ตอบปัญหาปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๔ (ตอน ๖)
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อ ๑๐ ก.พ. ๓๓
ณ พุทธสถานศีรษะอโศก

ถาม ทำไมอโศกถึงใช้แรงคนมากกว่าไฮเทค เพราะมีคนนอกเขามองว่า พวกอโศกสอนให้ ล้าหลัง (primitive) ทั้งๆที่โลก กำลังก้าวไกลแล้ว สังคมอโศกจะอยู่ได้หรือ

ตอบ อันนี้แหละมันน่าคิดนะ นี่แหละ มันลวงโลกอยู่ทั้งโลกเลย แม้แต่ เห็นไหมเล่า นี่มีคณะ นักวิชาการ นักบริหารอะไรนี่ จะต้องพยายามสร้างประเทศไทย ให้เป็นพวกประเทศ ไฮเทคอย่างเขา มีเครื่องเทคโนโลยี ไฮเทค หมายความว่า เทคโนโลยี นั่นแหละ อย่างมีเครื่องมือชนิด เครื่องเทคโนโลยี ชั้นสูง ราคาแพง มีประสิทธิภาพ อย่างลึกลับซับซ้อนเลย ทีเดียว ผลิตอะไรออกมา ทำอะไรออกมา ก็ได้อย่างชนิดที่เรียกว่า เจ๋งๆเลย แล้วก็จะทำกัน เอาแต่เรื่องผลิตวัตถุ มันดูดี เผิน ๆ ดูดี ผลิตอะไร ต่ออะไรออกมาได้มากได้มาย แต่ในระบบของมนุษย์แล้ว ทุกวันนี้ มันเดือดร้อนกันเพราะอย่างนี้ เป็นระบบของทุนนิยม ที่อาตมาบอกไปแล้วว่า เครื่องเทคโนโลยีนี่ ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งราคาแพง ผลิตได้มากจริง ราคาแพง เพราะว่าต้องใช้พลังงานชั้นสูงบ้าง ความสลับซับซ้อน แม้แต่ฝีมือคนคิด คิดค่าราคา คิดเครื่องมือเทคโนโลยีไฮเทคที่สูง ๆ ก็ต้องคิดราคาแพง มันแพงไปตามตัวของมัน เพราะฉะนั้น คนจะซื้อได้ ก็จะต้องเป็นคนที่มีทุนรอนสูง คนที่มีทุนรอนสูง ก็เอาไปผลิตได้สูง เมื่อผลิตได้สูง ก็เอามาตั้งราคาสูง เพื่อจะเอาเปรียบ ถ้าเผื่อว่า มาใช้โดยที่เรียกว่าไม่เอาเปรียบ ก็ยังเป็นบุญบ้าง

แต่ถึงกระนั้นก็ดี อาตมาบอกแล้วว่า โทษภัยของพวกนี้ มันทำให้คนเราแตกแยก ทำให้คนเราขี้เกียจ อ่อนแอ ไร้สมรรถภาพอะไร ที่บอกไปแล้วตั้ง ๑๐ เรื่อง ๑๐ เหตุ ๑๐ อย่าง ง่าย ๆ ที่เห็นได้ชัด ๆ นะ มันทำให้คนตกงาน มันทำให้เอาเครื่องมือเอาไปแทนหมด แล้วคนก็ไม่ต้องทำอะไร ทำไม่เป็น หนักเข้า นาน ๆ เข้า มันไม่ใช่วันเดียวนะคุณ ถ้าใช้ไปเป็นปี เป็น ๑๐ ปี ๒๐ ปี ๕๐ ปี ๑๐๐ ปี ลืมหมดเลยนะ ชั่วอายุคนที่เกิดมาต่อเนื่องกันไปนี่ คนรุ่นหลังๆ ไม่รู้เรื่องเลย ทำอะไรไม่เป็นเลย จะใช้แต่กดปุ่ม ใช้แต่เครื่องมือ จะเป็นก็คือการใช้เครื่องมือ ทีนี้คนที่จะเฉลียวฉลาด สามารถที่จะสร้างเครื่องพวกนี้ได้ มันก็จะต้องเป็นคนที่มีความรู้ในด้านนั้นสูง ก็จะมีอยู่น้อยคน เพราะฉะนั้น ในส่วนน้อยนี่แหละ มันเป็นเรื่องของทุนนิยม หรือเป็นแง่เชิงของผู้ที่เอาชนะคะคาน จึงนิยมกัน ถ้าผู้ใด มีความสามารถมาก มีความรู้สูงนี่นะ มีแนวคิดอย่างบุญนิยม บุญนะ แหม! มันใกล้เคียงกันเลย ทุน บุญนี่ ฟังเผิน ๆ แล้วมันเหมือน คำเดียวกัน และมีความคิดแนวบุญนิยม ผู้นั้นจะพากเพียร สอนให้คนอื่น กระทำตาม และจะให้คนนี่ เจตนา จะให้คนทำได้มาก ๆ เป็นมาก ๆ ด้วยความจริงเลยนะ เป็นมาก ๆ ถึงแม้อย่างนั้น คนที่จะรู้ คนที่จะเป็น ในเรื่องของสิ่งยาก อย่างที่พูดแล้ว เมื่อกี้นี้ มันก็น้อยอยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น ในลักษณะน้อยนั่นแหละ ถ้ามีกิเลส มันก็มีเปรียบกัน เอาเปรียบกัน มีกิเลส มันก็เอาเปรียบกัน มีเปรียบกันอยู่เสมอ

ดังนั้น ถ้าเผื่อว่าคนที่รู้ลึกซึ้งเข้าไปอีกแล้ว ไม่จำเป็นจะต้องให้คนมีเปรียบกัน หรือว่าไม่ต้องสร้างสภาพ ที่มันจะเกิดเปรียบ มีเปรียบกันนี่ให้ขึ้นมาก ๆ แต่สร้างให้คนนี่เป็น ให้ได้ แล้วอาศัยอย่างไม่มีเปรียบกัน มันก็จะอยู่ได้ แล้วมันก็จะอยู่กัน อย่างสามัคคีด้วย เพราะว่ามีอะไรเกินกัน แล้วคนเราลดกิเลส ลดความเสพ ลดความติด ลดความผลาญ เมื่อลดแล้ว ธรรมชาติหรืออะไรต่าง ๆ นานาในโลก มันมีพอ ธรรมชาติมันมีพอ มันเคยเกินด้วยซ้ำไป แล้วยิ่งซับซ้อนด้วย ในด้านศาสนานี่ลึกซึ้ง โดยเฉพาะ ศาสนาพุทธ ครบสมบูรณ์ สอนให้คนลดราคะ ลดการสร้างคน ลดราคะ ใครลดราคะ จนถึงศีล ๘ ไม่ต้องไปสมสู่ แน่นอน คนก็ต้องลดจำนวนด้วย แน่นอน ไม่ต้องเร่งเร้าอะไรกันมาก ไม่ต้องระเริง ทั้ง ๆ ที่ไม่อยากจะให้เกิด ก็ไปสมสู่กันไม่ให้เกิด เพราะว่ามันไม่อยากให้เกิด แหม! พลาดได้ แน่ะ อย่างนี้ มันก็เลอะเยอะ เพราะว่าเราอดไม่ได้ที่จะต้องเสพกาม ยังงี้ก็เป็นเรื่องที่ ศาสนารู้

ถ้าเผื่อว่าลดได้จริง ๆ จำนวนคนเกิดมันก็ไม่ทวี มันก็ไม่มาก ไม่มากเกิน เมื่อจำนวนคนเกิดไม่มากเกิน แม้แต่ทางด้าน การแพทย์ คนตายก็ตายอย่างสมควร ด้านการแพทย์ก็ไม่ควรจะเจริญจนเกินการ ไฮเทคอีกเหมือนกันนะ การแพทย์ ก็ไฮเทค มันไม่สมดุลใช่ไหม คนทรมานย่ำแย่แล้ว ควรตายแล้ว คนตายคนเกิด ก็จะพอ ๆ กัน เพราะฉะนั้น วัตถุดิบธรรมชาติมันจะไม่ล้น มันจะไม่ขาด มันจะล้น เอาด้วย ถ้าว่ากันจริงแล้ว มันก็ไม่แปลกนี่ล้น จะทำลาย ปราบปรามลงมา ถ้ามันเกิน มันจะไปยากอะไร ธรรมชาติ คนเราทำลายลงมา ถ้ามันเกินจริง ๆ มันรกเกินไป มันมากเกินไป จนกระทั่ง เป็นพิษเป็นภัย มันเกินมันก็เป็นได้ ธรรมชาติมันเกิน แต่เราเหลือกินเหลือใช้ มันไม่แปลก ยังงั้น รับรองว่าไม่ตีกัน ไม่แย่งกัน แต่มันขาดนี่แหละ ทุกวันนี้มันทำลายนี่ มันอยู่กันไม่ได้ ธรรมชาติจะเหลือเฟือ ยิ่งจิตใจ ไม่ขี้ตะกละ พระพุทธเจ้าท่านสอน บอกไว้เป็นภาษารูปธรรมเลยว่า

แต่ก่อนนั้น มีข้าวสาลีเต็มไปหมด คนก็ไปเก็บ ๆ เอาข้าวสาลีมากิน พอแต่พอกินหมดแล้ว ก็ไปเก็บ มาใหม่ แล้วก็มากิน จนเกิดจิตที่มันกิเลสขี้เกียจ ไปเก็บมาทำไมวะทุกวัน เก็บมาทีละมาก ๆ ก็แล้วกัน จะได้ไม่ต้องเดินหลายเที่ยว เห็นไหม กิเลสมันขึ้นอย่างนี้ ถ้ามันเดิน มันก็ได้ออกกำลัง แล้วมันก็ไม่ต้อง ไปแย่งกัน ไม่ต้องมีความคิดที่จะสะสม ความสะสม ก็เกิดขึ้น กิเลสมันเกิดอย่างนี้ ท่านอธิบายไว้ เห็นชัด เพราะฉะนั้น ถ้าเราละกิเลสแล้วไม่ต้องสะสม เป็นของกลาง เป็นของอะไร อย่างที่เรากำลัง ทำนี่ สร้างกันขึ้นมาซิ ไม่ต้องเอามาเป็นของกู ๆ อะไร มันก็ไม่ต้องไปเก็บ ไปเด็ด ไปทำอะไรมา ใครมีหน้าที่เก็บก็เก็บ ใครมีหน้าที่ทำอะไรก็ทำกันไป ไม่จำเป็นจะต้องขี้เกียจ เห็นเป็นงานเป็นการ คิดมักง่ายก็บอกว่า เก็บมาทำไมตั้งหลายที ก็ไปเก็บทีเดียว มากอง ๆ ไว้ก็พอ ยังงี้ ความสะสมเกิดขึ้น

ถ้าเราเรียนรู้พวกนี้อย่างสมดุลสมบูรณ์ ทำอย่างนี้อยู่โดยไม่ต้องไปรีบเร่ง ไม่ต้องไปสะสม กักตุน ไม่ต้องไปคิดมองมุมที่เรียกว่า ไปในทางที่จะขี้เกียจ ก็ได้ไปเก็บบ่อย ๆ มันก็ชำนาญ จะได้ไปเก็บเสมอ จะได้ออกกำลัง มองไปในแง่ที่มันเจริญบ้างซี มองไปในแง่ขี้เกียจ มันก็แย่นะซิ อย่างนี้เป็นต้น โดยเฉพาะ ไอ้ตัวสะสมนี่นะ มันเป็นตัวร้าย ตัวเลวของมนุษย์ที่ อื้อฮือ! โดยเฉพาะสะสมกองกิเลสนะ ถึงที่สุดเลย เลวที่สุด สะสมกองกิเลสนี่ เพราะฉะนั้น เมื่อสะสมกองกิเลส แล้วกิเลสเห็นแก่ตัว มักได้ โลภโมโทสัน ไม่มีจบ ไม่มีสิ้น สะสมความโกรธ ก็เรียกว่า พยาบาท สะสมความโลภ จะเรียกว่าอะไรดี มหาโลภเหรอ สะสมความโลภน่ะ มันก็เลวลงไป มันก็ร้ายแรงไปหมด เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่รู้ ไม่ได้เรียน ธรรมะ จึงมองเห็นในแง่เดียวที่เป็นวัตถุรูป เป็นเรื่องที่จะสร้าง ๆ แต่สร้างแล้ว เห็นไหม ยิ่งเลวลง

ถ้าเครื่องมือเทคนิค เครื่องมือเทคโนโลยี มันสร้างได้เก่ง ๆ สร้างได้มาก ๆ มันจะต้องไปเดือดร้อนกัน ทำไมล่ะ ในสังคมในโลก ทุกวันนี้ดูกันให้ชัด ๆ มันเดือดร้อน

ผู้ที่บอกว่า ชาวอโศกล้าหลังนั้น ขอยืนยัน แก้ใหม่ ล้ำหน้า ไม่ใช่พูดเพื่อยัดเยียด ไม่ใช่พูดเล่นคารม โวหารนะ คนที่ถามมา คนที่สงสัย คนที่ยังข้องใจในเรื่องนี้ว่า ชาวอโศกล้าหลังนี่ อย่ารีบตาย ขอให้อายุ สัก ๒๐๐ ปี ๓๐๐ ปี แล้วดูซิว่า พฤติกรรมที่ชาวอโศกทำ มันแก้ปัญหาสังคมได้ อยู่เย็นเป็นสุข และ อุดมสมบูรณ์จริงหรือไม่ พวกที่ไปหลงใหล เครื่องมือไฮเทคนั้น จะผลาญพร่าทำลายโลก และจะไม่ อยู่เย็นเป็นสุข จะเดือดร้อน จริงหรือไม่ คน ๒ พวกนี้ จะมีให้เห็น ขอยืนยัน จะมีให้เห็น แล้วดู ติดตามดู ให้ลึกซึ้ง ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก เอาชาวอโศกเดี๋ยวนี้ คุณเข้ามาศึกษาดี ๆ

ทุกวันนี้ชาวอโศกนี่นะ ไม่มีทุนรอนไปซื้อเครื่องมือไฮเทคอะไรมาใช้ ก็เห็นกันอยู่ นาซัมตาโตง ไร่ซัมตาโตง อยากได้รถไถสักคัน ก็ไม่มีปัญญาจะซื้อ ไม่มีปัญญาจะมีใช้ ก็ขุดกันเอง ขุดนั่นแหละ แข็งแรงขึ้น กระทำขึ้น ยิ่งเกิดภาวะที่ดี เห็นใจกัน อะไรต่าง ๆ นานา เรื่องจิตวิญญาณนี่เป็นเรื่องสำคัญ ทำไปแล้วก็แข็งแรง อย่างครูเพ็ญศรี แต่ก่อนนี้ไม่ค่อยแข็งแรง เดี๋ยวนี้สบายเลย แข็งแรง นี่เรื่องจริง แต่ก่อนไม่แข็งแรงหรอก ครูสำรองนี่บอกว่า ไม่คิดว่าจะแข็งแรงได้ คิดว่าจะมาทำไหวเหรอ เอ้า! กลับกลายเป็นอีกเรื่องนึง ไปถามดู เจ้าตัวก็นั่งอยู่นี่ ไม่ใช่เรื่องเล่น มันเรื่องจริง อย่างนี้เป็นต้น มันจะเกิด ดีขึ้นไปทั้งชีวิต ดีทั้งความสามัคคี น้ำใจประสาน เพราะมันไม่มีเครื่องมือ ไม่มีเครื่องไถ ไม่มีรถไถ เห็นไหม แค่รถไถ ไม่ใช่เครื่องมือไฮเทคอะไรนักหนาหรอก มันก็ไม่มี แล้วเป็นยังไง สังคม พวกเราทุกวันนี้ นี่ยกตัวอย่างง่าย ๆ ก็อยู่กันอย่างประสาน อดอยากอะไร กินอยู่ หลับนอน มีอยู่ มีเลี้ยงมีดูกัน อะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานายังงี้ ถ้าคุณไปสัมมนาที่อื่น คุณต้องจ่ายสตางค์นะ พวกสังคม ไฮเทคนี่ คุณจะต้องจ่ายเงิน นี่ค่าสัมมนานี่ คนหนึ่งไม่ใช่น้อย ๆ และคุณก็จะมีนิสัยหรูหราฟู่ฟ่า ฟุ่มเฟือย ผลาญพร่า มีนิสัยชี้ใช้ เอ้า! ใครรับใช้รับจ้าง คุณก็ไปรับไป คุณเป็นคนงานคุณต้องทำ ฉันไม่ทำอะไร นี่ไม่ นี่มีน้ำใจ ช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ โน่นนี่อะไรนี่

มันเป็นระบบของมนุษย์ที่ต่างกัน อาตมาอธิบายไม่หมดหรอก มีองค์ประกอบเยอะ เพราะฉะนั้น ก็ดูแต่แค่ ลำลอง แค่นี้ได้ ว่าสังคมชาวอโศกนี่เป็นยังไง สังคมพวกชาวไฮเทคนั่นน่ะ พวกที่เป็นมหา กระฎุมพี พวกที่เป็น เขาเรียกกันเศรษฐี เพราะเขาไม่อยากเรียกตัวเองว่า กระฎุมพี มันน่าอาย ก็รู้นะ แต่อยากจะเอาคำว่าเศรษฐีไปเรียก เศรษฐีนี่คือ พวกเรา พวกประเสริฐ พวกจน แต่ไม่ได้ด้อย ความรวยหรอก มีความรวย แต่ว่าก็เป็นคนจน พวกเรานี่ เศรษฐีอย่างงี้ เขาก็ไม่อยากจะใช้คำว่า กระฎุมพี เขาก็ต้องใช้คำว่าเศรษฐีเรียก ก็เลยฉวยเอาไปตีกินเสียฉิบ

ทีนี้คนที่ไม่ค่อยมีปัญญา เพราะพวกนั้นเขามีความฉลาดนะ อย่าไปเรียกปัญญาแย่งเอาคำไป คนที่ ไม่ฉลาดเท่า ก็สู้ไม่ได้หรอก อาตมาฉลาดพอ เอามาคืน มาเรียกพวกเราเศรษฐี อย่าโกง โกงแม้กระทั่ง ภาษาคำเรียก ก็เรามาเรียก พวกเราว่าเศรษฐี แต่พวกคุณนั่นยังไม่ค่อยเป็นเศรษฐีกันหรอกนะ ยังเป็น กระฎุมพีกันอยู่ กระฎุมพีน้อย กระฎุมพีใหญ่ ยังกักตุน ยังสะสม ยังกอบโกยอยู่ เพราะฉะนั้น ก็จนกว่า จะเป็นเศรษฐีจริงได้ คือ คนที่สละ ไม่กัก ไม่ตุน ไม่สะ ไม่สม เกื้อกูล เอื้อเฟื้อ สร้างสรรนะ มีคุณค่า ประโยชน์มากนะ

เอาละ อันนี้มันสำคัญเหมือนกัน มันเป็นหลักเกณฑ์ใหญ่ ๆ ของสังคม ๒ ชนิด และ สังคม ๒ ชนิดนี้ อาตมาก็ต้อง ขยายความให้ฟังบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ ที่จริงอธิบายได้มากกว่านี้ ขยายความได้มากกว่านี้ มันมีภาวะซับซ้อน ที่อธิบายยังไม่ถึง อธิบายยังไม่ไหวอยู่อีกเยอะ แต่ค่อย ๆ ศึกษาไป แล้วพิสูจน์ สภาพเป็นจริงไปเรื่อย ๆ แล้วเราจะเข้าใจ เราไม่ได้ไปต้านทีเดียว ในเรื่องเครื่องมือเทคนิค แต่เราก็ พยายามระมัดระวัง ถ้ามันต่อไปในอนาคต เครื่องมือเทคนิค ที่เราต้องช่วยในเดี๋ยวนี้นี่ ต่อไปในอนาคต คนทำเองได้ดีกว่า เราประสงค์จะให้ทำด้วยมือนี่ให้ได้มาก ๆ แหม! พูดไปแล้ว มันมีเรื่องอยากจะเล่า อยากจะพูด เอ้า! พอ มันจะยาว เดี๋ยวมันจะไม่หมดอีก เอา เอาละ แค่นี้ก็พอ นะ

