ตอบให้ถึงซึ่งทรัพย์แท้ ตอนที่ ๒
โดย สมณะโพธิรักษ์
วันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก อ.ไพศาลี นครสวรรค์


ถาม : กระผมเป็นเกย์ โอ้โฮ ! (คนฟังหัวเราะ) ปัญหาแรก กระผมเป็นเกย์ มีทางรักษาไม๊ครับ แต่หลังจาก ปฏิบัติธรรม ผมดีขึ้นมากครับ ผมคิดว่า แนวทางพุทธรักษาได้ แต่ก็จะพยายามครับ

ตอบ : เรื่องนี้พูดกันให้ถึงแก่นเลยนะ ไอ้เรื่องของความเป็นเพศสองเพศ เกย์ หรือว่าภาษาเกย์ ภาษาฝรั่งเค้านี่ ภาษาไทยก็กะเทยอะไรอย่างนี้ คือเรียกว่า มันไม่เป็นสัจจะนะ มันประเภทที่เรียกว่า อารมณ์แปลก ไม่เป็นธรรมดา ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นของที่มันควรจะเป็น มันซับซ้อน กลับไปกลับมา โดย ธรรมะแล้ว กะเทยนี่ พระพุทธเจ้าท่านไม่ไว้ใจเลย ไม่ให้บวชด้วย ถ้าบวช เผลอ บวชเข้ามารู้ทีหลัง ให้สึก เป็นพวกที่จะต้องสึกอันหนึ่ง นอกจากปาราชิก ถ้าปาราชิกก็สึกในตัวเองเสร็จ ฟังดีๆนะ อาตมา จะตอบ อย่างที่ว่านี่ ตอบ เจาะให้ถึงเลย เจาะให้ถึงซึ่งทรัพย์แท้ให้จริงๆ เพราะงั้น ลองฟังกันดีๆนะ มันอาจจะแรง มันอาจจะอะไรก็ มันจะได้เด็ดๆขาดๆ ลงไปบ้าง เพราะงั้นกะเทยนี่นะ มันมีกะเทยแท้ กะเทยเทียม ไม่ต้องใช้ภาษา คำว่าเกย์ ใช้ว่าคำว่า กะเทยนี่ มีกะเทยแท้ กะเทยเทียม ถ้ากะเทยแท้ สมัยโบราณ มันไม่มีค่านิยม ไม่มีความวิตถาร ไม่มีการดีดดิ้นเหมือนสมัยนี้ มันครอบงำ มันอะไร เพราะ ฉะนั้น อารมณ์มันแปรปรวน ไปชั่วเดี๋ยวชั่วด๋าวได้ ทุกวันนี้นี่เป็นกะเทยปลอมๆ เป็นกะเทยเทียม เป็นกะเทย ชั่วเดี๋ยวชั่วด๋าว ถูกฝูงทำเล่นก็เลยไปติด ไปอะไร ต่ออะไรกัน เหมือนไปติด ไปยึดอะไร เหมือนไปติดฝิ่น ติดกัญชา ติดเหล้าเละๆเล่นๆ มันไม่ใช่เนื้อแก่นของจิตวิญญาณนะ เป็นได้ เป็นนาน ก็ยังได้เลยนะ ไม่อยู่ในภาวะที่ ถูกผู้ที่ชักนำพา หรือว่าช่วยรักษา หรือว่าช่วย เปลี่ยนแปลง มีสัจจะอะไร ที่จะนำพาให้ดี มันไม่มีอันนั้น ก็เลยกลายไปเป็นอย่างนั้น ไปนานๆก็ได้ก็มี แต่ที่จริง มีก็จะไม่ยืนยัง ยืนยงอะไรหรอก สุดท้าย มันก็จะต้องกลับคืน มันก็ต้องไม่ถาวรอะไร กะเทยเทียมเป็นอย่างนั้น

แต่กะเทยแท้นี่นะ ถ้ารู้ว่า เป็นกะเทยแท้ ถ้าเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปได้ แล้วนี่นะ จะมีสิ่งแวดล้อม หรือไม่มีสิ่งแวดล้อม มันก็เป็นคนอย่างนั้น เมื่อเป็น แล้วแก้ไม่ได้ คนเหล่านี้แหละ กะเทยแท้ พวกนี้แหละ พระพุทธเจ้าให้สึกหมด สมัยนี้มันมีได้ ไอ้ค่านิยมแบบนี้เยอะ เพราะงั้นถามมานี่ อาตมา ไม่รู้ว่า คุณเป็นกะเทยแท้ หรือกะเทยเทียม ถ้าคุณบอกว่า มาพยายามปฏิบัติธรรม แล้วก็ตั้งใจจริงๆ แล้วก็จะต้อง อ่านสัจจะของเราจริงๆ เลยว่า เออ อาการ อารมณ์ของเรานี่ แต่ก่อนมันไปยินดี มันไปชอบ มันเป็นรสชาติ เป็นราคะ เป็นความสุข เป็นรื่นรมย์อะไร เป็นแบบนั้นๆอ่ะนะ อย่างลักษณะ ที่มันไม่เข้าท่านั่นน่ะ ก็คงจะพอเข้าใจว่า มันเป็นอย่างกะเทยอย่างนั้นน่ะ มันไม่ถูกต้อง แม้แต่อย่าง ธรรมดาของผู้หญิง ผู้ชายนี่ เป็นธรรมชาติ พระพุทธเจ้าท่านก็ยังบอกว่า มันก็เป็นกิเลสธรรมชาติ ก็ล้างให้หมดเถอะ แล้วนี่เป็นกิเลส ซับซ้อนวิตถารไปอีกนี่ มันซ้อนเชิงแล้ว อาการมันไม่เข้าท่า มันสับสนซับซ้อน ไม่ได้เรื่อง มันไปอีกเรื่องหนึ่งเลย

ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราหน่ายคลาย เราเห็นแล้ว เอ๊อ แต่ก่อนเราเคยเป็นอารมณ์อย่างนั้น ถ้ามา ปฏิบัติธรรม แล้วเลิกได้ ก็ดี ก็จะได้เป็นกะเทยเทียม จิตคงจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเผื่อว่า คุณทำ ไปแล้ว ปฏิบัติธรรมไป แล้ว อะไรต่ออะไรไปแล้วจริงๆ มันก็ยังไม่ได้ล้างได้ง่ายๆเลย อาตมาก็ว่า เป็นกะเทยแท้แล้ว ถ้าเป็นกะเทยแท้แล้ว ไม่มีทาง พุทธก็แก้ไม่ได้ พุทธก็แก้ไม่ได้ นี่ อันนี้ไม่ใช่ว่า ไม่เคยมีมา มันเคยมีแต่โบราณกาล ในสมัยพระพุทธเจ้าก็มีมาแล้ว

ก็เรื่องราคะนี่แหละ ในเรื่องราคะนี่แหละ ผิดศีล เรื่องราคะนี่มากๆ เข้า ไอ้จากผู้ชาย ไปเป็นผู้หญิง นี่ก็บาประดับหนึ่งแล้ว จากไปเป็นกะเทยนี่บาปหนากว่าไปเป็นผู้หญิง สำส่อนผิดศีลข้อสาม ไปเป็น ผู้หญิง นี่สำส่อนผิดศีลข้อสาม หนัก หนาสากรรจ์ จึงซับซ้อนเข้าไปเป็นบาป เป็นเวร เป็นเวรเป็นภัย เป็นวิบากมาก กว่านั้นนะ อยากเป็นกะเทยก็ไปสิ ทำกามพวกนี้ให้มากๆ เหอ ! อะไรนะ (พ่อท่านถามคนฟัง)

เป็นสุนัขตัวเมีย ...ก็ได้ ก็มันเป็นเรื่องชั้นยังต่ำอยู่ แม้แต่ขนาดมีกิเลสในเรื่องผู้หญิงผู้ชาย ยังไง มันก็ยังเป็นบาปแล้ว เอ้า ! ได้มาอีกใบแล้ว


ถาม : คนที่มีทรัพย์ศฤงคารมากมายในโลก ไม่มีปัญหา ไม่มีอุปสรรคในการทำงาน ชีวิตก็สุขสบาย มีบริวาร มีคนรับใช้เอาใจ และก็ทำความดีบ้างในสังคม สังคมยกย่อง ชีวิตการงาน มีความสำเร็จ ชีวิตสุขสบาย ซึ่งต่างกับเกษตรกร ทุกข์ยากลำบาก แต่มีทรัพย์ภายใน อันไหนจะมีคุณค่ากว่ากัน และสังคม ยอมรับกว่ากัน

ตอบ : ถ้าตอบกันอย่างสัจธรรม ตอบกันอย่างเจาะทรัพย์แท้แล้ว ก็แน่นอน คุณก็ตอบได้ เพราะว่า เราสอนกัน บอกกัน แนะนำกัน ย้ำกันถึงความสำคัญทางด้านเศรษฐศาสตร์ ก็ตาม ทางด้านสัจธรรม ก็ตาม เราก็ได้พูดกันมา หลายนัยนะ เกษตรกรที่ทุกข์ยากลำบาก นี่แหละมันยาก มันลำบาก ที่ทุกข์ยาก ลำบาก ก็เพราะว่า เรื่องของลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขในโลก ในสังคมมันพาเป็น เป็นเหตุปัจจัย สำคัญด้วย มันก็เลยทำให้เกษตรกรนี่ทุกข์ยากลำบากไปหมด สังคมรู้ ผู้บริหารรู้นะว่า ถ้าขืนไปขึ้นราคา ให้ราคาของ อาหารการกิน สิ่งจำเป็นของชีวิตมนุษย์นี่แพง เค้า ยิ่งลำบากตายเลย บริหารประเทศชาติ บริหารสังคม แย่เลยใช่มั้ย มันแพงมันก็ยิ่ง ตายสิ เพราะงั้น สิ่งฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยน่ะ แพงก็ไม่กระไร นี่เป็นหลักสามัญ เพราะงั้น คนบริหารเค้ารู้ เค้าก็เลยต้องกดราคา เค้ายิ่งต้องให้ราคาถูกๆ แล้ว ซับซ้อน ให้เอาเปรียบเอารัด ขึ้นไปอีกใหญ่โต ถูกแล้วยังไม่พอ ถูกเอาเปรียบเอารัด เข้าไปอีก เกษตรกรจึงลำบาก ลำบน แล้วเกษตรกรเอง ก็ไม่มีปัญญา นึกว่าไปได้เงินได้ทองนั่นน่ะดี แล้วก็ตัวเองก็โง่ ไปถูกเขา ครอบงำ มอมเมา ให้ไปหลงใหลได้ปลื้ม ต้องไปจ่าย ต้องไปสุรุ่ยสุร่าย ต้องไปเสียอะไรต่ออะไร ที่โลกเขามอมเมา ครอบงำ ก็เลยไม่มีตังค์พอใช้ซิ รายได้ก็ยิ่ง ได้ค่าของเกษตรกรรม ก็น้อยอยู่แล้ว ถูกอยู่แล้ว ก็ยิ่งไปหลงใหล ตามโลกเขาไปอีก อะไรจะเหลือ ก็จนแสนจนอยู่ นั่นแหละ จนแล้วก็ไม่มี ทางออก เพราะฉะนั้น สัจจะ จนก็ไม่มีปัญหา จนก็เป็นสุข

ที่เราได้พยายามพิสูจน์กันแล้วนี่ มาจน ก็ไม่เป็นปัญหา จนก็เป็นสุข แล้วเราก็รู้ความจริงว่า เป็นเกษตรกร นี่แหละ เป็นบุญอย่างยิ่ง เป็นคุณค่าอย่างยิ่ง เราก็มาทำ เพราะฉะนั้น เกษตรกร นี่แหละ มีคุณค่ากว่า และสังคมยอมรับกว่ากัน

อีกประเด็นหนึ่งว่า แล้วสังคมรับอันไหน ก็เขา สังคมรับไอ้สิ่งที่งมงาย สิ่งที่มอมเมา สิ่งที่เป็นค่านิยม โลกๆ ที่เขาครอบงำกันน่ะซี้ คนรู้ไม่เท่า ไม่ทันเขาก็ไปแย่งชิงอันนั้นน่ะ เพราะว่า คุณค่าของสังคม เขายกยอ ปอปั้น เขาก็ยกเชิดยกชูกันไปตามประสาที่เขาเข้าใจ อย่างนั้น ซึ่งที่จริง เป็นความหลง และมันก็ทุกข์ยาก เพราะว่า ความเข้าใจที่ผิดสัจธรรม และไปเห็นสัจธรรม ที่มันไม่น่ายกย่อง ไปยกย่อง ไม่เห็นว่า น่าได้น่ามี ไปได้ไปมีไปแย่งไปชิง โลกจึงสับสน และทุกข์ร้อน เพราะมันผิดสัจธรรม แต่ถ้า เราเข้าใจแล้ว อย่างสังคมของพวกเราเข้าใจมากขึ้น แล้วเราไม่ทำอย่างนั้น ความทุกข์ร้อน ในสังคม อย่างที่เราๆเป็นอยู่ มันจึงไม่ทุกข์ร้อนนะ เพราะฉะนั้น ทรัพย์แท้อะไรที่ควรจะทำ อะไรที่ควรจะเป็น ผู้ที่รู้ ก็ย่อมแสวงหาสิ่งที่เป็นคุณค่า เป็นทรัพย์แท้

ถาม : การเล่นกีฬา เป็นกิเลสใช่หรือไม

ตอบ : ตอบกันกำปั้นเปรี้ยงเข้าไปเลย ยิ่งเอาปัจจุบันทันด่วนแล้ว การเล่นกีฬา เป็นยาผีเปรต (คนฟังหัวเราะ) พอกพูนกิเลส ทำคนให้เป็นควาย (คนฟังหัวเราะ) เอาหละ ไม่ได้ไว้หน้ากันแล้ว อีงวดนี้ เมื่อกี้นี้มีครูพละไป (พ่อท่านหัวเราะ) พูดว่า ผมก็ไม่อยากสอนแล้วครับ ก็ฟังสัจธรรมแล้ว ผมเป็น ครูพละ ผมก็ไม่อยากสอนแล้ว อาตมาก็ไม่รู้ซี คุณก็พยายามดัดแปลงสิ อาตมามีเป็นนักเรียน เวลาชั่วโมงพละนี่ ครูก็พาให้ออกกายบริหาร มีท่าเหมือนโยคะนี่แหละ ก็กายบริหารกระโดด ปิ๊ด-ปี้-ปิ๊ด มือแขน โน่นนี่โน่นนี่อะไรบ้าง ทำอันนี้แล้วเสร็จ นอกนั้น เวลาเหลือก็ไปทำสวนครัว ทำสวนครัวแข่งกัน ครูให้คะแนน ผลงานของสวนครัวด้วย เสร็จแล้ว นอกจากทำสวนครัว ก็หาเวลาไปบูรณะ สะพาน ไปบูรณะถนน ไปลอกคูลอกคลองทำ เวลาชั่วโมง ของพลศึกษา สมัยอาตมาเป็นนักเรียน อาตมา ทำอย่างนั้น ได้ออกกำลัง และมี By product มีผลเกิด มีผลพลอยได้ ที่ดีที่งาม แข่งขันกันก็ได้ ครูให้คะแนนอยู่ แข่งขันกัน ใครทำได้ดี ใครทำได้สูง ใครทำได้สำเร็จ ดีมีคุณภาพ มีอะไรต่างๆ นาๆ พวกนี้ ได้ แต่สมัยนี้ไปหมดแล้ว แต่ก่อนนี้ เตะฟุตบอลนี่แหละ เก็บเงินไม่ได้หรอก ไม่มีใคร ไปดูหรอก เก็บเงินเตะบอล แข่งบอลแข่งเบินกัน นี่โอ้โห! มีคนไปดูนี่มีเกียรติ ไปเชิญเขา ไปของ้อไปดูหน่อยน้า ไปเชียร์หน่อยน้า เดี๋ยวนี้ เสียเงินเข้าไปดู วิธีการของเขามอมเมา เขาปลุกเร้า ให้คนไปติด ให้คนไป หลงใหล ให้คนไปมันไปอร่อยอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา สารพัดสารเพ จนคนน่ะ งมงาย ติดลงไป อย่างยิ่งเลย เสียเงินเท่าไหร่ ก็ไปดู ยิ่งคู่ที่ว่ามัน แหม ! ฝีมือระยับเลยนะ แหม ! หมัดเด็ด อย่างโน้น อย่างนี้อีก มันอะไรอย่างนี้ แล้วมันก็มีอุปาทาน เข้าไปหมด

อาตมาบอกแล้วว่า นักกีฬา ในระดับอาชีพนี่นะ สุขภาพแย่ทุกคน ปลายมือแย่ทั้งนั้นน่ะ แคสเซียส เคลย์ เป็นไง ทุกวันนี้ ก็เหมือนคนพิการ นั้นเอง หลายคน ดังๆใหญ่ๆ ได้เงินได้ทองมา นักมง นักมวย แสนศักดิ์ เมืองสุรินทร์ เดี๋ยวนี้ก็เป็นไง ตาก็บอดหมดแล้ว ใครต่อใครพิการทั้งนั้นน่ะ โผน กิ่งเพชร ก็ตาย อายุไม่ยืนเท่าไหร่ ใครอีกล่ะ หลายคนน่ะ เยอะแยะ ส่วนมากอ่ะนะ อาจจะมีบ้าง แต่ส่วนน้อย ที่รอดมาได้ เป็นนักกีฬาอะไร ก็ตาม ฟุตบอลก็ตาม มวยก็ตาม ยิ่งมวยนี่ยิ่งชัดใหญ่เลย เสร็จแล้ว โอ้โห ! ราคามันมอมเมากัน ราคามันจะขนาดไหน มันแทง เอ๊ย มันชกกันทีหนึ่ง ยิ่งรุ่นหนักๆ นี่ โอ้โห ! เป็นพันล้าน จุ๊ย์ จุ๊ย์ นี่ มันเรื่องของธุรกิจ เรื่องสร้างอะไรกันขึ้นมา อาตมาก็พูดรณรงค์ เค้าก็ไม่ฟัง แล้วก็หาว่าเรานี่ มันมาขวาง ขวางโลกเค้า มนุษย์ขวางโลก ใช่ เรามนุษย์ขวางโลก เพราะเรา มนุษย์โลกุตระ นี่นะ เขาพูดถูกของเขา เราขวางโลกแน่ เพราะโลกมันไม่เข้าท่า โลกมันพา ไปหาทุกข์ นี่ บอกว่าการกีฬา เป็นกิเลส ใช่หรือไม่ ขอให้อธิบายด้วย ก็ เชิงอธิบาย อธิบายไปแล้ว มันเป็นเรื่อง ที่เกินเลย มันเป็นเรื่องไม่ดี อาตมาพูดมาแล้ว แต่เป็นเท็ปเก่าๆ หรือจะเอาแม้แต่ ในหนังสือแสงสูญ รวมรวมเรื่อง ของกีฬานี่เอาไว้ เป็นเรื่องไม่ดียังไง วิเคราะห์วิจัย เอาบทความเรื่อง หลักฐาน โน่นนี่ อะไรต่ออะไรมาเยอะ ก็ไม่มีใครจะมา กล้าย้อนแย้ง โต้แย้ง โต้ต้านอะไร เท่าไหร่หรอก นะ เค้าไม่กล้า เพราะว่ามันจริง เราพูดนี่มันจริง แต่เค้าก็ทำเป็นแซว ทำเป็นยั่วๆเราเหมือนกันน่ะ ว่าเรานี่มันบ้า ขวางโลก ทำไมเค้าหยั่งนี้ แต่พูดถึงเหตุผล ที่จริงเค้าก็จำนน

ถาม : การเล่นกีฬาแบบอริยะมีหรือไม่ ถ้ามี เล่นอย่างไร โปรดอธิบาย

ตอบ : (พ่อท่านหัวเราะ) การเล่นกีฬาอย่างอริยะ ก็ให้มันได้เกิดกีฬาที่จริง มันแปลว่า การละเล่น คำว่ากีฬา นี่ภาษาบาลี กีฬานี่แหละ มันแปลว่าการละเล่น มันไม่ใช่เรื่องจริง แล้วบอกว่าเรื่องจริงอริยะ เอ้า! ก็เรื่องอริยะ มันต้องเรื่องจริงสิ เรื่องจริง

ไม่ใช่อริยะ การนี่เป็นการเล่น ไม่ใช่การจริง แล้วมันจะเป็นอริยะตรงไหนล่ะ เอาหละ ก็เอาความฉลาด มาประกอบบ้าง เพราะงั้น ถ้าเผื่อว่าเราจำเป็นที่จะอนุโลม สำหรับคนที่เค้าติดกีฬาอยู่บ้าง อาศัยกีฬา เป็น ฐานอาศัย เหมือนกะคนติดฝิ่น ต้องเอาให้สูบนิดหน่อย ประเดี๋ยวมันจะลงแดงตาย อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็ให้เค้าบ้าง หรือจะกายบริหาร จะออกกำลัง เพราะไม่มีเวลา เพราะว่ามีโอกาส อะไรต่างๆ นานา ก็เป็นกีฬา หรือไปเป็นการที่กระทำอย่างนั้น เพื่อให้เกิดการบริหารร่างกาย นั่นก็ได้ ก็แค่นั้นแหละ ถ้าจะให้ มันเรียกว่าอริยะ กีฬาอริยะ ก็เป็นกีฬาโยคะ กีฬากายบริหาร กีฬาอะไร ที่มีผลพลอยได้ที่ดีๆ ขึ้นมาก็ได้ อย่างนั้นเรียกว่า กีฬาอริยะ อย่าให้มันเสื่อมเสีย ให้มันเสียทั้ง สุขภาพกาย และก็เสียทั้ง ที่จริงสุขภาพจิต ก็เสียนะ เพราะว่าโง่ลง ๆ กีฬาที่เค้าเล่นมันโง่ มันถูกมอมเมา มันติดยึดเอร็ดอร่อย อะไรมากเกินไป แล้วมันก็หลงใหลอะไรไปอย่างนั้นน่ะ ดีไม่ดี ก็เลยยึดติดกันหนักๆ ถือฟาก ถือข้าง ถือฝ่าย ไปเตะกันต่อยกัน ฆ่ากัน แย่งเอาชนะคะคานกัน โอ๊ ! อภิมหาเละ

