แหละ "โยนิโสก็ ให้แยบคายให้ถ่องแท้ หรือให้ไปถึง ที่เกิดเลย จับต้นเหตุที่มันพาเกิด เกิดอะไร เกิดกิเลส ตัณหา อุปทาน" ดับตัวที่พาเกิดกิเลส ตัณหา อุปทานนี่แหละ ซึ่งเป็นอาริยสัจ ๔ แท้ๆ เมื่อเราเอง เราโยนิโสมนสิการบริบูรณ์ การมีสติ สัมปชัญญ บริบูรณ์ก็เกิดขึ้น ก็เป็นสติ สัมโพชฌงค์ ก็เป็นสติที่เป็นสัมมาสติ

ถ้าฟังสัจธรรมไม่บริบูรณ์ มันก็ไม่เป็นสัมมาสติที่บริบูรณ์ ก็เป็นสติ กัลยาณชน อย่างดี อย่างดีก็แค่ สติกัลยาณชน อย่างไม่ดีก็เป็นสติปุถุชน ไม่ได้เป็นสัมมาสติ ที่เป็นอาริยะหรอก เป็นสติแค่กัลยาณชน จะถึงขั้นอริยชน เป็นสติอาริยชนไม่ได้ เมื่อสติสัมปชัญยะ ไม่บริบูรณ์ มีการสำรวมอินทรีย์ด้วยนะ เขาก็สำรวมอินทรีย์กันบ้าง เหมือนกัน สำรวมอินทรีย์ก็ไม่บริบูรณ์ กรรม เมื่อการสำรวมอินทรีย์ ก็ไม่บริบูรณ์ กรรม ๓ ก็ไม่บริบูรณ์ ก็เป็นที่ทุจริต ไม่สุจริตที่บริบูรณ์ เพราะฉะนั้น จะลด นิวรณ์ ๕ ก็ไม่ลดได้แน่นอน เพราะสติปัฏฐาน ๔ ก็ไม่ถูกต้อง โพชฌงค์ ๗ ก็ไม่ถูกต้องแน่นอน นี่ในอวิชชาสูตร อาตมาก็ไล่ตั้งแต่ท้าย ขึ้นมาจนถึงอวิชชา เพราะนิวรณ์ ๕ ก็ไม่ลดแท้ อวิชชาไม่มี การได้ลบได้ล้างเลย เพราะมันไม่ถูกต้อง มันผิดไปตั้งแต่ต้น ทีนี้ทิฏฐิข้ออื่นๆ เมื่อได้พบสมณพราหมณ์ ผู้ สยัง อภิญญา ก็จะได้รู้จัก สัตตา โอปปาติกา ได้รู้จักจิตเจตสิก สัตตา โอปปาติกา ก็คือจิตเจตสิก ต่างๆ คือ ปรมัตถธรรม รู้อย่างสัมผัสได้ สำรวมอินทรีย์แล้วก็รู้ อาการ ลิงค นิมิต ของจิตเจตสิก เราเกิด แล้วก็มีปริญญา ญาตปริญญา มีตีรณปริญญา แม้แต่ปหานปริญญาก็มีได้ กำจัดได้ เป็นปหานตัพพา เข้าหลักอริยทรัพย์ มากน้อยก็แล้วแต่ ถ้าไม่จริงไม่ถูกต้องไม่สัมมา มันก็ลดกิเลสไม่จริง เมื่อลดกิเลส ไม่จริง มันก็ฝืนมันก็ทน ก็กดข่ม ถ้าจะพิสูจน์กันจริงๆแล้ว ชาวอโศกนี่นะ ไม่ค่อยได้นั่งสะกดจิต สมาธิกดข่มกิเลสไว้ ใช่ไหม ไม่ได้ปฏิบัตินั่งสมาธิ สะกดจิตไว้ เหมือนทางสายที่สะกดจิต เพราะฉะนั้น กิเลสมันจะฟุ้งน่าดูเลย เพราะไม่ค่อยได้นั่ง เพราะถ้าปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ไม่ได้มรรค ไม่ได้ผลจริงๆ ป่านนี้ไม่เหลือหรอก มันทนไม่ได้หรอก มันจะกดข่ม ก็ไม่ได้ฝึกทางกดข่มน่ะ ฝึกแต่ทางเรียนรู้มรรคองค์ ๘ มาก แต่ถ้าเรียนเจโต สมถะด้วย มันจะช่วยข่มได้ มันจะช่วยทำให้เราไม่ดิ้นมาก กำลังของจิต วสีของจิต จะสามารถที่จะระงับได้อย่างดี ช่วยอุปการะมากเลยตัวสมถะนี่ แต่โดยจริงมาถึงวันนี้ พวกเราอ่อนด้อยในเรื่องเจโตสมถะ เพราะฉะนั้น ก็มีทางโลกุตระธรรม ทางเดียว เจโตสมถะไม่ค่อยมี อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ บุคคล ๔ บุคคลที่ได้แต่เจโตสมถะ ไม่ได้โลกุตระก็มี บุคคลที่ได้แต่ โลกุตระไม่ได้เจโตสมถะก็มี บุคคลที่ได้ทั้งสองอย่างก็มี บุคคลที่ไม่ได้ซักอย่างเลยก็มี นี่บุคคล ๔

พวกเรานี่จะเอาแต่โลกุตระ ไม่มีเจโตสมถะก็เยอะ ที่อาตมาเจตนาจะอธิบาย ก็เพื่อให้เห็นว่า ถ้าเราไม่มี เจโตสมถะนี่ แล้วเรามาปฏิบัติอย่างที่ อาตมาพาปฏิบัตินี่นะ ถ้าไม่จริงนะอยู่ ๑๐ ปี ๒๐ปีไม่รอดหรอก ถ้ากิเลสมันไม่ลดจริง เพราะคุณไม่ได้มากดข่มมันหน่ะ ไม่ได้มีวิธีกดข่มเอาไว้ มันฝืนไม่เก่งหรอก เพราะฉะนั้น กิเลสมันจะเล่นงานเรา ตุปัดตุเป๋ออกไป ออกไปนอกกลุ่มนอกหมู่ไป มากมายกว่านี้ นี่ก็อธิบายสู่ฟัง พวกเราฟังดูดีๆ ก็คงพอเข้าใจนะ เพราะฉะนั้น เมื่อเราลดนิวรณ์ ๕ไม่ได้จริง และ อวิชชาไม่ได้ลด ตามอวิชชาสูตร นี่ก็พูดกันมามากแล้ว ทิฐิข้อที่เป็นโอปปาติกะ คือ จิตเจตสิกต่างๆ เป็นสัตตา โอปปาติกา ผู้ใดเห็นอัตถิ ผู้ใดเห็นว่ามี

อ.พร รัตนสุวรรณ เอาคำว่าโอปปาติกะมาเปิดเผยมาพูด แล้วก็เรียกจิตวิญญาณ เป็นแบบเทวนิยม โอ้โห" จิตวิญญาณ เกิดที่นั่น มีที่นี่ เห็นล่องลอยอยู่นั่น อยู่นี่ อะไรต่างๆนาสารพัด เยอะมาก อ.พร รัตสุวรรณ ตอนนี้ท่านเสียไปแล้ว ก็ถึงขนาด โอปปาติกะ นี่คือวิญญาณ คือจิตวิญญาณ ถึงขนาด ตั้งสมาคมหรือมูลนิธิ อาตมาจำไม่ได้ เป็นสมาคมหรือมูลนิธิวิญญาณ

คือโอปปาติกะ คือซาบซึ้ง ในคำว่า โอปปาติกะ มากคือจิตวิญญาณ แต่เป็นจิตวิญญาณเทวนิยม ก็เลยไปกันใหญ่ จริงๆแล้ว จิตวิญญาณก็คือจิตวิญญาณที่อยู่ในจิตใจของเรา ก็จิตใจนั่นแหละ จิตวิญญาณ ถึงอ่านอาการ ลิงค นิมิต จนกระทั่งสามารถที่จะเกิด หรือตาย สิ่งที่มันเหมือน จิตวิญญาณ ที่แฝงอยู่ในจิตวิญญาณ ที่เป็นอาคันตุกะ ที่เป็นกิเลส สามารถที่จะเรียนรู้ จนกระทั่ง สามารถ ที่จะจับตัวมันได้ จนรู้จักว่ามันลด มันจาง มันคลาย มันตาย มันดับ ผู้นั้นก็คือผู้มีวิชชา มีความรู้ มีฌานมีตาใน มีตาทิพย์ หูทิพย์ สามารถจับสิ่งนี้ได้จริง เรียนรู้ อย่างมีญาณมีปัญญา จะรู้มาก รู้น้อยอะไร ก็แล้วแต่ พวกเรานี่พอรู้แล้ว แล้วก็ได้ปฏิบัติตามมรรค มีองค์ ๘ ที่หมู่ฝูงพากันทำ บางทีพูดทฤษฎี พูดหลักวิชชาอะไร มันไม่เป็นหรอก มันไม่ถูกหรอก แต่เราก็ปฏิบัติกัน พากันทำไป มันก็เป็นทั้งหมู่ เด็กๆเล็ก ก็เรียนรู้ตามไป ก็ค่อยๆรู้ไป พูดไม่ถูก แต่พากันทำพากันประพฤติ มีจรณะ มีศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค จนพวกเราเกิดศรัทธา อย่างที่เป็นนี่ มีหิริ มีโอตตัปป ไม่เอาแล้ว กลัวต่อสิ่งที่โลกโลกียะ ตั้งแต่อบายมา ไม่เอาเลิกละมา เข้าใจว่าชีวิตควรได้อะไร ควรจะเอาอะไร เป็นคนมี หิริ โอตตัปปะ จริง มีสัทธรรม ๗ มีจรณะของชีวิต มีสัทธา มีหิริ มีโอตตัปปะ มีพาหุสัจจะ คือมีความรู้ ความรู้จริงๆ ความรู้ของศาสนา ความรู้ของพระพุทธเจ้าท่านสอน พาหุสัจจะ หรือ พหูสูต ก็ตามใจ รู้ทั้งปริยัติ รู้ทั้งมีวิชชา รู้มากรู้น้อยอะไรก็ตามแต่

มีวิริยะ มีสติ มีปัญญา มีฌาน ฌาน๑ ฌาน๒ ฌาน๓ ฌาน๔ แบบพุทธ ไม่ใช่ฌานไปนั่งสะกดจิต หลับตา เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส แต่เป็นฌานของพุทธ เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึง สัตตา โอปปาติกา พูดถึงปิตา พูดถึงมาตา พูดถึงพ่อพูดถึงแม่ ซึ่งมีสัมมาทิฐิอย่างไร พ่อคืออย่างไร แม่คืออย่างไร ซึ่งอาตมาใช้ปริยัติ ใช้ภาษา บัญญัติ แม่คือศีล พ่อคือปัญญา อย่างนี้เป็นต้น หรือ ลีลาพฤติกรรมอย่างนี้ เรียกว่าลีลาของแม่ ลีลาของอิตถีภาวะ อย่างนี้คือลีลา ของพ่อปิตา คือ ลีลาของปุริสภาวะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นพ่อ เป็นแม่ ที่อยู่ด้วยกัน มีพฤติกรรมนับแม่ พฤติกรรม เป็นพ่อ สามารถทำให้พฤติกรรมอย่างนี้ สามารถทำให้ สัตตา โอปปาติกา มันตาย มันเกิด มีโอปปาติกะ โยนิ มีการเกิดทาง โอปปาติกะ ไม่ใช่เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ เพราะฉะนั้น พ่อกับแม่ ก็ไม่ใช่แม่กับพ่อที่เป็นตัวตนบุคคลเราเขา เป็นรูปร่างตัวกาย ไม่ใช่ ท่านบอกว่า ใครไม่เห็นว่าแม่มี ใครไม่เป็นว่าพ่อมี มิจฉาทิฐิ สอนทำมั๊ย เด็กเกิดมามันก็รู้แล้ว มันก็รู้นี่คือแม่ นี่คือพ่อ มันไม่ใช่ความรู้ ไม่ใช่สัพพัญู ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ความรู้ระดับพระพุทธเจ้า จะต้องมารู้แค่นี้ ไม่ใช่ พ่อแม่ทาง จิตวิญญาณ พ่อแม่ที่ทำให้เกิด การเกิดการตายทางจิตวิญญาณ และการเกิดการตาย นี่เป็นการเกิด การตายแบบโอปปาติกะ โยนิ เกิดตายอยู่ในจิต ผุดเกิด ลอยเกิดขึ้นมา เกิดจาก สัตว์เดรัจฉาน เกิดจากสัตว์นรก มาเป็นอาริยสัตว์ หรือ เกิดจากสัตว์มาเป็นอาริยบุคคล เกิดมาเป็น คนที่ฉลาด มาเป็นคนประเสริฐที่แท้ จากสัตว์ชั้นต่ำ สัตว์นรก ตั้งแต่ จากอบาย จนกระทั่ง สูงขึ้นมา เป็นกามภพ เป็นภวภพอื่นๆอีกก็ไล่ขึ้นมาตามลำดับ รู้ว่าเราเกิด รู้ว่าเราตาย ไม่ใช่การเกิดตาย ทางภาษาที่เอา ร่างกายตาย ไม่ใช่

