ตอบให้ถึงสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ตอน ๑
โดย สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๕
เนื่องในงานปลุกเสกสมณะแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๑๖
ณ พุทธสถาน ศีรษะอโศก


ถาม : มีหมอเทวดาอยู่จังหวัดสกลนคร รักษาด้วยน้ำบาดาล ค่ารักษา ๙ บาท มีพวกเราไปรักษา และไปดู บางคนก็ไปกัน สองครั้งสามครั้ง บอกว่ารักษาหายจริง เห็นมากับตา คนเป็นใบ้ อายุ ๑๕ ปี เป็นใบ้มาแต่กำเนิด เป่า ๓ ครั้ง เรียกชื่อพ่อแม่ได้ คนปวดฟัน เป่าครั้งเดียวหาย คนเป็นง่อย เป่า ๓ ครั้งลุกนั่งได้ บางคน คนป่วยเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้าช่วย เป่า ๓ ครั้ง ปล่อยไม้เท้าเดินเลย (คนฟังหัวเราะ) พวกเราก็เห็นว่า น่าจะให้โยมออน หรือหลวงปู่วราสโภ ไปรักษาดูบ้าง (คนฟังหัวเราะ) จะได้หาย พ่อท่านมีความเห็นอย่างไร

ตอบ : เอ๊... ถ้ามันวิเศษขนาดนั้น มันก็น่าจะเอาไปรักษาจริงๆนะ ช่วยไปสืบมาหน่อยเถอะ มีความเห็น ว่าอย่างไร ก็มันยัง ไม่รู้จริงนี่ อาตมายังไม่รู้ ถ้าจริงนะ เออ จะเอาโยมออน กับท่านวราสโภไปรักษา เอาให้วิ่งกลับมาเลย (คนฟังหัวเราะ) ก็เป็นอัมพาต อยู่ปฐมอโศกนั่น อุ้มเดิน อุ้มขี้ อุ้มเยี่ยวกันอยู่ทุกวัน

คนฟัง : อันนี้ผมสืบทราบได้แล้ว เป่าหายจริง ตอนนั้นเรียกพ่อแม่ได้ แต่กลับไปบ้าน ใบ้เหมือนเก่า (คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : เอ๊ ! มันก็ยังดีนะ มันใบ้แล้ว ขนาดเป่าแล้ว มันก็เรียกพ่อแม่ได้จริงอะนะ แล้วกลับไป ก็ยังใบ้อย่างเก่านี่ จริงถึงขนาดนั้นเลยเหรอ มันก็ยังเก่งนะ ยังดีนะ เหอ! หรือเป็นง่อยนี่วิ่งได้ ตอนนั้นเลย กลับไปบ้านเป็นง่อยอย่างเก่า หรือว่า (คนฟังหัวเราะ) มันอะไรก็แล้วแต่ มันก็ยังเกิดได้ ตอนนั้น ก็แสดงว่า มีพลังอย่างหนึ่ง ดีนะ อย่างนั้นก็ยังพอลองนะ ไม่เบานะ จริงรึเปล่า?

คนฟัง : เขาว่า

พ่อท่าน : เขาว่าอีกแหละ (คนฟังหัวเราะ) เอ้า...ตกลง เรื่องนี้ ก็เป็นอันว่า เราจะหาข้อมูลจริง ให้มันได้ แน่นอน อาตมาก็ไม่ดูถูก ดูแคลนเขาหรอก ไม่ได้ประมาทอะไรหรอกนะ ถ้าเขาจริง เราก็จะได้ไปทำ มีความเห็นว่าอย่างไร อาตมาก็เห็นอย่างนี้แหละ ลองไปสืบทราบดู ถ้ามันจริง จะได้ เอาไปรักษา อย่างที่คุณว่า ถ้ามันไม่จริง ก็ปล่อยเขาไปนะ มันเรื่องเท่านั้นเอง เอ้า...ต่อมา

ถาม : เวลาเลือกข้าวสาร พบมอด จับออกมาแล้วควรทำอย่างไรครับ (คนฟังหัวเราะ)

ตอบ : จริงนะ มันก็เป็นปัญหาเมือนกันน่ะนะ (คนฟังหัวเราะ) จับออกมา ไม่ต้องขังตะราง จับออกมา แล้วปล่อยมัน (คนฟังหัวเราะ) เวลาเจอมอด เวลาเลือกข้าวสาร พบมอด จับออกมาแล้วก็ปล่อยมัน (คนฟังหัวเราะ) ปล่อย มันลงไป ในที่ควร ที่ควร โยนมันไปที่ควร ที่ควร จบ อาตมาว่า อย่าคิดมาก กว่านั้นเลย ไปหาที่หลับที่นอนอะไรให้มันน่ะ (คนฟังหัวเราะ) หาบ้านหาช่องให้มัน มันก็จะมากไป จับมันไปในที่ๆควร พอแล้วนะ พวกเรานี่ มันรู้มากยากนาน อย่างนี้จริงๆอะน้า

ถาม : เวลาเลือกผักพบหนอน ควรเอาหนอนไปปล่อยที่ไหนครับ (คนฟังหัวเราะ)

ตอบ : เอ๊! อาตมาว่า ควรจะสืบทราบหาพ่อแม่มัน (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) แล้วนำมัน ไปสู่พ่อแม่ของมัน แล้วก็บอกพ่อแม่ว่า ชั้นเอาลูกมาคืนเธอแล้วนะ (คนฟังหัวเราะ) มันยังไงกันนะ ทำไมมันถึงได้ โอ้โห! มันเมตตาไม่มีประมาณ เลยนะนี่ โอ้โห! มันยอดมหาอภิบรมเมตตา มันมากไปหน่อย หรือเปล่า ก็เอาไปปล่อยในต้นไม้ที่ควรปล่อยไป แล้วอะไรก็ปล่อยไปที่ควร คิดว่า มันไม่ทุเรศทุรังการอะไร มันก็ควรจะอยู่รอดก็แล้วไป ก็จบ แหม ปฏิภาณแค่พบหนอน แล้วก็จะเอา ไปทิ้งที่ไหน ก็ยังไม่รู้นี่ อาตมาก็ไม่รู้ว่า จะทำยังไงแล้ว

ถาม : จัดของขายในร้าน พบลูกหนูตัวเล็กๆ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ยังไม่ทันลืมตา ๕ ตัว ผมจนปัญญา ไม่รู้จะทำอย่างไร ถือเอาไปอวด ร้านค้าข้างเคียง เขารีบจับลูกหนูขว้างลงไปบนถนน แล้วกระทืบซ้ำจนตาย (คนฟังหัวเราะ) อย่างนี้ กระผมจะผิดศีล หรือไม่ครับ

ตอบ : โอ... แล้วเอาไปอวดเขาทำไมล่ะ (คนฟังหัวเราะ) เหอ! ลูกหนูตัวแดงๆ โอ้... ก็เอา หยิบไปไว้ ที่ไปเก็บ หรือให้มันอยู่ในที่ๆสมควร ของมันเท่านั้น ก็พอแล้ว ก็ลองใช้ปฏิภาณดู อาตมาก็บอกไม่ได้ว่า ไอ้ที่ควร มันขนาดไหนของคุณน่ะนะ คุณแล้วแต่จะพอหาได้ เอ้อ...เวรใครเวรมัน เวรหนู เวรมอด มั่งก็แล้วไปเถอะน่า แหม ต้องตามไปรับผิดชอบ วิบากกรรมของสัตว์ทั้งหลายพวกนี้ อาตมาเห็นว่า คงจะอื้อฮื๋อ...ตาย ! โพธิสัตว์ (คนฟังหัวเราะ) ขนาดนี้ก็ยัง เมื่อยขนาดนี้แล้ว ถ้าขืนไปดูแล รับผิดชอบขนาดนี้อีกล่ะ ตายละหวา (พ่อท่านหัว เราะ) ไม่ต้องทำมาหากินอะไรล่ะ

ถาม : เมื่อผมพบลูกน้ำก้นถัง (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) มากมาย (พ่อท่าน โอ้...คนนี้ เคร่งศีลข้อที่ ๑ มากมหาศาลเลยนี่ คนนี้นี่ จุ๊ย์ จุ๊ย์ จุ๊ย์ จุ๊ย์ โอ้โฮ! นี่ ต้องทุกข์เพราะศีลข้อ ๑ มากเลยคนนี้นี่) เมื่อพบลูกน้ำก้นถังน้ำมากมาย จะล้างถังน้ำ ควรทำอย่างไร กับลูกน้ำอีกดีครับ

ตอบ : โอ...แหม อาตมาก็ว่า ไหนๆ ก็ต้องอนุเคราะห์กันบ้าง ก็พยายามตักลูกน้ำมาใส่จอก ใส่อะไร เอาไว้นะ แล้วคุณก็เทน้ำซะ ให้เรียบร้อย ก็เอาจอกที่มีลูกน้ำนี่ เอาไปหาบึงหาบ่ออะไรที่มันควรจะอยู่ ก็เทมันลงน้ำไว้ตรงนั้นแล้วก็จบ ฮ้อย... (พ่อท่านทำเหมือนเหนื่อย คนฟังหัวเราะ) อะไรจะปานนั้นนะ (พ่อท่าน หัวเราะ)

ถาม : ขณะเรียกเทศบาลมาดูดส้วม พอเปิดฝาถังออกมา (พ่อท่านและ คนฟังหัวเราะ) (โอ้โห...พ่อท่าน คนนี้ นี่ ทุกข์ตายแน่นอนเลย คนนี้นี่ คุณคงรู้แล้วว่าอะไร (พ่อท่านหัวเราะ) พบหนอนตัวใหญ่ๆ ไต่กันยั้ยเยี้ยเต็มไปหมด จะบอกเลิกเขา ผมและครอบครัว คงเดือดร้อนมาก ถ้าให้เขาสูบไป หนอนก็ตายมากมาย อย่างนี้ศีลข้อที่ ๑ จะรักษาได้ตลอดอย่างไรครับ (พ่อท่านและ คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : โอ๊ย...ไม่รู้จะทำยังไงหน๊อนี่หนอ อาตมาว่า มันไม่แต่แค่หนอนหรอกนะ มันหลายสัตว์อยู่น่ะ เปิดออกมานี่ โอ๊! มากมายเลย คุณเอ๊ย ก็...สัพเพสัตตาล่ะน๊อ จะทำยังไงล่ะ เขาจะดูดเอาไป ก็ปล่อย เขาเถอะ มันก็ดูดนั่นน่ะ ทำไงได้ ถ้าไม่งั้น คุณจะทำไง ก็ต้องไปตักหนอนเอามา แล้วก็เลี้ยงมันไว้ ให้มันโต (พ่อท่านหัวเราะ) จะทำยังไงล่ะ โอ๊ มันไม่หวาดไม่ไหวล่ะนะ สัพเพ สัตตาบ้าง แล้วเราก็เอา อนุโมทนาสาธุล่ะน้า ทำไงนะ อภัย อภัยกันเถอะ อโหสิกรรมเถอะ ยังไงก็ เอ้า! เราก็ไม่รู้จะทำยังไง สุดทางเลี่ยง เขาจะตักส้วม ดูดส้วมติดไปบ้าง เหลือไปมั่ง อะไรก็ เอ้า...ว่าไป

ถาม : ข้าราชการบำนาญ ได้รับเงินบำนาญทุกเดือน เงินจำนวนนี้ เอามาใช้จ่ายส่วนตัวบ้าง ทำบุญบ้าง ช่วยเหลือลูกหลานบ้าง มันจะบาปไหมค่ะ

ตอบ : อาตมาไม่อยากวิเคราะห์มากเรื่องนี้ มันกระเทือนใจกันมากนะ อาตมาพูดแต่เป็นแต่เพียงว่า ประเด็นของเงินเดือน ของข้าราชการนี่ มันฉ้อฉล มันบาป ตั้งแต่เอาเปรียบเอารัดมันมาก มันแพง กว่าเขา แล้วก็ยังมีบำเหน็จ ยังมีบำนาญ ยังมีอะไรต่ออะไร แล้วเขาก็บอกว่า เขาเป็นข้าราชการนี่ แล้วคนที่ไม่ใช่ข้าราชการนี่ ถ้าจะว่ากันจริงแล้ว เขารับผิดชอบ ชีวิตของเขา ยิ่งกว่าข้าราชการอีก จริงๆแล้วนะ อาตมาไม่ใช่แกล้งพูด ข้าราชการนี่นะ เช้าชามเย็นชามนี่มากกว่า เพราะว่าไหนๆ พอตก สิ้นเดือน มันก็ได้อัฐ เขาไม่ค่อยถูกบีบรัดเท่าไหร่ ไม่ต้องอะไรเท่าไหร่ แล้วมันก็เลยทำให้ มันเอาเปรียบ ชนิดง่ายๆ แบบนี้

ทีนี้ ส่วนคนที่ไม่ใช่ข้าราชการนี่ เขาถูก.. หมายความว่า มันไม่ยุติธรรม มันถูกเอาเปรียบเอารัด ในเชิงชั้นของระบบ สังคมแบบนี้นี่ มันมีเยอะ เพราะฉะนั้น อาตมาพูดอย่างนี้แล้ว พวกเราก็รู้บาปรู้บุญ สุดท้าย เราก็ต้องมานั่งรับบำนาญ เหมือนอย่างกะ ที่เขา ... มันเป็นระบบของสังคมอย่างนี้ นี่เราก็ เป็นห่วงแล้ว มันบาปหรือเปล่า เอามาใช้ตัวเองมั่ง ทำบุญมั่ง อะไรต่ออะไรมั่ง มันก็ยังต้องใช้ล่ะ แล้วงานก็ไม่ได้ทำเล๊ย แล้วตอนนี้บำนาญแล้วนี่นะ ไอ้ตอนที่ไม่รับบำนาญก็เอาเถอะ มันก็... ทำงาน ให้เขาบ้าง ก็ยังพอทำเนานะ ไอ้ตอนนี้ มันไม่ได้ทำงานแล้ว นั่งฟรี กินฟรี เงินเดือนก็ไปเบิกมานะ โอ๊...แล้วมัน ไม่บาปเหรอ อาตมาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร ก็มันฉ้อฉลอยู่จริงๆ มันเป็นการเอาเปรียบเอารัด ด้วยเชิงกลของสังคม เพราะเขาเป็นคน กำหนดเอง แล้วใครก็เถียงไม่ได้ ใครก็ไปค้านแย้งไม่ได้ ก็ ยอมรับกันทั่วโลก ก็เป็นอย่างนี้มาแล้ว หลายคนเขาก็มองเชิงชั้นเถียงแทน อย่างโน้นอย่างนี้นะ ก็เขาเอง เขาไม่มีความสามารถเอง เขาก็สอบคัดเลือกเข้ามา เขาก็อะไรต่ออะไรต่างๆนานา เข้ามาแล้ว เขาก็ได้ยังไง ก็เรื่องของ เขา คุณไม่ได้ คุณไม่มีความรู้ คุณไม่มีอะไร คุณไม่มี หรือบางคนเขาก็ ไม่สมัครใจ จะมาเป็นข้าราชการ จะมาบ่นทำไม คุณก็ทำของคุณไปซิ ใครๆเขาก็สมัครมา เขาได้ เขามีความสามารถ ก็ได้ไป เขาก็เลี่ยงกันไป สารพัดนะ อะไรต่างๆนานา

อาตมาก็อธิบายสรุปว่า ใครก็ตาม สามารถปฏิบัติตนเองให้ละลด มักน้อย สันโดษ กินน้อย ใช้น้อย ได้จริง ยิ่งเท่าไหร่ ก็ทำก็แล้วกัน ที่เหลือ ก็จุนเจือสังคม ที่คุณสามารถจะแจกจ่าย จุนเจือเป็นทาน เป็นบริจาค โดยการทาน ก็ให้มีความรู้ อย่างที่บอกแล้วว่า ทานแก่ผู้ที่จนมากกว่า กว่าผู้ที่จำเป็น หรือผู้ที่ไปทำให้เกิดประโยชน์ ได้มากกว่าอะไรพวกนี้ อย่างที่บอกไปแล้ว ๔-๕ ข้อ นั่นให้จริงก็แล้วกัน คุณสามารถทำได้จริง มันก็เป็นผลกรรมที่เป็นกุศลกรรมจริง ทำได้น้อย มันก็ได้น้อย ทำได้มาก เท่าที่คุณเองจะอยู่ได้ ถ้าทำซะหมดอยู่ไม่ได้ คุณก็ต้องเอาไว้ใช้เอง ถ้าคุณใช้น้อย ก็ทำได้มาก มันก็เป็นกรรม ที่คุณได้ทำจริง มากเท่านั้นเอง ในระบบสังคมที่บางอย่าง เราก็ไปแก้อะไรมันไม่ได้ ไปแก้ ประเดี๋ยวก็ไปจัดการให้เรา เท่านั้นเอง ไม่ได้เรื่อง ก็เอาแค่นั้นกันก่อนนะ

เอ้า...ต่อมา นี่ลายมือเด็ก นักเรียนชั้น...อายุ ๗ ขวบ เด็กหญิง ทุริกา

ถาม : พ่อหนูเมา แล้วพ่อก็มาด่าแม่ ทั้งๆที่พ่อหย่ากะแม่แล้ว แล้วจะทำอย่างไรดีค่ะ

ตอบ : เอ้อ... มันก็เป็นเวร นี่ขนาดเด็ก ๗ ขวบ แกก็รับรู้สึก และแกก็เข้าใจแล้ว แหม...อาตมาคิดว่า พ่อที่มาด่าแม่ ไปเมามาแล้ว ก็มาด่าแม่ คงไม่มานั่งฟังอาตมาแน่ แล้วบอก ...แล้วจะทำอย่างไรดี ได้จะทำอย่างไรดี นี่แกก็ไม่ได้ถามมาว่า ให้แกทำ หรือจะให้แม่ทำ หรือจะให้พ่อทำ จะทำอย่างไรดีนี่ ไม่รู้จะให้ใครทำอย่างไร อ้า...เด็กก็...เอาละ คนที่ถามมา หนูที่ถามมานี่นะ เราก็คิดเสียว่า มันเป็นบาป ...เป็นกรรมนะ เราเองเราจะไป สอนพ่อก็คงสอนได้ยาก แต่จะมีโอกาสจะพูดว่า พ่ออย่าทำเลย อย่างนั้นมันไม่ดี แต่ระวังมือ ระวังเท้าพ่อเขามั่งนะ (คนฟังหัวเราะ) ระวังจริงๆด้วย ประเดี๋ยวพ่อ เขาบางทีเขาโมโห เมาๆ มาด้วยนี่ สติสตังค์มันไม่ค่อยดี ประเดี๋ยวก็ทันตีน เดี๋ยวตีเตะ ประเดี๋ยวก็ ทันมือเขามือตบอะไรนี่ เราจะเจ็บตัว เพราะฉะนั้น ก็ ระวัง ๆ ไว้ ถ้าคิดว่าจะพูดให้เขามีสติ ให้เขาเข้าใจแล้ว เขาก็เลิกได้บ้าง มันมีเหมือนกันนะ บางที ลูกตัวเล็กๆนี่ สอนนี่ พ่อหรือแม่นี่ รู้สึกตัวได้ มีเหมือนกัน ก็ลองดู ถ้าลองแล้ว มันไม่ได้ผลก็วาง ปล่อยเถอะ บาปใครก็บาปใคร พ่อแม่ ก็เป็นบาป ของพ่อแม่ เราอย่าไปทำอย่างพ่อแม่ที่ไม่ดีนั่นเลย เราก็ทำอย่างที่ดีก็แล้วกัน แม่ทำดี เราก็ทำตาม อย่างที่แม่ทำดี พ่อทำดีส่วนไหน เราก็เอาดีนั้น ถ้าพ่อทำไม่ดีส่วนไหน เราก็รู้ เราก็ไม่เอา เราก็ไม่ทำตาม ก็แล้วกันนะ

ถาม : จะทำอย่างไรดีค่ะ ที่จะให้หนูตื่นเช้าๆได้ค่ะ

ตอบ : เอ้า...ก็หัดซิ หัดตั้งใจนอน เราจะนอนซักกี่ชั่วโมง แต่ตัวเล็กๆ นี่ก็ต้องนอนมากหน่อยอยู่ ตัวเล็กๆ นี่ก็นอน วันหนึ่งอย่างน้อย ก็สิบชั่วโมงนะ เด็กๆนี่ คนโตแล้ว ค่อยนอน ๕ ชั่วโมง ๔ ชั่วโมง ๖ ชั่วโมงก็ค่อยว่ากัน ส่วนเด็กๆ ก็ต้องนอน ตั้ง ๑๐ ชั่วโมง มันจะก็ได้สมดุลกับชีวิตร่างกาย มันควรจะ เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น เด็กๆนี่จะนอน ยิ่งเด็กเล็กๆ นี่ประเดี๋ยวนอน ประเดี๋ยวนอน มันเป็นเรื่อง ของสภาพสรีระ มันต้องเป็นไปอย่างนั้น หัดทำใจให้มันสดชื่น เวลานอน ตื่นนอน แล้วอย่าทำงัวเงีย อะไรอยู่นะ เวลาตื่นนอนมาแล้วก็ (พ่อท่านทำท่าสูดลม) หายใจยาวๆ ลึกๆ ลืมตาตื่น ทำสติ รู้จัก สติไม๊ล่ะ (พ่อท่านทำท่าสูดลม) ตื่นให้เต็ม แล้ว ก็รีบลุกขึ้นมา จะไปทำงานทำการ จะไปล้างหน้า ล้างตา ทำอะไรก็รีบทำ หัด อย่างนั้นบ่อยๆนะ เอ้า...เอาเท่านี้ก่อน

ถาม : ได้อ่านข่าวจากข่าวอโศกว่ามีตำรวจพระ คอยจับพระทำผิดวินัยสึก นั้น เขาเอากฎเกณฑ์อะไร มาตั้งตำรวจหน่วยนี้ แล้วตำรวจพระนี้ เป็นพระ(สุปฏิปันโน)หรือไม่ ชี้แจงด้วย

พ่อท่าน : เขาตั้งกองพวก...พวกวินัยต่างๆ เขาเรียกวินัยอะไร (พ่อท่าน ถาม) เหอ? เหอ?