ถาม : การดูหนัง ดูวิดีโอ ดูแบบอริยะ ดูอย่างไร

ตอบ : แหม คนนี้นี่ถาม (พ่อท่านหัวเราะ) ดูหนัง ดูวิดีโอ ดูแบบอริยะคือดูอย่างเป็นคนมีปัญญา ดูอย่างเข้าใจ เรามีวิดีโอกัน ให้ดูอยู่ในวัดในวานี่ก็มีนะ อย่างที่ปฐมฯ อย่างที่สันติฯ นี่มีเป็นประจำ ดู ก็ทุกวันนี้นี่ พอเวลาจะฉายวิดีโอ ตอนเย็นนี่นะ มีเรื่องนั่นเรื่องนี่บอก ก็ไม่เห็นใครมาดูกัน ก็จำนวน บางทีมาดูแล้วเรื่องนี้ เอ๊อ ! ไม่น่าสนเท่าไหร่ ก็ไม่เห็นมาดูอะไร บางทีประกาศให้มาดู ไม่ค่อยมีมาเลย ก็จะไม่คุ้มค่าไฟ (พ่อท่านหัวเราะ) เอาไปเอามานะ มันก็ไม่อะไร เท่าไหร่ ไม่ได้ไปตามใจกำหนดให้ดูนี่ คุณจะมาเลือกดูเองไม่ได้ เลือกให้คุณดู ไม่ใช่มาเอาใจคุณ แล้วก็ดูให้มันเป็นประโยชน์ เท่าที่เป็น ไปได้นะ เราก็ ประมาณ อย่างอาตมานี่เซ็นเซอร์ ก็ประมาณว่า กาละนี้อย่างนี้ ขนาดนี้ อันนี้ได้พอ เหมาะพอดีไม๊ ก็เอา ก็ให้ดู ทีนี้ หลักการในการดู จะเป็นวิดีโอเรื่องราว เป็นวิดีโอที่ได้รับเซ็นเซอร์แล้วว่า เป็นเรื่องเป็นราว ไอ้สารคดี ไม่มีอะไรมาก สารคดีที่ดี อย่างสารคดีเมื่อเช้านี้ก็เกินไป สารคดีเรื่องเอดส์ เมื่อเช้านี้ อาตมาเซ็นเซอร์แล้ว ไม่ให้ผ่าน เพราะว่า มันจะเสียหายทางจิต คือจิตมันจะเกิดกลัวเกิน ไป เพราะว่าเค้าชี้ เค้าบอก ประเดี๋ยวน๊า นี่อาการเริ่มแรก จะเป็นอย่างนี้ ถ้ามีอาการยังงี้แล้วก็ เดี๋ยวผวา กันใหญ่เลย แล้วมันเป็นได้ อาการออกมาคล้ายๆ กันนี่ มันจะมีนะ เป็นอย่างโน้นอย่างนี้มั่ง เป็นอย่างมั่ง เป็นผื่น เป็นแดง เป็นโน่นเป็นนี่ หรือมีอาการ ไม่อยากกินข้าว มีโน่นมีนี่อะไรต่างๆ ท้องเดิน ท้องร่วงอะไรแล้ว แต่มันมี เค้าบอกอาการไว้ละเอียดเลย ในระยะเริ่มแรก จะเป็นอย่างนั้น ประเดี๋ยวเถอะ เริ่มแรกมันก็ไม่ใช่

คนฟัง : เอดส์เทียม

พ่อท่าน : เอ้อ ! เอดส์เทียม ประเดี๋ยวก็จะผวาเป็นเอดส์กัน แล้วก็เป็นพิษ ทางใจทางนี้ ซึ่งอาตมาว่า ไม่ดี เพราะว่า เค้าสื่อชัดเกินไป สื่อกัน มันโป๊น่ะ พูดในลักษณะอีกอย่างหนึ่งว่า นี่แหละมันโป๊ คือมัน สื่อชัดเกินไป สื่อกันจนเลยขนาด ซึ่งคนที่จิตหรือปัญญา จิตอ่อน ปัญญายังไม่ถึงนี่ มันไปไม่รอด มันเป็นผลเสีย ไปอีกทางหนึ่ง อาตมาก็เลยไม่ให้ดู บอกว่าเอาหละ เอาภาพนิ่ง เอาโปสเตอร์เอาอะไรนี่ พูดกัน บรรยายกัน พอสมควร ไม่ให้มันจริงขึงขัง จนกระทั่งเห็นรูป เห็นภาพ เห็นสี เห็นไอ้โน่นนี่ เกินไปนัก อันนี้อย่าเอา เอาแค่นี้ เพราะงั้น เมื่อเช้านี้ อย่างสารคดี สารคดีน้อยที่จะเซ็นเซอร์นั่นน้อย ไอ้ที่มันจัดเกินไป บางทีอย่างว่า อย่างที่ไม่ให้ดู นอกนั้น ถ้าจะเป็นเรื่องเป็นราว เป็นนิยาย เป็นเรื่องโน่น เรื่องนี่อะไรต่ออะไร อาตมาให้ให้ดู แล้วให้ตั้งใจดู ให้เห็นว่า เรื่องราว หรือว่า เป็นหนัง เป็นละคร อะไรที่เค้าฉายนี่ จะมีหลักการในการดู ๔ ชนิด ๔ หลัก โดยหลักการ (พ่อท่านหัวเราะ) เดี๋ยวกลับไป สันติอโศก ไปดู อย่างปฐมอโศกนี่ เค้าฮิตกันแล้ว โดยหลักการนี่ อย่างเห็นได้ว่า สิกขมาตปลูกบุญนี่ มาจากปฐมอโศก พูดไปอย่าง กะเป็นจริงเลยนะ พูดไปออกมาเลย โดยหลักการ อ้า ! ติดอย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็เหมือนกับเค้าไม่ได้เจตนานะ อาตมายังเจตนานะ พูดแล้วมันก็เลยดูมัน ไม่ขำเท่าไหร่หรอก แต่ถ้าไม่เจตนานี่มันดูขำ (พ่อท่านหัวเราะ) แล้วพูดบ่อยๆ ซะด้วยนะ อะไรนิดอะไรหน่อย ก็โดยหลักการ แน้ ! แน่ มีหลักการอยู่สี่ มันคล้องจองกัน อาตมาตั้งใจ ที่จะพยายามใช้คำนี่ให้คล้องจอง การดูเพื่อ ให้เกิดประโยชน์ เป็นโสตทัศนะศึกษา ในการดูเรื่องราว ดูหนัง ดูละคร ดูอะไรพวกนี้

หนึ่ง ให้เกิดอริยญาณ ดูแล้วให้เกิดอริยญาณ ให้เกิดอย่างไร เราจะทำจิตใจ โน้มน้อมจิตอย่างไร ดูแล้วจะต้องพยายามดูให้เข้าใจ เห็นทุกข์อริยสัจ เห็นเหตุ คือสมุทัย ก็คือกิเลสตัณหา มันเกิดจาก กิเลสตัณหา ความโลภ ความโกรธ อาฆาต เคียดแค้น รักโลภ โกรธ หลงนี่แหละ เป็นตัวหลัก ตัวเหตุ เห็นให้ได้ว่า โอ้ย ! ไอ้พวกนี้ มันเป็นเหตุจริงๆ แล้วมันเป็นเรื่องราวที่ทุกข์น้า นั่นแหละ เป็นทุกข์อริยสัจ ทุกเรื่อง ทุกเรื่อง ดูเรื่องไหน ก็จะเห็นอริยสัจข้อหนึ่งนี่จริงๆเลย มันเป็นทุกข์ ดูไปเถอะ เรื่องไหน จะลงเอยด้วย Happy ending หรือไม่ Happy อะไรก็ตามแต่ ดูทั้งเรื่องไปแล้ว มันเป็นเรื่อง ของทุกข์ ทั้งนั้นเลย นี่เป็นข้อแรก เพราะงั้น คุณยิ่งดู ไม่ใช่ชีวิตของเราไปผ่านนะ แต่เค้าผ่าน บางเรื่อง จะคล้ายๆ กัน แหม ! เสร็จแล้ว โอ๊ย เค้าไปอย่างนี้แล้ว เรายังไม่ไปถึงนั่นเลย อุตริถอยหลังทัน ว่า โอ๋ย ! เราไปแล้ว มันจะไปอย่างนั้นเหรอ ตายหละหวา มันจะได้ถอยหลังทัน หรือแม้ว่าเราจะเพียงเริ่มคิด โอ๊ย ! ถ้าไป แล้ว มันจะไปอย่างนั้นเหรอ อ้าว ! รีบอย่า อย่าเชียว ถ้าเห็นทุกข์แล้ว มันก็จะ ไม่กล้าเดินหน้า แต่ถ้าดูแล้ว ก็บอก ดีจังเลย น่าเป็นอย่างนั้นจังเลย น่าอย่างนี้จังเลย มันดีจังเลย ไปหละ ทีนี้ยุ่งหละ เพราะงั้น ดูให้เห็นทุกข์อริยสัจ ยิ่งเห็นเหตุแห่งทุกข์ได้ยิ่งดี นี่เป็นข้อแรก ในขณะดูนี่ ปัจจุบันธรรม หนึ่งให้ เกิดอริยญาณ

สอง ทำการปฏิบัติ มีสติปัฏฐานสี่ มีสัมมัปปธานสี่ มีสังวรปธาน มีปหานปธาน ดูไปก็ฆ่ากิเลสไปด้วย มันที่จะจูงดึงเราไป อู้ฮูย ! เราจะไปคล้องตามก็ แหม รักหวานชื่นไปแล้วนะ แหม บู๊สะใจ ไปตามการบู๊ การแก้แค้นการอะไร ยั้งใจ รู้ตัวมีสติ อ่านจิตเราก่อน เราจะถูกเค้าโน้มน้อมใจ ย้อมไปเห็นดีเห็นชอบ ตามรัก ตามโลภ ตามโกรธกะเค้าแล้วนะ เห็นให้ชัด แล้วได้ปฏิบัติในขณะนั้น ขณะนั้น ทันทีทันใด ทันทีทันใด ทำการปฏิบัติในการดู เพราะฉะนั้น ต้องมีสติ สัมปชัญญะ ดูให้ดี ทำการปฏิบัติไปด้วย เป็นแบบฝึกหัด จริงๆเลย ขนาดหนังคุณยังเกิดรส เกิดเห็นตาม คล้อยตาม เกิดหลงใหลได้ปลื้ม ตามขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องจริง เป็นยังไงล่ะ จมกับจมเท่านั้นเอง จะไปเหลืออะไร ขนาดไม่ใช่เรื่องจริง ก็รู้อยู่ว่าดูหนัง ก็ยังเป็นอย่างนั้นได้ เพราะฉะนั้น เราก็จะรู้ เราจะรู้ตัวว่า เราจะมีจิตอ่อนแอ หรือแข็งแรง ขนาดไหน

สาม อัดพลังกุศล เพราะฉะนั้น ที่เราไม่เจริญทุกวันนี้ นี่เรายังไม่ซาบซึ้งต่อกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะงั้น กุศลธรรม แม้แต่ทางโลก ซาบซึ้งในคุณค่า ธรรมดามีเมตตา น่าซาบซึ้ง โอ๊ ! เค้ามีความอดทนน่ะ ซาบซึ้งนะ มีการเสียสละ น่าซาบซึ้งนะ มีอะไรที่น่าซาบซึ้งกตัญญูกตเวที ที่น่าซาบซึ้งนะ อะไรพวกนี้ เป็นต้น พลังกุศลพวกนี้ ประทับใจเข้าไว้ เราจะได้มีพลังในการที่จะ ยังกุศลให้ถึงพร้อมได้มากๆๆๆๆ มันมีแต่ละเรื่อง แต่ละราว ที่ หนังที่มันดีๆ มันมีนัยที่จะทำให้เราเห็นกุศลต่างๆ มันน่าเอาอย่าง โอ๊ ! ไอ้นี่ เราเป็นไม่ถึงเค้า เลยนะ แหม มันน่าประทับใจนะ เค้ามีอย่างนี้โอ้โฮ น่าปลาบปลื้ม น่าประทับใจ อัดพลังกุศล

สี่ ฝึกฝนโลกวิทู หรือว่าพหูสูต หมายความว่า เราดูเงี้ย เราก็รู้โลกเค้า รู้โลกกว้าง พหูสูต มีความรู้ มากๆๆๆ ขึ้นไปตาม โอ๊ ! โลกเค้าเป็นอย่างนี้ โลกีย์ก็เป็นอย่างนี้ หลายอย่างเราไม่มีสิทธิ์เลยในชีวิตนี้ ที่เราจะไปเป็น อย่างนั้น ไปถึงอย่างนั้น เราไม่ถึงอ่ะ โอ้โห! มันบ้าๆบอๆดี ไม่ว่า ด้านรักด้านโลภ ด้านโกรธ ด้านหลง มันไปถึงขนาด เราไม่มีสิทธิ์ จะได้ไปซอกแซก ถึงขนาดนั้นเลย นั่นแหละ โลกวิทู ต่างๆ แล้วมันก็เป็นอย่างนั้น อย่างเรื่องเจ้าพ่อ เห็นไม๊ ตอนนี้เมืองไทยกำลัง โอ้โฮ ! เขาเปิดเผยออกมา เหมือนกัน เหมือนกันเลย กับในหนังจีน เห็นม๊ะ เหมียนกันเลย (พ่อท่านหัวเราะ) โอ้โฮ! นั่นหละ ตามล้างตามผลาญกัน แล้วหากิน ด้วยวิธีได้มายังไง อะไรต่ออะไร สร้างอิทธิพล อิทธิฤทธิ์ อำนาจ อย่างโน้นอย่างนี้ มีอะไรต่ออะไร เห็นไม๊ แหม มันเหมือนเล่นเล่ห์ เล่นชั้นเชิง แล้วเป็นอยู่อย่างไร โอ้โฮ! เหมือนกันเลย แน้ะ ! เราจะรู้โลกกว้าง เป็นโลกวิทู เป็นพหูสูต ต่างๆนานา อย่างนั้นจริงๆ

ถ้าเราดูแล้ว เราไม่เป็นทาส เราไม่ตกเป็นผู้ที่ถูกครอบงำหรือมอมเมา เราก็จะได้ประโยชน์อย่างนี้ เป็นต้น อันนี้ ก็ขยายความให้ดู หลายๆคน ไม่ได้ยินได้ฟังนัก แต่ส่วนผู้อยู่ใกล้ อยู่ชิดนี่ เรื่องเหล่านี้ อาตมานำพา มาหลายปีแล้ว สอนมาให้มีอาวุธคุ้มภัย มีภูมิคุ้มกัน ในการแม้จะดู ถ้าเราดูอย่างแพ้ เรียกว่ามหรสพ ถ้าเราดูอย่างชนะ เรียกว่า โสตทัศนะศึกษา


ถาม : ว่าด้วยเรื่องผีๆ ลูกอยู่บ้านนอก ที่นี่มีผีปอบ (เขาว่า) มันชอบกินเขียด กบดิบๆ แล้วก็คนด้วย คนอ่อนแอ และเด็กเพิ่งคลอด และชอบออกหากินกลางคืน จะมีดวงไฟขนาดเท่าตะเกียง ขึ้นที่หน้าผาก ถ้ามีคนเห็น มันจะแปลงร่างเป็นหมาใหญ่ และลิงตัวโตๆด้วย พ่อท่านว่ามีจริงไม๊ค๊ะ

ตอบ : ผีอย่างนี้ เราเรียกว่าผีหลอก ไม่ใช่ผีจริง มีจริงไม๊ มี เค้าหลอกกันจริงๆ จริงไม๊ ไม่จริง เพราะมันหลอก (คนฟังหัวเราะ) แล้วมีจริงไม๊ มี จริง เพราะมันหลอกกันจริงๆ มีอยู่ ไม่ต้องวนนะ ฟังดีๆ ฟังให้ชัด ทีนี้ คนที่เชื่อ จริงๆว่า ไปหลงถูกเค้าหลอกแล้ว ก็หลงตามเค้าว่า มันจริง มันก็มี อุปาทาน ไอ้ อุปาทานนี่ ไม่ใช่เรื่องเล่น นะคุณ ตานี่สามารถมอง สิ่งที่ไม่เห็นนี่เห็นได้

อาตมาพิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ นี่ก็เล่ามาซ้ำซาก อาตมาเคยเล่นสะกดจิต สะกดจิตคุณเสร็จแล้ว อยู่ในอำนาจนี่ พิสูจน์จิตคุณเนี่ย พอสะกดจิตคุณเสร็จแล้ว เราก็สั่งเลย ให้คุณเห็นสิ่งที่ไม่มี มี ตรงนี้ ไม่มีเสือ แล้วบอก เอ้า ลืมตามานะ นี่ เราจะพาไปป่านะ นี่ มีเสือตัวใหญ่น่ากลัวเลย เดี๋ยวเห็นเสือ แล้วตั้งใจดีๆนะ เอ้า ลืมตาขึ้นมา เห็นเสือจริงๆ วิ่งเลย ตามจับกันจะแทบตาย ไม่มีเสือหรอก เห็นเสือ

หรือสิ่งที่มีบนโต๊ะ นี่ เอ้า บนนี้ไม่มีอะไรนะ เอ้า ลืมตาออกมา เขาจะไม่เห็นอะไรเลยบนโต๊ะ นี่ แล้วเรา ก็พิสูจน์ เอ้า ลองเอามือควานดูซิ ไม่เชื่อ ก็บอกเค้านะ แต่เค้า ไม่รู้สึกหรอก แต่ที่จริง มีอะไรอยู่ในนั้น เขาก็ควาน ควานปั๊บ จะชนเลย ชนของบนโต๊ะ เพราะถ้าเขาเห็น เขาจะไม่ชน ใช่ไม๊ นี่เขาไม่เห็น เขาจะต้องชน เอาของวางไว้ใกล้ๆมือเขา อะไรอย่างนี้ บอก เอาลองซิ ไม่เชื่อก็ควานดูซิ เราจะรู้ ว่าคน ที่ยื่นมือไปนี่ รู้ว่าของอยู่ข้างหน้าเรา มีหรือไม่มี คนที่รู้ว่า มี กับคนที่รู้ว่าไม่มี นี่มันต่างกัน เราพิสูจน์ ได้เลย ว่าคนนี้ ไม่เห็นของบนนั้นจริงๆ จะชนของบนนั้นเลย ไม่เห็นอ่ะ เห็น เราก็สะกดจิต ไว้ก่อน สั่งว่าให้เห็นโต๊ะเปล่าๆ แต่แท้จริง มีของอยู่ในนั้น และเขาจะไม่เห็นของนั้น เห็นก็ได้ ไม่เห็นก็ได้ เห็นเป็นอะไรก็ได้ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนี่ เป็นได้ สะกดจิตแล้วก็สะกดไปว่า เอ้าน๊า ตอนนี้จะเอา น้ำตาลหวาน ให้กินนะ เอาพริกขี้หนูให้กิน อ้าว เคี้ยวหวาน เอาหวานให้กิน พริกขี้หนูเฉย หวาน อันนี้ อาตมาเคยทำ พิสูจน์อยู่ที่แดนอโศก ที่จริงอาตมาไม่อยากทำหรอก แต่ทีนี้ พระเขาอยากรู้นัก ก็เลย สะกดให้ดู แล้วก็เอาพริกขี้หนู ให้เขากิน กิน กินได้ แต่สะกดอันนั้นไม่ลึกนัก เขาก็บอกเหมือนกันว่า เขาก็มีรสบ้าง แต่ว่ามันไม่ถึงขนาดเป็นหวานหรอก แต่ว่าไม่เผ็ด แต่ที่จริงพริกขี้หนู มันก็เผ็ดน่ะ ก็กิน กินพริกเลย

เผ็ดซิ เอ้า ! เผ็ดซิ เหมือนพวกเข้าทรงนั่นไง สูบบุหรี่ทีละ เป็นปึ้งเลย แหม ห้า มวนสูบ กินเหล้า อักๆๆๆๆ ไม่เมา ไม่อะไรหรอก จิตมันยิ่งใหญ่ จิตนี่มันโอ้โห อาตมาเคยเล่น เพราะฉะนั้น ไอ้ที่บอกว่า จะเห็นผี เห็นเป็นตัวเป็นตน ไม่มีอะไร มันก็มีตัวมีตนได้ อย่าว่าแต่มีตัวมีตนเลย ถึงผัสสะ นี่ คนที่มีเมีย กะนางไม้ นางไพร อะไรพวกนี้ คนที่มีสามีเป็นอะไรต่ออะไร อะไร? (พ่อท่านถามคนฟัง)

