เป้าหมายแท้ๆ ...อโศกรำลึก
โดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๓๔ แสดงธรรมก่อนฉัน
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

เจริญธรรม มนุษย์ชาวหินฟ้าทั้งหลาย

วันนี้ เป็นวันแท้น่ะ เราถือว่าเป็นวันแท้ เมื่อวานนี้ ท่านถิรจิตโตยืนยันว่า วันเกิดจริงๆน่ะ วันเกิดของ อโศก วันเกิดของสมณะนี่นะ มันวันที่ ๙ มิถุนายน ส่วนวันที่ ๑๐ นั้น เป็นวันเปลี่ยน เสื้อผ้า มานุ่งห่ม เสื้อผ้านะ จริงๆน่ะ วันเกิดจริงๆ นั้นน่ะ อุบัติตกลงมีคำว่าสมณะ เราจะเรียกพระไม่ได้ เรียกภิกษุ ไม่ได้ เราจะต้องเรียกสมณะเท่านั้น มันเกิดเมื่อวันที่ ๙ ส่วนวันที่ ๑๐ น่ะ เรามาเปลี่ยนเสื้อ เปลี่ยนผ้า เท่านั้น ว่างั้น ก็จริงอยู่น่ะ ทีนี้มันควรจะทั้งบัญญัติ ทั้งการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนชื่อเรียก ก็เปลี่ยนเถอะ แล้วการเปลี่ยนแปลงรูปแบบเสื้อผ้าน่ะ รูปแบบ เครื่องนุ่งห่ม เราก็ได้มาเปลี่ยนแปลง ในวันที่ ๑๐ โดยอาตมาถือว่า เป็นผู้เปลี่ยนก่อน เปลี่ยนจริงๆ เปลี่ยนจากวันเปลี่ยน ในวันนั้น แล้วก็เปลี่ยนไปเลย วันที่ ๑๑ เราก็เปลี่ยนกันทั้งหมดน่ะ ก็เอาละ เป็นตามสมมุติ ตามที่มันเป็นน่ะ มันก็ได้ เท่าที่มันได้ ค่อยๆไอ้นี่มา ก็เป็นวันเกิดของสมณะ

ทีนี้ ในชื่อ หรือในความหมาย ในนิยาม ที่อาตมาได้พยายามบอกพวกเราไว้ แล้วก็เอามาพูดถึง แล้วก็เอามาขยายความ อธิบายอะไรสู่กันฟังหลายทีแล้ว วันนี้ก็เอาขึ้นมาขยายความ สู่กันฟังอีกว่า วันอโศกรำลึกนั้น เป็นวันอะไรบ้างน่ะ

เป็นวันส่วนตัว หมายความว่า พวกเราๆ อาตมาเคยย้ำนะว่า วันงาน อโศกรำลึกนี่ เราจะไม่ไปชี้ชวน จะไม่ไปโฆษณา จะไม่ไปเที่ยวได้บอกอะไรต่ออะไร ให้แก่ใครต่อใคร ชาวอโศก จะสำนึกเอง จะรำลึกเอง เรากำหนดกันไว้อยู่ว่า วันใด แต่ก่อนนี้ เราตราเอาไว้ว่า วันที่ ๕ มิถุนา ตอนนี้เรา มาเปลี่ยน เป็นตราเอาไว้ว่า วันที่ ๑๐ มิถุนา แล้วปีต่อๆไป เราก็จะใช้วันที่ ๑๐ มิถุนา เราก็เป็นที่ รู้กันว่า วันที่ ๑๐ มิถุนา เป็นวันอโศกรำลึก ที่เราจะมารวมกัน มาพบกัน ก็เป็นวันส่วนตัว อาตมาเคยเปรยๆ ปรามพวกเราไว้ว่า อย่าไปชวนคนนอก อย่าไปชวนคนที่ ไม่ได้อิโหน่อิเหน่อะไร หรือแม้แต่ คนสนิทก็ตาม คนในๆที่เป็นชาวอโศกก็ตาม ก็ไม่ต้องไปชวนอะไรกัน มากมายหรอก คำพูดนี้นี่ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณชวนพวกในเลยจริงๆก็ผิด ก็ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว เราก็รู้อยู่ว่า เขาจะมา หรือว่าควรจะมานะ ก็ เอ้า เปรยๆ ปรายๆกัน บอกว่า ไปวันอโศก ไปงานวันอโศก กันไหม ไปกันเถอะ คนในจริงๆนี่ พูดกันบ้างเล็กๆน้อยๆ ก็พอได้ แต่ไม่ต้องไปเซ้าซี้ ไม่ต้องไปดึงทึ้ง อะไรกันหรอก เพราะว่า ตามสบายไปตามเป็นเรื่องของส่วนตัว อย่าไปละลาบละล้วง ส่วนตัว กันมากนัก โดยเฉพาะคนนอก คนนอกไม่ต้องไปพูดกับเขา คนนอกไม่ต้องไปบอกว่า นี่ไปงาน อโศกรำลึกซิ คนนอกน่ะ อาตมาเคยเปรย แล้วพวกเราก็ไม่เข้าใจ พวกเราไปเปรย แล้วก็ไปชวนคนอื่น มาบ้างเหมือนกัน ในวันอโศกรำลึกนี่น่ะ อาตมาเคยปรามนะ ทำไมต้องปราม เพราะอาตมา ว่า มันเป็นเรื่องภายใน มันเป็นเรื่องพวกเรา มันเป็นเรื่องความมุ่งหมายอีกจุดหนึ่ง ว่ามันจะเป็นเรื่องของ สติสัมปชัญญะ ปัญญา ศรัทธา เป็นเรื่องของส่วนตัว เป็นเรื่องของ อิสระเสรีภาพ แม้แต่ตัวเองรู้อยู่ แต่ตัวเอง ไม่อยากมา ก็ไม่ได้บังคับ ถ้าใครเห็นว่า ไม่มาล่ะ มาก็มีอะไร มาก็มานั่งฟังท่านอัดน่ะ เราก็ได้รับการอัด กลับไปอีก อยู่อย่างเก่านั่นแหละ ของเก่าก็ยังทำไม่ได้เลย มารับอัดใหม่เข้าไปอีก โอ๊ อัดเราแอ้เลย ก็เท่านั้นเอง นี่ อาตมาก็พูดไป อย่างนั้นแหละนะ คิดว่า บางคนอาจจะไม่ได้คิดอย่างนี้ ทีเดียวก็ตามเถอะ คิดอย่างอื่นใดบ้าง ก็ช่างเถอะ ก็ไม่คิดอยากจะมาก็แล้วแต่นะ ไม่ได้บังคับกัน แล้วเราก็ไม่ได้ ไปเกลียดไปชังกัน ไปต่อว่าต่อขานกัน ทำไมไม่มาวันอโศกรำลึก อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่ต้องไปต่อว่า ต่อขาน อะไรกันหรอกนะ แล้วจำๆกันไว้ เป็นวันส่วนตัว

เป็นวันไม่เอิกเกริกหรอกนะ คือวันเงียบน่ะ ข้อ ๒ นี่ เราก็นั่นแน่ะ เขียนลอกเอาไว้ อยู่ที่โน่น เป็นวันเงียบ เป็นวันที่ไม่เอิกเกริก

เป็นวันอิ่ม โดยเฉพาะอิ่มใจ ถ้ามันถึงขั้นอิ่มใจได้ ไม่ใช่เป็นวันที่โหวงๆ เหวงๆ เป็นวันที่พร่อง เป็นวันที่ใจไม่เต็ม ไม่เต็มใจ เพราะฉะนั้น แม้แต่การมา ก็ควรจะมาอย่างเต็มใจ อย่างที่กล่าวแล้ว เป็นวันอิ่ม เป็นวันเต็ม เป็นวันที่มา ก็เต็มใจมา มากันโดยอิสรเสรี โดยความพอใจ โดยความยินดีน่ะ แล้วหัด ถ้ายังไงๆ เราก็หัด โดยอาศัยพิธีการ อาศัยรูปแบบ อาศัยการกำหนด กำหนดสมมุติ นี่ เรากำหนด มันขึ้นว่า อย่างนี้ๆนะ นี่วันอโศกรำลึก ไม่มีอะไร มารวมกันเฉยๆ น่ะ ว่างๆ สักวาระ สักปี อาตมาจะลองนะบอกว่า มาอโศกรำลึก มาถึงก็ ไม่มีอะไรเลย ไม่ทำอะไรเลย เทศน์ก็ไม่เทศน์ มาก็นั่งๆ ยืนๆ เดินๆ เฉยๆ กันไปเฉยๆ นี่ว่างๆ เฉยๆ นี่ เดี๋ยวเถอะ สักงาน สักปีเอามั่ง สักปีลองดูซิ จะดิ้นกันยังไง จะจืดชืดขนาดไหน แล้วเราจะทนไหวไหม ไม่อยู่แล้ว มาไม่เห็นมีอะไร ไม่มีอะไรเลย จะเทศน์ให้ฟัง ก็ไม่เทศน์อีกแล้ว จะมาก็เอาล่ะ รู้แล้วล่ะ มา วันอิ่ม วันเต็ม ไม่ให้กินข้าว ไม่กินล่ะ อดให้ก็ได้ วันหนึ่งวันนี้ แล้วยังไม่ทำอะไรอีก ยังไม่พูดอะไรให้ฟังอีก ยังไม่มีอะไรอีก แหม เซ็งตายเลย จะดูซิว่า มันจะเป็นยังไง แต่ตอนนี้ เรายังไม่ได้มีหรอก นี่เกริ่นไว้ก่อนนะ อาจจะปีหน้า ปีโน้น อีก ๑๐ ปีข้างหน้า แล้วแต่ ปีไหนก็แล้วแต่ ปีไหน มาเจอเองแหละ โผล่พรวดเข้ามา เจอเอง ก็เป็นได้น่ะ แต่ตอนนี้ ยังไม่ได้กะว่า จะเป็นวันไหน ปีไหนหรอกนะ แล้วอย่ามาเร่งรัดนะ อาตมาจะกำหนดเอง มาเร่งรัดเอาวันนี้ปีนี้ เอาปีหน้าแล้วกัน ปีหน้าแล้วกัน เร่งรัดคนอื่นก็รู้ด้วย อาตมาจะไม่ให้คนอื่นรู้ ด้วยน่ะ เป็นวันอิ่ม

เป็นวันเล็กน้อย เป็นวันเล็กๆ เป็นวันน้อยๆ สิ่งที่ว่า เล็กๆ น้อยๆ ก็คือพยายามกันน่ะ อย่าพยายาม ให้มันเอิกเกริกเฮฮา อย่าให้มันใหญ่ โต อย่าให้มันหรูหรา โดยเฉพาะเป็นโลกียะเขื่อง ประดับประดา ตบแต่ง หรูหรา ฟู่ฟ่าฟุ้งเฟ้อ มีอะไรมากมายก่ายกอง อะไรทับถมใหญ่เยอะ อะไรพวกนี้นี่ เราคิดว่า เราจะพยายาม ทำให้มันไม่เป็นไปอย่างนั้นน่ะ ไม่ให้มันไปใหญ่ไปเยอะ ไปมาก ไปเอิกเกริก ไปฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยอะไร อย่างนี้เป็นต้น น่ะ เป็นวันเล็กๆ น้อยๆ น่ะ เป็นวันอบอุ่น

เป็นวันอบอุ่น คำว่าอบอุ่น พวกเราก็คงเข้าใจความหมาย ทีนี้ นอกจากจะเข้าใจความหมายแล้ว เราก็จะต้อง โน้มเน้นพวกเราไปให้มีความรู้สึกอบอุ่น ให้มีกรรมกิริยาทั้งกาย วาจา ใจ ที่มันจะเป็น สภาพที่จะสร้าง ความอบอุ่นยังไง ใช้ภาษาไทยอย่างนี้ พวกเราคงพอเข้าใจว่า มันไม่มี มันน้อย ก็พยายามให้มันเกิด สร้างให้มันเกิด ทำให้มันเกิด ทำใจในใจ ทำกาย ทำวาจายังไง ถ้าทำอย่างนี้ ขึ้นมาแล้วนี่ มันจะเกิดความอบอุ่น ถ้าไม่ทำอย่างนี้แล้ว ไม่เกิดความอบอุ่น ตามฐานะ ของแต่ละคน น่ะ แต่ละคนอาจจะต้องแหม ทำความอบอุ่นก็ต้องเข้าไปสัมพันธ์กัน เข้าไปคุย พูดจาปราศรัยกัน แต่ก็ไม่ถึงจะขนาด เข้าไปเบียดกันไป แหม ไปลูบไปคลำกัน อะไรกันเกินการล่ะนะ เดี๋ยวร้อนนะ ลูบคลำกันมากๆ เดี๋ยวร้อนน่ะ จะใกล้ จะชิดกันบ้าง ก็คงไม่เท่าไหร่น่ะ แล้วก็ควรจะรู้ด้วยว่า ผู้ชายกับผู้หญิง ถ้ามันใกล้ชิด กันเกินไป ไม่อุ่น ไม่อุ่นหรอก มันจะสปาร์คน่ะ ผู้ชายกับผู้หญิง มาใกล้กันแล้ว ขั้วบวกกับขั้วลบเจอกันเข้า มันจะสปาร์คน่ะ แล้วมันก็จะร้อน จะไหม้ ระวังนะ เพราะฉะนั้น มันจะใกล้จะชิดกันยังไง ก็สมเหมาะสมควร ตามที่มีปัญญาพอรู้นะ อาตมายก ตัวอย่าง ง่ายๆ ให้ฟังเท่านั้นเอง เราจะทำยังไรให้เกิดความอบอุ่น เท่าที่ เป็นไปได้ ต้องสร้างให้เกิด ไปด้วย และคนทุกคนก็พยายาม ทำใจในใจให้เป็นความอบอุ่นจริงๆน่ะ นอกนั้น กิริยา กาย วาจา อันใด จะพึงพอมี พอเป็นไป ไม่มากไป ไม่น้อยไป ก็พยายามกระทำ ก็แล้วกันนะ

เป็นวันอิสระนะ อิสระคำนี้ นี่โดยความหมายหยาบๆ ก็ทำอะไรได้ตามใจตนเอง นี่ความหมาย หยาบๆ ทำอะไรได้ตามใจตนเอง เป็นอิสระ ที่จริงมันบำเรออัตตา ตามใจตัวเองนั่นแหละ คืออัตตา คืออิสระแบบอัตตา ยังไม่เป็น อิสระอย่างโลกุตระ อิสระอย่างโลกุตระนั้น ก็คือการไม่เป็นทาส แม้แต่กิเลสของตนเอง ไม่บำเรอแม้แต่อัตตา แต่ในทางปฏินิสสัคคะ ในทางตีกลับนั้น กลับว่า เราจะเป็นผู้ที่ นอกจาก ไม่บำเรอตนเองแล้ว หรือไม่เป็นทาสตนเองแล้ว เราจะช่วยผู้อื่น บำรุงผู้อื่น ไม่ถึงขั้นบำเรอล่ะนะ บำรุงผู้อื่น ช่วยผู้อื่น เกื้อกูลผู้อื่น ทำเพื่อผู้อื่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะตรงกันข้าม กับคำว่า อิสระ ไม่ใช่ ขอยืนยัน มันยิ่งเป็นเครื่องชี้ที่ชัดเจนว่า เราไม่เห็นแก่ตัว เมื่อไม่เห็นแก่ตัว ก็เสียสละ ก็ทำเพื่อผู้อื่น โดยไม่มีใครมาบังคับเราหรอก ถึงเรียกว่า อิสระ เราจะช่วยเหลือผู้อื่น จะรับใช้ผู้อื่น จะเกื้อกูลูผู้อื่น เสียสละเพื่อผู้อื่นนั้นน่ะ โดยที่เราไม่มีใครมาบังคับเรา เราไม่ได้เป็นทาสใคร ใจเรารู้ ความปรารถนาดีของเรา เป็นตัวของเราเอง เรามีความปรารถนาดี แล้วก็เกื้อกูล ช่วยเหลือ เฟือฟายผู้อื่นกันไป หรือจะถึงขั้น จะเรียกภาษาได้เลยว่า เรารับใช้ผู้อื่นก็ตาม ก็ถือว่า เป็นอิสระ ชนิดหนึ่ง อิสระนะ