คนฟัง : วินยาธิการ

พ่อท่าน : วินะ.. วินยาธิการ เป็นพวกคอยจับผิดวินัยคนนั้นคนนี้ เขาก็คงจะตรวจ ได้มั้งว่าเป็น พระสุปฏิปันโน มาคอยจับ เป็นตำรวจพระ เรียกกันตามภาษาปากนะ มาคอยจับ เขาเอากฎเกณฑ์ อะไรมา อาตมาก็ไม่เคยไปรู้กะเขาว่า เขาเอากฎเกณฑ์ ที่ไหนมา คงไม่ได้เอาไปจากอโศก หรอกนะ เขาก็เอากฎเกณฑ์ของเขา ที่ตั้งขึ้นมา หรือหากฎเกณฑ์อะไร ที่เอามาใช้ ก็ใช้ไป มีกฎเกณฑ์ อะไร แล้วก็เอาไปตั้ง จับพระ จับอะไรสึก ก็เรื่องของเขา ที่จริงอะนะ การกระทำของเขา ที่ทำนี่นะ อย่าไป เพ่งโทษเขาเลย อาตมาว่าดี...ดีกว่า ดีกว่าที่ไม่ได้ทำเช่นนี้นะ เขาทำเช่นนี้ อาตมาว่า ยังเข้าท่า เหมือนกันนะ คอยสอดส่องดูแล แทนที่จะปล่อยปละละเลย ใครจะทำปู้ยี้ปู้ยำศาสนาอย่างไรก็เละเทะ แต่เขาทำอย่างนี้ขึ้นมาล่ะ อนุโมทนา กะเขาเถอะ เขาจะตั้งพระสุปฏิปันโน ไม่สุปฏิปันโน อะไรก็ ตามใจก่อนเถอะ อาตมาว่าอย่างน้อย ก็ยังเป็นวิธีการ หรือเป็น เจตนาที่ดีนะ

ถาม : ธรรมะกับธรรมชาติ เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และการปฏิบัติธรรม คือการทวนกระแส ใช่กระแสธรรมชาติ คือการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้ หรืออย่างไร ขอความกรุณาพ่อท่านครับ

พ่อท่าน : ถามอันนี้ก็ดี อาตมาก็เคยพูด เคยอธิบายเรื่องนี้มาเยอะ ธรรมะกับธรรมชาติมัน ไม่ใช่ อันเดียวกันหรอก ในธรรมะน่ะ มีธรรมชาติ ด้วย เพราะว่าในธรรมะ ธรรมชาติมันก็มีคำว่า ธรรมะ อยู่แล้ว ในธรรมชาติน่ะ มันมีธรรมะ แต่ในธรรมะ ในระดับสูง นั้นเหนือธรรมชาติ ไม่มีชาติที่เกิด โดยเฉพาะ ธรรมะที่เราเข้าใจนัยสาระสัจจะของมันแล้ว ในธรรมะสูง เราถือว่า กิเลสนี่ เป็นธรรมชาติ ชนิดหนึ่ง ถ้าเราปฏิบัติธรรมโลกุตระแล้ว เราจะล้างกิเลส ฆ่ากิเลสตายไม่เกิด ชาตินี่แปลว่าเกิด กิเลสตายลง ตายลงก็เหลือแต่ ธรรมะ เหลือแต่ธรรมะ เหลือแต่ธรรมะ ชาติสูญสิ้นไป สูญไป สูญไป นิพพานหมด สุด กิเลสก็ไม่ชาติเลย ไม่มีธรรมชาติของกิเลสเลย มีแต่ธรรมะที่อยู่เหนือธรรมชาติ เพราะฉะนั้น คนในโลกนี้ มีธรรมชาติอย่างกิเลสนี่ เขาก็จะตกเป็น ทาสของธรรมชาติ ไปเรื่อยไป แล้วก็เป็นอยู่สุข อย่างธรรมชาติ โดยแสวงหา มีทุกข์ มีสุขอยู่อย่างนั้น ส่วนธรรมชาตินั้น ยังเด โดยเฉพาะ กิเลสยังเกิด

ส่วนผู้ที่ เป็นอรหันต์ ก็มีธรรมชาติที่ไม่มีกิเลสเหมือนกัน อย่างพระอรหันต์ที่ยังไม่ตายนี่ ก็มีสังขาร ร่างกาย ชีวิตธรรมชาติ เกิดเหมือนกัน แต่ธรรมชาติเกิดนี้ เป็นธรรมชาติที่ มักน้อยสันโดษ เป็นธรรมชาติ ที่อยู่โดย ไม่บำเรอตน เป็นธรรมชาติที่ ไม่ได้เห็นแก่ตน แม้จะมีความปรารถนา อยากใคร่ที่เกิด ก็เกิดขึ้น เพื่อปรารถนาดีต่อผู้อื่น สร้างสรรเพื่อผู้อื่น เกื้อกูลผู้อื่น เป็นธรรมชาติที่เป็นกุศล เป็นธรรมชาติที่ดี นี่มีมุมเหลี่ยมที่ต่างกัน แตกต่างกันบ้างอย่างนี้ เหมือนกันอย่างนี้ แล้วการปฏิบัติธรรม คือการทวน กระแส ใช่กระแสธรรมชาติ คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อย่างนี้หรืออย่างไร

การปฏิบัติทวนกระแสนั้น ไม่ใช่ทวนกระแสเกิด แก่ เจ็บ ตาย แต่ทวนกระแสลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข

ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เรียกว่าโลกธรรม กระแส โลก คนในโลก อยู่ในกระแสโลกอย่างนี้ล่ะ เป็นไปเพื่อความสุข ที่ได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ ได้เสพย์โลกียสุขที่ต้องใจ ต้องสมความปรารถนา อยากใคร่ เขาก็หลงเป็นสุข นั่นเป็นธรรมชาติ ของโลกียะ ส่วนทวนกระแสโลกีย์นี่คือ ไม่ไประเริงสุข อย่างนั้นแล้ว จนล้างกิเลสที่เป็นเหตุไปหลงโลกียสุข อย่างนั้นออกหมด ไม่มีสุขอย่างโลกียะแล้ว นี่เรียกว่า อยู่เหนือ เพราะฉะนั้น การปฏิบัติธรรมทวนกระแส ก็ปฏิบัติธรรมให้ทวนกระแส ของโลกธรรม ไม่ใช่ทวนกระแสเกิด แก่ เจ็บ ตาย คือพอปฏิบัติธรรมแล้ว ก็เลยไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย แบบร่างกายนี่ไม่ใช่

ร่างกายนี่ ยังไง๊ ยังไงเป็นพระอรหันต์ ก็ยังต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้อง ตาย เกิดหมายความว่า มันยังดำเนินต่อ ๆๆๆ ต่อไป กินข้าวคำหนึ่ง หายใจเฮือกหนึ่ง ก็เกิดอยู่ ๆ ตลอดเวลา ให้ร่างกายมันเกิด ต่อๆไป มันก็ยังเกิด ตามสภาวธรรม แม้เป็นพระอรหันต์ก็ไม่ทวน ทวนไม่ได้ แต่การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ของกิเลส อันนี้ทวนแน่ ทางโลกเขามีแต่กิเลสเกิด แล้วก็แก่ ก็เจ็บ ก็ตาย ไปตามโลกยะ เดี๋ยวมัน ก็เกิดใหม่ เดี๋ยวมันก็เกิดใหม่ มันก็แก่ใหม่ ก็เจ็บใหม่ ก็ตายใหม่ แก่หรือเจ็บ ก็คือ การไม่สมใจ บริบูรณ์ นั่นเอง ก็เป็นทุกข์ หรือแม้ตาย ก็เป็นทุกข์ เกิดมันก็เป็นทุกข์ กิเลสเกิด กิเลสอยากเกิดมาเมื่อไหร่ มันก็ ทุกข์ทั้งนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ของกิเลสทุกข์ทั้งสิ้น

ทีนี้ การทวนกระแสโลก เป็นโลกุตระแล้วนี่ กิเลสไม่เกิด แล้วจะมีกิเลสที่ไหนมาแก่ แล้วจะมีกิเลส ที่ไหนมาเจ็บ ก็ในเมื่อกิเลส มันตายสนิท มันไม่เกิดอีกเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้น ฆ่ากิเลสให้ตาย อย่างเที่ยงแท้ ไม่เกิดอีกเลย ก็หมดเกิด แก่ เจ็บ ตาย กิเลสไม่เกิดแล้ว จบสนิท ไม่เกิดอีกจริงๆ ก็อยู่เหนือ เกิด แก่ เจ็บ ตายของกิเลสอันนี้ได้ ชัดแล้วนะ อาตมาว่า อธิบายตั้งหลายนัย หลายประเด็นแล้ว

ถาม : พระอรหันต์ ตั้งจิตเกิดอีก เมื่อเกิดใหม่ ก็มีกิเลสอีกซิครับ

ตอบ : เอ้า...ตอบให้หายคัน อยากรู้นัก (พ่อท่านหัวเราะ) ที่จริง เรื่องนี้เป็นเรื่องเกินนะ พระพุทธเจ้า ก็ตรัส ในภาวะที่ ใบไม้กำมือเดียวนี่ เคยบอกว่า อย่าพูดกันเลย อย่ากล่าว เราไม่กล่าวการเกิด การตายของพระอรหันต์ เพระว่า มันเกิดแล้วมัน... เออะ! พูดแล้วมันยาก มันเกินฐานะ ก็พอพูดกันได้ อาตมาพูดได้ แล้วพระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้เหมือนกันนะ พระสูตร ในพระไตรปิฎก ของเถรวาท นี่ก็มีว่า พระขีณาสพ หรือพระอรหันต์นี่ ตายแล้วย่อมพินาศ ตายแล้วย่อมไม่เกิดอีก ตายแล้วย่อม ขาดสูญ อะไรนี่ อย่ากล่าวเช่นนั้น ใครกล่าวเช่นนั้น เป็นมิจฉาทิฏฐิ มีทางไปคือ นรก และเดรัจฉาน เท่านั้น เมื่อไม่ให้กล่าวว่า พระอรหันต์นี่ตายแล้ว ไม่เกิดอีก ไม่พินาศ ไม่ขาดสูญ มันก็มีอีกทางหนึ่ง เท่านั้นล่ะ มันก็ต้องเกิด มันก็ ต้องไม่ขาดก็ได้ แต่ว่า อย่าเพิ่งพูดกันเลย คล้ายๆอย่างนั้นน่ะ แต่ทีนี้ พวกเรามันก็ไม่อยากจะหยุด ห้ามเท่าไหร่ก็ไม่หยุด มันอยากรู้ มันคัน อะ! ก็ตอบให้หายคันซะบ้าง พระอรหันต์ตั้งจิตเกิดอีก เมื่อเกิดใหม่ มันก็มีกิเลสอีกซิครับ

กิเลสนี้ เราเรียกว่า วิภวตัณหา ใครที่เรียนมากะอาตมา อาตมาพยายามอธิบายละเอียด ซับซ้อน ลึกซึ้ง มีที่ต่อ ที่ตัด อย่างสมบูรณ์แล้ว เพราะฉะนั้น คุณคงจะยังไม่ได้ฟังมาก่อน ก็ฟัง กิเลสนั้น เรียกว่า วิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ วิภวตัณหา ไม่ได้เกิดมาเพื่อบำเรอตน แต่เกิดมาเพื่อเสียสละ เพื่อสร้างสรร เพื่อฝึกฝนศึกษา ให้มีความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปอีก เพื่อจะได้สร้างประโยชน์ เสียสละ สร้างประโยชน์ให้คนอื่นอีก ส่วนตัวเองนั้น หมดกิเลสเพื่อตัวเพื่อตน หมดตัวกูของกู ถ้าเป็นพระอรหันต์ แล้ว ไม่ได้มายึดติดอะไร เป็นตัว เป็นของกูอีกจริงๆ แต่มันมีนัยที่ซ้อนเขิงอยู่ก็คือ พระอรหันต์เจ้า มาเกิดอีกนี่นะ ไอ้นี่พูด มันพูดเกินภูมิแล้วนี่ ในเถรวาท ไปพูดกะเขา อย่าไปเถียงเขา หยุด เขาจะว่าถูก ว่าผิด ก็อย่าไปพูด พูดแล้ว มันไม่รู้เรื่อง แล้วคุณมีภูมิปัญญาไปพูดกะเขาเหรอ อย่าไปเถียงกะเขา ได้ภูมิปัญญาเล็กๆน้อยๆ ก็ทำ ไปแอ๊ค ไปเถียงเขา อย่างกะตัวเองเป็นจริง ระวัง อวดอุตริมนุสธรรม เกินตัวนะ เพราะฉะนั้น พระอรหันต์นี่ ท่านเกิดมานี่ เกิดมา โดยสมมุติ ปรมัตถ์ ท่านมีภูมิอันนี้อยู่แล้ว เป็นบารมี มีสิ่งที่เป็น สยังอภิญญา อันนี้ ได้ตนของตน แล้ว เมื่อได้จริงของตนจริง มันก็ต้องจริงซิ

ของพระพุทธเจ้าก็ยืนยันว่าผู้ใดจริง ก็เป็นของจริง ได้แล้วก็ต้องได้ จะเอายางลบมาลบได้ที่ไหน แต่ว่าเวลาเกิดใน รอบชาติใหม่ นี่นะ มันเกิดมาในโลกีย์ ในโลกีย์ นี่เกิดมาตอนแรกนี่สังขาร แม้แต่ รูปขันธ์ ก็ยังไม่เต็มสมบูรณ์หรอก ในทางวิทยาศาสตร์ ชีววิทยาเขารู้ เกิดมาแรกๆ ก็แค่นี้แหละ เซลล์ประสาทอะไร ก็ยังไม่เต็มที่หรอก ค่อยๆโต ค่อยๆแข็งแรงขึ้นมา จนกว่า จะมีอะไรตามลำดับ ถึงขั้นที่มีเซลล์ส่วนนี้แตกขขยาย ค่อยๆ ขยาย ถึงขั้นมีฮอร์โมน ถึงขั้นที่มีไอ้นี่แตก ค่อยๆ แตก ค่อยๆ อะไรต่ออะไรขึ้นไป เพราะฉะนั้น หลายอย่าง ก็รับได้ รับไม่ได้ ตามโลกที่มอมเมา แล้วก็ไม่ได้ใช้ ภูมิธรรมเดิม ขึ้นมาทันทีทีเดียว มักจะถูกโลกนี่ครอบงำ มอมเมา

อาตมาใช้ศัพท์อันนี้ว่าลิงลมอมข้าวพอง เหมือนว่าถูกโลกเขามอมเมาก็เลยเบลอๆ ยังไม่ตั้งหลัก ยังไม่แข็งแรง ยังไม่เป็น ตัวของตัวเองเต็มที่ ก็เลยลงไปกะเขา ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็เหมือน กับเราเป็น เป็นโลกๆไปกับเขา แต่ถ้าตัวเอง มีเองจริงๆ แล้วสักวาระหนึ่ง จะตื่น ตัวเองจะฤทธิ์แรง ของแท้ของตัวเองจะขึ้นมาเอง อาตมาไม่ได้ยุแหย่ให้พวกคุณ รอสิ่งนี้นะ เพราะอาตมาไม่รู้ ไม่แน่ใจว่า คุณจะมีสิ่งนี้หรือไม่ แล้วอย่าไปหลงตัวว่า ตัวเองมี แล้วรอไว้ของเก่าเราขึ้น (พ่อท่านหัวเราะ) ไปรอทำไม ถ้าของมีจริง ยิ่งปฏิบัติ นี่มันยิ่งจะไปถึงจุดนั้นไว เพราะฉะนั้น พวกนี้จะถูกมอมเมาอยู่ เหมือนกับไปเป็นโลก เป็นกิเลส อย่างเขา มีกิเลสกาม มีกิเลสมานะ อัตตา มีโลภ มีโกรธอะไรคล้ายๆ เขา แต่คนพวกนี้ จริงๆ มันไม่จัดจ้านหรอก แล้วมันก็ไม่อาจหาญ ไม่เชี่ยวชาญอะไรหรอก มันเหมือน เป็นคนด้อยในสังคม

อย่างอาตมานี่นะ โอ๊ย... ทำไมเราจีบผู้หญิงนะ แอ๊คนะ จะเจ้าชู้ไก่แจ้ จะจีบ จีบไม่เก่งเหมือนเขาเลย เอ๊...ทำไมมันจีบเก่ง ว๊า...ไอ้พวกนี้ มันจีบ ...จีบอย่างโน้น อย่างนี้มันโน่น มันนี่ มันเก่ง มันเล่นกินเหล้า กินยา มันก็เก่ง ไอ้โน่นไอ้นี่มันก็เก่ง เอ๊! ไอ้เรา ไปหัดเข้าบ้าง แหม มันอายเขานะ มันเหมือน ปมด้อย ชนิดหนึ่ง แต่ก่อนนี้ อาตมาก็โง่ๆ อย่างนั้นน่ะ นึกว่าเรานี่สู้ มันไม่แมน เหมือนอย่างเขาเลย เขามาถึงนี่ เขาอื้อฮื๋อ แหม...กินเหล้าคอทองแดง อย่างนี้ก็ต้องเท่ห์ สูบบุหรี่นี่ โอ้โห! ท่านี้โก้เลยนะ ไอ้เราสูบ เข้าเมื่อไหร่ เขาบอกว่า โอ้..โธ่เอ๊ย ! สูบบุหรี่ ไม่เป็น อย่าสูบ แน่ะ! เขาว่าเราอย่างนี้อ่ะ เราก็แหม...เอ๊ะ! ทำไม เรา ไม่เหมือนเขา แอ๊ค...ให้มันเหมือนเขา มันก็ไม่เหมือนเขา