เฮ้อ ! มันบังเอิญ บอกอีกทีซิ บอกสองหน สามหนซ้อนกันซิ ถ้าแน่จริงอ่ะ ปัทโธ่! คนเรานี่ ร้อยวัน พันปี มันก็มีอะไร บังเอิญตรงมาสักครั้ง อะไรก็ไปหยิบเอาอันนั้นมา เหมือนอาตมาเคยอธิบายให้ฟังว่า อย่าง ศาลพระพรหม ศาลเจ้าพ่ออะไรเนี่ย บอกว่าเฮี้ยนนัก แหม ถูกนะ ไอ้คนมาบนนะ มาบนพันคน ในพันคน แน่นอน บนแล้วมันก็ต้องไปทำกิจทำการนั้น มันก็ต้องได้สมใจทั้งนั้นน่ะ ในนั้น ส่วนหนึ่ง ใช่มั้ย พันคน แล้วก็ไปทำกิจ ทำการนั้น มันก็ต้องได้สม ได้สำเร็จผลประโยชน์ สักสิบราย มันก็ได้ สิบราย รายสิบรายน่ะ กลับมาแก้บน เราก็เจอแต่คนที่สำเร็จ แต่อีกเก้าสิบราย มันไม่ถูก มันก็หายไป มันก็ไม่มาแก้บน แล้ววันหลัง ก็มาอีกพันหนึ่ง เพราะคนนิยม ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น จะมีสภาวะ ต่อเนื่องอยู่ เห็นแต่คนที่สมหวัง อยู่ทั้งนั้นเลย ปรากฏตัว แต่คนไม่สมหวังนี่หายไป และคนที่มาบน อยู่ในจำนวนอย่างนี้ เพราะคนนิยมก็มา จำนวนอย่างนี้ มาบนกันอยู่อย่างนี้ เพราะงั้น ศาลเอราวัณ อะไร พวกนี้ อยู่ในลักษณะนี้ทั้งนั้นเลย ลักษณะนี้ทั้งนั้น นี่เป็นสถิติธรรมดา คุณไม่ต้อง ไปคิด ให้ปวดหัวอะไรล่ะ ง่ายๆ แล้วก็เฮโลเชื่อกันอยู่งั้นล่ะ ไม่ได้เรื่องเลย อย่างนี้ เป็นธรรมดานะ เพราะงั้น เรื่องพวกนี้ ถ้าเราไม่รู้ของจริง ไม่รู้ความจริง เราก็นึกว่า มันจริง อย่างโน้นอย่างนี้

และอย่างที่บอกว่า ผีสางนางไม้นี่นะ มีสามี ไม่มีตัวตนหรอกนะ อู๊ย! มีผัสสะ เหมือนมีตัว มีตน ไอ้อย่างนี้ อาตมารักษามาแล้ว บ้ามาอย่างนี้ รักษามาแล้ว แหม มีสามีอยู่นุ๊งนิ๊ง นุ๊งนิ๊ง บ้าเลยนั่น ต้องออกจาก โรงเรียน ตอนนั้นเด็กคนนี้นี่ อายุสิบเจ็ดเอง เรียน ม.๗ ม.๘ ต้องออก พ่อแม่นี่ โอ๊! เดือดร้อน เอามาให้รักษา ก็รักษาไป หาย แหม ต้องเล่นกับพระพรหมบ้าๆ บอๆ นี่ พวกนี้ แต่ก่อน อาตมาก็ไม่รู้ ก็เล่นไปตามนั้นน่ะ เรื่องจิตน่ะ เรื่องทางจิต แล้วเค้า ก็เชื่อจริงก็หายไป นี่ยังมาหา อาตมาเลย ที่สันติน่ะ อายุสี่สิบ จะห้าสิบแล้ว ก็ตอนนั้น อาตมาก็ยังหนุ่ม เค้าก็แค่เด็ก อายุ ๑๗ ยังมาหาอาตมา บอกจำหนูได้ไม๊ บอก จำอะไรได้หละ ก็แก่แรดแล้ว ตอนนั้นมา อายุสิบเจ็ด (คนฟังหัวเราะ) ตอนนี้มา เกือบจะห้าสิบ สี่สิบกว่าแล้ว ใครจะไปจำได้ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) เขาบอกตอนนั้นไง หนูไปให้รักษา โน่นนี่อะไรมาบอก โอ้โถ! จำไม่ได้หรอก (พ่อท่านหัวเราะ) มีภรรยา เป็นนางไม้ มีเนื้อมีตัว มีคนจริงๆเลย แหม มีตัวลูก คนนั้น หลานคนนี้ ตายไปแล้วมาเกิด แหม เห็น มาใส่เสื้อใส่ผ้า ชุดนั้น ชุดนี้เลย เห็นตัว จับตัว จับเนื้อจับตัวด้วยนะ แต่ของจริง ไม่มีจริง ไม่มีความจริง แต่เขาเชื่อไม่ได้ เขาเข้าใจก็ไม่ได้ เขาเล่นไม่ถึง เขาก็นึกว่า เป็นของจริง อุปาทานนี่ เป็นได้ถึงปานนั้น ตามทวารทั้งหมดนะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สัมผัส มันเหมือนจริง หมดเลย แต่แท้จริง มันไม่มีจริงนะ เพราะงั้น นี่แน่ะ ผีหลอกอย่างนี้นี่ ยังมีอยู่ตลอด นิรันดร์กาล เพราะไม่เข้าใจเท่าทัน ถึงอุปาทาน ก็จะเชื่ออยู่อย่างนั้น

ทีนี้ถ้าคุณเกิดมาเข้าใจ มาศึกษาทางธรรมะ เกิดญาณพอสมควรแล้ว ทีนี้มันก็เห็นแล้วผี อยากเห็น เท่าไหร่ ก็ไม่เห็น พอไปนั่งหลับตานี่ แหม ไม่มีอุปาทานนี่นะ อู๊ย! ทำไมเราไม่เห็นเทวดา ทำไมเรา ไม่เห็นผีซักที เป็นตัวเป็นตน อู๊ย! เรานี่ไม่มีบุญนะ ไม่มีบารมี คนที่มีบุญบารมีเค้าเห็น ที่แท้คนนั้นน่ะ ไม่มีบุญบารมี มีอวิชชา ถูกหลอกได้ง่าย ก็เลยไปเหินปั้นตัวปั้นตนขึ้นมาเยอะ ไอ้คนปั้นไม่ได้ มันกลับกัน ใช่ม๊ะ ไอ้คนที มันปั้นยังไงก็ไม่ขึ้นน่ะ ดีแล้ว คุณไม่มีความงมงาย คุณก็เลยปั้นไม่ขึ้น ไม่มีอุปาทาน และกลับน้อยใจว่า ตัวเองไม่มีบารมี ส่วนไอ้คนที่มีอวิชชา หลงดีใจว่าตัวมีบารมี เห็นไม๊นี่ สัจจะ มันเป็นอย่างนั้น มันกลับกัน ตัวเอง ไม่ซวยล่ะ อยากจะไปซวย (พ่อท่านหัวเราะ) ส่วนคนซวย หลงว่า ตัวเฮง นี่ก็ ถามมาแล้ว บอกว่า ถามพ่อท่านว่า จริงไม๊ค่ะ ไม่จริงหรอกนะ เป็นเรื่องหลอกๆ งั้นแหละ


ถาม : ลูกคิดว่าไม่มีหรอก แต่เขาบอกมีจริงๆด้วย และมีตัวให้เห็นด้วย ก็คือ คนนั่นเอง ที่สำคัญน่ะ ลูกกลัวด้วย โปรดชี้แนะ

พ่อท่าน : อย่าไปกลัวเลย พิสูจน์ความจริง เหมือนเราไปพิสูจน์ในป่าช้านี่ เขาว่ามีผีมีโน่นมีนี่ เอาเข้า จริงๆ แล้ว นี่ ก็เรานอนกันอยู่ทุกวันนี่ ก็ป่าช้าทั้งนั้นน่ะ แล้วแผ่นดินแถวนี้ เขาฝังศพมา เกือบทั้งนั้นน่ะ คุณนอนอยู่นี่ ก็ไม่เห็นกลัวเกลอ แต่ว่ามันอยู่หลายคนใช่ไม๊ ถึงเวลาคุณเข้าใจจริงแล้ว มันอยู่น้อยคน ก็อยู่ได้ ที่นี่นอนได้ พอเข้าใจจริง แล้วมันก็นอนได้ มันไม่มีหรอก ไม่มีหรอก ไอ้ที่มีน่ะ มันยังไม่ได้ศึกษา สัจจะ

ถาม : ทำอย่างไร จึงจะขจัดความกลัว เพิ่มความกล้าในการต่อสู้กับอุปสรรค ซึ่งเป็นสิ่งกั้นขวาง ในการบรรลุความดี มีหลักการปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะ เกิดความมั่นใจในตัวเอง

พ่อท่าน : อ้ะ! นี่ต่อกัน

ถาม : พระอรหันต์ที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์แล้วสามารถระลึกอดีตชาติ ได้หรือไม่

พ่อท่าน : อันนี้ อีกเรื่องหนึ่ง อ้าว เอาเรื่องข้อหนึ่ง ข้อสอง ประเด็นหนึ่ง ประเด็นสอง มันต่อกัน

พ่อท่าน : ทำอย่างไร จึงจะขจัดความกลัว ศึกษาให้ถึงก้นบึ้งของความจริง ของอันนั้น ให้ทะลุ เมื่อสิ่งใด รู้ความจริง ชัดแจ้งแล้ว ... สุด ... หมดกลัวในมนุษย์ มนุษย์จะหมดกลัว ต่อเมื่อได้พบ ความจริงนั้นทุกอย่าง เพราะความจริง ทุกอย่างนั้น ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว สิ่งที่กลัวอยู่ คือสิ่งนั้น ยังไม่รู้มันสมบูรณ์ เมื่อยังไม่รู้สิ่งใดสมบูรณ์ สิ่งนั้นแหละคนกลัว นี่ลองไปพิสูจน์เถอะ อะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้น ใครมาถามอาตมาว่า ทำอย่างไร จะหายกลัวผี

อาตมามีคาถาข้อหนึ่ง บอกว่า ไม่เป็นไร ถ้าคุณเจอว่าตรงนี้เห็นผี เห็นมันกำลังแหกตา กำลังแลบลิ้น ยาวๆ คุณเอาเลย ตั้งใจดีๆ ระลึกถึงอาตมาเป็นที่ตั้ง บอกอาตมาสอนเอาไว้ว่า ให้ตั้งใจแข็งๆ แล้วบอก ว่า แค่ตาย แค่ตาย ท่องคาถาสั้นๆ แค่ตาย แค่ตาย แล้วเดินดิ่งเข้าไปหามันเลย (คนฟังหัวเราะ) เดินดิ่งเข้าไปหานั่น แลบลิ้นออกมายาวๆ นั่นแหละ เดินเข้าไปหาเลย แหม กำลังแหกตา โบ๋ๆ เดินเข้า ไปเลย เสร็จแล้ว คุณจะไปเห็นความจริงเลยว่า มันไม่มีอะไร มันเป็นอุปาทาน มันเป็นสิ่งหลอกจริงๆ จะเห็นความจริง บางทีนี่ แหม ใบไม้พัด มันมีผ้าผูกไว้ที่หัวตอหัวหนึ่ง (คนฟังหัวเราะ) โอ้โห ! ผีผมยาว แล้วมีเค้าๆ ไว้หน่อยนะ โอ๊! เหมือน เข้าไปเลย ปัดโธ่เอ๊ย ... ไอ้ตอผูกผ้า (คนฟังหัวเราะ) บางทีมีหม้อ สวมอยู่ที่หัวเสา อยู่นอกชาน (คนฟังหัวเราะ) ทั้งๆที่ เคยเห็น มันมาตั้งนาน วันดีคืนร้ายก็ ต๊าย... ผี มันอยู่นอกชาน ที่แท้มันก็ไอ้หม้อสวมอยู่ที่ หัวเสา ที่ชานเรานั่นเอง อะไรพวกนี้ เยอะไปเลย พวกเรานี่ เสียงอิ๊ดๆ อ๊าดๆ เสียงจิ๊ดๆ จ๊าดๆ เข้าไปเลย ปัดโธ่เอ๊ย... เสียงสัตว์ ประเภทนั้น ประเภทนี้ ตามเข้าไป จริงๆ คุณพิสูจน์เถอะ ไม่กี่ครั้ง คุณจะกระจ่างใจว่า มันไม่มี ขอยืนยันเลย มันไม่จริงหรอก มันไม่จริง

ไอ้เรื่องผีหลอกนี่ อาตมามีประเด็นหนึ่ง ให้พวกเราเอาไปคิดดีๆ เอาไปพิจารณาดีๆ เคยเล่ามา หลายทีแล้ว บอกว่า วิญญาณนี่เป็นผีแล้ว มันก็มาหลอกได้ ถ้าวิญญาณเป็นผีมาหลอกได้ มันจะมา หลอกคนกัน วันหนึ่งนี่ โอ้โห... ยุ่มย่ามเลย แล้วมันไม่ใช่เจตนาจะมาหลอกหรอกนะ แต่มันก็ต้อง มาปรากฏตัว ใช่มั้ย แล้วคนเรา ที่จะมาหลอก หรือไม่มาหลอก ปรากฏตัว เรารู้ว่าตายแล้ว มาปรากฏตัว เราก็วิ่งแจ้น ทั้งนั้นแหละ ไอ้คนขี้กลัวใช่ม๊ะ อาตมาเคยให้เหตุผลว่า คนทุกคนนี่ จะมีคนที่เรารัก พ่อแม่ลูกก็รักกัน พ่อแม่ คู่รักหรือผัวเมียก็รักกัน พอตายจากกันปุ๊บนี่ ถ้าวิญญาณ มันคิดถึง มันต้อง มาหาทุกบ้าน ทุกเรือนน่ะ มันปรากฏตัวได้ มันต้องมาปรากฏทุกบ้านทุกเรือน ใช่ไม๊ แต่ปรากฏว่า คนตาย ไม่รู้กี่บ้าน กี่เรือน ไม่เห็นมีมา ไอ้ที่จะเห็นๆ น่ะมันน้อย นั่นแหละคืออุปาทาน อุปาทานถึงขีด มันก็เห็นตัว ได้ยินเสียง ก๊อกแก๊กบ้าง หยั่งโน้นหยั่งนี้มั้ง ได้เห็นรูปมั่ง ได้กลิ่นมั่ง อะไรแล้วแต่ อุปาทาน นาๆสารพัด แล้วน้อยรายกว่า ถ้ามันมาได้จริง มันจะมากรายกว่า ใช่ไม๊ มันก็ต้องคิดถึง แล้วมันก็ ไม่มีทางไป โอ้โห! เพื่อนก็ไม่มี ตายแล้ว ต้องมาหา คนที่สนิทน่ะซิ คนที่คิดถึงกว่าต้องมา แล้วก็จะ พบกัน เต็มเลย บ้านไหนเรือนไหน ฟังเหตุผลดีๆ ใช่ไม๊ นี่แหละพิสูจน์ให้เห็นว่า มันมาไม่ได้ มันมาได้ มันต้องมา ใครจะไปห้ามเขาหละ เขาก็กิเลสใช่ม๊ะ คนตายนี่ก็ยังเป็น กิเลส มันต้องมา บางคนนี่ ภาวนาเลย อูย! มาปรากฏตัวหน่อยซิ ชั้นจะไม่กลัว ชั้นจะ ไม่กลัว ปรากฏตัวจริงๆ ไม่รู้จะกลัวไม่กลัว (พ่อท่านหัวเราะ) โอ๊ย! ชั้นจะไม่กลัว ชั้นจะ...มาหน่อยซิ มาปรากฏตัว จริงๆหน่อยซี่ เอาจริงๆนะ จะกลัวไม่กลัว ยังไม่รู้เลย ฟังดีๆ ที่อาตมายกเหตุผลนี้ มาให้ฟัง อาตมาว่า เออ เหตุผลนี้ จะชัดนะ มันไม่มีหรอก ไอ้ที่มีน่ะ อุปาทานทั้งนั้น

เพราะงั้น สรุปเรื่องว่าทำอย่างไรจะหายกลัว จะกลัวอะไรก็แล้วแต่ อย่าว่าแต่เรื่องผีเรื่องสาง อย่าว่าแต่ เรื่องกลัวอะไรก็แล้วแต่ กลัวเสือ ศึกษาเสือให้จริง รู้จักเสือดีแล้ว ไม่กลัวเสือ กลัวงู ศึกษางู จนกระทั่ง เห็นไม๊ คนมาศึกษางู ดีๆ ไม่กลัวงู มันจับงูเล่นเลย (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) มันจับงูเงอเล่นเลย ศึกษาอะไรมาศึกษาได้ จนกระทั่ง มันรู้อันนั้นดีนะ มันไม่กลัวอันนั้น คนเข้าใจไฟฟ้า ศึกษาไฟฟ้าดีๆ ไม่กลัวไฟฟ้า คนศึกษาไม่ดี ไฟฟ้าดูดตาย คนศึกษาดีๆ เข้าใจหมดเลย อย่านะ อย่าไปพลาดท่า หยั่งโน้นหยั่งนี้ เพราะว่า มันก็ไม่รู้เรื่อง บางทีนะ ถึงแม้มันจะรู้เรื่อง มันมีจิตวิญญาณเหมือนสัตว์ เราก็รู้จิตใจดี รู้มันดี มันก็ไม่สามารถ ที่จะทำอะไรเราได้ ถ้ารู้มันดี อย่างนี้เป็นต้น คุณรู้อะไรมันดีแล้ว คุณไม่ กลัวอันนั้น ไอ้ที่กลัวมาก ก็คือความมืด เพราะเราไม่รู้ว่ามีอะไร (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้ความมืดนี่ เราไม่รู้ว่า มันมีอะไร เฮ้อ ! กลัว เพราะงั้น ศึกษาในความมืด นี่มันมีอะไรไม๊ นี่ความมืด ถ้ามันไม่มีอะไร ในความมืด คุณจะไม่กลัว เพราะฉะนั้น คุณถ้าเผื่อว่า คุณยังกลัวอยู่ ก็เอาไฟมาฉาย เอาแสงสว่าง มาเปิดขึ้นมา มันมีอะไร ที่จะเป็นพิษ เป็นภัยไม๊ เมื่อเรารู้ว่า ไม่มีพิษมีภัย อ๋อ ! ตรงนั้นเราก็ไม่กลัว แต่ที่เรากลัวตรงนั้น เพราะมันมืด มันยังไม่รู้ว่า จะมีอะไรหรือไม่ ถ้ามันรู้ว่าไม่มีอะไร แม้มันมืด ไม่ต้อง ฉายไฟหรอก เราแน่ใจว่า มันไม่มีอะไร เราก็ไม่กลัวตรงนั้นน่ะ ตรงมืดนั้นน่ะ เรารู้แล้วว่า ตรงมืดตรงนี้นี่ อยู่ในห้องในหับของเรา ไม่มีอะไรหรอก เราจะไม่กลัว เราก็เดินเข้าไปได้ ตรงนั้นน่ะ มันมืดเท่าไหร่ ก็เดินไปได้ เพราะเรารู้ด้วยว่า ยังมีอะไร ไม่ชนอะไร ไม่อะไรต่ออะไร เราจะไปกลัวมันทำไม เพราะงั้น คนกล้านี่ ก็เพราะว่า เราไม่กลัว... ไม่ ... เรารู้อันนั้นดี คนต่อคนก็เหมือนกัน คนนี้รู้จักคนนี้ดีแล้ว ไม่กลัว ยิ่งเรารู้ว่า คนนี้เหรอ ไม่ได้ใหญ่กว่าเราหรอก ไม่ได้เหนือกว่าเราหรอก จะไปกลัวทำไม ถ้าเขาเหนือ กว่าเรา เออ เราจะเกรงเขาบ้าง หรือ อาจจะกลัวก็ได้ เพราะเขาเหนือกว่าเรา

แต่ถ้าผู้ดี ด้วยกัน ไม่ต้องกลัวหรอก เกรงกันเท่านั้นก็พอ แต่ถ้าเรารู้แล้วว่า เอ๊ย! เราเหนือเขา เราจะไป กลัวเขา ทำไม เราจะไปเกรงเขาทำไม เรารู้เขาดี แล้วเราก็รู้ด้วยว่า ยิ่งเป็นคนดีด้วยกัน ไม่น่ากลัว เพราะไม่เป็นคนร้าย มันก็ยิ่งไม่กลัวนะ เพราะงั้น กลัวอยู่ ก็เพราะเราไม่รู้อันนั้นดี อุปสรรค ทั้งหลาย แหล่ แล้วเราจะไปกลัวอุปสรรค ไปกลัว ทำไม ศึกษาอุปสรรคนั้นให้จริง แล้วเราจะไม่กลัว อุปสรรคนั้น แล้วเราจะใช้อุปสรรคนั้น เป็นประโยชน์ ให้เราได้ มีหลักการปฏิบัติตนอย่างไร จึงจะเกิด ความมั่นใจ ในตัวเอง ก็สร้างความจริง ให้ถึงความจริง นี่แหละ แทงทะลุ ซึ่งความจริงความแท้นี่ให้ชัด แล้วเรา จะเป็นคนมั่นใจในตัวเราเอง ยิ่งเราเข้าใจโลก โลกวิทู เข้าใจอะไร มากๆๆๆเลย ชัดเจน นั่นแหละ เราจะเป็นคนไม่กลัว เพราะฉะนั้น จะหมดภัย ๕ ประการ เพราะมีพลังปัญญา มีพลังความเพียร มีพลังการงาน มีพลังการสงเคราะห์นี่ แล้วเรา จะไม่กลัว