ที่อาตมากล่าวนี้ คงพอเข้าใจกัน ไม่ได้ไปดูแต่รูปหยาบๆ ว่าเอ๊ย คนนี้นี่ ดูซินี่ มันเหมือนกับทาสใช้ ของคนนี้ รับใช้กันอยู่อย่างนี้ อย่างนี้ๆ มันจะเป็นอิสระอะไร นี่เขาว่า พวกเราชาวอโศก พวกนี้นี่โง่ ให้โพธิรักษ์หลอกได้ แล้วก็มารับใช้โพธิรักษ์ อยู่ง่อกๆๆๆเลย นี่โอ๊ ดูซิ โง่นักหนา เขาว่าได้ พูดได้ แต่อาตมาเอง อาตมาพยายามหยิบเรื่องนี้มายืนยัน แล้วก็เอามาอธิบาย ขยายความว่า จริงๆไหม พวกคุณอิสระ หรือว่าพวกคุณมาเป็นทาสรับใช้อาตมา โดยที่อาตมานี่ ใช้คุณ แล้วก็คุณไป เป็นบริวาร หรือว่าเป็นคนที่เป็นไม้เป็นมือ ที่จะไปดึงดูดเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข มาให้แก่อาตมา หรือว่าคุณเต็มใจที่จะยินดีรับใช้ และรับใช้ ถ้าอาตมา จะใช้ให้ทำโน่นทำนี่ ทำอะไรต่ออะไรนะ คุณก็ดูซิ ว่าที่คุณต้องทำสิ่งเหล่านั้นน่ะ เพื่ออะไร ทำไปทำไม ทำไปเพื่อ ที่จะกอบโกย เอามาให้อาตมา อย่างน้อยก็สร้าง ชื่อเสียง ว่าอย่างนั้นเถอะ นี่พวกคุณทำอย่างนี้ เหมือนกับอาตมาให้ไปทำ แล้วก็ คุณก็ไปทำ เสร็จแล้ว ก็อาตมาเป็นผู้ได้หน้า เป็นผู้ได้ชื่อเสียง แล้วอาตมาก็ สบายใจเป็นสุข เพราะอาตมาได้ชื่อเสียง มันถึงขนาดนั้นหรือเปล่า หรือแต่แค่ว่า อาตมาจะได้ยศ เพิ่มเติมขึ้น อาตมาจะได้ลาภ เพราะพวกคุณนั่นแหละ มาทำให้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น มารับใช้ แล้วอาตมาจะได้ลาภร่ำรวย จะได้ยศร่ำรวย อาตมาก็จะได้มีส่วนสัดอันนี้ เป็นของ อาตมา มีลาภ มียศให้แก่อาตมา มีสรรเสริญให้อาตมา มีความสุขให้อาตมา มันเป็นอย่างนั้น จริงๆล่ะหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้น คุณก็รับใช้ประเภทที่เสริมหนุน ให้คนอื่น เขามีโลกธรรม ไม่ใช่โลกุตระ แต่ถ้าโลกุตระแล้ว เรารับใช้ แต่รับใช้แล้ว ท่านก็ไม่ได้เอามาบำเรอตน ไม่ได้เอามา บำรุงตน มีความเชื่อมต่อ หรือสืบโยงอุดหนุน สร้างสรรเป็นผลงาน เป็นสิ่งที่ต่อ ทอดออกไปสู่ผู้อื่น ไปสู่มหาชน ไปสู่พหุชนะ ไปสู่มวลมนุษยชาติ เป็นประโยชน์ผู้อื่น ต่างหาก ถ้าเรารู้จริง เห็นจริง เข้าใจจริงแล้ว เราก็ไม่ต้องมาพูดอะไรกันมาก เพราะฉะนั้น คำว่าอิสระนี่ จึงลึกซึ้ง กินรอบ อีกเยอะแยะน่ะ

เป็นวันสะอาด สะอาด แล้วการที่จะมางานอโศกรำลึกนี้ เราก็จะต้องดูแล อย่าให้มันเกิดสกปรก แม้แต่ในตัวเรา ตัวเราสกปรกไปด้วยกิเลส สกปรกตั้งแต่รูปหยาบๆ ก็ตามเถอะ สกปรกเนื้อตัว เสื้อผ้า หน้าแพร จนกระทั่งไป สกปรกในอะไรที่เป็นองค์ประกอบของคุณ ก็ตามใจเถอะ เราก็สะอาดสะอ้าน ตั้งแต่รูปธรรม จนถึงนามธรรม ไม่มีกิเลสในใจเรา แล้วเรามานี่ ก็ไม่มีกิเลส ที่จะมาทำ กรรมกิริยา กาย วาจา ใจ อะไรอยู่ในนี้ ให้เป็นความสกปรกอะไร มีแต่ ความสะอาด สะอ้าน เป็นนามธรรม ไปถึงขั้น อย่างที่กล่าวนี้ เป็นวันที่พยายามเรียนรู้ แล้วเป็นจริงๆ จริงให้ได้น่ะ มีความอบอุ่น มีอิสระ และสะอาด

แล้วเป็นวันสูญ วันนี้เป็นวันสูญ ถ้าสูญแล้ว อธิบายอย่างธรรมสูงลึกซึ้ง แล้วละก็ เป็นวันที่จิตใจ ไม่มีบวก ไม่มีลบ สูญกลางๆ ไม่มีค่าอะไรแล้ว ค่าบวก ค่าลบ อะไรก็ไม่มีแล้วในใจของเรา นี่อย่างปรมัตถ์สูงๆ ทีนี้ แม้ไม่ปรมัตถ์ เป็นในทางรูปธรรมบ้าง ก็พยายามที่จะไม่ให้ มันมีอะไรมาก สูญ ไม่มี แต่จริงๆโดยสมมุติ ไม่มีอะไรไม่ได้หรอก ตัวตนร่างกายเราก็เป็นตัวตน เพราะฉะนั้น แม้จะกินข้าว แม้จะฉันอาหาร บางคนก็ฉันไป บางคนก็กินไป บางคนจะไม่ฉัน ไม่ทานอะไร ก็ไม่เป็นไร ไม่รับประทาน ไม่ฉันก็เอา ก็แล้วแต่ใครต่อใคร ไม่หมิ่นกัน ไม่ดูถูกดูแคลนกัน ไม่มาเบ่ง มาข่มกัน ด้วยน่ะ คนนี้ทำได้ ก็ไปเบ่งไปข่มคนทำไม่ได้ อะไรต่ออะไร ไม่เอา พยายามที่จะทำ ให้มันลงตัว อย่างรอบด้าน มีกุศลรอบด้าน ไม่ใช่มีกุศลแต่ประเด็นหนึ่ง แต่ไปเป็นอกุศล อีกประเด็นหนึ่ง ในเรื่องเดียวกัน ในกรรมกิริยาเดียวกัน เกิดอกุศลข้างหนึ่ง เกิดกุศลข้างหนึ่ง อะไรปนๆ เปๆกัน ตรงนี้ ก็พยายามเรียนรู้ความจริงพวกนี้ให้ได้ เป็นวันสูญ

เป็นวันให้ ให้ธรรมทาน ให้อภัย ให้วัตถุก็ตาม เป็นวันให้ ควรจะเป็นวันให้ ไม่ใช่วันรับ น่ะ วันให้ อาตมาก็มีอะไร ให้อยู่นะวันนี้ อย่างน้อย อาตมาก็ให้ธรรมะน่ะ ให้พยายามที่จะแสดงธรรมะ พยายามที่จะปั้นธรรม ให้พวกเราให้ได้ เป็นคำโตๆ เป็นคำที่มีคุณค่ามากๆ คุณอ้ำเข้าไปแล้ว ธรรมะนี่ แหม มีฤทธิ์ ที่จะไปพัฒนาตนเอง ได้อย่างแข็งแรง ได้อย่างซื่อตรง ได้อย่างมีฤทธิ์มีเดช กันทีเดียว มันก็ยิ่งดี เราก็พยายามที่จะเป็นผู้ให้ ให้ธรรมะนี่ ก็เป็นธรรมทานแล้ว เป็นธรรมทาน หรือยิ่งให้อภัย แต่ละคนมาในที่นี่ พยายามมา วันอโศกรำลึกแล้ว ก็เหมือนกับ เรามาปลงอาบัติ หรือว่ามาสลัดคืนอะไร มาให้ มาบริจาค ไม่ใช่จะมาเอาน่ะ ที่จริง คุณมาเอาธรรมะ แต่ธรรมะนี่ ซ้อนลึกเข้าไป นั้นคือธรรมะที่เราไม่ได้เอา ฟังให้ดี นะ ฟังซ้อนๆ สุดท้ายจริงๆแล้ว เหมือนกับเรา เพื่อที่จะเป็น ผู้ไม่เอาเป็นที่สุด เมื่อเราได้ธรรมะทั้งหมด เป็นบัญญัติมาก็ดี เสร็จแล้ว เอามาประพฤติ ปฏิบัติ จนถึงขั้นมีสภาวะ มีสิ่งที่หลุดพ้น มันก็จะเป็นสภาพหลุดพ้น ไม่เป็นเรา เป็นของเรา ถึงที่สุด เป็นผู้ให้จริงๆเลย ซึ่งเรื่องนี้ เป็นภาษาพูดเท่านั้น แต่โดยสภาวะ มันละเอียด ประณีต ลึกซึ้งมากน่ะ เราจะเป็นผู้ให้ได้ถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องอื่นใด จะให้ก็ให้กันไปเถอะ ใครจะให้อะไรต่ออะไร กันบ้าง อะไรต่ออะไรก็ตาม ก็เป็น ผู้ให้กันได้พอสมควร เป็นผู้ให้ ก็ดีน่ะ ได้ให้ ได้อะไรกันก็ดีน่ะ

ทีนี้ เป็นวันง่ายๆ น่ะ วันง่ายๆ เป็นวันที่อย่าให้มันยุ่งยาก แม้แต่ตัวเราเอง มีกรรมกิริยา มีการเป็นอยู่ ก็ให้มันง่ายๆ บางคนยังติดยึด ในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ก็เลยต้องเห็นความยาก แต่คนที่ไม่ติดยึด ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรมาก แล้วก็มีปัญญารู้ดีนะ แม้จะกินอาหารวันนี้ ก็กินก็ง่ายๆ ไม่ต้องเดือดร้อน มันไม่มีก็ไม่เอา มันมีก็เอา ได้อะไรก็เป็นไปง่ายๆ นี่สมมุติเรามีการกินอยู่นะ คนที่ไม่กิน ก็ยิ่งจะง่าย กว่านั้น เพราะว่าไม่ต้องไปวุ่นวายแล้ว ถ้าไม่กิน แล้วก็ไม่ต้องไปรับประเคนอาหาร ไม่ต้องไป ตักอาหาร ไม่ต้องมาเคี้ยว อู๊ว์ กินอาหารทีๆ นี้เมื่อยนะ กว่าจะจบมื้อจบคาบ นี่เมื่อย คนกินอาหาร ด้วยความเป็นผีกะสือ โอ้โห มันกินแล้ว ตะกละตะกราม อร่อย อร่อย ทั้งเร็วนะ ทั้งเร็ว ทั้งมาก เลยนะ ใส่เข้าไปมูมมามก็ได้ ถ้าคนที่ไม่มีมารยาท จะกินมูมมาม ด้วยอร่อย พวกผีกะสือนี่ เคยเป็นผีกะสือ กันไหมล่ะ เคย อาตมายังเคยเลย เป็นผีกะสือน่ะ กินด้วยกิเลส กินอย่างนี้นี่เร็ว เร็วไว เพราะฉะนั้น ใครมาคุยว่า เอ๊อ กินข้าวอะไรกัน ช้าจังเลย แบบนี้ ๕ นาทีก็เสร็จแล้ว ช่างเขาเถอะ เขากินเสร็จเร็ว ๕ นาที นี่ กินได้มากด้วยนะ เสร็จเร็ว แม้แต่ทางสุขลักษณะ มันก็ไม่ถูก เคี้ยวก็ ไม่ละเอียด รีบใส่เข้าก็กลืน กลืนๆๆๆ มันผิดสุขลักษณะแล้วด้วยน่ะ เพราะฉะนั้น เราจะต้อง เคี้ยวให้มาก แม้ทางด้านโลก เขาก็แนะนำกันมาให้เคี้ยวให้ละเอียด ให้เคี้ยวให้แหลกดีๆ แล้วก็ค่อย กลืนไป ไม่ต้องรีบร้อนอะไรอย่างนี้ แม้แต่หยาบๆ เขาก็บอกกันอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เราเอง ยิ่งไม่มี อารมณ์ของกิเลส เข้าไปร่วมนี่ มันไม่ เร่งกลืนหรอก มันไม่เร่งอะไร เท่าไหร่หรอกนะ

มันจะเอาตักเข้าปากนี่ มันจะต้อง ไม่เหมือนกัน คนที่ติดยึดในรูป รส อร่อยอะไรมากๆ นี่ โอ๊ ตักใส่ก็ผิดกัน ถ้าไม่สังวรระวังแล้วนะ แล้วยิ่งมีคนมากๆ จะแย่งกันด้วยแล้วนะ คนที่ตะกละ ตะกราม อย่างผีกะสือ เป็นยังไง ลองนึกภาพซิ นี่ โอ จานนี้ของอร่อยนะ มีอยู่จานเดียว จานอื่นๆ ไม่อร่อยด้วยนะ แล้วต่างคนต่างแต่ละ นั่งอยู่นี่ รู้ทุกคนเลยว่า นี่ โอ้โห นี่ หูฉลาม หรือว่า อาหารพิเศษ มันไม่อร่อยก็ตาม แต่ว่า มีค่านิยมทางอุปาทานว่า อันนี้ต้องกินให้ได้ว่ะ มันของแพง มันของวิเศษ มันจะไม่อร่อยยังไง ก็ช่างมันเถอะ มันมีค่าชักจูง จูงดึงดูดพวกนี้ด้วย อร่อยด้วย มีค่า มีต้องกินน่ะ สำคัญน่ะ ต้องกินให้ได้ กินให้มากๆ กินให้เร็วๆ อะไรก็ตาม ถ้าอาหารชามนี้ ตั้งอยู่นี่ ลง มีค่านิยม รสนิยมตรงกันหมด ว่าจะต้องกิน กินให้ได้มากๆ ถือว่าได้เปรียบ คิดดูซิว่า ผีกะสือรอบนั้น สัก ๑๐ คนนี่ ไอ้ชามนี้ จะเป็นยังไง วับ รีบตักโกยมาใส่ปากอย่างเร็ว จะรีบกลืน ประเดี๋ยว มันจะตักได้น้อย ประเดี๋ยวคนเขาจะตักไปก่อน หมดก่อน รีบตัก รีบกลืน รีบเร็ว ถ้าไม่ละอาย เจ้าประคุณเอ๋ย อาตมาว่านะ แหม พูดแล้วก็นะ จะเห็นได้ว่า ผีกะสือนี่ เป็นรูปร่างและลักษณะ อย่างนั้น นี่พูด หยาบๆ ให้ฟัง แม้จะละเอียดๆ แล้วก็ตาม น่ะละเอียดๆแล้ว ก็ไม่เห็นรูป หยาบก็ตาม แต่มันก็ยัง จะรู้ได้ รู้ได้ ไม่ใช่มันจะน้อยลงๆ ไปมากแล้ว ก็จะยังรู้ได้

ส่วนคนกินอย่างไม่เป็นผีกะสือ ไม่มีความอร่อย รู้รสก็รู้ตามความเป็นจริง แล้วก็ไม่มีอร่อย ที่จะดูดดึง จริงแล้วนี่ จะช้า แล้วยิ่งจะให้ถูกสุขลักษณะ ก็เคี้ยวก็กลืน ยิ่งกินอย่างพิจารณา พิจารณาคำข้าว กินให้กินเหมือน กินเนื้อลูก อาหารนี่ เหมือนกินเนื้อลูก โอ๊ย มันก็ยิ่งจะฝืน มันก็ยิ่งจะกลืน ไม่ค่อยลง ที่ต้องมีศีล หรือมีตบะ มีลักษณะให้พิจารณาว่า กินเหมือนกินเนื้อลูกนี่ ก็เพราะเหตุว่า พวกเรา ส่วนมาก มันกินด้วยความเอร็ดอร่อย ความหลง เพราะฉะนั้น ถ้าคนเราไปกิน เนื้อลูกนี่ มันจะไป หลงอะไร มันจะไปอร่อยยังไงลงใช่ไหม เขาก็เลย เอาความหมายพวกนี้ มาให้เราพิจารณา ให้ทำใจในใจ ให้ทำด้วยความรู้สึกเป็นอย่างนั้น กินของนี่ ถ้ามันอร่อย ก็จะต้องพยายามปรับแปร ให้มันเป็นความรู้สึกว่า กินเนื้อลูก โอ้โห คนเราจะกินกลืนเนื้อลูกลงไปนี่ มันทรมานนะ มันจะฝืน แต่ไอ้ที่ชอบ ไอ้ที่อร่อย ไอ้ที่ติดน่ะ มันจะไปฝืน มันก็จะต้องเอาอันนี้มาแก้กัน เอาอันนี้ มาเป็น ข้อเงื่อนไข ที่เราจะพิจารณา หรือปฏิบัติประพฤติ เราก็จะทำอย่างนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น มันก็ยากน่ะ ก็อะไรอยู่ แม้แต่กินนี่ ก็ยังยาก มันไม่ง่ายน่ะ

ถ้าใครจะไม่กินเลย ทีนี้ก็ง่าย ง่ายน่ะ แต่ก็ไม่ได้บอกว่า ให้คุณมาอดมาลดนะ แต่ถ้าใครอด ใครลด ใครจะให้ง่าย ไปกว่านั้น คนไม่ต้องทำมากิน คนที่จะทำมา เขาก็เต็มใจทำมาอยู่ ก็เอาละ สงเคราะห์กันไป อะไรกันไปน่ะ อย่าว่าแต่เรื่องกินเลย เรื่องอยู่นี่ ฝนฟ้าตก ฝนตกก็อย่าให้มัน ไปยุ่งยาก มากนัก ก็อยู่ง่ายๆ หนักเข้าก็ฝนเปียกมั่ง เปื้อนมั่ง อะไรก็ มันอย่างนี้ มันก็มีแฉะ มีเปื้อน มีอะไรต่ออะไรบ้าง ก็ให้เป็นคนที่ไม่ติดอะไรนักหนา อยู่ง่ายได้ แม้คน มาพัก มาค้าง มาหลับมานอน โอ้ เบียดเสียดกัน ที่นี่ก็ยุงมาก ที่นั่นก็โน่นนี่ พอเลี่ยงพอหลบ พอเป็นไปได้ พออาศัยได้ไหม ไม่เป็นคนติดยึด จนเกินไป ไม่ได้สมใจเรา เราก็ทุกข์อยู่นั่นแหละ เอาละ ปล่อยวางได้ แม้จะมียุง มากินมั่ง แม้จะเลอะเทอะบ้าง แม้จะไม่เรียบร้อยบ้าง อะไรก็ได้ ทนได้โดยไม่ยาก ทนได้โดย ไม่ลำบาก หรือไม่ต้องทนหรอก สบายๆ เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนอยู่ง่าย กินง่าย น่ะ เป็นคนที่อยู่กับ หมู่ฝูง มีเรื่องราว มีเรื่องโน่น เรื่องนี่ ก็ไม่วุ่นวาย ไม่ยุ่งยาก ฟัง แก้ไขปัญหาได้เท่าที่ควร เท่าที่พอ เป็นไป เท่าที่ได้ มันก็จะง่ายๆๆไป แต่อย่าลืมว่า ไม่ใช่เรื่องมักง่าย กำชับจุดนี้เอาไว้ ให้สำคัญน่ะ เป็นวันง่ายๆนี่ เป็นวันที่สำคัญนะ คำว่า ง่ายๆนี่ ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน เรื่องลึกซึ้งมากนะ ง่าย จริงๆด้วย อะไรๆก็ดูง่ายดาย สบาย แต่ไม่ใช่มักง่าย อะไรก็เรียบร้อย สุขุม ลึกซึ้ง ประณีต ดี พอเป็นไป มีอุตสาหะ วิริยะ พยายามอยู่เสมอ ไม่ใช่อะไรๆ ก็มักง่าย มักง่าย ง่ายๆ ทิ้งๆ ขว้างๆ อะไรก็รีบตัด รีบโยน รีบทิ้ง ไม่ใช่ มักง่ายไม่เอา แม้ง่ายๆ ก็ไม่ใช่ว่ารีบทิ้ง ไม่ใช่ว่ารีบทิ้ง รีบเลิก รีบหยุด ทั้งๆที่มัน ไม่ควรหยุดนะ เรื่องนี้ ควรจะทำให้สำเร็จ ควรจะทำต่อ ควรจะดำเนินไปอย่างดี ตัดทิ้ง หยุด จะได้จบ จะได้ง่าย จะได้แล้ว ทั้งๆที่มันควรจะสุคโต มันควรจะดำเนินต่อไป แล้วดำเนินดี อย่างนี้ ก็เป็นความหมาย ที่ลึกซึ้ง ในคำว่าง่ายๆ เพราะฉะนั้น เรามาฝึกปรือ หลายๆอย่าง แม้มารวมกันมากๆ แออัดยัดเยียด ไม่บำเรอ บำรุง มีอะไรต้องฝึก ต้องฝืน ต้องอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เราก็เบาใจ เราก็เป็นผู้ที่ โล่งโปร่งง่ายดาย ได้สบาย ก็พยายามเรียนรู้น่ะ