ก็สรุปเรื่องว่า ก็เรื่องของการจัดสังคม หรือว่าการปรับสังคม ให้เกิดเป็นมนุษย์ไฮเทค สรุปง่าย ๆ ก็มนุษย์ NICS แหละนะ กลับมาเป็นมนุษย์ NACS นะ NICS ก็คือ Newly Industrialized Countries S ตัวนั้น มาเติมท้ายด้วย เป็น NICS เอาตัว N Newly เอา I ของ Industrialized เอา C ของ Countries และเอาตัว S มาตาม ก็เป็น NICS ส่วน NACS นั่นน่ะ Newly Agriculture Countries นะ เอา N ของ Newly และก็เอา A ของ Agriculture เอา C S ของ Countries เหมือนกัน เอามาใส่ ก็เป็น NACS Agriculture คือเกษตร พวกชาวเกษตร พวกชาวไร่ชาวนา เพราะฉะนั้น สังคมชาวไร่ชาวนา สังคมการเกษตร กับสังคมพวกเครื่องมือ อุตสาหกรรม พวกไฮเทคนั่นแหละ ก็ลองดู สังคม ๒ สังคมนี้ เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้จะเห่อเหิม จะพยายามจะให้เป็น NICS ให้ได้นะ เอาเถอะ เป็น NICS ก็เป็นไป เพราะเราจะเป็น พวก NACS หรือพวก ACT ACT มีคนเสนอมา เอามาจาก Agriculture นี่แหละ เอา A Agri เอา C จาก culture เอา T จาก ture นะ เป็น ACT แปลว่ากรรม ACT แปลว่าการกระทำ เป็น verb action เป็นนาม active เป็นคุณศัพท์ ACT แปลว่ากระทำ แปลว่าแสดงพฤติกรรมออกเลย กระทำ ACT เราจะเป็นชาว ACT หรือ NACS ดูต่อไปนะ โปรดติดตาม

ถาม ชายหญิงของชาวอโศก เราใช้สรรพนามเรียกกัน ว่าพี่ว่าน้องหลายคน รู้สึกว่ามันหวาน แล้วแฝง ไปด้วยราคะเกินไป ชาย หญิงไม่น่าเรียกกันเช่นนี้ ควรใช้คำกลาง ๆ ว่า คุณ จะดีกว่าไหม ขอให้พ่อท่าน วิเคราะห์ด้วย ถ้าหญิงต่อหญิง ชายต่อชายเรียกกัน ยังพอฟัง แต่ได้ยินชายหญิงพูดกันแล้ว มันกระซิก กระซี้ จั๊กกะจี้หูเกินไป ปราม ๆ ซะมั่งก็ดี

ตอบ อาตมาได้พูดไปบ้าง เรื่องนี้ก็ขอวิเคราะห์อย่างนี้นะ เอาแน่ ๆ แหละ ผู้หญิงต่อผู้หญิง จะเรียกกัน พี่ ๆ น้อง ๆ อะไร มันไม่เกิดกาม มันเกิดความสัมพันธ์อันดีด้วย ที่จริงผู้หญิงกับผู้ชาย เรียกกัน ด้วยความจริงใจ พี่ ๆ น้อง ๆ มันก็สัมพันธ์อันดีนะ แต่มันยาก มันยาก เพราะว่ามันเหมือนสะพาน เสียด้วยซ้ำนะ ถ้าผู้หญิงผู้ชาย เป็นพี่น้องคลานตามกันออกมา เขาเรียกกันพี่ ๆ น้อง ๆ แน่นอน ก็เห็นอยู่แล้ว มันไม่ใช่เรื่องของกาม มันก็เป็นความสัมพันธ์อันดี

เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะไปตัดเสียเลยทีเดียวนะ ไม่ให้มีเสียเลย มันก็ดูว่า เอ๊! ตัดความสัมพันธ์อันดี กันไปมากเลยนะ แต่ถ้าเราจะไม่ตัด ปล่อยกันมากรุ่มร่ามเกินไป มันก็เป็นสะพาน สะพานแห่งกาม มันหวานอย่างที่ว่าจริง ๆ แหม! หวานเยิ้มเลยนะ มดขึ้นเลย มดกามมันขึ้นนะ เพราะฉะนั้น ในฐานะ ของนักบวชไม่ใช้ อย่างที่อาตมาบอกแล้ว ว่าอาตมาก็เล่าตัวเองด้วยซ้ำไป ก็เลิกนะ นักบวชนั่นแน่นอน ก็ตัด ก็เลิก ในระดับไหน ก็แล้วแต่ ก็ลดลงมา

ทีนี้ ผู้ถือศีลสูงขึ้นมา เพ่งเพียร เคร่งครัดของตัวเองขึ้นมา ก็ให้พยายาม เป็นฆราวาสนี่ก็พยายาม ฝึกปรือ หัดของตัวเอง คนไหนที่สำนึก คนไหนที่รู้สึก คนที่สำนึกก็คือ คนที่รู้ว่า เอ๊! เรานี่ชักไม่ดีแล้วนะ ใช้คำว่าน้อง ว่าพี่กันแล้ว มันไม่บริสุทธิ์ใจนะ ยิ่งมันรู้ตัวเลยว่า นี่ เอ! ยิ่งใช้ยิ่งใส่น้ำตาล ผสมเข้าไป กับคำว่าน้อง ว่าพี่นี่ ยิ่งหวานเยิ้มเข้าไปเรื่อย ๆ คนผู้นั้น จะรู้ตัวเอง

ผู้สำนึกคือผู้สำนึก ผู้ไม่สำนึก ก็คือผู้ไม่สำนึก เพราะฉะนั้น เรานักปฏิบัติธรรม เราจะต้องรู้ความจริง เมื่อเรารู้ตัวว่าไม่ดี เราต้องเลิก ลดเอง หยุดเอง อย่าทำ อย่าใช้ ชักสะพานเสีย นี่แหละ คือ การชักสะพานเสีย อย่าไปต่อสะพาน อย่าไปทำอะไร ให้มันเชื่อมโยงต่อขึ้นไป อันนี้มันเป็นสื่อ เหมือนสะพานมันเป็นสื่อนะ ชักสะพานเสีย เพราะฉะนั้น เราใช้คำว่าพี่ ว่าน้องเรียกกัน จุ๋มจิ๋ม จู๋จี๋ อะไรอยู่นี่ ไม่ดีหรอก ฝึกใหม่ เรียกคำธรรมดาเลย เรียก คุณ เรียก เธอ เรียก ท่าน อะไรไปเลย ถ้าสนิทสนม กันก็เรียก เธอได้ เรียกยังโง้นยังงี้ได้อะไรไป เราเองจะตัดเอง เราเองจะปรับเอง เพราะฉะนั้น ให้มีสำนึก ของใคร ๆ ให้มีสำนึก อาตมาไม่อยากให้มันแข็งเกินไป ไม่อยากให้มัน แหม!
มันไม่มีอะไร ยืดหยุ่นเลย มันดูไม่ดี

ถ้าเผื่อว่า ผู้หญิงจะพูดกับผู้หญิง ผู้ชายจะพูดกับผู้ชายเอง พี่ ๆ น้อง ๆ อะไรกันไปนี่ บอกแล้ว มันไม่มีปัญหา ส่วนผู้หญิงกับผู้ชาย จะพูดกันบ้าง ก็ให้อย่างที่ว่านี่ ผู้ใดสนิทใจแล้ว บอกไม่มีปัญหา หรอก เรียกน้องเรียกพี่อะไรกัน หรือเรียก ปู่ ย่า ตา ยาย หลาน เหลน อะไรอยู่อย่างนี้ มันไม่มีปัญหา มันเป็นความสัมพันธ์อันดี เป็นวัฒนธรรม อันนี้มันมีมาแต่ไหนในโลก ไม่มีปัญหาอะไร อย่าไปตัด อย่าไปทำลายวัฒนธรรมอันดี หรือว่าสื่ออันดี ความสัมพันธ์ อันดีของมนุษย์มากนัก ที่อาตมาทำนี่ ไม่ได้อธิบาย พยายามทำกันมา โดยเรียกในฐานะอย่าง บอกแล้วนักธรรม หรือนักพรต นักบวช ไม่รู้ จะใช้ยังไง มันไม่ค่อยเต็มจัด มันไม่ค่อยเสริม มันไม่ค่อยเต็มที่นะ ก็พยายามแล้ว ส่วนผู้ที่ปฏิบัติธรรม ถือศีลสูงขึ้นมา หรือว่าผู้นั้นรู้สึกตัวแล้วว่า ไม่ดี มันกลายเป็นสิ่งที่จะทำให้เราตกต่ำ ก็ต้องสำนึก และ ก็สังวร ปรับเสีย อย่าไปพูด อย่าไปทำ อย่าไปทำสื่อ ถอนสะพาน เข้าใจคำว่า ถอนสะพานนะ ไม่ใช่ ไม่คบหากัน ก็คบหากัน ก็มีสัมพันธ์ แต่ว่าตัดส่วนอะไรที่มันออก

ถ้าเผื่อว่าคุณทำได้อย่างเคร่งครัด คุณยังใช้เรียกพี่ เรียกน้องอยู่ แต่คุณพยายามควบคุมใจ เป็นการ ปฏิบัติธรรมแท้ ๆ ของพวกเรา รู้จักสภาวะอาการที่เกิดในจิต แล้วเราก็สมถภาวนา หรือว่า วิปัสสนา ภาวนาในสิ่งนั้น ในปัจจุบันนั้น ทำ ลดละ ทำลายไอ้ตัวเชื้อโรค ทำลายตัวเชื้อโรค นั้น ๆ เองจริง ๆ นี่มันละเอียดลอออย่างนี้ ธรรมะพระพุทธเจ้านะ ทำ ถ้าทำได้ก็ทำ ถ้าทำไม่ได้ ก็ต้องชักสะพาน ไม่ต้องพูดคำนี้ เหมือนกับ พรากไม้ ที่ชุ่มด้วยยาง พัก หยุดพูดคำนี้ ถ้าขืนพูดอยู่มัน ทั้งฝีมือของเรานี่ สมถภาวนา วิปัสสนาของเรา มันทำลายเชื้อโรคอันนั้นไม่ได้ มันยังไหลไปอยู่ด้วยจริง ๆ แล้วไหล แหม! แพ้ทุกที จงตัดสะพาน จงพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง อ้าย เอื้อย เหมือนกันละ อ้าย เอื้อย เหมือนกันนะ มันเป็นของอีสานนะ อ้าย เอื้อย ปี้ น้อง อะไรพวกนั้น เหมือนกันแหละ ของทางอีสานน่ะ อ้าย เอื้อย เหมือนกันนะ ไม่ต้องเรียกอ้าย เรียกเอื้อยอะไรกัน อย่างเอื้อยก็คงไม่เท่าไหร่นะ อ้ายน่ะสิ อ้าย น้อง อะไรพวกนี้นะ เอาละ คงพอเข้าใจ

ถาม พ่อท่านคะ ดิฉันกลับเป็นห่วงเกษตรอโศก เกษตรอโศกจะเกิด กลับเป็นห่วง เป็นห่วงเกษตรอโศก ที่ทำอยู่ไกลวัดมากกว่า ไปเป็นห่วงเกษตรอโศกที่อยู่ไกลวัด เพราะกลัวจะเน่าเละ ก่อนจะเป็น พุทธเกษตร อย่างสมบูรณ์จริง ๆ ค่ะ พลอินทรีย์พวกเราแน่แค่ไหน เบื้องต้นนี้ เราต้องอาศัยสมณะนำ จึงจะไปรอด เพราะยังไม่มี สมาธิมั่นคง บางคนจะทำ ไม่เห็นมาฟังเทศน์เลย ดิฉันไม่เชื่อว่า แบบนี้จะถูกต้อง และไปได้รอด

ตอบ อันนี้ก็จริงนะ เพราะว่าเกษตรอโศก หรือว่าเกษตรพุทธที่เรากำลังจะทำนี้ มันประกอบด้วย จิตวิญญาณ มันไม่ได้ประกอบด้วย เฉพาะเทคโนโลยี วิธีการ ฝีมือ ความรู้ ความสามารถ ประกอบ การเกษตรเท่านั้น มันประกอบด้วยจิตวิญญาณ ประกอบด้วยความรู้ที่ลึกซึ้ง ที่เราจะต้องรู้ อย่างอาตมา พูดว่า เราจะต้องสร้างบ้านให้ดิน ไม่ใช่ไปเหมือนเด็กเล่นขายของนะ ไปเอาดินทรายมา แล้วก่อเป็นรูปบ้าน ไม่ใช่นะ จะสร้างบ้านให้ดิน คือจะสร้าง โครงสร้างให้ดิน มันมีชีวิต ให้ดินมี ครอบครัว ยิ่งไปใหญ่ไหม ให้ดินมีครอบครัว ดินมันจะมีครอบครัวของมัน มันจะมีโพรง มีอุณหภูมิ มีสัตว์หลายประเภท ที่จะอาศัยร่วมอยู่ด้วยกัน มีพืช พืชนั่นพืชนี่ พืชก็เป็นของดินนะ มันจะมีอะไร ๆ ลงตัวของมันนะ เราจะสร้างครอบครัว สร้างชีวิตให้ดิน อย่างนี้เป็นต้น จะต้องลึกซึ้งละเอียด แล้วเรา ก็จะต้อง มีน้ำใจ แต่ก่อนนี้เรา ดุเดือดนะ เห็นไอ้โน่น เห็นไอ้นี่ ไม่ได้ละ ทำลายกัน ใจอำมหิต และ ใจร้อน อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เกี่ยวกับจิตวิญญาณ ใจร้อนใจเร็ว อยากได้เร็ว และก็ไม่เข้าใจ นี่ก็เรื่องของ จิตวิญญาณ ไม่มีปัญญาลึกซึ้ง ไม่มีความฉลาดลึกซึ้ง ที่จะรู้ในนัยลึกซึ้ง สุขุมประณีต เข้าไปอีก ก็เป็นเรื่องของวิญญาณ เราจะต้องค่อย ๆ ศึกษา ความรู้ของเราในขณะนี้ อาจจะยัง ไม่สมบูรณ์จริง ๆ สูงสุดทีเดียว เราต้อง สมมุติฐานยังงั้นไว้ก่อน แต่มันจะไปถึงไหน ไม่ต้องห่วง มันจะเจริญเข้าไป ถ้าเผื่อว่า มันถูกทิศถูกทางของมัน มันจะไปได้ไกลได้สูง และได้สุดเองนะ เพราะฉะนั้น ก็ขอเห็นด้วย และเห็นด้วยกับผู้ที่ขอ ๆ บอกกัน

ถ้าทำเกษตรอโศก หรือเกษตรพุทธให้ได้นี่ พยายามติดต่อกันให้เป็นชมรม อย่างที่ว่านี่ ประสานกัน และค่อย ๆ จะพยายามล่ะ จะทำสื่อสาร เอกสาร จุลสารอะไร มีทั้งโรเนียว มีทั้งหนังสือเล่ม มีทั้งเท็ป อะไร ถ้าเผื่อว่าถึงขั้นนั้น มีวิดีโอถ่ายเห็น เห็นสภาพอะไรต่าง ๆ เราจะพยายามเร่งรัดพัฒนา เรื่องเกษตรอโศกขึ้นไป เมื่อได้เริ่มต้น ก็พยายามทำไป แต่ไม่ต้องรีบร้อนนะ ค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป ไม่ต้องใจร้อน เราจะต้องค่อย ๆ ดำเนินเป็นไป ไอ้เรื่องที่ดิน เรื่องวัตถุ เรื่ององค์ประกอบพวกนี้ เรื่องทุนรอนอะไร อาตมาคิดว่า ไม่ต้องตกใจ เรื่องชาวอโศกนี่ เรื่องทุนรอน ไม่ต้องตกใจ มันจะพอ เป็นไป แม้มันจะไม่ดูร่ำรวย มากมายก่ายกอง มาทำอย่างพวกเหลือเฟืออะไร นี่ก็คล่องมือ ก็ไม่ต้อง ไปอึดอัด ขัดเคือง มันจะเป็นอย่างนี้ มันทำให้นิสัยเราดี ถ้ามันคล่องมือ ฟุ่มเฟือยนี่นะ มันจะทำให้เรา ไหลเข้าไป หาทางด้านโน้นอย่างเก่า อันนี้แหละเป็นองค์ประกอบ ธรรมชาติอันหนึ่งว่า เออ! เราแหม! ถ้ามันติด ๆ ขัด ๆ นี่มันจะใช้ความคิด แล้วมันก็จะทำให้เราได้ปฏิบัติธรรมด้วย ยับยั้ง สุขุม ประณีต ใจเย็น ค่อย ๆ ดูท่าที ลู่ทางอะไรทดแทนได้ การหาช่องทาง ทำอะไรทดแทนได้ นั่นแหละคือ การเปลี่ยนกลับ จากไอ้ที่มันเคยคิดออกง่าย ๆ อย่างโลก ๆ เขาโฆษณาไว้แล้ว ทำกันมาตาม ๆ กันมาแล้ว มันก็มีไปตามร่องตามรอยอันนั้น แต่อย่างนี้ มันจะทำให้เราเกิดคิดใหม่ เกิดอุตสาหะใหม่ แล้วมันก็จะไปในทิศทางนี้เอง

ถาม พระสวดศพคนตาย เพื่อส่งวิญญาณไปขึ้นสวรรค์ และการชักอนิจจา ในอีสานยังเรียก ชักอนิจจา เรียกว่า ชักบังสุกุลน่ะ แต่ทางอีสานนี่เรียกชักอนิจจา เพื่อให้ได้กลับมาเกิดเป็นคนอีกครั้ง เป็นความจริง หรือไม่ และเขาบอกว่า ถ้าคนใดตายแล้ว ไม่ได้สวดศพ จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีก (ก็เป็นนิพพานไปเลยซี ก็สวยเลยน้อ เพราะฉะนั้น อย่าไปชักอนิจจา ชักผ้าบังสุกุล จะไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิดอีก) จริงไหมครับ ขอให้พ่ออธิบาย หรือแจกแจงคำสวดนั้น ให้ฟังด้วย

ตอบ เขามีหลายประเด็นในที่นี้ บอกว่า การสวดศพคนตาย เพื่อส่งวิญญาณขึ้นสวรรค์นั่นน่ะ เป็นลัทธิ มานานแล้ว ลัทธิเทวนิยม ลัทธิวิญญาณ อัตภาพ อัตตา กระทำกันมานาน มาเก่าก่อน ก่อนที่พระพุทธเจ้า ท่านจะตรัสรู้ ถึงสัจจะความจริงที่สูงกว่านี้ รู้เท่าทันวิญญาณได้มากกว่านี้ คนเรา เข้าใจวิญญาณเป็นอย่างที่เขาเข้าใจอย่างงั้นน่ะ เขาก็ต้อง ทำอย่างนี้ ก็ถูกแล้ว แต่ความจริง มันไม่เป็น อย่างนั้น พระพุทธเจ้าถึงได้มาล้มล้างทฤษฎี เข้าใจวิญญาณ ได้ถูกต้องกว่า จึงไม่จำเป็นจะต้องทำ อย่างที่เขาทำ เพราะฉะนั้น ในศาสนาพุทธ จึงไม่มานั่งสวดศพคนตายอยู่ยังงี้ ไม่มีจริง ๆ ขอยืนยัน แล้วเป็นยังไงศาสนาพุทธ โอ้โฮ! ทำกันอยู่เกลื่อนกลาด ทำกันจริง ๆ แล้วยังทำเป็นพิธีการขลัง สวดศพ อนิจจา วตสังขารา หรือไม่ก็เอาพระอภิธรรม มานั่งสวดไปเลย กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมา อะไร ว่ากันไปนะ ยิ่งใหญ่กันไปหมด มันก็ดัดแปลงกันไป ไม่มีในพระไตรปิฎก ในประวัติศาสตร์ของ ศาสนาพุทธไม่มี ของพระพุทธเจ้าไม่เคยมีทำ แต่ไปทำนอกรีต เขาก็ว่าอันนั้นซิถูกต้อง เราว่าไม่ถูกต้อง เราก็เลิก เขาก็หาว่า เรามาทำลาย จารีตประเพณีวัฒนธรรมไทย ฮ่า! มันจะตาย ถูกประหารชีวิต เพราะยังงี้นะ