แท้จริง ของดีของเรา ไม่ใช่ปมด้อยหรอก ก็เราเป็นอบายมุขอย่างนี้ไม่เป็น แม้จะจีบผู้หญิง กามก็ ไม่เก่งเหมือนเขา อะไรอย่างนี้ เอ๊อ! มันจะไปเป็นปัญหาอะไร แต่เราไม่รู้ว่า เหมือนลิงลม อมข้าวพอง งมๆไปกะเขา ตอนนั้นไม่รู้จริงๆ แต่เสร็จแล้ว ทุกวันนี้รู้แล้ว รู้แล้ว เว้ย! ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เรื่องดี พอยิ่งรู้ตัวพั๊บล่ะก็ โอ๊! อาตมาเลิก พวกนี้ แล้วก็พยายามทำ มันไม่ยาก มันก็ง่าย เพราะฉะนั้น มันก็มี ซ้อนๆ อย่างนี้ ไอ้เชิงนี้ อาตมาก็ไม่รู้ไง อาตมาเอาของอาตมามาพูดนะ เล่าให้ฟัง ไม่มีในตำรา หรอกนะ เพราะฉะนั้น ในตำรา เขาเรียนมานี้ มันก็ไปในตำรา อาตมามาพูดนี่ เป็นของอาตมา คุณจะเชื่อ หรือไม่เชื่อ ก็เรื่องของคุณละ เอาแค่นี้นะ

ถาม : คำว่าโลกพร่องอยู่เป็นนิจนั้น พระพุทธเจ้า หมายถึงตัณหาที่ไม่รู้จักเต็ม มิได้หมายถึง วัตถุในโลก ใช่มั้ยครับ

ตอบ : มันหมายถึงวัตถุในโลกนี่แหละ โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ถ้าไปหมายถึง กิเลสตัณหาพร่องอยู่เป็นนิจ ก็สวยอะซิ แหม เจ้าประคุณเอ๊ย! โลกยิ่งนับวัน นานปี นานเดือนไป แหม... ไม่ต้องไปทำอะไรมัน กิเลสมันก็พร่องอยู่เป็นนิจเรื่อยๆ อะนะ (คนฟังหัวเราะ) วัด ! แล้ว จะไปทำมัน ทำไมล่ะ มาปฏิบัติ ให้มันเมื่อย ทำไมล่ะ ก็นั่งรอซิ (พ่อท่านหัวเราะ) เพราะว่า ยังไง ๆ มันก็ต้องหมดจนได้ เพราะโลก มันทำให้กิเลสพร่องอยู่เป็นนิจ ใช่มั้ย รักษาอายุให้ยืนยาวไปก็แล้วกัน ยิ่งยาวเท่าไหร่ กิเลสยิ่งหมด สวย (พ่อท่านหัวเราะ) อย่าเข้าใจผิดปานนี้น้า (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้โลกพร่องอยู่เป็นนิจ มันหมายถึงวัตถุโลก มันหมายถึง อะไรต่ออะไรในโลก ไม่ได้หมายถึงกิเลสตัณหามันพร่อง หมายถึงกิเลสตัณหาที่ไม่รู้จักเต็ม มิได้หมายถึงวัตถุ หมายถึงกิเลสไม่รู้จักเต็ม ก็หมายถึงกิเลส มันพร่องอยู่ นะซิ ใช่มั้ย อย่าเข้าใจผิด ปานนี้น้า (พ่อท่านหัวเราะ) ไอ้โลกพร่องอยู่เป็นนิจ มันหมายถึงวัตถุโลก มันหมายถึงอะไรต่ออะไร ในโลก ไม่ได้หมายถึงกิเลสตัณหา พร่อง หมายถึง กิเลสตัณหาที่ไม่รู้จักเต็ม มิได้หมายถึงวัตถุ หมายถึง กิเลสไม่รู้จักเต็ม ก็หมายถึงกิเลสมันพร่องน่ะซิ ใช่มั้ย ไม่ใช่หรอก

พ่อท่าน : โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ก็ถูกแล้ว โลกพร่องก็คือ แสวงหา แย่งชิง ไม่ เต็มด้วยตัณหา ตัณหา มันก็ไม่รู้จักอิ่ม รู้จักเต็ม มันก็ไปเรื่อยๆ

คนฟัง : ก็คือ หมายถึงว่าตัณหา

พ่อท่าน : ไม่อิ่ม ไม่มีเต็มน่ะ มันไม่ใช่ว่าพร่องนะ มันพอก มันเพิ่มขึ้น เรื่อยๆๆๆ แต่โลกพร่องอยู่เป็นนิจ ใช่ ก็คือวัตถุ ก็คือ ไอ้สิ่งที่คน มันแย่งชิง มันจะแสวงหาด้วยอำนาจตัณหานั่นแหละ มันต้องแย่งกัน แล้วมันก็เอาไปเสวย แล้วมันก็ เอาไปทำลาย มันก็เลยพร่องๆๆๆๆ อยู่เรื่อยเสมอ ต่อเนื่องอยู่ แย่งสิ่ง ที่เราเอง จะต้องมาแย่งกัน แย่งลาภก็ดี ยศก็ดี อะไรก็ดี มันพร่องอยู่เรื่อยอ่ะ กิเลสตัณหานี่ มันไม่พร่อง มีแต่มันเต็มๆๆ ไม่รู้จักจบ มันทวนกระแสกันอยู่อย่างนี้

คนฟัง : ตัณหามันไม่เต็ม ไม่อิ่ม

พ่อท่าน : เอ้า ก็ได้ หมายความว่า ไอ้ตัณหานี่ ไม่รู้จักเต็ม ไม่รู้จักสุดซักที มันมีร้อย มันก็เป็นสองร้อย มันก็ห้าร้อย มันก็พันหนึ่ง ไอ้ที่จริง มันไม่ใช่ไม่พร่องนี่ มันไม่ได้หมายความว่า มันไม่น่าจะหมาย อย่างนี้นะ มันน่าจะหมายว่า มันไม่รู้จักเต็ม มันพร่องนี่ มันพร่องอยู่เป็นนิจนี่นะ ตัณหามันพร่อง อยู่เป็นนิจ มันไม่น่า จะพูดอย่างนี้เลยนะ (พ่อท่านหัวเราะ) เอ้อ

พ่อท่าน : มันหมายความว่า มันไม่เต็ม มัน ไม่น่าจะหมายว่ามันพร่อง หรอก ตัณหาพร่อง

คนฟัง : ไม่อิ่มด้วยตัณหา

พ่อท่าน : เออ...ไม่อิ่มด้วยตัณหา มันมากจนไม่รู้จักเต็ม มันไม่อิ่มด้วยตัณหา

ถาม : พ่อท่านคะ อ่านหนังสือธรรมะแล้ว เอาหนังสือไว้อ่านในห้องน้ำ จะบาปไม๊ค่ะ

ตอบ : อ่านเลย ในห้องน้ำก็ไม่บาป ได้บุญนะ ขอให้อ่านให้จริง ได้เรื่อง ได้ปัญญา ได้ศรัทธาจริงๆเลย ไม่บาป ตอบได้สั้นๆ ชัดๆ (คนฟังหัวเราะ) แหม...เจ้าประคุณเอ๋ย (คนฟังหัวเราะ) อยู่ในห้องน้ำ อ่านหนังสือธรรมะ ก็จะบาป ไม่บาปหรอก อย่าไปทำ ให้หนังสือธรรมะนั้น เปื้อนไอ้...อะไรๆในห้องน้ำ ก็แล้วกัน ประเดี๋ยวมันก็จะเอามาอ่านไม่ถนัดนะ แหม เปื้อน เหม็นอะไร นี้ เอามาอ่าน ก็ไม่ถนัด ไม่ดี แล้วมันจะเปื้อนน้ำเปื้อนท่า ประเดี๋ยวมันจะขาด จะลุ่ย จะหลุดด้วย ระวังก็แล้วกัน อ่านได้ ถ้าคุณไม่มีปัญหา อ่านในห้องน้ำก็อ่านได้ อาตมาก็ยังหยิบหนังสือ เข้าห้องน้ำบ่อยไป

ถาม : พ่อเทศน์ว่า การที่เราไปติดยึดผูกพัน เพราะไม่ปล่อยคลาย เพื่อหวังที่จะได้ติดตามท่านไป ด้วยนั้น ก็เข้าใจอยู่ ว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าใจนั้น ส่วนหนึ่งก็ผูกพันอยู่บ้าง พร้อมกันนั้น เราก็พยายาม ประพฤติปฏิบัติ ขัดเกลาลดละ เสียสละ อยู่เสมอ แล้วอย่างนี้ จะไปทางเดียวกันได้ไหม

ตอบ : แหม...ก็ปฏิบัติ ไอ้ผูกพันกับปล่อยวางนี่ มันเป็นคนละทางใช่มั้ย เสร็จแล้ว ก็ยังจะมาแย้ง อยู่นั่นว่า ก็ปล่อยหน่อยหนึ่ง พยายามวางหน่อยหนึ่ง แล้ว มันจะไม่ไปได้เหรอ ก็ปล่อยให้มันหมด ซะเลยซิ แล้วจะได้ไปทางเดียวกะท่าน ปล่อยเราก็ปล่อยด้วย มันก็จะไปได้ไปทางเดียวกันได้ แหม แต่จะดึง ดึงดันเหลือเกินนะ แหม ไม่ดื้อ เอาเท่าไหร่ (คนฟัง และพ่อท่านหัวเราะ) เหอ เหอ

คนฟัง : เอาบาทเดียว

พ่อท่าน : เอาบาทเดียว (พ่อท่านหัวเราะ) แหม เดี๋ยวนี้น่ะ เพลงไม่อ้วนเอาเท่าไหร่ เขาดังฮิตระเบิด อาตมามันทันสมัย ก็เลยเอามาใช้บ้าง (คนฟังหัวเราะ) หลายคนไม่รู้ว่า อาตมาพูดไม่ดื้อเอาเท่าไหร่ แล้วทำไมฮากัน บางคนก็บอก อ๊อ! อาตมาเปรยขึ้น เมื่อคืนนี้ ท่านสีลวัณโณ บอกว่า ผมก็ยิ้ม เหมือนกัน พอบอก ไม่ดื้อเอาเท่าไหร่น่ะ แต่ว่า ยิ้มในสำนวน สำนวนมันน่าขำดี ไม่ดื้อเอาเท่าไหร่ ฟังแล้ว สำนวนมันขำดี ไม่รู้หรอกว่า มันไปล้อเลียนเพลงฮิตเค้า (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ท่านว่างั้นนะ ท่านไม่ทันสมัยเท่าอาตมา อาตมา MODERNIZATION กว่าท่านหน่อย (คนฟังหัวเราะ) (พ่อท่านหัวเราะ) ก็พยายามปฏิบัติ ให้มันได้สอดคล้องกันก็แล้วกัน อย่าไปดึงดันอยู่นักเลย แหม จะมา ขอแย้งว่า แล้วจะไปได้รึเปล่า ก็ถ้าคุณทำ ไม่ให้มันสอดคล้องกันจริงๆ จนกระทั่งมัน ไป เอ้า...สมมติอันนี้ ยกตัวอย่างง่ายๆ อันนี้ไปคนละทาง แต่ก็คุณปฏิบัติมาให้มัน เหมือนกันอย่างนี้ คุณก็ปฏิบัติมา ปฏิบัติมา มันเหมือนกัน คุณก็ลดอันนี้มาให้มากๆๆๆ จนกระทั่ง อย่างนี้ มันยังไป ทางเดียวกันไม่ได้เลย (คนฟังหัวเราะ) อะ! ถ้ามาอย่างนี้ ก็ยัง เออ เกือบจะไปทางเดียวกันแล้วล่ะ แต่ว่ามันก็ยังออก ไปโน่นนะนี่ ยังไปไม่ได้ ก็ให้มันไปอย่างนี้เลยซิ มันก็จะได้ไปทางเดียวกันได้ แหม ต่อรองอยู่ได้ (พ่อท่านหัวเราะ) กิเลสมันร้องต่อรอง

ถาม : ฟังท่านจันทร์ เทศน์เรื่องจริตมีหลายอย่าง ดิฉันอยากทราบจริตแบบพุทธิจริต อย่างละเอียด อีกหน่อย กรุณาแยกแยะ ให้ฟังด้วยค่ะ

ตอบ : พุทธิจริต แปลว่า ปัญญานะ เป็นผู้มีจริตในเชิงที่เอียงข้างมาทางยินดี พอใจใจเรื่องปัญญา พุทธิจริต เพราะฉะนั้น จะอธิบายอย่างละเอียด จะเอายังไงอ่ะ มันไม่ได้อีกแหละ ก็เป็นผู้ที่มีนิสัย เชิงทางปัญญา มันมีทางหลายอย่าง จริต ๖ อย่าง นั้นก็ว่ากันไป จริตไปในทางเน้นเอียง ไปทาง ข้างโลภะ เอียงไป ข้างโทสะ เอียงไปข้างโมหะ เอียงไปข้างพุทธิจริต ก็ไปทางปัญญา เอียงไปข้าง ศรัทธาจริต เอียงไปข้างวิตกจริต คือหมายความว่า มันไม่ค่อยแน่นอน ลังเล สงสัย หมุนไป เวียนมา งั้นน่ะนะ พุทธิจริต นี่ก็เป็นผู้ที่มีปัญญานำ จริตที่มีปัญญา ใช้ปัญญาชอบเชิง เชิงปัญญา เพราะฉะนั้น ระวังปัญญาเฟ้อ แล้วมีเยอะด้วย เอาล่ะ อธิบายแค่นี้ก็แล้วกัน ใช้ปัญญานำ หรือถนัดชอบในเชิง ปัญญา ทางศรัทธา ทางอะไรไม่ค่อยชอบ หรือว่าทางจริต ทางไม่รู้ ไม่แน่ไม่นอน เอาอะไรนำ ก็ไม่เอา อะไรนำ วิตกจริตนี่วกไปเวียนมา ก็ไม่เป็นอย่างนั้น เป็นผู้ที่เด่นชัดอยู่ในเชิง ใช้ปัญญา

ถาม : คุณพรพิชัย ถือว่ามีจริตเด่นเชิงพุทธิจริตหรือไม่ค่ะ

ตอบ : พรพิชัยนี่ เขามีปัญญานะ คุณอ่านบันทึกเขาซิ เขาวิเคราะห์มีเหตุมีผล มีหลักการ เขาแม่นเป้า ศรัทธาเขา ก็มั่นคงดี จริตพุทธิจริต เขาก็มีตัวเชิงปัญญา ใช้ปัญญาประกอบ เขาไม่มีอย่างประเภท วิตกจริต ประเภทที่สลัดไป ไม่แน่ ไม่นอน ไม่เป็น เพราะฉะนั้น พวกนี้เร็ว โดยเฉพาะ ถ้าเขามีปัญญา เด่นๆ เขาก็ มีปัญญาเด่นเหมือนกัน ผู้ที่มีพุทธิจริต ปัญญาเด่นๆ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิดีๆนี่ ศรัทธาจริต จะประกอบด้วยพุทธิจริตจริงๆ ศรัทธาจริตจะประกอบด้วย ตัวความเชื่อมั่น ตามปัญญา นี่ มันจะตามดี ผู้ที่สัมมาทิฏฐิ หรือว่ามีพุทธิ มีพุทธิ หรือว่ามีปัญญาดีๆนี่ มันจะมีศรัทธาที่แท้จริง ตามด้วย ไม่ใช่ไปเอียงทาง ข้างเอาศรัทธานำ พรพิชัยนี่ เขาจะมี พุทธิจริตอย่างที่ว่านี้อยู่ เด่นในเชิง พุทธิจริต แล้วมีศรัทธาดี เพราะว่าเขาเองนี่ พุทธิ พุทธิ แล้วศรัทธาจะดีตาม เพราะฉะนั้น ผู้ที่มี พุทธิจริต หรือว่าผู้ที่มีปัญญานำ เป็นพวกปัญญาธิกะ ยังจะบำเพ็ญตน เป็นพระพุทธเจ้านี่ จะใช้เวลา แค่ ๒๐ อสงไชยมหาแสนกัปป์ จะใช้ ๒๐ ส่วน สายศรัทธาจริตนี่ จะใช้ถึง ๔๐ อสงไขยมหาแสนกัปป์ ส่วนวิตกจริตนี่ ๘๐ อสงไขยมหาแสนกัป ...

ถาม : ทุกคนต้องปรับพฤติกรรมของตนเองให้เป็นพุทธิจริต จึงจะเข้าสู่พระนิพพาน ใช่หรือไม่ ส่วนศรัทธาจริต เป็นอุปการะ ให้ถึงพุทธิจริต ด้วยใช่มั้ยค่ะ

พ่อท่าน : เออ...คนนี้ถามมานี่มีเชิงเข้าใจ อาตมาอธิบายไปแล้ว พุทธิจริตที่ถูกตรงแล้ว มันจะมีศรัทธา ศรัทธาที่เสริมหนุนอยู่ซ้อน ถ้าผู้ใดที่มีศรัทธา จริตปัญญาไม่ค่อยดี นั่นต่างหาก ที่มีศรัทธานำ เพราะฉะนั้น ผู้นี้จะช้าจริงๆ แต่ผู้ที่มี พุทธจริตแล้ว จะมีศรัทธาที่เป็นแรง ช่วยเติมอยู่จริงๆ นี่ ที่ถามมานี่ ถูกต้องแล้ว

ถาม : ดิฉันจะใส่บาตรแถวใกล้บ้านตนเอง แต่เห็นท่านได้รับอาหารบิณฑบาต มากแล้ว และเคย ได้ยินว่า วัดแถวๆ นี้ อาหารเหลือเฟือ ทิ้งเสมอ ดิฉันเลยไม่ใส่บาตร เพราะเสียดายของ เกรงว่า จะเสียเปล่า แต่ก็เสียดายว่า อดใส่บาตรด้วย ดิฉันควรจะทำอย่างไรดีคะ

พ่อท่าน : เออ เป็นนิจทานนะ ถ้าเผื่อว่า เราจะทำล่ะก็ ก็คอยดู สังเกตดู พระรูปไหน ก็ไม่ใช่มีพระ น้อยๆนิดๆ แค่นี้มั้ง พระดีๆ จะไม่มีเชียวเหรอ สงสัยนัก ก็ตามไปสอดส่องดูที่วัดที่วา แต่ไม่ใช่ไปตาม ให้มันได้เรื่อง ได้ราวมานะ ค่อยๆไปดูว่า เออ พระรูปนี้ ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราไปวัดน่ะ ไม่ใช่ตาม ไอ้อย่าง ประเภทไม่เข้าท่านะ ฟังอย่าให้มัน...(คนฟังหัวเราะ) แหม...อย่าหูหาเหตุซี่ (คนฟังหัวเราะ) แหม... ฟังแล้วก็หูหาเหตุ มันก็ไม่ได้เรื่อง ฟังให้มันดี ฟังแล้วอย่าไปมอง อย่าไปคิดในทางไม่ดีซิ พยายามสอดส่อง ติดตามดูแล เพื่อจะเห็นว่า เอ๊! ท่านเป็นพระที่ประพฤติปฏิบัติชอบมั้ย มันมีล่ะนะ เราอย่าไปว่าไป แหม พระในประเทศไทย หรือ มีอยู่ในย่านที่เราอยู่ ก็มีหลายวัดหลายวา จะไม่มีพระดี มั่งเชียวหรือ ถ้ามีพระไหนที่เราไว้ใจได้ดีก็เอา ก็ใส่บาตรท่านบ้างนะ ก็ดีหรอก มีใจใส่บาตรนี่ อาตมา สนับสนุนนะ นี่ ตอนนี้ กำลังจะพิมพ์หนังสือที่อาตมา บรรยายถึงเรื่องบิณฑบาต ตอนนี้กำลัง จะตั้ง ชื่อกันอยู่ ตอนแรกตั้งชื่อว่า คนขี้ขอ พอเอามา ก็มาเปลี่ยนชื่อว่า ภิกษุของพุทธ ไม่ใช่ผู้ขอ ที่ลงแสงสูญ ไปลงข่าวสดก่อน เสร็จแล้ว ก็มาลงแสงสูญ ลงแสงสูญแล้วก็จบไปแล้ว ตอนนี้ ก็จะรวมเป็นเล่ม ...