ร่างกายตายนี่ อย่าไปพูดเลยว่ามันจะเกิดอีก ไม่เกิดอีก ไม่เกี่ยว อย่างอยู่ใน ยมกสูตร ก็เอามายืนยัน แล้วว่าไม่ใช่ มันเรื่องเกี่ยวกับ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เกี่ยวกับเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เกี่ยวกับเรื่องในจิตเจตสิก ให้ไปอ่านทวนใน ยมกสูตร ท่านก็ซ้ำพูด พระสารีบุตรก็ไล่จิตเจตสิก ทั้งนั้นแหละ มันเกิดมันตาย มันเที่ยง มันไม่เที่ยง มันเป็นทุกขัง มันเป็นนิจจัง เป็นอนัตตา ก็ตัวนั้น มันเป็น จนกระทั่ง มันตายสนิทเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน มันก็คือตายอย่าง โอปปาติกา ตาย อยู่ในจิต ไม่ใช่เกิดทาง ชลาพุช โยนิ สังเสทช โยนิ ไม่ใช่ ไม่ได้เกิดคลอดออกมาจากมดลูก ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น ในยมกสูตรถึงได้บอกว่า ไม่ใช่ตายอย่างร่างกายตาย ร่างกายเกิด กายัสสะ เภทา ปรัมมรณา หลังจาก การตาย ทางร่างกาย แล้วก็ไปเกิดอะไร ไม่ใช่ ไม่ใช่การเกิดของ กายัสสะ เภทา กายแตกตายไม่ใช่ การเกิดการตายนี่ เป็นการเกิดการตายทางจิตเจตสิก เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นเรื่องของ เจตสิกทั้งหลาย ที่เกิดจิตตาย เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่าไม่เข้าใจถูกต้อง มันก็ปฏิบัติไม่ได้ ปฏิบัติไม่เกิดผล เพราะทิฐิมันไม่สัมมา เพราะฉะนั้น สัมมาข้อที่ ๘ สัตตา โอปปาติกา พวกเราเข้าใจแม้พยัญชนะ จะไม่เข้าใจเท่าไหร่ ก็พากันทำให้ถูกต้องอยู่แล้ว ปิตา มาตา ปิตาข้อ๘ มาตาข้อ๗ ไล่ขึ้นไป ข้อ๖ ข้อ๕ ข้อ๔ หมายถึงโลกหน้าโลกนี้ หมายถึงกรรม

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สมณพราหมณ์ผู้เปิดเผยโลกนี้โลกหน้า ให้ทุกคน รู้แจ้งตาม สัจฉิกัตวา รู้อย่างกระจ่างแจ้ง อ๋อ โลกนี้ไม่ได้หมายความว่า โลกอะไร ที่เป็นลูกกลมๆ หรือเป็นโลกอะไร ที่ไม่เข้าเรื่องอะไร โลกนี้โลกหน้าคือ ความหมุนเวียนในวัฏฏสงสาร หรือความหมุนเวียนอยู่ในโลกีย์ ออกจากโลกีย์ได้ หมุนเวียนอยู่ในโลกอบาย โลกที่มันหมุนเวียน โลกคือความหมุนเวียน ประเดี๋ยว ก็อยากกินเหล้า เดี๋ยวก็พักยก เดี๋ยวก็หมุนไปกินอีกแล้ว เดี๋ยวก็กินเนื้อสัตว์ เดี๋ยวก็เลิกเนื้อสัตว์ เดี๋ยวก็ไปกินอีกแล้ว วนเวียนอยู่อย่างนั้น เรียกว่าโลก

พระพุทธเจ้าท่านพาหลุดออกจากโลกนั้น พ้นจากโลกนั้น ทำให้โลกนั้นตายสนิท ไม่ต้องวนต้องเวียนอีก ไม่ต้องมีวัฏฏสงสาร ไม่ต้องไปเวียนวนอย่างนั้นอีก โลกุตระเป็นโลกที่ถาวร เป็นโลกใหม่ ไม่ต้องไป วนเวียน มาอยู่ในโลก ที่เป็นโลกุตระ เหมือนโลกอยู่ในโลกชั้นสวรรค์ แบบอาริยชน ไม่ต้องไปวน เลิกวนแล้ว หยุดวน เรียกว่าหยุดโลก ดับโลกอบาย ไม่ต้องไปวุ่นวาย อยู่กับ อบายมุขต่างๆเป็นต้น หรือว่ามันเป็นโลกจัดๆอย่างนั้น ก็ดับได้แล้ว ไม่ต้อง ไปโลภอย่างนั้นอีกแล้ว ไปมีราคะอย่างนั้น จัดๆจ้านๆ ไม่ต้องมีอีกแล้ว จริงๆเลย อย่างไรๆ มันก็ไม่เกิดแรงขึ้นมาได้อย่างนั้น ไม่ต้องหลงชัดเจน ไม่เอา มันจะปรุงแต่ง มันจะหลอกจะล่อ จะมอมเมาอย่างไร ก็ไม่เอา

อาตมาดีใจอยู่ที่ว่าพวกเรา ผู้หญิงก็ตาม ชอบเพชร อุ๊ย"มันหลอกมันล่อ แล้วพวกเราก็ เอ้อ ทิ้งเพชรได้ ไม่ใช่อะไรหรอก ทิ้งเงิน ชอบเงินกันทั้งนั้นแหละ ตั้งแต่ขอทานไปยันมหาเศรษฐี ชอบเงิน "เออทิ้งเงินได้" ทิ้งได้ หยุดวนเวียนที่จะต้องไปสะสม ไปแย่งไปชิงไปอะไรต่ออะไร เห็นเป็นทุกข์ เห็นเป็นเรื่องลำบาก แม้ไม่ต้องแย่งต้องชิง ก็เบาดี สบายดี อยู่รอดดี รู้สึกประเสริฐด้วย ไม่ต้องไปนั่งสร้างเวรสร้างกรรม ไม่ต้องไปวุ่นวาย ต้องแย่งชิง ต้องก่อเวรก่อภัย ต้องมีศัตรูเวรศัตรูภัยต่อไปอีกมากมาย หรือเป็นหนี้บาป หนี้กรรมอะไรกันอีก เราไม่ต้องไปแย่ง ไม่ต้องไปหมุนอยู่ในวัฏฏสงสาร วงจรของการไปแย่งเงิน แย่งทอง กันอีก โอ้"ก็เห็นได้พอสมควร หลายคนจิตไม่ต้องคิดมานานแล้ว เราจะต้องมีรายได้ มีเงินมีทองเท่านั้น เท่านี้อีก โฮ้"หยุดมาตั้งสิบปีแล้วอะไรอย่างนี้พวกเรา เป็นฆราวาสก็ตาม สมณะที่นี่ก็ตาม หลายคน มาบวช ๑๐ ปี ๒๐ปีแล้ว เออ"เรื่องเงินเรื่องทองไม่เกี่ยวเลย จนจะลืมแล้ว นี่คือมันหมดโลก โลกนี้ โลกหน้า โลกที่เป็นโลกียะสังคมสามัญของโลกปุถุชน นั่นแหละโลกนี้ อิทัง อิทะ อิทโลก ไอ้นี่เป็น ปรโลก ปรโลกคือโลกอีกโลกหนึ่ง อยัง โลโก ปโร โลโก โลกนี้ โลกอีกโลกหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่ อยัง โลโก ไม่ใช่โลกโลกีย์อย่างนั้น แต่เป็นโลกใหม่ โลกอื่นต่างหาก ปร ปโร อีกโลกหนึ่ง แล้วเราก็มาเกิด ในโลกใหม่นี้ ไม่ใช่ปรโลก คือ ตายจาก กายัสส เภทา แล้วก็ตายไปเกิดใหม่ วิญญาณออกไปอย่างนั้น มันเทวนิยม นี่อเทวนิยมไม่ต้องไปตาย ออกไปสู่โลกใหม่อย่างนั้น โลกปรโลกแบบตายแล้วไปยังโง้น มันก็ไม่ประหลาดอะไร เราก็เข้าใจอย่างนั้น แต่ยังไม่ต้องถึงอย่างนั้นหรอก มีหลังจากการตาย เพราะกายแตก กายัสสะ เภทา ปรัมมรณา

ปรัมมรณาหมายความว่า หลังจากการตายที่กายแตก แล้วจึงไปเกิดอย่างนั้น การเกิดอย่างนั้น ไม่ต้องไปคิด จะเกิดอีกหรือไม่เกิดอีก ไม่ต้องคิด จะพินาศ จะสูญ จะ นโหติ ไม่เกิดอีก ก็ไม่ต้อง ไปคิดเรื่องนั้น มาเรียนรู้จริงๆเลยว่า ไอ้โลกอย่างนั้นในจิตเรานี่แหละ มันไม่ไปวนเวียนอีกแล้ว ดับโลกนั้นได้แล้ว หมดหลุดพ้นจากโลก ไปเวียนวนในอบาย ไปเวียนวนในกามารมณ์ กามคุณขนาดนั้น ๆ จัดจ้านไปแล้ว ไม่วนเวียนอีกแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว ไม่หมุนลงไปสู่ในนั้นอีกแล้ว นี่มันเป็นโลกโลกุตระ เกิดได้ด้วยกรรม สุกตทุกฏตานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก เกิดได้แต่กรรม นี่ออกจากโลกนี้มาได้ ด้วยการประพฤติ เป็นสุจริตกรรม จนลดนิวรณ์ เป็นอาหาร อวิชชามีนิวรณ์ เป็นอาหาร นิวรณ์ก็มีกรรม ๓ เป็นอาหาร แต่ทุจริตกรรมนิวรณ์ก็สูงเรื่อยๆ ถ้าเป็นสุจริตกรรม นิวรณ์ก็ลดลง อยู่ในอวิชชาสูตร เพราะเราสำรวมอินทรีย์ เรามีสติ สัมปชัญญะ เราโยนิโสมนสิการๆ ยิ่งโยนิโสมนสิการยิ่งปฏิบัติ ยิ่งมีมรรคมีผล ยิ่งศรัทธา ก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเข้าถึงสัทธรรม ฟังสัทธรรมก็ยิ่งซาบซึ้ง ก็ยิ่งเห็นสัตบุรุษ ยิ่งชัดเจนในสัตบุรุษ

