เห็นได้ง่าย-เป็นได้ยาก
โดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๓๑
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก

ฟังธรรมะต่อนะ ที่จริงวันนี้วันพุธนะ "วันหยุด" เราไม่ได้มีแสดงธรรมอะไร

แต่ว่าพิเศษ มีนักศึกษามา ก็เลยจัดพิเศษขึ้นมา เพราะวันศุกร์ เราก็จะต้องหยุดแล้ว วันศุกร์ วันเสาร์ จะไม่มีทำวัตรเช้า จะไปมีทำวัตรเช้าวันอาทิตย์โน่น เพราะฉะนั้น ก็เมื่อพวกคุณมา ในช่วงนี้พอดีเลย มันจะขาดอะไร อย่างน้อยก็ขาดทุน ๑ วันอยู่แล้ว เพราะว่าไปหยุด เอาตั้ง ๒ วัน หยุดวันศุกร์ วันเสาร์น่ะ ถ้าไปหยุดวันพุธอีก ก็เลย... น้อยไปใหญ่ เลย...ได้การฝึกอบรม หรือก็การได้มาหัด ได้มาฝึกจริงๆ มันก็น้อยไป ก็เลยจัดให้มีวันนี้ ขึ้นพิเศษซะน่ะ เท่าที่ได้ฟังๆนะ พวกคุณมาแสดงความคิดเห็นอะไร เมื่อวานนี้ วันก็พอเข้าใจ แต่ละผู้ แต่ละคนที่ได้มาที่นี่ แล้วก็มีเจตคติ หรือ มีมโนทัศน์ อย่างไรบ้าง เท่าที่พูดออกมา แต่อาตมาว่านั่น...มันไม่ถึงกับเจตคติ หรือว่าไม่ถึง มโนทัศน์ที่แท้หรอก ไม่ถึง ที่แท้ ที่คุณพูดกันน่ะ อาตมาฟังๆ ดูแล้ว แสดงออกนั้นน่ะ เป็นความรู้ มันยังไม่ถึงจิตแท้หรอก มันเป็นความรู้ ที่ศึกษามา ด้วยเหตุด้วยผล ตรรกศาสตร์ นะ เป็น LOGIC น่ะ LOGICAL เป็นความรู้ ความเข้าใจ ที่เราไปสัมผัสมา เราก็ได้เรียนรู้เหตุผล ปรัชญาอะไรมา ก็ไปสัมผัสความจริงมา... ความคิดดี ความหวังดี ความเข้าใจสิ่งที่ดี มันมีอยู่ในตัวคน

เมื่อเราจะแสดงออกนี่ หรือความบริสุทธิ์ของเราบ้าง ที่เรามุ่งหมายดี สามัญสำนึก ของมนุษย์นี่ มันจะสำนึก... มันควรจะต้องพูดดี ควรจะกระทำสิ่งที่ดี นอกจากคน หรือว่า พวกวิตถารน่ะ พวก SADISM พวก MAZOCISM พวกที่มันๆตีกลับ ชอบรุนแรง ชอบหักกลับน่ะ ชอบทำอะไร ที่ย้อนแย้ง ที่ไม่มีเหตุผล ที่ลึกซึ้ง เป็นการย้อนแย้ง อย่างประเภทที่เรียกว่า ไปในทางลบน่ะ เช่น ยกตัวอย่างง่ายๆว่า คนเราธรรมดา ต้องเบิกบาน ร่าเริงน่ะ ต้องเป็นคนเบิกบานร่าเริง นี่ทุกคนเข้าใจดีว่ามันดี คนเบิกบานร่าเริงนะ เสร็จแล้ว คนที่มีจิตวิตถารนี่ จะเริ่มต้นขุ่นๆ อารมณ์ขุ่น อารมณ์ที่ ตีกลับน่ะ มันเป็นความไม่สอดคล้องกันกับ สภาพจิตใจ หรืออารมณ์ที่เบิกบานร่าเริง แทนที่จะทำตนเบิกบานร่าเริง ก็ทำตนกลับจากอารมณ์ เบิกบาน ร่าเริง เป็นอารมณ์ขุ่นๆ อารมณ์ชอบคือ มีจิตกิเลสน่ะ มีสภาพที่ว่าให้มันหนักๆ ตนเอง แทนที่จะยิ้มแย้ม ก็บึ้งตึง แทนที่จะสัมพันธ์ ก็เกิดการหาเรื่องทะเลาะอะไรยังงี้ คือมันไม่เป็นไปตามสาย ทางครรลองน่ะ อย่างนี้ เป็นต้นน่ะ...

ธรรมดาคนเรานี่ สามัญสำนึกทั่วไปนี่ จะเบิกบานร่าเริง มันก็เป็นความน่ายินดี ใช่ไหม เป็นความต้องการ ของมนุษย์ เบิกบาน ร่าเริง ยิ้มแย้ม แจ่มใส จิตใจปลอดโปร่ง แต่พวกที่ วิตถารนี่ เริ่มต้นวิตถาร ก็จะเริ่มปลอดโปร่ง...ไม่ดี ต้องตีกลับ แล้วทำตัวเองนะ ทำตัวเอง... พวกนี้จะไปวิตถาร ในลักษณะของ MAZOCISM คือทำให้ตนเองนี่ มันกลับจากสภาพ ที่ควรจะเป็น ธรรมดาธรรมชาติเป็นอย่างนั้น

พุทธะ แปลว่าเบิกบาน นี่เป็นตัวที่เป็นหลักแท้ๆ เพราะฉะนั้น ผู้ใดที่ถึงอย่างไรๆ ก็เบิกบาน อยู่ดีนี่ ได้เป็นพุทธะหนึ่งแล้ว รู้สึกตัวเมื่อไหร่ ก็เบิกบาน ร่าเริง ต้องรู้อารมณ์ของตัวเองนะ รู้ความคิดของตัวเอง รู้อารมณ์ของตัวเอง ถ้ามันไม่เบิกบานร่าเริง มันจะมีเรื่องมุ่น มันจะมีเรื่องวุ่น มันจะมีเรื่องเครียด มีเรื่อง อะไรก็ตามใจเถอะ ทำใจให้โปร่ง ทำใจให้เบิกบาน เป็นกำไรอันที่หนึ่ง ที่อาตมาถือว่าเคยบอก เคยสอน พวกเรานี่ ในพวกชาวอโศก นี่ ว่าเป็น สุขาปฏิปทาน่ะ เรียกว่า สุขาปฏิปทา เป็นการปฏิบัติที่มีสุข มันจะมีทุกข์ มันจะมีความลำบาก ท่านให้ตั้งตน อยู่บนความลำบาก คือ ทุกขายะ อัตตานัง ปทหติ นี่ภาษาพระพุทธเจ้า ภาษาบาลี ให้ตั้งตนอยู่บนความลำบาก ความลำบาก คำนี้ ไม่ได้หมายความว่า ความขุ่นใจ ไม่ใช่ความลำบาก นี้ก็คือ การต่อสู้ เราจะต้องสู้กับกิเลส เราจะทำอะไรหนักก็ได้ เราจะต้อง มีอุปสรรคอยู่ก็ได้ แต่เราเบิกบานนะ เราก็ยังเหนื่อยอยู่ อย่างเบิกบานร่าเริง เราเจอกับอุปสรรค เราก็เจออย่าง เบิกบานร่าเริง ต่อสู้ได้อย่างนักรบ ที่มีข้าศึก เขาจะเอาเราตายทีเดียวนะ แต่เราก็ยิ้มน่ะ อย่างพวก กำลังภายในนี่นะ ยิ้มเบิกบาน ไม่ได้ขุ่นหมองน่ะ อารมณ์ใจ ต้องรู้จักอารมณ์ของใจตัวเอง นั่นเรียกว่า สุขาปฏิปทา จิตใจเป็นสุข จิตใจสบายน่ะ มันจะมีอะไร มันจะต้องต่อสู้ มันจะต้องคิด จะต้องทำงานทางจิต ทางกาย ทางวาจา จะมีงานการทางจิต ทางกาย ทางวาจา อย่างไรก็ตาม งานการนั้น ก็มีอยู่หนักหนาลำบากน่ะ ลำบากงานนั้นหนัก ลำบาก ที่จะต้องทำ ก็ตาม ไม่ว่าจะเป็น งานทางใจ ที่มันหนัก นะ โอ้โฮ งานทางใจนี่ หนักจะต้องต่อสู้

แต่ผู้ที่มีสุขาปฏิปทานั้น จะเข้าใจ วิธีการทำใจให้เบิกบาน มันซ้อนนะ มันลึกซึ้ง มันซ้อน ทำใจเบิกบานได้ ก็รู้ว่าอุปสรรค ก็รู้ว่า จะต้องต่อสู้ รู้ว่าหนัก รู้ว่าลำบาก รู้ว่ามันเป็นเรื่องยาก แต่ก็ใจนี่ก็เบิกบาน ยินดี ไม่ท้อแท้ ไม่หดหู่ ไม่เครียด สบายๆน่ะ เป็นสภาพที่รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ยากอย่างไร ก็หาทางแก้ หนักอย่างไรก็เอา ก็หนักอย่างนี้ ขนาดนี้แหละ เราสู้ได้ เราก็สู้ ถ้าหนักอย่างนี้ โอ๊ะ มันมากไป เราถอยๆ หน่อยน่ะ เป็นกลยุทธธรรมดาๆ ยังงี้ สู้ไม่ได้ มันหนักไป ไม่ขุ่นหมอง ไม่เดือดร้อนนี้ เป็นฐานเบื้องแรก ของคน ในพุทธศาสนาที่จะเป็น สุขาปฏิปทา ส่วนจะปฏิบัติได้เร็ว หรือ ช้านั้น มันก็อยู่ที่บารมีของคน และความเพียร คนที่มีบารมีดี ก็หมายความว่า เป็นคนที่มีบุญ มีสิ่งที่ได้สั่งสมมาแล้วดี ก็เหมือนกับ มีทุนรอนที่ดี เพราะฉะนั้น เมื่อทุนรอนดี ก็สามารถ ที่จะสร้างสรรไปได้ ด้วยทุนรอนที่ดี มีมากนั้น ไปได้เร็วด้วย ช่วยด้วย แล้วอีกอย่างก็คือ ความเพียร แม้ทุนรอนจะน้อย แต่ความเพียรมาก ก็ได้เร็วด้วยน่ะ อันนี้ก็เป็นองค์ประกอบ ที่จะพาเจริญ

อาตมาฟังพวกคุณพูดแล้ว ก็เข้าใจแล้วดี เป็นความเข้าใจที่ดีเหมือนกัน เราเรียนมานี่ เราเรียนไป เอาความรู้น่ะ โดยเฉพาะการจะพัฒนาสังคม พวกคุณพูดกันถูกนะ จะพัฒนาสังคมนี่ มันจะต้องพัฒนา คนก่อน พัฒนาคนโดยเฉพาะ พัฒนาคนก่อน เดี๋ยวนี้ รู้กันเยอะแล้วน่ะ อาตมาขอยืนยันว่า ทุกวันนี้ เราจะแก้ระบบนั้น แก้ยาก แก้ไม่ได้ง่ายๆ ถ้าจะแก้ ต้องแก้กันอย่างรุนแรง แล้วโลกทั้งปวงนี่ เขาไม่ชอบ ความรุนแรงกันหรอก นอกจากสุดวิสัย มันก็ต้องแรงของมัน ตามเรื่องของมันเอง แต่เขาไม่เอารุนแรง เลี่ยงความรุนแรง ไหนๆก็เหมือนกัน พวกที่ไม่เลี่ยงความรุนแรง ก็คือ พวกเห็นความรุนแรง แล้วมัน.. พวกนี้ชอบดูหนังบู๊ เลือดสาด อย่าว่าแต่ชอบดู หนังบู๊เลย ตัวเองก็ต้องทำ ให้เจ็บปวดน่ะ พวก ซาดิสม์ (SADISM) ทำให้คนอื่น เจ็บปวด รุนแรง แหม...มันสะใจ ส่วนมาโซคิสม์ (MAZOCISM) ก็ทำให้ตัวเอง เจ็บปวด