ถาม : ความคิดที่เป็นมิจฉาทิฐิ แต่เราก็รู้ว่า เป็นความคิดที่ไม่ถูกไม่ดี ก็พยายามแก้ แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ จะทำอย่างไรดีคะ

พ่อท่าน : ก็พยายามต่อไป นี่ตอบอย่างถูกต้องที่สุด ก็ต้องพยายาม ต้องศึกษาปริยัติ ปฏิบัติ ต้องศึกษา นี่แหละ ฟังคำอธิบาย เติมไปเรื่อยๆ แล้วจะเข้าใจ อ๋อ อ๋อ แล้วก็เอาไปปฏิบัติเติม เอาไปปฏิบัติ ต้องทำ ทำจริงๆจังๆ เอาให้มาก การกระทำ เพื่อที่จะบรรลุนี่ ต้องใช้ฆราวาสธรรม ๔ ฆราวาสธรรม ๔ ก็คือว่า เราจะต้องทำจริงๆนะ สัจจะ ทมะ ขันติ จาคะ

สัจจะอาตมาแปลแล้ว สัจจะนี่มัน แปลว่าความจริง ความจริงนั่นแปลโดยนาม นามคือความจริง แปลโดยกิริยา สัจจะ นี่คือเอาจริง คุณต้องมีกิริยาที่เอาจริง แล้วมันจะเป็นอย่างไร มันต้องข่มฝืน ทมะ มันต้องอดทน ขันติ มันถึงจะจาคะ มันถึงจะสละออกได้ ถ้าไม่เอาจริง ถ้าไม่มีต้องข่มฝืน ถ้าไม่มี ต้องอดทนนะ ทำไปเป็นยถาสุขัง ทำไปเหลาะๆ แหละๆ ปฏิบัติมัชฌิมา มัชฌิมา ไม่มาหรอก ไปเลย (คนฟังหัวเราะ) ไปเลย ไม่มัชฌิมามัชฌิเมออะไรหรอก ปฏิบัติอย่างนั้นน่ะ มันเป็น ยถาสุขัง อกุศลธรรม เจริญยิ่ง ไปไม่รอด มันต้องอดทน ต้องข่มฝืน ต้องต่อสู้ ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบาก ปฏิบัติธรรมนี่ จริงๆต้องเอา นี่ยังไม่เท่าไหร่มั้ง อาตมาว่าถามมานี่นะ กั๊ดแข่ว ขยุ้มก้นเข่า (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) ภาษาสำนวนอีสาน หมายความว่า เอาจริงๆ ก็หมายความว่า กัดฟัน แต่ภาคกลาง คงจะไม่ (พ่อท่านหัวเราะ) ไม่ค่อย ถนัดมั้ง แต่อีสานมันมี คำพังเพยงั้น บอก (คนฟัง และพ่อท่าน หัวเราะ) เหอ !

พ่อท่าน : ไม่ใช่ (คนฟังหัวเราะ) จะอธิบาย แปลว่ายังไงล่ะ (พ่อท่านและ คนฟังหัวเราะ) เหอ ! (พ่อท่านถาม) ว่าไงล่ะ พวกอีสานทั้งหลายแหล่ (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) ก้นก็คือก้นนั่นแหละ หมายความว่า แหม ยังไงล่ะ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) ม้วนหัวม้วนหางใส่เลยว่า ได้กัดฟันสู้ แล้วก็หมายความว่า ทั้งอดทั้งกลั้น ทั้ง...เออ ยุ่มก้นนี่ ว่ากลั้นก็ได้นะ ทั้งอดทั้งกลั้น อ้า! ขัด กัด ฟัน อดกลั้น ดันสู้เต็มที่เลยนะ เอา ว่างั้น แต่สำนวนของเขา มันก็เป็นคำคล้องจองกัน นิดหน่อยหนึ่ง

ถาม : การที่เราปฏิบัติธรรม ในกรรมฐานข้อใดข้อหนึ่งแล้ว ไม่ มีผัสสะมากระทบ แต่ในใจแล้ว เรารู้สึกว่า กิเลสได้เบาบาง จางคลาย ไปมากแล้ว เราสามารถหมดกิเลสนั้นๆ จนสิ้นเกลี้ยงหรือไม่ โดยที่เรา ไม่ได้หลบผัสสะ แต่มันยัง ไม่มีมากระทบ

พ่อท่าน : ถ้าหมั่นพิจารณาเนืองๆ แล้วก็อ่านอาการที่มันยังมีอยู่ ที่กล่าวนี้นี่แหละ อ่านให้เห็นแล้วก็ใช้ วิปัสสนาญาณ ว่ามันไม่จริง มันไม่เที่ยง มันไม่ใช่ของจริง มันเป็นของหลอก มันเป็นของทำให้เราทุกข์ พิจารณาเนืองๆ จริงๆ แม้ไม่มี กระทบผัสสะ คุณก็จะหรี่จางคลายลงไปได้ด้วย แต่จริงๆ แล้วยิ่งมี กระทบ มีผัสสะด้วยนี่ มันยิ่งชัดขึ้นมาเลยว่า มันมีเท่าไหร่ แล้วก็มีวิธีการ วรยุทธ สมถภาวนา วิปัสสนาภวานา ของเรานี่ ทำสู้เข้าไปเรื่อยๆ ทำกับมันเรื่อยๆๆๆ มันก็ยิ่งจริง มันก็ยิ่งเห็นผลว่า เราสู้ได้ สู้ได้ สู้ได้เรื่อยๆ ถ้าสู้ได้ ถ้าสู้ไม่ได้ก็แพ้ล่ะ แพ้ ก็ต้องเอาให้ชนะให้ได้ ชนะเรื่อยๆๆ หมดไปก็รู้ว่าหมดไป หมดชั่วคราว ก็รู้ว่า หมดชั่วคราว หมดนาน หมดได้ดี ได้เก่งขึ้น เป็นปัสสัทธิวิมุติ หรือ ปัสสัทธิปหาน เป็นนิสสรณปหาน จนถึง สมุจเฉทปหาน ไปเลยนะ

ถาม : อยากทราบรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการ ของการทำสังฆทาน และ การใส่บาตรสมณะ จะเรียกว่า เป็นสังฆทานได้มั้ย หรืออย่างนำอาหาร ขึ้นแถวสมณะ จะเรียกว่า สังฆทานหรือเปล่า (เคยทราบมาว่า จะต้องเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ไม่ใช่ อาหาร) เรื่องนี้ขอพ่อท่าน ตอบให้ละเอียดด้วยค่ะ

พ่อท่าน : แหม...อยากทราบแต่ละเอียดๆ ในเวลาตอบปัญหาอย่างนี้ เรื่องนี้ มันซ้อนๆอยู่นะ อาตมา ก็เคยอธิบายว่า เรื่องมันกลาย เรื่องมันเลยเถิดมา สังฆทานทุกวันนี้ มันกลายรูปมาเป็น ที่อาตมา อธิบายให้ฟังแล้วว่า สังฆทานใหญ่ สังฆทาน ที่มีอานิสงส์มากนี่ ไม่กำหนดคน และไม่กำหนดของ ทีนี้พวกนี้ เขาก็ไม่มีเวลาจะไปตรวจสอบว่า นี่ขาดเข็ม หรือว่าขาดข้าว หรือว่าขาดสบู่ หรือว่า ขาดผ้า หรือว่าขาดอะไรใช่มั้ย เขาก็เลยตี ซำเหมา เหมาโหลเลย เอาล่ะ จะขาดอะไร ก็ซื้อใส่ถัง ไปให้มากๆ อย่าง ก็แล้วกัน เอาละ ขาดอะไรท่านก็เลือกเอา ก็แล้วกัน ว่างั้นเถอะนะ เลยกลายเป็น สังฆาทานเหมา ซำเหมา สังฆทานซำเหมา ทุกวันนี้อ่ะ ซื้อถังแล้วก็ พวกร้านค้า ร้านขาย มันก็อยากขายของ มากๆ ด้วยน๊อ พวกนี้ก็เลยเรียกว่า ที่จริงคำว่า สังฆทานนี่ มีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่าจะทำทานอย่างไร ที่จ่ายน้อย แต่มีอานิสงส์มาก จ่ายน้อยด้วยนะ หมายความว่า ลงทุนน้อย เออ ลงทุนน้อย แต่มี อานิสงส์ มาก ท่านผู้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า ทูลถามอย่างนี้นะ ที่คำตอบของสังฆทานนี่ แล้วพระพุทธเจ้า ก็ตรัสตอบเรื่อง สังฆทานให้ฟัง จนกระทั่งถึง จตุทิสาสังฆิกวิหารทาน ที่อาตมา หยิบมาอธิบาย สู่พวกเราฟัง เพราะฉะนั้น การเปลี่ยนแปลงมันๆเปลี่ยนแปลงอย่างนี้ เปลี่ยนแปลง ตรงที่ว่า เออ เขาก็เข้าใจเรื่อง ไม่กำหนดคน และไม่กำหนด ของด้วย แต่กลายเป็นกำหนดของอีกแหละ แต่ของเลอะๆ เปลือง มันไม่ใช่เรื่องที่ว่า ลงทุนน้อยนี่ แบบนี้ มันลงทุนซื้อ ไม่รู้กี่อย่าง แล้วหลายอย่าง ไม่ใช้ หลายอย่าง ไม่ได้เรื่องเลย ไอ้เจ้าที่มันขายนั่น ไอ้ร้านค้านั่น เฮ้ย ! ไอ้ของที่ขายไม่ค่อยออกโว๊ย โมเม โมเม จับยัดใส่ถัง สังฆทานมาเลย ไปเลย ไปเลย เหมาเลย นี่แหละ นี่แหละ นี่แหละพระต้องการ (พ่อท่านหัวเราะ) เอาไปเลย ไม่รู้ขี้หมูขี้หมาอะไร ยัดเข้าไปในนั้นน่ะ ของเก่าของใหม่อะไรเลย โละขายเลย เลยกลายเป็นถูกหลอก ถูกลวง อะไรซ้อนๆ เชิงมานี้ เพราะฉะนั้น การใส่บาตร สังฆทาน จริงๆ อย่างที่อาตมา อธิบายแล้ว ไม่ต้องกำหนดคน และไม่ต้องกำหนดของ จะเป็นพระหนุ่ม เณรน้อย อะไรก็ แล้วแต่ ถ้าเห็นว่าเป็นสมณะ หรือเป็นพระที่ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า เป็นคนของเรา อย่างที่ พระพุทธเจ้าท่านว่า ไม่ใช่ว่าเห็นปั๊บ แล้วก็รู้เลยว่านี่ เอ๊อ! นี่คนของ พวกไหนก็ไม่รู้ ไม่ใช่ของ พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ ไม่รับเป็นคน ของท่านหรอก แบบนี้อ่ะ ปฏิบัตินอกรีต นอกศีล นอกธรรม แบบนี้อ่ะ ไม่เข้าเรื่อง แต่ถ้าเผื่อว่า เป็นพระที่ เออ ก็ดูได้ล่ะว่า เป็นพระที่ใส่ได้ เราไม่กำหนดว่า จะต้องเป็นผู้ที่เรารู้จัก ผู้ที่เราศรัทธา ถ้าเป็นพระที่ เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า อย่างที่เรียกว่า เชื่อได้ก็เอา นั่นไม่กำหนดคน และของ ก็ต้องติดตาม จะให้ดี ก็ มันลึกซึ้งขึ้นไปนะ นี่พระเห็นใหม่ๆ นี่ ท่านขาด อะไร ไม่รู้เรื่องเลย เพราะฉะนั้น คุณจะทำสังฆทานได้แต่แค่ไม่กำหนดของ ไม่กำหนดคนเท่านั้นน่ะ เพราะเราไม่รู้ว่า ท่านขาดแคลนอะไร เพราะฉะนั้น จึงต้องให้ติดตามพระ ไม่ใช่ติดตามอีก อย่างที่ว่านั่น อีกล่ะนะ (คนฟังหัวเราะ) ให้ดูแล สอดส่องว่า ท่านขาดอะไร ท่านอะไรต่ออะไร อย่างนี้ซิ ไม่ว่าองค์ไหนล่ะ ก็ดูแลท่าน ของอันไหนจำเป็น บอกแล้ว แม้แต่เข็มเล่มหนึ่ง แม้แต่ด้ายกลุ่มหนึ่ง แม้แต่มีดโกนใบหนึ่ง หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่สิ่งสำคัญ สิ่งจำเป็น อะไรก็แล้วแต่ ที่สมควร เราก็เอาอันนั้น มาทำทาน อย่างนี้แหละ จะมีอานิสงส์มาก ไอ้การที่จะทำสังฆทาน เอาอาหารขึ้น ถวายสมณะ อะไรต่ออะไร พวกนี้ก็เป็นทาน ถ้าเอามาถวาย โดยที่ไม่กำหนดสมณะ มาถวายโดยการเลื่อนอาหาร ไปทั่วทุกองค์นี่ ก็เป็นสังฆทาน ไม่กำหนดบุคคลได้ เหมือนกัน เป็นสังฆทานที่ไม่กำหนดบุคคล อย่างอาตมาสิ ปาฏิปุคคลิกทาน กำหนดอาตมา แล้วก็มากำกับด้วยนะ ไม่เห็นฉันเลย ไม่เห็นฉันเลย (คนฟังหัวเราะ) ไม่แหว่งเลย (พ่อท่านหัวเราะ) อาตมาว่า แหม อาตมานี่หนอ โดนกำกับจั๊งเลยนะ เอ้า ก็พยายามอนุเคราะห์ทานนะ

สมณะฯ : ญาติโยม...

พ่อท่าน : แหม องค์นี้ รู้แจ้งรู้ชัดรู้กว้าง (คนฟังหัวเราะ) ถามเผื่อโยม จะใส่บาตรนั้นก็ได้ เป็นนิจทาน ใส่บาตรนี่เราเรียก นิจทาน เอามาถวายนี่ ถือว่า สังฆทานก็ได้ บอกว่าไม่ได้กำหนดพระ ไม่ได้กำหนด สมณะ พอปั๊บท่านก็เลื่อนไป ก็ ทุกองค์เป็นโดยธรรม อันนั้นถวายนิจทาน ใส่บาตร ใส่บาตรประจำนี่ นิจจะก็คือเสมอๆ ใส่บาตรทุกวัน หรือใส่บาตรเสมอๆบ่อยๆ อย่างนี้ เรียกว่า นิจทาน จะทำอะไรก็ได้ ทั้งสองอย่าง มันเป็นความสำคัญ หรือจำเป็นทั้งสองอย่าง เอาอย่างใด ก็มีอานิสงส์พอกันน่ะ นิจทาน ก็มีอานิสงส์พอกัน สังฆทาน ที่ไม่กำหนดบุคคลก็ดี

ถาม : ผมมีปัญหาเรื่องรัก ตัดไม่ขาดสักที (พ่อท่าน: -นี่) ไม่รู้จะตัดอย่างไร ถึงจะขาดให้เร็วได้ ช่วยตอบให้ชัดด้วย

พ่อท่าน : เอาเถอะน่ะ มีความตั้งใจจะตัดให้ขาดนี่ พยายามเข้าไป กัดแข่ว ยุ้มก้นเข้าไปเรื่อยๆ (คนฟังหัวเราะ) เอาให้จริงจัง เข้าไปเรื่อยๆ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) เอ้า ทำไมล่ะ อาตมาพูดผิด หรือไง อาตมาว่าอาตมาพูดภาษาอีสาน ถูกอยู่นะ

พ่อท่าน : อ๋อ...อย่างนั้นน่ะเหรอ (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) นี่ก็บอกอาการ เหลือเกินนะ (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) กลั้น อาตมาขอใช้คำว่า กัดฟันนี่ใช่มั้ย กัดแข่ว กัดฟันน่ะนะ กัดแข่ว ยุ้มก้น ก็หมายความว่า กลั้นใจนี่แหละ เอาสำนวนเลยก็แล้วกัน อย่าไปเอากิริยาเลย มันคงไม่ใช่กิริยาแท้หรอก แหม กัดฟันก็คง เอ้า คุณจะกัดฟันก็ไม่ใช่ว่าจะกัดอย่างนี้ ทีเดียวหรอกน้า ก็หมายความว่า ให้ฮึดสู้ ให้เต็มที่ ก็แล้วกันนะ อาตมาไม่มีทางอธิบายมากหรอกนะ เรียนรู้ที่อธิบาย กันไปให้ชัดๆ แล้วอ่าน อาการ ลิงคะ นิมิต อ่านอาการของกิเลสราคะของเราให้ได้ มันไปรักอะไรกันนักกันหนา องค์นั้น ก็เทศน์ องค์นี้ก็เทศน์ รักแก้มตัดแก้ม รักจมูกตัดจมูก รักส่วนไหนก็ตัด ส่วนนั้นให้มั่งก็ไม่เอาซักอย่าง โอ๊! จะเอาอะไรกันแน่ แล้วรักมันมีทุกข์มั้ยเล่า แหม อาตมาไม่เห็นคู่รักคนไหน ตลอดปลอดโปร่ง ไปจนกระทั่ง ไม่เจอวิบาก ไม่เจอทุกข์หรอก อาตมาเก็เคยรักมาจริงๆ เดี๋ยวจะหาว่าไม่มีประสบการณ์ (คนฟังหัวเราะ) มันทุกข์จริงๆน้า มันเปราะบาง เหลือเกิน กระเง้ากระแง้ว เป็นเพื่อนกันนี่ ไม่ค่อย ทะเลาะกันเท่าไหร่หรอก หนอย มาเป็นคู่รักกันล่ะ ทะเลาะ กันเข้าเชียว มันบ้าจริงๆ นะ นี่มันโง่แสนโง่ คนเรานี่ มันเกิดอาการหวงๆ แหนๆ เล่นแง่เล่นงอน เจ้าพ่อแม่งอน อะไรกัน มากมาย ไอ้แต่ก่อน เป็นเพื่อนกัน ไม่ค่อยถือ ค่อยสาอะไรกัน ผิดบ้างพลั้งบ้าง ช่างหัวมัน ไอ้นี่มาพอเป็น จับคู่กัน จะต้อง รักกัน เป็นคู่รักกัน ขึ้นมาน่ะ โอ๊ย! เรื่องมากๆ คนฉลาดเขาเลิกหมด ไอ้เรื่องรักนี่ (คนฟังหัวเราะ) คนโง่ไม่เสร็จ อยู่เท่านั้นแหละ เขายังมี ไอ้รักอย่างราคะ รักอย่างคู่รัก อย่างอะไรนี่ แต่ก็คงหมายถึง เรื่องราคะ เรื่องรักแบบนี้อะนะ

ถาม : อยากเรียนถามพ่อท่านเกี่ยวกับการปล่อยวาง และการเอาภาระในการทำงานกับหมู่กลุ่มว่า มีวิธีการ หรือ ใช้กลยุทธแบบไหน คะ ที่จะไม่ทำให้ผู้ร่วมงานรับภาระหนัก (มากเกินไป) และงานไม่เสีย เพราะ ปัจจุบัน เท่าที่ปฏิบัติอยู่ ก็พยายาม ดูที่จิตของเรา และคอยระวังจิต จิตเรามิให้ขุ่นมัว แต่ไม่ทราบว่า จิตหมู่กลุ่ม จะเป็นอย่างไร แต่ก็พอประสานกัน ไปได้เรื่อยๆ ค่ะ