อาตมาเคยอธิบายพลสูตร นี้หลายเที่ยว แล้วอาตมาจะเอามาอธิบายอีก วันนี้จะไม่อธิบายนะ ติดตาม อันนี้เป็นเรื่องจริง เป็นสัจจะที่พิสูจน์ให้ได้ มีกำลัง สิ่งเหล่านี้แล้วเราจะหมดอคติ หมดความกลัวภัย ใน อาชีวิตภัย อสิโลกภัย ปริสสารัชชภัย ภัยในความถูกตำหนิติเตียน ไม่กลัว เพราะว่าเราเอง เราฟังได้ อันไหนผิด เราก็รับ อะไรไม่ผิด เราก็ไม่มีปัญหา เราจะไม่สะทกสะเทิ้นต่อบริษัท จะไม่สะทกสะเทิ้นต่อ ...อะไรจะใหญ่...คณะจะโตอะไร ...เราจะไม่กลัว ไม่สะทกสะท้าน ไม่มีภัย ไม่กลัวภัย ไม่กลัวนั่นเอง ภัยก็คือ ไม่กลัว ไม่กลัวในบริษัท ไม่กลัวในความตาย ไม่กลัวในสิ่งที่จะดำเนินไปข้างหน้า ในคติ ข้างหน้า เพราะฉะนั้น ถ้าเราเชื่อว่า เราไม่มีทุคติข้างหน้า เราจะไม่กลัวต่อทุคติ สิ่งที่จะดำเนินไป ข้างหน้า เราจะไม่กลัวเลยนะ อย่างนี้ เป็นต้น

ระอรหันต์ที่บำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์แล้ว สามารถระลึกถึงอดีตชาติได้หรือไม่, ได้ ยิ่งเป็น พระอรหันต์แล้ว ยิ่งจะพยายามโน้มน้อม เพื่อที่จะให้ระลึกรู้สิ่งเก่าสิ่งหลัง ได้ยิ่งได้ดี ถ้ามีเวลา มีทาง ที่จะบำเพ็ญจิต บำเพ็ญให้มีกำลังของจิต เพื่อที่จะเด่นชัด เป็นอภิญญาด้านนี้ ก็จะมีด้านนี้เยอะ


ถาม : พ่อท่านคะ ถ้าดิฉันจะมาช่วยกิจกรรมที่วัด ทางครอบครัวเขาก็ว่า เราตัดช่องน้อยแต่พอตัว จริงหรือเปล่าค๊ะ

ตอบ : ถ้าคุณจะมาช่วยกิจกรรมที่วัด เรามาช่วยที่วัดนี่ เรามาเอาให้แก่เราหรือ ถ้ามาเอาให้แก่เราเอง นั่นคือ เราตัดช่องน้อยแต่พอตัว แต่ถ้าเรามาเผื่อแผ่ มันไม่ใช่ช่องน้อย มันช่องใหญ่ มันช่องกว้าง (คนฟังหัวเราะ) ถ้าเรา มาทำเพื่อเผื่อแผ่ มันช่องกว้าง มันให้แก่ผู้อื่น ไม่ได้ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ตัวเอง ก็เท่านี้ แล้วแถม ยังมาทำ ที่วัดนี่ไม่ได้พาคุณทำงานน้อยๆที่ไหน ทำงานมากๆ นะ ตัดช่องน้อย แต่พอตัว นี่คือพวกฤาษี พวกฤาษีนี่หนี ที่บ้านมีงาน ที่วัดนี้มีงาน ไม่ไป ชั้นไปหารูชั้นอยู่ นั่นช่องน้อย แต่พอตัว ขุดรูเล็กๆ เข้าไปอยู่ แล้วก็ไม่ทำอะไร ไอ้นี่น่ะ ตัดช่องน้อยแต่พอตัวแน่ๆเลย ระวังนะ ช่องมัน จะโตกว่าตัว ขุดรูใหญ่เกิน ไปไม่ได้นะ (พ่อท่านหัวเราะ) ขุดรูใหญ่เกินไปนั่นแสดงว่า ตัดช่องใหญ่ เกินตัวนะ ต้องให้ชัดนะ นี่ต้องพยายามเข้าใจ ที่อาตมาพูดนี่ พูดสัจจะนะ เถียงมาซิ อาตมา พูดผิด ตรงไหน นี่ ชอบใส่ความ กันเรื่อยเลย แล้วก็เอาเหลี่ยม ที่มันไม่ชัดนี่มา พูดตู่กันอยู่นั่นน่ะ เพราะงั้น เข้าใจชัดแล้วทีนี้ ไม่ต้องไปกลัวหรอก การตอบปัญหา อะไร การตอบความจริง นี่ไม่ใช่ตอบปัญหา แต่การไขความจริง พูดความจริงสู่ กันฟัง ถ้าเรามาวัดนี้ วัดนี้พาทำอะไร วัดนี้พาทำช่องน้อยเหรอ วัดนี้พาทำช่องกว้างๆ ช่องเพื่อมนุษยชาติ อโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ แต่เราทำได้เท่านี้ เราอยากทำได้ มากกว่านี้ เราระวังอยู่ กลัวมันจะฟ่าม เราเน้นเนื้อให้เหนือกว่ามาก เน้นแก่นให้แน่นกว่ากว้างอยู่ และ มันก็จะมีฤทธิ์เอง ถ้ามัน แน่น มันเป็นแก่นจริง มันจะกว้างไปได้อย่างสัดส่วนที่ได้ดี ไม่ฟ่าม ไม่เสีย แล้วไปได้ ถ้าคุณทำแก่นให้เป็นแก่น ทำเนื้อให้เป็นเนื้อ เนื้อไม่ใช่แก่นนะ เนื้อนี่ มีองค์ประกอบมาก แก่นนี่คือแก่น คือตัวในใจกลาง

ส่วนเนื้อนี่ องค์ประกอบเป็นองคาพยพของมันหลายอย่าง เพราะงั้น เน้นเนื้อ...อย่าฟ่ามจนมาก จนไม่ใช่เนื้อแล้ว เป็นอะไรก็ไม่รู้ มันไม่ใช่เนื้อมันแล้ว คุณก็หลงเข้าใจผิด อย่างนี้ระวัง ถ้าเราทำได้ สัดส่วน ที่ถูกต้อง ตามสัจจะพวกนี้อยู่นะ จะมีฤทธิ์มีแรง เพราะฉะนั้น คำว่าตัดช่องน้อยแต่พอตัวนี่ จะต้องมีปัญญา รู้ความจริงให้มันชัด วัดนี้ ไม่ใช่หรอกคุณ ว่ามาวัดนี้แล้ว ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ไปตอบเค้าให้ถูกต้อง ก็ไม่ได้พาคุณเป็นอย่างนั้น


ถาม : ขอเรียนถามพ่อท่านว่า คนใกล้ตาย ถ้าคิดดีแล้ว จะไปสู่ที่ดี แต่ถ้าคิดไม่ดี ก็จะไปทางที่ไม่ดี จริงแท้แค่ไหน มีผู้กล่าวว่า ที่ทำบุญไปด้วยข้าวปลาอาหาร ต่างๆ แล้วจะได้กิน อย่างที่เราทำไป แต่ถ้าไม่ได้ทำไว้แล้ว จะอดอยาก ไม่ได้กิน

ตอบ : มีสองปัญหา มีปัญหาแรกว่า ใกล้ตายแล้ว ถ้าคิดแล้วจะไปในทางที่ดี คิดเอา มันเป็นไปได้ที่ไหน คิดว่า ขณะนี้ เราไปถึงในตลาดแล้ว แล้วเราไปรึยัง เฮ้อ ! คิดว่าเราจะไปสู่ที่ดี แล้วก็ตายลง ในตอนที่คิด สิ่งที่เราจะไปสู่ที่ดี ในขณะนี้แล้วตายไปแล้ว เราจะไป มันไม่ใช่แล้ว มันค้านแย้งคำสอน พระพุทธเจ้า ด้วย คุณมีกรรมอย่างใดสมบูรณ์แล้ว แค่คิดเป็นกรรมเบื้องต้น ลงมือทำให้จริงจัง ตามนั้น ทำจนกระทั่ง แข็งแรงถาวร ก็จริงจังยิ่งกว่าอีกคุณแค่ไหนล่ะ คุณทำได้แค่ใด ก็ตามกรรม และไม่ขัดแย้ง กับ คำสอนพระพุทธเจ้า เอาแค่คิด จริง เป็นกรรมชนิดหนึ่งเหมือนกัน แต่กรรมชนิดนี้ถึงที่สุด ถึงที่จริง สมบูรณ์แล้วหรือยัง ถ้ายังไม่สมบูรณ์จริง มันก็แค่นั้น และก็มีสอนกันบอกว่า ก่อนจะตายนี่นะ ทำใจ ให้ว่าง จิตว่าง แล้วก็ตายปั๊บนี่เหมือนกับ ตกกระไดพลอยโจนนะ จะได้จิตว่างไปเลย แสดงว่าผู้นี้ ไม่มีภูมิในจิตว่าง ทำจิตโล่งๆ เฉยๆ ทำจิตให้มันโล่งๆ ให้มันว่างๆ ในช่วงขณะนั้น

ไม่เข้าใจว่า ต้องว่างจากกิเลส คุณเข้าใจความต่าง ของว่างจากกิเลส กะ ใจว่างๆ โล่งๆ จิตว่าง จิตว่างๆ เปล่าๆ นี่กับ จิตที่ว่างจากกิเลสนี่ คุณเข้าใจไม๊ว่า มันแตกต่างกัน แล้วคนไปเข้าใจจิตว่าง นี่คือ ตอนนั้นน่ะ จิตกำลังโปร่งใสดี กำลังว่างๆ โปร่งๆ แต่กิเลสยังมีเป็นตัวตน จะเป็นอนุสัย จะเป็น อาสวะ จะเป็นยังไงอยู่ ไม่เคยรู้เรื่องเลย กิเลสหยาบ มันทับตัวก็ไม่รู้ กิเลสเหลือนิดน้อย เป็นอาสวะ เป็นอนุสัย ก็ไม่รู้ กลางก็ไม่รู้ ละเอียดก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่าเรามีในจิต หรือเปล่า ถือว่าคนเรา ธรรมดาไม่มีกิเลส ด้วย เป็นมิจฉาทิฏฐินะ ถือว่า ธรรมดาคนเราไม่มีกิเลส มีกิเลสจรมา ว่างั้นนะ กิเลสนี่ เป็นแขกจร ว่างๆ มันถึงเข้า ไม่ใช่ว่างๆหรอก มีเหตุปัจจัยมันถึงเข้า อยู่ดีๆ คนจิตว่าง แสดงว่า ธรรมดาคน เป็นอรหันต์ มีเหตุปัจจัยเท่านั้น จึงเป็นปุถุชน ใช่มั้ย สอนกันอย่างนี้ อาตมาว่า เอ๊! นี่มันสอนผิดแนว สอนผิดทาง เพราะงั้น ลัทธิจิตว่างแบบนี้ นี่ถึงไปสอนเขาไม่ได้เลย และเขาว่า เขาฉลาดนะ เขาว่าเราโง่นะ โถ อย่างนั้น เราก็เข้าใจ ไอ้จิตว่างแบบนั้นน่ะ เราเป็นด้วยนะ เราทำได้ด้วย เราเคยเป็นด้วย แต่มันไม่ใช่ ตัวแท้ มันไม่รู้กิเลสชัด

ที่อาตมาว่าจิตว่างจากกิเลสนี่ คุณต้องรู้อาการ ลิงคะ นิมิต ต้องรู้เลย เห็นอาการ เห็นนิมิตของมันว่า อย่างนี้เรียกว่า กิเลสราคะ เป็น ราคมูล ตามเจโตปริยญาณ ๑๖ เลย รู้อย่างนี้เป็นสายราคะ นี่เป็น สายโทสะ ลิงคะ คนละเพศนะ ต่างกันนะ นี่อย่างหยาบ ต่างกันอย่างละเอียด นี่ก็ลิงคะ อย่างกลาง กับอย่างหยาบ มันต่างกันขนาดไหน ก็รู้อาการต่าง เรียกว่า ลิงคะ เป็นเพศ เป็นความต่าง รู้ละเอียด จนกระทั่ง เหลือน้อยก็รู้น้อย แล้วมันหมดแล้วอนัตตา มันไม่มีตัวตนแล้ว นี่แหละ มันว่างจากกิเลส อย่างนี้ ไม่ใช่ว่า อยู่ว่างๆ แล้วก็เลย นี่

บุญไปด้วยข้าวปลาอาหารต่างๆ แล้วจะได้กินอย่างที่เราทำไป ตายแล้วปากก็ไม่มี ฟันก็ไม่เหลือ ลิ้นก็ไม่เหลือ แล้วก็จะไปกินอยู่อย่างนั้นแหละ โอ้โธ่ ! ทำไมมันติดยึดกัน นักหนานะ ตายก็ยัง อยากจะกิน อย่างกะคน แล้ว....แหม มันตลก อาตมาเล่าแล้ว ตลกทุกทีเรื่องพวกนี้ คนตาย เออ ตายแล้วก็เอ๊า ! เรารึมาเข้าฝัน ไม่ได้กิน อดอยาก ที่มาเข้าฝันบางทีน่ะ สองปีแล้ว ไอ้ไม่ได้กินสองปี นี่ มันตายรึยังนะ (คนฟังหัวเราะ) หือ ! แล้วยังมาเข้าฝันได้เรอะ เหอ ! อดอยากมาตั้งสองปีนี่ กว่าจะมา เข้าฝันว่าตาย นี่ตายมาแล้ว อดอยากเหลือเกิน ไม่ได้ทำบุญไว้ตั้งแต่เป็นๆ ทำบุญไปให้หน่อยซี่ มาเข้าฝัน โธ่เอ๊ย! วิญญาณนี่ทำไม๊ มันยังไม่ตายเหรอ ตั้งสองปี ไม่ได้กินน่ะ ถ้าความตายมันมีอีก ใช่ไม๊ แล้วมันก็อดอยาก ทรมาน ไม่ได้กิน มันก็ต้องตายใชไหม ตามความรู้ของเรา ก็ต้องรู้โดยนัยง่ายๆ อย่างนี้ แล้วมันยังมาเข้าฝันได้เร๊อ จะสองปีไม่ได้กินอะไรนี่ หา (พ่อท่านหัวเราะ) นี่มันตลก พูดไปแล้ว ตล๊กตลก เห็นไม๊ ว่านิยายตลกพวกนี้ หลอกคนมานานแล้ว มันจะไปกินอะไร มันไม่มีรูปขันธ์ กินอาหารนี่ ก็เป็นธาตุ เป็นธาตุมีโปรตีน คาร์โบไฮเดรท มีวิตามิน เกลือแร่อะไรนี่ เอาไปสังเคราะห์ร่าง ดิน น้ำ ไฟ ลม นี้ ก็ตายไปแล้ว ไม่มีไอ้นี่ จิตวิญญาณเป็นนามธรรม กินไปเอาอะไร เอาปากตรงไหน มากิน ดีไม่ดีเอาไปตั้ง แหม... เอาไปให้ เสร็จแล้ว มันแหว่งไปด้วยวิธีใด อาตมาไม่รู้อ่ะนะ หมาเอา คาบไปกินก็ไม่รู้ อู๊ย! มันก็กินไปหมดแล้ว บ้าๆบอๆ เจ้าประคุณเอ๋ย เป็นไปได้สารพัดสารเพ (พ่อท่าน หัวเราะ) เล่นตลก ไม่เข้าเรื่อง ไม่เข้าราว เพราะงั้น อย่าไปห่วงหาอาวรณ์นักว่า แหม ทำบุญอะไร จะตายไปแล้ว จะได้กินอันนั้น ฮื้อ! เป็นห่วงนัก แล้วกรรมวิบากนี่ มันก็ไม่ตรงหรอก เราทำบุญอันนี้ จะได้กินอันนั้น เราทำอันนี้ จะได้กินอันนั้น อู๊ ! พาซื่อ เถรตรงไม่เข้าเรื่อง มันไม่หรอก ไม่ได้กิน ก็ไม่ได้แล้ว แล้วมันก็ไม่ไปหยั่งงั้นด้วย สิ่งเหล่านี้ เป็นอจินไตย ที่พูดย๊ากยาก อธิบายย๊ากยาก แต่พยายามอธิบาย นะ เข้าใจได้แค่ไหนก็เอานะ ยิ่งถามมาก็ดี ตอบไป เชื่อก็เชื่อ ไม่เชื่อก็แล้วไป


ถาม : ทำไม แม่ครัวที่โรงครัว ทำไมดุจังเลย (คนฟังหัวเราะ) แค่ถาม ก็ตะคอกใส่ ลูกว่ามันไม่น่ามีเล๊ย ในชาวอโศก เพราะว่าข้างนอก เขาก็โจมตี อโศกอยู่แล้ว น่าจะสร้างภาพพจน์ที่ดีกว่านี้นะค๊ะ

ตอบ : จะถามว่า มีอะไรให้ช่วยไม๊ คงบอกว่า เออ... ก็เข้าไปแล้ว จะไปถามว่า มีอะไรให้ช่วยไม๊ เลยถามไม่ออกเลย ตะคอกเข้าให้ เออ...ในครัวนะนี่ คนเราไม่มีสติ แล้วก็ไม่ได้ฝึกปรือ บางคน มันอาจจะติดนิสัยนะ นิสัยตะคอก ยิ่งไปทำงานเมื่อยๆ เข้าหละก็ เฮ๊ย! เข้าไปทำไม แหม อะไรอย่างนี้ (คนฟังหัวเราะ) อาจจะไม่ตะคอกเท่านี้ก็ได้ บางคนอาจจะแหม ...นะ สร้าง ภาพพจน์มาว่า ชาวอโศกนี่ คงสุภาพ เรียบร้อย เอื้อเฟื้อเจือจาน เรียบ...แหม หนุมหนิม นุ่มนิ่ม น้อมแน้มเลยนะ (พ่อท่านหัวเราะ) สร้างภาพไว้ดีเลย มาถึง เข้าไปพั๊บ อาจจะไม่ตะคอกขู่ อะไรแรงๆ อย่างอาตมาว่า อาจจะแข็ง นิดหน่อยก็...อู๊ย! อย่างนี้เชียวเหรอ เพราะว่ามันผิดคาดน่ะ ก็ได้ เสร็จแล้ว เราเลยตกอกตกใจ มากเกินไปก็ได้ อย่างนี้ก็มีนะ อาตมาก็ยังไม่เข้าข้างเท่าไหร่หรอก ว่านี้จะไปขู่ตะคอกจริงหรือเปล่า ก็ไม่รู้ อาจจะเป็น คำแข็งนิดหน่อย ก็ถือว่าตะคอก แปลความคำแข็งนิดหน่อย ว่าตะคอกก็ได้ คนเรานี่ เพราะฉะนั้น ให้จริง เอาให้พอเหมาะพอดี

ถาม : ทำไมเวลาเห็นคนที่อยู่ใกล้ๆเรานั้น พอเขามีอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็ไปถามพระ คล้ายกับว่า ไปออเซาะ (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : ฮื้อ! แสดงว่า เป็นคนที่อยู่ใกล้ๆคนนั้นนี่นะ เขาก็สังเกตอ่ะนะ คนนี้ทำไม อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไปออเซาะพระ ที่จริง อะไรไปถามแต่พระ คล้ายๆ กับไปออเซาะ ลูกเห็นแล้วหมั่นไส้น่ะค้ะ (คนฟังหัวเราะ) ลูกมีกิเลส ใช่ไม๊ค๊ะ (คนฟังหัวเราะ)