มาร์โซดิสม์ (MAZOCISM) กับซาดิสม์ (SADISM) นี่ต่างกัน มาร์โซคีสม์ (MAZOCISM) ก็ให้ตัวเองเจ็บปวด กรีด พวกที่เอามีดโกนกรีดตัวเอง ทำให้เป็นแผล ทำให้ตัวเองเจ็บปวด แล้วก็สะใจ ต้องทำร้าย ทำลายตัวเอง พวกนี้ยิ่งวิตถารหนัก พวกที่ทำคนอื่นให้เจ็บปวด ก็วิตถาร เหมือนกันน่ะ แล้วซวยด้วย อยู่ดีๆไม่ว่าดี ไปต้องให้คนอื่นเจ็บปวด แล้วตัวเอง ถึงจะสะใจ ตัวเองถึงจะอร่อย มันก็ซวยตัวเองจะสะ ที่จริงนั่นนะ คนเรามันรักตัวใช่ไหม มันรักตัว ถ้ามันเจ็บ ตัวเองเจ็บนี่ตัวเองไม่ค่อยทน ตัวเองทนไม่ค่อยได้ แต่ทำตัวเอง ให้เจ็บนี่ แหม มันโง่หนา แล้วมันๆด้านมากนะ คนเราต้องทำให้ตัวเองเจ็บ แล้วถึงอร่อยนี่ มันด้านชา มากเลย มันอาการวิตถารที่หนัก ซับซ้อนน่ะ เพราะฉะนั้น ร้ายแรงกว่า แต่ที่จริง ถ้าว่าโดยหลักของ สังคมแล้ว ตัวเองทำร้ายตัวเองน่ะ มันก็ยังดี มันไม่ไปทำคนอื่นซวย ทำคนอื่น ให้คนอื่นบาดเจ็บ ก็ไม่ไปเที่ยว เบียดเบียนใคร เบียดเบียนตัวเอง แต่โดยหลักของจิตแล้ว จิตเลวร้ายมาก เพราะคนเรานี่ มันรักตัวเองกว่ารักอื่น ใช่ไหม มันรักตัวเอง มากกว่าคนอื่นน่ะ แต่มันทำตัวเองให้เจ็บปวด ให้ตัวเอง ถึงเลือดตก ยางออก ได้นี่ แหม มันอำมหิตมาก จิตมันหยาบคายมากคนนี้ คนเรานี่ อย่างที่อาตมา ยกตัวอย่าง เมื่อกี้แล้วว่า คนเรานี่ พยายามที่จะให้ตัวเอง เริ่มต้น เริ่มต้นวิตถารนะ เริ่มต้นที่จะเป็น มาร์โซคิสม์ (MAZOCISM) เริ่มต้น แทนที่จะเบิกบาน กลับชอบ อารมณ์ที่หนักๆ หม่นๆ วุ่นๆ เครียดๆ ชอบอารมณ์เครียดน่ะ พวกนี้พวกมาร์โซคิสม์ (MAZOCISM) เริ่มต้นอาการน่ะ เริ่มต้นที่จะสร้าง มาร์โซคิสม์ ให้ตัวเอง มันเป็นการตีกลับ ที่เลวร้ายน่ะ

ผู้ใดที่เบิกบานร่าเริง เบิกบานร่าเริงอะไรก็คบกันได้ง่าย ถ้าผู้ใดที่ไม่เบิกบานร่าเริง คบกันได้ยาก อันนี้ก็เป็น สามัญสำนึกทุกคน ก็รู้กันดีน่ะ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดไม่เรียนรู้ แล้วไม่ฝึกน่ะ มันก็ร้ายกาจเป็นไปได้ยาก อยู่ในสังคมยาก ทำอะไรเจริญยากน่ะ

พระพุทธเจ้าสอนเราว่าให้ช่วยตนเองก่อน แล้วสอนผู้อื่น ให้ช่วยตนเองก่อน สร้างคุณความดี ทำคุณ อันสมควรก่อน แล้วค่อยสอนผู้อื่น จะไม่เดือดร้อนภายหลัง จะไม่มัวหมอง มันจะไม่เกิดความเสื่อมเสีย มันจะไม่มัวหมอง จะไม่เสียหาย จะไม่เลวร้าย จะไม่มัวหมอง ทำแล้วมันจะไม่มีบทที่จะผิดพลาด มันจะไม่เกิด ความบกพร่อง มัวหมองอะไรเกิดมา มันจะไม่มีความเสียหายอะไรน่ะ เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้า สอนนี้ เป็นหลักตายตัวเลยน่ะ ต้องทำคุณอันสมควรก่อน ก็หมายความว่า ทำตนให้ดี ให้ได้ก่อน ทำตนเองให้ดีได้เท่าใด เราก็สอนคนอื่นได้ เพราะเรามีความจริง

เมื่อกี้ อาตมากล่าวว่า พวกคุณมาเรียนรู้กัน นี่ มันได้ความรู้ แต่ยังไม่ได้ความจริง อย่างเมื่อวานนี้ ท่านสุรินโท ก็เทศน์ไปแล้วว่า มาซาบซึ้ง ความรู้กับความจริง มาซาบซึ้งกับว่า ความเห็น กับความเป็นไปได้ หรือความเป็นได้น่ะ ความรู้นั่น มันอย่างหนึ่ง มันตื้น มันเผิน มันเป็นเพียงความคิด มันเป็นเพียงเหตุผล เป็นเพียงตรรกศาสตร์ เดี๋ยวนี้หลงใหล ตรรกศาสตร์กันมาก หลงใหลความรู้ เหตุผล ความจริงปรัชญา อะไร เรียนกันเยอะ เป็นความรู้ แต่ความจริงนั้น ไม่ได้สักกระผีก ไม่ได้สักเท่าไหร่เลยน่ะ ไม่ทำให้เป็น ไม่ทำให้ได้ เป็นความเห็น มีความเห็น มีความเข้าใจ เห็นได้ อะไรก็เห็นได้ เข้าใจได้เยอะ แต่ความเป็น ได้นั้น ไม่ค่อยมี เพราะฉะนั้น ครูบาอาจารย์ ทุกวันนี้ มีแต่ความรู้กันเยอะ ความเป็นไปได้ไม่มี ดีไม่ดีนี่ ความเป็นได้นั้น ย้อนแย้งกับที่ตัวสอนด้วย แล้วจะยิ่งไปพัฒนาคน ที่จะต้องพยายามเป็นตัวอย่างแก่เขา แล้วก็จะต้อง นำพาเขาทำจริงๆ ให้เขาทำได้ เป็นได้ ความเห็นไปแนะ มันก็ดีน่ะ ก็ได้ขั้นตอนหนึ่ง มีความเห็น ที่ถูกต้อง มีความเห็นความเข้าใจที่ดี มันก็ดี ไปแนะนำเขาทำ แต่ประสิทธิภาพไม่ดี ประสิทธิผลไม่ดี จะแก้ไขปรับปรุง สร้างคนให้เปลี่ยนแปลง มาสู่ทางที่ดีนั้นได้ยากมาก ตนเอง ต้องทำ ให้ได้ก่อน เมื่อตนเองทำได้แล้ว แล้วคน อื่น เขาจะเกรงใจ อย่างน้อยเกรงใจว่า เราทำได้นี่ เขาจะยอมรับ นับถือ คนรู้ ก็ยอมรับนับถือ มาขั้นหนึ่งแล้ว ทั้งรู้ทั้งเป็นได้ด้วย ทำได้ด้วย จะยอมรับนับถือยิ่งขึ้นน่ะ เพราะฉะนั้น การจะพัฒนาคน การจะช่วยคนให้เจริญขึ้น จะต้องเป็นครูจริงๆ ตรงที่ว่า ต้องทำได้ด้วย ครูที่รู้แล้วทั้งรู้ ทั้งทำได้ด้วย ทั้งมีความรู้ แล้วมีความจริง มันจึงจะเจริญน่ะ

ที่เราจะไปพัฒนาบ้านเมือง หรือพัฒนาสังคม หรือพัฒนาใครก็ตาม ต้องพัฒนาตนเสียก่อน ถ้าไม่พัฒนาตนแล้ว แก้ไขปัญหา อาตมาขอท้าทายเลย จำความอาตมาไว้ ตั้งแต่วันนี้ไป จนกระทั่ง กี่ปีกี่ชาติ ที่คุณยังมีชีวิต ถ้าไม่พัฒนาตน หรือ พัฒนาคนให้ได้ก่อน จะไปพัฒนา อะไรๆ โดยยิ่งไป พัฒนาสังคม ที่มีกลุ่มชนที่มากมาย นั้นน่ะ ไปใช้ระบบนั้น ใช้ระบบ เปลี่ยนแปลงระบบนั้นน่ะ ถ้าเผื่อว่า ไม่พัฒนาคนก่อน ไม่พัฒนาตั้งแต่ความเห็น และ ความเป็นจริงนี่ ไม่ให้ได้ครึ่งๆค่อนๆขึ้นไปก่อน แล้ว จะเปลี่ยนแปลงสังคมขึ้นมา ในการพัฒนา ตามที่เราเห็นว่า ทิศทางนี้แหละดี ระบบนี้แหละดี จะพัฒนาไป เปลี่ยนแปลงไปนี่ ไม่รุนแรงไม่ได้ จำไว้ ถ้าไม่พัฒนาคน และไม่พัฒนาคนให้ได้มีปริมาณ เพียงพอกว่าครึ่งก่อน จะพัฒนาสังคมให้ เปลี่ยนแปลงระบบไปจากอย่างหนึ่ง เป็นอีกอย่างหนึ่งนั้น ไม่มีความรุนแรง ไม่มีเลือดมีเนื้อ ไม่มีสงครามนั้น เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้น่ะ ไม่ได้เด็ดขาด เพราะฉะนั้น ทางที่จะพัฒนา อย่างอหิงสา หรืออย่างที่ ไม่รุนแรง พัฒนาอย่างดีนั้น ต้องใช้หลักการอย่างที่ว่านี้ทั้งนั้น พัฒนาคน จะกี่ปี กี่เดือน กี่ชาติ ช่างมัน แล้วมันจะเป็นไปได้ด้วยดี แล้วมันจะเนียน มันจะลึกซึ้งทีเดียวน่ะ มันยากน่ะ

อาตมาพัฒนาพวกเราอยู่นี่ พัฒนาคนนี่ คนไม่มากเท่าไรเลยนะ แล้วก็สมัครใจด้วยนะ คนที่มาในที่นี้นี่ สมัครใจด้วย มาลดละ เปลี่ยนแปลงตนเอง จะให้ประเทศชาติ อุดมสมบูรณ์ ก็จะต้องเป็นคน ไม่ผลาญพร่า สังคมจะอุดมสมบูรณ์ ก็ต้องไม่ผลาญ ทุกวันนี้ นี่ประเทศชาติ มีหนี้สินเท่าไหร่ หกแสนล้าน บาท ประเทศไทย มีหนี้สินกับประเทศต่างๆ เขานี่ กู้หนี้ยืมสินเขามานี่ ต้องเสียดอกเบี้ย เป็นหนี้ ที่ไม่มี ดอกเบี้ยก็มีบ้างน่ะ แต่ว่าไม่เท่าไหร่หรอก ส่วนมากก็เสียดอกเบี้ยทั้งนั้น หกแสนล้านบาทนี่ ดอกเบี้ย เท่าไหร่ คุณคิดดูซิ คนไทยจะต้อง ทำมาหากิน เสียภาษี เอาเงินที่ได้จากภาษีบ้าง จากอะไรๆ อื่นบ้าง จากภาษีนั่นแหละ เป็นหลักน่ะ เงินเหล่านี้ ก็จะออกนอกประเทศ เอาไปจ่าย ดอกเบี้ย ให้แก่เจ้าของเงิน เขานั่นแหละ เดือนละเท่าไหร่ คุณคิดดู ปีละเท่าไหร่ เขาคิดกันเป็นปี เขาไม่คิดเป็นเดือนหรอก เขาคิด เป็นปีน่ะ เงินขนาดนี้ ขืนคิดเป็นเดือนก็ ตายกันพอดีล่ะนะ แต่ปีหนึ่งนี่ ไม่ใช่น้อยๆน่ะ จะ ๑% ๒% อะไร ก็ตามใจเถอะ หกแสนล้าน นี้ ต้องทำมาหากินนี่ ต้องเหมือนกับทาส นี่แหละทาส เราเรียกว่า ทาสทาง เศรษฐกิจ ส่งส่วย ต้องหาเงินไปให้เขา เจ้าของเงินนี่ ระบบทุนนิยม มันเป็นอย่างนี้ล่ะนะ ระบบทุนนิยม มันไม่เป็นการเกื้อกูลกัน ที่จริงระบบทุนนิยม ไม่เป็นการเกื้อกูลกัน ที่จริง คนที่ให้เรามา คนที่จะ ช่วยเหลือเรา เขาจะต้องได้ประโยชน์ กลับคืนไปหาเขา ดูท่าที ก็เหมือนกับช่วย