พ่อท่าน : คือเรื่องนี้ ก็พูดนะ ไม่ใช่เราไม่พูด เราก็อธิบายกันอยู่บ่อยๆ การที่จะปล่อยวาง หรือเอาภาระนี่ เราก็ต้อง ดูกำลังของเรา และก็ต้องดูเพื่อนบ้าง มันมีภาระมาก ภาระหนัก ที่เราจะต้องไปยื่นมือ เข้าไปช่วย ไปเกี่ยวไปข้อง เราก็ ต้องเอาภาระบ้าง ไม่ใช่ว่าจะเอาแต่ของเรา เอาแต่ของเรา เอาแต่ของเรา อยู่ในภพ ไม่ดู ไม่แล ไม่เห็นคนอื่น เขาจะเป็นยังไง ควรจะเข้าไปช่วย ไม่เข้าไปช่วยอะไร มันก็ไม่ดูอะไร มันก็ไม่ได้ อยู่กะเพื่อนเราต้องดูจริงๆนะ แล้วเราก็ต้อง ประมาณตน ว่านี่เราไม่ได้ แกล้งนะ เต็มกำลังเราจริงๆนะ แต่ระวัง อย่าขี้เกียจ อย่าออเซาะเกินไปล่ะ อะไรนิด อะไรหน่อย ก็เต็มแล้ว เต็มแล้ว ที่แท้ทำนิดเดียว ก็เต็มแล้ว มันขี้เกียจมากเกินไป มันก็ทำอะไรไม่ได้มาก จริงๆ เราก็ไม่ได้บุญมาก อยู่นั่นแหละ นั่นเพราะว่า เราก็ไปทำน้อยเกินไป เพราะฉะนั้น จริงๆ ฝึกหัดไป เราจะทำได้มากขึ้น ๆ ๆ แล้วเราก็เกื้อกูลผู้อื่นมากขึ้น

อาตมาคิดว่า มันใช้สามัญาสำนึกก็ได้มั้งอย่างนี้ กลยุทธแบบไหน ก็ฝึกเพียร เพิ่มเติมขึ้นก็แล้วกัน ศึกษาจริงๆ ใช้ปัญญา อาตมาว่าไม่ลึก ไม่ลึก ไม่อะไรมากหรอก เรื่องนี้จะอยู่กะหมู่ กะฝูงเขานี่จะมี ได้ช่วยเหลือเกื้อกูล มีปฏิภาณ มีความเข้าใจ ว่าเราจะทำยังไง มันถึงจะประสานกันได้ดี เราก็เกื้อกูล ผู้อื่นได้ดี โดยตนเองก็ไม่เสีย ตนเองก็ก็ไม่หนักเกินไป ไม่เป็นภาระ มากเกินไป

ถาม : ผู้ชายที่มีอิตถีภาวะสูง สาเหตุมาจากอะไร

พ่อท่าน : ก็สาเหตุมาจากโง่น่ะซิ ไม่รู้ว่าภาวะอย่างนั้น เป็นภาวะที่ไม่ควรจะไปมี จะไปเป็น แม้แต่ผู้หญิง ก็ยังต้องศึกษา ประพฤติ อย่าให้มันไปมีอิตถีภาวะ ยิ่งเป็นผู้ชายแล้วด้วย หนอย! ไปเอามาทำไม อิตถีภาวะ ใช่มั้ย มันก็เรียนรู้ อย่าโง่ เรียนให้จริงว่า อ๋อ อาการทางจริตกาย วาจาก็ตาม อาการมาจากทาง ใจก็ตาม ที่เป็นอิตถีภาวะ ที่จริงแล้ว อิตถีภาวะ แปลอย่างสรุปจริงๆ ก็คือ อิตถี ที่ยังไม่ลงตัว ภาวะที่ยังไม่ลงตัว ภาวะที่ยังไม่เป็นเอก ภาวะที่ยังไม่แน่นอน มั่นคง ภาวะที่ยัง ไม่ลงตัว เรียกว่าอิตถีภาวะ ในผู้หญิง ในผู้ชาย มีเหมือนกันหมด มันก็เรียกว่าอิตถีภาวะ ได้ด้วยเหมือนกัน

ถาม : เวลาเราก็ว่า จะรักษาศีลข้อหนึ่ง ให้บริสุทธิ์ แต่ก็ยังเป็นฆราวาสอยู่ จึงต้องทำงานแบบ เช่น ตักส้วม ตัดฟืน จึงทำให้สัตว์ ตายไปเยอะ แล้วจะไม่เป็นบาปมากหรือคะ บางครั้งก็ทุกข์ใจอยู่ เพราะไม่มีทางเลือก จึงขอให้พ่อท่าน ช่วยชี้แจงด้วย จะได้เข้าใจมากกว่านี้ค่ะ

พ่อท่าน : ศีลข้อหนึ่งนี่นะ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่อะไร นี่ เมื่อเป็นฆราวาส ก็ทำตามหน้าที่ หรือแม้แต่ไม่ใช่ ฆราวาสก็ตาม ผู้มีศีล ๘ มีศีล ๑๐ แล้วอะไรพวกนี้ หรือแม้แต่เป็นสามเณรขึ้นมา ก็เราก็ต้องทำ ในหน้าที่ ที่ควรจะทำอยู่บ้างเหมือนกัน เราไม่ใช่สมณะ หรือไม่ใช่พระ ที่มีวินัย มีศีลอะไรถึง ๒๒๗ อะไรนี่ เราก็อยู่ ทำได้ใน ฐานะสิ่งที่เราไม่ได้สมาทาน หรือไม่ได้เป็น ข้อกำหนด จะว่ามันบาป มันก็บาป ไม่เท่ากับ ผู้ที่มีศีล มีสมาทานแล้วหรอก เพราะฉะนั้น เมื่อสมาทานแล้ว ทำไม่ได้ ทำไปละเมิด อะไรต่ออะไร มันจะบาปมากกว่า เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราไม่ได้ สมาทาน มันก็ไม่ได้บาปอะไร มากกว่าหรอกนะ เหมือนกะคนศีล ๕ ไม่ได้สมาทาน ศีล ๘ มีผัวเดียวเมียเดียว เขาก็ไม่ได้ไปบาป เหมือนกะอย่าง ผู้ที่สมาทานศีล ๘ แล้วบาป แต่ไม่ได้หมายความว่า กิเลสไม่มี หรือส่วนบาป ที่เป็นส่วนที่บาปบ้าง หรือบุญบ้าง คุณต้องไปฆ่าสัตว์ตาย ศีลข้อหนึ่ง แม้คุณจะถือศีล ๕ มันก็มี ส่วนบ้าง แต่มันก็ไม่บาป เหมือนผู้ที่ จะถือศีล สูงขึ้นไปแล้ว ต้องไปฆ่าสัตว์ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ถือ ศีลสูงแล้ว แล้วก็ลงไปทำงาน อย่างอื่น แล้วก็ต้องไปมีโอกาส ที่จะต้องไปละเมิด อย่างนั้นน่ะ ว่ากันจริงๆ แล้วมันพลาด แล้วมันบาป มากกว่ากัน เพราะฉะนั้น คุณเป็นฆราวาสนี่ ก็ในฐานะฆราวาส เราก็ถือศีล ในระดับของเรา แม้มัน จะต้องมาบาป เลี่ยงไม่ได้ มันก็ต้องบาป ใครทำก็บาป ผู้ที่มีศีลสูง ก็บาปเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราเห็นว่า อย่างนี้นี่นะ เราเป็นฆราวาส รับไปก่อนดีกว่าเถอะ ถึงแม้ว่า มันจะบาป มันก็ไม่มากนัก แต่ให้ผู้ที่ท่านสูง ไปบาปมากๆ มันไม่ค่อยดี อันนี้ เราก็เห็นอยู่ รู้อยู่นะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องทำ ถ้าจะให้มันไม่มีบาปอะไร เลย จริงๆเลยนี่นะ เลี่ยงได้หมด สูงสุด นั่นน่ะ มันยากนะ อะไรๆ มันก็ยาก มันก็จะต้องมี ล่วงๆหล่นๆบ้าง เพราะฉะนั้น จึงมีทางออก ว่า

(เอ้า...เอามาอีกซิ หมด แล้ว แหม วันนี้เก่งเหมือนกันนะ สามโมงไปได้เป็นปึ๊ง เลือกออกหรือเปล่านี่ ไม่ ต้องเลือกออกก็ได้ สัญญากันแล้ว ว่าไม่ต้องเลือกออก อันไหนที่อาตมาจะผ่านไว ก็ จะผ่านไว อันไหน ที่ไม่ควรผ่านไว อาตมาก็จะตอบ ยาวหน่อย อันไหนจะไม่ตอบ ก็ จะไม่ตอบ โอ! มากัน ทยอยกัน เลือกขึ้น เอ้า! ไม่เป็นไร)

ถาม : การทำทานกับพระภิกษุ สมณะที่ไม่มีศีล ผลของทานด้วยใจบริสุทธิ์ ผู้ให้และผู้รับ จะได้ผล อย่างไรครับ

พ่อท่าน : ได้ผล ส่วนตัวผู้ให้นั่นน่ะเป็นผล คือผลมันทั้งด้านผู้ให้ผู้รับไว้ทั้งสองด้าน ไปทานกับพระ ที่ไม่บริสุทธิ์ศีลนะ โดยเราไม่รู้ว่า ไม่บริสุทธิ์ศีล เราก็บริสุทธิ์ใจ และเราก็ทำทาน ก็เป็นผลดีเป็นบุญ เท่าที่เราส่วนหนึ่ง ถ้าจะคิดเป็นค่า สมมุติว่า ได้เอ็กซ์ หรือได้สิบ มันก็ได้สิบของเรา ทีนี้ไอ้ส่วนที่ไม่รู้นี่ มันไม่รู้ จริงๆ ไม่ได้เจตนา แต่ว่า นี่อธิบายให้ฟัง ซอกๆ แซกๆ นิดหนึ่ง พระไม่บริสุทธิ์ศีล เหมือนโจร ได้ที่เราทำทานไปแล้วนี่ เหมือนกับเอาปืนใส่มือโจร เอาไปทำเสียหาย เลวร้าย สมมติว่า มันแย่อย่าง ขนาดนั้นนะ คุณก็เป็นส่วน คุณก็พลอยที่จะบอกว่า เพราะคุณเชียว นี่ เอาปืนไปใส่มือโจร โจรมันเลย ปล้นได้สำเร็จ มันอย่างนี้ มันเป็นบาปเป็นภัย จึงต้องระวัง การทำทานต้องมีปัญญา การทำทาน ต้องมีการ ระมัดระวัง อย่าไปเที่ยวได้ สุ่มสี่สุ่มห้า ทานเปรอะไปหมดเลย เมตตาไม่มีประมาณ ใครก็ให้เละไปหมดเลย ไม่ถูกหรอก มีทางเป็นบาป ได้อีกเยอะ เพราะฉะนั้น จะบอกว่าได้บุญ ที่ให้ก็ได้ แต่บาปนั้น ถ้าไปแรงมากกว่าไอ้ที่บุญ คุณทำนี่ หมดเลย เราไม่รู้ได้เลยนะว่า มันจะไปขนาดไหน ถ้าเราไม่รู้ แล้วก็มันก็ เป็นอย่างที่ว่านี้จริงๆ แล้วมันมีด้วยนะ พระที่น่าเกลียด ทำเหมือนโจรจริงๆ อ่ะ เอาไปทำเลวทำร้าย ปู้ยี้ปู้ยำ ศาสนานี่ยิ่งราคาแพง ถ้าว่าค่า ก็ค่ายิ่งสูง ไปปู้ยี้ปู้ยำศาสนา ยิ่งกว่าโจร ไปฆ่าคนนะ เอาปืนใส่มือโจรนี่ ก็เห็นชัดเจน เป็นรูปธรรมหยาบ ว่ามันบาปแน่ ให้ปืนแก่โจรนี่ แล้วก็ไป ทำร้าย สำเร็จนี่ เห็นว่ามันบาปแน่ หยาบๆ แต่ความบาปของโจร ที่ได้ปืนไปฆ่าคนนี่ ยังไม่เท่ากะ ให้อะไรแก่ สมณะ ที่ไม่ใช่สมณะ แล้วไปทำปู้ยี้ปู้ยำเลวร้ายนั้นน่ะ บาปยิ่งกว่าโจรไปฆ่าคนนะ น่ากลัวมั้ย น่าหวาดเสียวนะ

เราจะต้องพิจารณาในการให้ ผู้ให้และผู้รับ จะได้ผลอย่างไร อ่า! อธิบายให้ฟังบ้างแล้ว แต่ถ้าเผื่อว่า เราดี ว่างั้นเถอะ มันไม่รู้ แต่ก็ใส่ไป แล้วก็บังเอิญ พอดีสมณะนั้น ภิกษุนั้นไม่ชั่วไม่เลว ดี ก็เป็นบุญ ซ้อนอยู่ในตัว ของความจริง ไอ้นี่ความจริง มันก็ไม่เจตนาหรอกนะ แต่โดยกรรม โดยกิริยา โดยวิบาก มันมีบาปมีบุญของมัน ในตัวมัน อย่างนั้นเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เจตนา นี่เป็นแต่เพียงท่าน ถือเป็น อาบัติ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า ผู้ใดไม่มีเจตนา ถือว่าไม่รู้ความอาบัตินั้น ก็ไม่ถือว่าเป็นอาบัติ ถ้าไม่รู้นะ ไม่เจตนา แต่จะว่าไม่บาปไม่ใช่ ไม่ใช่ มีบาปนะ

พ่อท่าน : อ๋อ อันนั้นองค์ประกอบของการเป็นบาป ของศีล ก็ดีเหมือนกัน ศีลข้อหนึ่งนี่นะ องค์ของบาป ฆ่าสัตว์

คนฟัง : สัตว์มีชีวิต

พ่อท่าน : อ้า... มันมีถึง ๕ เงื่อนไข ๑)สัตว์มีชีวิต ๒)รู้ว่าสัตว์มีชีวิต ๓)จิตคิดจะฆ่า เจตนาจะฆ่า ๔) ลงมือทำ ลงมือฆ่า ๕)สำเร็จด้วยความพยายามนั้น นี่ ครบองค์ บาปเต็มที่เลย บาปสมบูรณ์แบบ บาปสมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราไม่ได้เจตนา บางทีไม่รู้ ว่าสัตว์มีชีวิตอยู่ด้วยซ้ำไป อย่างมันอยู่ใต้ดิน เราขุดไส้เดือน แต่เราไม่เห็น ไม่รู้ ไม่ได้เจตนา อะไรอย่างนี้ บาปมันก็นิดหนึ่ง

พ่อท่าน : มันมี ศีลมันขาด มันทะลุ มันด่างพร้อยอะไรบ้างเล็กๆน้อยๆ เพราะฉะนั้น ก็มีนัยละเอียดพวกนี้ อีกเหมือนกัน เอ้า นี่ ท่านเตือนให้ว่า ให้ซอยความละเอียดนี้บ้างก็เอา ก็อธิบายไปแล้ว

ถาม : หากพูดถึงผลแห่งกรรมแล้ว พ่อแม่เป็นหนี้เก่าลูก ใช่หรือไม่

พ่อท่าน : ใช่ อาตมาเคยบอกมานานแล้ว พ่อแม่นี่ มันเกิดมาให้ลูกเกิดมานี่ เพื่อที่จะต้องได้รับใช้หนี้ เป็นขี้ข้าของลูก พูดแล้วหนำใจดีมั้ย พ่อแม่ทั้งหลาย (คนฟังหัวเราะ) มีลูกมาเป็นเจ้าเป็นนายแท้ๆ สมัยนี้เขาถึงได้เรียกว่า ลูกบังเกิดเกล้า พ่อแม่นี่ เป็นหนี้ ไอ้การมีลูกขึ้นมานี่ มันใช้หนี้ให้แก่ลูกๆ เต้าๆนั้นแหละ บางคนนี่ มันทวงเอาจั๊ง จริงๆเลยนะ เป็นลูกนี่ โอ๊ย! สุดเจ็บ สุดปวด เคยได้ยินมั้ยล่ะ สุดจะเจ็บปวด ใครขโมยกางเกง (พ่อท่านและคนฟังหัวเราะ) ตัดออกใหม่ๆ ใครเอาไป จำนำ แน่ะ ! เพลงฮิตสมัยก่อนนี่ (พ่อท่านหัวเราะ) อะไร? (พ่อท่านถาม) หนอย มาทำกับฉันได้ (พ่อท่านหัวเราะ) เจ็บปวด จริงๆ นะ เพราะฉะนั้น ถ้าเผื่อว่า รู้เท่าทันแล้ว อย่าไปมีลูกเลย ลูกนี่ ถึงแม้เราจะมีบาป มีเวรกันก็ เรียกว่า บายไปก่อน (พ่อท่านหัวเราะ) บายกันไปเป็นชาติๆ เลย เรื่องอะไรล่ะ เพราะฉะนั้น ทำกุศลสร้างเอาไว้ มันวิ่งหนีได้ หนีไปก่อนเลย ปรินิพพานไปเลิกกันเลย เพราะฉะนั้น วิบากบาป วิบากอะไรยกเลิก การเอาปรินิพพานแล้วก็ยกเลิกเลย ไปตามไปทวง ได้ที่ไหนล่ะ เพราะฉะนั้น ก็พยายาม ต๊ะเอาไว้เรื่อยๆ อย่าให้มันวิ่งมาทัน

เพราะว่าบาปบุญมันล้างไม่หมด มันไม่มีการยกเลิกในพุทธศาสนา เป็นแต่เพียงว่า ใครจะมาบำเพ็ญ บุญ หรือบาปมาก ถ้าบำเพ็ญบุญมาก วิ่งนำหน้าได้ก่อน บาปไล่ไม่ทัน ไล่กันไป๊ ไล่กันไป เหมือนหมา ไล่เนื้อนี่ก็ตาม ซึ่งอธิบายให้ฟังแล้ว ว่าเชิงหมา ไล่เนื้อ นี่มันก็เหมือนกะไอ้ตัวโกรธ บาปนี่มันเหมือน ตัวอาฆาต ตัวโทสะนี่มันโกรธ มันจะเป็นการแก้แค้น เพราะฉะนั้น ไอ้ตัวบาปนี่มัน แหม มันเกาะติด ส่วนไอ้ตัวบุญนี่ มัน เฉยเฉื่อย มันไม่ค่อยขมีขมันเหมือนตัวบาปหรอก เพราะฉะนั้น มันจะแก้แค้นนี่ มันอู้ฮู๋ ! มันผูกพัน มันเร่งรัด มันนัวนังอยู่เรื่อยนะ มันได้โอกาสเมื่อไหร่ปั๊บ มันเอาก่อน เพราะฉะนั้น มันจึงมีฤทธิ์แรง ที่จะแก้แค้น ได้ไวกว่า ได้มากกว่าโอกาสของบาปนี่

ส่วนโอกาสของบุญนี่นะ มันเฉื่อย มันไม่ค่อยเร่งรัด มันไม่ค่อยเร่งร้อน มันเย็น มันเฉื่อย เพราะฉะนั้น มีมากก็ มีมากๆ บางทียังสู้บาป ไม่ได้ บาปวิ่งนำหน้าก่อน เขาถึงเปรียบบาป เหมือนหมาไล่เนื้อ คอยจ้องทีไว้เรื่อย เพราะฉะนั้น ต้องทำบุญ ให้มันมาก จนกระทั่ง มันมีฤทธิ์แรง จนนำหน้าไอ้หมา ไล่เนื้อ ก็ยังวิ่งกวดไม่ทัน จนกระทั่ง เราได้อาศัยบุญนี่ จนบำเพ็ญ เป็นปรินิพพาน จนถึงนิพพานสุดท้าย พอถึงเวลาก็บ๊ายบาย หมาไล่เนื้อยังอยู่โน่น ยังวิ่งตามมาไม่ทัน บ๊าย บาย แล้วปรินิพพาน สูญไปเลย เลิก ก็ต้องยกเลิกบาปบุญ ฉลาดต้องใช้วิธีนั้น บำเพ็ญบุญ พระพุทธเจ้าก็สอน อย่าหยุดยั้ง หยุดบาป ทั้งปวง บำเพ็ญบุญให้นำหน้าไปเรื่อยๆ อย่าประมาท คุณรู้ได้ยังไง ว่าคุณมีบาปน้อย มีบาปมาก