ที่อยู่กับอาตมากันมา ๑๐ปี ๒๐ ปี ๓๐ปีนี่นะ ถ้าอาตมาไม่เป็นสัทธรรมจริง ไม่มีสัทธรรมจริง หรือ ไม่ใช่สัตบุรุษ ไม่ใช่ สมณพราหมณา สัมมัคคตา นี่จริง มันก็เห็นแล้ว มันก็พิสูจน์ได้แล้ว พวกคุณ ทุกคนก็ใช้ความเฉลียวฉลาดทุกคน ใครหย่อนข้อในการใช้ความฉลาด เพื่อที่จะหยั่งรู้สัจธรรมมั่ง ใครหย่อนข้อมั่ง ไม่มีใครหย่อนข้อหรอก ใช้จริงๆ ดีไม่ดีก็พยายามจับผิดด้วย เพราะฉะนั้น เราสามารถ ที่จะรู้จริง รู้ชัด เอาสัจธรรมพระพุทธเจ้า เอาคำสอนมาเทียบ มาเคียง มาเปรียบมาวัด ตามกาล ที่จะตรวจสอบธรรมวินัย เป็นไปตามคำสอน ตรงตามคำสอน ตรงอย่างไง อธิบายต่างกันก็ได้ แต่ใคร อธิบายอย่างนั้น ใครจะเชื่ออย่างที่ท่านอื่นอธิบายก็ไม่ว่ากัน คุณก็ไปพิสูจน์ ทางโน้น อย่างโน้น แล้วก็พิสูจน์อย่างนี้ พิสูจน์เอาแล้วก็เลือกเอาสิ อย่างนี้ก็เลือกเอา อย่างโน้นก็เลือกเอา หลายคนบอก เข้าใจแล้ว ไม่ไปเอาไม่ไปพิสูจน์ ทางโน้นแล้ว "ระวังถูกหลอกนะ ไปพิสูจน์ดูสิ ... ไปเรียนรู้จริง ไม่ใช่ว่า อาตมาเอง อาตมาไปพูดข่ม ไปพูดดูถูกย่ำยีไม่ใช่ ถ้าเราได้เปรียบเทียบ ใช่มั๊ย มันก็จะจริง

แต่หลายคนบอกว่า ไม่ต้องเปรียบเทียบหรอก พอมีปฏิภาณ ปัญญา พอวินิจฉัยได้ คิดว่าไม่ต้อง เสียเวลานัก ก็ไม่ได้ยังไม่ไปพิสูจน์ หลายคนได้ไป พิสูจน์มาแล้วด้วย ก็ดี อาตมาเอง อาตมาไม่กลัว หรอก เพราะการพิสูจน์ เป็นสัจธรรม เป็นสิ่งที่ดี ถ้าไม่ไปพิสูจน์มีปฏิภาณเข้าใจแล้ว ็ไม่ไปเสียเวลา หรอก อันนี้แหละ ก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้น กรรมนี่แหละที่กระทำ เป็นผลเป็นวิบาก นี่แหละ ทำที่ได้ จะว่าดีว่าชั่ว มันไม่ใช่แค่ดีแค่ชั่วที่เป็นโลกียะ เท่านั้น มันดีมันชั่วถึงขั้นโลกุตระด้วยกรรมนี่แหละ มันจะทำให้เกิดโลกุตระด้วย เพราะการปฏิบัติธรรม มรรคองค์ ๘ ปฏิบัติมีกรรมทั้ง สังกัปป วาจา กัมมันตะ อาตมาก็แปลให้ฟังทุกทีแล้วว่า กัมมันตะ ไม่ได้แปลว่า กายกรรม มันกรรมทั้ง สังกัปป วาจา กายกรรมด้วย กรรม ๓ กัมมันตะ มันกรรมทุกอย่าง เพราะฉะนั้น ได้เรียนรู้กรรมทุกอย่าง การกระทำ ของใจ ของจิต การกระทำของวาจา การกระทำ ของกายทั้งหมด แม้แต่การประกอบอาชีพ เราก็ปฏิบัติ มรรคองค์ ๘ นั่น ก็คือ เราเรียนรู้จากกรรม สั่งสมมรรคผลจากกรรม มีผลวิบากจากกรรม ออกจากโลก โลกียะ มาสู่โลกโลกุตระ ก็ด้วยกรรม

นี่เป็นทิฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือ มิจฉาทิฐิ เพราะฉะนั้นผู้ใดไม่เข้าใจว่า โลกนี้คือ อย่างไร โลกหน้าคือ อย่างไร ได้เข้าใจอยู่แค่เทวนิยม โลกหน้าคือตายจากร่างนี้ ไปแล้วก็ไปสู่ปรโลก จะได้ไปขึ้นสวรรค์ จะได้ไปเกิดใหม่ดีๆๆ ก็เกิดขณะนี้นี่ เรียกว่า ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ สันทิฏฐิโก ท้าให้พิสูจน์ ได้เดี๋ยวนี้ ถ้าตายจากร่างนี้ไปแล้วก็ไปเกิด คุณจะตามพิสูจน์ได้มั๊ย ใครพิสูจน์คนที่ตาย ไปแล้วมั่ง ตายไปแล้วนี่ กายสัสสะ เภทา ปรัมมรณา ตายแล้วไปสู่โลกหน้า โลกหน้าเป็นอย่างไร บอก สัมปรายิกัตถประโยชน์ คือจะเกิดศรัทธา เกิดศีล เกิดจาคะ เกิดปัญญา เมื่อตายจากร่างนี้ไปแล้ว ไปสู่โลกหน้า สัมปรายิกภูมิโลกหน้า หรือปรโลก ตายแบบนั้นแล้วไปตามพิสูจน์ แล้วมันเป็น เอหิปัสสิโก ตรงไหน มันเป็นสิ่งที่เชื้อเชิญ ให้มาดูได้มั๊ย ก็ตายแล้ว ไปเชื้อเชิญ ไปดูตรงไหนหละ อยู่ที่ เลขที่ ๘ ซอยสวรรค์ที่ ๗ ตามไปพิสูจน์ที่นั่นหละ อยู่ตรงไหนหละ? แต่นี่เป็น เอหิปัสสิโก ตามพิสูจน์ได้ เป็น สวากขาตธรรมของ พระพุทธเจ้า เพราะมันมี การตายการเกิดทางโลกุตระ เห็นหลัดๆ พิสูจน์กันเป็น เอหิปัสสิโก ได้ มันถึงจะเข้าหลักของพระพุทธเจ้าทุกอย่าง แล้วก็การตาย การเกิดนี่ ไม่ใช่หลังการตาย ทางร่างกาย กายัสสะ กายา ตายไม่ใช่

การเกิดการตายทาง โอปปาติกะ จิตวิญญาณนี่คือการเกิดการตายเป็น โอปปาติกะ โยนิ และก็เกิด จากกรรม เพราะทิฏฐิอีก ๓ ข้อ หุตัง ยิฏฐัง ทินนัง ก็ต้องรู้จักอย่างสัมมาทิฐิ

หุตังคือ "สภาวะเสวย สังเวย กระทำแล้วเสร็จ จิตได้รับการเสวย ได้รับการสังเวย จิตได้รับการรับรสรับรู้ เป็นธรรมรส เป็นการได้รับสิ่งนั้น เสวยหรือสังเวย ทำจนกระทั่ง เราได้รับสภาพนั้น"

ส่วนยิฏฐถังนั้นคือ "กรรมพิธีต่างๆ องค์ประกอบของสภาพที่สามารถ ที่จะทำอย่างไร ให้เป็นแม่ ทำอย่างไรให้เป็นพ่อ เพื่อให้เกิด สัตตา โอปปาติกา สัตตา โอปปาติกะเกิดได้ จะมีพิธี มีวิธี องค์ประกอบ อย่างงานพุทธาภิเษกเรานี่ ก็เป็นยิฏฐัง เป็นพิธี คนที่มางานนี้ สามารถที่จะได้รับผล หุตัง โอ้โฮ..ได้ประทับใจ ได้เกิดจิตวิญญาณ ได้รับเสพธรรมรส ยิ่งได้วิมุติรส ได้แหมเสวยตนเอง สังเวยธรรมะ แล้วธรรมะอันนั้น เป็นอย่างไร เป็นทินนัง

ทินนังคืออะไร ทินนังคือการได้เอาออก ได้ให้ การได้ให้ ไม่ใช่การเอาเลย อันเป็นการได้ให้แล้ว ทินนัง เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ปฏิบัติจะมียิฏฐัง มีพิธีการ มีพิธีกรรมอย่างไรก็แล้วแต่ มีหุตัง คือจิต ได้รับรู้ เสพรส รสอะไร รสได้เอาออก เอาออก โอ้โห.. ธรรมรสนี้อร่อยจริงๆ ธรรมรสนี้อร่อยจริงๆ เป็นธรรมรส ยิ่งวิมุติ เป็นธรรมรส โอ้โฮ..ยิ่งหลุดพ้น ออกมาเลย ยิ่งกิเลสหมด ออกจากโลกมา หลุดพ้นจาก โลกนั้นมา อย่างจริงเลย โลกอบายก็หลุดพ้นออกมาจริงๆ เลย เอาออกไปจากตนแล้ว แต่ก่อนนี้ ก็วนอยู่ในโลกนั่นแหละ ออกไม่ได้ วนดูด ถูกดูด ถูกยึด ถูกดึง อยู่ในนั้น ออกไม่ได้ เราได้ออก มาแล้ว ทินนังได้ให้โลกคืนไปแล้ว ทินนังเป็นผู้ได้ให้ เพราะฉะนั้น เราเอง สุดยอดแห่งสุดยอด คนทุกคนนี่ จะต้องเป็นทินนัง เป็นผู้ได้ให้ ถ้าไม่เป็นทินนัง ไม่รู้จักอาการของทินนัง ไม่รู้จักสภาพของ ทินนัง คนนั้นแหละ ไม่รู้จักตั้งแต่ ข้อต้นของทิฏฐิ ทินนัง ยิฏฐัง หุตัง ไม่รู้จักเลยว่า เอ..ไอ้ทินนัง ก็จะอธิบาย เป็นภาษาคู่เคียงว่า ทานก็ตาม ทินนังคือการทาน ก็ได้ ให้ ได้ให้ ทินนังมันภาษาลึกกว่าทาน มันได้เอาออกไปแล้ว มันได้ให้ไปแล้ว สละไปแล้ว มันไม่มีในเราแล้ว มันได้ออกไปแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เข้าใจความจริงสภาวะจริง ของเรื่องของทิฐิ ตั้งแต่ข้อทินนัง ว่าคืออะไร ก็อธิบายกันแปลกัน ในพระไตรปิฎก ง่ายๆ

ทาน ใครเห็นว่าทานไม่มี ถ้าว่าไม่มีผล ก็อธิบายว่าเป็น ผลบาป ผลบุญอะไรไป ก็พยายามขยาย ไปอย่างนั้น ขยายความ ความจริงก็คือ จะต้องรู้สภาวะแห่งทินนัง การได้ให้ การได้ปลดออก การได้หลุดพ้นออกมา เอาออกไปแล้ว หลุดออกมาแล้ว จากวงจรจากโลกนั้นแล้ว โดยมี องค์ประกอบ มีพิธีกรรม มีวิธี ยิฏฐัง ประกอบการสวดมนต์ ประกอบการนั่งสมาธิ ประกอบอะไร ก็แล้วแต่ เป็นพิธีการเล็ก การน้อย พิธีการใหญ่ พิธีการโน่น พิธีการนั่น

แม้ที่สุดประพฤติโพธิปักขิยธรรมถูกต้อง เป็นพิธีใหญ่ พิธีประจำชีวิต เสร็จแล้วก็ได้สังเวยตน เกิดธรรมรส ให้ตัวเองสังเวย เสวย โอ้โฮ..ได้รับการเสวย ได้รับผล ได้รับธรรมรส ได้รับวิมุติรส อื้อฮือ.. เยี่ยมยอด นี่คือ ความหมายของ ทิฏฐิทั้ง ๑๐