ทางศาสนาอิสลามนี่ เขาไม่มีการกินดอกเบี้ยกัน พวกเราชาวพุทธ นี่ก็ไม่พยายาม ที่จะกิน ดอกเบี้ย ไม่พยายามนะ ใช้ความอย่างนั้น เพราะว่า พูดเต็มปากเต็มคำไม่ได้ เพราะชาวพุทธ ในประเทศไทย ก็มันเล่นดอกเบี้ยกันนักหนา ไม่รู้จะไปว่ายังไง ส่วนชาวอโศกนั้น อาตมาพยายามตัดเลย พยายามไม่ให้ กินดอกเบี้ย แต่ก็อย่าไป เคร่งเครียด เกินไปนักก็ไม่ได้ เพราะบางคน เขาจำเป็น เพราะเขาอยู่ในระบบนี้มา และอาศัยวิธีนี้มาอยู่ไม่น้อย เพราะฉะนั้น ก็ค่อยๆเป็นไป เราจะเห็นได้ อย่างมูลนิธินี่ เราไม่เอาดอกเบี้ย ไม่กินดอกเบี้ย แต่เชื่อว่าไม่กินดอกเบี้ย มันก็เหมือนกับกิน เพราะว่าเงิน ดอกเบี้ยที่เขาจ่ายออกมา ที่จะเอาไป ฝากแบงค์นี่ เราก็จะต้อง เอามาใช้ แต่ว่าเรา ไม่ได้เอา มาใช้ส่วนตัว จึงเรียกว่า ไม่กินเงิน ดอกเบี้ยนี่ จะต้องเอามาสะพัดคืน แก่ประชาชนทั้งหมด เพราะเงินดอกเบี้ยของมูลนิธิ เงินดอกเบี้ย ของสังคม กลุ่มที่มีดอกเบี้ยนี่ อาตมาประกาศ เลยว่า ดอกเบี้ยนี้เอามาระบุเลย เอามาพิมพ์หนังสือ เพราะหนังสือเรานี้ แจกฟรี เอามา พิมพ์หนังสือ ออกไปให้แก่ประชาชน ออกไปให้แก่สังคมน่ะ

เพราะฉะนั้น ผู้ใดก็แล้วแต่ ส่วนที่เห็นว่านโยบายนี้ดี เขาก็ทำด้วย เพราะฉะนั้น เขาก็ได้ดอกเบี้ย ที่ในแบงค์ เขาเอาเก็บไว้ไม่ได้ สมัยนี้ความปลอดภัยมันยาก เอาเงิน เอาทอง เก็บไว้ส่วนตัวไม่ได้ มีเงิน ก็ต้องไปฝากแบงค์ แบงค์เขาก็เอาไปหมุน นี่เป็นหลัก เศรษฐกิจทุนนิยม ของเขาอย่างหนึ่ง แทนที่จะรักษา ให้เฉยๆ มันเฉยๆ ไม่ได้แล้วละ มันต้อง มีวิธีการหาเงินหาทอง มาให้แก่หน้าที่คนงาน นอกจาก จะหาเงิน มาให้แก่หน้าที่คนงาน ไม่พอ เอาเงินไปให้คนกู้ แล้วก็เอาดอกเบี้ยมา ไปขูดไปรีด ทุนนิยม มันก็รีดกันต่ออีก รีดกัน

เดี๋ยวไปอ่านหนังสือ เศรษฐศาสตร์เชิงพุทธ ที่อาตมาเขียนเอาไว้ จะให้เห็นว่า ธนาคารนี่ รีดขนาดไหน ประชาชนมันเดือดร้อนขนาดไหน ในระบบธนาคาร อย่างทุกวันนี้ แบบทุนนิยมนี่ มันแก้ปัญหายาก แก้ปัญหา อะไรต่ออะไร ถ้าเผื่อว่า ความขยันหมั่นเพียร การสร้างสรรไม่มากพอน่ะ พวกทุนนิยมนี่ ก็จะไปรวยอยู่แต่เฉพาะ พวกที่เป็นเจ้าเงิน เจ้าของทอง นายธนาคารเป็นต้นน่ะจะรวย จะรวยเป็นเจ้าเงิน เจ้าทอง หรือว่า ผู้ที่มีเงิน มากๆ แล้วก็จะมีแรงดูด มีเครือข่าย มีระบบเป็นนายทุนขึ้นมา แล้วทำให้ เกิดความเดือดร้อน ต่อมวลชน ส่วนมากน่ะ ชนส่วนมากจน แต่พวกที่ร่ำรวยนี่ จะรวยขึ้น ๆ ตลอดเวลา อาตมาไม่เจตนา จะมาบรรยายเศรษฐศาสตร์น่ะ จะบรรยายในเรื่อง ให้เห็นว่า เราจะแก้ไขตนเองอย่างไร แก้ไขคนอย่างไร เป้านี้สำคัญ หลักนี้สำคัญ ที่พวกคุณ มาถึงที่นี่แล้วนี่ พวกคุณจะมาเจอะ สิ่งที่พวกคุณ จะต้องรู้สึกว่า มันลำบากจริงๆเลย มาให้อด ให้อยาก ดีนะ ให้คุณนอน อย่างนี้นะ มีที่นอนให้คุณนะ ไปนอน โอ้โห กางมุ้ง กางม่านให้เสร็จเลยน่ะ ไปนอนอยู่ชั้น ๕ โน่นแน่ะ โอ้โห ลมโกรก เย็นสบายนั่น ถือว่าดีมากแล้ว ไม่ให้มานอนดินก็ดีแล้ว บุญแล้ว คุณอยู่นี่ นี่โชคดี

ประเดี๋ยวจะมี เวลาญาติโยมพวกเรามา พวกคุณจะเห็นว่า เขาจะนอนสบายๆ เดี๋ยวเขา ก็มากางมุ้ง กางม่าน นอนเต็มพรืดเลยนี่ เดี๋ยวคอยดูซิ ฝ่ายหญิงก็หาที่นอนกัน ไปตามเรื่อง ตามราวน่ะ เป็นคน เลี้ยงง่าย นอนง่าย กินง่าย อยู่ง่ายๆ ไม่เป็นคนลำบาก ต้องมาลดกิเลส กิเลสเราติดยึด อู้ฮู ที่นอน ก็ต้องมีฟูก มีหมอน มีกลิ่นหอม มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานา ที่นั่งก็จะต้อง อย่างโน้น อย่างนี้ มีที่รองที่รับ การกินก็จะต้องมีอาหารถูกปาก อย่างโน้น อย่างนี้ ต้องสวย ต้องงาม ต้องอย่างโน้น อย่างนี้ อะไรต่างๆ นานาสารพัด ซึ่งความปรุงแต่ง เป็นความประดิษฐ์ประดอย เป็นความสร้างๆ ให้จิตวิญญาณของ คนเรานี่โง่ คนเรา มันมอมเมา ให้จิตของเรายึดถือ ยึดติด ยึด เรียกว่าอุปาทาน จะต้องได้อย่างนี้ ต้องเป็น อย่างนี้ ถ้าไม่ได้รูปอย่างนี้ สีอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ สภาพอย่างนี้ ไม่พอใจเป็นทุกข์ ทนไม่ค่อยได้ อย่างนี้ เป็นต้น แล้วมันก็เป็นคนเลี้ยงยาก

มาที่นี่ๆ กินก็ให้ง่ายๆ อยู่ก็ง่ายๆ ไม่สะ ไม่สวย ไม่พยายามทำให้สวยๆ แต่ไม่ได้หมายความว่า ไม่สะอาด คุณอาจจะเข้าใจ ความสะอาดนี้ ต่างกับพวกเราเข้าใจ พื้นดินพวกนี้ นี่สะอาดนะ ไม่ใช่ว่า ไม่สะอาด สะอาดคือ ความไม่มีเชื้อโรคที่มากเกิน เรียกว่าสะอาด คนเราทุกวันนี้ นี่สะอาดเกิน เพราะฉะนั้น จึงภูมิคุ้มกันต่ำ มีแบคทีเรีย มีเชื้ออะไรต่ออะไร ในร่างกายนี่น้อยไป เรียกว่า สะอาดเกินน่ะ ภูมิคุ้มกันจึงต่ำ

ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก ผิวหนังทุกวันนี้ ผิวหนังของคน นี่บอบบาง เพราะสบู่ อาบน้ำถูสบู่ ถูสบู่ มันทุกวัน ทุกครั้ง ผิวจึงไม่เป็นธรรมชาติ ผิวจึงบอบบาง เป็นโรคภัยง่าย เป็นอะไรต่ออะไรง่าย ไม่แข็งแรง เพราะถูสบู่ สบู่นี่มีโซดาไฟ สบู่นี่ประกอบด้วย ธาตุโซดาไฟ เป็นสำคัญ มันก็ทำปฏิกิริยาขัดกัด น้ำมันผิวหนัง จะถูกสบู่ถูนี่ จะถูกฟอก กัดน้ำมันออกไปหมด คนทุกวันนี้ อ่อนแอลงทุกวัน ตั้งแต่ผิวหนัง ไปจนกระทั่งถึง สรีระ ร่างกายข้างใน กินอยู่อะไรต่ออะไร ต่างๆ นานา ธาตุต่างๆ ที่กินเข้าไป ความสะอาด ที่กินเข้าไปนี่ มันสะอาดเกินอย่างที่ว่า นี่ แทนที่จะมีเชื้อ มีแบคทีเรีย มีโน่นมีนี่ มีอะไรต่ออะไร ที่ผสมส่วน พอสมควร แล้วก็ เข้าไปอยู่ในร่างกาย พอเข้าไปอยู่ในร่างกาย แล้วมันก็ จะมีการสัมผัส หรือการมีอะไร ต่ออะไรต่างๆนานา ค่าของการวัด ทุกวันนี้ แม้แต่นักวิทยาศาสตร์ หรือนักสรีรศาสตร์ ก็วัดค่าที่เป็นค่า ไม่ปกติของคน Normal ของเขานี่ ค่าที่เขาวัดนี่นะ เขาบอกว่า ค่าจะต้องมีแบคทีเรียเท่านี้ จะต้องมีไอ้นั่น ไอ้นี่ เท่านี้ๆ จึงจะพอเหมาะ ในร่างกายคน เป็นค่าที่เพี้ยนมาจากคนที่แข็งแรงสมัยโบราณแล้ว ถ้าคน สมัยโบราณนี่ มันจะมีค่าอะไร ที่มีเท่านั้นเท่านี้ มีอะไรต่ออะไรในร่างกาย เท่านี้ๆ แล้วเป็นคนบึกบึน เป็นคนแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันสูง

ทุกวันนี้ ภูมิคุ้มกันลดลงมาเรื่อย ค่าของ Normal ของคนทุกวันนี้ ปกติของคนทุกวันนี้ เขาวัดเอามาใช้เป็น สถิติปกตินี่ เป็นค่าที่เพี้ยน มาจากความแข็งแรงของคนนี่ เพราะฉะนั้น เราจะเอาคนป่า หรือเอา คนบ้านนอก นี่นะ จะกินน้ำ ก็ไปตักน้ำคลอง มากินเฉยๆ มันก็มีธาตุ มีตัวอะไรต่ออะไร แบคทีเรียอะไร ลงไปในร่างกายแข็งแรง คนบ้านนอกนี่ท้องไส้ โรคนั่น โรคนี่ อะไรไม่ค่อยเป็นน่ะ กินน้ำคลอง กินน้ำบึง น้ำบ่อ น้ำแม่น้ำนี่ อย่างพวกแม่ค้า พายเรือขายในแม่น้ำนี่ ขายไปๆ เขาอยากกินน้ำ เขาก็ตักน้ำในแม่น้ำมา บางทีก็ขี้ ลอยตุ๊บป่องๆ มายังงั้นล่ะ เขาก็ตักกินของเขาเฉยสบายๆ แล้วภูมิคุ้มกันเขาสูง เป็นโรค ท้องร่วงนี่ จ้างก็ไม่เป็นง่ายๆ แต่คนในเมืองนี่ ลองซิ ลองเข้าไปซิน้ำ แม่น้ำนั่นที่ว่านี่นะ รับรอง กินครั้งเดียว เท่านั้นแหละ วิ่งหาโรงพยาบาลเลย ท้องร่วงเลย อาตมาขอยืนยัน กินน้ำอันเดียวกันนั่นแหละน่ะ แต่คน ต่างจังหวัดเขานี่เฉย สบายๆ เพราะภูมิคุ้มกัน ของเขาสูงกว่า เพราะฉะนั้น คนทุกวันนี้ ไม่เข้าใจ แม้แต่ ความสะอาดเกิน ทรมานตัวเอง คือทำให้ตัวเอง นี่อ่อนแอ นั่นคือความทรมานตัวเองชนิดหนึ่ง อ่อนแอ เกินไป อย่างนี้เป็นต้น แล้วก็เลย ไม่ค่อยเข้าท่า นะ อ่อนแอ ต้องมีอะไรประคบประหงม กันอยู่อย่างมาก