เอ้า! ก็ขอยืนยันว่า ส่งไม่ได้หรอก อย่าไปส่งเขาเลย วิญญาณใดก็เป็นของผู้นั้น ไปตามวิบากของกรรม ของผู้นั้นเอง เป็นไปตามวิบาก วิญญาณของผู้นั้นเป็นไปอย่างไร อย่าคิด พระพุทธเจ้าไม่สอน พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่อธิบาย มันจะไปยังไง ก็ไม่ต้องห่วง มันไปของมันตามจริง คุณไปช่วยอะไรเขา ไม่ได้หรอก มีนิยายมากมายก่ายกอง มันเป็นเรื่องหลอกทั้งนั้น ไปช่วยยังงั้น ไปยังงี้ ๆ อย่างนิยายจีนนี่ วิญญาณมาแล้ว ก็ต้องไปเดินข้ามสะพาน จะต้องมาดื่มน้ำอะไรก็ไม่รู้ อะไรต่าง ๆ นานาสารพัดสารเพ โอ! ยิ่งตอนนี้เขาทำซิ มันมีวิดีโอของพวกจีน เขาทำ แต่งตัวมาเป็น ผู้ทำพิธีพวกนี้เลย ที่จริงเป็น ฆราวาส ด้วยซ้ำไป มาทำพิธี แหม! ทำส่งวิญญาณ ทำโน่นทำนี่ วิ่งกันให้วุ่นเลย แหม! ยังกะเด็ก เล่นวิ่งไล่เอาเถิดกันนะ

(เสียงผู้ฟังพูด: ข้ามสะพานต้องเอาเงินซื้อ) นั่นน่ะ ต้องเอาเงินซื้อ ข้ามสะพานต้องจ่ายเงินจ่ายทอง ต้องอะไร เป็นวิธีการเชิงชั้นหลอกหาเงิน หลอกไปต่าง ๆ สารพัด ดูแล้วกลุ่มของคนที่ไม่รู้เท่าทัน ก็เป็นเหยื่อ ผู้ฉลาด ฉลาดคิดหาวิธีเป็นเชิงชั้น มันไม่ได้เรื่อง แล้วก็เสียเวล่ำเวลานะ

และชักอนิจจา เพราะฉะนั้น การสวดศพคนตายเพื่อส่งวิญญาณขึ้นสวรรค์นั้น เป็นเรื่องไม่จริง และ เป็นเรื่องที่ไม่ต้องทำ ชาวพุทธอโศกเราไม่ต้องทำนะ แต่มีงานศพที่เราจะมาสวดนี่ หมายความว่า เรามาเทศน์สู่กันฟัง มีคนมาแสดง ความเสียใจเห็นใจอะไร มันเป็นวัฒนธรรมที่ดีนะ คนไหน โศกเศร้า ก็มาเห็นใจกัน เกื้อกูลกัน คนละนิด คนละหน่อย หรือมารวมกัน มีอะไรก็ว่ากัน มาพบกัน เมื่อมา รวมกลุ่มกันแล้วก็ถือโอกาส ผู้รู้ก็พึงสาธยาย ก็สวดนั่นเอง สาธยายความรู้ หรือสาธยาย สิ่งที่เป็น ประโยชน์ซะ อาศัยเวลามารวมกันมาก ๆ ก็เป็นประโยชน์ดีแล้ว ก็เรียกว่าสวด อย่างนั้นน่ะ ก็ทำไป ผู้รู้ส่วนมากก็คือ สมณะ หรืออะไรยังงี้ หรือไม่มี ก็เป็นผู้รู้ในนั้น ก็ว่ากันไป

การชักอนิจจา ก็อย่างที่ว่านี่ ไปชักบังสุกุล สมัยโบราณของพระพุทธเจ้านั้นคือ ชักผ้าบังสุกุล คือไป ชักเอาผ้าห่อศพ ก็บอกว่า เออ! เธอไม่ใช้ ใช้ไม่ไหวแล้ว ขอมาเถอะ ไม่ต้องพูด เอามาเฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร ชักผ้าบังสุกุลนี่ ก็ระลึก ก่อนจะชักมาก็ว่า เออ! ของของเขานะ แต่ไม่ใช่ของเขาหรอก เขาไม่รู้ตัวหรอก คนเขาห่อให้ ผ้าห่อศพนั่น เขาไม่รู้ตัวหรอก แต่ว่าผ้านี่มันจะเน่าจะเปื่อย จะผุจะพังไป เป็นของทิ้ง บังสุกุละ คลุก ขี้ฝุ่นขี้ฝอย เป็นขยะแล้ว เราก็ขอเอามาใช้ ศพจะเน่าไป เราก็เอาผ้ามาใช้เท่านั้นเอง สมัยโบราณจริง ๆ เป็นเช่นนั้น ไม่ต้องไปมี อนิจจา วตสังขารา นี่มันแต่งขึ้นทีหลังนะ ไม่ต้องไปท่องเทิ่ง อะไรก็ได้ แต่เดี๋ยวนี้ก็เป็นรูปแบบ เป็นพิธีการ อะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานา อย่างอะไร คุณพรชัย ขึ้นไป บอกว่า ทำหมุบ ๆ หมิบ ๆ บอกว่าผมท่องไม่ได้หรอก ผมพระใหม่ เอาไปเลยนะ เอาไปเลย แน่ะ เอาผ้า เขาชักกันทุกวันนี้ ศพนั่น ไม่ใช่ผ้าบังสุกุล ผ้าใหม่ ผ้าสะอาด ไม่ใช่ผ้าบังสุกุละ

นี่มันเพี้ยนไปหมดแล้ว นี่ล่ะคือบัญญัติที่มันเพี้ยน และเขาก็ว่า เขาถูก ตกลงในอนาคต เขาจะว่า ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่เขาใส่ซองพลาสติก วางไว้บนหลังศพ เอ้า! จริง ๆ นะ ผ้าบังสุกุล คือผ้าที่ใส่ซอง พลาสติกดี ๆ หรือห่ออย่างสวย ที่วางไว้ บนหลังโลงศพ นั่นคือผ้าบังสุกุล ในอนุชนรุ่นหลัง ก็จะแปล อย่างนี้ ก็จะหมายความอย่างนี้ใช่ไหม (เสียงผู้ฟังพูด:เดี๋ยวนี้เขาใช้จีวรถวาย แล้วก็ซอง ส่วนผ้าห่อศพ ก็ไปแบ่งกันเอาเอง) ผ้าห่อศพไปแบ่งกันเองอะไร (ผู้ฟังพูด:พี่น้องค่ะ คนจีน เอาไปแบ่งกันเอง)

อ๋อ! นี่คุณพูดเอาจีนมาผสมไทย ใช่ แล้วผ้าอันนั้น ใส่ในนั้น มันไม่ใช่อะไร มันเป็นตัวสื่อ แทนการ แบ่งเงิน เท่านั้นเอง ถุงนี่ใช้อยู่นานับเลย รายไหนก็มาถุงนี้ รายไหนก็มาถุงนี้ อาจจะมีหลายถุงหน่อย เวียนมา ประเดี๋ยวมันไม่ทัน เท่านั้นเอง แล้วก็มาเวียน ไปเวียนเทียน จริง ๆ แล้วก็มีตีราคา บอกไม่เป็นไร คุณไม่ต้องซื้อหรอก มีเรียบร้อย จ่ายมาเถิด ชุดละเท่านั้น คุณก็จ่ายตังมา ก็คือเอาตังไปแบ่งกัน นี่ไม่ใช่ พูดเล่นนะ พูดจริง เรื่องจริง มันเป็นวิธีหมุนเวียน หาเงินอย่างเดียว เท่านั้นเอง ไม่เข้าท่าแล้ว เพราะฉะนั้น ผ้าบังสุกุลทุกวันนี้นะ ทอดผ้าป่านี่ก็เหมือนกัน อันเดียวกันล่ะ ทอดผ้าป่า ผ้าที่มันทิ้ง ในป่า ที่มันคลุก ขี้ฝุ่นขี้ฝอย ไม่ใช่เป็นผ้าห่อศพอย่างเดียว ผ้าใคร ๆ เขาทิ้งแล้วก็ไปเก็บมา ผ้าคลุกขี้ฝุ่น บอกแล้วว่าผ้าทิ้ง ผ้าห่อศพนี่ก็ผ้าทิ้ง ก็ไปเก็บมา ชักเอามา มันติดอยู่ที่ไหนละ ก็ไปชักเอามาเท่านั้นเอง ไม่ต้องไปท่องอะไร ไม่ต้องไปบอกอะไรหรอก

แล้วเขาก็บอกว่า นี่ทำให้คน ถ้าไปทำที่ศพ ผ้าบังสุกุลนี่ ไปศพไหนแล้วก็ทำอย่างนี้ แล้วก็มีพระมานั่งชัก อนิจจา วตสังขารา แล้วก็จะให้คนนี้ กลับมาเกิดเป็นคนได้อีก โอ๊! ไม่ต้องปฏิบัติธรรมอะไร ให้มันยาก หรอก ยังงั้นน่ะ ใครก็เตรียมตัว ก่อนตายก็เตรียมผ้าบังสุกุลไว้หลาย ๆ ชุด จะได้ชัก มาเกิดแหง ๆ เลย ชัก ๕๐ ชุดนะ เอาสตางค์เตรียมเอาไว้ แล้วก็ไม่ต้องไปทำดิบทำดี ทำชั่วทำอะไร ก็ไม่ต้องไปคำนึง ในชีวิต ทำชั่วยังไง ก็ได้เกิดเป็นคนอีก ไม่ต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉานหรอก เพราะว่า ชักผ้าบังสุกุล มันช่วยให้เกิดเป็นคนได้แล้วนี่ เตรียมเงินไว้ให้ลูกหลาน อย่าลืมนะ ๕๐ เที่ยวนะ พ่อได้เกิดเป็นคนแหง ตามหลักสูตรนี้นะ

ไม่เคยมีคำสอนอย่างนี้ แล้วก็ไม่มีความจริง ไม่มีความเป็นไปได้ มันอยู่ที่กรรมของเรา ทำดี ทำชั่ว ชักผ้าบังสุกุลแล้ว ก็จะได้เกิด มันไม่เห็นมีเหตุผลตรงไหนเลย ไม่เห็นมันเข้ากันเลย ช่างเชื่อได้เชื่อดีนะ ถูกหลอกเอาเงินไปกิน ยังไม่รู้ตัว ฉลาดน้อย อยู่นั่นแหละ อย่างนี้เป็นต้น มันไม่เข้าเรื่องเลย ศาสนาพุทธ ไม่ได้พาให้มางมงาย แล้วก็ ดูแล้วก็เห็นลักษณะ มันโง่ ๆ เง่า ๆ อย่างงี้เลย ขายขี้หน้า พระพุทธเจ้าตายนะ เพราะฉะนั้น มันไม่พาให้ไปเกิดไปอะไรได้หรอกนะ ไม่จริง

ถ้าคนใดตายแล้วไม่ได้สวดศพ จะไม่ได้ผุดได้เกิดอีก นี่ก็พูดว่า จริงไหม

ไม่จริง การผุด การเกิด หรือการต่อวิบาก การเป็นไป ดำเนินไป จะสุคติ หรือจะทุคติ ก็เป็นไปตาม วิบากกรรมทันที มันเปลี่ยน มันเลื่อน มันเคลื่อน มันจุติ นี่ภาษานี้ของธรรมะทั้งนั้นน่ะ มันเคลื่อน มันเลื่อน มันจะไปจุติเป็นเทวดา หรือ จุติลงนรก ก็แล้วไป แต่คำว่า จุติ เขามักจะไม่พูดเรื่องนรก จุติลง จุติขึ้น หรือเคลื่อนไปเกิด เคลื่อนจากอันนั้นไป เปลี่ยนไป มันยังไม่ปรินิพพาน เมื่อยังไม่ปรินิพพาน มีความจุติ มีความเคลื่อน มันก็จะเคลื่อนไปทันที เคลื่อนไปทันทีตามวิบาก

เอาละ ทีนี้ก็อธิบายแจกแจงคำ อนิจจา วต สังขารา นี่นะ เขาแปลว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง อนิจจา ไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายก็คือ จะเป็นสังขารอะไรในร่างกาย ที่มันประกอบกันขึ้นมา ปรุงแต่งกันขึ้นมา มันไม่เที่ยงทั้งนั้น วตะ แปลว่า หนอ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ อุปปาทวยธัมมิโน อุปปัชชิตวา มีการเกิดขึ้น นิรุชฌันติ ก็มีการเสื่อมไปธรรมดา ตามธรรมดา มีการเกิดขึ้นก็มีการเสื่อมไปเป็นธรรมดา เตสัง วูปสโม สุโข ครั้นเกิดขึ้นแล้ว ย่อมดับไป อย่างนี้ ก็การเข้าไปสู่ความระงับ หรือความสงบ แห่งสังขาร เหล่านั้น เตสัง ย่อมเป็นสุขนะ วูปสโมสุข สงบ สุขอย่างพิเศษ สุขอย่างสงบ สุขอย่าง ระงับนะ ซึ่งมันเป็นภาษาไทยก็แค่นี้ ถึงอธิบายให้ฟังแล้วว่า สุขอย่าง วูปสโม ต่างกับโลกียสุข อย่างไร ที่จริงแล้วก็จะต้องให้เป็น วูปสโมสุข ด้วย พูดปากเปล่าเท่านั้น อะไรก็ไม่เที่ยง อะไรมันก็ดี ทั้งนั้น เอาคำอย่างนี้ มาพูดก็ดี แต่ปฏิบัติให้มันเป็นยังงั้นซินะ แต่ตัวเองไปทำนั่น มันค้านแย้งกับ คำที่สวดนี่ ตัวเองไม่ได้ระงับเลย ตัวเองก็ปรุง ขึ้นไปเรื่อยเลย

นี่ยิ่งมีรูปแบบ มีเรื่องอะไรเละเทะอย่างที่อธิบายนี่ ยิ่งแสดงความอวิชชา ความไม่ฉลาด ยิ่งแสดง อวิชชาออกไป ปรุงแต่งสังขาร เป็นรูปเรื่อง เป็นเรื่องโลภ โกรธ หลงอะไรต่อออกไปอีก มันจะไป วูปสโมสุข ได้ยังไง มีแต่ตัวทุกข์ เท่านั้นแหละ เกิดขึ้นเจริญงอกงาม ไม่ใช่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปด้วยนะ เกิดขึ้นเจริญงอกงาม มีแต่ตัวทุกข์เท่านั้น เจริญงอกงาม เพราะฉะนั้น ถ้าทำผิดทำเพี้ยนแล้ว มันก็ไป อย่างงี้

ถาม ระยะนี้ดิฉันมีงานที่จะต้องติดต่อกับคนข้างนอกบ่อย จนทำให้เกิดความคุ้นเคย และ "ประทับใจ" คน ๆ หนึ่ง อย่างมาก แน่ะ เป็นเหตุผลที่จะขอความเห็นใจเหรอ ปัญหามันอยู่ที่ตรงที่ เมื่องาน จบลงแล้ว ดิฉันก็ "ใจหาย" ที่จะไม่พบ ไม่เจอเขาอีก ใจนึงก็บอกตัวเองว่า น่าจะคบไว้เป็นเพื่อน อีกใจนึง ก็หิริ เพราะรู้ว่าเป็นกิเลส ในความคิดถึง จึงมีทั้งทุกข์และสุข ทั้งอยากตัดและอยากต่อ (ผู้ฟังหัวเราะ) มันยากไปเสียทั้งหมดนะ อยากหมดกิเลสแต่ก็เสียดาย เอ๊อ! (ผู้ฟังหัวเราะ)

ตอบ นี่แหละ คนลังเลแบบนี้แหละนะ จำไม่ได้แล้ว ลังเลนี่มันมีทุกข์อะไรบ้าง เป็นทุกข์ แน่นอน ช้ำระบมกลัดหนอง ช้า ช้า อาตมาเองบัญญัติเอง แต่ก็ลืมไปแล้วตั้ง ๕ อัน มันเป็นทุกข์ ไอ้ลังเล ตะหล่องต่องแต่งนี่ อะไรไม่รู้นะ จำไม่ได้ ท่านสรณีโย ท่านจดจากพระไตรปิฎกส่วนมาก อันนี้ท่านช่วยอาตมา คงยากอยู่ (เสียงท่านสรณีโย:ได้ ๆ) แน่ะ
๑.ทำให้ทุกข์
๒.ช้ำระบมกลัดหนอง
๓.ไร้พลัง หมด พลังงานมันไม่มี กำลังน้อยลง
๔.ไม่บรรลุเร็ว ช้า
๕.ไม่เด็ดขาด

เออ! แหม! ตอนนี้ท่านสรณีโยเป็นพระเอกมาได้เต็ม (ผู้ฟังหัวเราะ) เปิดตำราได้ทัน

มันเป็นทุกข์จริง ๆ ความลังเล ตะหล่องต่องแต่ง สับสน จะเอายังไงดี ทั้ง ๆ ที่รู้นะ แหม! อย่างงี้ล่ะ มันคิด เราไม่มารู้จักอโศกซะดี แหม! มีคนเคยพูดนะ บอก แหม! มันช้ำเหลือเกิน ไม่มารู้อโศกซะดีละ จะได้ไปอย่างโง้นเลย ก็ไปของมัน อย่างงั้นของมันเลยนะ โอ๋ย! อย่างนี้ ถ้าไม่มาพบอโศกนะหรือ เสร็จซิ เสร็จเรียมไปแล้ว เรียมรับรอง ละเลงเละเลย ถ้ายังงี้ เรียมไม่ต้องมานั่ง ต้องมาตะหล่องต่องแต่ง วก ๆ วน ๆ ต้องมาลังเล ต้องมาเอาดี ไม่เอาดีเอาท่าเดียวเลยนะ เสร็จเรียบร้อยโรงเรียนกิเลส ก็ต้องอย่างงี้ นะ จะยังไงละ ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ

จะเอายังไงล่ะ ถามกันก่อน ถามคุณก่อน จะเอายังไง รู้แล้วไม่ใช่ไม่รู้ จะเอายังไง ถ้าจะเอาทางนิพพาน ตัด อย่ามาทำลังเล อย่ามาเห็นว่าเป็นสุข มันไม่สุข มันทุกข์ ก็รู้แล้วว่าทุกข์นี่ เห็นไหม แต่ถ้าคุณเอง คุณไม่พบอโศก คุณก็บอกว่า สุข แล้วคุณก็จะไปประทับใจ ไปกรึ่ม นั่นโลกียสุข นั่นแหละคือตัวทุกข์ อธิบายไปแล้ว ตัวที่เสพโลกียสุข นั่นคือ ตัวปู่ตัวทวดของทุกข์ ปู่ทวดของทุกข์เลย มันต้นเค้า และ รากเหง้า ของทุกข์เลยแหละ แล้วเรียกมันว่า สุข ที่แท้จริงเป็นตัวบำเรอ เป็นตัวปรุงแต่ง เป็นตัวสังขาร เป็นตัวผลหลอก เป็นสุขัลลิกะ สุขตัวนี้คือ อลิกะ อลิกะ แปลว่าความหลอกลวง สุขัลลิกะ ในเรื่องนี้ โดยตรงนี่เป็นเรื่องของกาม จึงเรียกเต็ม ๆ ว่า กามสุขัลลิกะ นี่แหละ ที่ศาสนา พระพุทธเจ้าสอน ให้เลิกกามสุขัลลิกะ กามสุข กามสุขัลลิกะ หรือบางทีเขาเรียกสั้น ๆ ว่ากามสุข นี่ล่ะ หรือเรียกแยกว่า สุขัลลิกะ สุข กับ อลิกะ