เป็นวันสดชื่น สดชื่น คุณลองนึกดูซิว่า พวกเรานี่ ที่มาๆกันอยู่นี่นะ แต่ละคน แต่ละคนนี่ มีจิตวิญญาณนะ เอาเข้าไปถึงจิตวิญญาณ จิตวิญญาณมันสดชื่น จิตวิญญาณมันเบิกบาน ร่าเริง ตามชื่อว่าพุทธะนี่ จิตพุทธะนี่ เบิกบาน ร่าเริง สดชื่น ไม่เป็นอะไร สิ่งหงอย สิ่งเหงา สิ่งอะไรต่ออะไร ไม่มีนะ ไม่หมอง ไม่หม่น ไม่อะไร เบิกบานร่าเริง สดชื่นจริงๆนี่นะ แล้วเราแต่ละคน แต่ละคน ก็สดชื่น โอ้โห เป็นพันๆ คนนี่ หน้าตาใครก็สดชื่น มองหน้า หรือว่ามีเรื่องมีราว กระทบสัมผัสกัน ก็ไม่ มัวซัว ไม่หวือหวา ไม่โศก ไม่โกรธเคืองอะไร ไม่หงุดหงิดอะไรง่ายดาย มันก็สดชื่น เบิกบานอยู่นี่ บรรยากาศนี่ จะเป็นยังไง บรรยากาศนี่ ก็โอ้โห น่ารื่นรมย์จริงๆนะ ไม่จำเป็นจะต้องมีกลอง มีแตร มีปี่ มีเครื่องดีดสี ตีเป่า มีร้องมีรำอะไร แล้วก็ถึงจะสดชื่น เบิกบาน ร่าเริง ไม่ต้องหรอก เงียบๆนี่ ก็สดชื่นได้ เรื่อยๆ ไม่ต้องมีอะไรดีดดิ้นมากมาย เรื่อยๆ เรียบๆ ก็สดชื่นได้ ตัวเราเอง ก็สดชื่นอยู่นิ่งๆ ก็สดชื่นเบิกบานอยู่ ไม่มีอะไรมาฉุดให้หมอง แม้อะไรมาฉุดก็ไม่หมอง แม้อะไรจะมาทำให้หม่น ให้หมอง ก็ไม่หมอง แม้จะทำอะไร ให้ มา ให้เหี่ยวให้เฉา ให้โกรธ ให้เคือง ให้ไม่เบิกบาน ร่าเริง นั่นแหละ ให้ไม่สดชื่นนั่นแหละ ก็ยังคงแข็งแรง สดชื่นดีอยู่ ๆ เบิกบาน ร่าเริงดีอยู่ คุณลักษณะ อันนี้นี่ มันต้องฝึกจริงๆนะ ฝึกจริงๆ แล้วถ้าเผื่อว่า เป็นจริงๆ มีดีจริงๆแล้ว ในหมู่ชนใดๆ นี่นะ โอ้โห หาซื้อไม่ได้ตามตลาดนะ ไม่มีตลาดไหน ไม่มีขาย เกิดมาจากจิตวิญญาณของคน ใช่ไหม ถ้าใจคุณ สดชื่น แล้วหน้าตาก็จะสดชื่น เชื่อไหม ๆ ทำไมเชื่อง่ายนักล่ะ หรือว่าวันง่ายๆ วันง่ายๆ ไม่มักง่ายนะ เชื่อง่ายๆน่ะ มักง่ายเข้าไปได้ด้วยนะ ระวัง แต่อาตมาคิดว่า มีเหตุผลนะ คุณก็คงฟังดัวยเหตุผลว่า ถ้าเราทำใจ ให้สดชื่น เบิกบาน ร่าเริงได้จริงๆ แล้วนี่ มันจะมีราศรี ออกทางสีหน้าสีตา จริงๆเลย ว่าสดชื่น ถ้าคุณมีอะไรในหน้าตา ยิ่งไม่ได้ปฏิบัติธรรมนี่ ยิ่งง่ายเลย คนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรม ควบคุมจิต ควบคุมอารมณ์ไม่เป็นนี่นะ ไม่สบายใจเมื่อไหร่ หม่นหมองเมื่อไหร่นะ รู้แล้ว เห็นหน้ารู้แล้ว หม่นหมอง เศร้าสร้อย รู้แล้ว พวกเรานี่บางทีนี่ ถ้าใจมันชักจะเศร้าๆ หมองๆนี่ ยังทำตนสดๆ อยู่ข้างนอกๆ ให้คนอื่นเขาเห็นว่า เราสดๆๆๆ ยังมีเลย ซึ่งก็ดี ดีจะหาว่าเป็นผู้ที่ไม่ จริงใจ ก็ไม่เป็นไร เพราะว่าความสดชื่นนี่ ใจมันเศร้าหมองของเรา เพราะกิเลส หรือว่าเพราะ ความที่ยึดติดอะไรของเรา เพราะความโง่ของเรา สรุปง่ายๆ ก็เพราะอวิชชา เพราะความโง่ของเรานี่ ใจมันหม่นหมอง มันยังทำไม่สำเร็จ มันก็หม่นหมองของเรา มันโศกะ ไม่ใช่อโศก ไม่ใช่อโศกะ มันโศก มันหม่นหมอง ก็เพราะเรา เพราะอวิชชาของเรา เพราะความไม่สามารถของเรา แต่เราก็ พยายามให้ใจ ให้กาย ให้สีหน้าสีตา ให้ข้างนอก เบิกบานร่าเริง ไม่ถือว่าเป็นความไม่จริงใจ ไม่ถือ ดีน่ะ แต่ว่าเวลาพูด เวลาจา เวลาถาม เวลาไถ่ ก็อย่าปกปิดนัก มันเศร้าหมองอะไร มันมีเรื่อง ทุกข์ร้อน อะไร ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ไม่อายเกินไป ก็บอกกันมั่งซี ทีนี้ มันอาย พอเราบอกไปแล้ว แหม เราไปทำผิด ทำชั่ว หยาบคายเกินไป เปิดเผยไม่ได้หรอก เปิดเผย อายมาก ก็ขอปิดไว้ก่อน คนนี้ยังไม่สนิทนัก แต่คนสนิท สนิทจริงๆ เห็นว่า ท่านมีประโยชน์คุณค่า ถ้าบอกท่านไป ท่านจะช่วย แก้ไขได้ ก็บอกท่านไป แม้บอกไปแล้ว แก้ไขไม่ได้ เราได้ระบายความชั่ว ความเลว ความชั่วเลว ที่ลึกซึ้งด้วย ชั่วเลวที่ไม่น่าจะเปิดเผยทั่วไปหรอก แต่ผู้นี้ได้ เปิดเผยได้ เราได้ระบายออกบ้าง ก็ดีก็ได้ ก็สบายใจเหมือนกัน

อาตมานี่ เป็นคนรักษาความลับของคนไว้เยอะน่ะ มาระบายอะไรต่ออะไรไว้ ไอ้สิ่งที่ไม่พึงเปิดเผย ธรรมดานี่เยอะแยะ ไว้ใจน่ะ เขาไว้ใจอาตมา บอกเอาไว้ มาอะไรไว้ ถึงขั้นบางครั้งบางคราว มีคนระแวง คนที่เคยมา มันเหมือนกับหลวงพ่อของทางด้านคริสต์ เขาเหมือนกัน มีคนไปสารภาพ บาปน่ะ อาตมาก็คล้ายๆ อย่างนั้นเหมือนกัน มีคนมาสารภาพบาป มีคนมาเปิดเผย อะไรที่ตัวเอง ได้ทำไม่ดีอะไรผ่านมา แล้วก็มาปรึกษาหารือ เพื่อขอแก้ไขบ้าง บางคนไม่เจตนาแก้ไข ต้องการมาบอก ให้ทราบไว้เฉยๆ มีสิ่งที่เราได้ผ่านมาพลั้งมา อะไรมา ไม่ดี ไม่งามมา ให้อาตมา รับรู้ไว้ ก็มาบอกไว้ อาตมาก็รู้ว่าอะไรควรเปิดเผย อะไรไม่ควรเปิดเผย อะไรควรรักษาความลับ อะไรก็ควรจะเก็บ อะไรก็รู้นะ อาตมาก็ไม่ใช่ว่าโง่งมงายอะไร แต่บางครั้ง บางคราว อาตมา ได้พูด ได้บรรยาย เรื่องนั่นเรื่องนี่ อธิบายไอ้นั่นไอ้นี่ไป มันคล้ายๆ กันกับเรื่องของเขา แล้วเขาก็บอกว่า นี่เอาเรื่องของเขา มาเปิดเผยนี่หว่า อาตมาขอบอกนะว่า ไม่มีเจตนา ไม่มีเจตนานะ ไม่มีจริงๆ ไม่เคย เจตนาจะเอาความลับของใครไปเปิดหรอก แต่เรื่องราวนี่ มันเหมือนกัน เรื่องราวความชั่ว มันชั่วเหมือนกัน นี่ มันมีได้ และมีลักษณะที่อธิบายความไปด้วย มันมีพลความ มีเรื่องราว ลีลาอะไร คล้ายๆกัน อาตมายกตัวอย่างบ้าง พูดถึงไอ้นั่นไอ้นี่บ้าง กำลังเกิดอยู่ก็มี ผู้ที่เป็นไป หรือยังไม่มี ก็มี อาตมายกเป็นเหมือนกับนวนิยาย เหมือนกับนิทาน เหมือนกับเรื่องสร้างขึ้นก็ได้ เพื่อเอามาประกอบ คำอธิบาย มันก็ไปเหมือนกัน กับของผู้นั้นเข้าบ้าง แล้วหาว่าอาตมาเอาผู้นั้น มาเปิดเผย อย่า เชียวนะ อย่าเข้าใจผิดอย่างนั้น อาตมาไม่ทำหรอกนะ ไม่ทำ ไม่ได้ไป ตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้เจตนา ที่จะมีอย่างนั้น ก็ขอให้เข้าใจอันนี้ด้วยน่ะ

เอาละ อาตมาอธิบายตัวไอ้คำว่า สดชื่นคำเดียว แต่ก็ได้พูดอะไรต่ออะไรไปเยอะแยะ มากมาย อธิบาย ออกไปยาวยืด ก็ขอกลับมาสู่ความสดชื่นใหม่ นะว่า ถ้าใจเราสดชื่น แล้วเราหน้าตานี่ มันจะสดชื่น แม้ว่าใจเราไม่สดชื่นนัก แต่เราสามารถสำรวม ระวัง แล้วก็พยายาม ที่จะให้ข้างนอก มันเบิกบาน ร่าเริง เป็นการควบคุมกาย ควบคุมวาจาข้างนอก ไม่ถือว่าไม่จริงใจน่ะ ถือว่าดี สดชื่นได้ หรือ เราทำรูปของกายกรรมที่เป็นกุศล วจีกรรมที่เป็นกุศล ใจของเรามีอกุศล ที่เรายังระงับไม่ได้ อวิชชาก็ตาม ก็ไม่ถือว่าเป็นสภาพของความไม่จริงใจ ถ้าเราเจตนา เรารู้ดีอยู่ ถ้าคนถามเรา จะบอกถึงใจเราว่า เอ๊ย ใจเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ ก็ตอบตรงๆได้ แต่อย่าไปโกหก ว่าใจฉันเป็นอย่างนี้ ทั้งๆที่กาย วาจา ทำออกไป นี่เก่งนะ ทำให้ดีเป็นกุศล แต่ใจเรายังไม่กุศลทีเดียว มันยังไม่สะอาด มันยัง ไม่บริสุทธิ์ ยังมีอะไรที่ยังมีไม่ตรงทีเดียว แล้วไปบอกเขา ไปโกหกคนอื่นเขา ไม่ใช่นะ อย่างนั้น ไม่สมควร แต่ถ้าไม่บอก เขาไม่ถาม หรือว่า ถามเราจะไม่บอก เราก็ไม่บอกได้ เลี่ยงไปไม่บอก ก็ไม่บอก แต่อย่าไปโกหก อย่าไปโกหกกับ ความเป็นจริงที่เป็นอยู่ทางใจก็ตาม อย่าไปโกหก

เป็นวันรวมแก่น เป็นวันรวมแก่น คำว่ารวมแก่นนี่ เราจะต้องรู้ถึง ลักษณะของแก่นให้ถึงจุด แก่นมัน จะสัมพันธ์ไปถึง กระทั่งข้อแรก ที่บอกว่า เป็นวันส่วนตัว ที่เป็นวันส่วนตัว ก็คือ เป็นวันพวกเรากันเอง เป็นวันในๆ เป็นพวกเรา แท้ๆ ถึงได้บอกว่า อย่าไปเที่ยวได้ชวนคนนอก อย่าไปเที่ยวได้ชวนคนใหม่ๆ ที่จริง ไม่ต้องมีใหม่ๆอะไรมากก็ได้ วันอโศกรำลึกนี่ ไม่ต้องครื้นเครง ใหญ่โต บอกแล้ว ว่าเป็นวัน เล็กๆ ด้วย เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัวว่าจะไม่มีคนมา คนจะน้อย ก็เป็นวันเล็กๆ แล้วมันไม่มาก ก็ไม่เห็นเป็นไร

อันนี้เป็นเรื่องแนวคิด ที่เราต้องสังวร จะต้องเรียนรู้ ฝึกหัดดูซิ มันน้อย เป็นไรไปเล่า น้อยๆคน ก็ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเที่ยวได้เอาคนที่ไม่รู้เรื่อง คนใหม่ คนนอก คนอะไร เป็นวันส่วนตัวเราๆ นี่ได้จะดีน่ะ มันรวมอย่างนี้แหละ มันคือรวมแก่น ฟังเข้าใจในระดับแรกนะ ฟังให้ดีว่า นี่คือรวมแก่น เพราะฉะนั้น คนจะมาก็เป็นคนในๆ รู้กันเอง มาโดยอิสรเสรีภาพ มาด้วยความเข้าใจเอง รู้ตัวเอง ไม่ต้องคนนั้น ลากๆจูงๆ ไม่ต้องให้คนนี้ดึงดูดมา ไม่ต้องคนนั้นชวนมา ดีไม่ดี ฝืนใจมาด้วย โอ มันไม่ใช่แก่นแล้ว ฝืนใจมานี่ ฝืนใจมาไม่ใช่แก่นแล้ว ยิ่งคนนอกไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย มามันจะ แก่นยังไง นี่มันเปลือกๆ ของคนอื่น หรือว่าเนื้อของคนอื่นด้วย เอาเนื้อของคนอื่น มาปนอยู่ในนี้ มันจะเป็นแก่นได้ยังไง มันไม่ใช่ อย่างนี้เป็นต้นน่ะ ฟังให้ดีๆ นี่พูดถึงรูปธรรม พูดถึงเรื่องตัวตน ก่อนว่า แก่นถึงอย่างนี้เชียวนะ เพราะฉะนั้น เป็นวันรวมแก่นนะ เป็นวันที่ให้มันเป็นไปโดยธรรม โดยเอง

จริงๆแล้ว อาตมาเคยพูดย้ำ เมื่อเช้านี้ก็พูดพาดพิงถึงวันมาฆบูชาของพระพุทธเจ้า วันอโศกรำลึกนี่ ไม่ต้องโฆษณา ไม่ต้องบอก ไม่ต้องอะไรหรอก รำลึกกันไปเถอะว่า วันนี้เรามารวมกันนะ ให้จำไป วันใดวันหนึ่ง ไปจนกระทั่งเคยตัว เคยชิน ติดตัวติดใจ ติดอัตโนมัติไปถึงชาติหน้า ชาติโน้น ชาติไหนก็แล้วแต่ พอรำลึกขึ้น คำว่าอโศก นี่ก็เป็นภาษาแทนชาวอโศกเท่านั้น ต่อไปในอนาคต เป็นวันที่จะบูชา เป็นวันที่จะเคารพ เป็นวันที่จะทำอะไรก็แล้วแต่ เอ๊ เป็นวันที่ดี แม้ที่สุด ที่อาตมา มา รำลึกถึงคำว่า กตัญญูนี่ ท่านทั้งหลาย พระสาวกบริวารของพระพุทธเจ้า ที่ไปในวัน มาฆะบูชา นั่นน่ะ เป็นความไปสัมมาคารวะ เป็นวันกตัญญูกตเวทีด้วยนะ กตัญญูกตเวที ต่อพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าอยู่ที่ไหนเอ่ย เราไปเถอะ ไปเคารพพระพุทธเจ้ากัน อย่างนี้ เป็นต้น วันมารวมแก่น รวมแกนกัน เอ้อ เพื่อนฝูงกัน เราจะมา มีตติ้งน่ะ รวมแก่น มิตติ้ง จะมาพบกัน มาเห็นหน้ากัน อะไรพวกนี้ต่างๆนานา ก็มารวมกันโดยคนใน โดยแก่น โดยเนื้อ โดยเรากันเอง โดยเนื้อแท้ นี่เป็นรูปธรรม