อันนี้อธิบายไปแล้ว มันจะยาวเกินไป ก็ขอตัดลัดเข้าหาว่า เราจะทำอย่างหลักๆอย่างไร คือเราจะต้อง มาเลิกละ อย่างที่คนเมือง คนกรุงนี่ เขาเฟ้อเกินไป จงเรียนรู้ความเฟ้อของคน จะกินจะอยู่ จะนุ่งจะห่ม จะมีเครื่องใช้อาศัยอุปโภคบริโภค พระพุทธเจ้าท่านให้พิจารณา ด้วยว่า โภชเนมัตตัญญุตา พิจารณา ของกินของใช้ เรียกว่า เครื่องอุปโภค และบริโภค เราอย่าไปกินฟุ้งเฟ้อ อย่างเขาน่ะ กินยาพิษเข้าไป บุหรี่ก็คือ ยาพิษ กินธาตุเคมีนี่ พวกที่เอาอะไร มากินมาทา มาป้าย อะไรต่ออะไรต่างๆนี่ ร่างกาย มันก็เอา มาใส่ กับร่างกาย สัมผัสแตะต้อง พอกไว้นี่ ก็คือกินเหมือนกันนะ มันกินเหมือนกันนะ

ใช้ภาษาโลกๆว่ากินนี่ คือเอามารับไว้ รับมันมาไว้ใส่ตัว เรียกว่ากินทั้งนั้น ไปเอาอะไร ต่ออะไรไม่รู้ ประสมประเส ธาตุเคมีเป็นน้ำกลิ่น เขาเรียก น้ำหอม โคโลญจ์ อะไรต่ออะไร ต่างๆ เอามาฉีด เอามาฟอก เอามาใส่ร่างกายไว้นี่น่ะ มันไม่ใช่ธรรมชาตินะ หู หัว นี่ผมเผ้านี่น่ะ ไม่รู้ไปเอาอะไรมาใส่มัน ยิ่งไปเอา สเปรย์ ไปเอาอะไรไม่รู้ มาใส่ให้มันแข็ง ให้มันอย่างโน้นอย่างนี้ ไปเอา น้ำมงน้ำมันอะไร แต่ว่าน้ำมันนั้น ก็มีธาตุเคมีต่างๆนานา ผู้ชายก็เอากับเขาด้วยน่ะ มีติ๊กๆ เติ๊กๆ อะไรใส่ เพื่อที่จะให้มัน เวลาหวีแล้ว จะได้รูป ได้ร่าง อะไรต่างๆนานา เลอะเทอะไปหมด ธาตุเคมีทั้งนั้น บางทีนี่ โอ๊ย กลิ่นทั้งฉุน ทั้งอะไร ต่ออะไร ทนเก่งนะ ผู้หญิงนี่ใส่ยังไม่พอ อบมันเข้าไป ให้มันผนึกมันเข้าไป ให้มันติด ทั้งอบทั้งแห้ง ทั้งทำเย็นอะไร ร้อยแปดเลย ทรมานมันเหลือเกิน ทารุณจังเลย อู้หุย ผู้หญิงหนอผู้หญิง อู๊ว์ ฟังแล้วดูแล้ว ก็ดูไม่เบื่อน่ะ เบื่อไม่ลง คือ มันทรมานตัวเอง นานาสารพัด เสร็จแล้วก็คือ ทำลายตัวเอง มันจะมีอะไร อย่างมากนี่ มันก็รับฝุ่นอะไร ขี้รังแคก็เอา ล้างมันสะอาด สะอ้าน ถ้าร่างกายแข็งแรงแล้ว ผมเราก็ไม่เป็นโรค ทุกวันนี้นี่ ผมก็เป็นโรค แม้แต่ยีนส์ ที่มันมาเป็น มันต่อเนื่องกันด้วยยีนส์กรรมพันธุ์นี่ คนทุกวันนี้ ผมเผ้าก็ไม่เหมือน สมัยโบราณ ไม่แข็งแรง แตกง่าย มีโรคเร็วเป็นธรรมดา เพราะเราไป ทำลายมัน ตั้งแต่ผู้หญิงนี่แหละ แม่ทำอย่างนี้ไป มันก็สั่งสมลงเป็นยีนส์ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงไป ด้วยเหตุปัจจัย ทั้งนั้น ยีนส์ก็ไปสังเคราะห์ออกไปเป็นยีนส์ตัวที่อย่างนั้น เอ้า พันธุ์แม่ ผมก็ชักจะถูก ธาตุเคมีมันทำลาย มันก็กลายเป็นพันธุ์อย่างนั้นน่ะ เป็นพันธุ์อย่างนั้นไป ต่อไป มันไม่ใช่ช่วงเดียว มันไม่ใช่วันเดียวนะ มันไม่รู้กี่ช่วง กี่วันกี่ปี กี่เดือนมา ก็กลายเป็น อย่างนั้นไปน่ะ ก็กลายเป็นกรรมพันธุ์ เอาพวกนี้ ผมเป็นแบบนี้แหละ อย่างนี้ เป็นต้น ส่วนสรีระส่วนอื่น ก็เหมือนกันทั่วๆไป เหมือนกันหมด

นี่คือ เราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ สัจจะความจริงพวกนี้ เราก็ไปเอาตาม โลกๆ มันมอมเมา โลกมันจะเอาประดิษฐ์ ประดอย ตบแต่ง อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่รู้ล่ะ ส่วนนั้นส่วนนี้ เราจะเลิกละอะไรก่อนนี่ ฟังไปแล้วนี่ เราจะพัฒนาตนก่อน แล้วจะไปสอนผู้อื่น เราต้องเป็นคน ไม่ผลาญ ต้องเป็นคนแข็งแรง ถ้าเผื่อว่า เรายังเปลืองอยู่ ผลาญอยู่ เรายังเป็นคน มักน้อยสันโดษไม่ได้ เป็นคนเลี้ยงง่าย ไม่ได้ เป็นคนเลี้ยงยาก จะกินก็ยาก ต้องต้อนต้องรับ ต้องบำเรอบำรุง ต้องวุ่นวายอะไร ก็มากเรื่อง อย่างนี้มันไปพัฒนาใคร ไม่ได้ ต้องเป็นคนที่ง่าย เป็นคนที่ ไม่ใช่มักง่ายนะ ไม่ใช่คนมักง่าย เป็นคนมีปัญญานะ เป็นคนมีความเฉลียว ฉลาดที่ จะรู้ เพราะฉะนั้น เราจะต้องมาทำตน ก็คือจะต้องเลิกละ อะไรให้ได้ก่อน ที่นี่เลิกละเป็นสูตร เลยนะ ระบบแรกที่สุดนี่ พวกเรานี่ละๆกันก็คือ อบายมุข

อบายมุขนี่มีหลักๆ พระพุทธเจ้า สอนไว้มี ๖ อย่างง่ายๆ สิ่งเสพติด สิ่งเสพติดนี่ทั้งนั้น อะไรก็เสพติด ทั้งนั้นเลย แม้แต่ความดี ก็เป็นสิ่งเสพติด พูดให้ฟังลึกๆน่ะ แม้แต่ความดี ก็เป็นสิ่งเสพติด แต่เอาเถอะ อย่าเพิ่งไปคิดอย่างนั้นก่อน ประเดี๋ยวก็เลยบอก โอ้โฮ ไม่เอาหรอก ทำความดีประเดี๋ยวไปเสพติดความดี ให้มันติดความดี ก่อนเถอะน่ะ อันนี้เป็น ขั้นตอนที่ต้นๆ แม้ที่สุด คนเราทำดีที่สุด ก็ไม่ติดว่า ความดี เป็นของเรา นี่เป็นเรื่องสูงสุดน่ะ เพราะฉะนั้น สิ่งเสพติดนี่ มีตั้งแต่หยาบ ไปจนกระทั่งถึงที่สุด ทุกอย่าง เป็นเรื่องเสพติด จึงไม่ปรินิพพาน

ผู้ที่จะปรินิพพานนั้น คือผู้ที่ไม่ติดอะไรสักอย่าง ไม่ถือว่าอะไรเป็นของเราเลย ทั้งๆที่ เป็นของเรา เราทำความดีอันนี้ เรามีสิทธิอันนี้ ๑๐๐% เราก็ไม่ถือว่า ไอ้นี่เป็นของเรา แม้แต่เรื่องร่างกาย ก็ไม่ใช่ของเรา จิตวิญญาณที่ เรารู้เราฉลาด เราพัฒนาจิตวิญญาณนั้น ก็คือตัวเรานี่แหละ เราก็ไม่เห็นว่า จิตวิญญาณ เป็นตัวตน เป็นของตน ไม่เห็นว่า จิตวิญญาณ เป็นตัวของเรา ถึงป่านนั้น นี่ เป็นที่สุด นั้นบอกที่สุด ให้ฟังเท่านั้นนะ แต่ว่าเราจะต้องไล่ไปตามขั้น อย่าเพิ่งไปคิดสูงสุด อย่างที่อาตมาว่า

เดี๋ยวนี้ มาสอนกันสูงสุด ไม่ใช่ตัวกูของกู ไม่ใช่ตัวเรา แล้วเสร็จแล้ว ก็ไม่รู้ว่าอะไร จะวางอะไรก่อน จะเลิก อะไรก่อน ไม่รู้เรื่อง เลยไม่มีความดี ความดีก็เลยไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ มันสมมุติทั้งนั้น ดีๆชั่วๆก็สมมุติ เพราะฉะนั้น ก็เลยทำชั่วมันเสียเลย เพราะว่า ชั่วมันก็ไม่ใช่ของเรานี่ เราทำ แล้ว ก็ไม่ใช่ของเรา ทำดี ดีมันก็ไม่ใช่ของเราอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็ไม่เอาเลย มันก็เลยเลวกันไปหมด เหลวไหลไปหมด นี่คำสอน ที่ตัดลัด อะไรก็ไม่ใช่ของกู อย่าไปยึดมั่นถือมั่นอะไรก่อน โดยที่ไม่สร้างเป็นขั้นเป็นตอน มันก็ไปเหลวใหล ไปหมดน่ะ ไอ้ความรู้สึกอันนี้นี่ ถ้าเข้าใจยังไม่ลึกซึ้งจริงๆ เลยนี่นะ ไปไม่รอด มันต้องยึดก่อนที่จะวาง ไอ้ที่จะวางสูงสุดนั้นน่ะ มันก็เป็นเรื่องดีสุด เพราะฉะนั้น จะต้องยืนยันไปตามกุศล เป็นขั้นเป็นตอน ไปก่อนน่ะ ฉะนั้น เรื่องใด ที่มันไม่เป็นอกุศล หรือ เป็นสิ่งที่เลวก่อน บอกแล้วอบายมุขนี่ เป็นเรื่องของ หัวหน้านรก อบายมุข แปลว่า หัวหน้านรก มุขะนี่แปลว่าหัวหน้า อบายแปลว่านรก หัวหน้านรก สิ่งเสพติด เอาละ.. .เราก็เลิกก่อน อะไรมัน ควรจะเอาออกก่อน อย่างที่พูดไปแล้ว ถ้าพูดหยาบๆไปเลย... มันสิ่งเสพติด ที่บอก ว่า ...ฝิ่น...กัญชา ... มันยังเบากว่าฝิ่น... ยังงี้เป็นต้นน่ะ เขาก็ว่าไป เอาออกก่อน ที่เราจะต้องเอาได้ก่อน แล้วก็ฝึกใจ ให้แข็งแรง คนเราติดอะไรอยู่ ก็เพราะอ่อนแอ คนเราติดอารมณ์ ก็เหมือนกัน ติดวัตถุก็เหมือนกัน ยิ่งติดวัตถุ ยิ่งอ่อนแอใหญ่น่ะ ติดฝิ่น ก็ต้องเลิกฝิ่น เพราะมันหยาบ เหลือเกิน ติดเฮโรอีน ก็ต้องเลิก เฮโรอีน ผู้หญิงนี่ บอกแล้วว่า ติดเรื่องสวยงามน่ะ ติดเรื่องเฟ้อ เรื่องเครื่องแต่งตัว เครื่องประดับ เครื่องอะไรต่ออะไร ต่างๆนานานี่