อลิกะ แปลว่าความหลอกลวง ไม่ใช่ของจริง เป็นสุขหลอก เป็นสวรรค์ลวง สวรรค์หลอก และก็อาศัย สวรรค์หลอก เป็นสมมุติเทพ เป็นเทวดาเก๊ ขึ้นสวรรค์หอห้อ เสร็จแล้วตกสวรรค์ใหม่ ตกสวรรค์แล้ว อยากใหม่ เสพใหม่ ขึ้นสวรรค์ หอห้อใหม่ ตกใหม่ นี่เรียกว่า วัฏสงสาร ลงนรก ขึ้นสวรรค์ ลงนรก ขึ้นสวรรค์ มันมีนรก มันมีสวรรค์อยู่อย่างนี้ พออยากใหม่ก็ทุกข์ ไม่ได้สมใจนี่จะชัดเลยว่าทุกข์ บางคน ได้ช้า ยังทุกข์จะตายอยู่แล้ว ต้องรีบเร่งรีบเร็ว ใช่ไหม แล้วไม่ถึงขีดถึงเขตก็ทุกข์ด้วยนะ ไม่ถึงอุปาทาน ที่บอกว่า แหม! มื้อนี้ไม่อร่อยเท่ามื้อนั้น แน่ะ มันทุกข์อยู่อย่างนี้นะ มันไม่สวรรค์หอห้อตามนี้ มันเป็น อย่างงี้ คือ วัฏฏะ เพราะฉะนั้น คุณฆ่าเหตุที่คุณไปโง่ หลงว่ามันเป็นของอร่อย เป็นของจริง ไม่จริง ล้างได้ เลิกสภาพที่ต้องเป็นรสอร่อยอย่างนี้ เป็นความสุขอย่างนี้ เลิกได้ ล้างได้ ยืนยันได้

ถ้าไม่เช่นนั้น พระพุทธเจ้าหลอกเรา ใช่ไหม ท่านไม่หลอกหรอก เป็นวิมุติจริงเด็ดขาด เมื่อหมดเหตุกิ เลสนี้ กิเลสมันเป็นตัวเหตุ กิเลสตัณหาหมด พอหมดแล้ว มันก็ไม่อยาก มันก็ไม่ทุกข์ เมื่อไม่อยาก ก็ไม่ต้องบำเรอ มันก็ไม่สุข นี่คือ หมดทุกข์หมดสุข การลดสุขของโลกียะนี่ลงได้เรื่อย ๆ แล้วก็ลดเหตุ ของทุกข์นี่ลงได้เรื่อย ๆ นั่นแหละ คือสวรรค์แท้ นี่ทางสวรรค์แท้เกิดยังงี้ เราเรียกว่า อุบัติเทพ ไม่ใช่สมมุติเทพ

สมมุติเทพนั่นมันรู้ ๆ กันทั่วไป สมมุติ แปลว่า รู้ร่วมกันมากมาย ใคร ๆ ก็รู้ มันเป็นโลกียะธรรมดา แต่อุบัติเทพนี่ มันเป็นการเกิดนะ เกิดอย่างที่เรียกว่า ทำให้มันเกิดจริง ๆ เกิดเป็นเทวดาที่แท้ เทวดาที่ ละโลกียะไปเรื่อย ๆ เป็นเทวดาของพระพุทธเจ้า จนล้างกิเลสหมด เรียกว่า วิสุทธิเทพ เป็นเทวดาที่ บริสุทธิ์จากกิเลสแล้ว พอบริสุทธิ์จากกิเลส ไม่มีเหตุแห่งทุกข์ ไม่มีตัวกิเลสตัณหาที่จะอยากอีก ก็ไม่ต้อง บำเรออีก ก็หมดสุขหมดทุกข์ นั่นแหละ เรียกว่า ว่าง ๆ กลาง ๆ เป็นวูปสโมสุข

เอาไม่เอา ไอ้ที่ถามมา เอาไม่เอา บอกว่าจะให้ทำยังไง ตอบ ถามคุณย้อนไปก่อน ถ้าจะเอาทางนี้ เด็ดให้ขาด มันไม่ขาดก็ต้องเด็ด ถ้าจะเอาทางนี้ ไม่มีทางเลี่ยง มีแต่ทางจะเลือก เลือกทางไหน ไม่มีทางเลี่ยง ถ้าเลือกทางนี้ เด็ดให้ขาด ไม่ขาดก็เด็ดมันเรื่อยไป เด็ดแรง ๆ เด็ด แล้วมาปฏิบัติอย่างงี้ ไปเรื่อย ๆ ไม่ใช่มานั่งลังเล แหม! มันก็เสียดาย มันประทับใจ มันทับหัวใจคุณน่ะ มันทับแล้วมัน ระบมนะ เอาให้จริงเถอะ ต้องพูดกันตรง ๆ ชัด ๆ ยังงี้ ถ้าตัดตัวนี้ได้จริง ๆ เลยนะ รับรองมาได้ดีขึ้น ก็ลัง ๆเล ๆ กระต่องกระแต่ง ระวังนะ ๕ ประการ ทุกข์ ช้ำระบมกลัดหนอง ไม่มีพลัง ช้า เนิ่นนาน ไม่สำเร็จเร็ว ไม่เด็ด ไม่ขาด พอเอาตัวนี้เป็นเด็ดขาดก่อน เด็ดจริง ๆ ขาดก่อน เด็ดขาด แล้วมัน จะลดทุกข์ แล้วก็จะดีขึ้น มันจะไม่ช้ำระบมกลัดหนอง มันจะคลาย หาย ความระบม ความเป็นฝี กลัดหนอง จะหายไปเรื่อย ๆ มันจะเร็วขึ้น ๆ มันจะไม่ช้า แล้วมันจะมีกำลังขึ้นไปเรื่อย ๆ นี่ยิ่งไป ยิ่งป้อแป้ ๆ ลงทุกทีแล้ว สักวันนึงก็ตาย หมดท่า โลกีย์หามเอาไปกิน อิตถีภาวะ อ่อนแอ มันไม่ใคร่ จะเจริญ ใช่ อิตถีด้วย มันไม่มีความเด็ดขาด ไม่มีความแข็งแรงนะ

ถาม พ่อท่านครับ ทำไมพ่อท่านจึงบวชมาได้นานจัง ผมอยากจะถามพ่อท่านว่า พ่อท่านมีวิธีแก้ไข กับกิเลสกาม อย่างไรครับ ผมบวชมาได้ ๓ พรรษากว่า ๆ จะเป็นจะตายอยู่แล้ว ใครล่ะนี่ องค์ไหนนี่ หา (ผู้ฟังหัวเราะ) ดี สารภาพ มาบ้างก็ดี ถือว่าปลงอาบัติ ขอให้พ่อท่านบอกวิธีด้วยครับ พ่อท่านครับ ทำไมผู้หญิงกับพระ จึงมักจะเป็นศัตรูกันครับ ก็ดีนะซิ ถ้าคุณรู้สึกอย่างงั้น ที่ถามนี่มันไม่ใช่นี่ ทำไม ผู้หญิงกับพระ จึงมักจะเป็นศัตรูกันครับ แต่ที่จริง อาตมาเข้าใจความหมายที่พูดนี่ กิเลสผู้ชาย กับผู้หญิง ใครมีมากกว่ากันครับ

ตอบ ของคุณน่ะซิจะมากกว่าเขา ไม่น่าถาม ว่าพ่อท่านทำไมถึงบวชได้นานจัง ก็ตัดกิเลสซะ มันก็บวชได้นานซินะ

วิธีแก้กิเลสกาม อธิบายไปแล้วนะ อาตมาก็อธิบายอยู่เสมอ ๆ นี่เมื่อกี้นี้ก็เหมือนกันน่ะแหละ ยังมีประทับใจ รอน ๆ ไร ๆ อยู่ ทั้งนั้นแหละ ที่พูดอยู่นี่ ฟังไป ไม่ได้ตอบตรง ก็ได้ตอบของคนนั้นคนนี้ มันเรื่องนี้ บอกแล้วว่าเป็นเรื่องเยอะ เป็นเรื่องที่ มันมีมาแต่ ดึกดำบรรพ์ ก็พูดแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องเอาจริงกับมัน อาตมาถึงบอกว่า ตัดวิจิกิจฉาให้ได้จริง ๆ อย่าลังเลสงสัยเลยว่า คุณจะเอาทางไหน

แม้แต่จะปฏิบัติธรรมนี่ อาตมาก็เคยบอกแล้ว บอกว่า ถ้าคุณอยากจะพิสูจน์จริง ๆ มันยังไม่ถึงจริง ๆ มันยังไม่ได้จริง ๆ ขอสักชาติได้ไหม ลองสักชาติเถอะนะ เอาให้จริงเลย อุตสาหะจริง ๆ เลยนะ เด็ด ๆ ขาด ๆ พยายามจริง ๆ พากเพียรศึกษา เอาใจใส่ ทั้งบัญญัติ ทั้งปริยัติ ทั้งปฏิบัติ เอาให้จริงสักชาติหนึ่ง ถ้ามันไปไม่ไหวจริง ๆ มันไม่ได้จริง ๆ เอาเถอะน่า ชาติหน้าคุณจะเป็นยังไง ไปยังไง คุณก็ว่ากันไปเถอะ ไปเลย มันไม่ได้แล้วก็ไปกันเถอะ ไปยังไงก็ไป ชาตินี้ยังไง ๆ ก็ลองให้สักชีวิตนึงได้ไหม แหม! ขอเยอะ เหมือนกันนะ ขอชีวิตทั้งชีวิตนี่ ขอเยอะเหมือนกันนะ ที่จริง ขอให้คุณนั่นแหละ ให้คุณลองดูเถอะน่า

อาตมาว่า พระพุทธเจ้าท่านพามานี่ ท่านพามาประเสริฐนะ ไม่ใช่พามาตกต่ำอะไร ไม่เช่นนั้น เราจะยกย่อง เทิดทูน เชิดชูเหรอ และเราก็เห็นความจริง แม้แต่ปราชญ์ เขาก็ไม่เถียง ไม่ค้านแย้ง พระพุทธเจ้า ท่านพามาประเสริฐจริง ๆ เอาหน่อยน่ะ เอาจริง ๆ ต้องอุตสาหะ

วิธีการ เดี๋ยวก็คงจะต้องได้อธิบายอีกอยู่ดอก มันมีอยู่นี่ ถามเรื่องนี้กันเยอะ และจะถามกันไม่มีจบหรอก ถามกันอยู่เรื่อย งานนี้ไม่มีคำถามนี้ก็ มันมีอยู่ ถึงแม้ว่างานนี้อธิบายไปบ้างแล้ว ไม่ต้องห่วง งานหน้า มีอีก คำถามเรื่องนี้ ไม่ต้องกลัว แล้วไม่ใช่เรื่อง ผิดปกติ เป็นเรื่องปกติ เป็นเรื่องธรรมดา ไม่ต้องเบื่อ ใครเบื่อไม่ได้ เบื่อสิ่งที่มันต้องเป็นยังงี้ จะไปเบื่อได้ยังไง ก็เป็นคนโง่เท่านั้นเอง เราต้องรู้ความจริงว่า สิ่งนี้จะต้องมีเจืออยู่ในอันนี้เสมอไป เพราะคนจะต้อง มีเวียนไปเวียนมา ยิ่งมีคนฐานะแต่ละระดับ บางคนมาใหม่ ๆ ไม่รู้เรื่องอิโหน่อิเหน่เสียด้วยซ้ำ ก็มี เขาก็ต้องถามไปเรื่อย ๆ ทำไมที่นี่สอนอย่างงี้ แม้แต่บอกว่า เอ๊! สอนไม่ให้แต่งงานยังงี้นี่นะ ฟังแล้วก็เหมือนไม่ให้แต่งงาน แต่มีอนุโลมนะ คุณจะแต่ง ก็คุณฐานะของคุณเท่านั้น ๆ ผัวเดียวเมียเดียว ศีล ๕ แต่เราไม่เน้นจุดนั้น เราก็ไม่พูดบ่อย เพราะฉะนั้น เรามาพูดบ่อย ตรงไม่ให้แต่งงาน เน้นขึ้นมาสูงหน่อย ศีล ๘ ใช่ไหม เราก็ว่าไม่แต่งงาน ผู้มาใหม่ ๆ ก็มานั่งฟัง เอ๊! สอนวิธีนี้ ไม่ให้แต่งงานกัน ถ้าคนมาไม่แต่งงานกันหมด นี่ไม่ต้องเอาอะไร สมมุติพวกอโศกนี่ ไม่แต่งงานกันหมดเลยนี่ มันมิสูญพันธุ์อโศกเหรอ แน่ะ สวยเสียด้วยนะ บอกไม่ต้องห่วงหรอก อโศกนี่ ไม่ต้องเกิดด้วยการสมสู่ก็ได้ เกิดด้วยการ..

วิธีเกิดมันมี ๑.จากเมล็ด ๒.จากหน่อ อะไร ๆ ก็เกิด ๒ อย่างทั้งนั้นน่ะ อาตมาเคยวิเคราะห์อันนี้ แม้แต่ลักษณะ ของดวงดาวก็เกิดได้ ๒ ลักษณะ เกิด ๒ อย่าง เพราะฉะนั้น คนนี่ก็เกิด ๒ อย่าง เหมือนกัน อันนึงเกิดจากเมล็ด อีกอันนึง เกิดจากหน่อ เกิดจากเมล็ด ก็คือเกิดจากการสมสู่ ทีนี้พวก ชาวอโศกนี่ ไม่เกิดจากการสมสู่ ไม่ใช่เกิดจากเมล็ด ก็เกิดจากหน่อก็ได้ คือไหลไป หรือว่ามีโยงมา หน่อมาจากข้างไหนก็ได้ นี่หน่อมาก็มา ไปดึงเอามา เอาอาหารมา ก็ต่อหน่อไปนี่ จ่ายอาหารธรรมะนี่ไป ก็มานี่ มาจากลูกพ่อไหนแม่ไหน มาเป็นลูกแท้ ๆ เลย มาเป็นเผ่าพันธุ์พุทธ ด้วยกันเลย

นี่มาจากมาเลเซีย มาจากปีนัง นี่มาเป็นลูกอโศก มาเป็นลูกอย่างงี้ นี่ก็เป็นการเกิดที่แท้จริง คุณต้อง ฟังธรรมะให้ออก ฟังเข้าใจไหม ออกไหม โอ! เชื่อ ยอมรับเสียด้วย ตีทะเบียนแล้วยัง ตีทะเบียนเป็น ลูกอโศกหรือยัง จดทะเบียนหรือยัง register เป็นลูกอโศกหรือยัง ต้องใช้ภาษาอังกฤษนิดหน่อย อาตมาไม่รู้ภาษาแมนดาริน ลงทะเบียน อย่างนี้เป็นต้น แต่ลงทะเบียนก็ไม่ต้องลงทะเบียนจริง ๆ แบบต้องเขียนหรอก ต้องสมัคร ไม่ต้อง มันเป็นเนื้อแท้ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกลัว ว่าชาวอโศกจะฝ่อ ไม่แต่งงาน ไม่สมสู่นี่ ไม่ต้องเกิดแบบนี้ก็ได้ แต่มันก็ยังมีเกิดอยู่นั่นแหละ มันยังมีศีล ๕ อยู่บ้าง แต่ตอนนี้ ยังไม่ได้อนุโลมลงไป เคร่งอยู่ทางศีล ๘ พูดทางศีล ๘ มาก ศีล ๕ เราก็ไม่ได้ไปตัดทิ้งนะ แต่ตอนนี้ เราเน้นอันนี้ ตามกาละนี้ เดี๋ยวขอวางรากฐานพวกศีล ๘ ไว้เป็นตัวอย่าง เป็นอะไรนำเสียก่อน เพราะฉะนั้น รุ่นนี้ ศีล ๕ ก็ ดีไม่ดี ก็ถูกดีดออกไปก่อน ศีล ๕ นี่มันดื่น เพราะว่าเรายังไม่ได้เน้น เราเน้น ศีล ๘ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราไม่มีฐานศีล ๕ มี ต่อไปมันเป็นเอง ไม่ต้องห่วงนา โฮย! ขี้คร้านจะเละ แหม! จริง ๆ นะ อาตมาไม่อยากพูดเลย ขี้คร้านมันจะเละ ไม่ต้องกลัวหรอกนา ไอ้อย่างงั้น มันยัง ไม่ถึงกาลเวลาน่า ค่อย ๆ ดำเนินไป เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ก็ให้รู้กาละ ให้รู้ว่า อะไรก่อนอะไรหลัง

ฉะนั้นเรื่องผู้หญิงกับพระนี่ ยิ่งระวังซิ คุณเองคุณไม่ไหวจริง ๆ สึกออกไปเป็นฆราวาส ฝึกปฏิบัติยังงี้ อย่าให้มานี่ อาตมาพูดแล้วนะ คราวนี้เทศน์อย่างสำคัญ เพราะฉะนั้น ขอให้พวกเราสังวรระวังจริง ๆ ในเรื่องนี้ เรื่องผู้หญิงผู้ชาย เรื่องอะไรต่ออะไรนี่ ให้มันงาม ให้มันผ่อง ให้มันอยู่ในขอบกรอบของวินัย ของธรรม ของวินัย ของกฎเกณฑ์ให้ดี ๆ มันพากันเจริญได้จริง ๆ เอ้า! ดู ลองดู ถ้ามันไม่หวาดไม่ไหว ก็เป็นไปตามจริง เราอยู่ไม่ได้ เรายังงี้ เราโดยฐานะนักบวช ตามกิเลสนี้ไม่ได้ บอกแล้วว่าขอบเขตมัน จะอนุโลม หรือจะลองแค่ไหน เขตสังฆาทิเสสนี่ไม่ใช่เรื่องเล่น ยังมีใจ ฟังดี ๆ ตรงนี้ ไปพิจารณา ยังมีใจ มีกาม มีราคะ มีกาม มีอารมณ์กาม ตรวจอ่านจิตใจ เสร็จแล้วมันละเมิดรุนแรงถึงขนาด ถ้าเป็นนักบวช แล้วไปแตะต้องกายหญิง หรือหญิงแตะต้องกายชาย ถ้ายิ่งเป็นนักบวชหญิง ไม่ดีนะ ที่จริงอันนี้ ยังไม่ใช่ภิกษุณี แค่สิกขมาตุ จะไปเอากฎถึงขนาดนั้นก็คงไม่ได้ ก็เพราะว่าไม่ใช่ภิกษุณี ถ้าภิกษุณีแล้ว โอ้โฮ! ปาราชิก แหม! รุนแรงนะ พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้านี่ หลายอย่าง เราเองเราไปวิจารณ์ไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่เรา จะต้องเข้าใจ และจะต้องทำตามไปก่อนนะ เพราะฉะนั้น ถ้ามันเกินขอบเขตนี้แล้ว อย่าทำ หญิงชายถ้าเผื่อว่าจะทำ จะพยายามสังวร ระวังกัน มันก็ดี