ตอบ : ใช่ค่ะ (คนฟัง และพ่อท่านหัวเราะ) อะไรนิดอะไรหน่อย ก็ว่า เขาออเซาะ ว่าเขายังโน้นยังนี้ ก็เขามีเรื่องทุกข์ เขาอาจจะต้องไปปรึกษาพระ ก็จะเป็นไรไปหละ พระท่านก็จะโปรด ก็ดีแล้ว เป็นงานของท่าน หน้าที่ของท่าน ทีนี้คนที่จะไปเข้าหาพระ ก็มีกาละเวลาบ้าง เกรงอกเกรงใจบ้าง ถี่เกินไปนัก ก็ไม่ดี พระก็หลายๆรูปมั่ง ไปกันแต่รูปนี้ องค์เดียว ไปกันแต่รูปนี้องค์เดียว องค์อื่น ชั้นไม่สน ชั้นสนอยู่องค์เดียว ไอ้แบบนี้ มันก็น่าให้เขามอง น่าให้เขาเพ่งว่า เอ๊ ! มันมีอะไรพิเศษกันรึเปล่านี่นะ แล้วก็มาปฏิเสธว่า ไม่มีอะไรพิเศษ จริงๆแล้ว มันควรจะเข้าใจ โดยสมมุติสัจจะ โดยหลักการนะ มันไม่ควร จะไปเที่ยวได้อยู่ที่องค์นั้นองค์เดียว ควรจะเออ หลายๆองค์ อาจจะมีแง่เชิง มีอะไรต่ออะไร ดีๆ หลายอันหลายอย่าง เราก็จะได้หลากหลาย ถึงแม้ว่าองค์นี้ จะให้เราได้ตรงกะ กรรมฐานดี ตอบเราได้ กะจะกะจ่างดีก็ตาม ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาเป็นต้น น่า! อาตมาเป็นต้น ถ้ามาล่ะ...เออ ได้กระจะกระจ่างได้ดี จะพุ่งเข้ามาหา จะมาหาแต่อาตมาองค์เดียว ตายสิ ตาย วันเดียวแน่ๆ ไม่ต้อง หลายวันหรอก ตายวันเดียวนั่นแหละ ใช่ม๊า ไม่ได้ หยั่งงี้ไม่ได้ เราต้องรู้ เออ มันไม่ได้ มันจะได้ครั้งคราว หยั่งโน้นอย่างนี้ อาตมาก็ให้อยู่แล้ว เผื่อๆแผ่ๆ หรือผู้ที่ท่านงานมาก ธุระมาก ก็ต้องเกรงใจท่านบ้าง เรารู้ว่าดี แต่เราก็อย่าไปโลภโมโทสัน จะเห็นแก่ตัวมากนัก ชั้นจะเอาให้มาก ชั้นจะเอาให้มากๆ เพราะ องค์นี้มีมาก ได้ ชั้นได้กะองค์นี้มากๆ มากๆ นี่ อาตมาไม่ได้แวะไปถึงเรื่อง ไม่ค่อยดี ไม่ค่อยงามนะ เพราะถล่มกันมาพอสมควรแล้วงานนี้ ต้องอ่านใจเรา ยิ่งไม่ได้เรื่อง ไม่ได้ราว ไปเพ่งพระ หรือไปคบพระ ที่มันไม่ค่อยเข้าท่า และมีจิตชักจะมีกิเลสผูกพัน มีกิเลสปฏิพัทธ์ อะไรเข้าไปแล้วนี่ ระวัง ไปเที่ยวได้มี ปฏิพัทธ์อยู่กะคน ฆราวาสข้างนอก น่ะ ยังบาปน้อยหน่อย มันบาป มันเวร อยู่เหมือนกันนะ คนยังไม่หมดกิเลสพวกนี้ ถือว่าบาป ว่าเวร นี่ไม่อะไร มาสร้างมาก่อกะพระนี่ บ๊ะ แล้ว (คนฟังหัวเราะ)

พอดีคุณอยู่ตรง คือ เขาไม่ได้ว่าคุณหรอก (คนฟังหัวเราะ) มันพอดีมือขวา มันพอดีชี้ไปอย่างนี้ (คนฟังหัวเราะ) ไม่ได้ว่าคุณหรอก ไม่ต้องเหงื่อออก โอ้โห! เหงื่อพลั๊กๆเลย (คนฟังหัวเราะ) มีรึเปล่า จริงๆ มีรึเปล่า (คนฟังหัวเราะ) เหอ ! ไม่มีเหรอ เออ รอดตัวไม่เป็นไร (คนฟังหัวเราะ) นึกว่ามี แล้วก็เลย ร้อนตัวว่า ต๊าย! ทำไมท่านรู้อ่ะ (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) นึกว่าฟลุกเข้าให้แล้ว เจอพอดี ไม่มี ก็ไม่เป็นไร ดีแล้ว ทำไมเวลาเห็นคนอยู่ใกล้ๆ คนนั้นพอมีอะไรนิดๆหน่อยๆ ก็ไปถามพระ คล้ายๆ กับว่า ไปออเซาะ ลูกหละหมั่นไส้ ค่ะ แล้วลูกมีกิเลสใช่ไม๊ มีกิเลสในใจ กลัวเขาไปรักพระ หรือชอบ สมณะมากค่ะ เออ ก็ดีนะ ในใจน่ะ กลัวเขาจะไปรักพระ ไปชอบพระ ก็ดีแล้วหละ ช่วยกันมอง ช่วยกัน ติงกันได้ ก็บอกกันบ้างนะ อันนี้ เราปรารถนาดีต่อกันนะ เอ้า! ข้อสาม


ถาม : ถ้าเกิดอาการไม่พอใจคนที่ไม่ชอบหน้านี้ จะทำอย่างไรค๊ะ ช่วยชี้กิเลสของลูกด้วย บางคน โกรธคนอื่น โดยไม่มีเหตุผลเลย ก็เข้าวัดฟ้องพระ

ตอบ : อ้อ ! บอกคนบางคน ก็โกรธไม่มีเหตุผล ก็เข้าไปวัดแล้วก็ฟ้องพระเลย เอ้า! จริงนี่นา เราจะต้องรู้ว่า ฟ้อง กับ ให้ข้อมูล นี่ต่างกันนะ ฟ้อง กะ ให้ข้อมูล นี่ต่างกันนะ อะไรนิด อะไรหน่อย ก็หาว่าเขาฟ้องเรื่อยเลย คนให้ข้อมูลนี่ดี ฟ้องคืออะไร แล้วเราก็มีอคติ แล้วเราก็เอาเรื่องพวกนี้ ไปส่อเสียด เรื่องไม่ตรง ก็ไปรายงานเรื่องไม่ตรง อย่างนี้ไม่ได้ให้ข้อมูล ให้ข้อมูลต้องให้สิ่งที่ตรง สิ่งที่จริง คุณให้ข้อมูลดีๆไว้ ไม่เป็นไรหรอก คนไหนก็ให้ คนนี้ ๆ เห็นยังไงๆ ขยันให้ข้อมูล นี่มี เรารู้จัก แหม เราอยู่นี่ สิบยี่สิบคนนี่ เรารู้ คนนี้มีไอ้โน่นไอ้นี่ อันนี้ไม่ดี อันนี้บกพร่อง เราให้ข้อมูลพระ ไม่เป็นไร แล้วเราก็ใจกลางๆ ข้อมูลส่วนไม่ดี อย่างนี้ บอกให้พระท่านรู้ ท่านก็จะได้เข้าใจไว้ ไม่ลำเอียง ไม่ได้โกรธเคือง ไม่ได้ใส่ไข่ ไม่ใส่ไข่ใส่ใคล้ อย่างนี้เรียกว่า ให้ข้อมูล ดี ถ้าไม่ให้ข้อมูลนี่ จะทำยังไง อาตมาไม่ได้รับข้อมูล จะไปตาม โอ๊ ! ต้องไปคอยดู สะกดรอยเป็นสก๊อตแลนด์ยาด ได้ที่ไหน ไม่ได้ ไม่ได้ เพราะว่า งานมันเยอะ เพราะฉะนั้น คนให้ข้อมูลนี่ดี ระวังใจเรา เวลาจะรายงานใคร จะให้ข้อมูล อย่าให้อารมณ์ของตัวเอง กิเลสของตัวเอง เข้าไปผสม เอาให้ชัด ให้ข้อมูลตรงๆ ถูกๆชัดๆ อันไหนจุกจิก ย่อยๆ ยุ่ยๆ ยุ่ยอะไร น้อยๆหน่อย ก็อย่าเที่ยวได้ไป ให้มันมากนักเลย ก็เอาไอ้ที่มันเป็นตัวหลัก ตัวหลักๆ ข้อมูลหลักๆ อะไรต่ออะไรบ้าง ก็ให้ไป ถ้านอกจาก เวลาที่จะต้องการข้อมูลย่อย ข้อมูลเสริมอะไร ก็ค่อยว่ากันอีกที อย่างนี้เป็นต้นนะ เพราะงั้น ต้องรู้ เรื่องฟ้อง เรื่องอะไรต่ออะไร เราก็อยู่อย่างนี้อยู่กัน แล้วก็ค่อยๆ เห็นอะไรต่ออะไร ดีไม่ดีอะไร กันไปเรื่อยๆ


ถาม : หากลูกจะขอตั้งจิตอธิษฐาน ติดตามพ่อท่านไปทุกๆชาติ เพื่อบรรลุสู่ จุดหมายสูงสุด (โดยพฤติกรรมนั้น ก็เพียรดำเนินรอยตามอย่างยิ่ง เท่าที่จะมีความสามารถ) จำเป็นหรือไม่เพียงใด ว่าจะต้อง ตั้งจิตอธิษฐาน เจาะจงเอาเฉพาะ พระโพธิสัตว์ หมายถึงพ่อท่าน เป็นองค์ๆไป เป็นองค์ๆไป หรือว่าจะเป็น พระโพธิสัตว์ องค์ใดก็ได้

ตอบ : ตอบตรงนี้ก่อน องค์ใดก็ได้ เป็นพระโพธิสัตว์องค์ใดก็ได้ แต่จะตั้งจิตอธิษฐานเฉพาะ องค์หนึ่ง องค์หนึ่งก็ได้ จะตั้ง...องค์ใดก็ได้ ตั้งทุกองค์ องค์ไหนมาพระโพธิสัตว์ เพราะจริงๆแล้ว มันเหมือนกัน พระโพธิสัตว์ก็ดี พระพุทธเจ้าก็ดี ไปสู่จุดสูงสุดเดียวกัน มีครรลอง ครรลองเดียวกัน ทฤษฏีหลัก เดียวกันหมด แล้วก็จะเป็นไป อย่างเดียวกันหมดเลย จบจะเหมือนกันหมด จบสูงสุด ก็จะเหมือน กันหมด

ถาม : ถ้าเผอิญในชาตินั้น ได้โคจรมาเจอในที่สุด ซึ่งอาจจะเป็นการช่วยเสริมบารมี ให้ไปสู่จุดหมาย ได้เร็วยิ่งขึ้น วิธีใดที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุด พ่อท่าน กรุณาช่วยแนะให้ลูกได้เข้าใจด้วย

ตอบ : การตั้งจิตเฉพาะบุคคลมันมี มันห้ามกันไม่ได้นะ เฉพาะบุคคลเขา จะตั้งก็เรื่องของเขา แต่จริงๆ แล้ว อาตมาว่า ตั้งไปเถอะ เอาหลักเอาธรรมเป็นใหญ่ อย่าเอาตัวคนบุคคลเป็นใหญ่ เพราะจะตั้งจิต โพธิสัตว์ จะตั้งจิต ว่า เออ ! อย่างนี้ เราอยากจะติดตามธรรมะอย่างนี้ ไปตลอด โพธิสัตว์องค์นี้มา องค์หน้า ถ้าเผื่อว่ามีอีก องค์ไหนก็แล้วแต่ เราก็จะเอาตามๆไป อาตมาว่า จะมีโอกาสมาก จะมีโอกาสมาก ไม่ต้องไปเจาะจง แต่ส่วนจิต จริตของใคร ที่จะไป ตามองค์นี้ องค์นี้องค์เดียว อย่างนี้ๆ ก็เรื่องของเขา นั่นเป็นสิทธิ์ส่วนตัว มันสิทธิมนุษยชนของบุคคล มันไม่ใช่เรื่องของ ทั่วไปนะ ก็แล้วแต่เขา ไปบังคับกันไม่ได้

ถาม : จากที่พ่อท่านเคยบอกไว้ว่า การจะได้เกิดมาเป็นเพศชายนั้น ยาก กว่าการได้บรรลุเป็น พระอรหันต์ สมมุติว่า ชาตินี้ ยังไม่ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ แล้วในชาติหน้า จะมีสิทธิ์ได้เกิด เป็นเพศชาย หรือไม่ พ่อท่านช่วยอธิบายด้วยค่ะ

ตอบ : มีสิทธิ์ ถ้าคุณสร้างปุริสภาวะมากพอ ชาตินี้คุณมีเวร มีวิบากของอกุศลอะไร พอขนาดนั้น คุณเกิดมา เป็นผู้หญิง เสร็จแล้วคุณก็บำเพ็ญกุศล บำเพ็ญสิ่งที่เป็นปุริสภาวะได้มากขึ้น ๆ มีคุณภาพ เพียงพอ ชาติหน้าก็เกิดเป็นชายได้ แต่ที่อาตมาบอกว่า เกิดเป็นชายกับเกิดเป็นพระ บรรลุเป็นชาย กับบรรลุ เป็นพระอรหันต์ นั้นมันชัด มันบรรลุเป็นชายยากกว่า แต่บรรลุเป็นพระอรหันต์น่ะ มันได้ อย่างคุณเกิดมานี่ ขณะนี้นี่ พิสูจน์สิ ชาตินี้ จ้างคุณก็บรรลุเป็นผู้ชายไม่ได้ อย่างนี้ ๆ แต่คุณสามารถ บรรลุอรหันต์ได้ ถ้าคุณมีบารมีจริงๆ พยายามมีจริงๆ เราจะไปรู้หรือว่า คุณมีบารมีเท่าไหร่ ในเรื่องของ คุณธรรม ใช่ม๊ะ แต่เห็นชัดๆ อยู่แล้วนี่ เป็นผู้หญิงนี่ จะมีไม่มีขณะนี้ คุณก็เป็นผู้หญิง และในร่าง ของผู้หญิง ก็ไม่ได้หมายความว่า บรรลุอรหันต์ไม่ได้ อันนี้พระพุทธเจ้า จำนนพระอานนท์ ด้วยนะ เรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า การบรรลุเป็นผู้ชายนั้นน่ะ พูดกันให้ทันสมัย หรือให้ทันปัจจุบันมากที่สุด บรรลุเป็นผู้ชาย ยากกว่าบรรลุอรหันต์ บรรลุอรหันต์ง่ายกว่า ด้วยประการฉะนี้

แต่ถามว่า ถ้าข้ามชาติแล้วนี่ จะเป็นผู้ชายได้ไม๊ ได้ซิ เรื่องนี้ไม่มีปัญหาหรอก กลับไปกลับมา เป็นผู้หญิง ผู้ชาย ผู้ชายที่ไปส่ำส่อนเรื่อง...ก็มี ในพระไตรปิฎก ว่าผู้ชายส่ำส่อนชาตินี้ ชาติหน้าก็ไปเกิดเป็นผู้หญิง เป็นผู้หญิง ง่ายๆ ผู้ที่ไปเกิดเป็นผู้หญิง ไปส่ำส่อน หรือไปผิดกาม ผิดศีลในเรื่องข้อกาม อะไรพวกนี้


ถาม : เคยได้ยินพ่อท่านว่า พระอนาคามี เป็นผู้ที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก พระอรหันต์ก็ไม่ต้อง กลับมา เกิดอีก (ถ้าไม่ต่อภูมิ) ถ้าเช่นนั้น พระอนาคามี กับ พระอรหันต์ จะแตกต่างกันตรงไหน ถ้าเราเอง เป็นได้ถึง พระอนาคามี ไม่ต้องกลับมาเกิดได้อีก ก็น่าจะพอแล้ว ขอให้พ่อท่าน อธิบาย แยกแยะให้ด้วย

ตอบ : คงอธิบายได้พอสมควรนะเรื่องนี้ เป็นเรื่องของปรมัตถ์มาก อนาคามีภูมินี่ หมายความว่า คุณทำคุณภาพ ของความดับนั้นได้ จนเลยขีดของความไม่มีฤทธิ์แรง ที่จะฟื้นอีกแล้ว แต่ยังไม่สูญ ยังไม่ตายสนิท ยังไม่ดับหมด แต่มันไม่มีสิทธิ์ ที่จะวกเวียนกลับมาอีกหละ ไม่วกเวียน ยังไง ๆ ก็ไม่วกเวียน มันเป็นสัจจะ มันไม่วกเวียนมาอีกแล้ว แต่มันยังไม่สูญ เพราะฉะนั้น อนาคามี ไม่กลับ มาเกิดอีก จริง แต่ยังไปตกอยู่ในภพ ที่ยังค่อยๆ สลายตัว ยังจะต้องไป...จะมีทุกข์ มีสุขมากน้อย ก็เท่านั้นแหละ ไปติ๊งต่องติ๊งต่อง ไปอีกตั้งหลายลักษณะ ท่านแยกแยะไว้ ตั้งถึง ๕ อย่างแน่ะ พวก อนาคามี กว่าจะสูญ พวกสูญในระหว่างก็มี พวกต้องพยายามพากเพียรตนเองอยู่ด้วย ถึงจะสูญได้ พวกอะไรต่ออะไรต่างๆนานา นี่นะ ลักษณะพวกนี้ มันยังไม่สูญนะ

ถ้าคุณมีโอกาส มีเวลาพากเพียรเอาให้แน่ชัดไปเดี๋ยวนี้สิ อาจจะหลงก็ได้นะว่า เราอนาคามี ที่จริงเรา ขีดยังไม่ได้ ยังไม่เวียนกลับเลย แต่เราหลงว่า เราเวียนกลับ นึกว่า อนาคามีภูมิ แท้จริง ก็ยังเวียน กลับอยู่ แต่เสร็จแล้ว เราไม่รู้ความจริง คุณก็เวียนกลับได้ แต่หลง ไอ้หลงผิดนี่ เจ็บปวดมากนะ เจ็บปวดมาก พอกลับมาทีนี้ โอ้โฮ! ตาย เรานึกว่าเราอนาคามี ตายเลย เหอ! (พ่อท่านถามคนฟัง) อนาคาอะไรนะ

ตอบ : อนา...ขาคา (คนฟังหัวเราะ)

คนฟัง : ขายังคาอยู่ (พ่อท่านหัวเราะ)

ตอบ : ไม่ใช่ขามี ไม่ใช่คามี อนาขาคา แล้วมันหลงได้ เพราะฉะนั้น เอาให้มันสูญเลย เอาให้มัน สมบูรณ์ เอาให้มันเป็นอรหัตผลไปเลยสิ ให้มันสูญชัดๆ เห็นเป็นปัจจุบันนั่นเทียว รู้อยู่ เห็นอยู่ ถอนอนุสัยอาสวะ รู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว ให้เด็ดขาดไปเลยสิ คุณจะได้ไม่ต้องไปค้าง ไปคา ไม่ต้องไปตกอยู่ จังหวะนั้น จังหวะนี้ ไอ้โน่น ไอ้นี่ อะไรให้มันยังมีภพ มีภูมิอยู่นั่นน่ะ ยังไม่สูญ มันไม่ เวียนกลับจริง แต่ว่ามันก็ยังไม่...ทรมานนานช้ามาก อนาคามีนี่ ไม่มีเหตุปัจจัยพอ ที่จะสลายได้ง่ายๆ อยู่ในปัจจุบันนี่เร็วกว่า อนาคามีบำเพ็ญได้ดีกว่า ถ้าจะหยั่งงั้นน่ะ กลับมาเกิด ซะดีกว่า อนาคามี ไปตกภูมินั้นอยู่ เพราะฉะนั้น เล่น พระโพธิสัตว์ดีกว่า อนาคามีเป็นโพธิสัตว์กลับมา แล้วก็มามี เหตุปัจจัยเนี่ย มี สูรา สติมันโต อิธะ พรหมจริยวาโส คือ เป็นภูมิที่มีทั้ง สูรา หมายความว่า มีร่าง ดิน น้ำ ไฟ ลม มีขันธ์ห้า มีอะไรครบบริบูรณ์ แล้วก็มีตัวสติ ที่เป็นตัวเอก แห่งการปฏิบัติธรรมนี่ด้วย มีสติมันโต แล้วเราก็ได้สติปัฏฐาน ได้สัมมัปทาน ได้อะไร เพราะสติเป็นประธาน ในมรรคองค์ ๘ นี่ มันจะมี... ไม่ใช่สติปัฏฐาน ความเห็น เป็นประธาน มีสติเป็นตัวนำร่อง อย่างสำคัญ เป็นตัว เหมือนต้นหน เหมือนกัปตันอย่างนี้ และก็นำพา ไปได้ถึงที่ไวกว่า ตั้งใจเกิดดีกว่า เขาเรียกโดยภาษา โดยศัพท์ สัมภเวสี ไอ้นั่นน่ะ คนไม่มีปัญญา ไม่รู้เรื่อง ไม่ได้ตั้งทิศ ตั้งทางอะไร ก็ร่องแร่ง ๆ ไป ยิ่งเชื่อผิด เออ...ไปหาที่เกิด ที่จริงน่ะ ไปหาสวรรค์ลวงเกิด นั่นสัมภเวสีแท้ สัมภเวสี แท้น่ะ ไปหา สวรรค์ลวงเกิด

หา ! ก็ไอ้สิ่งที่เกิดน่ะ โอปปาติกะทั้งนั้นน่ะ จิตวิญญาณของพระอรหันต์ จิตวิญญาณของพระโพธิสัตว์ ก็โอปปาติกะ เป็นเทวดาชั้นสูงไง จิตเทวดา จิตสัตว์นรก อะไรก็เป็นโอปปาติกะทั้งนั้น


ถาม : เราจะลดความกลัวได้อย่างไรคะ

พ่อท่าน : นี่ ตอบไปแล้ว เรื่องความกลัว

ถาม : เช่น กลัวเสียงดัง กลัวงู เราจะลดกามได้อย่างไรคะ ลดมานะอัตตาได้อย่างไรคะ เวลาเจอผัสสะ ทำอย่างไรคะ

ตอบ : โอ้โห! นี่ต้องเปิดตำราตอบกัน ๑๐ วันล่ะนี่ ถามว่าจะลดกามได้อย่างไร ลดอัตตามานะ ได้อย่างไร ก็เป็นพระอรหันต์เลย เวลาเจอผัสสะทำอย่างไร ซอกแซกถามไปงั้น ก็อธิบายกันอยู่ ปากเปียกปากแฉะ