อาตมาบอกแล้วว่าตระกูลเผ่าอโศกต่อไปนี้ ผู้หญิงจะไม่เจาะรูหู พวกเจาะรูหูนี่ พวกเฟ้อ ทั้งนั้นแหละ อยู่ดีๆ หูดีๆ ไปเจาะเอารูมันทำไม ให้มันเจ็บมันปวด ต้องไปเจาะรูหู เท่ากับ เจาะเพื่อที่จะได้ใส่อะไร ตุ้มหูยังงี้ เป็นค่านิยม ผู้หญิงต้อง เจาะรูหู เดี๋ยวนี้ผู้ชาย มันก็ไปเจาะๆ ไม่เจาะรูหูรูเดียวด้วย เจาะ ๒ รู ๓ รู เพื่อที่จะใส่ตุ้มหู ๒ อัน ๓ อันน่ะ ผู้ชายก็ใส่เก๋เลยนะ เดี๋ยวนี้ใส่ตุ้มหู คือบ้าๆไป เรื่อย ๆ ล่ะนะ ถ้าไม่เจาะแล้ว ต้องหนีบเอา มันเจ็บใช่ไหม ไม่เจาะแล้ว มันก็ต้องใช้หนีบเอา ก็เจ็บ เขาก็ต้องเจาะเสีย จะได้ร้อยไว้เลย มันก็ไม่เจ็บ ชินชา ไอ้นี่เป็นเรื่องที่มันตบแต่ง ประดับประดา อยู่ธรรมชาติดีๆ ไม่ว่าดีน่ะ เพราะฉะนั้น เราก็ต้องลดละ เลิกมา ที่อาตมาพูดถึงเรื่องของผู้หญิง ที่ว่า อบายมุข เรื่องเครื่องแต่งตัว หรือว่าเครื่องทำให้สวยให้งามเกินไปนี้ หลงเกินไปนี่ นะว่ามันเป็น เรื่องที่ร้ายแรง อันหนึ่งของสังคม คือเรื่องของกาม กามารมณ์ มันเป็นเรื่องร้ายแรง ทุกวันนี้ ข่มขืน ฆ่า ทำอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา สารพัด สารเพ เลวร้าย

เมื่อวานนี้ อ่านหนังสือพิมพ์ของไทยรัฐเขา อะไร หญิงยิ่งยง นั่นน่ะ มีคนเขียนออกมา เอ๊...ไม่ใช่ ของคอลัมน์อะไร มีผู้หญิง คนหนึ่ง ฟ้องมาว่า ในเนื้อเรื่องว่า เขาเองนี่ เ เขามีสามีอายุ ๔๕ แล้ว สามีนี่ มีลูกติด ๓ คน ลูกคนโตเป็นผู้หญิง อายุ ๑๘ แล้วเขาก็บอกว่า เขาสงสัย เหลือเกินว่า ทำไมพ่อคนนี้ กับลูกสาวคนนี้ ถึงประพฤติ อย่างนี้ เขาก็บอก เขาจะทำอย่างไรดี เขาปรึกษามา คือพ่อนี่จะนอนกอด กับลูกสาวคนนี้ แต่ลูกอีก ๒ คนนั่น อายุ ๑๐ ขวบ กับอายุ ๘ ขวบอะไร เล็กๆนั่นเขาก็ไม่ยุ่งเกี่ยว แต่ไอ้ ลูกสาวคนนี้ มันโตเป็นสาวแล้วนะ ก็นอนกอดกัน จับนมจับเต้ากันอะไรต่างๆ นานา เขาเห็นเขาบอก เอ๊ะ ทำไมมันลูกแท้ๆ พ่อแท้ๆ ไม่ใช่ลูกเลี้ยงยังงี้เป็นต้น ไอ้อย่างนี้ก็น้อยไป เพราะทุกวันนี้นี่ พ่อสมสู่กับลูกสาว มันมีอยู่แล้ว บ้าๆบอๆอย่างนี้ เป็นต้น โดยเฉพาะ เรื่องวิตถาร เรื่องเกย์ เรื่องทอม เรื่องดี้ เรื่องตุ๊ด เรื่องผีบ้า ผีบอ อะไรพวกนี้ เรื่องของกามารมณ์ ทั้งนั้น แล้วจัดจ้าน รุนแรง ข่มขืน ฆ่า รุนแรงไปหมด

ที่อาตมาว่า มันเป็นอบายมุขนั้น ก็เพราะว่า มันเป็นเหตุให้เกิดกามารมณ์ ทั้งผู้หญิง และ ผู้ชาย ผู้หญิง ก็เกิดอารมณ์กาม อารมณ์รัก กลิ่นหอม รูปสวย กามคุณมันมี ๕ มีรูป มีกลิ่น เสียง รสทางลิ้น สัมผัส เสียดสี และก็ไปสัมผัสเสียดสีกัน ผู้หญิงกับผู้หญิง ไปสัมผัส เสียดสีกัน วิตถารไปเลย ผู้ชายกับผู้ชาย ไปสัมผัสเสียดสีกัน วิตถารไปเลยน่ะ ความจริง สัจจะ ความจริงนั้นน่ะ เรื่องของเพศผู้กับเพศเมียนั้น สมสู่กัน เพื่อที่จะสร้างเชื้อ สร้างพันธุ์ เท่านั้น ถึงเรียกว่าสืบพันธุ์ สร้างเชื้อสร้างพันธุ์ แต่ทุกวันนี้ มันไม่สืบพันธุ์ มันไม่สร้างเชื้อ สร้างพันธุ์ มันทำเกมกาม นี้คือ กามารมณ์ สัมผัสเสียดสี เท่านั้น สมมุติกันตรงไหน สัมผัสเสียดสีกันตรงไหน มันก็อร่อยตรงนั้นเท่านั้น มันสมมุติกันบ้าๆ มันเป็นสมมุติกัน เป็นอุปาทาน เป็นความไม่จริง ที่จริงการสืบพันธุ์ ไม่ใช่รสอร่อยเลย ไม่ใช่เลย

คุณไม่เชื่อ คุณไปถามดอกไม้ดู เกสรตัวผู้ ผสมเกสรตัวเมีย เขาอร่อยหรือ ... เปล่าเลย ทุกข์ด้วย ไปถามสัตว์ หลายประเภทดู กว่าจะสืบพันธุ์กันได้ ตายไปข้างหนึ่ง สัตว์ประเภท ตัวเมีย ไม่ยอม ต้องตัวผู้ข่มขืน จนกระทั่งบางที ตัวผู้ถูกฆ่าตาย สัตว์หลายประเภท แต่สัญชาตญาณ การสืบพันธุ์ มันจะต้องต่อพืช ต่อพันธุ์ ไม่ใช่ความสุข เป็นความทุกข์ เหนื่อย ร้อน ลำบาก แต่อุปาทานตีกลับ ยั่วย้อมให้คนชอบก็จริง คนหรือสัตว์โลก ที่มันมี ความฉลาดขึ้นมา มันก็ยั่วย้อมให้คนชอบ เพราะฉะนั้น สัตว์หลายประเภท ถูกกิเลส ครอบงำ แล้วชอบ มาเป็นมนุษย์ก็ชอบมาก ชอบมากกว่าสัตว์ มากประเภทเลย แล้วก็ปรุงกัน ต่อไปด้วย ชอบจนกระทั่งติดใจ จนขาดไม่ได้ แล้วกลายเป็นเรื่อง สัมผัส เสียดสี เป็นรสอร่อย ฟังดีๆ แล้วกลายเป็นเรื่องสัมผัสเสียดสี เป็นรสอร่อย กลายเป็น อัสสาทะ ชนิดหนึ่ง ภาษาบาลีเรียกว่าอัสสาทะ รสอร่อย แล้วเลยกลายเป็น สัมผัสเสียดสี นั่นเอง ไม่ใช่สืบพันธุ์เสียแล้ว ผู้ชายกับผู้ชาย ไปสัมผัสเสียดสีกัน แล้วมันจะไปเกิดลูก ที่ไหน ผู้หญิงกับผู้หญิงไปเสียดสีกัน แล้วจะเกิดลูก ที่ไหน สืบพันธุ์ตรงไหนกัน มันเป็น เกมกามแท้ๆเลย เห็นไหม... นี่ละคือ ความวิตถาร ความนอกธรรมชาติ แม้แต่ธรรมชาติ ยังไม่เป็นเลย

ศาสนาพุทธนั้น แม้แต่ธรรมชาติ ยังต้องมาเลิกธรรมชาติ ไม่ต้องมีการเกิดด้วยซ้ำ ไม่ต้อง สืบพันธุ์ด้วยซ้ำ สูงกว่านั้นอีก เพราะฉะนั้น จะต้องเรียนรู้ตั้งแต่บทต้นน่ะ ที่อาตมาย้ำมา เน้นมา ตลอดเวลาว่า เรื่องการแต่งตัว ของผู้หญิงนี้ เป็นอบายมุขอย่างยิ่ง นี่ก็เพราะเหตุนี้ ทุกวันนี้ นี่คุณยอมรับไหมว่า เกมกามมันบ้าไปกันทั้งโลก คนจะล้นโลกอยู่แล้ว มันก็ เลยกลัวมันทุกข์ เพราะคนมันมาก แล้วมันก็ต้อง เลี้ยงดูกัน มันจะต้องอบรมลูก อะไรต่างๆ นานา เป็นภาระที่หนัก มันก็เลยเลี่ยง จากการที่จะมีลูก ไปทำยามาคุมกัน ไปหาวิธี คุมกันสารพัดสารเพ ต่างๆนานา ไปป้องกันปลายเหตุ ไม่ใช่ป้องกันที่ต้นเหตุ ถ้าป้องกัน ที่ต้นเหตุ คุมกำเนิดด้วยการคุมกำหนัด ด้วยการลดความกำหนัด ที่เป็นต้นเหตุน่ะ ลดความกำหนัด จริงๆเลย มันเป็นกิเลส มันฆ่าตาย ได้

พระอรหันต์เจ้านี่ พระพุทธเจ้ายืนยันว่า หมดกำหนัดราคะ หมดกิเลสได้ คุณเชื่อไหมว่า พระพุทธเจ้ามีจริง ใครไม่เชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ยกมือขึ้นซิ ใครเชื่อว่า พระพุทธเจ้า นี่ยังโกหกอยู่ มีไหม ใครจะเชื่อว่า พระพุทธเจ้ายังโกหกอยู่ พระพุทธเจ้าไม่โกหก เมื่อพระพุทธเจ้าไม่โกหก พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ท่านหมด กิเลสกำหนัด ราคะท่านหมด ก็ต้องเป็นความจริง ใช่ไหม เมื่อมันเป็นความจริง ท่านเป็นคน ท่านก็ทำได้ คนอื่น ก็ต้องทำได้ คนอื่นก็คนเหมือนกัน หมดกิเลสราคะได้ ท่านบอกว่าหมดสนิท มันเป็นเรื่อง ของหลอก มันเป็นเรื่องของไม่จริง ไอ้รสชาติเอร็ดอร่อยพวกนี้มันหลอก มันลวง มันไม่จริง

ถ้าเผื่อว่า คุณไม่ได้ปฏิบัติ แล้วคุณจะไม่รู้ ที่อาตมาพูดนี่ พวกเราปฏิบัติมาบ้าง จึงรู้ว่า ลดอร่อย ได้หลายอย่าง แต่ก่อนเคยสูบบุหรี่อร่อย พอลดกิเลสอันนั้นจริงๆแล้ว โอ๊ย! สูบบุหรี่ มันก็เหม็นๆ ธรรมดา... เวียนๆ หัวธรรมดา ขื่นๆธรรมดาน่ะ จริงๆ ...มันไม่ได้อร่อย อะไรเลย มันเป็นอุปาทานนะ แล้วเราก็ ไปหลงชอบมันมา สูบใหม่ๆ ก็ลองสูบ...ทุกคน แทบทั้งนั้นน่ะ สูบใหม่ๆ นี่มัน จะ โอ้โห! สำลักเลย เฝื่อน เหม็นทุกคน เพราะมันมีของเหม็น โดยจริง แต่ เราไปชอบมัน อย่างนี้ เป็นต้น นี่เราอุปาทาน แล้วรู้สึกอร่อย เหมือนกับคนกิน เผ็ด กินเผ็ด โอ๊ย... ยิ่งอร่อยน่ะ ที่จริงเผ็ดนั่นมันมันแสบ มันมีปฏิกิริยาของธาตุ ระหว่าง ของเผ็ดกับไอ้ผิวหนัง ผิวไอ้เซลล์ประสาทของคน มันร้อนน่ะ ภาษาอังกฤษเขาถึงเรียก Hot เผ็ด มันร้อนนะ มันเป็นปฏิกิริยาที่เผ็ด แสบ ร้อน แต่ คนที่ไปฝึกมานี่ โอ้โฮ... ยิ่งเผ็ด ยิ่งแซบ...ยิ่งเผ็ด ยิ่งลำจัด แหม ก็อย่างนี้ มันเป็น อุปาทานนะ มันอร่อย