มีผู้มาบอกอาตมาเหมือนกัน พวกเรานี่ทำงานทำการร่วมกันไปแล้วก็ มันก็แล้วชักสนิทสนมกัน ยังโง้น ยังงี้ ผู้หญิงผู้ชาย หนุ่ม ๆ สาว ๆ ก็สังวรกันบ้างก็ดีนะ มันจะได้ไม่เลยเถิด หรือว่าไม่ละเมิด เพราะเรา เป็นนักปฏิบัติธรรม เราเน้นอันนี้ ก็เน้นกันจริง ๆ แล้วจะเห็นประโยชน์ แล้วอย่าไปตีกิน หรืออย่าไป อะไรต่ออะไรมาก ดูใจตัวเองจริง ๆ ด้วย มันเป็นประโยชน์ตน และท่านกันจริง ๆ ไม่ใช่ฉวยโอกาส ไม่ใช่หาเรื่องแต๊ะอั๋ง อย่างชาวโลกเขา ไม่เอานะ (เสียงพูดแทรก:สุรา นารี...) ใช่ สุรา นารี เป็นข้าศึก แห่งพรหมจรรย์

ถาม ๑.พระปัจเจกพุทธเจ้า มีเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าหรือไม่ และจะมีเกิดในระหว่างที่ ศาสนาพุทธ ยังทรงอยู่ได้หรือไม่คะ มาแล้วอจินไตย

๒.พระปัจเจกพุทธเจ้า อาจสอนให้เกิดพระอริยะ ๔ เหล่าได้บ้างหรือไม่

๓.เพื่อนเคยคุยให้ดิฉันฟังว่า พระมหากัสสปะ เป็นพระอรหันต์ มาก่อนจะมาบวช ในสำนักของ พระพุทธเจ้า (ทำนองบรรลุเอง เป็นแบบปัจเจก) ดิฉันไม่เชื่อ แต่ขอคำยืนยัน หรืออธิบาย จากพ่อท่าน จะเป็นไปได้หรือไม่

ตอบ เอ้า! เกี่ยวกับเรื่องปัจเจกเสียส่วนใหญ่ เน้นปัจเจก ก็ขออธิบายคำว่าปัจเจกให้ฟังแหละน่ะ เป็นความรู้

ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าจะเรียกเต็ม เรียกว่า ปัจเจกก็ได้ ปัจเจกนี่ แปลว่าส่วนตน เฉพาะตน ของตน ปัจเจกนี่ของตน ทีนี้คำว่า พุทธเจ้า เป็นผู้รู้ เพราะฉะนั้น มันมีแบ่งออกเป็น ปัจเจกที่เป็น ของตนเอง ไม่ได้ไป..... พระเทวทัตจะไปเป็น เป็นต้น เป็นปัจเจกของตนเองไป แล้วปัจเจกชนิดอย่างนี้ สอนคนไม่ได้ ไม่เป็นศาสนา ตั้งลัทธิ ตั้งกลุ่มศาสนาไม่ได้ บรรลุส่วนตนเท่านั้น ได้แต่ตนเท่านั้น มันจะได้ด้วยอย่างไรก็ตามแต่ ตาบอดขี่ถึกปอง ได้ไปบังเอิญ ก็ตามใจ ตาบอดขี่ถึกปองนี่ หมายความว่า คนตาบอดแล้วมันก็ไม่เห็น ใช่ไหม มันมีร่องอยู่เล็ก ๆ มันไปบังเอิญ ยังไงไม่รู้แหละนะ มันก็ไปพอดีเลย บังเอิญขี้มันไม่เลอะร่อง มันถูกร่องพอดีลงไปเหมาะเลยนะ มันเป็นความบังเอิญ ซึ่งที่จริง มันยากนะ ไอ้ตาบอดไม่ค่อยเห็น ไม่ค่อยอะไรนี่ ขี้ไป ร่องเล็ก ๆ ด้วย นี่มันเลอะร่องนะ นี่ไม่เลอะร่อง ขี้ออกไปในร่อง แหม! ลอดปร๊าดพอดีเลย ไม่เลอะไม่อะไร มันยากนะ มันยากที่จะ เป็นไปได้ แต่มันก็ฟลุก ๆ ไปได้ ก็เอาเถอะ ถือว่าเรื่องกรณีพิเศษ แหม! มันไปยังไงมายังไง พล้อก มันลงพอดี ๆ เหลือเกินนี่ ก็แล้วไป แล้วมันไม่รู้ รายละเอียด มันไม่มีอะไรลึกซึ้ง มันไม่รู้อะไรที่ชัดเจน มันไม่รู้รอบถ้วน มันสอนคนไม่ได้หรอก จะเป็นยังไงก็แล้วแต่ เขาจะพากเพียรยังไง มันไม่ละเอียดลออ ตั้งศาสนาไม่ได้ สอนคนไม่ได้ เพราะฉะนั้น เราจะได้ยินคำพูดว่า ปัจเจกก็คือ ผู้ที่บรรลุได้เอง แล้วก็ สอนคนไม่ได้ นี่เราได้ยินมาแล้ว ได้ยินมาเก่า ๆ แก่ ๆ ใครเคยได้ยินมั่ง ปัจเจกนี่ บรรลุปัจเจก สอนคน ไม่ได้หรอก เราเคยได้ยินมา โบร่ำโบราณ นี่คือปัจเจกชนิดหนึ่งพุทธะนี่ อย่าไปแปลว่า พุทธเจ้า ศาสนาพุทธนะ พุทธะ ของภาษาบาลีเขา แปลว่า ผู้รู้ ผู้มีความรู้ ความรู้แล้วก็บรรลุ

อันนั้นแหละ บรรลุเอง บรรลุโดยที่เรียกว่า เขาจะบรรลุชนิดไหนก็แล้วแต่ มันไม่ได้อยู่ในสารบบ ของพุทธ แล้วพุทธไม่ต้อง ไปวุ่นวายกับเรื่องนี้นะ มันเป็นของสัตวโลก ซึ่งมันเป็นได้ เป็นกรณีพิเศษ แล้วมันก็ไม่เกิดอะไร แล้วมันยากด้วยนะ โอ้โฮ! ตาบอดขี่ถึกปองนี่ ไม่ใช่ธรรมดา ยากนะ โอ๊! มันเป็นเรื่อง กรณีฟลุก ๆ น่ะ แล้วมันก็ไม่เป็นระบบ มันก็ไม่รู้รอบ มันก็ไม่เข้าใจ จึงสอนคนไม่ได้ ตั้งลัทธิไม่ได้ (เสียงพูดแทรก) เขาได้ของเขาเอง ปัจเจกนี่หมายความว่า ต้องพยายาม เข้าใจเนื้อหา ของเขาเอง ส่วนตัวของเขาเอง เป็นของเขา ก็พากเพียรไป อีกกี่ล้านปี ๆ ๆ เขาก็ทำของเขา มันเรื่อง ของเขา เขาพากเพียรอยู่นั่น อุตสาหะ ซึ่งมันเป็นทางเหมือนกัน แต่มัน โอ้โฮ! มันยากเย็นแสนเข็ญ อาจจะเร็วก็ได้ เพราะฟลุก นี่ไม่แน่หรอก มันไม่มีระบบนี่ จะว่าลัด จะว่าช้าอะไร มันบอกไม่ได้เลย เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง มันเป็นเรื่องที่ไม่เป็นระบบ ไม่เป็นระเบียบ ไม่เป็นอะไรเลย บอกไม่ได้ ตอบไม่ได้เลย เป็นเรื่องพิเศษ จริง ๆ แต่เขาได้ของเขาคนเดียว ของเขาเอง ปัจเจกของเขา นี่คือปัจเจก ที่เรารู้กัน เป็นส่วนมาก แต่โบราณกาล อาจารย์ต่าง ๆ รุ่นดึกดำบรรพ์สอนมาก็อันนี้ รู้อันนี้ แล้วเอามาพูด อันนี้แหละ มันสับสน

ปัจเจกที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวถึงนี่ บางครั้งท่านก็กล่าวถึงปัจเจกแบบนี้ อย่างที่พระเทวทัตเป็นต้น จะได้เป็นในอนาคต เพราะพระเทวทัตมีจิตดิ่ง ขนาดเจอพระพุทธเจ้าสอนนี่ยังดื้อด้าน จิตดิ่ง เพราะฉะนั้น พระเทวทัตจะเอาจริง มีมานะ จะต้องเอาให้ได้ แล้วเขาก็จะไปของเขา พระเทวทัตนี่นะ แต่เราเข้าใจผิดอยู่ว่า พระเทวทัตจะได้เป็น ปัจเจกพุทธะ ในอนาคต องค์ใดองค์หนึ่ง แล้วมาเข้าใจว่า จะเป็นอย่างที่อยู่ในพุทธ ไม่หรอก บาปของพระเทวทัต ไม่มีสิทธิ์ที่จะได้เข้าพุทธ ฟังดี ๆ เป็นความ ลึกซึ้ง จะพูดอจินไตย ก็พูดให้ฟัง จะพูดรายละเอียด ที่มันยากที่จะอธิบาย มีเวลาบ้างก็พูดนะ อันนี้ ตั้งใจ จะอธิบายให้ฟัง ปัจเจกนะ

ทีนี้ ๒ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ต้องเข้าใจให้ชัดว่า มันแบ่งเป็นปัจเจกที่ต่างกัน ๒ อันนี่ ๒ ใหญ่ แกนใหญ่ เพราะฉะนั้น ปัจเจกอันนั้น เข้าใจเสียแล้ว แล้วเข้าใจเป็นปัจเจกอันนั้นมาใช้ปนเปอยู่ในพุทธ เสีย ไม่ถูก เพราะฉะนั้น เราพูดถึง ปัจเจกของพุทธ ถ้าจะเรียกเต็ม จะต้องเรียก ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ จะเรียกเจ้า ก็ได้ ถ้าเจ้านี่ก็ต้องมีความหมายว่า เป็นเจ้าอย่างหนึ่ง ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ก็คือ ลูกศิษย์ พระพุทธเจ้า โดยตรง และเป็นขั้นเป็นตอน ที่ท่านตรัสไว้ในสูตร เยอะแยะเลยว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านี่ ต้องเคารพ คารวะ ต้องอะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานาอีกหลาย ๆ อย่างนี่ ซึ่งจะเป็นผู้บำเพ็ญ ขึ้นไปเป็น พระพุทธเจ้า เป็นลำดับรองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ นี่รอง ทีนี้ในระยะ ที่เป็น ปัจเจก นี่แหละนะ มียาว มีมาก มีเยอะ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนะ เข้าใจแล้วนะว่า ปัจเจก ที่ไม่ใช่นอกเรื่อง นอกราวนอกรีตพุทธนั้น อีกอันหนึ่ง แล้วเข้าใจเอามาปนเปกับพุทธด้วย

แต่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะนี้ก็คือ ผู้ที่ได้มีภูมิธรรมเอง บรรลุอรหัตผล บรรลุแล้ว เสร็จแล้วก็ยังวนเวียน เป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ปัจเจกพุทธเจ้านี่ก็อยู่ในสภาพของโพธิสัตว์ นั่นแหละ แต่ใหม่ ๆ มันก็ยังไม่หรอก มันต้องอาศัยเชื้อ ของพระพุทธเจ้า อาศัยตำรา อาศัยความรู้ อาศัยสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่ มันก็ยังไม่เป็น ของตัวเอง ๑๐๐%

อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ เป็นสยัมภูนี่ มันไม่มีแล้วเนื้อเชื้อของพุทธะ ไม่มีเลย มีแต่ เห็นมั้ยล่ะ อย่างลัทธิฤาษี ลัทธิอะไรต่ออะไร มากมายก่ายกอง พระพุทธเจ้าโผล่ขึ้นมานี่ ค้านแย้งกันเลย เป็นคนละเรื่อง คนละราวไปเลย แล้วไม่มีเนื้อเชื้อที่จะเหลือ ถ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถึง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรอก ในยุคใดยุคหนึ่ง ก็จะหมดเชื้อศาสนาพุทธแล้ว เมื่อในยุคในเชื้อที่ไม่มี ศาสนาพุทธ ท่านเรียกว่า พุทธันดร ตอนนั้นไม่มีพุทธนะ ช่วงนั้น ไม่มีพุทธศาสนาแล้ว

ภัทรกัปนั่น ยุคที่มีพุทธอย่างดี ภัทระ แปลว่าดี พุทธันดร นั่นแหละ ว่างจากพุทธนะ ตอนพุทธันดรนี่ ไม่มีพุทธศาสนา แล้วนะ ไม่มีพุทธศาสนา ไม่มีหรอก แล้วก็ไม่รู้จักพระพุทธศาสนา ไม่มีเรื่อง พุทธศาสนา เพราะฉะนั้น ในช่วงนี้นี่ คนเกิดมา หรือผลัด พระปัจเจกพุทธเจ้า พระปัจเจกสัมมา สัมพุทธเจ้า เกิดมาในช่วงนี้ ๆ แต่ยังไม่ต้องมาสร้างศาสนาพุทธ จะต้องมาเรียนรู้ จะต้องมาช่วย โลกบ้าง เท่าที่เป็นไปได้ มันมีคนตั้งเท่าไหร่ ๆ ล้านนี่ มันก็มีเศษ มีตก มีหล่น มีเชื้อ มีญาติทางพุทธ อยู่บ้าง ก็มาช่วยเหลือไปบ้าง หรือมาเรียนโลกวิทูให้สมบูรณ์ สอนไม่ได้หรอก ตั้งศาสนา ก็ยังไม่ได้ ยังไม่ใช่กัปใช้กัลป์ พระปัจเจกหลายระดับมาเกิด มาเกิดแล้วก็ศึกษา อย่างพระปัจเจก ที่ยังน้อยกว่านี้ ต่ำกว่านี้ ก็จะศึกษาไป

อย่างอาตมานี่ยังไม่ใช่ปัจเจกนะ ปัจเจกอย่างที่จะไปเกิดในยุคที่จะต้องมาศึกษาโลกวิทู ชนิดที่จะไม่มี เชื้อของ ศาสนาพุทธแล้ว แล้วก็มีเอง รู้เอง มีมรรคองค์ ๘ มีอะไร ๆ ของตัวเอง แล้วพูดกะคน ไม่รู้เรื่องหรอก ยุคนั้นคนพูดไม่รู้เรื่อง นี่ก็มีนัยว่า สอนคนไม่รู้เรื่องเหมือนกัน ว่าพระปัจเจกนี่ ท่านไม่สอนคนหรอก ไม่ใช่ว่าพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ ไม่สอนคน เพราะท่านไม่มีภูมิ ไม่ใช่ เห็นมั้ย ต่างกับพุทธ ปัจเจกแบบนอกรีต ปัจเจกนอกรีตนั่นนะ ไม่มีภูมิสอน แต่พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ในระดับอย่างนี้แล้วนี่ มีภูมิมากด้วย แต่คนไม่มีภูมิ คนภูมิต่ำเกินกว่าจะสอน นั่นหนึ่ง

สอง ศาสนาพุทธยังไม่ต้องเกิด คนมีภูมิพุทธมากแล้วด้วย เป็นอยู่สุขแล้วด้วย ยังไม่จำเป็น ที่จะตั้ง ศาสนา ศาสนาพระพุทธเจ้า ก็ยังอยู่ในเนื้อ มันคือเหมือนไม่มีศาสนา อันนี้ยาก อันนี้เข้าใจยาก คือ เหมือนไม่มีศาสนา แล้วคนก็เป็นสุข แล้วก็ไม่ใช่พุทธ แต่ที่จริงก็คือเนื้อพุทธ แต่พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่ยิ่งใหญ่ จะต้องมารู้หมดทุกระยะ ทุกโอกาส จะต้องมาเป็น จะต้องมาเห็น จะต้องมาสัมผัสจริง ไม่ใช่มานั่งด้นเดา จะต้องเป็น ที่จริงมีมากกว่านี้นะ อาตมาคงขยายให้ฟังพอเนา เป็นระดับ ๆ ๑-๒-๓-๔-๕ ระดับเท่านั้น ที่จริงมันมีซอยละเอียดมากกว่านี้นะ

ทีนี้ พระปัจเจกที่สั่งสมความเป็นปัจเจก อาตมาขอบอก อย่าหาว่าอาตมาอวดอุตริมนุสธรรม อาตมา สั่งสม ความเป็นปัจเจกนะ ชาตินี้ที่อาตมาบอกว่า อาตมาไม่มีอาจารย์ เขาก็หมั่นไส้ว่า อาตมาก็เป็น สยัมภูซิ เป็นผู้ที่ตรัสรู้เองซิ มันมีส่วน ๆ แต่มันยังไม่ยิ่งใหญ่หรอก มันยังมีเชื้อ อาตมาต้องมาอาศัย ตำรา อาศัยภาษา อาศัยโน่นนี่ แต่ไม่มีใคร สอนอาตมา ถ้าเป็นอาจารย์อาตมาก็ต้องเป็นอาจารย์ผู้สอน อาตมาก็ต้องบรรลุตามคำสอน ตามความหมาย อาจารย์ ต้องบรรลุก่อนอาตมาด้วย ใช่ไหม อาจารย์ต้องบรรลุก่อนอาตมาด้วย แล้วอาจารย์สอนอาตมา ก็ต้องบรรลุตามอย่างนั้น พูดไม่ขัดแย้ง กันเลย อาจารย์กับลูกศิษย์ที่แท้จริงของกันและกัน มันจะไปขัดแย้งกันได้ยังไงนะ ลูกศิษย์ที่มันยัง ไม่เก่ง มันก็ขัดแย้งอาจารย์บ้างเป็นธรรมดา แต่อาจารย์กับลูกศิษย์ มันจะไม่ค้านแย้งกันเป็นอันขาด อาจารย์กับลูกศิษย์ที่แท้ จะไม่ค้านแย้งเป็นอันขาด เพราะฉะนั้น อาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมานี่ สั่งสมความเป็นปัจเจก

แต่ยังไม่ถือว่าเป็นปัจเจกพุทธะ สั่งสมความเป็นปัจเจก นี่พูดให้ฟังอย่างบริสุทธิ์ อย่างธรรมดา สั่งสม อาตมาไม่ต้อง มีอาจารย์ เพราะมีของตนเองอยู่แล้ว แล้วมีสิ่งนี้เอามาพิสูจน์ ท้าทาย อาตมา มาทำงาน อันนี้จริง ๆ เป็นโพธิสัตว์ มาทำงานอันนี้จริง ๆ แล้วสั่งสมบุญอยู่ สั่งสมบุญไป ๆ ไปเรื่อย ๆ กี่ยุคกี่กาล กี่กัป กี่กัลป์ ก็ตามใจเถิด ไม่ได้เป็น ยังไม่ได้ถึงขั้นนั้น เพราะฉะนั้น ปัจเจกนี่จะรู้เองอย่างนี้ อย่างนี้อาตมารู้เองได้เอง ไม่มีอาจารย์จริง แต่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์ แล้วไม่ได้หมายความว่า เป็นของตนเอง ต่างกับปัจเจกที่อาตมายกอธิบายให้ฟังแล้ว