ทีนี้ลึกเข้าไปกว่านั้น นามธรรมเป็นวันแก่น ก็เป็นวันที่จะต้องพยายาม ให้มันได้ถึง ปรมัตถ์ เป็นเรื่องของวัน ที่เป็นวัน มักน้อย สันโดษ เป็นวันเลี้ยงง่าย บำรุงง่าย เป็นวันมักน้อย เป็นวันสันโดษ เป็นวันสัลเลขะ แต่สัลเลขะ เราก็ไม่ต้องไปขัดไปเกลาอะไรกันมากมากนักหรอกน่ะ วันนี้มันก็เป็นไป ตามธรรมของมัน ทุกคนก็จะพยายามให้มันปรับตัว อย่างที่อาตมาว่านี้แล้ว มันจะไม่มีสัลเลข อะไรมาก เป็นวันศีลเคร่ง บางคนไม่กินข้าวแน่ะ ไม่เคร่งยังไง ตั้งตบะน่ะ ไม่อย่างโน้น ไม่อย่างนี้ อะไรหลายๆอย่าง น่ะ เพื่อที่จะละ จะเว้น จะเลิก สิ่งที่ควรละ ควรเว้น ควรเลิกบ้าง ก็เป็นวัน ที่เกิดแก่น ที่จะไปหาจิตวิญญาณ ให้จิตวิญญาณของเราเป็นวันสะอาด ไปถึงวิมุติ เป็นวันที่ จะเกิดแก่น ให้ได้มากๆ เท่าที่เราจะเป็นไป ลองในแง่ น้อย ลองในแง่สูญ ลองในแง่หมด ลองในแง่ลด แง่ละ แง่ไปถึงลักษณะของสภาพ สะอาด สว่าง สงบ แล้วก็สุภาพ สมรรถนะ สามัคคี เป็นวันที่มีสมรรถนะ อยู่ในตัว ใครจะทำอะไรก็ทำ ใครจะสร้างสรรอะไรก็สร้าง แต่อย่าทำ ให้มันเอิกเกริก อย่าให้มันมากมาย อย่าให้มันจุ้นจ้าน อย่าให้มันหวือหวาอะไรนัก เท่านี้ก็พอเป็นไป พอรับรองกัน พออาศัยได้ ไม่ต้องเฟ้อ ไม่ต้องเกิน ไม่ต้องบำรุงบำเรออะไร จนเกินไปนัก มีความสามารถดู มีปัญญา มีปฏิภาณพอประมาณ ที่ได้สัดได้ส่วน

นี่อาตมาอธิบายไปยาวๆนี่ ฟังดีๆนะ มีความรู้ มีความเข้าใจ มีปฏิภาณ อันนี้ แม้มันจะขาดแคลน ตอนนี้ก็อุดหนุนมา เสริมให้ได้สัดส่วนทันทีพอดี ไม่เฟ้อ ไม่เกิน ไม่มากน่ะ ก็ได้มีสมรรถนะ อย่างนั้น และเป็นรูปของ สามัคคีที่ดีมากเลย ส.๖ ส.นี่ สะอาด สว่าง สงบ สุภาพ สมรรถนะ สามัคคี รวมกันนี่ สามัคคี มีสันติสุขดี ด้วยน่ะ

นี่ แก่นพวกนี้ เกิดมาจากจิตวิญญาณ จิตวิญญาณที่มีทั้งปฏิภาณ มีทั้งความสงบ มีทั้ง ความไม่ดีดดิ้น อะไรแล้ว มีทั้งปัญญาที่รู้ มีทั้งความนิ่งสงบได้ดีจริงๆ ก็จะเกิดสภาพ ที่ออกมา ในรูปของปฏิกิริยา รูปของความสัมพันธ์ รูปของบทบาท กิริยา กาย วาจา ใจ ที่เห็นได้เลย ว่ามาจาก จิตวิญญาณ ที่มีแก่นของวิมุติ มีแก่นของพลัง มีแก่นของความแน่น ของความสามัคคี ของสมรรถนะ มีอะไรก็มีบทบาท ความสามารถกัน ไม่มีอะไรบกพร่อง ไม่มีอะไรขัดเขิน ช่วยกัน แก้ไขกัน ทำอะไรต่อ อะไรได้พร้อมพรั่ง นี่เป็นเรื่องของแก่น ที่จะมาจากจิตวิญญาณ ที่สมบูรณ์น่ะ มันก็จะออกมา ในองค์ประกอบทั้งหมด รวมได้ดีน่ะ

เป็นวันจริงใจ นะ เป็นวันจริงใจ เราไม่เคยจริงใจมาตั้งนาน เมื่อกี้ อธิบายไปแล้วว่า แม้แต่กุศล ข้างนอก ใจมันยังมีอะไรยังไม่สมบูรณ์ เราก็พยายาม สำรวมสังวรให้มันดีเป็นกุศล แม้ข้างนอก ใจเราไม่สมบูรณ์ มันไม่ตรงกันนัก ก็ถือว่าจริงใจได้เหมือนกัน เพราะว่าทำยังไงได้ กิเลสเราไม่หมด สิ่งที่เรากำลัง พยายามจะขัดจะเกลาอยู่ มันจะไม่ตรงกับข้างนอก ข้างนอกงามกว่าข้างใน ก็ไม่เป็นไร ถือว่าจริงใจด้วยน่ะ นอกนั้นอะไรที่มันไม่จริงใจ ลองพยายามอ่านรู้ ถึงความจริงใจของตัวเราดูซิ ว่าเราทำอะไร พยายามจริงใจ ในความจริงใจ ของคนนี่ บางทีก็จะดูกระด้างๆ ไม่มีมารยาท ไม่เข้าใจคนอื่น ทีนี้ ถ้าเผื่อว่า เราได้ทำอะไรต่ออะไรมา ต่างๆนานานี่ อย่างมีหลักเกณฑ์ต่างๆ มานี่ จนกระทั่ง มาถึงขั้น จริงใจนี่นะ มันจะไม่กระทบแรง เพราะฉะนั้น ถ้าคนในคนแก่น เป็นคนเนื้อๆ แท้ๆ ของพวกเราเอง จริงนะ สดชื่นง่ายๆ แล้วก็มีแต่ผู้ที่จะให้ จะเสียสละกัน จริงๆนะ มีเจตนารมณ์ ที่จะให้จริงๆ เป็นวันสูญ วันสะอาด วันอิสระ อบอุ่น อะไรก็แล้วแต่นี่ เป็นลักษณะพวกนี้จริงๆ มาแล้วนี่นะ แสดงความจริงใจออกมานี่ จะไม่มีปัญหามาก ถ้าเราไปแสดงความจริงใจ กับสังคม มารยา สังคมข้างนอก ที่เขายังไม่สูญ ไม่ว่าง ไม่สะอาด ไม่ง่าย และวุ่นวาย มีอะไรต่ออะไรอีก ต่างๆนานา หลายอย่าง เราไปแสดงความจริงใจออกไปจริงๆนะ โอ้โห บื้อ ซื่อบื้อ เด๋อด๋า โด่เด่ บาดเสียดแสบตา ปวดเจ็บ กระทบกระแทกอย่างนั้นจริงๆ

แต่ในหมู่เรานี่ จะไม่เป็น ถ้ามันได้ลักษณะพวกนี้ออกมา จะไม่เป็น ฟังดูดีๆ เข้าใจไหม คุณเดาได้ คาดคะเนได้ แต่ยิ่งใครมี ประสบการณ์แล้วด้วย เห็นจริงแล้วด้วย จะเข้าใจอย่างดีเลยว่า อาตมา ได้อธิบายอะไร ละเอียดลงไปให้ฟัง จะเห็นได้

ในความจริงใจนี่ จึงมีกาละเทศะ ฐานะด้วย การแสดงความจริงใจ มีกาละเทศะ ฐานะด้วย เพราะฉะนั้น กาละอย่างนี้ ไปแสดงความจริงใจออกเพียวๆ ออกไปซื่อๆ ทื่อๆ ระวังนะ ระวังผล ตอบมา อาตมาไม่รับรองนะ ถึงขั้นถูกหมัดถูกมือถูกมวย ถูกเขาดีดเอาก็ไม่รู้นะ ไม่รับรองด้วยนะ เราต้องเข้าใจด้วยว่า ความจริงใจนี่ จะต้องรู้จักสิ่งแวดล้อม แล้วถูกกาละเทศะด้วย หรือ แม้แต่บุคคล เราก็ต้องดู นี่ความจริงใจน่ะ

วันรัก เราจะมีความรัก อย่างที่มีมิติให้สูงจริงๆ เพราะฉะนั้น ในระดับที่มาอยู่ในวัดนี่ อย่างน้อยศีล ๘ อาตมาบอกแล้ว มาอยู่ในวัด นี่ ต้องพยายามศีล ๘ นะ เพราะฉะนั้น ความรักในระดับศีล ๘ จะไม่มีความรัก ในระดับมิติที่ ๑ แน่นอนใช่ไหม มิติที่ ๑ นี่ความรักมิติที่ ๑ ใครไม่รู้จักความรัก ๑๐ มิติ ก็ต้องไปหาอ่าน ความรักมิติที่ ๑. แม้แต่ความรักมิติที่ ๒ ก็ไม่มารุ่มร่ามอะไรหรอก เพื่อลูก เพื่อหลาน เท่านั้นเอง แค่ลูกแค่หลาน หรือแม้แต่มิติที่ ๓ เพื่อญาติ ญาตินิยม รุ่มร่ามไปถึงญาติ แหมนี่ มาทำเป็นพรรคเป็นหมู่ เป็นกลุ่มได้แค่ญาติ หรือแม้แต่ สังคมนิยม เพื่อพรรคของเรา สังคมของเรา เท่านั้น สังคมของคนอื่นไม่เอา มีหมู่ มีพรรค มีพวก ไม่ให้มันกว้างขึ้นไปหมด มิติที่ ๑ แคบมาก มิติที่ ๒ ก็ยังแคบอยู่ มิติที่ ๓ ก็ยังแคบอยู่ แต่มันก็กว้างขึ้นเรื่อยๆแหละ มิติที่ ๔ ก็ตาม สังคมนิยม มิติที่ ๕ แม้แต่จะบอกว่า สังคมนิยมแล้วอะไร ชาตินิยม มิติที่ ๕ ชาตินิยม ก็ต้องพยายาม ให้กว้างขึ้นไป แล้วก็แม้แต่ชาตินิยม ก็ไม่ จะมีชาติอื่นมาบ้าง เอาแบบตื้นๆก่อน ชาติ ก็คือสัญชาติ หรือเชื้อชาติคนแต่ละชาติ แต่ละชาติ ก็ได้ แม้แต่จะเป็นชาติ การกำเนิด โดยอะไร ก็แล้วแต่ กำเนิดโดยรูป กำเนิดโดยชาติ เชื้อ เชื้อสายสรีระ หรือแม้แต่ลัทธินิยม เป็นเชื้อชาติทาง ลัทธินิยม ก็ตาม เราก็จะต้องพยายามอ่าน พยายามเรียนรู้ว่า จะมีความรักกว้างแผ่ไปถึงว่า เออ แม้แต่จะไป เป็นชาติอื่น สัญชาติอื่น เราก็รักได้ เชื้อชาติอื่นก็รักได้

ความรัก คำนี้จึงไม่ได้หมายความว่า เป็นความรักอย่างผูกพัน รักไปในทางกาม รักไปในราคะ อย่างศาสนาคริสต์ ศาสนาอื่นนี่เขาบอกว่า จะต้องมีความรักกันมากมาย นี่หรือจะเป็น สากลนิยม จะเป็นเทวนิยม มิติที่ ๖ ที่ ๗ อะไร ไปอีก เราก็ต้องเรียนรู้สูงๆขึ้นไป ให้เป็นผู้ที่มีความรัก ที่มีมิติที่สูงขึ้น ถึงขั้น สากลนิยม ไม่จำกัดอะไรแล้ว ทั่วไปหมดเชื้อชาติ สัญชาติอะไร ไม่ติดไม่ยึด จนกระทั่ง ไปถึงขั้นเทวนิยม ทะลุเข้าไปหานามธรรม เทวนิยมก็เป็นพวกที่คนดี เผื่อแผ่คนชั่ว เขาไม่ให้เป็นคนดี มีปรารถนาดี ช่วยเหลือซาตาน ช่วยเหลือผี ช่วยเหลือคนชั่ว อะไรไป มีเทวนิยม สูงขึ้นไปก็ดี ถ้าปฏิบัติถูกธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว มิติที่ ๘ ที่ ๙ ที่ ๑๐ คือ สัจนิยม เราจะปฏิบัติ ถูกสัจนิยม ถูกกรรมนิยม สัจนิยม ถูกวิมุตินิยม ถูก พุทธนิยม หรือโพธิสัตวนิยม อะไรขึ้นไป มิติที่ ๑๐ เราจะเข้าใจ เราจะมีลักษณะ อะไรพวกนี้ เป็นความรักที่สูงส่ง กว้างจนที่สุด ในที่สุด ที่อาตมา เคยบรรยาย มาหมดแล้ว คือ ความรักที่ไม่มีความรัก แต่มีความรู้ มีความเข้าใจรู้ว่า เราจะสัมพันธ์กัน อย่างไร ในความรักนี่ จะเป็นความผูกพันในความรู้นี่ จะมีความสัมพันธ์ สัมพันธ์แต่ไม่ ติดยึด ไม่ผูกพัน ไม่ดูดดื่ม ไม่ดูดดึง ไม่ติดหรอก สัมพันธ์กันอยู่ตามสภาพ อยู่กันอย่างสามัคคี อยู่กันอย่าง เกื้อกูล อยู่กันอย่าง ช่วยเหลือเฟือฟาย เป็นกลุ่มที่แน่น แน่นดีด้วยนะ เหนียวแน่นดีด้วย ช่วยเหลือ เฟือฟาย เกื้อกูลอยู่เป็นบทบาทลีลา เป็นบทบาทของสังคม แต่ไม่ผูกติด จะจาก จะพราก จะไป จะมา จะห่างกันไป ชั่วคราว จะตายจากกันไปเลยทีเดียว ก็ไม่มีอาลัยอาวรณ์ รู้จักความเป็นจริง ตามความเป็นจริง ตามกาละ ผู้นี้ทำกาละนี่ หมายความว่า ตายก็ตาย ตายจากกันก็คือ ตาย ตายจากกัน ไม่มีความดูดดึง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีความเสียใจ จึงจะเรียกว่าเป็นความรัก ที่มีปัญญา เป็นความรักที่เข้าใจความลึกซึ้ง แล้วเป็นความรักที่ ทำใจในใจของเรา ให้ได้ดีน่ะ ความรักอย่างที่กล่าวนี้ จะต้องศึกษาจริงๆ

หนังสือความรัก ๑๐ มิตินี่ ดูบรรยายไม่มากไม่มายหรอก แต่จะเป็นองค์ประกอบกับที่เรา ปฏิบัติธรรม ซึ่งจะมีนัย ตามปฏิภาณของผู้รู้ที่มีญาณ มีปฏิภาณ เอามาใช้ประกอบ ความรัก ๑๐ มิตินี่ จะใช้เป็น โครงสร้างอันหนึ่ง ของการศึกษา แล้วจะมาใช้ประกอบในการปฏิบัติประพฤติตัวเรา อ๋อ ความรัก ที่มันสูงขึ้นไป สูงขึ้นไป นี่เราจะมีความสัมพันธ์ แม้ที่สุด กิริยาเหมือนกับเรารัก อาตมาเคยยก ตัวอย่าง ตัวเอง อาตมานี่ใจของอาตมาเอง พูดไปแล้ว อาตมาไม่อยากพูดต่อหน้าน้องๆ นุ่งๆ วันนี้ เขามากันหรือเปล่า ไม่รู้น่ะ แต่ถึงพูดก็ไม่เป็นไร เพราะว่าป่านนี้แล้ว ก็ต้องเข้า ใจ เพราะอาตมา เคยพูดมาก่อน ที่จะแยกกันมา ตั้งแต่อาตมา จะออกเนกขัมมะ ตอนนั้น ยังไม่คิดจะบวช ก่อนจะมา ทิ้งบ้านทิ้งเรือน ทิ้งอะไร อาตมาประชุมกันหมด เคยพูดแล้ว บอกว่าต่อไปนี้ ไม่มีพี่ ไม่มีน้องนะ ไม่มีการ ช่วยเหลือเฟือฟาย ไม่มีการอนุเคราะห์กันได้อีกแล้ว เลิก อาตมาเคยพูดกับเขาหมด แม้แต่ ตอนนั้น ไม่ใช่พี่น้องเท่านั้น น้องขง น้องเขย ตอนนั้นยังไม่มีน้องสะใภ้น่ะ เดี๋ยวนี้ค่อยมี มีน้องสะใภ้ อยู่คนเดียว อาตมาชาตินี้ น้องชาย ๓ คน มีน้องสะใภ้อยู่คนเดียวน่ะ นอกนั้น ไม่ได้แต่งงาน ผู้ชาย ๓ คน แต่งงานคนเดียว นอกนั้นมีน้องเขย น้องเขย ๓ คน แต่น้องเขยคนเล็ก ยังไม่ได้แต่งตอนนั้น มีน้องเขยคนโต กับคนที่ ๒ อาตมาก็พูดต่อหน้าเขา ดูเหมือนน้องเขยคนที่ ๒ ดูเหมือนไม่ได้มา ด้วยซ้ำไป เพราะน้องเขยคนที่ ๒ นี่เขาเป็นคริสต์ แล้วเขาก็มาทำทีเป็นพุทธ มาก็อยู่กับพวกเราไป พี่น้องเขาเป็นคริสต์ แต่เขาบอกว่าไม่มีปัญหา เขาเป็นพุทธได้ ก็เป็นพุทธ เขาก็มาแต่งงาน กับน้องสาวอาตมา แม้แต่เขาจะไปเมืองนอก อาตมายังให้หลวงพ่อทวดไปเลย แต่ก่อนนี้ ให้เอา หลวงพ่อทวดไป เขาก็เอานะ เอาไปก็ห้อยคออะไรอย่างนี้ไป แต่ไม่รู้เขาไปเอาออกเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้เขานะ แต่ เดี๋ยวนี้ เขาก็ไม่รู้เขานะ เขาก็ไปตามประสาของเขา แต่ดูเหมือนเขาไม่ได้มา วันนั้นน่ะ