นี่แหละกามภพ ก็มีกามกับมานะนี่แหละ เป็นแกนกิเลสหลักๆ มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่แหละ แล้วก็รู้ ความจริง ตามให้ได้ว่า มันเกิดแล้ว เกิดอาการ ลิงคะ นิมิต ที่ใจแล้ว เกิดแล้ว เป็นอาการอย่างไร แล้วอาการนี้ อ่านออกไม๊เล่าว่า มันเป็นราคะ หรือ มันเป็นโทสะมูล แล้วลดอาการอย่างนี้ให้ได้ ลดได้ด้วย สมถะภาวนา ด้วยวิปัสสนาภาวนา ต้องตอบเป็นภาษาธรรม อย่างนี้ก่อนแล้ว อธิบาย ไม่หวาดไม่ไหว ตอนนี้ ปฏิบัติให้มันถูกทาง ปฏิบัติให้มันถูกสภาพจริงๆ จะทำอย่างไร ก็ต้องมาเรียนๆ ไปหน่อย มาถามอย่างนี้มันไม่มีเวลา ตอนนี้ไม่ใช่เวลา อธิบายหลักวิชา เป็นตอบปัญหาก่อน เพราะงั้น ก็ขอตอบด้วยเป็นภาษาสู่ภาษา ไว้ก่อนเท่านี้นะ มากกว่านี้ ไม่ไหว


ถาม : ข้าฯเคยสำคัญว่าตัวเองนี้มีสิ่งหนึ่งเข้ามาสิงมาทรงอยู่ในร่างเรา และเชื่ออย่างสนิทด้วยว่า สิ่งนี้มีจริง แต่เราก็ปักใจมั่นไม่ได้ว่ามันดี และจริงหรือไม่ ในขณะที่ยังหลงอยู่อย่างนี้ นั้นก็ชักจะ เชื่อมั่นว่ามันดี เพราะสามารถ บางอย่างที่คนอื่นทำไม่ได้ แต่เราในขณะนั้นทำได้ ในตอนแรกๆ บางคนก็ไม่ชอบ เพราะความไม่เคยเกิด เกิดความอายมาก แต่พอถูกผู้ที่เขาเป็นอย่างนี้ อยู่ก่อนแล้ว และเป็นผู้ที่ มีอาชีพทรงเจ้า เข้าผีแนะนำ ชี้แนะ ปลุกปลอบต่างๆนานา ทั้งเอาตัวเอง ประกอบ ในการโฆษณาด้วย เราหรือคนอื่น ที่เป็นอย่างนี้ ก็จะจำนน และยอมรับเงื่อนไข ที่เขาเสนอมา แล้วก็มาเป็นกังวล ใคร่จะให้ผู้อื่นอีกมากมาย มารับรู้ รับรองเราว่า อาการที่เราเป็นอยู่นี้ มันจริงนะ มิได้แกล้งกระทำเลย แต่วันแล้ววันเล่า ก็ไม่มีผู้ใดให้ความเชื่อถือ อย่างจริงจังเลย จะมีก็แต่พวก อาชีพเดียวกัน และกลุ่มเดียวกันด้วย แต่เราและผู้อื่นที่เป็นนี้ ก็ยิ่งพยายามแสดงมายา ให้มากขึ้น เพื่อเรียกร้อง ความสนใจ และเห็นใจ กล่าวคำรับรองให้ว่าจริง ไม่ได้แกล้ง ส่วนคำนิยมนั้น ต่างหาก แอบเปรมปลื้มอยู่แล้ว พอเริ่มมีผู้คน ระดับปัญญาชนมาสนใจ ให้ความเคารพ นับถือเข้า ก็ชักจะ สำคัญตน หลงตน ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์วิเศษ ดั่งท้าวผกาพรหม ผู้สำคัญตนว่ารุ่งเรืองด้วยคุณบริสุทธิ์ (คนฟังหัวเราะ)

จะสังเกตได้ว่า บุคคลจำพวกนี้ จะมีความปรารถนาแรงกล้า ใคร่จะได้ฟัง คำรับรอง จากบุคคล ที่เด่นดัง ในวงสังคม เพื่อที่จะลบปมด้อย ที่ตัวเองรู้สึกมานาน ที่เขียนมานี้ จากครั้งหนึ่ง ในชีวิต ที่ผ่านมาแล้ว และไม่เป็นอย่างนั้นอีกแล้ว (และก็พอรู้วิธีแก้ได้) แต่เวลานี้ ก็ได้มีผู้ที่เชื่อว่า มีวิญญาณอื่น มาสิงร่างตนอยู่ และผู้นั้นก็ปฏิบัติธรรมอยู่ในหมู่พวกเรา และ กำลังทุกข์ เนื่องด้วย อุปาทาน ยึดว่า ถ้าทำผิด มี ที่ให้สัญญาไว้แล้ว จะถูกเจ้าหรือวิญญาณนั้นทำโทษ และก็เป็นจริง ทุกทีเสียด้วย ป้องกันการเข้าใจผิด คิดว่า ข้าฯเขียนมาว่าพ่อท่าน ไม่ใช่นะ ข้าไม่ได้รู้ และเข้าใจ ในเรื่องนี้ จนสามารถแก้ อุปาทานได้ ก็เพราะได้มารับ สัมมาทิฏฐิจากพ่อท่าน และหมู่สมณะ นี่แหละ ถ้าหาไม่แล้ว คงจะหลงไปอยู่ ในภพภูมิไหน ภูมิอื่น กราบนมัสการพ่อท่าน กรุณาอธิบายอีกที

ตอบ : เรื่องนี้ก็เป็นเรื่อง เข้าสิงเข้าทรง อาตมาก็เล่นมา โดยชาตินี้ก็เล่นมา และก็เข้าใจดีแล้วว่า มัน เป็นเรื่อง ของจิตตัวเราเอง สะกดจิตตัวเราเอง เวลาสะกดจิตตัวเราเองแล้ว เข้าไปอยู่ในภพพวกนี้ ธรรมดานี่ มันจะมีสมาธิ ขนาดหนึ่ง บางคนมีสมาธิดีมาก ในขณะเข้าทรง นี่มีสมาธิดีมาก คืออยู่ ในภพนั้นเลย ไม่รับรู้ในภพนอก ตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่ก็เพ่งอยู่ในภพของตัวเอง ความเป็นสมาธิ ในลักษณะนั้น เขารู้กันมาตั้งแต่ไหนแล้วหละ มันเป็นพลังรวม ที่มันมีอำนาจ และมีพลัง มีประสิทธิภาพ ขนาดหนึ่ง เพราะฉะนั้น มีประสิทธิภาพ ที่เป็นพลังต่างๆ ในความสามารถของ แต่ละบุคคล ที่จริงเป็นของผู้นั้นเอง ของผู้นั้นเองน่ะ แล้วก็เอาพลังนั้นมาใช้ จะมีความฉลาด จะมีพลัง เจโตเท่าไหร่ อะไรต่ออะไร ก็เอาอันนั้นออกมาใช้

มันเป็นความสามารถของเขา ที่ได้บำเพ็ญอันนี้มา แล้วก็มีในตัวเขา ของของเขา ไม่มีวิญญาณนั้น วิญญาณนี้ วิญญาณอื่น ไอ้โน่นไอ้นี่มาหรอก แต่คนนั้นเขาไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาพูด ไปสมมุติชื่อว่า นี่วิญญาณของอันนั้น วิญญาณของอันนี้ อะไรก็แล้วแต่ ก็สมมุติไป แต่แท้จริง ของผู้นั้นเอง ไม่ใช่ของ คนอื่นหรอก อาตมาเข้าทรง อาตมาเก่ง ก็เก่งเท่าที่อาตมามีสิ่งนั้น ๆ ของคนอื่นก็เก่งเท่าของคนนั้น ๆๆ แล้วเอาออกมาใช้ได้ เท่าผู้นั้น ๆๆ จะใช้ให้ได้ มันยิ่งมีอุปาทานมากเท่าไหร่ ยิ่งมีมากเท่านั้น อาตมานี่ ไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะอาตมาอุปาทาน มันน้อยกว่า เพราะฉะนั้น สมาธิหรืออุปาทาน ของอาตมา มันจึงร่วมมือกัน ไม่ถนัดถนี่นัก ทำสิ่งเหล่านี้ จึงไม่ค่อยจะเก่งเท่า ที่จริง จิตของเขา ไม่ดีกว่า อาตมา เลยนะ แต่เขามีอุปาทานมากกว่าอาตมา เขาเลยรู้สึกว่า ทำสมาธิ ทำอะไรต่ออะไร ทำเต็มเหนี่ยว มีพลังสูงมาก เพราะเขาเชื่อมั่นว่าจริง เขามีอุปาทานเต็มเหนี่ยวกว่าอาตมา เขาจึงทำ ได้ดีกว่าอาตมา ทำได้ บางทีพิลึกพิลือกว่าอาตมาได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า จิตเขาเก่งกว่าอาตมา นี่เป็นภาวะ ซับซ้อน ที่จะต้องเรียนรู้จริงๆ

อาตมาเล่นมาจนเข้าใจ ก็เลยเห็นว่า เอ๊อ ! คนเรานี่มันไม่รู้จะอธิบายเขายังไง และเขาเชื่อ คนที่เล่น ไสยศาสตร์ อยู่กับอาตมา เดี๋ยวนี้ เขายังเป็นอาจารย์ใหญ่อยู่เลย ใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์ ลูกหาเป็นนายพล เป็นเศรษฐี เป็นอะไรอยู่ เดี๋ยวนี้ เต็ม แล้วมันเหมือนจริง จริงๆนะ เพราะอุปาทานนี่ คนเราอยู่ในโลกนี้ อยู่ด้วยอุปาทานทั้งนั้น แล้วก็จริงทั้งนั้น อุปาทานนี่แหละว่าจริง แล้วเขาก็อยู่กับ อุปาทานเหล่านั้น ถ้าคนจะอยู่ในภพอยู่อย่างนี้ จะเป็นอยู่ในสังสารวัฏนี้ มันก็จะวน อยู่ในสังสารวัฏนี้ จะอยู่ไปอีกกี่ชาติ ก็เป็นอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่ จะได้ไปปรินิพพานซะที

ถ้าคนที่ยังหลงงมงาย อย่างนี้อยู่ ก็จะจมอยู่กับอันนี้ พูดกันไม่รู้เรื่องหรอก ถ้าคนที่ติดมากๆ ยึดแล้ว เขาก็พูดกัน ไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น อาตมาไม่พูดหรอก เพื่อนๆฝูงๆ ที่มานี่ เขาบอก เขาเข้าใจอาตมา บอก เขายังพอใจในสิ่งนั้น ก็ไม่ต้องพูดกัน เขาก็เป็นของเขา เขาก็อยู่ อาตมาไม่พูด ไม่มีเวลาที่จะไป เอามาทำไม หละคนเดียว ก็พวกคุณนี่ดีกว่า พวกคุณนี่ ตั้งใจแล้วก็ไม่ได้ไปติด ไปยึดอย่างนั้น ก็ออกมาได้ แล้วก็ติดยึดอยู่อย่างนั้น เสียเวลาขนาดไหน ไม่เอา อาตมาไม่เอานะ


ถาม : การเอาภาระในการงาน (เพราะคนน้อย) แต่ต้องเสียประโยชน์ในการนั่งฟังธรรม ส่วนใด สำคัญกว่ากัน อย่างไร ขอให้พ่อท่านแยกแยะ

ตอบ : ในการเอาภาระในการงานนี่ เราต้องดูสัดส่วนพวกนี้ นี่ต้องเห็นความสำคัญที่ว่า ถ้าเผื่อว่า มันขาดการงานนี้ เราก็เอาเวลา ไปทำการงาน รับภาระนั้นซะ และในขณะที่เรารับภาระนั้น ก็ไม่ได้ หมายความว่า เราไม่มีช่องทางจะฟังธรรมเลย ไม่ใช่นะ คนขวนขวายฟังธรรม ก็ฟังธรรมได้จริงๆ อยู่ในพวกเรานี่ พยายามหาทุกทางเลย ที่จะให้ได้ฟังธรรม แม้ไม่ได้ฟังเดี๋ยวนี้ ก็เป็นเท็ปไว้ก็ยังมี แต่ฟังเดี๋ยวนี้ ก็พยายามต่อลำโพงไปให้ ถ้าเราใส่ใจ มันก็จะได้ฟัง จริง มันอาจจะฟังไม่ได้ถนัดถนี่ เท่ากับนั่งฟัง สนใจเป็นสมาธิอยู่อย่างยิ่ง ก็จริง มันอาจจะลดหย่อนบ้าง แต่ถ้าความสำคัญอันนั้น อยู่ในวงชีวิตของเรานี่ จำเป็นต้องทำ ไม่มีใครเอาภาระ แล้วมันจำเป็นสำคัญ อย่างสมมุติว่า เช้าๆ นี่ต้องทำกับข้าวมากิน มาทำวัตรกันหมดเลย ไม่มีใครทำกับข้าวเลย แล้วไม่ต้องกินข้าว แล้วอยู่ได้ยังไง กันหละ อย่างนี้ เป็นตัวอย่างง่ายๆ หรือว่างานหลายๆอย่าง ที่เขาต้องเอาภาระ ไม่ต้อง ... งานเดิน ไม่ไหว งานนั้นก็สมควรจะต้องทำ ขนาดนี้แหละ จะเป็นงานอะไรก็แล้วแต่ งานพิมพ์หนังสือ งานจัด งานอะไรต่ออะไร พวกนี้ก็ตาม

มันก็จะต้องดูความเหมาะสม ความได้สัดส่วน ที่ควรจะต้อง เข้าใจ เพราะฉะนั้น ถ้าใครจะหาเวลา ปลีกเวลาให้มามั่ง อย่าให้มันขาดมันเกิน เห็นอันนี้สำคัญ อันโน้นก็สำคัญ ก็แบ่งซิ แบ่งเวลาไปมา คนนั้น ก็จะดูได้เลยว่า เออ...คนนี้เก่งนะ ทางนี้ก็ไม่ดูขาด ดูเขิน งานการก็ไม่ดูขาดดูเขิน สัมพันธ์ได้ ทั้งหมด แล้วก็ไม่ขาดอะไร อันโน้นอันนี้ได้ เฉลี่ยแล้ว ไม่โต่งไปข้างไหน งานก็เอา ยัญพิธีก็ดี ลงทำวัตร ก็ลง งานก็ได้อย่างดี ไม่ขาดไม่เขินอะไรนี่ ถ้าเผื่อว่า เราสามารถจะเอื้อเฟื้อ แม้แต่คนที่มันขี้เกียจทำงาน ก็เอาแต่ว่า มาอ้างว่าทำวัตร แต่ไม่สนใจงาน งานก็ไปทำเขาบ้างเล็กๆ น้อยๆ แต่มาทำวัตรซะเด่น แล้วก็ไปตู่ ไปถล่มทลายคนทำงาน

ส่วนคนทำงาน ก็ว่า...เอาแต่ขึ้นทำวัตร ดูซิงานก็ทิ้งให้ข้าทำอยู่นี่แหละ คนก็น้อยด้วย ก็เกี่ยงกัน ด่ากัน ทบถมกัน มันก็ไม่ได้เรื่อง แต่ถ้าเผื่อว่า เข้าใจแล้ว ก็เออ.. หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกัน ดี ได้สัดส่วนนะ โอ๊! จะเป็นอะไรดีมากเลย อันนี้ อาตมาก็ไม่รู้จะทำยังไง อาตมาไม่เก่งกว่านี้ ที่จะทำให้พวกเราเป็นไปได้ ดีกว่านี้ ก็เลย เอ๊า ! เท่านี้ก็ดีแล้ว ดีกว่านี้ก็ดีก็เอา มันได้ดีเท่านี้ ก็เอาเท่านี้ ไม่รู้จะทำยังไง


ถาม : ชีวิตคืออะไรครับ ผมเสาะแสวงหาคำตอบมานาน จนป่านนี้ยังมืดตื้อ

ตอบ : แน้ ! คนนี้ ชีวิตคืออะไร คงจะเคยได้ยินมาเยอะแล้ว ก็ไม่สมใจ นะว่า ชีวิตมันคืออะไร ตอบ ชีวิตคือ ความดิ้นด๊อกแด๊ก (คนฟังหัวเราะ) อยู่ จบแล้ว (คนฟังหัวเราะ)

คนฟัง : ไม่รู้จะมืดต่อหรือเปล่า

ตอบ : หา !

คนฟัง : ไม่รู้จะมืดต่อรึเปล่า

ตอบ : ไม่รู้จะมืดต่อรึเปล่า เอ้า! จะมืดต่ออย่างไร ก็ตอบแล้วอ่ะ เอ้า ! ขยายความต่อก็ได้นะ ชีวิตก็คือ สิ่งที่ยังมี ปฏิกิริยา ยังด๊อกแด๊ก ด๊อกแด๊กอยู่ ยังมีภาวะอยู่ ยังไม่สูญ ยังมีภาวะ อาจจะกบดานนิ่ง ก็ได้ชีวิต แต่ถึงเวลาก็จะเคลื่อนไหว จะมีการเกิดมา จะมีการหมุนเวียน อยู่ในสังสารวัฏ นี่เรียกว่า ชีวิต ทีนี้ ชีวิตที่เจริญ ชีวิตที่ดี ชีวิตที่ประเสริฐ คืออะไร อันนี้ต่างหากเล่า น่าถาม ถามชีวิตคืออะไร ก็ดิ้น ด๊อกแด๊ก ก็ถ้าจะถามว่า ชีวิตที่ประเสริฐ ชีวิตที่ควรจะเสาะแสวงหา ควรจะเอา ควรจะได้ ควรจะมี คืออะไร พระพุทธเจ้าค้นพบชีวิตประเสริฐ ชีวิตอริยะ ชีวิตพุทธะ ถึงซึ่งพุทธะ อยู่จุดจบ พรหมจรรย์พุทธะ หรืออยู่จบพรหมจรรย์ของธรรมวินัยนี้ นี่เป็นชีวิต ที่พระพุทธเจ้าท่านค้นพบ ให้มนุษย์ เสาะแสวงหาเอาอย่างนี้ให้ได้ อันนี้แหละ เป็นชีวิตที่น่ารู้ แล้วทำตาม เมื่อกี้นี่ถามแต่ว่า ชีวิตคืออะไร ก็ตอบ ทีนี้ ขยายความว่า เท่านั้นไม่พอหรอก

ถามว่าชีวิตคืออะไร ต้องถามว่าชีวิตที่ควรได้ ควรมี ควรเป็น ชีวิตที่ประเสริฐคืออะไร และจะถามต่อว่า ทำยังไง จะได้ศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า และปฏิบัติให้ตรง ให้ถูก ให้ต้อง ด้วยความเพียร ชาตินี้ ไม่ได้ ชาติต่อๆไป ต่อกันได้ มันมีกรรม มีวิบาก ทำไปจนที่สุด คุณก็จะได้พบความประเสริฐ สูงสุดนั้น นั่นแหละ ชีวิตเกิดมา ไม่ว่าชีวิตไหนก็ตาม หลงระเริงอยู่โลกีย์ ก็ไปหลงอยู่อย่างนั้น แล้วก็หลง กันเยอะ ด้วย คนไม่หลงอย่างนี้จำนวนน้อย แล้วคุณก็จะรู้เอง เข้าใจเองว่า อันนี้ประเสริฐกว่า น่าเสียสละ วันเวลา แรงงาน ทุนรอนอะไร ให้แก่อย่างนี้ ยิ่งกว่า คุณก็จะมาเอา ถ้าคุณไม่เอา คุณก็ไปเอาโน่น ก็ไป ที่นี่ไม่มีปัญหาอะไรเลย คุณไม่เอาก็ไม่เอา คุณเอาก็เอา ไม่บังคับกัน อิสระเสรีภาพ เต็มที่ ได้ แล้วมัน ก็จะเป็นอย่างนี้ เป็นของมันเอง มันก็อยู่เกื้อกูลกัน ก็อยู่เป็นสังคมกลุ่มนี้ มีจารีต ประเพณี วัฒนธรรมของ สังคมมนุษย์กลุ่มนี้ เป็นชาวหินฟ้าอย่างนี้นะ หรือเป็น พวกอโศเกี้ยน อย่างนี้ เป็นอยู่อย่างนี้ จะเอาไม๊ล่ะ เป็นอยู่อย่างนี้ จนๆนะนี่ พามาจนอย่างนี้ เอาไม๊ ไม่ได้ปิดบัง แม้แต่อำ ไม่ได้อำพราง และต้องมาเหนื่อยนะ ต้องทำงาน มานั่งงอมืองอเท้า เอาเปรียบไม่ได้หรอก มันบาป มันซวย มันเป็นหนี้ ไม่งอมืองอเท้า ไม่เอาเปรียบ

มีแต่เสียสละ มีแต่สร้างสรร ให้ๆๆๆ สละๆ ให้ได้มากๆ นั่นแหละกำไร นั่นแหละเป็นบุญ เป็นกุศล เป็นสิ่งดี เป็นความประเสริฐ เพราะเรามีคุณค่าให้เขาจริงๆ เข้าใจไม๊ เข้าใจแล้วทำเอา พากเพียร คุณก็ได้ ไม่พากเพียรคุณก็น้อย ยิ่งไม่พากเพียรแล้วก็ยิ่งต่ำกว่าที่เรากิน เราใช้ เราอาศัยด้วย ยิ่งเป็นหนี้ ขาดทุนไปอีก จะเอาไง ไม่ได้อำพรางอะไร บอกความจริงอย่างนี้ และจะอยู่ได้ไหม เราเองจะอยู่กับ ชีวิตอย่างนี้ได้ไหม มาพิสูจน์ อย่าเพิ่งใจร้อน รีบหนีมา รีบกระโจนเข้ามา หมดเนื้อหมดตัว ไฟแรง ประเดี๋ยวตาย อย่าเพิ่งมา ให้ชัดๆ มาพิสูจน์ดูดีๆ ซะก่อน ดูหลุม ดูบ่อ ดูเขางาเก อะไรต่างๆ นานา อยู่ในนี้ โอ้โฮ... พิษแยะเหมือนกัน มีพิษมีอะไร แยะเหมือนกัน อยู่ในนี้ โอ้โฮ ก็มาดูว่า อยู่ได้ไหม ถ้าอยู่ได้เอาเลย