ถ้าทิฏฐิทั้ง ๑๐ นี้ ที่พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสไว้ ในมหาจัตตารีสกสูตร ซึ่งเป็นสูตรสำคัญมาก ไม่ได้พูดถึง กล่าวถึงกันเลย ในวงการศาสนาพุทธในเมืองไทย ไม่เห็นเอามาเลย สำนักใหญ่ๆ สำนักไหนก็แล้วแต่ ไม่เอามาใช้ เพราะฉะนั้น เมื่อเอามาใช้ก็ไม่ได้เอามาใช้ เพราะปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ปฏิบัติสัมมัตตะ ๑๐ ไม่ได้ ในมหาจัตตารีสกสูตร ท่านตรัสไว้ถึงสัมมัตตะ ทั้ง ๑๐ ทั้งผลอีก ๒ ครบ เมื่อไม่รู้ สัมมัตตะ ๑๐ ก็เป็นมิจฉัตตะ ๑๐ คือมิจฉาทิฐิ ทั้งมรรค ๘ มิจฉาทิฐิ ทั้งผล ๒ มิจฉัตตะ ๑๐ ไม่เป็นสัมมัตตะ ๑๐ เพราะตัวประธาน ตัวนำหน้า สัมมาทิฐิ มันไม่เกิดแต่เป็นเบื้องต้นเบื้องแรก ก็หมดหวัง เพราะฉะนั้น อาตมาไล่ให้ฟัง ตั้งแต่ข้อที่ ๑๐ ตั้งแต่ สมณะพราหมณ์ ผู้รู้โลกนี้โลกหน้า ในโลกนี้มี เป็นผู้ที่มี สยัง อภิญญา สามารถประกาศโลกนี้โลกหน้า ให้เรารู้ตาม ได้อย่างกระจ่างแจ้ง มี ถ้าพบผู้นั้นจริง เป็นสัตบุรุษจริง คุณก็ได้ฟังสัทธรรม คุณก็เกิดศรัทธา คุณก็โยนิโสมนสิการ ถูกต้อง คุณก็มีสติ สัมปชัญญะ เป็นสัมมาสติ หรือเป็น สติสัมโภชฌงค์ได้ เป็นสติอาริยชนได้ คุณก็ประพฤติ ปฏิบัติไป สำรวมอินทรีย์ เพราะมันเป็นภาคปฏิบัติแท้ๆ เป็นการปฏิบัติไม่ผิด สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เป็นความประพฤติ ที่ประพฤติอยู่ในนั้นเสร็จ เพราะฉะนั้น ก็เปลี่ยนแปลงกรรม ๓ ได้ จากทุจริตเป็นสุจริต ลดนิวรณ์ได้ ลดอวิชชาได้ ลดภพได้ ภวตัณหาสูตร ต่อจากอวิชชา นี่ก็คือ ภวตัณหาสูตร เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า มีอวิชชา ภวตัณหาก็ได้อาหาร อวิชชาเป็นอาหารของภวตัณหา แต่เมื่อเป็นวิชชา มันก็ลดภวตัณหา ลดภพ กามตัณหาก็เป็นภพ ภวตัณหาก็เป็นภพ กามตัณหา กับ ภวตัณหาเท่านั้นแหละ เสร็จแล้ว เราก็มาเอา วิภวตัณหา มาล้างกาม ล้างภพ สุดท้าย เมื่อเราออก จากภพ วิภวไม่มีภพอะไรแล้ว คุณก็เหลือแต่ชาติ โดยคุณดับ กามภพ ดับภวภพได้หมด คุณก็เหลือ แต่ชาติ คุณก็มาอย่าไปยึดมั่น ไอ้การเกิดชาติ ที่มันเกิดเป็นธรรมดา พระอรหันต์ยังไม่ตาย ก็ยังมีชาติอยู่ อย่าไปยึดชาติอันนั้น ว่าเป็นเรา เป็นของเรา สูงสุดมันก็อันนั้น นา

ที่อาตมาเอาทิฏฐิทั้ง ๑๐ มาอธิบายสู่ฟัง ทบทวนอธิบาย โดยนัยะอาจจะอธิบายได้ พวกเรามีพื้นมีฐาน ก็คงจะฟัง ได้ดีขึ้น อาตมาก็พยายามที่จะอธิบาย ให้มันเข้าใจขึ้น เมื่อมีพื้นฐานแล้ว ก็ไม่แปล เปรี๊ยะๆ เป็นพยัญชนะ ที่เขาแปล อยู่ในพระไตรปิฎก เท่านั้น ซึ่งเราก็มีพื้นฐานแล้ว ขยายความ อธิบายต่อไป ก็ไม่ได้ออกนอกสัจจะ พวกนี้เลย แต่ขยายความออกมาอย่างนี้ คุณก็ยิ่ง จะเห็นจริง ยิ่งมีสภาวะธรรม ในตัวเอง โอ้โฮ จะชัด คุณได้ฟังธรรมวันนี้แล้ว ก็จะชัดสิ่งเหล่านี้ ขึ้นเยอะ เมื่อปฏิบัติอย่างนี้ได้จริง เราจึงเกิดสารณียธรรม ๖ เราจึงมีสภาพที่ยืนยันได้ถึง พุทธพจน์ ๗ เกิดเมตตา เพราะฉะนั้น ผู้ใด ตรวจเมตตาของตนเอง ถ้าเป็นใจด้าน เมตตากายกรรมก็ไม่ค่อยมี เมตตาวจีกรรม ก็ไม่ค่อยมี เพราะเมตตามโน มันไม่ค่อยมี เหมือนเป็นคนใจด้านใจดำ มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธนั้น ตอนทำวัตรเช้าอาตมาก็พูดถึงแล้ว คนใจด้าน ใจดำนี่ กับคนที่หมดกิเลส หรือกิเลส มันไม่สุข ไม่ทุกข์ มันเฉยๆ เหมือนเป็นคนใจ ไม่รู้ เขาจะเป็นจะตายอะไร ช่างหัวเขา มันไม่ใช่

มันมีสารณียะ มันมีการระลึกถึง มันมีกตัญญูกตเวที มันมีการรู้โลก รู้ผู้ตกทุกข์ได้ยาก รู้สัตว์โลก ที่มีทุกข์ มีการเมตตากรุณาจริงๆ เออ..เขาน่าจะพ้นทุกข์ น่าจะช่วยเขาได้ มันจะไม่ขี้เกียจ มันจะไม่มี ตัวอัตตาที่ขี้เกียจ ที่เห็นแก่ตัวเอง มันจะไม่ขี้เกียจ มันจะไม่ยากในใจที่จะ เออช่วยเขา ยิ่งฝึกปรือ ยิ่งเห็นคุณค่า ก็เกิดมาเป็นมนุษย์ ก็เป็นมนุษย์ที่มีคุณค่า เป็นพหุชนะหิตายะ พหุชนะสุขายะ โลกานุกัมปายะ เข้าช่วยมนุษยโลกนั่นแหละ เป็นสุดยอดมนุษย์ เอาออกจนกระทั่ง ให้ไปหมดแล้ว ให้สุดท้ายก็คือ ช่วยเหลือเขา เพราะฉะนั้น ในบารมี ๑๐ ทัสน์ นั่นน่ะ ตั้งแต่ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน สุดท้ายมี เมตตากับอุเบกขา

ในภาคปฏิบัติศีล เนกขัมมะ เกิดปัญญาละล้างกิเลสออกมาได้ จนกระทั่ง วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน จนกระทั่ง สิ่งเหล่านั้นน่ะ ตั้งใจเอาให้จริง มีอดทนเป็นแรงของจิต ที่สามารถ ที่จะหนุน ให้เกิด เนกขัมมะ ให้เกิดปัญญา ให้เกิดศีล ให้เกิดทาน ๔ องค์แรก ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา นี่เป็น ภาคใหญ่ เป็นหัวข้อใหญ่ ทำแล้วจะเกิดผลใน มีวิริยะ มีขันติ มีสัจจะ มีอธิษฐาน ผลใน เกิดซ้อนลึก ส่งเสริมให้บรรลุ จนกระทั่งสุดท้าย เนกขัมมะเป็นสุดท้าย จบ เป็นผู้หลุดพ้น จากบ่วงมารทุกอย่าง เนกขัมมะไปจนกระทั่ง ถึงขั้นเป็นอรหันต์ ก็เหลือ เมตตากับอุเบกขา อุเบกขา เป็นผล ของตนที่อาศัย ส่วนเมตตานั้นเป็นผลของสัตว์โลก เพราะฉะนั้น

ถ้าจะยังอยู่มีชีวิต พระอรหันต์เจ้าทุกองค์ ทานอย่างเดียวจบแล้ว เนกขัมมะ ศีลเศิลอะไรจบ ปัญญา ก็สุด มีวิมุติญาณทัศนะแล้ว เพราะฉะนั้น วิริยะให้แก่ตนก็ไม่ต้องอีก ขันติให้แก่ตนก็ไม่ต้อง สัจจะ ก็ถึงที่สุดแล้ว ตั้งใจก็ไม่ต้องตั้งอะไรอีกแล้ว มันเป็นแล้ว ชีวิตของท่านก็คือ เมตตากับอุเบกขา เท่านั้น

แล้วทำอะไร ทานอย่างเดียว คือเป็นผู้ให้ เป็นพระผู้สร้าง เป็นพระผู้ให้ สร้างอะไร ก็เมตตา กรุณา มุทิตาไง สร้าง เมตตา กรุณา ก็เป็นผู้ที่จะรู้ คนมีทุกข์ก็เออ มีจิตเห็นแล้ว มีทุกข์ก็อยากจะให้เขาพ้นทุกข์ เขามีสุขก็อยากจะให้เขาสุข ที่เป็นสุขที่วิเศษ สุขที่ประเสริฐ ยิ่งขึ้น เป็นวูปสโมสุข ก็ช่วยเขา

๊กรุณา ก็ลงมือช่วย เขาแปลขยายความเมตตาอย่างหนึ่ง บ๊างบาง เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่เขาสอนๆ กันอยู่ว่า อาตมาอ่านๆ อยู่ แปลเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา บ๊างบาง เขาอธิบายไว้บางๆ อะไร เมตตาคือ จิตอยากจะให้ผู้อื่นเป็นสุข กรุณาให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ แหม..มันไม่เห็นจะดิ้นออกไป ตรงไหนเลย มันก็อันเดียวกัน นั่นแหละ อยากให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ อยากให้ผู้อื่นเป็นสุข เป็นโลกีย์ อยู่นั่นแหละ ถ้าจะพูด จริงๆ แล้ว สุขๆ ทุกข์ๆ แค่นี้เองแหละ มันก็แค่นั้นแหละโลกีย์ มุทิตาก็ยัง พอสมควร เห็นเขาได้ดีแล้ว ก็ยินดีที่เขาได้ดี ถ้าไม่อย่างนั้น ก็ไม่ต่อไปอุเบกขา นา อย่างที่อาตมา อธิบายให้ฟังแล้ว เออ..เห็นเขาทุกข์ ก็อยากจะช่วยเขาให้พ้นทุกข์ ก็ลงมือทำ กรุณาก็คือช่วย ช่วยจนสำเร็จแล้ว ก็เออดีแล้ว มุทิตา เขาได้ถึง จุดหมายที่เราให้เขาเป็นแล้ว เสร็จแล้วเราก็เฉย วาง ปล่อย อุเบกขา อย่างนี้เป็นต้น