อาตมาบอกไปหมด บอกว่าคล้ายๆกับบอกว่า มันไม่ได้มีความรัก หรือไม่ได้มีหน้าที่ ที่จะให้อาตมา ทำหน้าที่ ที่มีลีลากายกรรม วจีกรรม เป็นหน้าที่แสดงความรัก แต่ใจไม่ได้มีรัก อาตมาไม่เคย รักน้อง รักนุ่ง นี่ที่ว่าอาตมาไม่อยากพูดนี่ ไม่อยากพูดคำนี้ แต่ไปถามน้องนุ่งได้เลยทุกคนว่า น้องนุ่งคนไหน จะบอกว่า อาตมาไม่รักน้องไม่มี มีแต่คนเขาจะรู้สึกเลยว่า อาตมานี่รักน้อง รักนุ่งจริงๆ รักเป็นผู้ที่ รักน้องนุ่ง ดูแล เลี้ยงดู ให้ความอบอุ่นอะไรก็แล้วแต่ สร้างสรรช่วยเหลือเฟือฟาย ทำอะไรนี่ อาตมา เป็นคนที่มีกรรมกิริยา ตามความรู้ที่ทำหน้าที่ ใช้ภาษาโลกเรียกว่า ความรักโดยกิริยา โดยภาษา เท่านั้น โดยบัญญัติ แต่โดยจิตจริงๆ อาการของความผูกพัน อาการของ ความดูดดึงไม่มี แต่อาตมา แสดงกิริยา ห่วงหาอาวรณ์เขา มันก็จะห่วงอย่างนั้นอย่างนี้ ตามประสาสามัญ จะต้องห่วงกันยังไงๆ กิริยาต่างๆ ข้างนอก อาตมาแสดงออกมา ทุกอย่างนี้ อาตมาไม่บกพร่อง ไม่มีใครสงสัย จริงเหมือนจริง จริงเหมือนจริง ถ้าอาตมาใช้คำว่า ไม่จริงเหมือนจริง มันจะไม่ได้ มันจริงเหมือนจริง คนอื่นเขามอง จริงเหมือนจริงหมดเลย

อาตมาไม่ได้โกหก อาตมาไม่ได้หลอกลวง อาตมาจริง ใจ เพราะอาตมามีความรัก ที่ไม่เป็น ความรัก แล้ว มีความรักที่เหนือความรักจริงๆ แล้ว อาตมาไม่เข้าใจตัวเองนะ แต่ก่อนนี้ ไม่เข้าใจตัวเอง ยังนึกอยู่เลยว่า เอ๊ ทำไมเราไม่รักน้องรักนุ่งเหมือนคนอื่นเขานะ เขาจี๋จ๋า อาตมาไม่จี๋จ๋าเหมือนยังงั้น กิริยาที่เกินๆนะ โอ๊ ประเภทที่ไม่รู้สิ คนอื่นเขาน้องๆนุ่งๆ ครอบครัวเขามีกิริยาคลุกคลี เกี่ยวข้องกัน จี๋จ๋าอะไร มันมั่วซั่วเกินไป อาตมาไม่มี แต่ก็ไม่ได้ห่างเหิน อบอุ่นน่ะ ในกิริยา แม้ผู้ชายผู้หญิง น้องชาย ก็สัมผัสแตะต้อง กอดคอโน่นนี่อะไรกัน ด้วยกัน ยังไงอาตมาก็ทำ น้องสาวก็สมควรที่จะทำ พอสมควร ที่จะกระทำ เขาเป็นผู้หญิง เราเป็นผู้ชาย แล้วเราก็จะแสดงกิริยา เหมือนกับน้องชาย กับผู้ชายคลุกคลี เกี่ยวข้องกัน กอด คลุกคลีเนื้อตัว ทำท่าทีท่าทางอะไรมากเกิน อาตมาว่า มันไม่ถูกนะ มันไม่ถูกต้อง ก็ทำตามฐานะที่ควร อาตมาก็ทำน่ะ น้องๆนุ่งๆ อยู่กันอย่างโน้นอย่างนี้ อะไรต่ออะไรต่างๆนี่ อาตมาก็ทำตามอย่างบริสุทธิ์ผุดผ่อง อย่างดีงามทุกอย่าง อาตมาทำมาหมด ซึ่งไม่มีใครกล่าวได้ว่า อาตมาไม่รัก ใช้ภาษาโลก เรียกว่าไม่รักน้อง ไม่มีใครจะรู้สึก แม้แต่น้องนุ่ง ก็ไม่รู้สึก คนข้างนอก ที่ไหนๆก็ไม่รู้สึก แต่ใจอาตมาจริงๆ อาตมาเปิดเผยสู่ฟัง ว่าลักษณะอาการ ความรัก ของโลกๆ อย่างโลกๆ ไม่มี เพราะฉะนั้น จะวาง จะปล่อยเมื่อไหร่ ก็วางสบาย ไม่มีการ ติดยึด หรือ ดูดดึงอะไรเลย นี่อาตมาเล่าสู่ฟัง ส่วนใครจะมีการผูกพัน จะ ค่อยๆ ลด ค่อยๆอะไร ก็ค่อยๆลดไป แล้วก็พยายามทำจิตใจ ให้มันดีน่ะ

เป็นวันลึก นอกจากวันรักแล้ว เป็นวันลึก ลึกนี่เท่าที่จะลึกได้ ลึกซึ้ง เป็นวันที่เราจะมาทำความลึกซึ้ง เพราะฉะนั้น แม้แต่เทศน์เมื่อเช้า อาตมาก็ พยายามที่จะทำความลึกซึ้งอะไรขึ้นมา แม้แต่เรื่องแค่นี้ อาตมาก็พยายาม ที่จะมาพูด มานำพาให้เกิดความลึกซึ้งขึ้น วันเบาๆ ก็จริงอยู่ แต่มีความลึกซึ้ง จะเน้นบ้าง จะทำอะไรกันบ้างให้ลึกซึ้ง ก็ไม่ถึงกับเครียด ไม่ถึงกับทำอะไรให้หนักหนา สากรรจ์ จนเกินการ แต่ก็เป็นวันที่ต้อง อย่าไปเผินๆ เป็นคนตื้นๆ เป็นเรื่องที่ อะไรๆก็ไม่ค่อยจะลึกซึ้งอะไร ให้มันมีลักษณะ ที่ลึกซึ้งเข้าไป ทางกาย วาจา ใจ อะไรก็แล้วแต่ โดยเฉพาะทางใจ ให้ดีๆน่ะ อาตมาก็ขยายความกว้างๆ ไว้อย่างนี้ เป็นวันลึกๆ อย่างที่ว่านี่นะ

เป็นวันกตัญญู อันสุดท้าย ข้อที่ ๑๖ เป็นวันกตัญญูน่ะ วันกตัญญูนี่ก็คือ ลักษณะของคนที่มี ศาสนาไหน ก็แล้วแต่ อาตมาเชื่อว่า ไม่มีศาสนาไหนหรอก ที่เขาจะสอน ไม่กตัญญู นอกจาก ลัทธิบางลัทธิ ที่ไม่ถึงขั้นศาสนา ลัทธิบางลัทธิที่ไม่ถึงขั้นศาสนานี่ เขาไม่สอนกตัญญู แล้วไม่ให้คน กตัญญู นั่นแน่นอน แต่ศาสนาที่ชื่อว่า ศาสนา ยอมรับกันในโลก ว่าเป็นศาสนาแล้ว ศาสดาที่ได้ยกย่อง ว่าเป็นศาสดา เป็นเจ้าของศาสนา มีคนเคารพนับถือ และมีหลักการที่ดี ให้ประชาชน ได้อาศัยประพฤติ ปฏิบัติ เพื่อความอยู่เย็นเป็นสุข สันติของสังคม มนุษยชาติ ชื่อว่าศาสนาแล้ว ต้องสอนเรื่อง กตัญญู กันทั้งสิ้น ไม่ขัดแย้ง ไม่ขัดแย้งน่ะ กตัญญูกตเวที คือ การรู้จัก บุญคุณคน ที่ได้ทำให้แก่เราแล้ว ที่จริงกตัญญ ูมันก็แค่ความรู้สิ่งที่แล้วเท่านั้นเอง อาตมา แปล ตามพยัญชนะ กตะ กับ อัญญะ อัญญู นี่น่ะ กตะ กับอัญญะ อัญญู อัญญู ก็คือ ความรู้ อัญญะ น่ะความรู้ หรือแปลว่า อื่นก็ได้ อัญญะนี่แปลว่าอื่นก็ได้ อัญญะ แปลว่า ไม่รู้ก็ได้ อัญญะ อัญญูนี่ แปลว่าไม่รู้ก็ได้ มันซ้อนเชิง คำว่าอัญญะนี่ แปลว่าไม่รู้ก็ได้ แปลว่ารู้แล้วรู้ยิ่ง มันรู้ รู้อย่างลึกซึ้ง รู้อย่างจริง ไอ้ที่ไม่รู้ก็คืออย่างตื้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ตื้นไม่มีแล้ว มีแต่สิ่งที่ลึก เพราะฉะนั้น ถ้าจะอย่างไม่รู้อะไรเลย อัญญู ก็คือ ไม่รู้เรื่องอะไรน่ะ กะตะ แปลว่าสิ่งที่แล้ว กระทำแล้ว จะเป็นผู้ที่มีอัญญู หรืออัญญะที่ลึกซึ้ง มีความรู้ที่ลึกซึ้งในสิ่งที่แล้ว สิ่งที่แล้วอันใด ที่เป็นประโยชน์คุณค่า ที่เราได้รับจากใครก็แล้วแต่ เขาได้ทำแล้วกับเรา เราจะต้องเป็นคนรู้ว่า เขามีคุณค่ากับเรา เขามีประโยชน์กับเรา

เราจะต้องเป็นคนมีประโยชน์ เช่นเขาเป็น โดยเฉพาะ เขานั่นแหละ ให้แก่เรา เราก็ต้องให้เขาบ้าง ก็คนที่เคยให้แก่เรา แล้วเราก็ให้แก่คนที่เขาเคยให้แก่เรา ไม่ได้ เราจะไปให้ใครได้ในโลก ใช่ไหม คนนี้เขาเคยให้แก่เรา ให้มาแล้ว กตัญญู ก็คืออดีต กตะนี่ เป็นสิ่งที่เป็นมาแล้ว ทำมาแล้ว เขาเคยให้ แก่เรานะ แล้วได้ แล้วเรายังให้แก่คนที่ เคยให้แก่เราไม่ได้นี่ แล้วคุณจะไปกล้าให้ คนที่เขาไม่เคย ให้แก่เราได้หรือ นี่ง่ายๆ เป็นความหมายง่ายๆ แต่ความหมาย มันลึกซึ้ง มาแปลเอาความหมาย มาแปลเอา อรรถ เอาภาษา เอาสาระแล้ว ก็หมายความว่า ตอบแทนคุณคน ตอบแทนคุณคน ใครมีบุญคุณกับเรา เราก็ตอบแทนคุณเขาให้ได้ เป็นกุศลธรรม เป็นคุณธรรม ที่มนุษย์จะต้องเป็น ต้องมีกันอย่างแท้จริง ไม่ว่าระดับไหน ไม่ว่าขั้นตอนไหน ต้องพยายามน่ะ พยายามที่ต้องเป็นคน อย่างนั้น แม้จะไม่ย้ำ แม้จะไม่พูดกันซ้ำซาก แม้จะไม่พูด กันบ่อย อาตมาไม่ได้พูดเรื่องกตัญญู พวกเราบ่อยนัก แต่อาตมาเชื่อว่า พวกเราจะไม่เผิน หรือว่า ไม่ตกต่ำ จนถึงขนาด แหม กตัญญู ก็ไม่มีกัน อาตมาไม่ได้พูดบ่อยๆนักเรื่องนี้ ก็คงจะรู้ๆกันอยู่ แต่อาตมาก็พูดเหมือนกัน ย้ำเหมือนกัน ในกาละ ในครั้ง ในคราวที่ควรจะย้ำ

วันนี้เป็นวันกตัญญู ก็หมายความว่า อาตมาพูดถึงวันมาฆบูชา มาฆบูชานี่ เป็นวันที่พระสาวก ทั้งหลายแหล่ ระลึกถึงบุญคุณพระพุทธเจ้า ท่านอยู่ไหนหนอ วันนี้ อย่างน้อยที่สุด ต้องไปกราบ คารวะ เคารพ ไปกราบระลึกถึงบุญคุณท่าน จะให้อะไรเราอีก ก็จะมีการเทศน์นั่นแหละ ท่านจะเทศน์ อะไร ท่านก็เทศน์แก่นสารสาระอะไรก็ว่าไป ตามวันมาฆบูชา มีเทศน์กัณฑ์ดีๆ แต่อาตมาเคยบอก แล้วว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์บอกว่า วันที่เทศน์ในวันมาฆบูชานั้น ก็คือ โอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งโอวาทปาฏิโมกข์ ก็มีหัวข้อ อยู่ ไม่กี่หัวข้อ อย่างน้อยก็ที่จำได้ แม่นๆ ก็ ๓ หัวข้อ บอกว่า ละชั่ว ประพฤติดี ทำใจให้บริสุทธิ์ แล้วก็เรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ แล้วพระพุทธเจ้า มาถึง ขึ้นก็ สมณะขีณาสพ ๑,๒๕๐ รูป ท่านแสดงธรรม โอวาทปาฏิโมกข์ก็มาถึง เอ้า ท่านทั้งหลาย จงได้ระลึกถึง ๓ ข้อ ๖ ข้อ ๔ ข้อ มัน โอวาทปาฏิโมกข์มีอยู่ ๓ หมวด ๓ ข้อ ๖ ข้อ ๔ ข้อ แล้วก็กล่าว ๓ ข้อ ๖ ข้อ ๔ ข้อ เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ จบ ไม่ใช่หรอก เข้าใจไหม

พระพุทธเจ้าไม่ได้เทศน์ แค่นั้นหรอก ท่านก็เทศน์อย่างที่อาตมาเทศน์นี่แหละ แต่ว่าก็ไม่ต้อง พูดยุ่มย่าม เยอะแยะ ยกอุทาหรณ์ พลความอะไรให้เหมือนอย่างพวกคุณ เพราะท่านเป็น พระอริยเจ้า พระอรหันต์ ท่านก็เทศน์ ท่านขยายความพอควร ในอรรถะ สาระที่ควรจะได้ขยาย ไม่ใช่มาพูดแต่หัวข้อ แล้วก็จบ โอวาทปาฏิโมกข์ มีอะไร มีหัวข้อ ไม่ได้บรรยาย ไม่ได้ขยายนะ ในพระอานนท์ เอามาบอกให้จดบันทึกในพระ ไตรปิฎก ก็ไม่ได้ขยายความนะ มีอยู่หัวข้อแค่นั้น แต่จริงๆแล้ว พระอานนท์สรุปมา สรุปแล้วไม่ได้ขยาย ผู้ที่รู้ย่อมรู้ ละไว้ในฐาน ที่เข้าใจ

นี่ อาตมานำมาพูดนี่ อาตมาขยายความโอวาทปาฏิโมกข์ ๓ ข้อ ก็ดี ๖ ข้อก็ดี ๔ ข้อก็ตาม ก็ขยาย อย่างอาตมา แล้วอาตมาแน่ใจว่า เป็นความถูกต้องด้วย เป็นต้นว่า พระพุทธเจ้าท่านจะเทศน์ จะอะไร ก็ว่ากันไปน่ะ ในวันนี้ ก็อย่างน้อยที่สุด ผู้ที่เป็นพระสาวกนั่นน่ะ มากตัญญูกตเวที มาแสดงกตัญญูกตเวที จะกับใครก็ได้ ถ้าในนี้เรามีกัน ก็แสดงกัน ซ้อนไปซิ คุณจะกตัญญูกับใคร คุณจะกตัญญูกับใคร ก็ซ้อนกันไปสิ เป็นวันมารวมกัน มากแล้วนะ เป็นวันมารวมกันเนื้อๆ แก่นๆ แล้วนะ เราก็กตัญญูกันเข้าไปสิ เนื้อๆ แก่นๆ เป็นวันที่ ถ้าใครเข้าใจ อย่างที่อาตมาพูดแล้ว ก็สำคัญ ในความสำคัญ อันนี้นะ คุณคิดดูซิว่า วันอโศกรำลึก หรือวันพิเศษอย่างนี้ มันจะมีเนื้อหา แก่นสาร มันจะมี อะไรต่ออะไร ดีขนาดไหนบ้าง ก็ได้ทำกตัญญูกตเวที บ้างก็ได้เจอแก่น บ้างก็ได้เจอเนื้อ บ้างก็จะได้ฝึกหัด อบรม จะมีสภาพรูปธรรมที่อบอุ่น มีอะไรต่ออะไรต่างๆนา นา อีกเยอะแยะเลยน่ะ