พ่อท่าน : มันไม่ทัน มันไม่หมดนะ คุณไม่ได้ล้างนะ บาปบุญของศาสนาพุทธ ไม่มีการยกเลิก ไม่มีล้าง ได้โอกาส ได้เชื่อ ครบบริบูรณ์เมื่อไหร่ ทันเมื่อไหร่ เอาเมื่อนั้นนะ ฟังให้ดี อาตมาว่าอธิบายซ้ำซาก มามากแล้วนะ ไอ้เรื่องบาปบุญนี่ อธิบายว่า มันมีกรรมวิบากอย่างไร มันไล่อย่างไร มันอะไรนำหน้า อย่างไร พูดมาเยอะแล้วนะ เอ้า ดี ได้ขยายความเพิ่มเติม ก็สรุป พ่อแม่ก็เป็นหนี้เก่าของลูกใช่หรือไม่, ใช่ เพราะต้องเลี้ยงลูก

ถาม : แม้แต่เจ็บป่วย ก็ต้องเสียทรัพย์ เพื่อรักษา แสดงว่าลูกเกิดมาเพื่อ ทวงบุญคุณหรือเปล่า

พ่อท่าน : ใช่

ถาม : หากพ่อแม่ไม่มีศีล ลูกไม่ตอบแทนบุญคุณ อย่างนี้ถือว่า เป็นคนไม่กตัญญูใช่หรือไม่

พ่อท่าน :
อันนั้นเป็นคุณค่า คุณงามความดีอันหนึ่งลูกนี่ จริง จะเป็นเจ้าบุญเจ้าคุณ ของพ่อแม่ ก็ตาม เรื่องกตัญญูกตเวที เป็นคุณค่า ของมนุษย์นี่ ถ้าเป็นลูกที่เนรคุณ มันก็ชั่ว ก็พ่อแม่ท่านเลี้ยงมานี่ มันก็ท่านทำ จะเป็นหนี้ เป็นสินอะไร ก็ตามเถอะ ถ้าเราเป็นคนกตัญญูกตเวที แล้วมันก็ต้องดีซิ แล้วพ่อแม่ก็คือ ผู้ที่ได้ช่วยเหลือเรามา แน่ๆ อุ้มชูเลี้ยงดู เรามาแน่ๆ แล้วเรากลับไม่ตอบแทน บุญคุณ เลยนี่ แหม มันก็ คนอัปปรีย์เราดีๆนั่นเอง ใช่มั้ย มันเลวแน่นอน ส่วนคนอื่นน่ะ เขาจะได้เลี้ยงดู เขาจะได้ช่วยเหลือ เกื้อกูลเรามากเท่าพ่อแม่เหรอเล่า ใช่มั้ย เพราะฉะนั้น ถึงบอกว่า เรื่องพ่อแม่ นี่ต้อง กตัญญูกตเวที แม้จะไม่ใช่แม่ที่ได้เลี้ยง เป็นแม่ให้กำเนิด นี่มันมีนิยายหลายเรื่อง เป็นแม่ที่ให้กำเนิด แต่อีกคนเป็นแม่เลี้ยง เลี้ยงมา ก็ต้องนับถือ แม่ที่ให้กำเนิดด้วย แม้ไม่ได้เลี้ยง หรือแม่นม หรือ แม่เลี้ยงมา เป็นผู้ที่ได้เลี้ยงดู ได้เกื้อกูลเรามา โดยเฉพาะ ให้ชีวิตเรายืนยาว รักษาเจ็บไข้ได้ป่วย ยังชีวิตให้ เจริญงอกงาม และให้ความรู้ ให้ความสามารถ ให้ทุนรอน ให้ความรัก ความอบอุ่น ให้ดีไปทั้งรูปนามทั้งหลายแหล่ ท่านให้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้อง แหม ก็ต้อง น่าตอบแทน บุญคุณมาก เท่านั้น จะไปบอกว่า เอ๊ย ! ไม่เป็นไรหรอก หน้าที่ของพ่อแม่ เกิดมาใช้หนี้ มาทวงหนี้ มันมากไป มันไม่เข้าท่า ใครอย่าไปคิดอย่างนั้น

ถาม : หากไม่มีพ่อท่าน ต่อไป อโศกอนาคต จะคาดว่าเป็นอย่างไรครับ

พ่อท่าน : อย่าเพิ่งตาย ตามดู ถามอะไรยังไม่รู้เรื่องเลย อาตมาไม่ใช่หมอดู อาตมาไม่มีเครื่องมือ จับฮวงจุ๊ยนะ มีหนังเรื่องหนึ่ง นี่มันพระเอก (พ่อท่าน หัวเราะ) มันเล่นฮวงจุ๊ย อาตมาไม่มีนะ จะได้ไปนั่งทำนาย จับทิศจับทาง อะไรพวกนี้ อยู่ ไม่เอา แล้วอาตมาไม่เล่น อาตมาทำปัจจุบันให้ดีที่สุด พยายามมีกำลังวังชา อะไร ก็ทำปัจจุบันให้ดีๆ ไปเรื่อยๆ นะ

ถาม : ดิฉันขอความกรุณาจากพ่อท่านด้วยค่ะ ช่วยตอบให้ดิฉันหายทุกข์ด้วย คือบ้านติดกัน เขามี อบายมุข ทุกอย่าง สิ่งของ เครื่องใช้ฟุ่มเฟือย พูดจาก็ฟังไม่ได้ ชอบพูดโกหก ดิฉันจะทำอย่างไรคะ ขอให้พ่อท่าน บอกวิธีให้ชัดๆ ไปเลยค่ะ ดิฉัน จะได้เป็น ของฝากกลับจากงานนี้

พ่อท่าน : น่อ ! ... จะเอาเรื่องนี้ เรื่องเดียวน่ะเหรอ คุณจะคลายทุกข์ คุณก็ต้อง ๑. หนีมาจากที่นั่นเลย (คนฟังหัวเราะ) ง่ายดี มาจองแฟลต อยู่ข้าง อโศก (คนฟังหัวเราะ) แฟลตตะวันงาย หนีมาเลย สิ่งแวดล้อมไม่ดี เอ้า นี่ จริงนะ คนเรานี่บางที ต้องหนีจากสิ่งแวดล้อม เราเคลื่อนย้ายได้ มีฤทธิ์แรงพอ เคลื่อนย้ายได้ ก็หนีมัน มาอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี เรียกว่า ปฏิรูปเทสะ อยู่ในประเทศอันสมควร เป็นมงคลอันอุดมอันหนึ่ง ย้ายหนีมาเลย เอ้า ทีนี้คุณ จำนนน่ะ ย้ายหนีไม่ได้ ทำไง ย้ายหนีไม่ได้ ก็ต้องปลงซะ ทำไงได้ล่ะวิบาก แหม เรียกว่า ลมพัดนกระจาบตัวนี้ มันไปตกอยู่ตรงนั้น เห็นมั้ยล่ะ นกกระจาบตัวหนึ่งถูก ลมพัดไปตกอยู่กับฤาษี อีกตัวหนึ่ง ไปอยู่กับโจร เราไปตกอยู่ในรังโจร ต้องวางใจ และปลงใจ ต้องช่วยเหลือ ตัวเองให้ดี สังวรระวัง หัดปฏิบัติธรรมให้เคร่งครัด เขาทำอย่างโน้น เราไปห้ามเขาก็ไม่ได้ ไปอะไรก็ไม่ได้ ทำไงได้เ ราก็ต้องหัดวางใจ ให้มีสมถจิต หรือให้มีวิปัสสนา ปลดปลง วาง นอนก็ให้หลับ กินก็ ให้ได้ ก็หมดทุกข์ จะให้ทำ อย่างไร บอกวิธี ก็ปฏิบัติธรรมจริงๆ เพราะเราไป ช่วยอะไรเขาไม่ได้ ไปบอกเขาได้อย่างไร อาตมาไม่มีวิธี ที่จะไปให้ สอนเขา

แล้วคุณสมมุติมา นี่โอ้โห ! นะ อบายมุขทุกอย่าง สิ่งของเครื่องใช้ ฟุ่มเฟือย พูดจาก็ฟังไม่ได้ ชอบพูด โกหก ครบเครื่อง ครบเครื่องชนิดชั่ว แล้วจะให้อาตมาไปทำยังไง ขนาดพวกคุณ ไม่ชั่วขนาดนั้น อาตมายัง จะเหนื่อยตายอยู่แล้ว แล้วจะให้ไป ให้คุณด้วย คุณมีฤทธิ์ขนาดไหน เท่าอาตมายัง ไม่เท่าเลย แล้วคุณ จะไปทำยังกะเขาได้ ถ้าขืนอาตมา บอกให้คุณไป ประเดี๋ยวคุณได้รับอะไรมา อาตมาจะไปว่ายังไงหา? เดี๋ยวได้รับไม้หนึ่งไม้สองมา ผัวะๆ มานะ ทำไงน่ะ (พ่อท่านหัวเราะ) เดี๋ยวก็หาอาตมายุ ยิ่งไปกันใหญ่นะ มันก็ต้องอาศัยการปฏิบัติธรรมจริงๆ ซึ่งปฏิบัติธรรมนี่ เราแม้จะอยู่ ท่ามกลางสิ่งแวดล้อม ที่เหมือนก้อนน้ำแข็ง กลางเตาหลอมเหล็ก สิ่งแวดล้อมนี่มันร้อน มันทุกข์ มันวุ่นวาย มันอะไร เรามีผัสสะ แล้วเราก็วางเป็นจริงๆ เอ้า พิจารณา พิจารณา ไอ้นี่ก็คือเขา ไอ้นี่คือ เขา แล้วก็พยายาม อย่าให้มันมา สังขารกัน เขาก็เขา เราก็เราน่ะ เขาจะชั่วมันก็ ชั่วของเขา แล้วเรื่องอะไร เราไปถือไปสา ไปถือทำไม ถือศีลดีกว่าถือสา ไปถือทำไม ก็ช่างเขาสิ ก็ปล่อยเขาไป ปลง วาง เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องของเรา เขาชั่ว เรื่องของเขา เขาโง่เรื่องของเขา เขาไม่ดีเรื่องของเขา เขาทำ กรรมของเขา เราก็ทำดีก็แล้วกัน เราอย่าเป็นอย่างเขาเท่านั้นละให้ได้ แล้วเราก็วางใจเราให้ได้ จบ ไม่จบ คุณก็ไปพยายามกันเอาเอง

ถาม : พ่อท่านคะ ที่ท่านเดินดินเล่าว่า พระรูปหนึ่ง ไปศึกษามาก็หลายวัด มีทั้งสวนโมกข์ และวัดอโศก ของเราด้วย คงมี ความรู้มาก แล้วทำให้มี มิจฉาทิฏฐิเลย ถึงกับเป็นบ้าไปนั้น จะเป็นเพราะเหตุที่มี ความรู้มากไป หรือเปล่าคะ วิเคราะห์ด้วย

พ่อท่าน : แหม ...อาตมาเอง อาตมาตอบไม่ได้นะอันนี้นี่ พระรูปนี้ก็อาตมาก็ ไม่เห็นด้วย ว่าไปดื่มน้ำ ในที่ล้าง ตีนทิ้งเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ แต่อาตมาก็เห็นคร่าวๆ เห็นงุ่มๆง่ามๆ ทำท่าทางชอบกล ๆ เท่านั้นน่ะ อาตมาก็เห็น แล้วตอบไม่ได้ทีเดียว เพราะอาตมาไม่มีข้อมูลนะ พระรูปนั้น จะเป็นยังไง พระรูปนั้น มีวิบากอะไร อาตมาก็ตอบไม่ได้นะ ไปปฏิบัติอะไรๆ พวกนี้ ถ้าเผื่อว่า ไม่มีอาจารย์ที่ดี และ ตัวเอง ก็ถือดีมากเกินไป ไม่ไปพยายามศึกษา อย่างเป็นระบบ ศึกษาอย่างที่เออ ค่อยๆ ศึกษาไป ตามลำดับ อะไรดีๆ มันก็สับสน สับสนเข้าก็เลอะเทอะอย่างนั้นน่ะ มีเหตุได้มากกว่า ที่อาตมาพูดนะ อาตมา ก็ตอบเดาๆไปอย่างนั้นอะนะ อาตมาบอกแล้วว่า ไม่มีข้อมูลที่แท้จริงว่า มันเพราะเหตุอะไร จึงเป็นอย่างนั้น อาตมาตอบไม่ได้

ถาม : อยากให้ครอบครัวมีความสุข ไม่อยากให้มีปัญหา ควรตั้งอธิษฐาน อย่างไรคะ จึงจะเข้าประเด็น ที่ต้องการ

พ่อท่าน : อยากให้ครอบครัวมีความสุข ไม่อยากให้มีปัญหา แหม มันถาม กลางๆ กว้างๆ แล้วครอบครัวคุณ เป็นยังไง (พ่อท่านหัวเราะ) แล้วครอบครัวของคุณ วุ่นวายนัก อบายมุขก็เยอะ อย่างที่ยกตัวอย่าง ที่เจ้าที่ว่ามานี่ เอ๊! ทำอย่างไร เหอ! ควรจะตั้ง อธิษฐานอย่างไร จึงจะเข้าประเด็น ที่ต้องการ ไม่ให้มีปัญหา คุณไปช่วยคนอื่นเขานี่ ยากนะ ทำที่ตัวเองน่ะ นะสำคัญที่สุด ทำที่ตัวเอง พยายามศึกษาธรรม ปฏิบัติให้วางได้ ปลงได้ ถ้าจำเป็นจะต้องหลีกเร้น ก็หลีกเร้น เพราะ ว่าแรงเราเอง เราแก้ไขอะไรไม่ได้ ถ้าอยู่ไป แล้วเราก็ทนไม่ได้ ก็หลีกเว้น ถ้าหลีกเร้นไม่ได้ จำเป็นจะต้องอยู่ ประจันกัน ตรงนั้น เราก็ต้องปฏิบัติธรรมของเราให้แข็งแรง ให้สามารถที่จะวางได้ ปลงได้จริงๆ อย่างที่ตอบ เหมือนกันน่ะ คล้ายกัน

ถาม : มาตุคาม มีข้อจำกัด มีความยากลำบาก ในการสำเร็จเป็น พระอรหันต์อย่างไร

พ่อท่าน : มีหลายสูตรนะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าผู้หญิงนี่ กิเลสมาก มีอะไรต่ออะไรที่บรรลุอรหันต์ ได้ยากกว่า แต่ไม่ใช่ว่า พระพุทธเจ้าไม่ยอมรับว่าบรรลุ บรรลุได้ แต่ยากน่ะ มีหลายสูตร คนแก่หนึ่ง ผู้หญิงหนึ่งอะไร พระพุทธเจ้าท่าน ตรัสไว้ เหมือนกัน คนแก่นี่บรรลุก็ยาก นี่ไม่ได้ว่าคนแก่นะ แต่พระพุทธเจ้าท่านว่า อย่างนั้นจริงๆ ตามสัจจะ แก่แล้วบรรลุธรรมยาก เพราะว่ามี หลายสูตรนะ ท่านว่าเอาไว้ มีมานะมาก ขี้เกียจ ไม่เอาใจใส่ ไม่เคร่งในวินัยอะไรหลายๆ อย่าง เพราะฉะนั้น ก็บอกว่า หลวงตาแก่นี่ มาบวชเมื่อแก่ นี่บรรลุยาก ผู้หญิง ก็เหมือนกัน ท่านก็ว่าไว้ ตรัสไว้ อาตมาจำไม่ได้ มีถึงขนาด อ่านแล้ว ผู้หญิงเอง ต้องร้องไห้เลย โอ้โห! ไม่มีดีเล๊ย (พ่อท่านหัวเราะ) เอ้า จริงๆ เคยได้ ยินมั่งมั้ยล่ะ เรายังโค๊ต มาอัดเสียง แหม เปิดให้ฟัง ว่างๆก็เปิดให้ฟัง เคยได้ยินมั่งมั้ย เปิดเองหรือเปล่า เหอ ! (พ่อท่านหัวเราะ) เออ แล้วพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าไว้ ที่จริง พระพุทธเจ้านี่ ไม่ลำเอียงหรอก แต่ท่านผู้ว่าสัจจะมันเป็น อย่างนี้ ก็บอกความจริงให้ฟัง เพราะฉะนั้น อย่าประมาทนะ อย่าประมาท มีข้อจำกัด แล้วก็มีความยากลำบาก ในการสำเร็จ เป็นพระอรหันต์อย่างไร อาตมาตอบ ไม่ไหว อย่างไร ก็เพราะว่ามีนี่แหละ มีความเป็นผู้หญิง ซึ่งมีบาป มีวิบากพวกนั้น ๆ มาก แม้แต่เกิดมาเป็นผู้หญิง ก็มีวิบากที่ยังไม่สมบูรณ์นั่นแหละ แต่เพียงเป็นพระอรหันต์ได้ อันนี้ก็เป็นประเด็นที่ ยังดีนะ ที่น่าชื่นใจ แม้เป็นผู้หญิง ก็สามารถบรรลุอรหันต์ได้ แต่ลำบาก ก็ต้องเอาซิ ก็พากเพียรหน่อย

ถาม : เวลาเข้าใกล้คุณนายแตงหวาน ดิฉันทำหน้าเป็นอย่างกะลาไม่ได้ จะวางใจ วางตัวอย่างไร จึงจะไม่ขาดทุน

พ่อท่าน : ดี โชคดี ที่อาตมาดูเรื่องคุณนายแตงหวานมามั้งนี่ (คนฟังหัวเราะ) ถ้าอาตมาไม่ดูเรื่องนี้ ก็ไม่ดูเรื่อง คุณนาย แตงหวานมา เหมือนกับหลายคนนั่งอยู่นี่ ก็คงหลายคนไม่ได้ดู อะไรว่ะ คุณนาย แตงหวาน (คนฟังหัวเราะ) คุณนายแตงหวาน นี่เป็นแม่เลี้ยงของกะลา หา ? หา? (พ่อท่านถาม)

พ่อท่าน : กุสลา ก็เขาเรียกกะลา เขาเรียกกะลา (พ่อท่านหัวเราะ) คุณนายแตงหวาน เรียกอีกะลา เขาซื้อมา ตั้งแต่ อายุ ๖ ขวบ แล้วก็เลี้ยงมา จนโต สั่งสอนโน่นนี่โน่นนี่อะไรให้ แต่ แหม แกก็หวังดี แกก็สอนดีนะ แต่แกจัดจ้าน ขี้เหนียว เอาเปรียบ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานาสารพัด ทีนี้ เขาก็เลยถามว่า เวลาเข้าใกล้คนอย่างคุณนายแตงหวาน เป็นอย่างที่ว่านี่แหละ เป็นคนปากร้าย ขี้เหนียว เอาเปรียบ ขี้งก แหม ขี้โกงก็เท่านั้น (พ่อท่านหัวเราะ) มีติดสินเขาก็ เก่งซะด้วยนะ โอ๊! ขนาดสามียังขี้เหนียว ไม่มีละเว้นทุกอย่างเลย ขนาดลูกเลี้ยงของสามี ก็ยังไม่สงเคราะห์เลย อะไรอย่างนี้ โอ๊! ร้ายกาจ แต่เรื่องนี้ มันดู มันก็มี แง่คิดดีเหมือนกันนะ ที่ปฐมอโศก ดูแล้วจบแล้ว โอ้โห! แน่นเปี๊ยบ เปี๊ยะๆๆเลย พวกเด็ก กศน. ยังดูไม่จบอยู่ม้วนกว่าๆ เขาบอกว่า แหม แล้วต้องไปศีรษะอโศกแล้ว ยังดูไม่จบเลย บอก เอาน่า กลับมาค่อยมาดูต่อให้จบ (พ่อท่าน และคนฟังหัวเราะ) แหม กะลา กำลังจะทำยังไงนะ กุสลา จะทำยังไง ใช่มั้ย