สรุปแล้วแม้แต่อธิบายเป็นปรมัตถ์ของบารมี ๑๐ ก็พิสูจน์กันได้เดี๋ยวนี้ จะไปอธิบายให้มันยาวยืด เป็นโอ้โฮ. สั่งสม บารมี ตั้งแต่บารมีสามัญ จนอุปบารมี จนกระทั่งปรมัตถบารมี อะไรก็ว่ากันไป อาตมาไม่ได้ค้าน ไม่ได้แย้งอะไร ก็ได้ อธิบายเป็นรูปธรรมไปด้วยซ้ำ เป็นตัวเป็นตนอะไรก็ได้ แต่อาตมาอธิบายนี่ เป็นสิ่งที่พิสูจน์เดี๋ยวนี้ ถ้าคุณสามารถปฏิบัติทาน จนล้างกิเลสออกได้ นั่นคือ เนกขัมมะ ออกมา หลุดพ้นออกมาได้ โดยมีศีล มีปัญญา เป็นแม่เป็นพ่อ บารมี ๑๐ ทัส แล้วก็ต้อง ใช้วิริยะ ใช้ขันติ ใช้สัจจะ ใช้อธิษฐานแน่ๆ คุณไม่มีวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน ไม่มีทางบรรลุหรอก คุณจะเกิดจิตวิริยะ คุณจะเกิดจิตที่มีขันติเองจริงๆ ใครมาอยู่กับอโศกนี่ ไม่ได้อด ไม่ได้ทน มีไหม ไม่ได้ใช้ขันติ มีไหม ไม่มีหรอก จนขันแตกไปก็หลายคน ขันทะลุไปก็ตั้งหลายคน

เมื่อมาปฏิบัติแล้วก็จะเกิดเมตตา กายกรรมเมตตามันก็จะเกิด ทุกวันนี้เรากายกรรมเมตตา เราก็ยัง ไม่งาม วจีกรรมเมตตา ก็ยังไม่งาม เราต้องรู้ว่าในโลกนี้คนเห็น คนรู้ คนเลื่อมใส คนที่มีเมตตาทางกาย กายกรรม มีเมตตา เขาก็เลื่อมใส เขาจะอำมะหิตทางกายกรรม ใครจะเลื่อมใส เมตตาทางวจีกรรม คนก็เลื่อมใส ไม่ใช่เราเอาใจคนหรอก แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ดีงาม เป็นสุภาวะ สุภาพหรือสุภาวะ เป็นภาวะที่ดี มีเมตตากายกรรม มีเมตตาวจีกรรม เพราะมีมโนที่เมตตาแท้ๆ

ถ้าเรามีความระลึก มีสารณียะธรรม มีความรำลึกกัน ไม่ใช่คนที่บรรลุแล้วก็ไม่ระลึกถึง อะไรหรอก มันกิเลส ไปนึก ไอ้นั่นก็กิเลส นึกไอ้นี่ก็กิเลส ระลึกไอ้โน่นก็กิเลส จะไปช่วยเขาก็กิเลส จะไปทำงาน ก็กิเลส คนนั้นน่ะ มีกิเลสตายตัวแล้ว ไม่ได้เแก้ไม่ได้ไข กิเลสอยู่ที่อัตตาตัวเอง อยู่กับตัวเอง ไม่เห็นโลก ไม่เห็นใคร ไม่เห็นมนุษย์ มีแต่ตัวกู ของกู เต็มบั้ง ทำงานก็ไม่ทำ ช่วยใครก็ไม่ช่วย เมตตาใครก็ อื้อ จิตด้าน คนนี้จิตด้าน อาตมาอธิบายไปแล้ว ไม่ใช่จิต ที่ศาสนาอื่นเขาก็เห็นว่า ต้องมีเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พระเจ้าทั้งหลายแหล่ เป็นจิตวิญญาณ ที่ประเสริฐ ศาสนาพุทธเข้าใจลึกกว่านั้น ทำ แล้วอย่าไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เพราะฉะนั้น ในพฤติกรรม ที่มีปัญญารู้ และทำโดย ไม่มีอะไรต้าน ทำง่าย เมตตาง่าย กรุณาง่าย เสร็จแล้วถึงมุทิตา ก็รู้ความจริง แล้วก็อุเบกขาง่าย ปล่อยเสร็จ แล้วก็วาง ไม่ติดยึดเป็นเรา เป็นของเราได้ง่าย

นี่คือสุดยอดแห่งจิตวิญญาณ ที่เป็นพระเจ้า เป็นปรมาตมันที่ยิ่งใหญ่ เป็นอรหัตตา เป็นอัตตาที่เป็น อรหันต์ ซึ่งรู้แล้วอัตตา แล้วก็ไม่ติดอัตตา ไม่ได้ยึดเป็นเรา เป็นของเรา เป็นของที่ยึดเอาไม่ได้ แต่มีอาศัยได้ ใช้ประโยชน์ได้มาก อาตมาเป็นโพธิสัตว์ นี่รู้จักอัตตาพวกนี้ดี แล้วก็ใช้อยู่ ใช้สภาพแบบนี้ เพราะฉะนั้น มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรมจริง เราพิสูจน์ถึงสาธารณโภคี เราได้ลาภโดยธรรม มีลาภธรรมมิกา ไม่ได้ไปเอาอะไรมาล่อ มาหลอกกัน ไปโลภไปอะไร เราทำกัน อย่างพวกเรานี่ พึ่งตน ไม่ให้เป็นหนี้ สร้างขึ้นมาเหลือๆ แล้วก็เอามารวมกัน ลาภธรรมมิกา ได้ลาภมา โดยธรรม แล้วเอามารวมกันเป็นสาธารณะโภคี แบ่งกันกิน แบ่งกันใช้ แบ่งกันทาน ช่วยกันทาน ให้มันเป็นทินนัง ให้มันเป็นทาน สุดยอดในโลกมนุษย์ นี่ผู้ใดที่ถึงทินนังถึงทาน นั่นแหละจบ มาเพื่อให้ ไม่ได้มาเพื่อเอา มาเพื่อให้ เพราะฉะนั้น เราจึงเป็นผู้ที่ให้ได้นั่นแหละ คือผู้ที่ถึงฝั่ง

ยังขี้เหนียว ยังเห็นแก่ตัว ยังโลภ กอบอะไรอยู่ มันก็เป็นของตัวของตนอยู่อย่างนั้นแหละ เพราะฉะนั้น ผู้ที่เข้าใจแล้ว รู้จักศีล รู้จักทิฐิ มีศีลสามัญตา มีทิฏฐิสามัญตา มีสารณียธรรม ๖ ตั้งแต่เมตตา กายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีสาธารณโภคี มีศีลสามัญตา มีทิฏฐิสามัญตา มีศีล มีหลักเกณฑ์ มีทิศทาง วิถีปฏิบัติ ไปด้วยกัน รู้ระดับ มีโสดา สกิทา อนาคา รู้ขั้น รู้ตอน รู้ลำดับ รู้ฐานะของบุคคล อยู่กันอย่างดี

ไม่ใช่อนาคาก็สูงข่มสกิทา สกิทาก็สูงข่มโสดา อรหันต์ก็ข่มมาก่อนเลย มันไม่ใช่ เป็นผู้ที่รู้ ฐานะศีลสามัญตา คนนี้เขาศีล ๕ เออ ก็เป็นน้อง คนนี้เขาศีล ๘ ก็รู้แล้วว่าคนนี้เป็นน้อง คนนี้ศีล ๑๐ เออนี่ศีล ๘ ศีล ๕ เป็นน้อง ศีลสามัญตา รู้จักศีล ที่เสมอสมานกันได้ คนนี้ก็เสมอกัน คนนี้ก็สมานกัน ผู้มีสูงก็สมาน กับผู้มีน้อย สมานกันได้ มีทิฐิสามัญตา มีความเห็น ที่สอดคล้องลงกันได้ เข้าใจกันได้ เป็นลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย โดยเฉพาะมีทิฐิ ๑๐ ที่สำคัญ เมื่อทำจริง มันจึงเกิด ผล ๗ มีพุทธพจน์ ตามพุทธพจน์ มีสารณียะ เพราะฉะนั้น คนที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มีสารณียธรรม อย่างนี้ มีสารณียะ ระลึกถึงกัน มีความรักกัน แล้วเป็นรักที่มิติสูง ไม่ใช่ความรักมิติต่ำๆ เข้าใจความรัก แล้วก็เลิก ไอ้ที่รักต่ำๆ แคบๆ จนเป็นรักที่กว้างขึ้นๆ เกื้อกูลได้มากขึ้น มิติที่ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ เป็นมิติ ที่รักมวลมนุษยชาติ รักสัตวโลกทั้งโลก มิติที่ ๗ เพราะมิติที่ ๘ นี่คือของพุทธ ที่เรียนรู้มิติที่ ๑ ถึง ๗ และ ละออกมา จากมิติที่ต่ำๆ มาจนกระทั่ง สูงขึ้นๆ มิติที่ ๘ นี่ คือมิติที่รู้ความรัก ในระดับ ๑ ถึง ๗ เรียนรู้มิติที่ ๑ ถึง ๗ แล้วก็เลิกมิติต่ำๆ จนสูงขึ้นๆ มาเป็นมิติที่ ๗ เป็นมิติพระเจ้า เป็นจิตวิญญาณ พระเจ้าจริงๆ ที่ยิ่งใหญ่ อย่างที่กล่าวแล้ว ถ้าพิสูจน์พระเจ้าได้นี่ จิตวิญญาณอันบริสุทธิ์ จิตวิญญาณ หลุดพ้น ที่แท้จริงได้ เพราะฉะนั้น เรารู้จักความรัก เมื่อปฏิบัติมิติที่ ๘ จนเป็นมิติที่ ๙ นิพพาน มิตินิพพานนิยม หรือ อรหันตนิยม จนถึงขั้นอรหันต์ ถึงขั้นนิพพานได้ อาริยะตั้งแต่ความรักมิติที่ ๘ พอมิติที่ ๙ ก็คือบรรลุอรหันต์ ส่วนมิติที่ ๑๐ นั้นก็ ก็เรียนรู้ไป ผู้ที่จะเสริมจะเติม โพธิสัตวภูมิ หรือ พุทธภูมิ ก็ศึกษาไป มิติที่สูงขนาดนั้น เอามิติที่ ๙ ให้ได้ก่อนเถอะ

ก็เป็นความรัก มีปิยกรณะ มีครุกรณะ มีความรู้ รู้ว่าคนนี้เคารพคารวะกัน มีผู้ที่ควรจะต้องรู้ที่ต่ำ ที่สูง รู้ลำดับ แม้แต่เขาจะสูง ในทางวัยวุฒิ อาจจะคุณวุฒิไม่สูง ก็จงรู้ ก็เคารพกัน รู้จักการเคารพด้วยวัยวุฒิ ด้วยคุณวุฒิ อะไรต่างๆ อย่างนี้ก็เข้าใจ ครุกรณะ รักกันเคารพกัน เกื้อกูลกัน สังคหะ ของเรานี่มี และ มันยังไม่ดี สารณียะก็ยังไม่สวย เพราะฉะนั้น เรามาเรียนรู้เสริม เสริมสิ่งที่มันบกพร่อง รำลึกถึงกันบ้าง แต่ไม่ใช่ไประลึกถึง อย่างที่เรียกว่า อย่างโลกเขาระลึก ห่วงหาอาวร ผูกมัด ยึดติด เป็นโอฬาริกอัตตา ไม่ใช่ แล้วยิ่งไประลึกถึงอย่างห่วงหา พระพุทธเจ้าตื่นเช้า ขึ้นมาก็ระลึกถึง โอ..คนไหนหนอ ควรจะไป โปรดดี ระลึกถึงอย่างโน้นอย่างนี้ ท่านระลึกถึงบ่อยๆ ระลึกทุกวัน ตรวจสอบใครนะ ก็ไปโปรดคนไหนดี ไปโปรดที่ไหนดี อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เพราะการระลึก มันไม่ใช่เป็นการห่วงหา อาวรณ์ ไม่ใช่ไปติดข้อง ไม่ใช่ แต่เป็นจิตวิญญาณอันประเสริฐของคน ระลึกถึงกัน รักกันก็เป็นความรัก เป็นความเกื้อกูล เป็นความรักอย่างพิเศษ เป็นความรักที่ช่วยเหลือเฟือฟายเกื้อกูลเสียสละนี่ เป็นเมตตา นา เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานั่นแหละ เป็นความรักที่มีเมตตา กรุณา อุเบกขา แล้วก็อยู่กันอย่างสังคมที่มี ครุกรณะ รู้จักการเคารพกัน รู้จักการคารวะกัน รู้จักสิ่งที่อยู่ร่วมกันอย่างมีขั้น มีตอน มีลำดับ เป็นสังคม มนุษยชาติ จะเรียกว่า เป็นวรรณะก็ได้ แต่ไม่ติดยึด ข่มเบ่งอะไรกัน เกื้อกูลกัน มีสังคหะที่แท้จริง อวิวาทะ ไม่วิวาท สามัคคียะ