วันอโศกรำลึกปีนี้ ไม่เหมือนปีกลาย ไม่เหมือนปี ๓๓ ปี ๓๓ นั่น เราก็มาพูดกัน โยงใยถึงปี ๓๒ เพราะ วันอโศกรำลึกปี ๓๒ นั้น กำลังเข้มข้น เขาจะมาจับหรือไม่จับแหล่ ตำรวจกำลังมาดูลาดเลา นักหนังสือพิมพ์ ก็เต็มเลย ปี ๓๒ นะ วันอโศกรำลึกปี ๓๒ วันที่ ๕ นี่นะ วันที่ ๕ ด้วย โอ้ กำลัง เตรียมพร้อม อยู่อย่างขมีขมันเลย พอวันที่ ๙ วันที่ ๑๐ ก็จะถูกจับแล้ว พอวันที่ ๑๘ ก็ถูกจับเลย (หัวเราะ) มีหนังสือมา ให้ข้อหาจับเสียเลย อะไรอย่างนี้ เขาก็เข้มงวดกวดขันกันอยู่ กำลังเขม็ง เกลียวกัน พอปี ๓๓ ก็เลยยังมีลูกต่อ วันอโศกรำลึก ก็พูดกันโยงใยกัน พูดถึงวัน อโศกรำลึก ของ ๓๒ มาก วันนี้วันปี ๓๔ อโศกรำลึก อาตมาก็เลยเอา สิ่งเหล่านี้มาขยาย ก็จะเจือจางจากฤทธิ์แรง ในวันที่ มันเกิดเหตุการณ์ อะไรต่ออะไร พวกนั้น จากปี ๓๒ ที่เรามีเรื่องมีราว แม้ปี ๓๓ ก็มันจะเข้มข้น ในเรื่องเหล่านั้น อย่างมากมาย ปีนี้ก็เรื่องเข้มข้นเหล่านั้นลดลง แล้วเราก็มาพูดถึง เนื้อหาสาระ ที่จะเป็นไป ในทางที่จะคลี่คลาย ที่จะให้เกิดความสุขเย็น เกิดสภาพที่ดีงาม อะไรขึ้นมา กันเท่านั้นเองนะ

มีสิ่งที่จะเอามาเสริมหนุนให้พวกเราอยู่อันหนึ่ง ที่อาตมาจะเอามาสำทับพวกเราต่อไปเพิ่มขึ้น ธรรมะของพระพุทธเจ้า มีอันหนึ่ง เรียกว่า อุปัญญาตธรรม อุปัญญาตธรรมของพระพุทธเจ้านี่ เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้า ทรงปฏิบัติ เห็นคุณประจักษ์กับพระองค์เอง แม้เป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็ตาม อุปัญญาตธรรมนี่ ธรรมะที่ พระพุทธเจ้า ท่านทรงปฏิบัติ เห็นคุณประจักษ์หมายความว่า มันเกิดความประจักษ์ มันเห็นชัด เห็นเจน เห็นแจ้ง เห็นจริง มันเกิดผลจริงๆ ในตัวประจักษ์แจ้ง เห็นคุณประจักษ์กับพระองค์เอง ได้แก่

๑. อสันตุฏฐิตา กุสเลสุ ธัมเมสุ ธรรมะคือไม่สันโดษในกุศลธรรม พระพุทธเจ้า เห็นอุปัญญาตธรรม อันหนึ่ง ที่เป็นคุณปฏิบัติ เห็นเป็นคุณอันประจักษ์เหลือเกิน แม้แต่ท่านเอง ในพระชนมชีพของท่าน เป็นตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านก็ยังไม่สันโดษ อสันตุฏฐิตา ไม่สันโดษ อสันตุฏฐิตา กุสเลสุ ธัมเมสุ ไม่สันโดษในกุศลธรรมน่ะ คือไม่รู้อิ่ม ไม่รู้พอ ในการสร้างความดี และสิ่งที่ดี ท่านเห็น ประจักษ์แจ้งจริงๆ อาตมาเอามาเน้นมาย้ำ กับพวกเราทำไม คืออาตมาอยากจะ แก้เคล็ดพวกเรา ที่มันจะติดแป้น ตัวขี้เกียจ ตัวที่มันติดเบาๆ ง่ายๆ เลี่ยงๆ นี่ คือพวกเรานี่ อยู่ในองค์ประกอบ อยู่ในแวดวงสิ่งแวดล้อม มันอยู่ดี กินดี มันพอ มันอุดม มันไม่ลำบากลำบน เศรษฐกิจก็ดี อยู่ก็ดี มิตรสหายก็ดี เอ๊ คนดีเยอะแล้ว เราไม่ดีสักคน คงไม่เป็นไรนะ เราก็ไม่ได้เลวเกินไปนี่ แต่ขี้เกียจน่ะ ไม่ต้องขวนขวายนักหรอก ขนาดนี้ก็ดีแล้ว มันละเอียดจริงๆนะ มันล่อใจคนจริงๆ นี่มันต้องปลุกเร้า มันต้องพยายามกระทำ พระพุทธเจ้าท่านถึงเห็นคุณอันประจักษ์เหลือเกิน ของคนนี่ว่า โอ้โห อาตมาเอง เป็นพระโพธิสัตว์นี่นะ อาตมารู้ตัวนี้ดี๊ดี รู้ดีๆจริงๆเลยนะว่า เราไปเผลอกับมัน ไม่ได้เลยนะ มันมีเหตุผลเสมอ เราก็ดีแล้วนี่หนา อย่างน้อยก็โถ คุ้มน่ะ วันก่อนๆ เราก็ทำดี มาตั้งเยอะ ตั้งแยะ แล้ว วันนี้จะเถลไถลอีกสักนิดสักหน่อย มันจะอะไรกันเชียวแน่ะ ก็ไม่เถลไล ทั้งวันนี่นะ สักชั่วโมง ๒ ชั่วโมงไม่ได้หรือ อะไรพวกนี้ มันทำให้เรานี่แวะเลี่ยง บำเรอตน อยากอยู่ เฉยๆ

อาตมาถึงบอกว่า ไอ้ตัวอยู่เฉยๆ นี่ ใครจะไม่เข้าใจว่ามันว่าง มันเบา แต่เราว่าง เราเบานั่นน่ะ เราก็ปล่อยเวลาให้ผ่านไปสู่ความตาย มันเหนื่อย หรือมันไม่สบายจริงๆนะหรือ ทำไมไม่ขวนขวาย ขวนขวายซิ กายกรรม วจีกรรมอะไรดีกว่านี้มีอีก งานการมีอีก งานการของพวกเรานี่ มันหมดแล้วหรือ สิ่งที่จะทำนี่หมดแล้วหรือ มีงานให้ทำ คนเรานี่ มันไม่จนงานหรอก ไม่จนงาน โอ๊ะ การงานมีให้ทำ มีงานดีๆด้วย อนวัชชะ เป็นงานที่ไม่เป็น งานที่ดี เป็นงานที่ไม่เสื่อม ไม่เสีย เป็นงานอันไม่มีโทษ เป็นงานที่เป็นสัมมา สัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาอาชีวะ แม้แต่จะดำริ เอาล่ะ ไม่ลงมือลงไม้ ไม่ลง ไม่เป็น วาจา ไม่เป็นกายกรรม ไม่เป็นองค์การ ไม่เป็นการงาน ที่ออกทางรูปธรรมก็ตาม แม้จะคิดดีๆ ไม่ใช่นั่งฟุ้งซ่าน ไม่ใช่นั่ง บำเรออารมณ์ แล้วระวังเลี่ยงง่ายนะ ตัวนี้ เราไม่ต้องไปทำ กายกรรม วจีกรรม เราทำงานทาง มโนกรรม แต่เสร็จแล้วก็ฟุ้งซ่าน เสร็จแล้วก็ไปคิดบำเรอตน ปั้นไอ้นั่นมาเสพ ปั้นไอ้นี่มาเสพ เสร็จแล้ว ก็เลี่ยงตัวเองว่า นี่เรากำลังบุพเพนิวาสานุสติซวย ไม่ใช่บุพเพนิวาสานุสติญาณนะ บุพเพนิวาสานุสติซวย คือไประลึกเรื่องราวก่อนที่ผ่านมา แล้วก็มานั่งระลึกเราว่า เราพิจารณานะ ที่แท้เสพ ที่แท้ก็แหม มีรสมีชาติ มีความสุข ความทุกข์ มีความโกรธ ความชัง ความชอบ ความชังอะไร อยู่กับมันอย่างนั้นๆๆ ระวัง แต่ถ้าคุณจะหยิบมา บุพเพนิวาสานุสติ ให้เกิดญาณ ก็ทำให้ตรง ทำให้ตรงเถอะ ได้คุณได้ประโยชน์ แต่ถ้าทำไม่ตรงแล้ว ระวัง แวะง่ายที่สุดเลย ดีไม่ดี นั่งหลับมันดื้อๆ เสร็จ แล้วก็นึกว่า ตัวเองเข้าฌาน แล้วก็ว่าง ก็เบา ก็ง่าย ก็เสพ ก็ติดน่ะ จะฝึกก็ฝึก จริงๆ ก็แล้วกัน ถ้ามันไม่ได้ดี ก็เปลี่ยน เอาสิ่งใหม่ มันไม่ได้ดี อย่าไปแช่ อย่าไปจม อยู่กับไอ้สิ่งที่มัน เอ๊ะ เราทำมันก็ไม่ได้ดีนะ จะนั่งเจโตสมถะ ก็ไม่ได้ดี จะนั่งพิจารณาธรรม ก็ไม่ได้ดี เอ้า ไปหางานอื่นทำ ไปมีกาย ทางกายกรรม มี ทางวจีกรรม ไปหางานอื่นที่ดีกว่านี้ ให้มันเกิดคุณค่าประโยชน์ ในเรื่องนี้นี่เป็นเรื่อง ที่สำคัญน่ะ เป็นเรื่องที่ว่า เราไม่สันโดษ ในกุศลธรรม หรือ กุศลกรรมก็ได้

พระพุทธเจ้ากำหนดเวลาทำงาน ที่จริงมันก็ไม่ได้ตรงเป๊ะ เป็นตาราง แบบนั้นทีเดียวหรอก เหมือนอาตมา ทุกวันนี้ ทำงานเหมือนกับเป็นตารางอยู่บ้าง เหมือนกันนะ เช่นถามท่านศีลวัณโณ ก็ได้ ถามท่านติกขวีโรก็ได้ว่า เดี๋ยวอาตมาตื่นนอน ไปทำอะไร จะไปไหน มาไหน แทบจะรู้นะ เวลานี้ท่านต้องเดินเข้าส้วม เวลานี้ เดี๋ยวท่านก็เดินเข้าห้อง เดี๋ยวเวลานี้ ท่านจะเดินไปนั่นไปนี่ แล้วอาตมาก็แวะ แวะนั่นแวะนี่ เป็นบ้างนะ บางทีท่านก็ไม่ทันอาตมา อาตมาไปคนเดียว บางทีอาตมาก็ ไปแวะทำโน่นทำนี่มาแล้ว บางทีท่านตามหาเหมือนกันนะ ที่จริงแล้ว หลักใหญ่ๆ วันๆหนึ่ง จะทำอะไรบ้างนี่นะ นอกจากจะมีกำหนดบอกไว้ว่า เราได้นัดอันนี้ไว้ ทำอันนี้ไว้ ถ้าไม่มีอะไร อาตมาก็ทำงานเป็นกิจวัตร เป็น Routine เป็นอะไร ที่ทำประจำอยู่ไป

พระพุทธเจ้าก็มีกิจวัตรของท่าน มีอะไรต่ออะไรก็ทำ เราก็ต้องรู้ตัวเรา ในเวลาอย่างนี้ เราก็แทรกซ้อน ที่จะบำเรอตนได้ ที่จะไม่พยายามขมีขมัน ขวนขวาย ที่จะให้มันเป็นการงาน ที่ไม่มีโทษ ไม่ใช่ตัวเสพ ไม่ใช่ตัวเปลือง ไม่ใช่ตัวผลาญ ไม่ใช่ง่ายนะ เพราะฉะนั้น เข้าใจให้ดีว่าพระพุทธเจ้าเห็นคุณ อันประจักษ์จริงๆ กับ พระองค์เอง เพราะฉะนั้น กับผู้อื่น ไม่ต้องพูดเลย ถ้าทำได้ สังวรได้ ขนาด พระพุทธเจ้า ยังบอกว่า คุณประจักษ์จริงๆ การไม่สันโดษในกุศลนี่ ไม่ใช่เรื่องย่อยน่ะ การไม่สันโดษ ในกุศลนี่ เพราะฉะนั้น อย่ามาทำแก้ตัว เราทำแค่นี้ก็พอแล้วน่ะ ดีแล้ว แล้วก็ไม่ขวนขวาย อย่าลืมนะว่า ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องขวนขวาย ยังจะต้องไม่สันโดษในกุศลนะ

ข้อที่ ๒. อัปปฏิวานิตา จ ปธานัสมิง ... มันสอดคล้องกับข้อ ข้างบนนะ ไม่สันโดษในกุศล แล้วบำเพ็ญเพียร ไม่ระย่อ พระพุทธเจ้าท่านจะต้องไป บำเพ็ญเพียรอะไรอีก ฟังออกไหม แต่ท่าน ก็ต้องเพียร เพราะฉะนั้น อาตมาถึง ซาบซึ้งคำว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร คือผู้ข้ามโอฆสงสารได้นี่ ประทับใจจริงๆ รู้สึกซาบซึ้ง แล้วอาตมาก็เห็น เห็นสภาวะมันมากเลย อาตมาถึงได้พูดอยู่ว่า เขาไม่เอามาหรอก คนที่ตื้นๆ เขาไม่รู้สึกว่า มันมีคุณค่า เขาไม่เข้าใจ เขาไม่รู้ ความหมายของมัน เขาหยิบมาใช้ไม่เป็น อาตมาหยิบมาใช้กับพวกเรา นี่ ไม่ใช่ เรื่องตื้นเขิน ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ นี่เราไม่พัก เราไม่เพียร คือผู้ข้ามโอฆสงสารได้ เราคือผู้ข้ามโอฆสงสารได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยนะ นี่บำเพ็ญ เพียร ไม่ระย่อ แปลความ อัปปฏิวานิตา จ ปธานัสมิงนี่ บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ น่ะ ไม่ระย่อ ไม่ระย่อ นี่ภาษาไทย เขาพยายามแปลเป็นภาษาไทย ดี เหมือนกันนะ ไม่ระย่อ คือหมายความว่า เวลาเล็กเวลาน้อย เวลาใด เวลาไหนๆ ก็ตาม จะต้องบำเพ็ญเพียร จะต้องพยายามบำเพ็ญ มีเพียร มี บำเพ็ญกันอยู่เสมอๆ น่ะ คือเพียรพยายามก้าวหน้าเรื่อยไป ขยายความ คือเพียรพยายาม ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ยอมถอยหลัง ไม่ยอมแพ้

ทันสมัยกว่าอ้อมนะ ทันสมัยกว่าอ้อมเองอีก ท่านเอง ท่านไม่ยอมแพ้มาก่อน อ้อมอีกน่ะ นี่เอามาร้อง เพิ่งเอามาฮิตกันเดี๋ยวนี้ พุทโถ พึ่งมาตื่นตัว เดี๋ยวนี้หรือ

พระพุทธเจ้าท่านไม่ยอมแพ้ ก้าวหน้าเรื่อยไป ไม่ยอมถอย เห็นไหม ก็เหมือนกับว่า ไม่ต้องถอย ไม่ต้องแพ้ อะไรเหมือนกันล่ะ พระพุทธเจ้าท่านทันสมัยมาก่อน ล้ำสมัยมานานแล้ว ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมท้อถอย ต่ออุปสรรค และความเหน็ดเหนื่อย ยาก ลำบากน่ะ หมายความว่า บำเพ็ญเพียร ไม่ระย่อ ๒ ข้อนี่ ไม่ใช่เรื่องเล็ก ๑.ไม่สันโดษในกุศล ๒. บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ

เอาละ เราพูดภาษาบาลีกัน มันอาจจะอุๆ อะๆ โอะๆ อิๆ อะไร ลำบากลำบน เป็นภาษาไทยเลย ไม่สันโดษในกุศล แม้สันโดษจะเป็นภาษาบาลีกลายๆบ้าง ก็คงพอเข้าใจกันมากอยู่แล้ว พวกเรา

ข้อ ๒. บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ บำเพ็ญเพียรไม่ท้อถอย ไม่ระย่อนี่มันรู้สึกว่า มันจะให้ ภาษาที่ยิ่งกว่า ไม่ท้อถอย ไม่ท้อถอย รู้สึกมันใหญ่ มันหนัก แต่ไม่ระย่อนี่ แม้ละเอียด ลออนี่ ไม่บำเพ็ญเพียร แม้นิด แม้น้อย ก็ต้องบำเพ็ญเข้าไปเรื่อย ไม่ได้ยอมอ่อนข้อ ไม่ได้ยอมปล่อย เว้นปล่อยว่างง่ายๆ ไม่ระย่อนี่ ไม่ระย่อ คือทำต่อเนื่อง ทำให้เสมอ บำเพ็ญเพียรให้ต่อเนื่อง ให้มากๆ อยู่เสมอๆ คำว่าบำเพ็ญเพียร หรือคำว่า ที่จะตั้งตนไว้ อย่างให้มันมีคุณค่า ตั้งตนไว้ให้มันมีคุณค่า การตั้งตนไว้ให้มันมีคุณค่า หรือ บำเพ็ญเพียร เรา ถ้าเข้าใจภาษาความหมาย ที่อาตมาพูดไปแล้วนี้ ก็คงจะไม่ไม่มี ปัญหาอะไร สำหรับ ผู้เข้าใจดี