อาตมาเป็นคนอีสาน กินเผ็ดเก่ง กินข้าวนี่ ถ้าเผื่อว่ามัน มี...อาหารประเภทที่ เขาจะต้อง กินกับพริกนี่ โอ๊ย...พริกตำ เคี้ยวคำอาหารคำ พริกขี้หนูสดคำ กินแล้วต้องมีทั้งกลิ่นด้วยนะ ฉุนออกจมูก แหม รู้สึกชื่นใจ กลิ่น พริกขี้หนูสดน่ะ พริกขี้หนูสวนเสียด้วย อะไรอย่างนี้...นี่ แล้วมันรู้สึกว่า มันอร่อย มันรู้สึกว่าเป็นสุข ที่แท้มันทรมานนะ เหมือนคนจีน ซดน้ำร้อนนี่ นะ ซดน้ำชา ร้อนๆนี่ โอ้โฮ...คุณไปกินซิ ปากพองเลย ร้อนขนาดนั้น แต่คนเขา ฝึกจนทนได้ แล้วเขาก็ว่าอร่อย โอ้ อร่อย... ที่จริงมันเป็นอุปาทาน อย่างหนึ่ง ทำจนได้ ฝึกจนได้ จนมี ทั้งจิต ทั้งกายรับได้ กินน้ำร้อนลวกๆนี่นะ อุณหภูมิขนาดนั้นนี่ คนธรรมดา ไปกินพอง แต่คนที่เขาฝึกแล้ว คนจีนกินนี่ มีวิธีกินเสียด้วยนะ แหม อาตมาไม่เคยไปฝึกด้วย แต่เห็นแล้ว คนไปลองพองก็เราไปรับดูว่าพองจริงๆ มือมันยังพอง แล้วปากคอ ไม่พองได้ยังไง อุณหภูมิ ขนาดนั้น พองนะ แต่เขากินได้ ฝึก มันเป็นเรื่องที่มันฝึก จนทำได้น่ะ นี่เป็นเรื่องที่เกิน เป็นเรื่องที่เฟ้อ เป็นเรื่องที่ทรมาน แต่ไม่รู้ความทรมานของตนน่ะ

เป็นคนสูบบุหรี่อยู่ เป็นคนทรมานตนทั้งนั้น มีพิษมีภัยมาก เดี๋ยวนี้โทษมันร้ายแรง เป็นโรคถุงลมโป่งพองนี่ โอ้โฮ... ทรมาน ที่สุด ไปถามหมอได้เลย ที่สูบบุหรี่นี่ แล้วเป็นโรค ถุงลมโป่งพอง คนไหนที่สูบแล้ว ก็บอก เอ๊ย คนที่มันไม่เป็นก็ตั้งเยอะ คุณรู้หรือว่า คุณจะออกหวย แจ๊คพ็อค คุณหรือเปล่า คุณไปสูบอยู่ มันอาจ จะแจ๊คพ๊อตๆ คุณนั่นแหละ เป็นโรค ถุงลมพอง ไอ้คนอื่นมันไม่เป็น อีกสิบคนร้อยคน มันไม่เป็น มันก็เออ ... เคราะห์ดีไป เรียกว่าเคราะห์ดี ที่จริงไปรับ เคราะห์มาแล้ว ทำสิ่งที่มันไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับตนเอง ทำร้ายตนเองน่ะ มันไม่ออกหวยที่ตนเอง ก็เรียกว่าเคราะห์ดี ถ้ามันออกหวยตนเองน่ะ มัน เคราะห์ร้าย ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราเลิกเสียก่อน เลิกสิ่งเหล่านี้ก่อน มันไม่ได้ให้ ประโยชน์ คุณค่าอะไรเลย มันเป็นอารมณ์ ลมๆ แล้งๆ มันเป็นอารมณ์เท่านั้นเอง มันเป็นเรื่อง ที่เลิกได้ ถ้าคุณฝึกเก่ง

เลิกบุหรี่ไม่ได้นะ คุณอย่าไปพัฒนาใครเลย คนจิตอ่อนแอพรรค์นี้ ไปช่วยอะไรเขาได้ ให้เลิกบุหรี่ก็ไม่ได้ แค่เลิกการแต่งตัวที่เฟ้อๆ นี่ เอาจะแต่งบ้าง เล็กๆน้อยๆ ก่อน ก็ไม่ว่า เป็นขั้นเป็นตอน แหม มันติดมากนะ โอ้โฮ จะไม่ให้ทาแป้ง จะไม่ให้หวีผม เสียเลยนี่ มันก็ไม่ไหว ก็หวีบ้าง ก็ไม่เป็นไร แต่ทำไม จะต้องไปไว้ ...ไปเว้ย ไปตามสมัยอะไร ผมยาวๆ นี่ มันไม่เมื่อยหรือยังไงนะ ไม่รำคาญหรือยังไงนะ อาตมาเคยนะ แต่ก่อนนี่ ก็...แอ๊ค ผมนี่ จะต้องให้มันปรกลงมาตรงนี้หน่อย ใช่ไหม ให้ลงมามีปรกๆลงมาทำ ผู้ชาย ก็เหมือนกัน ชอบนี่ ทำเป็นปรกๆลงมานี่ อาตมาก็ทำบ้าง แอ๊ค...กับเขาบ้าง ตั้งแต่สมัยหนุ่มๆ เอ๊...มันๆ แยงๆ อยู่ยังงี้ รำค๊าญ รำคาญ จนไม่สำเร็จ อาตมาก็ยัง นำกว่าเอ๊ ได้คนที่มันมีผมอยู่ยังงี้ มันแยงๆ อยู่ยังงี้ มันทนๆได้ยังไง โดยเฉพาะผู้หญิง ให้มันปรกลงมาตรงนี้ มันก็แยง ก็มันสัมผัส ใช่ไหมล่ะ ผมมันก็ แยงอยู่ ยังงี้คันๆ มันยุกยิกอยู่อย่างนั้น เอ๊ ก็มันเกลี้ยง ๆ อย่างนี้ มันก็เรียบร้อยดี ให้มันมาอยู่อย่างนี้ ไอ้เราก็นึกว่า เออ ไอ้พวกนี้ทนได้โว้ย อาตมาทนไม่ได้ อาตมาเคยแอ๊ค เคยจะเป็นอย่างเขา เลยทำปรกๆ หยอยๆลงมา แล้ว ปรกๆ แล้วมันก็คันๆ อยู่อย่างนี้ อยู่ยังงี้ อ๊า รำคาญ แอ๊ค ทำไม่สำเร็จ ถึงได้รู้สึกว่า เอ๊อ ไอ้คนเรานี่ มันทำไม มันทน มันไม่รำคาญหรือยังไง ดีไม่ดีแหย่ลงมาถึงตา นะ มันยังไง มันทนได้นะ อาตมาทนไม่ได้ จริงๆ เคยทำน่ะเคยทำ นั่นแหละพวก คนที่ทนๆ อะไร จนกระทั่งชิน มันก็เป็นอย่างนั้น เป็นจนปล่อยวางมัน มันก็เลยไม่ถือสา มันมีนะ แต่มันไม่มีน่ะ

ถ้าอธิบายอย่างธรรมะก็บอกว่า ไม่สัญญากับมัน มันมี เวทนา แต่ไม่สัญญากับมัน ไม่กำหนดลงกับมัน ลืมมัน ก็ไม่มีสัญญา ไม่จำ ไม่รู้ ไม่กำหนดรู้ มันจะเป็นยังไง ก็เหมือนไม่มี มันก็เลยทนได้ นี่อธิบาย อย่างธรรมะ สัญญาไม่ยอมกำหนด จนดับสัญญา หรือ เลิกสัญญากับมัน นั่นแหละ

ถ้าเผื่อว่า พวกเราไม่พัฒนาตนก่อนนะ ไม่กินง่าย นอนง่าย ไม่เลิกละ สิ่งที่เราติดมา ให้ได้จริงๆแล้ว เราจะเปลือง จะผลาญ เพราะฉะนั้น เราก็จะไม่เหลือ เราจะบำเรอตนมาก เพราะเรายิ่งไปหลงใหล กับโลกีย์บริโภคนิยมที่เขามอมเมาเรา เราก็ยิ่งจะไม่เหลือ เมื่อเราไม่เหลือ เราไม่เป็นคนประหยัด กินไม่น้อย ใช้ไม่น้อย กินมาก ใช้มาก ไม่มีทางสำเร็จ ในการพัฒนาตน

ที่นี่นะ ที่ปฐมอโศก หรือที่สันติอโศก ชาวอโศกทั้งหมดนี่ พัฒนามาอย่างนี้ เลิกละอบายมุข สิ่งเสพติด การพนัน ไม่ต้องไปเอาเปรียบ การพนันคือสิ่งเอาเปรียบทั้งนั้น ไม่เอาแล้ว นิสัยเสียมาก เพราะว่าชอบ การพนันนี้คือ ทางหาทาง เอาเปรียบด้วยวิธีอะไรก็แล้วแต่น่ะ วิธีมันง่ายๆ เอาไหม พนันกันไหม หัวหรือก้อย มันก็พนันกันแล้ว มันไม่มีงานอะไรเลย มันไม่มีท่าเลย เป็นแต่เพียง มันออกมาหัว หรือก้อย คนนั้นก็เอาเปรียบไปเลย เอาไปเลย กินไปเลย จะพนันกันแบบไหนก็ตามใจ คือมันไม่มีสาระอะไรเลยนะ มันเป็นเรื่อง การเสี่ยงทาย เฉยๆ อย่างนี้ เป็นต้น หรือจะการพนันวิธีอื่นใดก็แล้วแต่ หาทางเอาเปรียบ หาทางโกง หาทางอะไรต่ออะไรต่างๆ นานาสารพัด ไม่เอา

เราจะไม่เอาเปรียบใคร มีแต่ เราจะเสียสละ ต้องฝึกจิตไปในทิศทางเสียสละ ไม่ใช่จะไป เอาเปรียบ ไม่ใช่จะเอามา ความมักง่ายน่ะ พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้มักง่าย ท่านสอน ให้อดทน ท่านสอนให้วิริยะ อุตสาหะ เพราะฉะนั้น ควรจะฝึกเหล่านี้ การพนัน เป็นการมักง่าย หาทางได้ด้วยอย่างมักง่าย แล้วก็หลอกล่อ กันด้วยอารมณ์ อร่อยดีน่ะ มีการอร่อย มีรสมีชาติ ผสมกับการพนัน อย่างไปซื้อหวยนี่ มันไม่สนุกอะไรหรอก มันก็เป็น แค่เสี่ยงทายเท่านั้น ใช่ไหม ซื้อลอตเตอรี่นี่ พอมันถึงเวลา มันก็ออกเลข ตรงกับเรา เราก็เอามาเลย ไอ้ส่วน เล่นการพนัน มันก็มีวิธีการยั่วยุ เป็นเรื่องของจิตวิทยา อย่างหนึ่ง ที่ทำให้คนเรา มันรู้สึกว่าตัวเองเก่ง ตัวเองมีความจำ ตัวเองมีเล่ห์เหลี่ยม ตัวเองมีเหตุผล ตัวเองมีหลักการ จะเล่นยังงั้นยังงี้ มีวิธีการเล่นยังโน้นอย่างนี้ เอาเลขมานับ เอาไอ้โน่น ไอ้นี่มากินกัน มาอะไร แล้วแต่วิธีการ พลิกแพลง มันเป็นเรื่องของการเอาชนะคะคาน ว่าคนนั้นเก่ง หรือมันจะเล่นโบว์ลิ่ง จะแทงบิลเลียด ก็เหมือนกัน จะต้องรู้เหลี่ยม รู้มุม คำนวณโน่นนี่ คนไหนที่คำนวณ เก่งแม่นยำ แล้วก็มีความสามารถ ในเรื่องความรู้ ความอะไร ก็แล้วแต่ มันก็ทำได้ ดี มันก็เป็นความเก่ง ชนิดหนึ่ง แต่เป็นความเก่ง ที่มันเป็น การพนัน มันเป็นการเอา ชนะคะคานเท่านั้น แล้วก็ไม่เกิดคุณค่าอะไร เท่าไหร่เลย ผลเสีย มากกว่า ผลได้น่ะ

เราจะมาฝึกปรือความเก่งในการที่ จะมีวิธีแบกหิน ได้อย่างไร อย่างพวกจีน สมัยโบราณ นี่แบกหิน ได้หนักๆ เออ อย่างนี้ค่อยเข้าท่าหน่อย ยกของหนักนี่ ให้มันรู้สึกเบาได้อย่างไร มันวิธีการความเก่งมีทริค (Trick) มีกลเม็ดอะไรอย่างนี้ๆมา สะสมอย่างนี้ ยังเป็นค่า ประโยชน์ นี่มันไม่มี ท่าอะไรหรอก เอาลูกนี่ มากลิ้งไป ให้พินมันล้มไปที แหม อย่างโน้น อย่างนี้ บังคับลูกได้เก่ง ทีบิลเลียด ก็แทงมุมนั้นมุมนี้ บังคับลูกให้มาอย่างโน้น อย่างนี้ ได้เก่ง มันก็ ไอ้เก่งแค่นั้น มันไม่เกิดคุณค่าอะไรมากมายน่ะ เสียเรี่ยว เสียแรง สิ่งเสพติด การพนัน มหรสพ การละเล่น มหรสพก็อธิบายไปแล้วน่ะ เที่ยวกลางคืน กลางคืนเป็นเวลา พักผ่อน พระอาทิตย์ก็หมดแสงแล้ว แต่ทีนี้คนเรามันเก่ง เลยเอาแสง ขึ้นมาแทนน่ะ เลยไม่ต้อง ปิดไฟกันเลย สว่าง เขาว่ากรุงเทพฯ ไม่มีความมืด กรุง เทพฯ ไม่มีวันหมดแสง ก็จริงน่ะ กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมร เขาว่าอย่างนั้น ที่จริงไม่ใช่หรอก