พูดถึงสามัคคียะ ความพร้อมเพรียงแล้ว อาตมาภาคภูมิใจในพวกเรา เป๋งพรึบได้ คือความสามัคคี ของพวกเรานี่ มันเป็นอย่างนี้ มันมีความสามัคคี มันมีอะไร ไอ้พวกอโศกนี่อะไร มันทำเหมือนๆ กัน ไอ้สิ่งนี้นั่นน่ะ อาตมาพูด มันเหมือนรูปธรรมเท่านั้น แต่มันมีวิญญาณ มันมีอะไรที่เป็นจริงจากจิตลึกๆ มันมีความผนึก มันมีความแน่น มันมีสามัคคียะ แม้จะมีปากหอกกันบ้างก็เถอะ วิวาทะแค่ปากหอก พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งองค์ ท่านก็รบกับคนมีปากหอกนี่ ของเราไม่ถึงขนาดแทงกัน ตบกัน ตีกัน อะไร ไม่ถึง อาตมาก็พูดให้พวกเราตรวจสอบ ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๓๐ ปี ชุมชนของพวกเรา ไม่มี คดีอะไรที่มันหยาบคาย อะไรเกินการ วิวาทะกันถึงขั้น มันมีบ้าง เออเร่อ อย่างที่ว่านี่ อย่างที่อาตมา ก็พูดไปแล้ว มีตัวอย่าง นิดหนึ่ง ถึงขั้นชกกันก็มีตัวอย่างบ้าง ใน ๒๐ ๓๐ ปีนี่ ครั้งหนึ่ง สองครั้งอะไรอย่างนี้ สามัคคียะ อวิวาทะ มันมีรูปร่างให้เราได้ศึกษา ฝึกฝน ตรวจสอบได้ เป็นสังคม ที่มีสิ่งเหล่านี้จริง อันนี้มันหยาบ วิวาทะนี่มันหยาบ อวิวาทะมันก็เข้าใจง่าย สามัคคียะ มันมีจริง ใช่ไหม เป็นหนึ่งเดียวกัน เอกีภาวะ

นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นหลักธรรม ที่เราเอามา ใช้ตรวจสอบ มายืนยันความจริงของจริง อยากจะมีมวล มากกว่านี้ไหม (อยาก) อาตมายังอยากเลย ถ้าจะว่าแล้ว อยากมีมวลมากกว่านี้ แต่มวลกะเรี่ยกะราด ไม่เอานา อะไรก็ไม่รู้ เศษสวะอะไรเข้ามา นับแต่หัว เป็นคนสักแต่ว่าคน ก็นับหัวคน เข้ามารวมเป็นหมู่ เฉยๆ ไม่เอา ต้องเอาคนที่ คัดเลือกผู้ที่มีศีล ยังไม่ได้มาจงมา ผู้ยังไม่มีศีลอย่าเพิ่งมา ผู้มีศีลแล้ว ที่ยังไม่ได้มา นี่อาตมาก็ตั้งข้อสังเกตให้ฟังว่า ทำไมพระพุทธเจ้า ท่านตรัสอย่างนั้น ผู้มีศีลแล้วยังไม่มาจงมา ผู้ยังไม่มีศีลไม่มาก็จงอย่าเพิ่งมา ไม่เอาหรอก ลำบาก ไม่สนใจในศีล ไม่มีศีล ไม่เอาเลย มาทำไม อยู่ของคุณไปเถอะ ในที่ไหนๆ ก็แล้วแต่ ห่างเอาไว้ดี คนไม่มีศีลน่ะ

แต่ผู้ใดมีศีล ไปอยู่อะไรกันล่ะ ไปอยู่ข้างนอกน่ะ มีศีลแล้วไปอยู่อะไร กันนักกันหนา มา ผู้มีศีลแล้ว จงมา ยิ่งมีศีลสัมปทา เข้าถึงศีลได้จริง โอ้ย..ประเสริฐ แต่เสร็จแล้วก็ มันยังลิ้มยังเลีย ยังแอบเสพ มันยังมีซุกซ่อนอยู่ อย่างนี้พวกกิเลสมันออเซาะ มันแฝง มันซ่อน มันเล่นงานเรา จะอาจหาญแกล้วกล้า จะตั้งใจปฏิบัติประพฤติ มุ่งเข้าสู่สนามรบ แห่งอาริยชน ไม่เอาล่ะ หลายๆ คนก็เลียบๆ เคียงๆ อยู่เคียงๆ ข้างๆ มันยังสู้ไม่ได้หรอก อ่อนแอ ก็พูดเอาได้ อ่อนแอๆ แล้วเมื่อไหร่มันจะแข็งแรง ไปซื้อที่ห้าง เซเว่นอีเลฟเว่นมีขายไหมเล่า ความแข็งแรงน่ะ มันขายกิโลละเท่าไหร่ ความแข็งแรง ไปซื้อดีไหม มีขายที่โลตัส ซื้อในคาร์ฟู มีขายไหม ความแข็งแรง

มันก็ต้องเรา ปฏิบัติเอาเอง ถึงจะได้ จิตที่แข็งแรง แกล้วกล้าอาจหาญอะไรพวกนี้ เราก็ต้องทำ ของเราเอาเอง ได้แต่เหยอะแหยะ อยู่อย่างนั้นแหละ ผลัดวันประกันพรุ่งไป พระพุทธเจ้าไม่เคย สรรเสริญเลยคนที่ช้า พระบาลีว่า ปปัญจะรามตา ยินดีในความเนิ่นช้า จงยินดีกันไปเถิด ยินดีในความเนิ่นช้า แสดงธรรมก็แสดงอย่างนี้ สะใจดี ถ้าไม่พูดอย่างนี้ พูดเรียบๆ สุภาพๆ ก็ไม่ค่อยสะใจ แล้วจะมัวเนิ่นช้าไปทำไม พยายามพากเพียร

อาตมาเคยเทียบ เห็นบ่อเพชรกับเห็นบ่ออาริยะ วิ่งใส่อะไร วิ่งใส่บ่อเพชร แล้วเพชรน่ะ มันมีค่าสูงส่ง กว่าอาริยะหรือ อยู่อย่างนั้นแหละ แลบๆ เลียๆ บางทีไม่ใช่อาริยะ ไม่ใช่เพชรหรอก กระดาษ งูพิษ

พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า งูพิษ เงินๆ ทองๆ นี่ คลำมันอยู่นั่นแหละ จับ วิ่งเข้าใส่อยู่นั่นแหละ เห็นบ่อเงิน บ่อธนบัตร กับเห็นบ่ออาริยะ โดดใส่บ่อธนบัตร ไม่เอาหรอกบ่ออาริยะไม่เอา ก็ต้องถาม ตนเองดูจริงๆ เลยว่า เอเรานี่มันโง่ หรือมันฉลาดกันแน่ พอถามก็ตอบได้นะ ตั้งสติดีๆ แล้วตอบ เออ..ตอบได้ว่า อะไรมัน ดีกว่าอะไร ตอบได้นา แต่เสร็จแล้ว ไม่เอาหรอก เอาไอ้นี่ วิ่งใส่ไอ้นี่ นี่เขาเรียกว่า คนโมหะ คนยังเมา คนยังมีมทะ ยังมีมัชชะ ยังมีสุราเมรยะมัชชะ ยังเมา มันหมุนไป หมุนมา ก็ไหนว่าไอ้นี่ดี ตั้งสติดีๆ เออไอ้นี่ดี เสร็จแล้วพอทำจริงๆ อ้าว..ไปทำไอ้นี่ คนเมา

ตอนนี้เราพิสูจน์ธรรมพระพุทธเจ้ามาแล้ว ผู้ที่มานานแล้วถึง ๓๐ ปี ก็จะมี ในสังขยาเลข นี่ ๓ นี่ เป็นสภาพที่เกิดกลุ่ม

๓ เส้าที่ ๒ นี่ก็เป็นเกิดกลุ่ม ถ้า ๒ นี่มันก็ยังไม่ค่อยจะเป็นกลุ่ม ยังไม่เกาะ ยังไม่แน่น พอเกิดขาที่ ๓ นี่ เป็นเส้า กลุ่ม พึ่งกันได้ สมบูรณ์แบบได้ จะเป็นลักษณะอย่างไรก็แล้วแต่ จะเป็นลักษณะ สามเหลี่ยม ด้านไม่เท่า จะเป็นลักษณะ สามเหลี่ยมด้านเท่า ถ้าสามเหลี่ยมด้านเท่าแล้ววิเศษ ถ้ายังเป็นสามเหลี่ยม ด้านไม่เท่าอยู่ ยังไม่ค่อยสมบูรณ์ เพราะได้หนึ่งหลัก สองหลักขึ้นมา ก็เหมือนกับ สองอันนี่แหละ มันก็เสริมเป็นเอกเป็นปฏิภาคซ้อนแล้ว เป็นคุณธรรมสูงแล้ว เพราะฉะนั้น ลำดับ สาม นี่เกิด สี่ห้าก็เติมมาเรื่อยๆ พอหกยังไม่เกิดนา เพราะมันสองแค่นั้น สามมีสองหมู่ เพราะฉะนั้น พอเริ่มต้น มีเจ็ด สามหมู่ที่สาม [แหมมีสองมือหน๊อ มันน่าจะมี มือที่สาม เออ..ไม่ดี มือที่สามไม่ดี มือที่สามไม่ดี ] มีอีกกลุ่มที่ ๓ หนึ่งสองสาม สี่ห้าหก พอเลขเจ็ด ขึ้นมา ได้คุณภาพอะไรขึ้นมา เนื้อเจ็ด ก็เป็นเนื้อที่เกิด อย่างสมบูรณ์แล้ว เส้าที่เป็นนิยตะแล้ว นิยตะ ว่าจะไม่พูดถึง โพธิสัตว์ ๑๐ ขั้นนี่ ก็จะพูดไปนิดหนึ่ง ก็แล้วกัน วันพิเศษ

โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ ๔ แล้ว
ต่อมาก็มีโพธิสัตว์ เรียกว่า อนุโพธิสัตว์ ๕
๖ ก็เป็น อนิยตะโพธิสัตว์
๗ นี่เป็นนิยตะโพธิสัตว์ อาตมาไม่ได้ทวนไม่ได้ไล่ นิยตะโพธิสัตว์ ๗
๘ ก็เป็นมหาโพธิสัตว์
แล้วก็เป็นพุทธะ ๙

เพราะฉะนั้น เกิดสาม เกิดหก เกิดเจ็ด เกิดแปด เกิดเก้า เป็นสังขยาเลข ที่อธิบาย สภาพธรรม ธรรมะให้ฟัง