เด็กดูกันคึกเต็มเลย ตอนแรกนึกว่า แหม หนังไทยนี่มาให้ดูกันไม่ค่อยจะดูกัน แต่เรื่องนี้ ปรากฏว่า โอ้โห!แฟนแน่นโรงเลย พอบอกจะฉาย เลยรีบ เลิกงาน ปุบๆๆๆๆ นั่งแน่นโรงเลย แหม คุณนาย แตงหวาน เรื่องกะลาก้นครัวนี่นะ อย่างที่สันติฯ ยังไม่ได้ฉาย ที่ปฐมนี่โอ้โห! ฮิตมาแล้ว (พ่อท่าน หัวเราะ) ไม่ได้โฆษณามากด้วยนะ ให้ ปล่อยเขาดูเอง พอตอนแรกๆ ก็ไม่มาดูกัน ตอนหลัง ปากต่อปาก มาเต็มโรงเลย ตอนนี้ (พ่อท่านหัวเราะ) ถ้าทำอย่างคุณนายแตงหวาน คนอย่าง คุณนายแตงหวาน เข้าใกล้แล้วนะ จะทำอย่าง กะลาไม่ได้ คือกะลานี่ เขาพยายามเลยนะ เขาพยายามที่จะไม่อาฆาต แล้วเขาก็ จิตใจของเขาดีนะ ไม่อาฆาต ไม่โกรธ ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณด้วย ซึ่งร้ายๆ คุณนายแตงหวาน นี่นะ ร้าย อย่างเป็นคนอื่น เป็นกะลาก็คงทนไม่ได้ แต่นี่ มีความอดทน มีจิตโต้ตอบที่ดีนะ มีความระลึก ถึงบุญคุณ มีกตัญญูกตเวที พอคุณนายแตงหวาน ได้รับทุกข์ รับภัย อะไรขึ้นมาก็ อู๊! แกก็อยู่ไม่ได้แล้ว ก็ต้องมาช่วยเหลือ คือมาช่วยเหลือ มาโดนด่า อีกนะ นี่ถ้า จะเอาไปแล้ว ต้องเอาเงินแสน มาซื้อเอา ไปอีก อู! แกก็เจ็บปวด แต่แกก็ไม่อาฆาต ไม่อะไรต่ออะไร มันให้ข้อคิดดี

พวกเราต้องดูหนังน้ำเน่า อย่างนี้อะดี (คนฟังหัวเราะ) ดีนะได้คิด เอ้า จริงๆ คนที่พวกทำเป็นหัวสูงนี่ ดูหนัง ไม่ค่อยรู้เรื่องนี่ โอ๊! มันละเอียดนิดนิดๆๆๆ มันต้องเจ๋งๆ อย่างนี้ชัดๆ อย่างนี้ล่ะ มันถึงดี แล้วมันก็ชัด แล้วเราก็มา แก้ไขปัญหาของเรา แก้ไขนิสัย แก้ไขอะไรของเราได้ เพราะฉะนั้น พวกหัวสูงนี่ เขาบอกว่า พวกนี่ดูหนังน้ำเน่า เออ เอ็งเก่ง เอ็งไปดูหนังน้ำสูง ก็แล้วกัน (คนฟังหัวเราะ) เราดูหนัง น้ำเน่า นี่ เราได้ ประโยชน์ หนังหลายอย่างพวกเราดูนี่ อย่างหนังจีน หนังอะไรพวกนี้ หนังน้ำเน่า อาตมาเซ็นเซอร์มาให้ดูนี่เยอะ แล้วได้ประโยชน์ แล้วเรามีทิศทางที่ชัดเจน แล้วอะไรๆ ส่อออกมา อย่างละเอียด มันก็มี อย่างหยาบมันก็มีในตัวของมัน เราศึกษา เอาอย่างนี้ดีกว่า ดีกว่าไป ไม่มีปัญหา อะไร อย่างหนังของฝรั่ง ส่วนมากนี่ มีแง่ ซ้อนเชิงบางๆ นิดเดียว ก็มาผูกเรื่องยาว ตั้งเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงดูกัน ไม่มีอะไรเล๊ย เบาหวิวๆๆ แล้วก็บอกว่า นั่นล่ะผู้ดี ปัญญาชนเขาดู เอ็ง ปัญญาไปเหอะ พวกนี้นี่ อาตมามองคนอย่างนี้นะ พวกนี้หัวสูงทำเป็น แหม คลาสสิค คลาสสิค เรื่องบ๊างบาง เบ๊าเบา ไม่ได้ท่าอะไรเลย ปัญหานิดเดียวอ่ะ ดูซ่ะตั้งแยะ โอ้โห! หนังน้ำเน่า นี่เขาจะเอา เรื่องร้าย เรื่องดี เรื่องร้ายเรื่องดี มาซ้อนเชิง อู้ฮู๋! มากมาย สลับซับซ้อน ชัดนะ อย่างนี้ ซิ ถึงเจ๋ง มันสื่อ ให้ชัดดี เพราะฉะนั้น อย่าไปอาย ใครเขาบอกว่าเราดูหนังน้ำเน่า อย่าอาย เพราะพวกนั้น น่ะทำเป็น หัวสูง นี่ เชิงลักษณะพวกนี้ ศิลปะเหมือนกัน อาตมาไม่ อยากพูดมาก พวกทำเป็นหัวสูง ศิลปะพวกนี้ บ้าทั้งนั้นแน่ะ

อาตมาเรียนศิลปะมาโดยตรง อาตมาพูดได้ เพราะอาตมารู้อยู่นะ ถ้าจะทำยังไง ก็ต้องฝึกนะ ทำตัว วางหน้าอย่างกะ กะลานี่ เพราะว่ากะลา เขามีจิตใจดี มีจิตใจพยายามพากเพียร อดทน ทำงานจริงจัง ขยันหมั่นเพียร พยายามที่จะ เป็นคนจริง แล้วเป็นคนไม่พราง ไม่ลวง มียังไง จริงใจยังไงก็พูดอย่างนั้น จนต่อว่าต่อขานกะ คุณนายแตงหวาน ก็ถือศักดิ์ถือศรี ว่าตัวเป็นเจ้าเป็นนาย ตัวเป็นเจ้าของ ซื้อมานี่ เลี้ยงดูมา ยิ่งกว่าลูกกว่าเต้า สอนวิชาความรู้ให้ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา อะไรก็ ว่า นี่เขาก็บอก เขาก็ไม่ได้หวังร้าย กะลาไม่ได้หวังร้าย แต่ก็จริงจัง จริงจัง ไปเถียงเขาก็ว่าโดนตบนะ โดนอะไรนี่ อย่างนี้เป็นต้น เราก็ต้องหัดทน หัดวาง แล้วมันก็ได้ดี ถ้าเป็นคนอย่างนั้น ก็ได้ดีจริงๆนะ อาตมาบอก ตอบไม่ได้เหมือนกัน ว่า จะให้วางอย่างไร ก็วางให้มันได้ก็แล้วกัน (พ่อท่านหัวเราะ) ให้วางอย่างไร ก็ปฏิบัติอย่างที่ อธิบายไป นี่แหละ ต้องอ่านจิตอ่านใจ มีภาวนาต่างๆ จะเป็น สมถภาวนา วิปัสสนา ภาวนา ก็พิจารณาให้ดี ความไม่ดี ของใครของเขา ความดี ของใครก็ของเขา หรือของเรา ถ้าเราทำได้ ก็ของเรา ความไม่ดีอะไร แม้แต่มาเกี่ยวข้องกะเรา มาตบเรา มาด่าเรา กรรมกิริยาที่มันเป็น อกุศลกรรม ต่างๆเหล่านั้น เขาทำมันอยู่ที่เขา แม้เราจะต้องรับผลกระทบ โดนตบ เราเจ็บ แต่เราไม่ได้ทำชั่ว พอโดน ตบปั๊บ เราก็ตบผั๊วะตอบไปอีกเหมือนกัน มันก็ชั่วเท่ากันน่ะ แล้ว ไปทำกิริยา อย่างนี้ทำไม พิจารณา ให้ชัด อย่างนี้นะ เราวางดีกว่า อย่าไปทำตอบ เขาก็มีคำพังเพย หมากัด

คนฟัง : อย่ากัดตอบ

พ่อท่าน : น่า! เพราะฉะนั้น แล้วเรื่องอะไรล่ะ เราจะไปทำอย่างหมา คนจะทำไม่ดี ก็คือเขาทำไม่ดี เราอย่าไปทำซิ เรารู้ว่า ไม่ดี เอ้า แล้วทำไม่ดีแล้ว เราจะไปทำตอบ อย่างที่เขาทำไม่ดีทำไม วางใจ ทำใจเย็น ทำใจหนักแน่น แล้ว เราจะไปทำ สิ่งนี้ไม่ดี ก็ยิ่งชัด อย่าไปทำไม่ดีตอบ อาตมาคิดว่า อธิบายได้ อย่างนี่นะ

ถาม : โทษท่านผู้อื่นเพี้ยง เมล็ดงา
ปองติฉินนินทา ห่อนเว้น
โทษตนเท่าภูผา หนักยิ่ง
ป้องปิดคิดซ่อนเร้น เรื่องร้าย หายสูญ

พ่อท่าน : ทางธรรมก็มีอยู่บ้างนะ ทางธรรมก็มีอยู่บ้าง หมายความว่า ไปเพ่งโทษ ถ้าโทษล่ะก็ แหม เห็นโทษ เห็นภัย เห็นความผิดของผู้อื่น แม้มีจิ๊ดหนึ่ง เท่าเมล็ดงา ก็เห็นเท่าภูเขา โทษของตนน่ะ เท่าภูเขา ก็เห็นเท่าเมล็ดงา คำพังเพย เขาบอกว่า ตดคนอื่น (พ่อท่านหัวเราะ) เหม็นเบื่อ เราเหลือทน ตดของตนแสนเหม็นไม่เป็นไร แหม มันแบบเดียวกันน่ะนะ เราก็ต้องพยายาม พิจารณาความจริง ถามว่า คนทางโลกเท่านั้นใช่มั้ย (คนฟังหัวเราะ) ในหมู่พวกเรา ก็มีอยู่บ้างนะ ก็พยายามศึกษา

ถาม : ได้ยินมาว่า เพื่อเป็นการพัฒนาตนเอง ถ้าเราจัดอยู่ในสายเจโต ควรคบกับสายปัญญาบ้าง คนสายปัญญา มีลักษณะเช่นไร

พ่อท่าน : อันนี้จริงนะ คนที่เป็นสายเจโต ถ้ารู้เจโต ก็ต้องคบคนสายปัญญา เพราะโดยจริงแล้ว เจโตมันก็จะชอบอย่างเจโต ก็คบหาแต่เพื่อนฝูง ไอ้ประเภท จริตเดียวกัน ต้องการจริตตรงกันอะไร ไปด้วยกัน มันไม่เจริญ มันต้องมี พันธุ์ใหม่มาผสม เราเจโต เราต้องคบปัญญา แม้มันจะไม่ชอบ ไม่อยาก การแก้ความไม่อยากของจิต เป็นการแก้กิเลสชนิดหนึ่ง ฝืนทนก็ต้องทำ ไม่เช่นนั้นแล้ว เอาแต่ตามใจตัว เจโตก็ชอบเพื่อนที่สายเจโตด้วยกันไปนะ เงียบๆ งุดๆไป นั่งหลบ นั่งหลับ ด้วยกันไป พากันลงนรกไปลึกล๊ง ลึกลง มันติดภพ ติดชาติ ติดไอ้พวก กามด้วยกันก็ไปกามด้วยกัน นั่นพาไป โอ๊ย! ไม่มีใครดึงใครแล้ว ต่างคนต่างก็ หอฮ้อด้วยกัน เราอย่าพูดดีกว่า ไปด้วยกันก็แล้วกัน นรกกาม ก็สูง ไปเรื่อย ด้วยกันหมดเลย อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น เจโตมันหนักดิ่ง ไปในทางภพ ก็ต้องหาทาง ปัญญาที่เขาจะตื่น เขาจะมี การรับรู้ เขาจะมีความเฉลียวฉลาด มีเรื่องโน่นเรื่องนี่ เพื่อที่จะได้ทำให้เรา ได้เกิดเป็นเชื้อที่เจริญ เชื้อที่พัฒนา สายปัญญา ก็ไปคบแต่ปัญญา ก็มาหาเจโตมั่ง นิ่งก็ไม่เป็น หยุดก็ไม่ได้ อู๊! ปวดหัว ก็ต้องทรมานอยู่อย่างนั้นแน่ะ มาหาทางสงบ มาหาทางเจโต มาหาทาง สมถะอะไร กะเขาบ้างสิ มันต้องฝืน มันต้องพยายามรู้ตัวพวกนี้ให้ได้นะ สายปัญญาเป็นยังไง สายปัญญาก็เป็นพวกที่ใช้ความเฉลียวฉลาดน่ะซี จนกระทั่งบางที ไม่ใช่ปัญญาเลย กลายเป็น ฉลาดเฉโกด้วย เพราะฉะนั้น เราก็รู้ว่าฉลาดนี่เข้าหลักการของธรรมะ มีญาณทัสสนวิเศษ มีความ เฉลียวฉลาด มีเหตุมีผล มีวิปัสสนาญาณเยอะ อย่างนี้ เรียกว่า สายปัญญาแท้

ถาม : ถ้าดิฉัน มีจริตค่อนข้างจะเย่อหยิ่ง โอ่อวด ถนัดที่จะเบ่งข่มคน ดิฉันจะได้รับปฏิกิริยา ตอบสนองอย่างไร

พ่อท่าน : (พ่อท่านหัวเราะ) ก็โดนน่ะสิ (คนฟังหัวเราะ) ทำเป็นโอ่อวด หรือเขาหมั่นไส้ให้ เขาก็ผั๊วะให้เท่านั้นเอง หา ! (พ่อท่านหัวเราะ) โอ่อวด ทำเป็นโอ่อวด โอ่อวดไม่พอ เบ่งข่มอีก ระวังเถอะ แทนที่จะได้หลังมือ (คนฟังหัวเราะ) อะไร? (พ่อท่านหัวเราะ) เหอ! (พ่อท่านถาม) เขาจะกราบเอาเหรอ โอ! คนนี้! แทนที่จะได้หลังมือ เขาจะกราบเอาเหรอ โอ! ก็ ดีนะซิอะ เขากราบเอา มันจะไม่อย่างนั้น น่ะซิ (คนฟังและพ่อท่านหัวเราะ) เหอ!

คนฟัง : เจอหลังตีน

พ่อท่าน : โอ! เจอหลังตีนเลยเหรอ (คนฟังหัวเราะ) มันใหญ่หน่อยนะ (พ่อท่านหัวเราะ) ระวังเถอะ มันก็จะได้รับ ผลตอบแทน ที่มันเจ็บมันปวด มันไม่ดีนะ

ถาม : กระผมมีความเสียใจเป็นอย่างมาก [พ่อท่าน:- ช่างคุณปะไร (คนฟังหัวเราะ) หนอย!] กระผม (พ่อท่านหัวเราะ) มีความเสียใจ เป็นอย่างมาก(พ่อท่านหัวเราะ) ที่กระผมแจกยา ปราบเต่า (คนฟังหัวเราะ)

คนฟัง : กลิ่นครับกลิ่น

พ่อท่าน : อ๋อ...กลิ่นเหรอ แหม ใช้แสลงเยอะ อาตมาตามไม่ทัน จุ๊ย์ จุ๊ย์ จุ๊ย์ เรานี่ไม่ฉลาดซะเลย

ถาม : ที่กระผมแจกยาปราบเต่า เจ้าตำรับทาปุ๊บหายปั๊บ ไม่ทั่วถึง มีคนมาขออยู่เรื่อย ผมจึงเสียใจ เป็นอย่างมาก (พ่อท่าน:- อ๋อ เสียใจอย่างนี้เอง) ผมจึงบอกตำรายาให้เป็นทาน ให้ใช้กันทั่วๆ โดยไม่ต้องซื้อ

พ่อท่าน : อ้าว...ก็ดีแล้วนี่ ไม่เป็นคำถามนี่ เหอ ! (พ่อท่านถาม)

พ่อท่าน : อ้อ! ไม่มีคำถาม บอกกล่าว สารภาพว่า เสียใจที่แจกไม่ทั่ว แล้วก็เลยบอกตำราไปซะเลย นิมนต์ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ดีแล้ว อ๋อ ตัวยาอยู่นี่ (คนฟังหัวเราะ) ให้อาตมาบอกตัวยา แหม อาศัย อาตมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ นะนี่ (พ่อท่านหัวเราะ) เอ้า บอกตัวยา เอาเปลือกหอยแครง มาเผาให้เป็นเถ้า แล้วก็เอาขี้เถ้าเปลือกหอยแครงนั้นมาละลาย กับน้ำ ปริมาณให้น้ำมาก ๔ ส่วน คนให้เข้ากันจนทั่ว แล้วตั้งทิ้งไว้ให้น้ำใส แล้วเอาน้ำใสๆ มาทาที่จั๊กกะแร้ หายทันที กรุณาเอาลง ในหนังสือ น้ำใจด้วย อู๊! สูตรง่าย ใช้สารส้มก็เสร็จแล้วน่า ไม่ยากหรอก หา! (พ่อท่านถาม)

พ่อท่าน : เอาสารส้มน่ะ ใช้ง่ายดี ไม่ต้องไปทำเผา เผิวอะไรนักหนา อาบน้ำเอาสารส้มทา

ถาม :ปัจจุบันนี้ มีคำสอนมรรค ๘ หลักการปฏิบัติตน ตามอย่างที่พ่อท่านสอน มีอยู่ที่ใดบ้าง ในโลกนี้

พ่อท่าน : ไม่รู้ อาตมาก็ไม่รู้ สอนอย่างอาตมานี่ สอนมรรคองค์ ๘ อย่างที่ อาตมาสอนนี่ มีที่ใดบ้าง อาตมาก็ไม่รู้ ตอนนี้ ใครรู้มั้ย ว่ามีที่ไหนมั่งหา ! (พ่อท่านถาม)

คนฟัง : พระไตรปิฎก

พ่อท่าน : พระไตรปิฎก แล้วกัน พระไตรปิฎก ก็จะตอบทำไม กำปั้นทุบดิน อย่างนั้น (คนฟังหัวเราะ) อาตมาก็ไม่รู้ว่า ที่เขาจะสอน มรรคองค์ ๘ เป็นหลัก อย่างที่อาตมาอธิบายความ ขยายแล้วขยายอีก สัมพันธ์ไปถึง โพธิปักขิยธรรม ไปถึงโพชฌงค์ ไปถึงอะไรต่ออะไรต่างๆ นานาพวกนี้ แล้วอธิบาย ให้ปฏิบัติได้ ปฏิบัติ แล้วพิสูจน์ได้เลยว่า นี่เรามีสัมมา ขึ้นมาจริงๆ แล้วสั่งสมเป็น สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เพราะสังกัปปะของเรา พ้นมิจฉา เพราะวาจาของเราพ้นมิจฉา กัมมันตะของเราพ้นมิจฉา อาชีพเราพ้นมิจฉา แล้วก็ขัดเกลากิเลสจริงๆนะ ขัดเกลากิเลส จริงๆด้วย พ้นมิจฉานี่ ขัดเกลาจริงๆ อย่างที่พาทำนี่ ที่อื่นเขาปฏิบัติอย่างนี้ที่ไหน ด้วยมรรคองค์ ๘ อาตมาก็ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ อาตมาเคยท้า ด้วยซ้ำไปว่า ที่ไหนมี บอกอาตมาด้วย มันยังไม่เห็นมีนะ