ตอนนั้น ยุคพุทธันดรนี่ ไม่มี คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มี และไม่ต้องพูดด้วย ตำราตำรับ ทฤษฎีอะไร ปริยัติ ปฏิบัติ มันเป็นของมันโดยธรรม ถ้าในพุทธันดร ยุคที่บอกว่า คนดี ๆ หมดแล้ว เขาไม่ทุกข์ ไม่ร้อนอะไร ก็ไม่มีศาสนา ไม่ต้องสร้างศาสนา ไม่ต้องตั้งศาสนาหรอก ถ้าพุทธันดรอย่างนั้น มันก็เหมือน ไม่มีคำสอน แต่มันเป็นอยู่แล้ว มันก็ไม่ จำเป็นต้องเป็นคำสอน แต่ถ้าพุทธันดรที่มันเป็น กลียุค หรือว่าเป็นตัวเดือดร้อน มันสอนคนไม่ได้หรอก ไม่ใช่ท่าน ไม่มีภูมินะ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ องค์นั้นมีภูมิสูง แต่ว่าสอนคนไม่ได้ สอนไม่ได้ คนอยู่ในระดับ ที่มันกลียุค อยู่ในระดับ ที่มันรุนแรง โหดร้าย แต่ท่านก็จะต้องมาคลุกคลีกับเขา มาเรียนรู้ความเป็นจริงกับเขา มาศึกษาทุกกัป ทุกกัลป์ ในยุคสมัยที่จะต้องมีจริง พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า จะต้องมาอย่างนั้น แต่ท่านมีของท่าน ท่านไม่ทุกข์ กลียุค ขนาดไหน ท่านก็ไม่ทุกข์ เพราะท่านอยู่เหนือมันจริง ๆ ภูมิของท่านจะสูง อย่างนั้นน่ะ ปัจเจกอย่างงั้น สูงกว่าอาตมา สูงกว่า พระปัจเจกพุทธเจ้าสูงกว่าอาตมาเยอะ สูงกว่า อย่างนี้เป็นต้น

ถ้าอาตมาสั่งสมความเป็นภูมิที่แท้จริง ไปเรื่อย ๆ นะ ไปก็ไปเกิดพบพระพุทธเจ้าบ้าง เกิดไม่พบ พระพุทธเจ้าบ้างนะ ในยุคในกาล ยุคนี้ไม่พบหรอก พระพุทธเจ้าไม่มี เกิดพบยุคที่พระพุทธเจ้ามีมั่ง ไม่มีมั่ง ไปเรื่อย ๆ นะ มันก็จะไปยังงั้นน่ะ เรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น ปัจเจก อธิบายให้ฟัง เป็นปัจเจกพุทธะ ก็เป็นในระดับอย่างนี้ คร่าว ๆ เพราะฉะนั้น อย่าไปเข้าใจว่า พระปัจเจกพุทธเจ้านั่น อย่างที่มิจฉาทิฐิ อย่างเดียว อย่างปัจเจกนอกพุทธอย่างเดียว ปัจเจกในพุทธ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะในพุทธ ก็เป็นอย่างนี้ด้วย แล้วมีหลายระดับนะ

ถามว่า ปัจเจกพุทธเจ้ามีเกิดร่วมสมัยกับพระพุทธเจ้าหรือไม่

มี พระปัจเจกก็เกิดเองอีก โดยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า ในยุคสมัยที่เกิดในตอนนั้น ตอนนั้น ๆ แต่ละชาติ แต่ละปางก็มี
และจะมีเกิด ในระหว่างที่มีศาสนาพุทธยังทรงอยู่ ได้หรือไม่

มี แม้แต่ในยุคที่ไม่มีศาสนาพุทธแล้ว ก็มี พระปัจเจกพุทธเจ้า อาจจะสอนให้เกิดพระอริยะ ๔ เหล่าได้บ้างหรือไม่

แน่ ๆ แหง ๆ ซิ พระปัจเจกสัมมานี่ เราพูดในสัมมานะ ต้องเข้าใจนะว่า ต้องละไว้ในฐานที่เข้าใจแล้วว่า พระปัจเจกพุทธะ อย่างที่ไม่ใช่นั่นนะ ไม่ต้องเอามาพูดนะ ไอ้อย่างงั้นน่ะ จะเกิดหรือไม่เกิด จะอะไร ต่ออะไร ไม่ต้องเอามาพูดเลย จะเกิดร่วมสมัย หรือไม่ร่วมสมัย ไม่ต้องเอามาเกิด ก็เพราะว่า เขาไม่ได้ เป็นอันนี้ เขาไม่ได้อันนี้ เขาได้อันของเขาเอง เองนั่นอย่างไหนไม่รู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่เอาเข้ามาในระบบ ส่วนปัจเจกนี่ต้องอยู่ในระบบ

พระปัจเจกพุทธเจ้า อาจจะสอนให้เกิดพระอริยะ ๔ เหล่าได้บ้างหรือไม่

แน่นอน เป็นหน้าที่ด้วย ฝึกซ้อมด้วย เพราะต้องเป็นบรมครู เป็นบรมศาสดา ต่อไปในอนาคต ต้องฝึก วิชาครูนี้ไป ชาติแล้ว ชาติเล่า ๆๆๆ อาตมาแปลกที่สุด แต่มันก็เป็น ที่จริงมันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่อง ที่จะต้อง ลิงลมอมข้าวพอง ไปอย่างงั้น เช่นว่า อาตมาเกิดมาชาตินี้ อาตมาไม่สนใจศาสนาเลย ไม่รู้เรื่องศาสนาเลย และไม่คิดว่า จะมาศาสนา ไม่เอาถ่าน อย่างนี้เป็นต้น มันต้องมา ถ้าขืนอาตมา เป็นผู้ที่จะต้องพยายามในศาสนาอยู่นะ แสดงว่าอาตมาสั่งสม รู้ตัวแล้วมันไม่พิลึกหรอก อาตมานี่ มีลักษณะพิลึกอยู่หลายอย่าง เป็นลักษณะที่ไม่น่าเชื่อ เป็นลักษณะค้านแย้ง เป็นลักษณะที่ จะต้อง ทำให้คน ไม่มีเหตุ ไม่มีปัจจัย เอ๊! ทำไมมันมาลอย ๆ ได้ ที่จริงไม่ใช่ลอย ๆ มันมาของมัน สืบทอดมา พระพุทธเจ้าทุกองค์ ก็เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าทุก ๆ องค์ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ เป็นลูกศิษย์ ของพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆๆ มาทั้งนั้น ไม่มีอยู่ดี ๆ เกิดมาเป็นพระพุทธเจ้า โดยไม่มีที่ไปที่มา ไม่มี เหมือนกับเขาที่เขียน อยู่ในหนังสือสมาธิ เขาค้านแย้ง เขาบอก มหายานนี่เขาสอนเรื่องโพธิสัตว์ โพธิสัตว์เขาไม่พบ พระพุทธเจ้าหรอก เป็นเอง พระโพธิสัตว์นี่จะต้องเป็นเอง ไม่มาพบ พระพุทธเจ้า เอาไปเอามา ไม่พบพระพุทธเจ้า แล้วเอาอะไรมา

และแม้แต่ในที่สุด พระพุทธเจ้าจะต้องพยากรณ์ ผู้นี้จะไปเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต แล้วไม่พบ แล้วเอาอะไรไปพยากรณ์กัน ยังงี้เป็นต้น มันค้านแย้ง ความรู้สึกของเขา ความรู้ของเขา วนไปวนมา เละๆ เทะๆนะ เพราะฉะนั้น พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ต้องฝึกฝน ต้องสั่งสอน ต้องศึกษา ต้องค้นคว้าไปจริง ๆ

เพื่อนเคยคุยให้ดิฉันฟังว่า พระมหากัสสปะเป็นพระอรหันต์มาก่อนจะมาบวชในสำนักของพระพุทธเจ้า (ทำนองบรรลุเองแบบปัจเจก) ดิฉันไม่เชื่อ แต่ขอคำยืนยัน

พระมหากัสสปะนั้นจะเป็นพระปัจเจก จะเป็นผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์หรือไม่ ไม่ต้องไปวิจัยท่าน เพราะว่า เราเอง เราไม่ได้รู้ ในความรู้ในระดับโพธิสัตวภูมิอันนี้ ก็ไม่ต้องไปเข้าใจ จะเป็นก็ได้ อาตมาก็ไม่ได้ไป ละลาบละล้วงของท่าน ของท่านก็ของท่าน อาตมาก็ของอาตมา เพราะฉะนั้น ท่านจะเป็นหรือไม่เป็น ท่านจะตัดสินใจ จะต่อหรือไม่ต่อ จะอะไรต่ออะไร อันนี้มันเป็นของปัจเจกแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ท่านมหากัสสปะเป็นปัจเจก เอ้า! ปัจเจกก็เป็นของท่านสิ ของอาตมาก็เป็นของอาตมา ปัจเจกมันก็ ของใครของมัน ของใครก็ของใคร และยิ่งฐาน คนละฐาน ก็ไปกัน ทีนี้ก็สะสมกันไปเรื่อย ๆ ต่างคน ต่างสะสมกันไป เสร็จแล้ว ผู้ใดไปได้รอดไปได้ต่อ มันมีระยะทางไกล ที่จะไปสู่สภาพเป็น พระพุทธเจ้า มันมีระยะทางไกลมาก จนกระทั่งพูดกันโดยภาษาคน ระบบของโลกมันไม่พอ เรียน ๔ ปีเป็นบัณฑิต เป็นปริญญา โอ้โฮ! เป็นพระพุทธเจ้านี่มันไม่ใช่เรียน ๔ ปีนะ มันไม่ใช่ ๔๐๐ ปี ไม่ใช่แค่ ๔ ล้านปีนะ มันมากกว่า ๔ ล้านปีนะ คิดไม่ออกหรอกคุณ มันคิดไม่ออก เพราะฉะนั้น มันเป็นอจินไตย ที่มันไม่รู้ จะเอามาพูดอย่างไร ที่อาตมาพูดไปนี่ พยายามทำให้มันข้น ๆ แค่นๆ มาพูดให้คุณฟังเท่านั้นเอง ก็เลยพูดให้ฟัง มันก็เหมือนกับแค่น ๆ พูด มันอธิบายไม่ไหว มันมีสภาพที่สลับซับซ้อน และหลายอย่าง เป็นนามธรรม ก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง ก็ได้ขนาดนี้แหละนะ เพราะฉะนั้น มาถามถึงสภาพ พระมหากัสสปะ ถ้าอาตมาจะพยายามอธิบาย อธิบายได้บ้าง สมมุติว่า พบพระมหากัสสปะ ท่านบอกว่า ท่านเป็นปัจเจกมาก่อน เป็นอรหันต์มาแล้ว ก็ได้ ๆ แล้วท่านมาบำเพ็ญ โพธิสัตวภูมิ และก็มาทำหน้าที่อันหนึ่งให้เด่น มาทำลักษณะธุดงควัตร เป็นตัวอย่างอันดีงาม มันก็เข้าท่า เพื่อที่ จะเสริมสาน ศาสนาพระพุทธเจ้า เพราะทุกอย่างเนื่องกันอย่างนี้ทั้งนั้น ก็ได้ ไม่แปลกอะไร แต่มันอยู่ในรูป ไม่จำเป็นจะต้องพูด สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่พูด ไม่ต้องหรอก ก็บำเพ็ญไป ทำอะไรต่ออะไรไป สั่งสมไป แต่ละชาติ ๆ แต่ละปาง ไม่แปลกอะไร

แต่ถ้าพูดกันโดยเถรวาทแล้ว เขาก็บอกว่า มันไม่รู้เรื่อง มันค้านแย้งกับทฤษฎีก็ใช่ เหมือนกับแค่โลก ๆ ที่อาตมา ชอบยกตัวอย่าง มาตอบเรื่อย ๆ ว่า ก็พวกคุณอยู่ภูมิแค่เรียนคณิตศาสตร์ธรรมดาก็ ศูนย์ ไม่มีค่า ตกลง ไม่ผิดเลย เรียนไปเถอะ แต่ในระดับที่จะเรียนคณิตศาสตร์ชั้นสูง พวกคณิตศาสตร์ ชั้นสูงแล้ว ถ้าคุณตีทิ้งเลย ศูนย์ไม่มีค่านะ คุณก็ไม่ต้องได้ใช้ศูนย์ เป็นประโยชน์ทางคณิตศาสตร์ ต่อไปแล้ว ในคณิตศาสตร์ชั้นสูง ศูนย์มีค่า และจะต้องเอามาใช้ ในระยะนั้น ในระดับนี้ อะไรต่าง ๆ ตั้งเยอะ เหมือนกับนักคำนวณ แต่ก่อนนี้เขาคำนวณสุริยคราส จันทรคราส เขาคำนวณในหลักของ พระอาทิตย์ไม่เคลื่อนที่ เขาคำนวณได้เหมือนกัน พอต่อมา เอ้า! วิทยาศาสตร์พิสูจน์ ดาราศาสตร์ พิสูจน์ แน่นอนแล้ว พระอาทิตย์ที่ไหนก็ไม่อยู่กับที่ทั้งนั้นน่ะ เคลื่อนที่ทั้งนั้นน่ะ ไม่อยู่กับที่หรอก เคลื่อนที่ทั้งนั้นแหละ เขาก็คำนวณตามวิถีของการเคลื่อนที่ มันก็ถูกอีก ละเอียดขึ้นกว่าเก่า เพราะวงโคจร ของพระอาทิตย์ มันไม่แคบ ในรัศมีมันไม่แคบ มันถูก แต่มันไม่สมบูรณ์เท่า ก็เท่านั้นเอง มันจะพูดว่าใช่ก็ได้ ไม่ใช่ก็ได้ แต่มายืนในสภาพที่ลึก เพราะฉะนั้น สภาพที่ลึกซึ้ง สภาพที่ยากเกินกว่า ที่จะพูดกับอีกในระดับนึง คุณเรียนคณิตศาสตร์ แค่ระดับศูนย์ไม่มีค่า เอาแค่นี้ไปก่อน ถ้าจะเอาศูนย์ มีค่า มาพูดกับคุณเหรอ ไม่ไหวหรอก มันพูดกันไม่รู้เรื่อง อธิบายกัน ก็ยาก มันไม่มีพื้นฐาน ยิ่งเป็น นามธรรม แล้วไม่มีนามธรรมเป็นสภาวะพื้นฐานรองรับ ยิ่งเป็นศาสนา ยิ่งเป็นอย่างที่ว่านี่ โพธิสัตวภูมิ ด้วยนี่นะ พูดกันไป คุณเมาเลยนี่น่ะ งงด้วย แล้วก็ไม่เชื่อ ก็ได้ เกิดผลักก็ได้ เพราะฉะนั้น ท่านถึงไม่ให้ อวดอุตริมนุสธรรม กับอนุปสัมบัน ที่ไม่ควรอวด เพราะว่าบางทีก็ ว้า! เชื่อไม่ลงเลย หมดศรัทธา และเสียผลมาก ต้องประมาณจริง ๆ นะ

ถาม กรณีของมหาตมคานธี ซึ่งมีข้อบำเพ็ญตลอดจนความรู้สึกนึกคิดในแนวของพุทธ แม้ไม่เรียกว่า พุทธ ดังนี้จะเรียกว่า เป็นเนื้อของพุทธได้หรือไม่ หรือแม้แต่นักบุญฟรานซิส หรือคนอื่น ๆ แม้ต่าง ศาสนา ถือเป็นพระโพธิสัตว์ได้หรือไม่

ตอบ เราไม่ได้อยู่ในระบบโพธิสัตว์ อยู่ในระบบของหลักสูตรนี้ เราก็ถือไม่ได้ แต่ในเนื้อหาของ สาระ สัจจะ มันเป็นอันเดียวกัน และมันก็สั่งสมกันไป มันก็เพิ่มไป ๆ ถ้าเผื่อว่าอันใดมันเด่น คุณลักษณะ อันใด มันเด่นในตัวของผู้นั้น ของผู้ใดก็แล้วแต่ บารมีของผู้ใด ๆ ของคานธี ของนักบุญฟรานซิส ถ้ามันมีอันเด่นที่เป็นลักษณะของพุทธ มาเรื่อย ๆ มันก็เข้ามาหาพุทธ แต่ถ้ามันไม่เข้ามาหาพุทธ มันจะเป็นปัจเจกอะไรอันใดอันนึง อย่างที่ว่านี่ ปัจเจกนอกพุทธนี่ แล้วไปเป็นของตัวเองไปเลย สุดท้าย ก็เป็นปัจเจกพุทธะไปอย่างงั้น มันก็จบไปเองของผู้นั้นเท่านั้น (เสียงผู้ฟังถาม.....) อะไรไม่พยาบาท มีแต่พยาบาท ก็นั่นสิ ก็ไปเป็นปัจเจกก็ไปอย่างโง้น เขาก็หยุดพยาบาท เขาก็ปล่อยวาง เลิกกัน ไม่เกี่ยว เขาก็เอาตัวของเขาเอง แบบให้คุณหยุดคิดไง บอกว่าไม่เอาเข้ามาในระบบเลย เพราะฉะนั้น คุณคิด ต่อไป ก็หัวแตกเป็น ๗ เสี่ยง เพราะว่าไม่อยู่ในระบบ

พระพุทธเจ้ายังไม่เอามาคิด พระพุทธเจ้าก็ไม่ศึกษา สิ่งอย่างนี้มันนอกเรื่อง มันจะฟลุกยังไงก็ได้ เขาก็เรียกว่า ของส่วนตัวไง คุณต้องฟังคำว่า ปัจเจกให้ชัด เนื้อหาความหมายของคำว่า ปัจเจก หมายความว่า ส่วนตัว ตัวเอง เพราะฉะนั้น ตัวเองจะเป็นไปได้ เราไม่ประมาทเขา คุณจะได้ยังไง เรื่องของคุณ ส่วนตัวของคุณน่ะ เชิญของคุณไปเลย เป็นเรื่องจบ คุณจะบอกว่าได้ เออ! ได้ของคุณน่ะ เราไม่สนใจนะ ไม่เป็นระบบ และมันก็ไม่เป็นประโยชน์ ต่อมนุษยชาติ ที่มากมายอะไร อันนี้ซิ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติมากมาย เอาเวลามาศึกษาอันนี้ ก็จะแย่อยู่แล้ว อันนั้นตัดทิ้งเลย เข้าใจไหม เอาชัด ๆ นะ เข้าใจชัด ๆ ดีหรือยัง อย่าไปนั่งวุ่นวายคิด ๆ อีก เสียเวลา โง่ตาย คนคิดอยู่ โง่ทุกคน คนคิดต่อ โง่ทุกคน จริง โง่ทุกคนนะ มันโง่ เอ๊! ไปคิดมันทำไม ไม่ต้องคิด พระพุทธเจ้า ก็บอกให้ตัดแล้ว แต่เราศึกษาไม่ละเอียด แล้วก็ไปวนไปวุ่น อย่าว่าแต่เรื่องเทวทัตปัจเจกอย่างงั้นเลย หลาย ๆ เรื่อง พวกเรานี่ตัดทิ้ง อย่ามัวมาคิดอยู่อีก ก็ยังโง่อยู่นั่นแหละ ไปเสียเวลาอยู่ทำไม หรือ แม้แต่ยังงี้ ถ้าเผื่อว่าใครแน่ใจ แล้ว เอ๊! จะไปนิพพานดี หรือว่าจะไป อยู่กับทางโลกีย์ดี โดยจริง ๆ โดยลักษณะฉลาดแล้ว ควรไปไหนดี (ผู้ฟัง:นิพพาน) ตอบไม่ผิดนะ จะไปไหนดี จริงเหรอ เลิกคิด ที่จะไปโลกียะได้เลยใช่ไหม จริงหรือเปล่า (ผู้ฟังหัวเราะ) เพราะฉะนั้น ยังคิดอยู่ ยังโง่อยู่อย่างนี้เป็นต้น

นี่ยกตัวอย่างง่าย ๆ เห็นไหม ยังคิดอยู่ทีใด ก็ยังโง่อยู่ทั้งนั้น (เสียงผู้ฟัง...) นั่นล่ะ ยังโง่มั่ง (ผู้ฟังหัวเราะ) จริง ๆ มันมั่งหรือมันมาก มันมั่งหรือมันมากด้วยซ้ำ ๔๐-๖๐ คือคิดโลกีย์ ๖๐นั่นแน่ะ นี่มันประมาณค่าตัวเอง คนที่เป็นครูตัวเอง แล้วก็ให้เป็นลูกศิษย์ตัวเอง เป็นนักเรียนตัวเอง เป็นครู ตัวเอง ให้คะแนนข้อสอบตัวเองเอียง เอ้า! ก็ให้คะแนนตัวเอง ส่วนมากก็ให้คะแนนเอียง ตรวจข้อสอบ ของตัวเอง ส่วนมากเอียง เอ้า! เอาละ เข้าใจแล้วนะ เรื่องปัจเจกนะ