จะเป็นนามธรรม หรือเป็นรูปธรรมอะไรก็พอเข้าใจกัน พยายามทำความเข้าใจศึกษา เพราะฉะนั้น เราต้องเพิ่มตัวเรา ถ้าไม่เช่นนั้น เราก็ไม่มีคุณธรรม ไม่มีคุณภาพ ไม่มีสิ่งที่ควรได้ควรเป็นควรมี เกิดมา เป็นโมฆะบุรุษ คุณจะเกิด อีกกี่ชาติ ก็วนเวียนอยู่นั่นแหละ แย่งชิงกันไป แม้จะเรียนรู้ กัลยาณธรรม ทำดี พยายามกดข่ม พยายามสร้างสวรรค์ หนีไปโลกียะ คุณก็ลงนรกขึ้นสวรรค์ อยู่อย่างนั้นแหละ อีกกี่ชาติๆ จนนับไม่ถ้วน ยิ่งกดข่มเก่ง ก็ยิ่งติดนาน เสวยสวรรค์ไปนาน เสียเวลาไปนาน เสร็จแล้ว ต้องตกสวรรค์ ลงนรกจนได้ เพราะมันไม่ใช่จริง มันไม่สามารถที่จะบรรลุจริง ก็วนเวียน อีกกี่ชาติ ก็อยู่อย่างนั้นแหละ มันเกินพอแล้วที่จะเกิดมา ไอ้วัฏฏสงสารโลกีย์อย่างนั้น มันเกินพอแล้ว ทุกคน ที่เป็นนี่ นักปฏิบัติธรรมทั้งนั้นแหละ มาฟังธรรมะอาตมาพูดรู้เรื่องนั่นน่ะ เป็นคนที่มีบุญแล้ว ยิ่งรู้เรื่อง แล้วก็ปฏิบัติ ได้มรรคได้ผล ก็เป็นเวไนยสัตว์ คนเป็นอเวไนยสัตว์นี่มีความเฉลียวฉลาดนะ อ่านพยัญชนะ รู้เรื่องหมดเลยนะ แต่ไม่เอา จบในโลกย์โลกีย์นี่เขามีปัญญาเฉลียวฉลาด รู้ความหมาย นั่นๆ นี่ๆ ดี แต่เขาไม่เอาหรอก ชาตินี้ทั้งชาติ เขาก็ไม่เอา แต่ทางโลกเขาก็ทำของเขาได้ อาจจะเอา กัลยาณธรรมด้วย แต่โลกุตรธรรมไม่เอา เขาก็จะเสพสุข ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข อยู่อย่างนั้นแหละ นั่นคือ อเวไนยสัตว์

ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสถึง ปทปรมบุคคล คือผู้ที่รู้ธรรมะ เรียนรู้พุทธพจน์มาก ทรงจำได้มาก สอนคนอยู่ก็มาก แต่ไม่ได้มีการบรรลุธรรมอะไร ไม่ได้เกิดการบรรลุ ไม่ได้เกิดการเป็นอาริยะ กับเขาได้เลย นั่นคือ บัวใต้โคลน คือ ปทปรมบุคคล เป็นกัลยาณชนได้นา เป็นกัลยาธรรมได้ แต่ไม่รู้จัก การบรรลุ ไม่ได้มีผลบรรลุ เพราะไม่มีสัมมาทิฏฐิ เมื่อไม่มีสัมมาทิฏฐิ มันจะบรรลุได้อย่างไร เมื่อมี สัมมาทิฏฐิแล้วก็ปฏิบัติ จนกระทั่งเกิดมรรคเกิดผล ไปตามลำดับ

เวไนยสัตว์คือผู้ที่เรียนรู้โลกุตระได้ บรรลุธรรมโลกุตรได้ สัตว์สอนได้ สอนอะไร สอนไปเมืองนิพพาน สอนไปเป็น อาริยบุคคล สอนไปเป็นผู้ประเสริฐ เราไม่ได้เป็นอาริยบุคคล เราวนเวียนเสพโลกีย์อยู่ มีบุญทางโลกีย์อยู่บ้าง ก็เป็นประโยชน์ทางโลก ไม่ได้เป็นปรมัตถ์ ไม่ได้มีอาริยธรรม เป็นกัลยาณธรรม เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ วันนี้วันมาฆะบูชา ก็ได้ทบทวน ทบทวนสิ่งที่ได้เรียนกันมาพอสมควร แล้วก็จะ พยายามที่จะอธิบาย ให้พวกเรา ได้เข้าใจ ให้รู้ว่า เราเกิดมานี่เป็นคน จะเอาอะไร คุณจะไปสั่งสม ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุขน่ะ น่าเบื่อที่สุด ทุกคนเคยมาแล้วทั้งนั้น

มาฟังธรรมอาตมารู้เรื่องนี่ อย่างน้อยเป็นโคตรบุคคล ก็ตาม ฟังรู้เรื่อง ฟังแล้วก็เกิดศรัทธา เลื่อมใส เข้าใจ จนกระทั่ง พยายามมาพามาปฏิบัติ ประพฤติอย่างโน้น อย่างนี้ ก็เข้ามาสู่ ยิฏฐัง เข้ามาได้เสพรส บ้าง มีหุตัง เล็กๆ น้อยๆ บ้าง แต่ยังไม่ทินนัง เท่าไหร่ อะไรก็ตามใจ มันก็เกิดเรื่อยๆ แหละ แล้วจะช้าอยู่ อะไรนักหนา เพราะฉะนั้น พยายามพิจารณาให้ดี เราเกิดมาชาติหนึ่ง จะเป็นโมฆะบุรุษ ไปอีกชาติหนึ่ง ชาติหน้านี่ ยังไม่รับรองคุณนะว่า เกิดมาชาติหน้า คุณจะได้วิบาก ที่สังเคราะห์แล้ว เอามาใช้ อีกชุดหนึ่ง ข้างหน้านี่ ไม่รู้ชุดนั้นน่ะ จะเป็นชุดที่ได้ร่างหมา หรือได้ร่างควาย หรือได้ร่างคน อาตมาไม่รับรอง รับรองคุณไม่ได้หรอก คุณมีวิบากของคุณเป็นของคุณ และวิบากของคุณนี่ ไม่ได้เอามาใช้ทั้งหมดหรอก แต่ละปางๆ

อย่างอาตมานี่ คุณเชื่อไหมว่า อาตมาเคยเกิดเป็นเศรษฐียิ่งกว่าชาตินี้ เคย ก่อนชาตินี้ เกิดเป็นอะไร ที่มันมาก มันใหญ่ ก็เป็นมาพอสมควร แต่ว่าชาตินี้ ไม่ได้เอากุศลเหล่านั้นมาใช้ เอามาใช้ชาตินี้ เป็นปาง หมากลางตลาด นี่อาตมาว่า จะเขียนหนังสือ อีกเล่มหนึ่ง ชื่อเรื่อง หมากลางตลาด มันมี ลักษณะอย่างไร หมากลางตลาด ไม่รู้จะมีเวลาได้เขียนหรือเปล่า ว่าจะเขียนเป็นแบบวรรณกรรม ตอนนี้รู้สึกอยากจะเขียนวรรณกรรม มาเขียนแต่หนังสือธรรมะ แหมมันแข็ง มันอ่านย๊ากยาก เขียนวรรณกรรมนี่ มันก็แหมมัน มันรื่นดี มันสนุก มันหวาน มันเพราะ มันหาคำมาเรียงกันพริ่ว ให้คนอ่านแล้วเพลินอะไรอย่างนี้ มันก็เป็นรสโลกๆ ดี วรรณกรรม แต่เราก็เรื้อมาเยอะแล้ว แต่ก่อนนี้ก็ แหม.. ภาษาคำโน้นคำนี้ ก็เขียนไป เอ้าเอาละ อาตมาก็เทศน์เลยเวลา มาเจ็ดนาทีแล้ว กลัวพวกคุณ จะแช่งอาตมา แช่งบาปนา อย่าแช่งนา

เอาละอาตมาก็คิดว่า พวกเรามาทบทวน ที่อาตมาได้เทศน์ในวันนี้ สำคัญอย่างนี้ หลายคน ก็ตั้งใจ มาฟังธรรม เฉพาะกัณฑ์นี้ อะไรกันนักกันหนา แหม..ของดีมันมีอยู่แค่นี้น่ะหรือ แล้วงานนี้ตั้ง ๗ วัน อาตมาก็เทศน์ ทั้ง ๗ วัน พรุ่งนี้ก็ตอบปัญหาอีกแล้ว ไวจังเลยนะ พรุ่งนี้ก็ตอบปัญหา มะรืนก็ ตอบปัญหา อีก ๓ วัน ก็จบแล้วงาน แหม ไวจังเลยนา เอาละ ใครจะเปลี่ยนใจ อยู่ต่อก็เชิญ ไม่อยู่ต่อ จะกลับก็กลับ

เอ้า ทุกคน ฟังธรรมวันนี้ แล้วก็อะไรที่เป็นสาระ ที่ฟังแล้วก็เข้าใจ ประทับใจ อย่าช้า จงวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน จงพยายามพากเพียร ไปซื้อก็ไม่มีขาย ความเพียรจากตลาดไหน ก็ไม่มีขาย เราต้องพยายาม เพียรคืออะไร ขันติคืออะไร อย่าเหยาะแหยะนัก อดทนบ้าง ขันตินี่เป็นยอดธรรม ที่พระพุทธเจ้า ท่านสรรเสริญขันติ เอาให้จริง สัจจะ ตั้งใจให้จริง อธิษฐาน ตั้งล้มๆ ตั้งเหลาะแหละ มันไม่ได้เรื่องหรอก เพราะฉะนั้น อีก ๔ องค์ของบารมีนี่ ต้องเสริมให้เกิดวิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน

ถ้าไม่เสริมแล้ว ทานคุณก็เท่าเดิม ดีไม่ดีจะหย่อน ศีลคุณก็เท่าเดิม เนกขัมมะคุณก็ไม่เดินหน้า ปัญญา ก็ไม่เกิดหรอก เฉโกต่างหากจะเกิดเยอะ ฉลาดๆๆๆ ยิ่งเรียนธรรมะ ฟังภาษามากๆ โอเอาหนังสือ ไปอ่าน ฟังเทป เฉโกยิ่งเยอะ รู้หมด ร่องนั้น ร่องนี้ อย่างนั้นอย่างนี้ รู้หมดร่อง รู้หลบรู้เลี่ยง จริงนา จริง แม้จะรู้ ของธรรมะที่เป็นปรมัตถ์นี่ก็ตาม มันก็เลี่ยงได้ เลี่ยงเก่ง แก้ตัวเก่ง ระวังจะมีไร หน่ะ เลี่ยงเก่งๆ ก็ขอให้ ตั้งใจนา

ย้ำอีกทีว่า เกิดมาชาติหนึ่งๆ นี่ ทุกวันนี้เราต้องการมวล ต้องการคนมาสมทบ ต้องการพลัง นี่พลัง ของเราก็แค่นี้ แต่เขาก็เห็นว่า เรามีปึกแผ่น อันนี้เป็น เอกีภาวะ อย่างที่อาตมาพูดแล้ว มีสามัคคียะ มีความพร้อมเพรียง พอสมควร แน่น เราไม่ใหญ่ เรารู้กันอยู่ว่า เราไม่มาก แต่แน่น ทำอะไรได้ มันมี ศีลสามัญตา มีทิฏฐิสามัญญตา ดังกล่าวแล้ว มันมีธรรมะ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส ไว้แล้ว นี่อาตมา ก็เอามาไล่ จะเอาสูตรไหนมาไล่ ก็ไล่ได้ทั้งนั้นแหละ แล้วก็มาเทียบให้ดี เห็นให้ดี ถ้ามันถูกต้องแล้ว สูตรไหนของพระพุทธเจ้านี่ มันก็อธิบายแล้ว มันก็จะกินกัน ร้อยเรียงกัน ส่งเสริมกัน เหมือนร้อยมาลัย มีเคิร์บ มีเว้า มีแหว่ง มีสูง มีเล็ก มีน้อย มีส่วนโค้ง ส่วนนั้นส่วนนี้ เหมือนร้อยมาลัย แล้วมันก็จะเป็น ส่วนที่สวยงาม ได้สัดส่วน มันจะช่วยเหลือกัน มันจะอธิบายกัน ขยายกัน ส่งเสริมกัน อาจจะมี ที่มันขัดกันบ้าง แต่ขัดกันก็อย่างส่งเสริมในที มันจะเป็นอย่างนั้นนา