ถาม : ในกรณีบุคคลยังไม่ได้มีสัมมาทิฏฐิ ในเรื่องศีล ๕ เป็นสมถะ วิธีกดข่ม ไม่ได้เหมือนกัน เป็นลัทธิ ของศาสนา ก่อนพระพุทธเจ้าเกิด วิธีสมถะกดข่มแบบนี้ มันก็เบาบางได้ คือมันเบาได้ มันไม่ขึ้นมา ทำงาน กิเลสมันก็ระงับไป จนตาย มันไม่ขึ้นมาได้ แล้วคนหลงว่าเป็นนิพพานก็มี วิธีกดข่มอย่างนี้ จริงๆแล้ว วิธีกดข่ม เราก็ใช้ประกอบ เหมือนกันนะ อย่างที่อาตมาพยายามอธิบายสู่ฟัง แต่ไม่ได้เป็น วิธีเอก เป็นวิธีช่วยได้ครั้งคราว หลายครั้ง หลายคราว เราก็ ไม่ควรไปกดข่มมัน ให้มันขึ้นมานี่แหละ เราก็รู้แล้วว่า กิเลสเรามีเท่านี้ มันขึ้นมานี่ เราสู้มันได้ กิเลสของเรานี่ มันไม่ขึ้นมา แรงกว่านี้หรอก แล้วเราก็จัดการสู้กับมัน เป็นนักรบสู้กับกิเลสจริงๆ แล้วทำให้มันลดด้วยสมถภาวนา วิปัสสนาภาวนา ของเราจริงๆ เราจะรู้อินทรีย์พละเราเอง ว่านี่เราสัมผัสเลย นี่สู้เลยขณะนี้นี่ มันขึ้น สูงสุด ก็ไม่มีแล้ว มันไม่ขึ้นกว่านี้ เรามีหิริโอตตัปปะ เรามีอินทรีย์พอ คือ มันไม่ เพราะกิเลสเรามี เท่านั้นจริงๆ มันไม่ขึ้น กว่านี้ คุณต้องรู้ แล้วเราก็สู้ ได้ สัมผัสเลย แล้วก็ให้มันขึ้น แต่ถ้าคุณรู้ว่าไม่ได้ คือสัมผัสนี่ โอ้โห! กิเลสมันแรงมาก ของเรามันแรงมาก ขึ้นเต็มที่ เราสู้ไม่ได้จริงๆนะ เราถลำตัวเลย เสียท่า แพ้ ถ้าอย่างนี้ คุณก็ต้องแบ่ง หรือคุณต้องหลบ คุณต้องใช้สมถะช่วย ช่วยประกอบเสมอว่า ต้องกดข่ม ต้องหลีก ต้องทำเป็นลืม ต้องแบ่งส่วน ทำให้ เท่านี้ก่อน แบ่งศีลไว้ เอาเท่านี้ก่อน เกินนี้ เอาไว้ก่อน อย่าเพิ่งทำ นี่เป็นวิธีการจริงๆ ต้องเข้าใจตัวเองให้ชัด แล้วก็ทำ อย่าประมาท แล้วเรา จะรู้จริงๆว่า เรา มันสู้ได้มั้ย กิเลสผัสสะขนาดนี้ เหตุปัจจัยขนาดนี้ เราสู้ได้มั้ย ถ้าสู้ได้ สู้ อย่าไปหนีมัน สู้แล้ว ฆ่ากันต่อหน้า หลัดๆๆๆ เป็นปัจจุบันธรรม นี่เราถึงจะรู้แจ้งเห็นจริง นี่ เป็นปัจจุบันธรรม นี่เป็นวิปัสสนาแท้ ของพระพุทธเจ้า มีผัสสะเป็นปัจจัย

ถาม : พ่อท่านครับ ผมฟังพ่อท่าน ตอนที่วันมาฆบูชา คืนที่ผ่านมา ผมมีความสงสัยอยู่คือ ธรรมฐิติญาณ กับนิพพานญาณ สองอย่างนี้ ต่างจาก จุตูปปาตญาณ และ อาสวักขยญาณอย่างไร หรือเหมือนกัน ขอให้พ่อท่าน ได้อธิบาย ให้ลูกฟัง พอเข้าใจบ้าง ได้ไม่มากก็ได้ครับ

พ่อท่าน : เออ..อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย (คนฟังหัวเราะ) มาถึง แล้วบอกให้ละเอียด ยังงี้ แหม นี่เออ ไม่มากมั่งก็ได้ครับ ธรรมฐีติญาณ หมายความว่า เราสั่งสมผล สั่งสมผล หรือเป็นมรรคสั่งสมไปเรื่อยๆ มรรค อริยมรรค คือเราเดินทาง เดินทางหมายความว่า เราอยู่ในทางสัมมาทิฏฐิแล้ว แล้วก็เดินไปเรื่อยๆ นี่เราก็ ไป จุดหมายอยู่ตรงโน้น เราก็เดินไปเรื่อยๆ หมายความว่า อยู่ในมรรคไปเรื่อยๆ ถ้าจะเรียก รอบหนึ่ง ผลก็หมายความว่า เอ้านี่กิเลสหนึ่งแล้ว เดินไปได้สองกิโล แล้ว ก็เป็นเขตไปเรื่อยๆ ถ้าสาม กิโลเป็นสมบูรณ์ มันก็ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ ถ้าได้กิโลหนึ่ง ก็ เอ้า เราได้ขนาดหนึ่งแล้ว จะเรียก เป็นภาษา เป็นสมาธิ ว่าตั้งมั่น ตั้งมั่น ปณิธิ หรือ ฐิติ นี่คือตั้งมั่น ได้ซักสมมุติว่าสามกิโล เป็นจบ ได้กิโลหนึ่ง ก็ได้ขีดหนึ่ง ถือว่าเป็นสมาธิ ในระดับขณิกสมาธิ อะไรก็ได้ เสร็จแล้ว ไปได้กิโลที่สอง ก็ได้เป็น อุปจารสมาธิก็ได้ เลยอุปจาระ ขึ้นไปเรื่อยๆ อุปจารสมาธิขึ้นไป เรื่อยๆ ก็เข้าหา อัปปนาสมาธิ ไปจน กระทั่งถึง กิโลที่สามก็จบ ก็เป็นอัปปนาสมาธิ เป็นสิ่งที่สมบูรณ์ อะไรนี้เป็นต้น นี่เรียกว่า ถ้าไปถึงที่จบ ถอนอาสวะสิ้น มีนิพพาน แล้วมีญาณ อย่างนิพพานนี่ ตรวจตรา อ่าน นี่เรียกว่า นิพพานญาณ ถ้าเราได้ไป เรื่อยๆ แล้วก็มีญาณรู้ ในขนาดที่เราไปเรื่อยๆ สั่งสมเป็นฐิติ ไปเรื่อยๆ นี่มี ธรรมฐิติ มีการทรงไว้ มีการทรงขึ้น มีการตั้งขึ้น มีปณิธิ มีฐิติ มีการหยั่งลง ตั้งลง สั่งสมเข้าไปเรื่อยๆ ก็จะมีญาณ สูงขึ้น ตามของจริง ที่คุณสั่งสมลงไปได้จริงๆ เรื่อยๆ เรียกว่า ธรรมฐิติญาณ

ต่างกับนิพพานญาณ คือ นิพพานญาณ นี่หมาย ความว่า ถึงขั้นสุด ถึงขั้นมีนิพพาน เป็นวิมุติญาณ ทัสนะ แล้วก็อ่านย้อน อ่านทวน อ่านขึ้นอ่านลง เป็นอนุโลมปฏิโลม ญาณนี้เป็นญาณสมบูรณ์ คุณจะ รู้แจ้ง แทงทะลุ เรียกว่า ปฏิเวธธรรมสูงสุด นิพพานญาณ ก็คืออย่างนี้ ฐิติญาณ ก็คือ มีญาณที่กำลัง สั่งสมเกิดขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ ส่วนจุตูปปาตญาณ กับอาสวักขยญาณ นั้น มันก็ อธิบายคล้ายกัน น่ะ จุตูปปาตญาณ ก็คือรู้ความเกิดความดับ โดยเฉพาะความเกิดกิเลส และ ความดับของกิเลส กิเลส ดับไปได้ เป็นส่วนหนึ่ง หรือกิเลสดับไปได้ อ่อนแรงไปขนาดหนึ่ง ก็เรียกว่า กิเลสได้ส่วนหนึ่ง สูงขึ้น เหลือกิเลสในส่วนที่ อย่างหยาบ อย่างแรง ลดลงไป ก็เหลืออย่างกลางๆ อย่างกลางลดไปก็เหลือแค่ อย่างอ่อน อย่างน้อย อย่างที่มีพริ้วๆ พรายๆ หรือเรียกว่าเป็นแค่ อาสวะ หรือ เป็นอนุสัย เรียกว่า วิตักกมกิเลส อย่างหยาบ ปริยุฏฐานกิเลสก็อย่างกลาง อนุสัยกิเลส ก็อย่างละเอียด หรืออย่างน้อย เราก็รู้จริง ว่ามันเกิดอยู่ขนาดไหน เราดับได้ขนาดไหน เห็น มีญาณรู้แจ้งความจริง ตามความเป็นจริง เรียกว่า จุตูปปาตญาณ ส่วนอาสวักขยญาณ นั้นคือญาณ เห็นว่าอนุสัยหรืออาสวะของเรา หมด ถอนสิ้น จบเด็ดขาด ไม่เหลือแล้ว เป็นญาณที่เหมือนกับนิพพานญาณนั่นแหละ เป็นญาณที่ สมบูรณ์แล้ว เรารู้ด้วยว่า เราถอนอาสวะ อาสวะคืออะไร เราก็ ต้องรู้จริงๆเลยว่า นี้คืออนุสัย นี้คืออาสวะ เป็นกิเลสส่วนสุดท้าย เมื่อหมดกิเลส ส่วนสุดท้าย ก็จบ อาสวักขยญาณ นะ เอาล่ะ อธิบาย ไม่น้อยเลยนานี่

ถาม : พักคอบ้างเถอะค่ะ ไม่อยากให้พ่อท่านเทศน์ใช้เสียงมาก ใช้พลังงานมากเกินไป เพราะเริ่มเสียง แหบแห้ง บ้างแล้วนะคะ

พ่อท่าน : เอาน่า ยังสู้ได้อยู่ ไม่เป็นไรหรอก ยังอีกพรุ่งนี้ วันนี้กับพรุ่งนี้อีก อย่างเก่งก็มะรืนนี้อีกที หา!

พ่อท่าน : เอาน่า จวนจะหมดเวลาแล้ว ไม่เป็นไรหรอก อีกนิดเดียว ก็หมดเวลาแล้วก็หยุด เอ้า ดี ก็เห็นใจอาตมา ก็ดีแล้วล่ะ อีก ๒-๓ นาที ก็อาจจะตอบได้อีกแผ่น สองแผ่น

ถาม : ผู้ที่สำเร็จอรหันต์ มีกิริยาอาการหาว (ง่วงนอน) อยู่หรือเปล่า(คนฟังหัวเราะ)

พ่อท่าน : ผู้สำเร็จอรหันต์แล้ว มีกิริยาอาการหาวได้ด้วย ได้ด้วย หา? (พ่อท่านถาม)

คนฟัง : อ่อนเพลียค่ะ

พ่อท่าน : ก็มันเพลียแล้วก็ปฏิกิริยาของการหาวนี่ คือความไม่สมดุลในสรีระ หลายส่วน อาการเป็น โรคชนิดหนึ่ง ก็หาวได้ อาการที่ สมบูรณ์ไม่เต็มที่ ก็เป็นอาการที่ออกมาทางสรีระ หาวได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใด พาซื่อบอกว่า ถ้าขืนหาว แล้วเอาเลย หรือไม่ง่วงนอน อาตมาเคยบอกไว้นะ เอาน่า ใครมีอรหันต์เก่งๆ บอกว่าไม่ง่วงนอน พามาหาอาตมา แล้วอาตมา มาตกลงกันว่า ถ้าอาตมาบอก ให้ทำอย่างไรทำนะ เสร็จแล้ว ถ้าคุณไม่ง่วงนอน อาตมาจะให้ตัดคอ ต่อให้เป็น อรหันต์อย่างเก่งด้วย มา อาตมาจะไม่ให้นอน จะให้ทำงานตลอด คืนตลอดวัน สักสามอาทิตย์ ไม่ง่วงนอน อาตมาจะดูซิ หรือเดือนหนึ่ง นี่ให้ คนเรา ถ้ามันเปลี้ย มันเพลีย มันไม่สมดุลในชีวิต ในร่างกาย มันก็จะต้องง่วงนอน หรือ มันจะต้องหาว มันจะต้อง ปฏิกิริยาอย่างหนึ่งการหาว เพราะฉะนั้น อย่าไปเพ่งโทษง่ายๆว่า เห็นหาวแล้ว เออ ไอ้นี่ ไม่ใช่อรหันต์น่ะ หาว (คนฟังหัวเราะ) มันตื้นไป มันตื้นไป เราจะต้องเข้าใจลึกๆ เข้าใจ เห็น ดีๆชัดๆน่ะ

ถาม : พระอรหันต์เจ้า มีญาณตาทิพย์ จะสามารถแสดงธรรม ขณะที่คนนอนหลับ (ในฝัน) ได้หรือไม่ (พ่อท่านหัวเราะ)

พ่อท่าน : ขนาดลืมตา ตั้งใจฟังนี่ยังยากเลยคุณเอ๊ย แล้วจะไปสอนคนนอนหลับ ใครบอกคุณ ตาทิพย์ ขี้หมาอะไร สอนคนนอนหลับ เหอ! ใครนะเก่งจังเลย พระพุทธเจ้ายังไม่เคยสอน คนนอนหลับเลย มีมั้ย พระพุทธเจ้า สอนคนนอนหลับ มีมั้ย ไม่เคยพบ ในพระสูตรไหน (พ่อท่านหัวเราะ) ไปเอาจากไหนมานี่ เหอ! คิดเอง หรือว่าถูกคนหลอก ระวังนะ จะไปถูก ใครเขาหลอกมา

ถาม : คำว่าเปตานัง หมายถึงจิตที่ดีอยู่แล้วตกลงมาเป็นเปรต หรือจิตที่ เป็นเปรต มาตั้งแต่เกิด

พ่อท่าน : เปตานัง จะเป็นเปรตมาตั้งแต่เกิดก็เรียกเปรต จิตที่ดีอยู่แล้ว ตกล่วงลงไป ตกต่ำลงไป หมายความว่า มันมีกิเลสทันที มันก็ถูกเหตุปัจจัยนี่ยั่วยวน กิเลสก็ขึ้น วืดๆๆๆ ก็ตกล่วงตกต่ำ ลงไปเป็นเปรต ก็ถือว่าเป็นเปรตด้วย

ถาม : ข้าราชการส่วนใหญ่ ที่ได้รับรางวัลดีเด่น เช่น ครู ฯลฯ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวอโศกทั้งนั้น พ่อท่านมีความคิดเห็นอย่างไร และ สนับสนุนหรือไม่

พ่อท่าน : มีความคิดเห็นเป็นความจริงว่า ชาวอโศกเรานี่ ต่อไป ๆ มันตีกินรางวัลของเขาไปหมดนะ ในโลก เพราะคนดี มันหายาก เสร็จแล้ว ถ้าเผื่อว่า เขาจะคัดเลือกคนดี โดยที่เรียกว่า ซูเอี๋ยไม่ได้ มันมีหลักฐานยืนยันนี่นะ จะไปเล่น คนของเรา โดยที่เรียกว่า ไม่มีหลักฐานยืนยัน ใครเขาเห็น ใครเขารู้แล้ว ก็ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันเลย จะเอาอะไร ไปอ้างอิง เอาอะไรไปยื่นเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ไปเป็นข้อมูล ในการที่จะเสนอความดี มันไม่มี เขาก็จำเป็นจะต้องเอาคนที่ มี แล้วคนที่มีจริงๆ มันก็คนพวกเรามีจริง ทำจริง มันเลี่ยงไม่ออก เขาไม่อยากให้ บางทียิ่งรู้ว่าอโศก เขาไม่อยากให้นะ แต่มันไม่มี มันจำนน ยอมจำนน แหม ต้องให้มัน ต้องให้มัน เสียท่ามันเหลือเกิน สุดท้าย มันจะเป็น อย่างนี้อะนะ เพราะฉะนั้น คนอโศกไปได้รางวัลดีเด่นโน่นๆนี่ๆ อะไรต่ออะไรต่างๆนานานี่ จะมากขึ้น เรื่อยๆ โดยที่เราไม่ต้อง อยากได้หรอก แต่มันไม่มีทางเลือก เขาต้องจำนนให้แก่เรา สักวันหนึ่ง ก็ไปไหน มาไหนก็ อโศกหมดแหละ เดี๋ยวนี้แม้กระทั่ง กระทรวง ศึกษาธิการ ก็ยอมรับ สมชัย ปลัดกระทรวง ศึกษา เดี๋ยวนี้ ก็ต้องเซ็นแล้ว ถึงสมพงษ์ ฟังเจริญจิตต์ ขอเชิญวิทยากร ไปบรรยายใน ยอม (คนฟังหัวเราะ) เซ็นสด ด้วยนะ ต้องใช้หมึกเซ็นสด ไม่ใช่โรเนียวนะ เซ็นสดเลย ปลัดกระทรวง ต้องเซ็นเองแล้ว จะรู้หรือไม่ ว่าพวกนี้ นี่มันพวกอโศก รู้หรือไม่ อาตมาไม่รู้หรอก รู้ทำเป็นไม่รู้ อันนี้ อาตมา ไม่ได้พูด ให้พวกเราผยองนะ ไม่ใช่พูดให้เรา พูดให้พวกเรานี่ ทำเป็นหยิ่ง ทำเป็น แหม ถือ มีมานะ อติมานะอะไรขึ้นมา ไม่ดี แต่ว่าความจริง อาตมาว่า นับวันอะนะ พวกเราพิสูจน์กันไปเถอะ ทำความดีความจริง เราแน่ใจว่า เราทำสิ่งที่ดี เป็นผู้เสียสละ สร้างสรร เป็นผู้ที่ไม่เอาเปรียบเอารัด เกื้อกูล เป็นผู้ที่มีคุณค่าจริงๆ มันก็รู้หรอกว่าดีนี่ พูดโดยสามัญ ก็พอเข้าใจ แล้วก็ทำกันไปเถอะ และเราก็ไม่ได้ทำหวัง เอาหน้าเอาตา เอาเด่นเอาโด่ง เอาดัง อะไรหรอก ทำจริงให้เป็นคุณธรรม เรารู้ว่าเป็นบุญเป็นบาป เราทำก็เป็นบุญของเรา เท่านั้นเอง เราก็ทำไปอย่างนั้นแน่ะ ในอนาคต มันก็เป็นเองแหละ ไอ้ที่ถามมานี่ ก็เป็นส่วนย่อย อันหนึ่งเท่านั้นเองนะ


ถอด โดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๒๐ ก.ค.๓๕
ตรวจทาน ๑ โดย สม.จินดา ๖ ส.ค.๓๕
พิมพ์ โดย สม.มาบรรจบ ๑๑ ส.ค.๓๕
ตรวจทาน ๒ โดย โครงานถอดเท็ป ๑๒ ส.ค.๓๕

2567A-B TAP