คนเราเกิดมาแล้ว เรารู้ว่า เราจะต้องพยายามบำเพ็ญเพียร ไม่ระย่อ หรือพยายามที่จะตั้งใจ ทำคุณค่า อยู่เสมอๆ นี่ น่ะตั้งใจทำคุณค่าอยู่ เสมอ จะเป็นคนยังไง หา อาตมาถามไป กลายๆ อย่างนี้ พวกเราจะเข้าใจเอง นะ จะเข้าใจดีน่ะ จะเป็นคนยังไง จะเป็นคนที่จะทำคุณ หรือว่า พยายาม ขวนขวายที่จะทำคุณ ให้ได้เสมอๆนี่ แล้วก็สำนึก ตรวจตัวเอง รู้ตัวเอง บัดนี้เรา กำลังทำ อะไรอยู่ สำเหนียก ตรวจตัวเอง เรากำลังทำคุณ ทำประโยชน์อะไรหรือเปล่า แล้วเราจะต่อเนื่อง เพื่อที่จะทำคุณ ทำประโยชน์ให้ได้ยิ่งขึ้น ให้ตั้งตนอยู่ในความเจริญ ตั้งตนในการสร้างสรร ส่งเสริมอะไร ให้ดีอยู่ต่อๆไป ตอนนี้เรา กำลังเปล่าประโยชน์หรือเปล่า ไร้คุณค่าหรือเปล่า ถ้าคน มีสำนึกอย่างนี้ มีสติ สัมปชัญญะ แล้วก็สังวรตนอย่างนี้ จะจนไหม จะอดอยากไหม จะตกต่ำไหม แล้ว เราก็ไม่ได้บำเพ็ญเพียร หรือว่ากระทำสิ่งที่เป็นงานอันมีโทษ งานไร้ค่า งานที่เป็น มิจฉาสังกัปปะ มิจฉาวาจา มิจฉากัมมันตะ มิจฉาอาชีวะ เราก็เรียนมาแล้ว

แล้วยิ่งเรารู้ด้วยว่า งานใด ที่เป็นงานที่เป็นสัมมา สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ อย่างไรๆ เท่าที่เรามีภูมิ อันไหนที่ชัดๆ อันไหนที่ สงสัย ก็ละเว้นไว้ก่อน ไอ้ที่ชัดๆ ก็ทำ ไอ้ที่เป็นสัมมา ไอ้ที่เป็นคุณค่าที่แท้จริง ก็พยายามที่จะมีสำนึกอยู่อย่างนี้ ไม่ได้บังคับจนเกินการว่า มันเมื่อยแล้ว ก็ให้ทำอยู่ นั่นแล้ว จะเป็นจะตาย ก็ถูกบังคับให้ทำ ไม่ใช่ เรามีพัก มีเพียร เรามีปัญญา ที่แท้ จริง รู้พักรู้เพียรที่แท้ เก็บรายละเอียดได้มาก ฟังให้ดี คุณจะเข้าใจว่า ถ้าเผื่อว่า เรามีหลัก ๒ หลักนี้ ประจำใจ ไม่สันโดษในกุศล บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ ไม่สันโดษ ในกุศล บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ ๒ ข้อนี้ละ ขอฝากไว้กับพวกเรา ในวันอโศกรำลึก ๓๔ นี้ ขอให้พวกเราได้เอาไปใช้เพิ่มเติมขึ้นนะ แล้วเราจะพัฒนา

อาตมากล้าพูด อาจจะไม่เร็วไวนะ แต่กล้าพูดได้ว่า ถ้าเราบำเพ็ญตน หรือว่าประพฤติในหลัก อุปัญญาตธรรม อุปัญญาตธรรม ๒ ข้อนี้ ซึ่งเป็นธรรมะที่ทรงปฏิบัติเห็นคุณ ประจักษ์นะ ธรรมะที่ทรงปฏิบัติ เห็นคุณอันประจักษ์ กับพระองค์เอง แล้วพระองค์เอง ก็เอามาตรัสกับพวกเรา ให้ศึกษา สำเหนียกสังวร ถ้าเราเดินตามรอยพระยุคลบาท ในคุณอันประจักษ์อันนี้ ได้จริงแล้วละก็ เมื่อกี้ อาตมาบอกแล้วว่า อาจจะไม่เร็ว อาจจะไม่เห็นผลชะงัด ทันทีทันใดก็ตาม อาตมาขอกล่าว ล่วงหน้าไว้ได้ว่า เมื่อเราปฏิบัติสัมมาทิฏฐิ ถูกแท้ ตรงทางนี้ อริยมรรคองค์ ๘ ตามที่เราได้ฝึกฝน มันกินความ ทั้งงานการของมนุษย์ กินความทั้งได้ละลดกิเลส เพื่อความหลุดพ้นทุกข์ อย่างสมบูรณ์ เป็นพ้นทุกข์ อย่างโลกุตระด้วย มันจะกินความหมดเลย เราจะนำพากลุ่ม มนุษยชาตินี้ สู่ความเจริญ เป็นมหาอำนาจ อย่างที่ไม่เคยมีในโลกได้

ทุกวันนี้ มหาอำนาจในโลก ไม่ใช่มหาอำนาจ อย่างที่มันควรจะเป็น เรายอมรับมหาอำนาจ ในโลก ขณะนี้ นี่ปัจจุบันนี่นะ ก็คงจะไม่มีใครปฏิเสธ แย้งว่า เรายกให้อเมริกา เป็นมหาอำนาจ ฝ่ายประชาธิปไตย ยกให้รัสเซียเป็นมหาอำนาจ ฝ่ายคอมมูนิสต์ ยกให้ญี่ปุ่น เป็นมหาอำนาจ ทางเศรษฐกิจ แต่ก่อนนี้ นี่ เยอรมันเคยได้ ตั้งแต่สมัย โรมัน ก็ พวกโรมันเคยครอง สมัยต่อมา พวกอะไรต่ออะไรนี่แล้วแต่ ประเทศเยอรมัน ก็เคย เป็นมหาอำนาจ แต่ก่อนนี้ พวกยิวเป็นมหาอำนาจ เป็นลำดับๆ มาตาม ประวัติศาสตร์

แต่ปัจจุบันนี้ อาตมาก็กล่าวนี่ ทุกคนก็คงพอฟังออก เข้าใจว่า เขายกให้ ทำไมเขายกให้อเมริกา เป็นมหาอำนาจ เพราะอเมริกามีระเบิดปรมาณู มีระเบิดนิวเคลียร์ มีอำนาจ อำนาจทางมีเขี้ยว มีเล็บ เหมือนกับ สิงห์สาราสัตว์ในป่า ที่มีพิษจัด มีกำลังดี ที่จะขบเคี้ยว จะกัดใครได้เก่ง มันก็เป็น เจ้าป่า ฉันใด อเมริกา ก็มีอำนาจเป็นมหาอำนาจฉันนั้น ฝ่ายประชาธิปไตย ฝ่ายรัสเซียก็ไม่ยอมน้อยหน้า จนทุกวันนี้ รัสเซียนี่ย่อมแย่บในทางเศรษฐกิจ เพราะเอาเงินประเทศ ไปสร้างอาวุธ ไว้ซัดกัน เรียกว่า ต้องเล่นกันล่ะ กับอเมริกา เพราะอเมริกานี่ มีทุนรอนไปสร้างอาวุธ อย่างที่ว่านี่ รัสเซียก็ต้องเอาบ้าง เพื่อที่ จะต้องครองความเป็นมหาอำนาจ ในค่ายของคอมมูนิสต์เหมือนกัน ก็เลยเอาเงินทอง มาสร้าง อาวุธยุทธภัณฑ์ที่ร้ายกาจพวกนี้ด้วย จึงมีอำนาจทางอาวุธยุทธภัณฑ์ ในค่ายของ คอมมูนิสต์ด้วย นี่คือ มหาอำนาจของโลก

ถ้าปฏิบัติตามธรรมของพระพุทธเจ้า จะไม่เป็นมหาอำนาจอย่างนี้ นี่คงเข้าใจได้ง่ายแล้วนะ พูดสรุปมา ให้ฟังว่า จะไม่เป็นมหาอำนาจอย่างนี้ อาตมาก็ไม่ต้องการจักรพรรดิ์ อาตมาเคยงง แล้วก็เคย อธิบายให้พวกเราฟังแล้วว่า จักรพรรดิ์ของ พระพุทธเจ้า ที่หมายว่า เป็นผู้ที่จะเอากระดูก มาใส่สถูป ใส่เจดีย์ไว้เคารพบูชา คนที่ควรจะเอากระดูกมาใส่สถูป เคารพบูชามีอยู่ ๔ คน พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ โดยปัญญาอาตมา อาตมาสัมผัสแล้ว ตามบัญญัติ ก็งง ตอนแรกงง ถ้าบอกว่า สถูปที่ กระดูกที่ควรจะไปใส่เจดีย์บูชานั้นมีอยู่

๑.พระพุทธเจ้า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

๒.พระปัจเจกพุทธเจ้า อาตมาก็ไม่สงสัยใช่ไหม แน่นอน กระดูกคน ขนาดนี้ ระดับนี้ เอาไว้ใส่เจดีย์ บูชาละก็แน่นอน

๓.กระดูกพระอรหันต์ คุณสงสัยหรือ ก็ไม่สงสัยอีก กระดูกพระอรหันต์ จะเอาใส่สถูปเจดีย์บูชา เอาซี ไม่เป็นปัญหา เราเคารพนับถือ กราบไหว้ได้ดี

๔.กระดูกจอมจักรพรรดิ อาตมาก็งง อาตมาไปนึกถึงจอมจักรพรรดิ เจ็งกีสข่าน ไอ้ดาบเปื้อนเลือด อาตมาไม่กราบแน่ๆ อาตมาไม่บูชาแน่ๆ อาตมาว่าจอมจักรพรรดิ เขาใช้ชื่อว่า จอมจักรพรรดิ อาตมาก็ฟังบัญญัติว่า จอมจักรพรรดิ เอ๊ อาตมาก็งง จอมจักรพรรดิ พระพุทธเจ้าหมายยังไง จอมจักรพรรดิ แล้วก็มาเทียบเคียงว่า ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ออกผนวช พระพุทธเจ้า จะได้เป็นจอม จักรพรรดิ ใช่ไหม อาตมาก็มาได้สะดุดว่า เอ๊ ถ้าจอมจักรพรรดิมาจากพระพุทธเจ้า อาตมาไม่เชื่อว่า พระพุทธเจ้า จะเป็นจอมจักรพรรดิ อย่างเจ็งกีสข่าน มีแต่ ดาบเปื้อนเลือด ที่จะเที่ยวไปฆ่าใคร อาตมาไม่เชื่อ ว่าพระพุทธเจ้าจะเป็นจอมจักรพรรดิอย่างนั้น ไม่เชื่อ เมื่อไม่เป็น จอมจักรพรรดิ อย่างนั้น จะเป็นอย่างไร อาตมาก็ต้องมาบุพเพของอาตมาเอง อาตมาก็บอกคุณไม่ได้ ก็จนกระทั่ง มาทะลุ ปรุโปร่ง

อ๋อ จอมจักรพรรดิ ต้องเป็นมหาอำนาจอย่างที่อาตมากำลังอธิบาย เป็นจอมจักรพรรดิ ที่เชิงบุ๋น ไม่ใช่เชิงบู๊ แต่มีอำนาจ อำนาจที่คนเกรงกลัว ไม่กล้าทำลาย ที่อาตมากำลังพาทำ ทุกวันนี้ว่า ในระบบ บุญนิยมนี่ ประเภทที่จน ไม่มีอาวุธ จนด้วยนะ ถ้าประเภทบู๊ เขาจะมีอาวุธ ประเภทบุ๋น เขาจะมีทรัพย์สิน หรืออย่างน้อยก็ความรู้ ปฏิภาณ เราจะมีสภาพไม่มีทรัพย์สิน แต่เราจะมีความรู้ ปฏิภาณ เราจะไม่มีอาวุธ แต่เราจะมีธรรมาวุธ บู๊อย่างธรรมาวุธ มีอาวุธที่เป็นธรรม ที่คนจะเกรงกลัว ยิ่งกว่าดาบ ยิ่งกว่าหอก ยิ่งกว่าระเบิดปรมาณู คนอื่นจะถืออาวุธแทนเราหมด คนอื่น จะฆ่าจะแกง แทนเราหมด เราจะไม่ต้องฆ่า ไม่ต้องแกง

เพราะฉะนั้น จะเป็นจอมจักรพรรดิ ที่มีอาณานิคมที่เขามาสยบ มาขอขึ้น เพื่อพึ่งบุญบารมี โพธิสมภาร อย่างที่ไม่ต้องไปรบราฆ่าฟัน อาตมาพยายามขยายความแล้วนะ จอมจักรพรรดิ ที่จะมี อาณานิคม ผู้ที่เคารพนับถือนี้ ไม่ใช่ไปปราบปราม เอาอย่างเจ็งกีสข่าน ล่าเมืองขึ้น หรือแม้แต่ อังกฤษ ไปเที่ยวได้ล่าเมืองขึ้น แม้แต่ใครจะไปล่าอาณานิคมแบบนั้น ไม่ จะไม่รบราอย่างนั้นเลย แต่จะอุดมสมบูรณ์ ไปด้วยคุณธรรม อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร บอกแล้วว่า บุ๋นนี่จะต้อง ร่ำรวย อุดมไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร แล้วก็ไม่ร่ำรวยประเภทกอบโกยด้วย จะแชร์ จะเฉลี่ย ลาภะ ธัมมิกะ เฉลี่ยลาภไป เกิดช่องว่างระหว่าง คนจนคนรวย ประเภทที่จน และจะไม่มีประเภท ที่จนที่รวย ต่างระดับกัน เหมือนอย่างทุกวันนี้

ทุกวันนี้นี่ ลูกหนี้ ประเทศญี่ปุ่นทั่วโลกเลย ประเทศญี่ปุ่นนี่ เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ เขาก็พูด ไปในทางเรื่องของเงินทอง ในเรื่องของทรัพย์ศฤงคาร ร่ำรวย ก็เขาทำวิธีทุนนิยม เขาก็กอบโกยได้ แต่บุญนิยม จะไม่อย่างนั้น จะมีฤทธิ์ยิ่งกว่าญี่ปุ่น คนจะเคารพนับถือเกรงกลัว ด้วยอำนาจของทาน ด้วยการบริจาค การเสียสละ ญี่ปุ่นเขาก็บริจาค ญี่ปุ่นเขาก็ทำทาน แต่การทาน การเสียสละ ของญี่ปุ่นนั้น ทุกวันนี้เขาเสียสละมากขึ้น เพราะเขารวยเหลือเกิน เขามีมากจริงๆ เขาก็เอาไปใช้ เป็นทางด้าน Propaganda ในการแจกจ่ายอีกลักษณะหนึ่ง ซึ่งจะซ้อนเชิงน่ะ อาตมาไม่ใช่ดูถูก ญี่ปุ่นหรอกว่า อาตมาไม่เชื่อว่า ญี่ปุ่นจะมีจิตวิญญาณถึงขนาดอริยะ ระดับให้ทาน โดยไม่หวัง ผลตอบแทน อย่างสมบูรณ์ อาตมาไม่เชื่อ อย่างที่เราพูดกันอยู่ตอนนี้ เราเน้น ในคน ๑๐๐ คน (หา...อะไร) จะหาคนกล้าสัก ๑ คน ในคน ๑๐๐๐ คน จะหาปราชญ์ได้สัก ๑ คน ในแสนคน จะหาคนที่พูดจริงได้สัก ๑ คน แหม อาตมาว่า มันไม่น่าจะเป็นนะ ในคนตั้งแสนคน หาคนพูดจริง ได้คนหนึ่งนี่ จริงๆแหละ มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ไอ้เรื่องพูดจริงนี่ มันไม่ใช่ง่าย ๆ นะคุณนะ โอ้โห มันเป็น เรื่องที่เหลือเกิน เหลือกินจริงๆ

แต่คนที่เสียสละ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆนี่ จะหาได้ไหมหนอ ในโลกนี้ โอ้โห มันลึกซึ้งจริงๆ นะ เพราะฉะนั้น อาตมาจริงๆ อาตมาไม่ได้ลบหลู่ดูถูกญี่ปุ่นหรอก ญี่ปุ่นก็ทำทาน หลายประเทศ ก็ทำทาน หลายประเทศก็บริจาคช่วยเหลือ เฟือฟายประเทศที่ยากจนกว่า แม้แต่ประเทศไทย ยังอุตส่าห์ เตี้ยอุ้มค่อมไปทำทาน ไปเอื้อเฟื้อเจือจาน ประเทศที่ควรจะช่วยเหลือ อยู่บ้างเลย แต่อาตมาไม่ดูถูก ประเทศไทยหรอก อาตมาก็ไม่เชื่อว่า ไม่หวังผล ไม่เชื่อ ไม่เชื่อว่า ไม่หวังผล อะไร น่ะ จิตใจที่ทานโดยไม่หวังผลตอบแทนนี่ เป็นความลึกซึ้ง สูงสุดมากจริงๆ

ถ้าเผื่อว่า เราได้ปฏิบัติตน ตามความลึกซึ้งของ ธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่อาตมาเอาความลึกซึ้ง มาซ้อนเชิง ซ้อนเชิงให้พวกเราได้ ซับซาบหลักการต่างๆ แล้วเอาไปประพฤติ ปฏิบัติ อย่าติดแป้นเลย เราได้ดีมาถึง ขนาดนี้ ไม่ใช่มานั่งชมพวกคุณเปล่าๆ ยังมีกำลังวังชา ยังมีเวลาที่เราจะขวนขวาย อุตสาหะ วิริยะ ทำให้ได้ดียิ่งขึ้นกว่านี้เถอะ พยายามเถอะน่ะ เรายังมีงานอีก มากเลย ที่จะต้องทำ ได้มากกว่านี้ แล้วก็จะต้องมีประสิทธิภาพได้สูงกว่านี้ มันยังจะ แอบเสพ แอบเล็ม แอบอะไร ไม่รู้ล่ะ แอบเสพเอา ความง่ายดาย ความมักง่าย หรือว่าความติด ความยึดอะไร ที่เรายังแอบเสพ อะไรอยู่อีกเยอะ เพราะฉะนั้น เราอย่าเพิ่งเหนื่อยเลย อย่าไปหลงแก่พัก แก่หยุด แก่นอนนักเลย หรือว่า เลี่ยงๆนักเลย อาตมาเคยพูดตั้งนานแล้ว อาตมาว่า อาตมาจะเป่าแตร ให้คุณจงนอน ให้หลับสบายเถิด แล้วไม่ต้องลุกขึ้นมาอีกเลย เมื่อถึงหลุมฝังศพ เมื่อมันยังไม่ถึงเวลานั้น เอาเถอะน่า ขวนขวายขึ้น สำเหนียก ทำความเข้าใจ คำว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร นี่เป็นเรื่องของคนชั้นสูง ให้ได้ คำนึงถึง อุปัญญาตธรรม น่ะ คำนึงถึง อุปัญญาตธรรม ซึ่งมี ๒ ข้อ