กรุงเทพฯ เป็นเมืองนรก อมรเป็นนรกที่จะไม่ตาย เมืองกรุงเทพฯ นี่ เป็นนรกใหญ่ที่สุดเลย อบายมุข เต็มไปหมดที่ในกรุงเทพฯ ถ้าอยากจะเรียนรู้ อบายมุขแล้ว จะต้องวิ่งหากรุงเทพฯ มันจะมีอบายมุข ให้เรียนนะ ปราบผีไม่หมด ในกรุงเทพฯนี่น่ะ ปราบผีไม่ได้ ปราบผีไม่หมด เพราะผี มันเยอะเหลือเกิน แล้วผี มันร้ายด้วย ดุๆ เพราะคนยังไม่เข้าใจเรื่องผี นึกว่า ผีมันอยู่ที่คนตาย แล้วก็มี วิญญาณล่องลอย เวิ้งว้างๆ ไม่จริงน่ะ ถ้าวิญญาณนั้น มาล่องลอย หลอกคนได้จริง วิญญาณนั้น จะมาหลอกคนตลอดไป แล้วจะมาหลอกคน อยู่อย่างมาก ไม่มีสุขหรอกนี่ ทุกคนมีพี่มีน้อง ทุกคนมีพ่อมีแม่ ทุกคนมีปู่ย่าตายาย ทุกคนมีคนรัก ถ้าวิญญาณนั้น หลอกกันได้จริง วิญญาณนั้น จะต้องมาหาคน หลอกก็คือมาหา ใช่ไหม หลอกก็คือมา มาปรากฏตัวให้เรารู้ ถ้าคนรักกัน จะเป็นคู่รักกัน ก็ตาม ผัวเมียหรือคู่รักกัน ตายจากกัน มันก็ต้อง อยากจะใกล้กัน ใช่ไหม มันก็ต้องมาหา พ่อแม่ลูก ตายจากกัน มันก็ต้องรักกัน พ่อ ลูก แม่ ลูก ยังงี้มันก็ต้องรักกันใช่ไหม พ่อตาย แม่ตาย ก็ต้อง มาหา เพราะฉะนั้น ทุกครอบครัว ทุกบ้านเรือน จะต้องมีผี มาหาหมด จริงไหม คุณคิดง่ายๆ เหตุผลใช่ไหม คนที่รักกัน ต้องมาหากันใช่ไหม ยิ่งตาย จากกัน มันยิ่งจะต้อง มาหากันมาก ขนาดคน ยังไม่ตายจากกัน ห่างกันแค่เดือนหนึ่ง วันหนึ่งๆ ปีหนึ่งนี่ มันยังคิดถึงกัน ใช่ไหม นี่ตายจากกัน มันจะต้องมาหากันอย่างมากเลย ถ้าผีมีจริง วิญญาณ มันมาหากัน ได้จริง ทุกบ้านทุกเรือน จะมีผีมาหาทุกบ้าน เพราะมีคนตายจากกัน ทุกบ้าน มีญาติโกโยติกา ที่ตายจากกัน ทุกคน มีคนที่รักกันตาย ใช่ไหมๆ คุณคิดให้ดี นี่คือสูตร พิสูจน์ว่า เป็นสูตรสำเร็จที่พิสูจน์ว่า ผีไม่มี ผีอย่างนั้น ไม่มี ไอ้ที่มีนั่นคือ ตัวเองหลอกตัวเอง ทั้งนั้น ไปเห็นในป่าช้า ไปเห็นในที่มืด ที่สว่างไม่ค่อยจะเห็นเสียด้วยนะ เพราะมันหลอกลวง หลอกไม่ค่อยชัด มันสว่างนี่ มันเห็นชัดๆ มันก็เลยไม่ค่อยหลอก มันต้องอยู่ ในที่มืดนี่แหละ มีผีหลอก มันจะได้เบลอๆ ฝ้าๆ มัวๆ แล้วก็ตกอกตกใจ หัวโกร๋น ตายมาเยอะแล้ว นึกว่าผีหลอก ผีมันหลอกทั้งนั้น ไม่มีของจริง ไม่มีน่ะ ไม่มีหรอก ของจริงไม่มี แล้วมันหลอกกันมา ไม่ใช่วันเดียว มันหลอกกันมาตั้งเป็นพัน เป็นหมื่นปีแล้ว เป็นแสนปีแล้ว นึกว่ามันมี มานานแล้ว แล้วก็นึกว่า ผีอย่างนั้นหลอก

ผีคือจิตวิญญาณที่ชั่ว อยู่ในตัวเรา ผีอบายมุข นี่ผีร้าย ตัวร้ายทำให้คนเลวลงไปหมด นี่คือผี ผีคือความชั่ว ศัพท์ภาษาทางศาสนาคริสต์ เขาเรียกว่าซาตาน ซาตานนี่ มันต่อสู้กับพระเจ้า ต่อสู้กับจิตวิญญาณดี จิตวิญญาณชั่ว นี่อยู่ในคนนี่แหละ กิเลสนั่นเอง กิเลส ตัณหา อุปาทาน นั่นเองคือผี นำพาให้เราตกต่ำ ผีไปติดยาเสพติด ผีไปติดไอ้มหรสพ การละเล่น ผีไปติด การเที่ยวกลางคืน คบมิตรชั่ว ผีขี้เกียจ แหม ผีขี้เกียจ นี่ อื้อหือ แม้แต่ในอโศกนี่ ก็ยังมีอยู่ ตัดหัวตัดหางมันยากเหลือเกิน ผีขี้เกียจ ผีเห็นแก่ตัว มันขี้เกียจ

นี่แหละ คืออบายมุข ๖ น่ะ สิ่งเสพติด การพนัน มหรสพ คบมิตรชั่ว เที่ยวกลางคืน ขี้เกียจ แหม ตัวขี้เกียจนี่ ต้องขานชื่อมันดังๆ หน่อยน่ะ ตัวพวกนี้ เลวร้ายทั้งนั้น เลิกให้ได้ก่อน ทำตนเอง ให้มีคุณ อันสมควรก่อน เลิกให้ได้ก่อน พอเลิกได้แล้ว ใจเราจะแข็งแรง คุณที่เลิกละ หยุดสิ่งที่คุณเสพ คุณติดมาได้นี่ เป็นความแข็งแรงของจิตใจ ยิ่งมาเรียนรู้ ตามศาสนานี่ อาตมาพาทำนี่ จะพิจารณา ด้วยหลักวิปัสสนา หลักสมถะ อะไร เพื่อที่จะลดมัน จริงๆ กิเลสมันลดตายไปจริงๆ เลยนะ นั่นยิ่งเป็น ความปลอดภัย ยิ่งแข็งแรง อย่างถาวรน่ะ ลดกิเลสได้จริงนี่ ไม่เวียนกลับ ถาวร แล้วจะเอาแรงงาน เอาเวลา เอาทุนรอน อะไรนั้น มาสร้างสรรได้ แล้วเราก็ไม่ผลาญ ไม่เปลือง พอเราเลิกมาได้แล้ว เราก็ไม่ผลาญ ไม่เปลือง เมื่อไม่ผลาญไม่เปลือง เราจึงจะมา พัฒนาสังคมได้ เพราะเราไปไหน เราก็ไม่ต้อง ไปให้คนลำบาก ไม่ต้องให้คน ต้องมาเลี้ยงดู ต้องมาหนักหนา เราเอง เราก็เป็นคนขยัน สร้างสรร ก็มีส่วนเกินช่วยเหลือคนอื่นได้ ไอ้ตัวคนไหนกินก็เปลือง ใช้ก็เปลือง อะไรๆ ก็ยัง ใช้บำเรอตนอยู่ตั้งเยอะ ตั้งแยะ แล้วตัวเอง ก็ไม่คุ้มตัวสร้างสรร อะไรต่ออะไร ให้แก่คนอื่น ก็ไม่คุ้ม ทำงานให้แก่คนอื่นก็ไม่คุ้ม ก็ขนาดตนเอง มันยังไม่คุ้ม แล้ว เศรษฐกิจตนเอง ก็คือไม่พอ เมื่อไม่พอแล้ว จะไปช่วยคนอื่น ได้ยังไง มันก็ไป เบียดเบียน คนอื่นเขาเท่านั้น จะไปพัฒนาคนไม่ได้น่ะ ไม่ได้จริงๆ

อาตมาเน้นในเรื่องนี้ จะพัฒนาคน มาวันนี้ บรรยายในจุดนี้ให้ฟัง ยังจะมีเวลาอีก พรุ่งนี้ วันพฤหัส ได้พูดกับคุณอีกสักเช้าหนึ่ง พรุ่งนี้ ตอนบ่าย อบรมได้หรือเปล่านี่ คือธรรมดา ผู้ที่มาในที่นี้ นี่มาอบรม ทุกทีอาตมาจะมีรายการหนึ่ง คือตอบปัญหา เมื่อคุณมาสัมผัสแล้ว มันจะเกิด ข้องใจ เรื่องนั่นเรื่องนี่ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา มันจะสงสัย มันเป็นปัญหา ข้องใจอยู่ อาตมาก็เปิดโอกาสให้ถาม มีเวลามาอยู่ อย่าง ๕ วัน ๗ วัน อะไรนี่ ส่วนมาก จะให้ถาม พอมาสัมผัสเข้าแล้ว เรื่องนั่นเรื่องนี่ มันไม่ใช่เข้าใจง่ายๆนะ สิ่งเหล่านี้ มันลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น ก็จะต้องไขปัญหา หรือว่า จะต้องคลายความข้องใจ หนึ่งรายการเสมอ อาตมาก็เลย บอกสมภารแล้ว เพราะว่าวันศุกร์ วันเสาร์นี้ พวกอาตมาจะต้อง ประชุมใหญ่กัน จะต้อง มีกิจสงฆ์ กันไป จนกระทั่ง วันอาทิตย์ก็มีงานใหญ่ ญาติโยมมากัน เพราะฉะนั้น มันไม่มีเวลาอื่น พวกคุณ ก็จะต้องสังสรรไปกับหมู่ญาติโยมเขาล่ะ วันศุกร์ วันเสาร์ พระเจ้าอะไรกันก็จะต้อง เข้าประชุมหมด ไม่มีใครเหลือ พระไม่เหลือ มีแต่ฆราวาส จะช่วยกันน่ะพวกเรา นี่เป็นพี่เลี้ยงกัน เพราะได้ปฏิบัติมาแล้ว ได้เลิกละมาแล้ว ได้อะไรต่ออะไรมา พัฒนามา แล้วก็จะช่วยเหลือพวกคุณ ในวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์น่ะ เท่าที่จะช่วยกันได้ ส่วนพระนั้น ต้องวางมือ เพราะว่าจะต้องมาทำกิจ เป็นงาน ประจำปีเรา วัน มหาปวารณา ไหนจะต้องทำ ต้องประชุมกัน พระประชุมกันปีหนึ่ง ประชุมใหญ่ พระทุกรูป ของอโศก มาประชุมหมด มีเรื่องราวอะไร ก็วางแผนกัน อะไรต่ออะไรกัน วางระบบ ระเบียบอะไรกัน สำหรับ นโยบายปีต่อไป อะไรนี่ต้องทำกันทุกปีน่ะ

นี่เป็นวิธีการ มันเป็นวิธีการของพวกเราที่ทำกันอยู่ เป็นจารีตประ เพณี ที่จะต้องทำ เราก็ดำเนินกันไป แต่ละปี แต่ละปี เหมือนกันแหละ ทำโครงงานการบริหาร การอะไร เขาก็ทำเหมือนกัน ไอ้อย่างที่ อาตมาว่านี่ ที่อื่นเขาก็ทำน่ะ หลักการ หลักวิชา เขาก็ทำอย่างนี้ แต่เราเรียกกันคนละชื่อ เท่านั้นเอง นี่ เราเรียก "มหาปวารณา" ประชุมสงฆ์ ประจำปี มันเป็นอย่างนั้นน่ะ

พรุ่งนี้ บ่ายอาตมาบอกสมภารไว้ว่า ถ้าจะตอบปัญหา ก็คงได้บ่ายพรุ่งนี้ วันพฤหัส เพราะวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ ไม่มีเวลาแล้ว อย่างที่ บอก เพราะฉะนั้น พรุ่งนี้เช้าทำวัตรเช้า ก็ได้พบกันอีกวันหนึ่ง หรือว่าจอง ให้คนอื่น ผมพรุ่งนี้เช้า แล้วบ่าย