ถาม : เจ้าชายสิทธัตถะ เมื่อประสูติใหม่ๆ เดินไปได้ ๗ ก้าวจริงหรือ (พ่อท่านหัวเราะ)

ตอบ : เอาหละเรื่องนี้ อาตมาจะตอบเป็น ๒ นัยอย่างนี้ ถ้าสมมุติว่า มันเป็นเรื่องที่เกินเชื่อจริงๆ นะ เราจะไม่เชื่อก็ได้ ว่าพระพุทธเจ้า คลอดออกมาแล้วก็ เดินปุ๊กๆๆ ไป ๗ ก้าว เสร็จแล้วก็ ตอนพอไปถึง ๗ ก้าว แล้วอยู่ยังไง ยืนหรือล้มแผละลง (คนฟังหัวเราะ) หรือว่าใครไปอุ้มไว้ อาตมาเคยถามคนเขานะว่า เป็นยังไง เจ้าชายสิทธัตถะนี่ พอคลอดปุ๊บลงมาก็เดินป๊อกๆ นับได้ ๗ ก้าว พอถึง ๗ ก้าวปั๊บ ก็ทำยังไง อาตมาเคยถามเขาต่อ รู้ไม๊ บรรยายไว้หรือเปล่า บันทึกไว้หรือเปล่า ว่ามันเป็นยังไงต่อ ไม่มีใครตอบได้ ว่าท่านถึง ๗ ก้าว เพราะว่าเดินเกิน ๗ ก้าว ไม่ได้นี้ใช่ม๊ะ ก็กำหนดไว้ว่า ๗ ก้าวใช่ม๊ะ เพราะฉะนั้น ไปถึงตรงเจ็ด แล้วทำไง อยู่ยังไง ยืนอยู่นิ่งๆ หรือล้มแผละลง หรือคนรีบไปอุ้มมา หรือว่ายังไง ไม่มีเรื่อง ต่อเลย ไม่มีเรื่องต่อนะ อาตมาก็ว่า เอ๊ ! หยั่งงั้นพักไว้ก่อน เรื่องอย่างนั้น พักไว้ก่อน ถึงแม้ว่าจะเดิน ๗ ก้าวได้หยั่งนั้นน่ะ มีค่าอะไร มีคุณอะไร ถามหน่อย เกิดมานี่คลอดจากท้องแม่ปั๊บ ก็เดินได้ ๗ ก้าวนี่ มีค่าอะไร มีคุณอะไร หา! มีประโยชน์อะไร เดินได้เร็วกว่ามนุษย์อื่น เท่านั้นเอง

แข็งแรง เอา ก็ตกลง ได้แข็งแรงแล้วเดิน มีคุณค่า เดินได้เก่งกว่ามนุษย์อื่นเท่านั้นเอง ได้ก่อนเขา เท่านั้นเอง เสร็จแล้ว ก็จะเดินได้อยู่ดี คนที่เดินไม่ได้ทันทีวันนี้ อย่างน้อยก็ ๒ ปี ปีหนึ่งสองปี ก็เดินแล้ว บางคนไม่ถึงปีหรอกเดิน ก็เดินได้นี่ ก็เลี้ยงไปเดี๋ยวก็เดิน แล้วมันประหลาดอะไรกันนักหนา ก็แค่เดิน มีคุณวิเศษอะไรนักหนา อาตมาว่า ไม่ใช่คุณวิเศษอะไร ดิบดีอะไรนักหนาหรอก

แต่ที่จริงนี่เดินด้วยพุทธคุณ เดินได้ของความเป็นพระพุทธเจ้า เดินด้วยความเป็นพุทธะนี่ ด้วย โพชฌงค์ ๗ ก้าว ไปตามก้าวโพชฌงค์ ๗ นี่เป็นการเดินของพุทธะ การเกิดของพุทธะ ต้องเดิน อย่างนี้ คลอดอย่างนี้ ออกมาอย่างนี้ ออกมาจากครรภ์ของโลกียะด้วย ๗ ก้าวอริยะ ๗ ก้าวโลกุตระ อย่างนี้ ด้วยองค์ของ โพชฌงค์อย่างนี้ โพชฌงค์นี่ แปลว่า ตัวตรัสรู้ องค์ของความตรัสรู้ เดินด้วยทฤษฎี เดินด้วยหลักเกณฑ์ เดินด้วยสูตรใหญ่ๆ โพชฌงค์ ๗ นี่ อย่างนี้แหละ อันนี้แหละวิเศษ อันนี้ซิ เจ้าชายสิทธัตถะวิเศษ ใช่ไม๊ อันนี้เจ้าชายสิทธัตถะวิเศษ ใครจะมาอธิบาย เดาด้นไป มีบางสาย ก็บอก โอ๊ย...นี่จะไปโปรด ๗ แคว้น ๗ ก้าว หมายถึงว่า เดินไปโปรด ๗ แคว้น ก็เอาเถอะ ก็ว่าไป อาตมาว่า เดาทั้งนั้นน่ะ อาตมาขอยืนยันว่า ที่อาตมาพูดนี้ เป็นเรื่องจริง เป็นเรื่องที่ได้รับถ่ายทอด มาจาก พระพุทธเจ้า (คนฟังหัวเราะ) ไม่ตรงกับใคร ก็ช่างมัน

คนฟัง : พระพุทธเจ้าก็เคยพูดว่าเป็น โพชฌงค์เกิด

พ่อท่าน : อ้าว...มันมีหลักฐานไปยืนยันตรงพระพุทธเจ้าว่า โพชฌงค์เกิด พระพุทธเจ้าจึงเกิด แล้วมันก็เป็นคำ ยืนยันว่า พระพุทธเจ้าเกิดกับโพชฌงค์ โพชฌงค์เกิดกับพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น การเดิน ๗ ก้าวนี่ คือโพชฌงค์ ไม่ใช่อื่น อันนี้ซิ ถ้าคุณเข้าใจดีแล้วหละว่า เกิดอย่างนี้ อย่าไปเข้าใจ เป็นภาษาคน เข้าใจเป็นภาษาธรรม ให้ได้นะ


ถาม : ฤาษีดาบส เหาะได้จริงหรือ เหาะหมายถึงพาเอาร่างกายลอยขึ้นไป บนท้องฟ้าน่ะ

ตอบ : อันนี้ก็ ได้หรือไม่ได้ก็ช่างมันเถอะน่า เดี๋ยวนี้มีสตังค์ ก็ไปขึ้นเครื่องบินเอา (คนฟังหัวเราะ) ฮื๊อ! ไปสงสัย อะไรมากมาย เดี๋ยวนี้เขาก็เหาะกันได้ จริงๆอยู่แล้ว ขึ้นเครื่องบินได้อยู่แล้ว แทนที่จะไปฝึกนี่ โอ้โฮ! ใช้แรงงาน ใช้เวลา ใช้ทุนรอน ไปตั้งเยอะตั้งแยะน่ะ มันก็เหาะไม่ได้ซักที เอาเงิน.. ไปซื้อตั๋ว เครื่องบิน จะไปไหน ก็ซื้อตั๋วเครื่องบินไป เสร็จ ได้ ได้จริงๆ เหาะได้จริงๆ ไม่ต้องไปคิดให้มันปวดหมับ ปวดหมอง (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ชอบคิดให้มันเสียเวลา ชอบคิดให้มันไม่เข้าท่า ไม่ได้เรื่องอะไร จริงๆแล้ว มันเหาะได้ เมื่อเช้านี้ก็พูดแล้วว่า มันมี แม้แต่อะไร T.M เหรอ (พ่อท่านถามคนฟัง) ชื่อยังกะ เอทีเอ็ม ที่เป็น เหอ ! (พ่อท่านถามคนฟัง) ระบบบัตรรูป นั่นเนอะ บัตรกด บัตรรูปอะไรนี่ ทีเอ็ม อะไรนี่ เขาก็พิสูจน์อยู่ อาตมาก็ไม่เคยเห็นด้วยตานะ แต่เคยเห็นรูปถ่ายเขา แหม ทำเป็นลอยขึ้นมา ถ่ายรูป ขึ้นมา ยืนยันซะด้วย มันใช้เทคนิคการถ่ายรึเปล่า ก็ไม่รู้อ่ะนะ

คนฟัง : เห็นเค้าบอกว่า

พ่อท่าน : กระโดดเอาด้วยเหรอ

คนฟัง : ไม่ได้อยู่นาน

ตอบ : ไม่ได้อยู่นานด้วย ก็ไม่รู้ล่ะ อย่างไรก็แล้วแต่เถอะ มันสมัยนี้มันไม่มีพลังงานแล้ว มันไม่มี สิ่งที่จริงได้ ถึงขนาดนั้นหรอก แต่เอาเถอะ ถึงเหาะได้ก็แค่ หมาเลียตูดไม่ถึง (คนฟังหัวเราะ) มันจะไปอะไร กันนักกันหนาเล่า ...หือ! จะไปอะไรกันมากมาย ก็บอกแล้วว่า อยากจะเหาะจริงๆ จำเป็นจะเหาะ ก็เหาะไปซี้ เอาสตางค์ ไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แล้วก็ขึ้นไป

ถาม : พระโมคคัลลานะ แสดงอิทธิฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้จริงหรือ ทั้งหมดนี้ชาวพุทธเขาเชื่อว่า เหาะไปในอากาศ จริงๆ ขอให้พ่อท่านอธิบายเป็นพระปรมัติ และบุคลาธิษฐาน เป็นพระปรมัติ และ บุคลาธิษฐาน

ตอบ : เรื่องนี้ อาตมาก็ไม่อยากจะให้ไปคิดอะไรกันมาก เพราะพระโมคคัลลาจะเหาะได้จริงๆ ก็ ไม่ใช่เรื่อง ประหลาดอะไร เพราะในสมัยโบราณ มันมีอะไรหลายๆอย่าง ที่เขาใช้พลังทางจิต มาเป็น เรื่องวิเศษ มีพลังพิเศษต่างๆนานา หลายอย่างหลายอัน แต่อย่างนั้น ก็ไม่ใช่ทางบรรลุ ไม่ใช่ทางไป ปรินิพพาน เพราะฉะนั้น คุณจะไปนั่งสงสัย ไอ้เรื่องไม่ใช่ทางไปปรินิพพาน ทำไม๊

อย่างทุกวันนี้นี่ โอ๊ นี่เขาทำโทรทัศน์ได้ยังไง เขาไปสร้างจรวด ออกไปนอกโลกได้ยังไง คุณไม่ต้อง ไปเอามาสงสัย ก็เหมือนกันนั่นแหละ คุณมาฝึก ศึกษานี่ไปทาง ความเจริญปรินิพพาน นี่ไปทางนี้ พอแล้ว พระพุทธเจ้าถึงได้ห้าม พระโมคคัลลาเหาะได้ พระพุทธเจ้า อย่าไปเหาะอีกนะ เหาะอีก แม้จะทำได้จริง ก็ปรับอาบัติ ปรับอาบัติทุกฎ อย่าไปเหาะ อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้า ท่านไม่ส่งเสริม มันไม่ใช่เรื่อง เป็นไปเพื่อความละหน่ายคลายนะ อย่าไปใส่ใจมาก คนที่อาตมาพูดอย่างนี้ ก็ยังไปดื้อ ใส่ใจอยู่งั้น ก็เอา ดื้อต่อไป ไม่เข้าท่า จะโง่ดื้ออยู่อย่างนั้น จะดื้อโง่ๆ อยู่อย่างนั้นก็ไป เอาเลย (พ่อท่านหัวเราะ)


ถาม : เมื่อก่อน พ่อท่านไม่สนับสนุนให้ศึกษาทางโลก พวกเราส่วนมาก จึงมักจะเลิกเรียน หันมา ปฏิบัติธรรมกัน ปัจจุบันเพราะเหตุใด พ่อท่านจึงบอกให้ศึกษา ทั้งทางโลก และทางธรรมไปพร้อมกัน และที่ว่า การศึกษาทางโลก จะลืมง่าย ไม่ติดตัวไปชาติหน้านั้น ทำไมเห็นพ่อท่าน สามาถรู้ทุกศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นด้าน เกษตร สิ่งแวดล้อม วิทยาศาสตร์ รัฐศาสตร์ นิติศาสตร์ การบริหาร ฯลฯ ทั้งๆ ที่ไม่ได้ศึกษา ในชาตินี้

ตอบ : เรื่องของสิ่งที่เป็นทรัพย์แท้ เป็นทรัพย์ที่ยืนยัน ยืนยง นี่นะ ทรัพย์ที่เป็นอริยคุณ หรือว่า ทรัพย์ที่เป็น นามธรรมนี่ มันได้ทางนี้นี่ มันเป็นสิ่งประเสริฐ และเป็นสิ่งที่ควรได้ควรเป็น ควรมี แล้วมันติดไปได้ ถ้าได้มาก หรือได้ดีนี่ มันให้กำไรแก่ชีวิตเรามาก เราใส่ใจ มันจะลืมยาก เราไม่ใส่ใจ มันจะลืมง่าย ทีนี้ในทางโลกนี่นะ ไปศึกษาวิชาทางโลกๆ แล้วก็ไปติดใจ ในทางโลกๆ ติดในทางโลกๆ ได้เหมือนกัน ติดได้เหมือนกัน แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐนะ ไม่ใช่สิ่งที่ประเสริฐ ไม่ใช่สิ่งที่น่าจะเป็น สมบัติต่อไป คุณมีพลังงานที่จะซับเอาอะไรอันหนึ่ง คุณก็แบ่งไปซับเอาโลก แล้วคุณจะแบ่งไปซับ เอาธรรม ก็ไม่เต็มที่ คุณแบ่งเอามาซับธรรมให้มาก โลกจะทิ้งไปบ้าง มันจะลืมง่าย มันก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคุณเอาไปซับเอาโลก คุณก็ไม่เอาธรรม คุณก็ลืมธรรม แล้วมันควรไม๊ ควรทิ้งธรรม แต่ไปเอาโลก คนอวิชชา เขาเอาโลก ถึงแม้เอาโลก มันก็ลืมง่ายกว่า เพราะอะไร

เพราะคุณตายชาตินี้ยุคนี้ กิจการความสามารถ ฝีมืออะไรของคุณ ก็ได้ในระดับอันนี้นะ วิทยาศาสตร์ ก็อยู่ในความเจริญขนาดนี้ เสร็จแล้ว อีกร้อยปี คุณมาเกิด เป็นไง เก่าแล้วอันนั้นน่ะ ความรู้โลก อันนั้น น่ะ เก่าแล้ว คุณไม่ลืม คุณก็ต้องลืม เพราะเขาไม่ได้ใช้กันน่ะ ฟังออกมั้ย เขาไม่ได้ใช้กัน เขาฝังไปแล้ว เขาทิ้งไปแล้ว เขาลงขยะไปหมดแล้ว เขาไม่เอาแล้วอันนี้ เขามีระบบใหม่แล้ว เขามีเรื่องใหม่แล้ว อย่างนี้เป็นต้น แล้วมันก็จะก้าวหน้า แล้วมันก็จะเดินหน้าไปอย่างนี้ ตลอดเวลา เพราะฉะนั้น มันจึงลืม หรือมันจึง ไม่มีผลที่จะต่อเนื่องได้ดีเท่า แต่ธรรมะนี่ มันจะต้องเป็นของที่ลึก เป็นของที่จริงใจ หรือ เป็นศรัทธา ศีล อะไร ๆ พวกนี้ นี่ หยั่งลึกจิตวิญญาณเป็นหลัก มันจะแน่นกว่า มันจะยืนนานกว่า ทีนี้ ถามว่า ทำไมอาตมาแต่ก่อนนี้ ไม่ส่งเสริมให้เรียนวิชาทางโลก

เพราะแต่ก่อนนี้ เครื่องอาศัยชีวิตมันมีน้อย มันก็พอ เพราะคนมันน้อย อาศัยอุปกรณ์ปัจจัยสี่ อะไร ต่ออะไร ต่างๆนานา แม้แต่อุปกรณ์ ที่จะเผยแพร่ไป ก็ไม่ต้องมาก เพราะฉะนั้น ในสัดส่วนนั้น เราไม่ ต้องอาศัยอะไรมาก ความรู้ความสามารถทางโลก เพื่อที่จะเอามาสร้าง เราเอง สมมุติว่า เรามาสร้าง ข้าวเอาไว้ เรากินกันเอง สร้างเห็ดกินกันเอง อย่างนี้ เป็นความรู้ทางโลก เราก็ไม่ต้อง มันพอ และตอนนี้ มันมากแล้ว มันไม่พอ เราก็ต้องช่วยตัวเองมากขึ้น ไม่เรียนก็ต้องเรียน ไม่เรียนออกไป สถาบัน ข้างนอก มา เราก็ต้องเรียนที่นี่แหละ เรียนกันเองนี่แหละ อาตมาจึงต้อง ตามยุค ตามสมัย ตามองค์ประกอบ ที่มันเป็นจริง ก็ให้เรียน

อีกอันหนึ่ง ก็คือว่า เรามีฐานความรู้ทางธรรมแล้ว เพราะฉะนั้น แต่ก่อนนี้ คุณไม่มีความรู้นะ ถ้าไปขาย คุณก็จะขาย แบบทุนนิยม จะไปเป็นพ่อค้า จะเป็นคนชาวเกษตร คุณก็จะสร้างเกษตรแบบทุนนิยม คุณจะไปทำงานอะไร คุณจะไปสร้างอะไรแบบโลกียะ แบบโลกๆ งานโลกๆเขา คุณก็จะทำแบบ ทุนนิยม มันก็ไปไม่รอด แม้ทุกวันนี้ อาตมาจะพาทำแบบบุญนิยม มันยังไม่ค่อย จะเป็นบุญนิยม ร้อยเปอร์เซ็นต์เลย มันยังเป็นบุญนิยมแล้วก็เป็นทุนนิยมเอียงๆโต่งๆ อยู่นั่นน่ะ เผลอไม่ได้ เผลอก็ยัง ขี้โลภ นะ เผลอก็ยังจะเอาเปรียบ เผลอก็ยังจะเอาแก่ได้ เห็นแก่ได้อะไรอยู่ แล้วในระบบ มันก็ยังไม่เป็น บุญนิยม ได้ดีทีเดียว ยังอนุโลมเป็น ทุนนิยมหน่อยๆ อยู่บ้าง เพราะฉะนั้น แต่ก่อนนี้ ยังทำไม่ได้ เข้าใจ ก็ไม่พอ ความจำเป็นก็ไม่มาก ตอนนี้เรา ความจำเป็นมากขึ้น เข้าใจดีขึ้นบ้างแล้ว ก็มีฐานอาศัย พวกเรานี่ เข้าใจบุญนิยม แม้จะไม่สมบูรณ์ ก็ยังพอที่จะทำไปด้วย พัฒนาไปด้วย ประยุกต์ไปด้วย อาตมาก็จี้ไปด้วย อันไหนที่มันยังไม่สมบูรณ์ แก้ไข ก็พยายามแนะ บอก แก้ไขไปเรื่อยๆ จึงจำเป็น ต้องเข้าประชุม ต้องเข้ารับรู้ ต้องอะไรต่ออะไรให้มาก เพื่อที่จะต้องปรับแนว ปรับอะไร ให้มันเข้าทาง ให้ดีๆ หนักแต่จำเป็นต้องทำ เพราะถึงกาละ ไม่เช่นนั้น มันก็ช้ากว่านี้อยู่นั่นเอง เพราะฉะนั้น จำเป็นที่จะต้อง เพื่อดิ้นรนด้วย เพื่อตัวเราเองด้วย เพื่อประโยชน์ข้างนอกผู้อื่นด้วย ทำไปตามธรรม จึงอนุโลม ให้ไปเรียน ไปศึกษา

เช่น อย่างอาตมาให้ไปเรียน นี่ มีผู้จะไปเรียนบาลีที่จุฬาฯ ทำปริญญาโท แต่ก่อนนี้ อาตมาไม่ให้ไปเรียน แต่ตอนนี้ ทำไมให้ไปเรียน แต่ก่อนนี้ เรียนแล้วอยากให้ไปเป็นครูอีก อยากจะไปสอน อยากจะไปทำงาน ข้างนอก อยากไปทำอะไร อย่างนี้เป็นต้น อาตมาไม่ให้เรียน แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว อาตมาเชื่อแล้วว่า เอ้า! เรียน ไปเรียนเถอะ เรียนแล้วก็ จะเอามาทำประโยชน์ในการรังสรรอันนี้อีก ไปเรียนมาเลย ไม่มีทุนรอน หาให้ด้วย อย่างนี้ไม่มีปัญหาอะไร ไม่สูญเสียอะไร เพราะเราเข้าใจแล้วจริงๆ เรามีปัญญา รู้แล้ว แล้วเราก็เชื่อแล้วว่า เราไม่ไปเอาหรอก ลาภ ยศ สรรเสริญ เรียนไปก็ไม่ไปเที่ยวได้ไปแบ่ง ไปแย่ง ไปชิง ไปเป็นตัวแย่งของโลกเขา เพราะฉะนั้น ศึกษาเพิ่มเติมมาแล้ว เราก็ขาดแคลน เราก็ควรจะมี อะไรอย่างนี้ ก็เอาซิ เข้าใจม๊ะ มันไม่ได้เสียหายอะไร เพราะฉะนั้น ใครอยากจะเรียน แต่ถ้าเรารู้ตัวว่า เราเองนี่ ยังไม่แน่ มาแฝง ถ้าอาตมารู้ไม่ทัน ก็อาจจะอนุญาตให้ไปเรียนนะ