ข้อ ๑ ไม่สันโดษในกุศล ข้อที่ ๒. บำเพ็ญเพียร ไม่ระย่อนี่ให้มาก บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ พยายาม อย่าไปหยุดยั้ง พยายามขวนขวาย ให้จริงๆ ให้เป็นบุญกิริยาวัตถุ คนที่ไม่ขวนขวาย ข้อที่สำคัญ ไม่ขวนขวายที่ดักหน้า ตัวไม่ขวนขวาย นี่คือไม่อ่อนน้อมถ่อมตน คือ อปจายนมัย ความอ่อนน้อม ถ่อมตน ตัวนี้ไม่มี มันหยิ่ง ผยอง มันจะน้อม เข้าไปหางานโน้น จะเข้าไป หาคนนี้ จะเอาตัวเอง เข้าไปน้อมทำงานนั้นๆนี้ๆ มันไม่ทำ มันทำ มันก็ทำแค่นั้น อย่างนั้น แค่นั้น อันอื่นที่จะทั่วไปอีกไม่มี มันติง มันติ มันติดทั้งนั้น คนนี้ ถ้าฉันทำ ฉันต้องใหญ่ ฉันไปทำ ฉันเป็นลูกน้อง ฉันไม่เอา จะไปเป็นลูกน้อง ทั้งๆที่เรามี ฝีมือเรื่องนี้ มีความสามารถ ในเรื่องนี้ รู้ดีในเรื่องนี้ ไปเป็นลูกน้อง เขาบ้างก็ได้นี่ แต่ไม่ได้ ถ้าฉันจะไปทำ ฉันจะต้องใหญ่ อย่างนี้แหละ ไม่มี อปจายนมัย อปจายนมัย ไม่อ่อนน้อม ถ่อมตน การงาน หรือการขวนขวาย เพราะฉะนั้น เวยยาวัจจมัย จึงไม่เกิดความ

อาตมาเคยอธิบายเรื่อง บุญกิริยาวัตถุ ๓ ทานมัย ศีลมัย ภาวนามัย นี่เป็นหลักใหญ่ ถ้าคุณเข้าใจ ปฏิบัติอันนี้จริง แล้ว ไอ้พวกนี้ ก็ขยาย มาหมด อปจายนมัย เวยยาวัจจมัย อีกคู่หนึ่งก็ขยาย พอขยายแล้ว คุณจึงจะโปรดเปรต ที่ลึกๆ ลงไปได้อีกเป็น ปัตติทานมัย เรียกว่า เปรต จะได้ส่วนบุญ จากคุณเอง ปัตติทานมัย ไม่ใช่ทานมัย คุณจะได้รับ เปรตของคุณจะได้รับส่วนบุญ ส่วนสงเคราะห์ แก้ไขสูงขึ้น แล้วคุณถึงจะเกิด ญาณปัญญา มีปัตตานุโมทนามัย คุณถึงจะได้ยินดี โอ้โห เราได้ดีขึ้น จริงๆหนอ เปรตตัวซ้อนเชิง อยู่ในจิตเราเอง นี่แหละ ได้รับส่วนบุญ ได้รับการเจริญ พ้นจาก ความตกต่ำ ปัตติทานมัย เกิดจาก จาคะ เสียสละ ฆ่าเปรตออกไปอีกของตน ปัตติทานมัย แต่เขาอธิบาย ไม่ออกกัน แบ่งส่วนบุญ แล้วก็แบ่งเลย กลับกลายไปเป็น ค้านแย้งคำสอนของ พระพุทธเจ้ากัน อย่างที่อาตมา ก็ค้านแย้ง ให้ฟังอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ปัตติทานมัย จึงไม่ใช่ บุญกิริยาวัตถุที่ตื้นๆ นะ ไปพูดกันแต่ แบ่งส่วนบุญ แล้วก็มานอกรีตนะ แล้วค้านแย้งกับ คำสอนของ พระพุทธเจ้าด้วย

เพราะปัตติทานมัย ไม่ใช่ธรรมะตื้นๆ เกิดจากอปจายนมัย กับ เวยยาวัจจมัยเกิด พอทำอันนี้ แล้วเสร็จ อ่อนน้อม ถ่อมตน ขวนขวาย ที่แท้จริงเข้าการสัมพันธ์ สัมผัสเกี่ยวข้อง ไม่ใช่อยู่แต่ของกู ทำงานก็ทำแต่ของกู มุดอยู่แต่ของกู ของคนอื่นกูไม่รู้ แต่ถ้าเป็นอันอื่น ไม่รู้

ต้องรู้คนอื่น ต้องขวนขวายคนอื่น ต้องสัมพันธ์กับคนอื่น มี ปรโตโฆสะ มีโยนิโสมนสิการจริงๆ มันถึงจะเกิด การสะพัดก้าวหน้า รุ่งเรือง เมื่อเกิดปัตติทานมัย ปัตตานุโมทนามัยแล้ว เราก็ถึงจะเป็น อยู่ใน ขั้นฟังธรรมก็เจริญ อาตมาอธิบายธรรมสูงขึ้นๆ

คุณฟังธรรม แม้แต่ขณะนี้ เวลานี้ คุณฟังธรรมอันนี้ ก็จะซาบซึ้งประทับใจ ก็จะเกิดศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละ ก็จะเกิดปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ มันจะเกิดอินทรีย์ ๕ พละ ๕ เชื่อ เชื่อดี เชื่อสูง เชื่อฟัง เชื่อมั่นขึ้นไป วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา จะตามไปเป็นอินทรีย์ เป็นพละ เข้าไปจริงๆเลยนะ จะตามจริงๆ เพราะฉะนั้น เมื่อคุณฟังธรรม ธัมมัสสวนมัย ก็จะเกิด แม้คุณจะแสดงธรรมเอง ธัมมเทสนามัย ก็จะเกิด ทุกอย่างก็จะสมบูรณ์ เป็นทิฏฐุชุกรรมไปเลย นี่คือ บุญกิริยาที่ลึกซึ้ง ที่จะมีของจริง ตามความเป็นจริง

เอาละ อาตมาได้ใช้เวลาเทศนา ในวันอโศกรำลึกวันนี้ เอาเนื้อหาสารัตถะ ที่มันเสริมหนุน ในวันพิเศษ ในวันสำคัญนี่ มาฟังกันก็มาก ใครจะมีฐานไหน ตามฐานใด ก็ตาม รับธรรมะนี้ ได้ไปจริงๆ เท่าที่เป็นไปได้ ก็เอาไปสังวร ระวัง ๒ ข้อหลังนี่ อยากให้พวกเราเอาไปพิจารณา แล้วก็แก้ไข ปรับปรุงตน อุปัญญาตธรรม ๒ ข้อนี่น่ะ ไม่สันโดษในกุศลน่ะ บำเพ็ญเพียรไม่ระย่อ ไม่สันโดษในกุศล กับบำเพ็ญไม่ระย่อ ต้องพยายามอย่างแท้จริง แล้วกลุ่มหมู่ของเรา ก็จะเกิด พลังรวม เป็นพลัง มีวิมุติน้อย วิมุติมาก ก็แล้วแต่ มันจะเป็นพลังอย่างแท้จริง เกิดได้อย่าง สอดคล้อง ตามสัมมา แล้วมันจะส่งเสริมสร้างสรรขึ้นไป คนไม่เพิ่ม แต่ประสิทธิภาพจะเพิ่ม และไม่ต้อง ไปห่วงว่า คนจะไม่เพิ่ม เมื่อประสิทธิภาพเพิ่ม รูปธรรม สิ่งเจริญเกิด คนที่มีดวงตา ก็เริ่มเห็น เริ่มเชื่อถือ เริ่มเข้าใจมากขึ้นๆ

ทุกวันนี้ มันสภาพที่มันเกิดการก้าวหน้า การพัฒนา มันเกิดอยู่ตลอดเวลา รอบด้าน หลายๆมุม หลายๆเหลี่ยม มันเกิดพร้อมๆกัน มันเกิดไว ถ้าเผื่อว่า เราพยายามขวนขวายขึ้น อุตสาหะขึ้น ไม่แช่ ไม่ไปเอาบอกว่า เออ เรารำลึก แต่ลักษณะส่วนตัว เงียบๆ อิ่มๆ แบบมิจฉาทิฏฐิ เล็กน้อย แบบมิจฉาทิฏฐิ สะอาด สูญ ให้ง่ายๆ แบบมิจฉาทิฏฐิ น่ะ อะไรต่ออะไรพวกนี้ ที่ว่าไปแล้วนี่ เราเข้าใจ ให้มันถูก เป็นสัมมาทิฏฐิเสียอย่างจริงจัง เราก็จะดำเนินสภาพที่เราเจริญขึ้น ดังที่ กล่าวนี้ได้ แล้วจะเป็นอำนาจ

อาตมาบอกแล้วว่า อาจจะไม่เร็วนัก แต่อาตมาเชื่อ ชั่วระยะชีวิตของพวกเรา พวกคุณอายุยังน้อย ก็ยังมีที่จะตายทีหลังอาตมา แม้ในชีวิตของอาตมา อาตมาก็อยากจะเห็นรูปรอยของความเป็น ทฤษฎี หรือเป็นหลัก เป็นรูปแบบที่โลกนี้เกิดการทึ่ง เกิดการประสบระบบ ซึ่งเรากำลังทำ ระบบบุญนิยม เกิดการประสบทฤษฏีสำคัญ ของมนุษยชาติ ทุกคนพยายามค้นหาทฤษฎีที่ดีๆ ของมนุษยชาติ มา เพื่อให้สังคมมนุษย์แต่ละกลุ่ม แต่ละประเทศ แต่ละรัฐ อะไรนี่ ก็แล้วแต่ เพื่อเอามา ใช้กับมนุษย์ ให้เกิดการเจริญที่เป็นอริยะ เป็นอารยชน หรืออริยชน ที่แท้จริง อาตมาถึง ไม่ยอมรับว่า อเมริกาเป็นอริยชนที่แท้จริง หรือารยชนที่แท้จริง ไม่ยอมรับญี่ปุ่น ว่าเป็นอริยชน หรือ อารยชนที่แท้จริง อาตมายังถือว่า เพราะอารยะ อริยะดี ไม่ใช่ว่าอาตมาไปดูถูกดูแคลน ญี่ปุ่นไม่ดี อาตมาเคยพูด มุมดีของญี่ปุ่นเหมือนกัน อาตมาก็เคยพูดมุมดีของอเมริกาน่ะ มุมดีของรัสเซีย อาตมาไม่ค่อยได้พูดนัก เพราะว่าเขารังเกียจรังงอนกันเรื่องนี้ แล้วอาตมาพูดกัน อาตมาพูดไม่ค่อยได้ เพราะ ลักษณะหลายๆอย่าง มันเข้าใจผิด เราอยู่ เพราะเราเอง อาตมาไม่ได้ไปศรัทธารัสเซีย อะไรน่ะ

อาตมาศรัทธาระบบของพระพุทธเจ้า ระบบบุญนิยม แล้วระบบนี้ ไม่ง่าย ระบบนี้ลึกซึ้ง ระบบนี้ สำคัญ เพราะฉะนั้น พวกเราที่เป็นประชาชน เป็นประชากรที่มีทฤษฎีนี้ มีหลักระบบบุญนิยมนี้ ทำเถอะ ไม่ค้านแย้งกับคอมมูนิสต์ ไม่ค้านแย้งกับเสรีประชาธิปไตย ไม่ค้านแย้งในโลก ๒ ฝ่าย ที่เขากำลัง ว่ากันทุกวันนี้ในโลกนี่ นี่ค่ายใหญ่ๆ ก็มี ๒ ค่าย เท่านี้แหละในโลก สังคมทุกวันนี้ในโลก ไม่ค้านแย้งกับใคร ไม่ค้าน สอดเสริม สนับสนุน ขอยืนยัน จะบอกว่าคอมมูน ก็มี คอมมูนในนี้ จะบอกว่า อิสรเสรี ก็อิสรเสรีในนี้ แล้วมันต้องมีความจริง ที่ไม่เห็นแก่ตัว และซื่อสัตย์ สุจริตจริงๆ แล้วขยัน หมั่นเพียรจริงๆ และไม่ถูกบังคับกดขี่อะไรเลย อย่างที่เราเป็นนี่ เราเป็นขนาดนี้ เรารู้สึกเองแหละ พวกเรานี่ มันอิสระ ขนาดไหน อย่างไร คนมาถามว่า มาตู่เรา แล้วมันมีกองกลาง อย่างไรน่ะ อาตมา อยากให้พวกคุณไประลึกถึงกองกลาง ไประลึกถึงกองบุญ ทุกวันนี้ เรากำลัง มีกอง บุญนิยมขึ้นมา เป็นกองบุญ เป็นกองบุญสวัสดิการก็ดี กองบุญของโรงเรียน กองบุญ ของโรงพยาบาลธรรมชาติ กองบุญของการศึกษา กองบุญของร้านค้า กองบุญของ กิจการ แต่ละชมรม แต่ละหน่วย อะไรนี่ เป็นกองบุญของเรา หลายๆกองบุญนี่ จงพยายามศึกษา ทำความสำคัญ ในความสำคัญของกองบุญเหล่านี้ แล้วต้องมีคนไปดูแล กองบุญเหล่านี้ ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต แล้วศึกษาบุญนิยมขึ้นมาให้ดีๆ เราจะมีระบบ พวกนี้สมบูรณ์ เป็นลักษณะ ของระบบบุญนิยม ที่สอดซ้อน ซึ่งยังไม่มีในโลก คอมมูนิสต์ ก็มีส่วนหนึ่ง มีลักษณะคล้ายคลึง

อย่างอาตมา เคยยกตัวอย่างว่า สมบัติสงฆ์ กองกลางสงฆ์ สมัยพระพุทธเจ้าทำได้แค่นั้น สมัยนี้ จะไม่ใช่กองกลาง ของสงฆ์เท่านั้น สงฆ์คำนี้หมายถึง อารยชนที่แท้ ที่เป็นสมณะ ที่กล่าวไปแล้วว่า โสดา สกิทา อนาคา แม้จะเป็นฆราวาส จะดำเนิน จะปฏิบัติ ประพฤติ ปฏิบัติประพฤติ กรรม กิจกรรม กิจการเหล่านี้ อย่างมีปัญญา อย่างจริงใจ จริงจัง ถูกสัดส่วน คนที่จะมีทุจริต อะไรอยู่บ้าง ก็จะมีอยู่บ้าง แต่จะถูกขจัด หรือจะถูกปราบปราม หรือ จะถูกพัฒนาขึ้นมาเป็นคนดีๆ คนดี น่ะ จะเป็นไปได้น่ะ จะเป็นไปตามธรรมของมันเอง แล้วกลุ่มคนที่จะมีตัวอย่าง พิสูจน์ทฤษฏีหลัก พิสูจน์ระบบหลักนี้ขึ้นมา ก็คือพวกเรา ชาวอโศก ที่จะสร้างระบบหลักพวกนี้ขึ้นมา ให้แก่โลกเขา

อาตมาพยายามจะมีอายุยืน ก็เพราะว่า เพื่อที่จะปลุกปั้น ระบบที่กล่าวนี่แหละ จริงๆจังๆ สังคม สมัยนี้ ไม่ใช่สังคมสมัยพระพุทธเจ้า เพราะหลายอย่าง มันไม่เหมือนกัน องค์ประกอบ ไม่เหมือนกัน ภูมิประเทศ วัตถุดิบ วัฒนธรรม อุปาทานๆ ที่ไม่ยึด ไม่ติดเป็นค่านิยมของจิตวิญญาณ ก็ไม่เหมือนกับ สมัยพระพุทธเจ้าเลยน่ะ แต่ลึกซึ้งมาก ขอเตือน เรื่องที่เราทำงาน กับสังคมเขาอยู่ จะต้องมีเงินมีทอง แลกเปลี่ยนกลับมา จะเป็นการค้า การขาย การเกษตร การผลิตอะไร ก็แล้วแต่ ระวัง มันจะพลัดเข้าไปเป็นทุนนิยม ง่ายดายมากที่สุด มันจะพลัดเข้าไปเป็นทุนนิยมง่ายที่สุด ง่ายมาก เพราะฉะนั้น จะต้องฟังส่วนใหญ่ ส่วนกลาง ส่วนสำคัญให้มาก ต้องปรึกษาหารือ

อย่าทำแต่อำเภอใจ ในระหว่างใหม่ๆนี่ ยิ่งจะต้องระมัดระวังให้มัน เป็นรูปที่ดี อย่าให้มันสับสน กันง่ายนัก เพราะเข้าใจลึกๆ ก็ยังไม่ค่อยได้ แล้วสับสนตั้งแต่ต้นทาง เดี๋ยวมันก็จะยุ่งกันใหญ่นะ

อาตมาได้ใช้เวลาเกินมาแล้ว พอสมควรน่ะ ก็ขอจบการแสดงธรรม แต่เพียงเท่านี้

สาธุ


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑. โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.จินดา ๑๔ สิงหาคม ๒๕๓๔

เป้าหมายแท้ๆ...อโศกรำลึก /FILE:1676a-B.TAP