เอาก็สรุปจบ ชีวิตเป็นของเราเองเท่านั้น ตั้งแต่วันนี้ไป ก็ไปคิดให้ดี จะเอาอะไรตัดสินให้ดีๆ แล้วก็พากเพียร อาตมาไม่อยากจะไปบังคับ หรือไม่อยาก จะมาเร่งรัดอะไรเกินไปหรอก แต่ละคน จะต้องรู้ตัวเอง อย่าชักช้าเลย ตัวเราเอง เป็นประโยชน์ตน และของพระพุทธเจ้า เป็นประโยชน์ท่าน ในตัว ถ้าเสริมประโยชน์ตน โดยที่ลดกิเลสที่เรายึดและละกิเลสเราได้ มันเป็นประโยชน์ท่าน ตนนี่แหละ มันขี้โลภ ตนนี่แหละ มันเป็นแต่คนที่จะเอาๆๆๆ จะหอบจะกอบ ก็มีแต่เอา เพราะฉะนั้น เรามาไม่เอาซะ แล้วเราก็ ขยันพากเพียร สร้างสรร ซึ่งเรา มีงานอีกมาก จะทำให้แก่มนุษยโลก ซึ่งมันก็เป็นกุศลของเรา มันเป็นประโยชน์ของเรา เป็นคุณค่าของเรา เป็นกุศลวิบากของเรา ซึ่งคิดว่า เข้าใจหมดแล้ว เพราะพูดมา จนปากเปียก ปากแฉะ วิจัย ถึงเรื่อง สัจจธรรมพวกนี้ ให้รู้ให้เห็น ให้เข้าใจว่า มันคืออะไรกันแน่ เพราะฉะนั้น ก็พยายามบ้าง เราอยากได้มวล นี่ก็อยากจะตั้งสังฆสถาน ถ้าประเทศไทย มีชุมชนชาวอโศก อยู่ครบ ๗๖ จังหวัด มีอยู่ครบ ทุกจังหวัด จังหวัดละ ๒ แห่งด้วยก็ดี บางจังหวัด ๒ แล้วมีพุทธสถานมีวัด เมื่อนั้นแล้วก็ ... แต่ไม่รู้ว่า อาตมาจะตายก่อนหรือเปล่า

สงสัยจะตายก่อน คงอยู่ไม่ถึงหรอก เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องมีสมณะ ต้องมีภิกษุ จะต้องมีฆราวาส ก็ตาม ก็จะต้อง มีสัดส่วนของมัน เป็นอริยะบุคคล เข้ารวมเป็นพุทธบริษัท แล้วก็พยายามผนึก ทำให้ดี พัฒนากันไปให้ดี โลกนี้ต้องการสูง ต้องการแรง ต้องการมาก ก็จะได้จากความจริงของพวกเรา ที่มันมีภาวะจริง มันไม่ใช่เรื่องเล่น มันเรื่องจริง เพราะฉะนั้น คนไหนที่ ไม่มีอะไรมากหรอก อ้างโน่น อ้างนี่อะไรก็ไม่รู้ กิเลสมันอ้างเก่ง แล้วมันก็ช้า ปปัญจะรามตา ยินดีในความเนิ่นช้า จะว่าอาตมาเร่ง ก็เร่ง เร่งพวกเรา จะว่าปลุกระดมก็ปลุกระดม เพราะทุกวันนี้ มันเห็นผลแล้ว

โลกเขาจะเข้ามา เขาเข้าใจขึ้น แต่มันก็ยังมีภาวะอะไร มันเกิดจากอาตมาหนะ ใช้ลีลานี้ ใช้ลีลาอีแร้ง ที่ทำอยู่นี่ แล้วก็เป็นอย่างนี้แหละ อาตมาเองเป็นคนเข้าใจอยู่ว่า อาตมาทำอย่างนี้ เพราะอาตมา มันถึงไม่ประหลาด อะไรหรอก มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอีแร้ง อาตมาไม่ได้เคยน้อยใจ

แต่อาตมาก็เข้าใจทุกอย่างแหละ อาตมายินดีที่จะทำ เหนื่อยก็ไม่เป็นปัญหา เพราะว่าธรรมดาเหนื่อย ทำ มากๆมันก็เหนื่อย เหนื่อยก็พัก เราไม่พักเราไม่เพียร จริงๆ นา อาตมาถึงบอกอาตมาซาบซึ้งคำนี้ พระพุทธเจ้า ท่านตรัส ใครจะว่าอย่างไร ก็ตามแต่ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ให้อาตมา มาพบตัวนี้ อาตมาถึงพบ ในพระไตรปิฎก พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แล้วก็หยิบเอามาใช้ คนจะใช้ว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร คือเราข้าม โอฆสงสารได้ เทวดาเท่านั้นจะเข้าใจ อาตมาเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ในสูตรนี้ พระพุทธเจ้า ท่านสอนเทวดาองค์หนึ่ง เทวดาองค์นี้มาถามสั้นๆ ท่านโคดม ไอ้ที่ข้าม โอฆสงสารได้นี่ ว่าอย่างไง บอกมา ก็เราไม่พักเราไม่เพียร เราก็ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว เออ เทวดา คนนั้นเข้าใจ เทวดาคนนี้เข้าใจ แล้วอาตมา ก็เอามาขยาย ให้พวกคุณฟัง คุณเข้าใจไหมๆ มันมีลักษณะ ของมันแท้ๆ ซึ่งมันฟังโลกๆ เขาไม่รู้เรื่องหรอก คนโลกีย์ๆ บอก ไปนิพพาน โอฆสงสาร ก็คือ ผู้ที่พ้นห้วงน้ำ ผู้พ้น ผู้ถึงนิพพาน พ้นฝั่ง ไม่พักไม่เพียรคือพระอรหันต์ ภาษาอะไร ภาษาพระพุทธเจ้า ภาษาคนธรรมดาที่ไหน สอนใคร สอนเทวดา พูดให้เทวดาฟังกัน ไม่ใช่เทวดา ฟังไม่รู้เรื่องหรอก อาตมาเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่ง ที่ฟังรู้เรื่อง แล้วเอามาพูดสู่กันฟัง ให้คุณรู้เรื่องตาม สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ มาประกาศให้พวกคุณรู้แจ้งตาม พอรู้ตามบ้างไหม

เอาละ..พูดไปประเดี๋ยวจะแปดโมง สิบเจ็ดนาทีแล้ว สำหรับวันนี้ก็สมควรแก่เวลา ก็ขอให้ทุกคน มีกำลังใจ และไปพิจารณา ทุกคนที่ปฏิบัติอยู่นี่ ถามอาตมาเสมอว่า ทำไมมันไม่เพิ่มคุณธรรม ทำไมมันเหมือนมันจม มันเหมือนมันไม่เลื่อน อันนี้มีคำตรัส ของพระพุทธเจ้าว่า เพราะเราไม่อาเสวนา เราไม่ภาวนา เราไม่พหุลีกำมัง เพราะฉะนั้น จิตเราจึงไม่แล่นไป จง อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง จิตเราจึงจะแล่นไป อาตมาจำสูตรนี้ ไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็พอได้ส่วนหนึ่ง มาอธิบายให้ฟัง แล้วสักวัน จะเอาสูตรนี้ มาอธิบายให้ฟัง มีคนเขาคัดมาให้แล้วละ แต่อาตมาก็ยัง ไม่รู้ไปวางทิ้งที่ไหนแล้ว ลึกซึ้ง แต่ก็ควรจะพูด หลายคนจะรู้สึกติดว่า เอ..ทำไมเราไม่เลื่อนไป ทำไมเรามันเหมือนเท่าเก่า มันเหมือน กับว่าจะจม ไม่เดิน เพราะเราไม่ทำให้มันคุ้น เราไม่ทำซ้ำ อาเสวนาคือทำซ้ำ ทำซ้ำๆๆ ทำอีกๆ ให้มันเกิดผล ดังที่เราเคยเกิดภาวนา ภาวนาแปลว่า การทำให้เกิดผล ทำซ้ำ ตรงนั้นแหละ ทำซ้ำ อย่างนั้นแหละ อย่าเบื่อ ทำให้มันเกิดผล พหุลีกัมมัง ตบพั๊วะลงท้ายเลย ทำให้มาก พหุลีกัมมัง ทำให้มาก นี่คือคำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้า เมื่อมันมีวิจิกิจฉา เมื่อแน่ใจ เมื่อเคยได้แล้ว ภาวนาก็คือการเกิดผล มีผลแล้ว ทำแล้วทำอีก ทำอีกทำแล้ว ทำซ้ำทำซาก ทำให้มาก ทำให้ถึงจิต จึงจะแล่นไป

อาตมาก็ไม่รู้จะตอบเกินกว่าพระพุทธเจ้าตอบตรงไหน ไม่เก่งกว่าพระพุทธเจ้า อาตมากลัว คนเก่งกว่า พระพุทธเจ้า อย่างเดียวในโลกนี้ คนที่เก่งกว่าพระพุทธเจ้าอาตมากลัว พระพุทธเจ้าเก่งที่สุดแล้วละนา ท่านตรัสอย่างนี้ อาตมาก็ขอ ใช้คำนี้ด้วย เพราะไม่มีคำของอาตมาเองไม่มี ของพระพุทธเจ้านี่สุดยอด ก็ไปพยายามกระทำ ผู้ที่ทำแล้ว ก็ทำขึ้นอย่างที่ว่านี้ จงอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ส่วนคนที่ยังช้า ยังชักอยู่อะไรก็อย่า ปปัญจะ อย่าเนิ่นช้า อย่าเฉื่อย อย่าเฉย อย่าผลัดวันประกันพรุ่งอยู่เลย พยายามเข้า เราต้องการหมู่ ต้องการกลุ่ม ต้องการมวล ต้องการคุณภาพ ต้องการพุทธบริษัท เราก็จะเกิดคุณค่า เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและสังคม ช่วยโลกช่วยสังคมได้ ไม่ใช่ช่วยกันในเมืองไทย ถ้าทำไปได้นานๆ ทำไปจนกระทั่งมัน บริบูรณ์ขึ้น ยิ่งๆขึ้น มันก็จะเห็นผล อย่างที่เราเคยเห็นผล ขึ้นมา เมื่อ ๑๐ ปีที่แล้ว ๒๐ ปีที่แล้ว มาถึงวันนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันพอลืมตา พออ้าปากได้นิดๆ หน่อยๆ มันควรจะเงยหน้า สง่าผ่าเผย ยังเงยไม่ได้เต็มที่ เราก็ลืมตา อ้าปากได้บ้าง ก็ควรจะให้แข็งแรงกว่านี้

ทุกคนที่มาฟังธรรมวันนี้ ก็ขอให้มีกำลังใจอันดี ไปปฏิบัติประพฤติ แล้วก็ไปวินิจฉัย ไปทบทวน ทำสิ่งที่ควรจะทำ ให้มันยิ่งๆ ขึ้นให้ได้ สมบูรณ์ ๆ ขึ้น ทุกคนเทอญ


 

pst