เราแฝง ก็คล้ายๆกับ พวกลูกศิษย์วัด มาเรียน อาศัยเรียน เสร็จแล้วก็ ไป...โน่นแน่ะ ล่าลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข อยู่ในโลก อยู่ในโลกีย์เขาน่ะ แบบนี้เป็นลูกศิษย์วัดแบบนี้ เป็นเอาเปรียบ ตัวคนนั้นก็บาป ทางนี้ก็ไม่ได้ประโยชน์ แต่เขาว่า เขาเอาไปเผยแพร่ธรรมะ เหมือนกันนะเดี๋ยวนี้ พวกที่เป็นลูกศิษย์วัดนี่ ไปเรียน แต่ที่จริง ก็ไปล่าลาภ ล่ายศ อยู่เต็มเหนี่ยว อยู่นั่นแหละ ไม่ได้คุ้ม กันหรอก ที่จริงไม่ได้ให้ธรรมะ อะไรกัน เท่าไหร่หรอก ที่จริงเป็นเพื่อตัวเขาเอง นั่นแหละ เป็นสำคัญ และมากกว่า แล้วก็มาอ้าง ทำเป็น... แหม ผู้ไม่รู้ ไม่ทันก็เชื่อเค้า แต่หลอกอาตมา หลอกไม่ได้ อาตมารู้ ไม่ต้องอ้าปาก ก็เห็นขี้ฟัน เข้าใจ รู้ รู้ทัน แต่ อาตมาไม่อยากจะฉีกหน้าเขามาก เท่านั้นเอง สรุปแล้วก็ ในเรื่องของการเรียน ก็นัยนี้ แล้วบอกว่า ทำไมลืมง่าย ไม่ลืมง่าย ก็อธิบายไปก่อนแล้วนะ


ถาม : รายการภาคค่ำเรื่อง ชีวิตพิสดาร ฟังเรื่องราวชีวิตของครูอุดม รู้สึกว่าเขาใจร้ายมาก ทำให้รู้สึก รังเกียจ ความใจร้าย และความพยาบาทของเขา มาก เพราะ ๑.โดยหลักการ (คนฟังหัวเราะ) เราเกลียดอะไร เรายังมีสิ่งนั้น ใช่ไม๊คะ

พ่อท่าน : เออ...ถามเข้าท่านะ

ถาม : หรือ ๒. เป็นมานะใช่ไม๊คะ มานะของคนรักดีมาก เลยรังเกียจ ความชั่ว

พ่อท่าน : เออ....รู้จักหลักวิเคราะห์นะ

ถาม : ดิฉันฟังแล้วรู้สึกว่า โลกนี้หดหู่เศร้าหมอง ขอให้พ่อท่านช่วยแนะนำสั่งสอน เพิ่มเติมด้วยค่ะ

ตอบ : เรื่องของ (พ่อท่านหัวเราะ) ครูอุดมนั่นก็ ที่จริงเป็นเรื่องจริง แล้วก็พูดออกมาให้เราฟังว่า โอ้โฮ! คนเรานี่ มันเป็นไปได้ถึงปานนี้ ดีแล้วล่ะ ที่คุณเห็นแล้ว แล้วก็เห็นว่า มันไม่น่าจะไปเป็น หิริเอาไว้ โอตตัปปะเอาไว้ ใครก็ตาม ครูอุดม ครูขาดแคลน คนไหนก็ตาม (คนฟังหัวเราะ) คือไม่อุดม มันก็ขาดแคลนอ่ะนะ (คนฟังหัวเราะ) แต่ไม่มีคนชื่อไม่ขาด คนชื่อขาดแคลนกันเท่านั้นแหละ จะชื่ออุดม จะชื่อขาดแคลนอะไรก็ตามใจเถอะนะ ระวังไว้ อย่าไปเป็นอย่างนั้นซิ ครูอุดมได้กลับเนื้อ กลับตัว มาแล้ว แล้วดีไม๊

คนฟัง : ดีค่ะ

ตอบ : เออ เขาบอกความจริงให้ฟังก็ดีแล้วล่ะ อนุโมทนาสาธุ ให้เราไปได้เห็นเป็นตัวอย่าง ว่าคนเรา เป็นได้ถึง ปานฉะนี้ อาตมาว่ายังน้อยไป เห็นไม๊ล่ะ เหตุการณ์มันมีอยู่ในนี้ ในนี้มันยิ่งกว่านี้อีกมากนัก แต่เอาเถอะ ขนาดนี้ก็แย่แล้ว (พ่อท่านหัวเราะ) เพราะฉะนั้น อย่าไปเป็น อย่าไปมี แม้อ่อนกว่านี้ ก็ไม่เอา อย่าไปเป็นอกุศล ขนาดนี้กันเลย หรือว่าน้อยกว่านี้ ก็ไม่เอาล่ะ อกุศลขนาดไหน ก็ไม่เอาล่ะ ดีแล้วนี่ เพราะฉะนั้น ก็พยายามเห็นว่า เป็นอุทาหรณ์ เป็นตัวอย่าง ให้เราได้รับรู้ รับฟัง แล้วเราก็อย่า ไปเป็นอย่างนั้น ก็แล้วกัน เลิกมาได้เป็นบุญ กลัวแต่ว่า คุณไปเป็นอย่างนี้บ้าง เลยเลิกมาไม่ได้อ่ะทีนี้ คนที่เลิกมาได้นี่ บุญนะ ดีแล้ว


ถาม : การทำงานมาก ต้องรับผิดชอบมาก ในเมื่อจิตเราเกิดต้องการปล่อยวางใจ จากงานต่างๆ ต้องใช้กรรมฐาน วางใจอย่างไร เพราะงานทุกอย่าง ก็มีสาระทั้งนั้น แต่งานก็ประดังประเด เข้ามา เราก็ช่วย แทบทุกงาน บางครั้ง ก็ห่วงงานเก่า พยายามวางให้มาก แต่ก็ไม่ได้กรรมฐานที่ถูกต้อง ขอให้พ่อท่าน ชี้แนะด้วย

ตอบ : อันนี้สำคัญนะ อาตมาบอกตายตัวไม่ได้ อาตมามีงานมาก แล้ว ประเดประดังเข้ามาด้วย วางยังไง แหม ...ถึงบอกว่า มันยากจริงๆวาง เราต้อง รู้ลำดับของงานนะ มีปัญญารู้ว่า งานไหน สำคัญมาก สำคัญน้อยกว่ากัน อันไหน.. กาลไหน อันไหนควรก่อน อันไหนควรตาม อันไหนควรหลัง ต้องเข้าใจ ต้องรีบ ต้องวิเคราะห์ มุทุภูเต จิตวิญญาณที่เร็ว ที่แววไวพวกนี้นี่ มันจะเหมือน เครื่องคอมพิวเตอร์ มันจะโซลว์

ทุกวันนี้ เครื่องคอมพิวเตอร์นี่เป็นตัวอย่าง ที่เราเอามาเปรียบเทียบกับ จิตวิญญาณได้มากๆ ตัวเก่งนะ เก่งจนกระทั่ง โอ้โฮ...พวกนั้นพวกนี้ มีโปรแกรมอะไรไว้ มันทำได้หมด จิตวิญญาณเก่งกว่า คอมพิวเตอร์ นะ เก่งกว่าคอมพิวเตอร์ แต่ทุกวันนี้ จิตวิญญาณของเรา มันไม่เจ๋งเหมือนกะ สมัยโบราณ มันไม่เก่ง เท่าคอมพิวเตอร์ แม้อาตมา ทุกวันนี้ ก็ไม่ได้เก่งเท่าคอมพิวเตอร์ แต่ก็ทำได้ มันเรียบเรียง มันเข้าร่อง เข้าแนว เข้าล๊อค อะไรของมัน คุณจัดสรร แล้วรู้ระดับ รู้ชั้นเชิง เรียกว่าธรรมะ ทุกชั้นเชิง ทุกระดับ ก่อนหลัง สำคัญน้อยสำคัญมาก อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ต้องรู้อย่างนั้น

ถ้ารู้อย่างที่อาตมากล่าวแล้ว คุณก็จะรู้อันนี้ ต้องวางก่อน อันนี้ต้องเอาไว้ก่อน เอาอันนั้นก่อน อันนี้ก่อน มันก็จะไม่สับสน และมันก็จะต้อง ไม่วุ่นวายหัวใจ เพราะฉะนั้น ใน เพลงภาระกับคน ที่อาตมา บอกเอาไว้ คนมีภาระมาก แต่ไม่สับสน ไม่ทุกข์ร้อน ไม่วุ่นวายใจ ไม่เสียหาย ผู้นี้ละ รู้จักอันนี้ดี เป็นสัตบุรุษ ที่มีสัปปุริสธรรม ๗ ประการอย่างดี รู้จักธรรม อรรถ อัตตัญญุตา รู้จักเนื้อหาแก่นสาร เป้าหมาย รู้จักชั้นเชิง รู้จักทุกระดับ ธรรมะนี่ทั้งเหตุและผล ส่วนอรรถะนี่คือผล คือตัวผลเป้าหลักเลย อรรถะ ส่วนธรรมะนี่คือเหตุและผล อัตตะก็คือรู้ตน แล้วก็รู้การประมาณ ประมาณกับบริษัท ประมาณ กับบุคคล ประมาณกับกาละ ประมาณกับสิ่งที่มันเป็นองค์ประกอบ ทั้งหลาย ในทุกกาละ เราก็จะเป็นได้ แล้วถามว่า จะทำยังไง ก็ต้องเรียนรู้ เราต้องรู้ จึงต้องฝึกฝนไป ฝึกฝนไป มันจะรู้ตาม เรื่อยๆ แล้วเราทำไป ยิ่งมีแบบฝึกหัด มีตัวปฏิบัติจริงๆนี่แหละ มันถึงจะรู้จริงรู้ยิ่งได้ แต่ถ้าเผื่อว่า เราเอาแต่คิด เอาแต่นั่งคิด ไม่จริงนะ มันไม่แน่หรอก บางทีมันจะออกมาอย่างนั้นอย่างนี้ นี่ เราเดาเอาไม่ได้ ต้องพยายามทำจริงๆ ต้องขยัน ฝึกฝนนะ


เหลืออีก สองนาที ก็คงจะได้อีกซักหนึ่งปัญหา หรือสองปัญหา เป็นอย่างมากอ่ะนะ เอา ให้ สามปัญหา นอกอันนี้แล้ว ให้อีกสามปัญหา ให้อีกสามแผ่น


ถาม : เรียนถามว่า ทำไมคนเราถึงชอบสรุปอะไรง่ายๆ ผิดๆ มีอะไรแก้ไข เป็นหลักให้คิดบ้างคะ เพราะโรคนี้ ดูจะมากๆขึ้น ทุกสถานที่ แม้แต่คนบอกว่ามีศีล ก็เป็นกันมากๆ ด่วนสรุป
[พ่อท่าน :
นี่บอก ข้างล่างนี่ด้วยว่า] สงสารศาสนา ม๊าก มาก ไม่อยากให้หมองค่ะ

ตอบ : ถ้าจะให้อะไรบริสุทธิ์ทั้งหมดนั้น คุณอย่าหวัง ไม่มีอะไรหมอง ไม่มีอะไรเสียหาย บกพร่อง บ้างเลย อย่าหวัง ถ้าคุณหวังอย่างนั้น มันไม่ได้หรอก มันจะมีบ้าง มาหมองบ้าง บกพร่องบ้าง เป็นธรรมดา มันหมอง หรือมันบกพร่อง อย่างทุกวันนี้ มีผิดๆพลาดๆ มีบกพร่องบ้าง ขนาดนี้อาตมาว่า ก็ดีอยู่ แต่ไม่ใช่ดีกว่านี้ เพราะงั้น เราพยายาม ให้ดีกว่านี้ ก็พยายามกันเถอะ แม้มันบกพร่องบ้าง ต้องมี ถ้าเราไปตั้งค่า ไปตั้งคะเนเอาไว้ว่า หวังไว้ว่า มันจะต้อง ไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่มีอะไรผิดพลาด อะไรอย่างนี้ มันไม่ได้หรอก เพราะฉะนั้น จะด่วนสรุปอะไร เร็วๆ เราก็พูดกัน ก็อย่าด่วนซิ คนที่ด่วน เพราะเหตุการณ์ ต้องรีบด่วนก็ว่าไป มันผิดบ้างก็เอา ก็ยอมกัน มันไม่ผิดก็พยายามนะ อาตมาตอบ กำปั้นทุบดิน แบบนี้ ไม่รู้จะตอบยังไง ปรารถนาของคุณที่ถามมานี่ ดี และเราก็อยากได้อย่างงั้นด้วย ช่วยกัน ช่วยกัน พยายามที่จะเรียนรู้ แล้วก็ฝึกปรือไป


ถาม : ถามว่า สมาธิกับสมถะ แตกต่างกันอย่างไร

ตอบ : นิดเดียวจริงๆ อาตมาตอบไปแล้วน้า อันนี้ สมาธิกับสมถะ นี่มันต่างกันตั้งไกลนะ ทำไม๊ เอามาปนกันได้ สมาธิหมายความว่า อธิของศีล อธิของจิต อธิของปัญญา สมถะคือตัวจิต ตัวสงบระงับของจิตสมถะนี่ และสมถะก็มีสองชนิด สมถะแบบฤาษี กับสมถะแบบพุทธ แปลว่า ความสงบระงับ สมถะนี่แปลว่า ความสงบระงับ เพราะฉะนั้น จิตที่สงบระงับได้ด้วยวิธีของฤาษี ก็มีวิธี เอาซิ ไปสะกดจิตเอาไว้ ทำยังไงก็มีวิธีกัน โอ๊ย...เยอะ วิธีสมถะของฤาษีนี่เยอะ แต่วิธีของพระพุทธเจ้ามี เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ มีทางเดียวของพระพุทธเจ้า

แต่วิธีสมถะของฤาษีนี่ มากมายก่ายกอง หลายทาง แล้วคนชอบมาเบี้ยวศาสนาพระพุทธเจ้านะว่า การจะไปสู่นิพพาน มีหลายทาง เปรียบเหมือนยังกะจะไปอยุธยานี่ ไปทางเรือก็ได้ ไปทางบกก็ได้ ไปทางอากาศก็ได้ ดีไม่ดีดำดินไปก็ได้ แบบขอม ไปอยุธยา อย่างนี้นะ ขอม (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้นี่อ่ะ เบี้ยวคำสอน พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านสอนอยู่แล้วว่า เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ แต่ไปเอาคำสอน ที่มันเข้าใจผิดไป สมาธิแบบ โอ๊ย ! ไม่ใช่ ไปสมถะแบบฤาษีนี่ หลายอย่าง ก็สมาธิด้วย ไปทำสมาธิ อย่างงั้น แล้วก็ได้สมถะ สมาธิแบบ General สมาธิ, ไม่ใช่ Special สมาธิ, ไม่ใช่สมาธิของพระพุทธเจ้า ที่เรียกว่า สัมมาสมาธิ ที่ทำจากทางเอกทางเดียว คือ มรรคองค์ ๘

ไม่ใช่สัมมาสมาธิอย่างนี้ ก็เลยไปเอาปุโรปุเร ธรรมวินัยเลยวิปริต เพราะบอกว่า ทางไปนิพพานนี้ ได้หลายทาง แล้วแต่ใครเปรียบ แหม ยกตัวอย่างดีซะด้วยนะ โอ้โฮ เหมือนกับท่านผู้เก่งๆ ที่ยกตัวอย่าง มาเปรียบเทียบนี่ หลงเชื่อได้สนิทเลย นานมาแล้ว นี่ถ้าอาตมาไม่มีหลักฐานของพระพุทธเจ้านะ โอ้โฮ กู้ไม่ขึ้น มีหลักฐานตัวนี้เจอ อาตมาค้นหาบาลีเลย เอเสวะ มัคโค นัตถัญโญ นี่ทางนี้ ทางเดียวเท่านั้น ไม่มีทางอื่น นัตถัญโญ แปลว่า ไม่มีทางอื่นด้วย กำกับคำว่า ไม่มีทางอื่นด้วยนะ นัตถัญโญ นี่แปลว่า ไม่มีทางอื่นด้วย ถึงขนาดนี้ เห็นไม๊ล่ะ ธรรมวินัย วิปริตไปตั้งมากแล้ว สอนกันอยู่เยอะเลย นี่ พวกฤาษี อาจารย์นานา ต่างๆ ทางเดียว ต้องเรียนทฤษฎีพระพุทธเจ้า ทางเอก มรรคองค์ ๘ หรือ โพธิปักขิยธรรม นี่ให้เจ๋งจริงๆ แล้วไม่ง่าย สูตรนี้ไม่ง่าย พระพุทธเจ้าเท่านั้น ที่จะตรัสรู้มรรคองค์ ๘ คนอื่นไม่มีสิทธิ์ ทฤษฎียิ่งใหญ่มาก

สรุป สมถะ มีได้อย่างฤาษี เป็นจิตสงบ มีได้อย่างพระพุทธเจ้าสงบแท้เลย ถ้าได้สนิทถอนอาสวะแล้ว ยิ่งสูญสนิทเลย ไม่มีฟื้น เที่ยงแท้ สงบอย่างสนิท ถอนอาสวะอนุสัยเที่ยงแท้เลย มันสงบก็เรียกว่า สมถะเหมือนกัน แต่คนละ นัย คุณลักษณะก็ต่างกัน ของพระพุทธเจ้ายืนยันได้ แต่ของอันอื่น ไม่รับรอง พระพุทธเจ้าก็ไม่รับรอง เราก็ไม่รับรอง เขาจะรับรองเขา ก็เรื่องของเขา แต่ เราไม่รับรองเขา แต่ของพระพุทธเจ้าเรารับรอง แล้วคุณมาพิสูจน์ ท้าทายให้มาพิสูจน์ ว่าสมถะอย่างนั้น ส่วนคำว่า สมาธิ น่ะมันกว้าง สมาธิคือวิธีทำ สมาหิตะ สมาธิสฺส พวกนี้สมาธิทั้งนั้นน่ะ แต่สมาธิของ พระพุทธเจ้า มีลักษณะ สมาหิตะด้วย สมาหิโต คือมีลักษณะที่มีคุณค่าประโยชน์ มีการงาน เพราะปฏิบัติทางเอก เป็นทางมรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า มีการงานเก่ง การงานอยู่กับสังคม อยู่เหนือ เป็นโลกุตรจิต ซึ่งจะมีทั้งโลกุตรจิต มีทั้งอะไร? โลกานุกัมปายะ ตัวหนึ่ง อีกตัวหนึ่ง

คนฟัง : โลกวิท

ตอบ : โลกวิทูน่ะมี โลกุตรจิต มีโลกวิทู มีโลกานุกัมปายะ จิตมันเป็นโลกุตรจิตจริง แล้วมันอยู่กับโลก เหนือโลก รู้เท่าทันโลก โลกวิทู แล้วก็อนุเคราะห์โลกอยู่ เป็นประโยชน์อยู่อย่างจริงๆ เป็นคนประเสริฐ ที่มีคุณค่า ประโยชน์อยู่ในโลก ในสังคมจริงๆ สร้างสรร ขยันเพียร ทำอะไรต่ออะไรได้ จริงๆ แล้วเป็น สมาธิ ที่ทำงานนั้น สมาหิตะ เป็นสมาธิที่มีประโยชน์คุณค่า เป็นหิตะประโยชน์นั่นแหละ เป็นสมาหิตะ พหุชนะหิตายะ ให้คนหมู่มากได้

สมถะ กับ สมาธิ มันก็แตกต่างกันอย่างนี้ ถ้าจะค่อยๆบอกว่า สมาธินี้เป็นโครงสร้างใหญ่ สมถะเป็นผล เพราะฉะนั้น อย่างฤาษีเป็นโครงสร้างอย่างวิธีการ หรือ อะไรเป็นโครงสร้างของสมาธิอย่างฤาษี มันก็ไปได้สมถะของอย่างฤาษี

ถ้าของพระพุทธเจ้า มันก็มาได้สมถะของพระพุทธเจ้า ทำสมาธิหรือว่าสร้างสมาธิอย่างไร สร้าง สัมมาสมาธิ อย่างพระพุทธเจ้า มันก็มาได้สมถะ อย่างของพระพุทธเจ้า

เอาล่ะ ก็คิดว่าได้ประโยชน์ และก็หมดเวลาแล้ว เกินเวลาแล้วด้วย เป็น ๑๐ นาทีแน่ะ เอ้า! พอ


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์
ตรวจทาน ๑.โดย สม.ปราณี ก.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.จินดา ๑๗ ก.ค.๒๕๓๔
เข้าปกโดย นายสุริยา รุ่งเรือง
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

FILE:1683C-D.TAP