สรุปช่วงนี้ ตอนนี้ให้ฟังว่า เราต้องทำคุณอันสมควรก่อน แล้วสอนผู้อื่นภายหลัง จึงจะไม่มัวหมอง เราจะไป พัฒนาใคร ต้องพัฒนาตน เราจะพัฒนาสังคมส่วนกว้างได้ ต้องพัฒนา สังคมส่วนเล็ก ส่วนย่อย เป็นจุลภาคให้ได้ก่อน จึงจะทำเป็น มหัพภาคได้ ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราพัฒนาส่วนจุลภาคไม่ได้ มันไม่มีโครงสร้าง มันไม่มีระบบ มันไม่มีทฤษฎี หรือสูตรที่จะเป็นสูตร ประสพผล สำเร็จอย่างแท้จริงไปใช้ เราต้องสร้าง สูตรสำเร็จ ที่ใช้พิสูจน์ของจริงก่อน ต้องสร้างความจริงก่อน อย่าไปหลง ในความรู้เท่านั้น

คนเรา คิดสูตรอะไร คิดทฤษฎีอะไร ก็ได้เป็นความรู้ แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ อย่างนี้ไม่ใช่เรื่องจริง ต้องเป็น ทฤษฏี หรือเป็นสูตร ที่ได้พิสูจน์เสียก่อน เมื่อพิสูจน์ประสพผลสำเร็จแล้ว ค่อยขยาย ขนาดสูตรที่ทำจาก เล็กนี่นะ กับหมู่กลุ่มเล็กแล้ว จะไปขยายใหญ่ๆๆ ใหญ่นี่ มันยังไม่ค่อย เหมือนกันเลย เราสร้างอะไร ก็ตามแต่ สร้างของเล็ก พอโมเดลโตขึ้นนี่ มันยังจะต้อง บางอย่าง ตีกลับด้วย บางอย่างใช้สูตรอย่างนี้ ไม่เป็นสูตรสำเร็จ เป็นสูตรที่ จะต้องแก้ไข

เพราะฉะนั้น สูตรของอะไรๆก็ตามแต่ ที่ใช้ๆมานี่หลายสูตร มันไม่ใช่ตัวสำเร็จรูปไป จนกระทั่ง เมื่อถึง ขีดขอบหนึ่งนี่ บางทีเปลี่ยนแปลงแล้ว บางทีตีกลับเสียด้วยซ้ำ ไม่เป็นไป ดังที่สูตรนี้ ให้ผลอันนั้นออกมา มันมีขอบเขตของมันน่ะ เพราะฉะนั้น เราจะต้องพิจารณา อย่างมาก บางราย มันก็กลายเป็นพันธุ์ อย่างนั้น เป็นพันธุ์อย่างนั้นไป ต่อไปมันไม่ใช่ ช่วงเดียว มันไม่ใช่วันเดียว มันไม่รู้กี่ช่วงกี่วัน กี่ปีกี่เดือนมา ก็กลายเป็นอย่างนั้นไปน่ะ ก็กลายเป็น กรรมพันธุ์เอา พวกนี้ ผมเป็นแบบนี้แหละ อย่างนี้เป็นต้น

ส่วนสรีระ ส่วนอื่นก็เหมือนกันทั่วๆไป เหมือนกันหมดน่ะ นี่คือเราไม่รู้ เราไม่เข้าใจ สัจจะ ความจริง พวกนี้ เราก็ไปเอาตามโลก โลกมันมอมเมา โลกมันจะเอาประดิษฐ์ ตบแต่ง อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่รู้ล่ะ ส่วนนั้น ส่วนนี้ของข้า จะเป็นยังไง มันก็ทำให้ผิดธรรมชาติไปหมด เอาอะไรมาปรับ มาเปลี่ยน มาดัด มาแปลง มาทำอะไรมันวุ่นวายไปหมดน่ะ ถ้าเราไม่เรียนรู้ สิ่งที่ว่า เราจะต้องกลับเข้ามาสู่ ธรรมชาติที่ง่ายๆ อยู่อย่างนั้น ตลอด นิรันดร์กาล

สรุปง่ายๆ เราจะเลิกละอะไรก่อน ที่โลกมันมอมเมาเรานี่แหละ สำคัญเราจะเลิกละ อะไรไปก่อน นี่ฟังไปแล้วนี่ เราจะพัฒนาตนก่อน แล้วจะไปสอนผู้อื่น เราต้องเป็นคน ไม่ผลาญ ต้องเป็นคนแข็งแรง ถ้าเผื่อว่า เรายังเปลืองอยู่ ผลาญอยู่ เรายังเป็นคนมักน้อย สันโดษไม่ได้ เลี้ยงง่ายไม่ได้ เป็นคนเลี้ยงยาก กินก็ยาก ต้องต้อนรับ ต้องบำเรอบำรุง ต้องวุ่น อะไรคนอื่น อาตมาก็ยังได้อีก เท่าเดิม บางอย่าง ใช้สูตรอย่างนี้ ไม่เป็นสูตรสำเร็จ เป็นสูตรที่ จะต้องแก้ไข เพราะฉะนั้น สูตรของอะไรๆ ก็ตามแต่ ที่ใช้ๆๆ ใช้มานี่ หลายสูตร มันไม่ใช่ตัวสำเร็จรูปไป จนกระทั่ง เมื่อถึงขีดขอบหนึ่งนี่ บางทีเปลี่ยนแปลงแล้ว บางที ตีกลับเสียด้วยซ้ำ ไม่เป็นไป ดังที่สูตรนี้ ให้ผลอันนั้นออกมา มันมีขอบเขตของมัน เพราะฉะนั้น เราจะต้อง พิจารณา อย่างมากเลย สูตรอะไรก็แล้วแต่ในโลก ที่จะต้องใช้นี่ จะต้องพิสูจน์

ส่วนสูตรของพระพุทธเจ้านั้น เป็นสูตรสำเร็จที่วิเศษ มรรคองค์ ๘ หรือ โพธิปักขิยธรรม ทำให้ตัวเรา ละกิเลสลงไป แล้วก็ยัง มีองค์ประกอบอีกแยะ ที่จะต้องเลิกละมา เป็นขั้น เป็นตอน เป็นฐานของมนุษย์ ที่แท้จริง เมื่อลดละได้แล้ว เราเป็นผู้มักน้อย เป็นผู้สันโดษ สันโดษ แปลว่าใจพอ ใจมันพอจริงๆเลย มีนุ่งมีห่ม แค่นี้ก็พอ มีกินแค่นี้ก็พอๆ จริงๆนะ ไม่ใช่เป็นแต่ เพียงว่า เราสะกดฝืนไว้ ใจมันพอจริงๆ มันพอจริงๆ สบายๆ แล้วมันสบายแล้ว มี นุ่งห่มแค่นี้ก็พอแล้ว มีกินแค่นี้ก็พอแล้ว บ้านช่องเรือนชาน มีแค่นี้ก็พอแล้ว ที่พักอาศัย แค่นี้ก็พอ ยารักษาโรคไม่มีดี พระพุทธเจ้าสอนให้พวกเรา กินได้แม้กระทั่ง น้ำเยี่ยว บอก แต่เราฝึกกันจริงๆ นะน้ำเยี่ยวนี่เอามาดอง ดองสมอ ดอง นะ มะขามป้อม ไอ้นั่นไอ้นี่ กินเป็นยาแทน ไม่ต้องไปกินยาสมัยใหม่ อะไรก็กินให้ได้ อย่างนี้ เป็นต้น อาศัยอยู่ได้ ด้วยธรรมชาติ ด้วยสิ่งที่มันไม่ต้องพิลึกกึกกืออะไร มากมาย มันก็เป็นคนเลี้ยงง่าย เมื่อเราเป็นคนประหยัด เลี้ยงง่าย แล้วก็ไม่เฟ้อ ไม่เกิน รู้จักใจพอ เรียกว่า คนสันโดษ มีใจพอ แค่นี้มันก็พอแล้ว ที่มันไม่ต้องไปเปลือง อะไรมาก เพราะฉะนั้น จะได้รู้ว่า ชีวิต ร่างกายของเรา ความเป็นอยู่ของเรา เป็นความเป็นอยู่ที่ถูกๆ คนที่มีความเป็นอยู่ถูกๆ สิ่งที่จะเอามา สังเคราะห์ตัวเราไว้นี่ ถูก แต่ประสิทธิภาพของเรานี่สร้างสรร ทำงานทำการ ขยัน หมั่นเพียร สร้างได้มีแรงงานได้ ผลผลิตสูง นั่นคือเศรษฐศาสตร์ นั่นคือ ความประสพ ผลสำเร็จ ทางเศรษฐศาสตร์ ก็เป็นคนเจริญสิ ตัวเองนี่นะ มันใช้แค่นี้ เป็นรถยนต์ ที่กินน้ำมันน้อย กินไฟน้อย กินอะไรต่ออะไรก็น้อย แต่รถยนต์คันนี้ ทำได้ สารพัดประโยชน์ เครื่องกลอันนี้ ทำได้สารพัด ประโยชน์ ทำได้มากด้วย แต่กินอะไรน้อย คุณเอาไหม แล้วขายราคาถูกด้วย ทำงานฟรีนั่นเอง อย่างพวกเรา สอนให้ทำงานฟรี ขายก็ราคาถูก นั่นเอง เครื่องกลคันนี้นี่ เอาไปใช้ที่ไหน ก็ถูกนะ ซื้อขายก็ถูก ไปไหนก็ถูก ขายก็ถูก คนก็ต้องเอา ฉันใดก็ฉันนั้น นี่ ต้อง ทำให้ได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้อย่างนี้ พัฒนาเศรษฐกิจ พัฒนาประเทศชาติ พัฒนาอะไรๆ ไม่ขึ้น ไม่ขึ้นขอยืนยัน เพราะต่างคนต่างก็ มีความโลภ มีแต่ทิศทาง ที่จะต้อง คนเจริญคือคนจะต้องมีศักดิ์ ฐานะร่ำรวย มีทรัพย์ศฤงคาร เป็นเครื่องยืนยัน บ้านใหญ่ บ้านโต มีรถยนต์หลายคัน มีที่ดินหลายแปลง เสร็จแล้ว ก็ให้งูมันอยู่ ให้อะไรมันอยู่ ใครไม่พอใจ ไม่ต้องให้ใครเช่า ไม่ให้ค่าเช่า พอที่จะคุ้มใคร ไม่ให้ใครเช่า ให้หญ้ามันขึ้น ให้ตำแยมันขึ้น ให้งูมันอยู่ ให้หนูมันอยู่ ดีกว่า ให้คนไปทำนา ทำไร่ นี่พวกทุนนิยมทั้งนั้น จะต้องมีอะไรเป็นอลังการ เนื้อตัวก็จะต้อง มีทองมีหยอง มีเพชร มีพลอย อยู่พราวไปหมด เอาเงินเอาทองไปซื้อเอามาถมนี่ฉันรวย นี่คือ สิ่งประกาศ ความสำเร็จ ของชีวิต ระบบทุนนิยม ก็ไปแบบนั้น

แต่ทางธรรม มีระบบบุญนิยม ของเรากำลังประกาศระบบบุญนิยม คือ เป็นคนที่มักน้อย สันโดษ มอซอ ไม่มีเพชรสักเม็ด ก็ไม่เอา ทองก็ไม่มี ที่นี่ไม่ให้เอาทอง เอาเพชรมาไว้ที่นี้ ตลอดโลกแตก ที่นี่ไม่มีเพชร สักเม็ด ไม่มีทองคำเลย สักก้อนหนึ่ง สักกรัมหนึ่ง ไม่ต้องม ีสักกรัมเลย ที่นี่ รับรองอยู่ได้ตลอดโลกแตก ไม่มีความจำเป็นอะไร ที่จะต้องเอาเพชร เอาทอง มาไว้ที่นี้ ให้เป็นเชื้อของการปล้น การจี้ อย่างนี้ เป็นต้น

เอาละ หมดเวลาแล้วนะ อาตมาก็มีเวลา มันพูดได้เยอะละนะ มันรู้มาก พูดเท่าไหร่ มันก็ไม่หมด แล้วค่อยๆ บรรยายกันนะ มีเวลาอีกแล้วค่อยต่อ วันนี้มันเลยเวลาแล้ว พอ เอ้า จบ

สาธุ


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง ธันวาคม ๒๕๓๑
ตรวจทาน ๑. โดย สม.ปราณี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๓๑
พิมพ์โดย สม.นัยนา ๒๓ กรกฎาคม ๒๔๓๔
ตรวจทาน ๒. โดย สม.จินดา ๒๔ กรกฎาคม ๒๔๓๔
เข้าปกโดย นายสุริยา รุ่งเรือง
เขียนปกโดย พุทธศิลป์ สิงหาคม ๒๕๓๔

เห็นได้ง่าย-เป็นได้ยาก / FILE:1641.TAP