ถาม ไม่เข้าใจที่พ่อท่านเทศน์ว่า พระอรหันต์กลับมาเกิดอีกได้ แน่ะ มันก็ต่อเนื่องกันได้นะ อย่างเช่น พระพุทธเจ้า ก่อนจะมาเป็นพระพุทธเจ้านั้น บรรลุอรหันต์มาก่อน แล้วก็เอาจิตอรหันต์มาเกิด ทำไม เกิดมายังต้องมีกิเลส ต้องมาแต่งงาน มีลูกมีเมียอยู่ และยังต้องมาปฏิบัติแบบผิดทางก่อน จึงจะบรรลุธรรมทีหลัง ทำไมไม่เกิดมาเป็น อรหันต์เลยคะ

ตอบ อันนี้ตอบมากแล้วนะ อรหันต์มีหลายระดับ อรหันต์ในโสดา อรหันต์ในสกิทา อรหันต์ในอนาคา อรหันต์ในอรหันต์ นี่เป็นสาวกภูมิ

ทีนี้พอมาพูดอรหันต์ในโพธิสัตวภูมิ คุณก็ต้องมืดหน้าหน่อย เพราะว่านี่มันเป็น คณิตศาสตร์ในระดับ advance ในระดับ คณิตศาสตร์ชั้นสูง เขาเรียกอะไรนะ คณิตศาสตร์นี่เขาเรียกพวกอะไร ชั้นสูงนี่ เขาเรียกพวก pure math หรือ calculus มันไม่ใช่ คณิตศาสตร์ชั้นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น คุณจึงเข้าใจ ยาก อยู่ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น เราต้องรู้ภูมิเรา แล้วเราก็จะพึง ทำความเข้าใจ ขอให้เข้าใจ อรหันต์ในโสดา อรหันต์ในสกิทา อรหันต์ในเหตุปัจจัยแต่ละปัจจัย อรหัตผล หรืออรหันต์ของแต่ละฐาน แต่ละเรื่อง แต่ละอารมณ์ แต่ละกิเลส ไปให้ชัด ศึกษาอันนี้ให้ดี ๆๆ แล้วคุณจะมีภูมิสูงขึ้นไป ๆ จนเป็น อรหันต์ แล้วคุณก็จะพูดต่อจากอรหันต์ในอรหันต์ จนเป็นอรหันต์ในโพธิสัตวภูมิได้ดี เพราะฉะนั้น อาตมาพยายาม อธิบายให้พวกคุณฟังนี้ มันเป็นเรื่องเกินเรื่อง เป็นเรื่องเกินฐานะ เพราะฉะนั้น ถ้าคิดแล้วหัวแตกนะ มาคิดหัวแตกอยู่บ้าง

การที่จะเวียนกลับมา พูดให้ฟังคร่าวๆ เวียนกลับมา แล้วก็มาทำเรื่องทำราว อะไรต่อ ๆ มาเรียนโลกีย์ ศาสนาพุทธ อยู่เหนือโลกีย์ มาเป็นอย่างโลกีย์ได้ อย่างสมมุติคำว่า เสพกามด้วยจิตว่าง ที่จริงนั่น ถ้าจิตว่างท่านไม่ได้เสพกาม ฟังชัดไหม เสพกามด้วยจิตว่าง ที่จริงสัจจะนั่น ท่านจิตว่าง ท่านไม่ได้ เสพกาม แต่กรรมกิริยานั้นเสพ กรรมกิริยานั้น เขาเรียกว่าเสพ กรรมกิริยา พฤติกรรมเหมือน ๆ กัน เท่านั้นเอง มันเป็นอันใดอันหนึ่งเท่านั้นเอง ท่านจะมีเจตนาอะไร มันเป็นเรื่องของท่าน ที่รู้ว่า ควรจะกระทำอันนี้เพื่อสงเคราะห์ เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตัวเอง ไม่ได้บำเรอตนนะ อันนี้เป็นความบริสุทธิ์ ที่เข้าใจยาก แต่มันมีจริงได้

ทีนี้อีกอันหนึ่งก็คือว่า ที่อาตมาพูดว่า ลิงลมอมข้าวพองนี่นะ มันไม่ใช่เรื่องของ.. ความจริงไม่ใช่แก่น ของท่านหรอก ผู้ใดมีแก่นแล้วนะ ผู้ที่ไม่ติดเสื้อผ้า เข้ามาในโลกนี่ ก็มาถึงมันก็มาเกิด เกิดมาปั๊บ ก็มาในโลก แล้วก็ยังไม่รู้สึกตัว ยังไม่ตื่น คำว่า ตื่นนี่ ลึกซึ้งมากนะ ยังไม่ตื่นนี่แหละ ยังเป็นลิงลม อมข้าวพอง ขึ้นมาในโลกนี้ก็อยู่ เหมือนกับเราในโลกนี้ อยู่กับเขาไป เท่านั้นเอง คนอื่นเขาใส่เสื้อผ้า อย่างนี้ เราก็ว่า เออ! เขาว่าเสื้อผ้านี่สวย เราก็ต้องเห็นตามเขา สวยก็ใส่ สวย ๆ แต่งนะแต่ง ตกแต่ง กับเขาไป จนกระทั่ง ตัวของตนเองนี่มันตื่นขึ้นมา มันเกิดขึ้นมา เพราะมันต้องมีอยู่ที่นั่นแหละ อันนั้นมันมีแล้ว เป็นแล้ว สักวันหนึ่งไม่มีใครหรอก มันปัจเจกในตัวอันนึงแล้ว เป็นปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ แล้ว ปัจจัตตัง ก็คือ ปัจเจก ลักษณะของคุณลักษณะอันนั้นแหละ เป็นเอง ได้เอง เป็นขึ้นมาละ ปัจจัตตัง เป็นอัตตาของตัวเอง เป็นของตนเอง เป็นของตน อัตตะ อัตตา ของตนแล้ว มันก็ต้องมีอยู่นั่นล่ะ มันมีแล้วต้องมี ของพระพุทธเจ้านั่นเที่ยงแท้ สักวันหนึ่งมันก็แสดงบทบาท

เมื่อแสดงบทบาท หรือรู้ตัวตื่นขึ้นมา ช่วยตัวเองได้ ๆ พอรู้ตัวว่า อ้อ! โลกมันเป็นยังงี้ โลกมันหลอก ให้เราใส่เสื้อ แล้วท่านก็วางเลย ก็ท่านไม่ได้ติดนี่ แต่ในลักษณะ เปลือก ๆ ผิว ๆ เบลอ ๆ โลก ๆ เป็นไปตามโลกนี่ ตอนนั้น มันยังไม่ตื่น ยังไม่ได้ลืมตาสนิท มันยังเบลอ ๆ เหมือนลิงลมอมข้าวพอง ก็ไปกับเขาก่อน ไป แต่เนื้อแท้เนื้อจริง ตื่นขึ้นมาแล้ว โธ่เอ๊ย! ฝันนี้เมื่อกี้นี้ มันไปกับโลกฝันเขา ตัวจริง ของท่านชัดแท้แล้ว ท่านก็สลัดนิดเดียว เอาไปซิ เอาคืนไป หรือจะใส่เสื้อผ้านั่น อยู่อย่างเก่า ก็เหมือน เสพกามด้วยจิตว่าง

จิตว่าง ไม่ได้เสพกาม แต่ว่า เอา เราก็อยู่กับโลกเขา ก็ทำไป ก็ยังงั้นแหละ ทำไปเพื่อผู้อื่น ตัวเอง ไม่ได้ลิ้มเลีย ไม่ได้อะไรเลย อยู่ในนั้น ก็ได้ อย่างนี้เป็นต้น

ลักษณะพวกนี้เกินที่จะพูดกันได้ง่าย ๆ คุณตั้งใจฟัง คุณพอเข้าใจ แต่คุณก็เข้าใจที่ไม่ใช่ของคุณ ถ้าคุณมีลักษณะ อันนี้จริง มีคุณลักษณะ เอาแต่แค่หยาบ ๆ ต่ำ ๆ ก็แค่เสื้อผ้านี่แหละ ผู้หญิงนี่แหละ ใครก็ตาม จิตจริงของคุณเป็นจริงนี่ ใช่ไหม ใส่ไปให้เขา นี่แม่บังคับเหลือเกินนี่ เขาบอกว่า ยังกับคนใช้ เดินตามกูนี่ ไม่ต้องให้ไปด้วย เอา! ก็ใส่ นุ่งยังงี้ เออ! ก็นุ่งไป แม่บอกว่า สวยไหมล่ะ สวยแม่ แต่ใจก็รู้ ก็เข้าใจ สวยโลกเขา สมมุติว่าอย่างไร เข้าใจ และเราก็ไม่มีปัญหา เมื่อเราไม่ใส่เมื่อไหร่ เราก็ไม่ได้ติด ไม่ได้โหยหาอาลัยอาวรณ์อะไร ใส่ไปก็ไม่ได้อร่อยอะไร บางคน ถ้ามันไม่สงบนิ่งจริง ๆ ใส่ไปก็ เรารู้สึก มันมีมานะ รู้สึกตัวเองนี่เสียเหลี่ยม มาใส่ตามแม่ มาปฏิบัติตามโลกีย์ ต้องไปยั่วโลกีย์ ต้องไปทำอะไร ตามเขา อะไร มันผลัก ๆ อยู่ในใจเหมือนกัน มันก็มีไม่ชอบ ๆ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ก็ยังได้เลย เรายังไม่สงบดีใช่ไหม เอ้า! จะตาม เราก็รู้ว่าอันเหมาะอันสมที่เราสมควรตาม ก็ตามเท่านั้นแหละ ก็ทำไป ไม่ได้เพื่อเราเลย ไม่ได้เสพ ไม่ได้อะไรเพื่อเรา ไม่มีอัตตา ไม่มีอัตนียา ไม่ได้เป็นตน ไม่ได้เป็นของตน อย่างนี้เป็นต้น

มันก็เป็นลักษณะที่ลึกซึ้งซับซ้อนอยู่เยอะ เพราะฉะนั้น การที่จะเกิดมา จะต้องมียังโง้นยังงี้ต่าง ๆ นานา ทำไมจะต้อง มามีอารมณ์อย่างงี้บ้าง มันก็เป็นนามธรรมอยู่ในโลก มันเป็นโลกียารมณ์ในโลก มันลิงลมอมข้าวพอง ก็ไปก่อนหน่อย พอรู้ตัว เหมือนอย่างที่อาตมาว่า เออ! อาตมาก็ไปเหมือนอย่างเขา ทางโลกมันจะดึงไป อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาเอง อาตมาอะไรนะ ที่ว่าตอนนั้นว่าจะอธิบายต่อ มันลืมซะแล้ว ที่เกิดมาไม่ต้องมีอย่างเขา ไม่เหมือนเขา อะไรอีกอันหนึ่ง อาตมาว่า จะเอาอันนี้ ประเด็นอันนี้ มาอธิบาย มันเข้าใจดี ลืมเสียแล้ว เรื่องพิลึกนั่นแหละ มันพิลึกนั่นแหละ

หนึ่ง ไม่มีครู เป็นเรื่องพิลึก แล้วอะไรอีกเรื่องนึง อีกอันหนึ่งอาตมาสัญญาไว้ กำหนดไว้ว่า จะเอาอันนี้ มาอธิบายต่อ พอไปอธิบายอื่น เลยลืมอันนี้เลย คุณไม่รู้หรอก แต่มันเคยพูดบ้างเหมือนกันนะ เออ! เรื่องวงมายา หรือเรื่องอะไรพวกนี้ ในลักษณะพวกนี้ มันหลายจุดนะ ซึ่งอาตมาจะต้องพิลึกมา แล้วคนคิดไม่ถึงหรอก มันเหมือนลวง มันจะขาดเชื้อได้ยังไง ยังงี้ ดูมัน เออ! เรื่องที่อาตมาไม่ต้องเรียน ไม่ต้องได้จบปริญญา ไม่ต้องได้อะไรมานี่ แล้วบอก เอ๊! ไม่จบปริญญา ไม่ต้องเรียนธรรมะ บอกว่า เออ! ตอนแรกที่ว่า ไม่ได้ศึกษาศาสนาเลย เกิดมาไม่สนใจศาสนาเลยในชีวิต ไม่สนใจศาสนาเลย แต่อาตมา ก็จะต้องมาทำงานศาสนา มันไปไม่รอดหรอก อาตมาไม่ได้คิดจะทำงานนี้ แต่ต้องทำ จะต้องทำนะ ต้องทำ แล้วมันเป็นเรื่องประหลาด มันเป็นเรื่องว่า เอ๋! ทำไมไม่ได้เตรียมตัว ไม่ได้สั่งสม ชาตินี้ ตามไม่เห็นเลย แต่ทำไมมาทำได้ แล้วทำอย่างประหลาด ทำอย่างเนื้อหา ทำอย่างจริง ๆ จัง ๆ ทำได้อย่าง มีประสิทธิภาพด้วย มันไม่มีเชื้ออะไรมาเลย แล้วมันมีอันนี้ มันน่าประหลาดไหม อย่างนี้เป็นต้น หลาย ๆ อย่าง พวกนี้ มันก็น่าฉงนนะ

ที่จริงมันมีอะไรอีกอันนึง อาตมา ไม่ตรงตัวนั้นทีเดียว อะไรไม่รู้ นึกเอาไว้แล้ว ลืม เอ้า! มันได้เท่านี้ เอาเท่านี้ก่อน บุญ คุณเท่านี้น่ะ ไม่ใช่ ภาษาบาลีไม่ใช่ พยายามนึกช่วยอยู่ แต่ไม่ใช่ เอาละ สักวันหนึ่ง วันใด มันคงจะผุดขึ้นมา ให้บอกได้อยู่หรอก มันคงจะเป็นตัวอย่าง อาตมาคิดว่า จุดตัวอย่างอันนั้น สำหรับหยิบของอาตมา มาอธิบาย มายืนยันนี่ อธิบาย พอถึงวาระเวลามันจะชัด นี่มันก็ค่อยเข้าใจว่า เอ๊! จะเอาอะไรมาชี้ จะหยิบไอ้โน่นไอ้นี่ มาประกอบ ในการสื่อการอะไรนี่ มันจะยืนยันได้ และมันจะชัด เมื่อกี้มี แต่ว่ามันลืมไปแล้ว

ถาม จุดมุ่งหมายในชีวิตของดิฉันแต่เดิม ไม่ใช่การมาปฏิบัติธรรม เป็นการประกอบอาชีพ และเป็นคนดี ในระดับ กัลยาณชนคนทั่ว ๆ ไป เมื่อมาปฏิบัติธรรม ไม่ทราบว่า จะตั้งจุดมุ่งหมายในการปฏิบัติธรรม อย่างไรดี ทุกวันนี้ ชีวิตมีคุณค่า เกินระดับจุดมุ่งหมายที่เคยตั้งไว้แล้ว จะตั้งจุดมุ่งหมายใหม่ก็ไม่มีไฟ ไม่มีปัญญาจะตั้ง เมื่อปราศจาก จุดหมาย จึงไม่ได้ลงมือทำแน่ะ เอาภาษาที่โศลกที่ให้ไป มาประกอบ ซะด้วยนะ เมื่อปราศจากจุดหมาย จึงไม่ได้ "ลงมือทำ" และมองไม่ออกว่า "ความสำเร็จของ การปฏิบัติธรรม คืออะไร เป็นอย่างไร" ทำไมเป็นถึงปานนั้นน่ะ

๒.สมัยที่พ่อท่านเป็นฆราวาส พ่อท่านเคยบังคับน้อง ๆ ไหมคะ ถ้าพ่อท่านเห็นว่าน้องทำผิด ทำอะไร ไม่เหมาะควร เล็ก ๆ น้อย ๆ พ่อท่านใช้วิธีการอย่างไร ทำให้เขารู้ตัวและแก้ไข

๓.ในช่วงปฏิบัติธรรมก่อนบวช พ่อท่านเคยมีกิเลสอะไรแว่บเข้ามาในจิตบ้างไหม เช่น ปฏิฆะ ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ ความพอใจในรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความห่วงกังวล คิดกลับไปทางโลกียะ ช่วงนั้นพ่อท่านปฏิบัติธรรมอย่างไร เห็นกิเลสได้อย่างไร และล้างกิเลสแต่ละตัวอย่างไร ช่วงนั้นพ่อท่านมีความปีติไหมคะ ปีติในอะไร

ตอบ เขียนมา ๓ ข้อจริง แต่ข้อ ๓ นี่ถามยับเยินเลย ไม่รู้อะไรต่ออะไรมั่ง อย่างไร อะไร ไหมคะ ได้อย่างไร มีอย่างไร โอ้โฮ! ข้อเดียวนี่ ไม่รู้กี่ประเด็นนะ

ตอบข้อ ๓ ก่อนก็ได้นะ

ในช่วงปฏิบัติธรรมก่อนบวช พ่อท่านเคยมีกิเลสแว่บเข้ามาในจิตบ้างไหมคะ

มี เป็นจิตกิเลสทุกอย่างแหละ ถีนมิทธะ วิจิกิจฉา อุทธัจจะ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ก็เป็นอย่าง ลิงลมอมข้าวพอง อย่างที่ว่านั่นน่ะ มันก็เป็นอย่างโลกนี่ มันก็ไป คือโลกีย์นี่มันไม่ยากหรอก ใช่ไหม มันเคยเป็นกันทุกคน เพราะฉะนั้น จะมาลองรู้ลองเป็นอยู่เลย พยายามศึกษาเข้าไปหน่อย ๆ เดี๋ยวเดียว มันก็รู้แล้ว มันก็เป็นได้แล้ว มันจะไปเป็นยาก อะไรเล่า ใช่ไหม ไอ้อย่างที่เราจะเป็นนะ มันจะไปเป็น ยากอะไร เพราะเราเคยชำนาญมาเก่า มันมีเชื้อเดิมมาตั้งไม่รู้ มันเป็นมา ก่อนเป็นพระอริยะด้วย เพิ่งมาได้คุณธรรมอริยะที่ว่าเที่ยงแท้นี่นะ ถึงเที่ยงแท้ก็ตาม ไอ้สิ่งที่คนเป็นโลกีย์ว่า มันทิ้งมา มันลืมมา มันอะไรมา มันสั่งสมมานาน คุณสั่งสมความเป็นพระอริยะนี่ ไม่ได้นานเท่า สั่งสมความเป็น โลกียะ มานะ ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราจะกลับไปดูไปรู้ ไปเข้าใจมันอีกทีนึง ทบทวน มันไม่ยากหรอก มันง่าย เพราะฉะนั้น มันเหมือนลิงลมอมข้าวพอง ก็มีฉาบพอก มีโกรธเป็นอย่างงั้น แต่มันก็เป็น อย่างที่มัน พอเป็น นั่นแหละ ไม่รุนแรงหรอก โกรธ อะไรอย่างงี้

ข้อ ๒ เคยบังคับน้อง ๆ ไหม หรือว่าเห็นน้องทำผิดอะไรแล้วก็เหมาะควรเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้วิธีการอย่างไร คือบังคับน้อง ๆ หรือว่ารุนแรงกับน้อง ๆ อะไรพวกนี้นี่นะ อาตมาไม่เคย ในชีวิตนี้เคยถีบน้องทีนึง ในชีวิตเลย ไม่เคยจะตบจะอะไรต่ออะไร ไม่เคยหรอก ไม่เคยจะตบ เคยตีน้อง ตีคนเล็ก ตัวเล็ก ๆ เคยตี แล้วก็ตีไม่เคยตีนะ ตีอย่างไม่เคยตี ตีอย่างไม่ประมาณ ใช้ไม้ฉาก ยังจำได้ ตีนายคนเล็กน่ะ นายด้าว ตี เลือดออกแขนออก มันถลอกน่ะ มันคมน่ะไอ้ไม้ มันก็ไม่แรงอะไรนัก แต่มันคมน่ะ มันมีคมน่ะ มันไปใช้คม ยังไงไม่รู้ มันเป็นรอย ตกใจเลยเรา โอ้โห! เลือดออก แต่ก็ต้องฝืนใจแอ๊ค ที่จริงตี ก็ตีไม่ได้นั่น อะไรนะ ตีก็ยังสงสารอยู่นั่นน่ะ ยิ่งเลือดออก ยิ่งตกใจใหญ่ แหม! ต้องทำตีหน้า จำได้ว่า ตีหน้าขึงขัง ก็ตีเข้าไปแล้ว จะไปนั่งทำหน้าไอ้นั่นอยู่ไม่ได้ โอ๊! มันเป็นละครจริง ๆ รู้สึก เออ! คือ จำไม่ได้แล้ว มันดื้ออะไร เกี่ยวกับเรื่อง ไปเรียนไปอะไรนี่ จะไม่เรียนหนังสือหรือไงนี่ บอกว่า เอ๊! พ่อก็ไม่มี แม่ก็ไม่มี แล้วยังจะไม่เรียนหนังสือ นี่มันอะไร เราอุตส่าห์เลี้ยง อุตส่าห์ส่งให้เรียน ทำให้ดี ๆ มันยังดื้อ ไม่เรียนหนังสือนี่ มัน อื้อ! มันแค้น ๆ นะ มันอะไรกันนะ มันทำไม มันโง่อย่างนี้ อะไรอย่างนี้ ดูเหมือนจะเรื่องนี้ เรื่องไม่ไป เรียนหนังสือนี่ จะตีให้ไปโรงเรียน ก็ตี จำได้ว่าตีน้องครั้งเดียว และ เลือดออกเสียด้วย แต่ไม่ได้เลือดอะไรมากหรอก มันถลอก แล้วมันก็เป็นผิวหนัง มันมีเลือดซึม ๆ ตกใจเหมือนกัน ครั้งเดียว แล้วนายชาติคนโตนี่ ฐานพุทโธนี่ ยวนขนาดหนัก กำลังทำงานเปิดร้าน ขายของ เอาอะไรต่ออะไร มันไม่ทำอะไร ขี้เกียจ แล้วไปยวนอะไรจำไม่ได้แล้ว ก็เลยถีบออกไป นอกข้างหน้าบ้านโน่น ปังนึงเลย (ผู้ฟังหัวเราะ) ถีบ ๑ ที ในชีวิต มีเท่านั้นน่ะในชีวิต ไอ้เรื่องตบ เรื่องนั่นเรื่องนี่ เรื่องที่เที่ยวได้ไปตี หรือตบอะไรนี่ ไม่มีเลย อื่น ๆ ไม่มี จำได้ว่า ในชีวิต มีเท่านั้นน่ะ

แม่ก็เคยตีอาตมา ๑ ที ครั้งหนึ่ง แม่นี่ตีไปก็ร้องไห้ไป เราก็บอก เอ๊! แม่นี่ตีเรายังไง ตีไปแล้วก็ร้องไห้ไป เสียใจ ตี ไม่ได้ตีแรงอะไรหรอก ว่าตีนะ เอาไม้ตี ตีไปก็ร้องไห้ไป คือมันไม่มีอะไรรุนแรง อะไรมากมาย อะไรหยาบจัดนักหนาหรอก แต่มันซ้อนเชิงนะ มันเหมือนว่าเรามีมาก เหมือนกับคุณนี่ รู้สึกว่าตัวเอง มาปฏิบัติธรรมแล้ว เอ! ทำไมกิเลสเรามาก ที่จริงกิเลสคุณลดลง ทุกวันลดลง แต่ทำไมกิเลสเรามาก ญาณคุณ ดวงตาธรรมะของคุณกว้างขึ้น เห็นละเอียดขึ้น เห็นมากขึ้น ดูเหมือนมันมาก มันหนัก มันแรง แหม! มันจะทำออกยาก แต่ก่อนคุณก็มี คุณไม่ได้เอามาเพิ่มหรอก มันอยู่ในนี้แหละ มันอยู่ใน อนุสัยอาสวะ ของคุณนี่ หมกหมักกองอยู่ตรงนี้ เพราะว่าเรามานี่ มาสังวรระวัง มาอะไรต่ออะไร มันไม่มาเพิ่มนะ แต่มันมีของเรานี่ แต่ก่อนเราไม่รู้ว่ามันมาก พอเราเห็นมันมาก เรานึกว่า เรามาเพิ่ม กิเลส ไม่ใช่กิเลสเพิ่ม คล้าย ๆ ลักษณะซ้อน ๆๆ อย่างนี้

อาตมามี ก็มาปฏิบัติแล้วมันก็ง่าย เพราะว่ามันไม่ใช่แก่น ไม่ใช่แกน มันเป็นเปลือก แต่มันเหมือนจริง เหมือนกับ เรานอนตื่นนี่ เราก็ทำกับสามัญสำนึก แต่พอเราหลับขึ้นไป กิเลสที่มันเป็น มันมีอะไร มันไม่ใช่แค่นั้นแล้วนะ ตอนนี้กิเลส มันตกตะกอน หรือมันมีอะไรฟุ้ง มันมีอะไรมาก มันขึ้นมาเต็มที่ อยู่ใน ปล่อยตามเต็มที่ มันก็จะเป็นอยู่ในสภาพของ จิตใต้สำนึกนี่มาก เพราะฉะนั้น คนที่ไม่มี สติควบคุม มันก็จะปล่อยกิเลสสด ๆ มาก ๆ ออกมาเยอะให้เห็น เหมือนกับ คนไม่อาย หน้าไม่อาย อะไรได้ต่าง ๆ นานา

แต่ถ้าคนมีสติควบคุม สังวร มันก็ระมัดระวังกิเลสนั้นได้ นั่นเป็นกิเลสลึกออกมาแสดง เราก็คุมไว้ แต่กิเลสนอกนั้น ก็เป็นผิวที่เรามี ถ้าเรายิ่งมีสังวรระวังอีก มันก็ดูเหมือนไม่มาก และก็แกนข้างใน กิเลสข้างในจิตไม่มีอีก มันก็ไม่ยาก สลัดได้ง่ายนะ เพราะฉะนั้น ต้องให้มันจริง ให้มันตรงจริงนะ

ทีนี้คนที่รำพี้รำพันมาว่า จุดมุ่งหมายในชีวิตแต่เดิม มาปฏิบัติเป็นการประกอบอาชีพ และเป็นคนดี ในระดับนึง เสร็จแล้ว มาปฏิบัติธรรม แล้วก็ไม่ทราบว่า ตั้งจุดมุ่งหมาย ปฏิบัติธรรมอย่างไรดี

ก็คุณจะเอายังไงดี ถาม เมื่อกี้ก็ถามแล้ว โลกียะ โลกุตระ พูดไปซ้ำซาก หลายอย่างแล้ว เพราะฉะนั้น คุณจะต้องตอบตัวเอง คุณจะเอาอะไรแน่ ถ้าเอาโลกุตระ ก็พากเพียรเข้า พากเพียรเข้า ยังไม่ทราบว่า บุญบารมีของคุณ จะอยู่ได้รอดหรือไม่รอด ก็ไม่เป็นไร แต่ถึงรอดหรือไม่รอด ก็เป็นวิบากของเรา สั่งสมวิบากของเรา สั่งสมไป แล้วสิ่งที่จะได้ มันก็ต้องทำ ถ้าคุณไม่สั่งสม คุณก็ไม่มีทางได้ นั่งคิดนั่งนึก ฝัน ๆ หวาน ๆ เพ้อ ๆ เอามันไม่ได้ ลงมือทำ แล้วก็ทำไป ๆๆ มันไม่ได้เป็นของขาดทุนอะไรหรอกนะ

ถาม คนใหม่ คงยังไม่รู้จักคำว่า ลิงลมอมข้าวพอง เอ๋! ก็น่าจะเข้าใจนะ ก็ พยายามอธิาย

ตอบ คือมันเป็นสภาพเหมือนคนเมา เป็นคนที่เข้าทรง มันไม่รู้ตัว ที่จริงตัวจริงเรา เป็นอันนึง เข้าทรง มันก็เป็นอีกอันนึง ลิงลมอมข้าวพองก็คือ เล่นเหมือนเข้าทรงนี่แหละ ชั่วเดี๋ยวชั่วด๋าว เสร็จแล้วพอตื่น เมื่อกี้ก็พูดแล้ว เหมือนคนยังไม่ตื่น พอตื่นขึ้นมาแล้ว ก็เป็นตัวเรา แล้วเราก็ทิ้งอันนั้น เลิกไปทันที มันก็เป็นเราได้เต็มที่ง่าย ๆ ไม่ยาก และมันจะเป็น อย่างนี้เสมอ เพราะฉะนั้น บอกว่า พระอรหันต์ เกิดแล้ว เพราะอะไรต้องมาเวียนวน มันจะเป็นยังไง มันถึงเป็นเรื่องที่ อธิบายลำบาก บอกแล้วว่า เป็นการศึกษา ในระดับโพธิสัตวภูมิ และยิ่งเถรวาทนี่ ไม่เรียนโพธิสัตว์เลยนี่ แน่นอน เขาเถียง คอแตกเลย อาตมาไม่สงสัยหรอก ไม่สงสัย เหมือนเด็กมาเถียงอาตมาว่า ตุ๊กตานี่ยอดเยี่ยมที่สุดเลย นี่เป็นทรัพย์สมบัติ ชั้นหนึ่งเลย เออ! ใช่ อีหนูเอาไปเลย ไม่เถียงกับเด็กเด็ดขาด เราแน่ใจเลยว่า เด็กคนนี้ แกปักใจเลยว่า ตุ๊กตาเป็นสมบัติอันวิเศษของแก จริง ๆ บางทีเราเอาเพชรชนิดพิเศษมาแลก แกก็ไม่เอาด้วยซ้ำ เพราะแกไม่รู้จักเพชร แกไม่อยู่ในภูมิ ที่จะรู้จักเพชร แกรู้ตุ๊กตาของแกวิเศษ แล้วเรา จะไปบังคับให้แกรู้ แล้วจะไปเถียงกับแก คนนั้นก็โง่ตาย เท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น อาตมาไม่โง่หรอก

อาตมาไม่เถียงกับเขาหรอกว่า อรหันต์เกิดได้อีก อะไรต่ออะไรอีก ที่ไหนสอนไว้วะ ยังโง้นยังงี้ ไม่มีปัญหา อาตมา ไม่มีปัญหานะ ไม่เถียงกับเขาหรอก เพราะเขาเห็นอย่างงั้นจริง ๆ แล้วเขาก็ทำ ให้เขาทำของเขาให้ได้ก่อนเถอะ ไม่ต้อง ไปเถียงให้เสียเวลากันหรอก เขาทำยังไม่ได้ ไปพูด ทำไมมี อย่างพวกคุณ พอฟังกันได้ขึ้นบ้างแล้ว แม้คุณจะไม่ใช่ โพธิสัตวภูมิ เรียนบัญญัติ คุณก็ฟังบัญญัติ ไปได้อยู่ ใช่ไหม มันมีเหตุมีผล มันมีหลักการ มันมีอะไรซ้อนเชิง อาตมาสามารถ นี่เป็นความสามารถ ของโพธิสัตว์ ที่จะต้องศึกษา แล้วก็จะต้อง เพิ่มฐานเพิ่มภูมิไปเรื่อย ๆ

พวกคุณนี่ ต่อไปพวกคุณก็จะไปตั้งโพธิสัตว์ต่ออะไร คุณก็ว่าของคุณไป ตอนนี้ก็อย่าไปข้ามขั้นก่อน ก็แล้วกัน ก็รู้ฐานะของตัว ก็ทำไป มันก็ได้ความอย่างนั้นนะ มันเป็นเรื่องที่อจินไตยหลายอย่างอยู่ ที่มัน บางทีก็ถึงเวลาวาระ ก็พูดกันบ้าง แต่ก็ต้องอย่าลืมฐานะของตน อย่าลืมภูมิของตน สาวกภูมิ เราก็ทำ สาวกภูมินี้ให้จริง ผู้ที่จะเพิ่ม มันมีในตัว บอกแล้ว มันมีโพธิกิจ ของศาสนาพุทธมันมีโพธิกิจ มันมีโพธิสัตว์ อยู่ทั้งนั้นแหละ เป็นโสดาก็มี โพธิสัตว์โสดา สกิทา โดยธรรม โดยสัจจะ มันไปเรื่อย ๆ ไปเรื่อย ๆ ไม่จำเป็นที่จะต้อง.. ถ้าจะไปตั้งอีกที คุณค่อยตั้ง จะมีแนวโน้ม จิตของคน มีแนวโน้ม ไปทางโพธิสัตว์ มันก็มี มันมีของมัน ไปตามธรรมของมันเองอยู่ แต่ถ้าตั้งขึ้นไป แล้วอย่าให้มันเลิศ ให้มันเพริด ให้มันเลยขอบเขต ของฐานะจริงเท่านั้นก็ดีแล้ว แต่จะเสริมหนุน อาตมาอยากได้เพื่อน โพธิสัตว์เยอะๆ นะ เพราะมัน เป็นคุณ แก่โลก มันไม่ได้เป็นความเสียหายอะไร มันเป็นคุณค่า พวกเรา ไม่ค่อยจะเป็น โพธิสัตว์กันน่ะสิ มันจะเอียง ไปหา ฤาษีกันมากๆ น่ะซิ อาตมาถึงหนัก

บอกแล้ว เถรวาทมันเอียงไปหาฤาษี โพธิสัตว์มันเลยเถิดไปบ้าง พวกคุณยังน่ะ ยังไม่เลยเถิด ยังไม่เห็น มีพลังสู้ ต้องทน อดทนมาก อุตสาหะมาก โพธิสัตว์นี่ อุตสาหะมาก ทนมาก พยายาม จะได้เห็นว่า ศีลของพระโพธิสัตว์แต่ละอัน คุณลองอ่านดูซิ โอ้โฮ! เลือดออกเลย ศีลแต่ละเรื่องแต่ละเรื่อง แต่ละอย่างของโพธิสัตว์นี่ อย่างงั้นจริง ๆ แล้วพากเพียร ให้ได้ อย่างงั้นจริง ๆ มันจึงจะสามารถ รื้อขนสัตว์ ช่วยสังคม ช่วยโลกได้จริง ๆ คุณไม่ค่อยมีเลือดด้วยซ้ำไป อาตมาไม่มีปัญหาหรอก นี่พูดให้คุณฟังนี่ ก็ให้เอามั่ง ให้มันฮึดฮัดขึ้นมาบ้าง ไม่เช่นนั้นก็ดึงกัน ลากจูงกัน จนจะไม่หวาด ไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะว่าเราอ่อน มหายานอ่อนทางโพธิสัตว์เยอะจริง ๆ เพราะฉะนั้น เราจะต้อง ปลูกฝังไปเรื่อย ๆ

อาตมาไม่สงสัยหรอกว่า พวกคุณทำไมถึงต้องจ้ำจี้จ้ำแฉะ ทำไมจะต้องลาก มีคนเขียนมาเหมือนกัน ทำไมจะต้อง ให้พ่อท่านเข็นนะ ทำไม ไม่รู้หรือไงว่าจะต้องทำ จะต้องพากเพียร ไม่รู้หรือไง โง่ยังไงไม่รู้ รู้ แต่เลือดมันไม่เป็น เพราะเราทำยังไงได้ เรามาเกิดในฝั่งนี้ มาอยู่ในเถรวาทอย่างนี้ มันก็สอดคล้องกับ กิเลสเสียด้วย มันขี้เกียจ ใช่ไหม มันอุตสาหะมันไม่เต็ม มันไม่สมบูรณ์ มันไม่มาก มันก็เลยเป็นยังงี้ เพราะฉะนั้น อาตมาไม่สงสัยหรอก คุณเป็นยังงี้ อาตมาก็จะต้อง รู้ฐานะ อันแท้จริง แล้วอาตมา ก็ต้องเข็น

จะเห็นได้ว่า ต้องเข็น จะต้องเคี่ยว จะต้องซ้ำซากซ้ำแซะอยู่อย่างงี้ ลักษณะอย่างงี้เป็นลักษณะแม่ ต้องทำอยู่มากมาย จ้ำจี้จ้ำแฉะ เฆี่ยนแล้ว ตีอีก ตีเล่น ตีหัว ตีแรง ตียังงั้น ดุยังงั้น แต่ก็ไม่ถึงฆ่า ถึงแกงหรอก ก็ยังงั้นนะ สู้พ่อไม่ได้หรอก พัวะหนึ่ง โอ้โฮ! บางทีก็เล่นหมัดพ่อบ้างเหมือนกันแหละ ไม่ใช่อาตมาเป็นพ่อไม่ได้ อาตมาเป็นพ่อนะที่จริงน่ะ แต่ว่าในฐานะ ที่มันกระจองอแง ก็ต้องใช้ ลักษณะแม่ มากกว่าพ่อ แต่พ่อ ระวัง อย่าให้เจอหมัดพ่อก็แล้วกัน ใครเจอหมัดพ่อ แล้วระวังก็แล้วกัน เจอ ก็เจอกันบ้างล่ะ ก็จะเจอกัน หมัดพ่อน่ะระวังก็แล้วกัน หมัดเดียวล่ะอิ่มไปนานล่ะ ดีไม่ดี ไปเลยได้ หมัดพ่อดีไม่ดีก็ออกนอกเขตเทศบาลไปเลยได้ ระวังก็แล้วกัน ไม่ใช่ไม่ใช้นะ อย่าลืมนะ ใครอย่าเจอ ก็แล้วกัน ระวังนะ เจอแล้ว ถ้าหมัดที่เด็ดจริง ๆ แล้ว นี่หมายความว่า เด็ดออกไปเลยนะ หลุดร่วง ออกไปเลยนะ หมัดเด็ดจริง ๆ ถึงขั้นนั้นน่ะ บอกว่า แหม! ไอ้นี่หมดแล้ว พอทีละ ปลิดขั้วเถอะ หรือพัวะ ได้เรื่อง ไม่ต้องห่วงน่ะ ก็มันมีอยู่เยอะ ก็ไม่เป็นไร ลูกตายคนนึง ไม่ใช่ลูกแท้ด้วยซ้ำไป มีลูกเยอะแยะ จะไปกลัวอะไรล่ะ พ่อใจเด็ดนะ เอ้า! จดโศลก ก่อนจะพักช่วงนี้

ก่อภูเขาให้ครบทุกลูก
สร้างลำธารให้สมบูรณ์ทุกสาย
สยายสายรุ้งไปให้ได้ทุกๆ ที่
นี่คือ ปณิธานที่ต้องเป็นจริง ไม่ใช่เพียงซาบซึ้ง

สำหรับวันนี้พอ

สาธุ



ถอดโดย นายยงยุทธ์ ใจคุณ ๑๘ เม.ย. ๓๓
ตรวจทาน ๑ โดย สิกขมาต ปราณี ๑9 เม.ย. ๓๓
พิมพ์และตรวจทาน ๒ โดย นางวนิดา วงศ์พิวัฒน์ ๒๖ เม.ย. ๓๓

0540A-B TAP ตอบปัญหาปลุกเสกฯ ครั้งที่ ๑๔ ตอน ๖