คุณภาพคน ๔ ขั้น
แสดงโดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๓๔
ณ พุทธสถาน สันติอโศก

เจริญธรรม ท่านพุทธบริษัททั้งหลาย

วันนี้ อาตมาจะเทศน์เรื่อง คุณภาพ ๔ ขั้นของคน คุณภาพ ๔ ขั้นของคน นั่นก็เป็นอย่างนี้ ฟัง อาตมาจะอ่าน อ่านเพลงคุณภาพ ๔ ขั้นของคนให้ฟัง อาตมาชื่อว่าเพลง ก็เพราะว่า มันเป็นคำ ร้อยเรียง ไม่ใช่เป็นคำร้อยแก้วทีเดียว ได้ร้อยกรองมาพอสมควร ฟังดีๆนะ

ผู้รู้ได้ถ้วน ทำได้ที่ ชื่อว่าผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุ
ผู้ทำดีได้ รู้ไม่มาก ชื่อว่าผู้เป็น
ผู้ทำได้ยาก รู้มากง่าย ชื่อว่าผู้รู้
ผู้มีป้ายปริญญา ประกาศนียบัตร ชื่อว่าผู้รับรอง
ถ้าใบรับรองเป็นเพียงของผู้รู้ คุณภาพไม่ทราบได้
ถ้าใบรับรอง เป็นของผู้เป็น พอจะเห็นคุณภาพได้บ้าง
ถ้าใบรับรองของผู้สำเร็จแท้ คุณภาพ เชื่อได้แน่ว่า เป็นความจริง
แต่ความจริงของสังคมปัจจุบันนี้คือ
ปริญญา หรือใบประกาศนียบัตรใดๆนั้น
ผู้รับรองส่วนมากเป็นแค่ผู้รู้
และผู้รู้ส่วนมากไม่เชื่อว่า ผู้สำเร็จย่อมรู้ผู้รู้กับผู้เป็น
ได้ชัดแท้กว่า ผู้รู้จะรู้ผู้สำเร็จ
อนึ่ง ผู้รู้จะรับรองก็แต่ผู้รู้นั่นแหละได้มาก
เนื่องจาก เป็นภูมิขั้นเดียวกันย่อมเห็นดี เห็นเด่นชัด ตรงกัน
ดังนั้น ผู้สำเร็จจึงไม่ค่อยมีใครรู้
เพราะผู้รู้ไม่ได้ออกใบรับรองให้

ต้องอ่านดีๆ ต้องอ่านพวกนี้ดีๆ เดี๋ยวอาตมาจะอธิบายไปเป็นขั้นๆ เป็นระดับๆ จะเข้าใจ นี่เป็นเรื่อง ของความเป็นจริงในสังคม

สรุปง่ายๆนะ คุณภาพ ๔ ขั้นของคนนี่

๑.ผู้รู้ได้ถ้วนทำได้ที่ หมายความว่า คนขั้นที่ ๑ คนที่มีคุณภาพขั้นที่ ๑ ผู้รู้ได้ถ้วน ทำได้ดี เราก็วงเล็บ เอาไว้ว่า เป็นผู้สำเร็จ หรือว่าผู้บรรลุ หมายความว่า ทั้งประสบผลสำเร็จ ทั้งรู้ทั้งทำได้เรียบร้อยหมด ได้สมบูรณ์ ถูกต้อง รู้ได้ถ้วน ทำได้ที่

ทีนี้ ๒. ผู้ทำดีได้ รู้ไม่มาก (เป็นผู้เป็น) คนที่ทำเป็นน่ะ แต่มันไม่ค่อย รู้ มันไม่ค่อยฉลาด ไม่ค่อยเฉลียว ไม่รอบถ้วนในการรู้นะ แต่ว่าทำเป็น ทำได้ ทำเป็น แต่มันไม่ใช่นักรู้ มันไม่ค่อยรู้ มันไม่ค่อยฉลาด ในเรื่องรู้ แต่ว่าทำได้ แต่คนที่ทำเป็นนี่รู้ไหม รู้ไหม รู้ แต่อาจพูดไม่ออก อธิบายไม่ได้ รู้ แต่แสดง รู้ไม่ได้อะไร ก็ลำบากละ คนทำเป็นนี่นะ ก็ในฐานะเป็นคนขั้นที่ ๒ เป็นคุณภาพ ของคนขั้นที่ ๒

ขั้นที่ ๓. ผู้ทำได้ยาก รู้มากง่าย คนชนิดนี้ นี่ทำได้ยาก แหม มันทำได้ยาก ไม่รู้ละ คุณทำไม่ค่อยได้ละ ว่าอย่างนั้นเถอะ ทำยาก แต่รู้มากง่าย รู้เก่ง (ผู้รู้) เอ้า นี่เป็นผู้รู้ นี่เป็นคนขั้นที่ ๓ อาตมาจัดลำดับ อย่างนี้นะ นี่เป็นคนระดับ ๓ คุณภาพ ๔ ขั้นของคนนี่ คนขั้นที่ ๓ อย่างนี้

ทีนี้ ขั้นที่ ๔ ผู้มีป้ายปริญญา ประกาศนียบัตร อันนี้ไม่รู้ว่า จะเป็นผู้รู้ หรือจะเป็นผู้เป็น หรือจะเป็น ผู้สำเร็จ ไม่รู้ทั้งนั้นนะ แต่มีป้ายแฮะ มีป้ายปริญญา มีป้ายประกาศนียบัตรรับรอง บางคนได้ข่าวว่า ไปซื้อมาจากห้องแถวต่างประเทศก็มีนะ นี่ไม่ได้ว่าใครนะ อาตมาว่า ได้ยินมาว่านะ ดังได้สดับมา อาตมาก็ได้ยินมาว่า มันมีเหมือนกันน่ะ ผู้มีปริญญา มีประกาศนียบัตร นี่ไปซื้อเอาแถว ห้องแถว ทางเมืองนอกมาก็มี หรือในเมืองไทยจะมีได้โดยประการใดก็แล้วแต่เถอะ ก็มีปริญญาบ้าง ประเภท ยกย่องกันเอง มีปริญญา มีประกาศนียบัตรรับรองกันเอง อะไรกันเองไป บ้างก็มี มีละ ในหลายๆ ท่าก็ถือว่า ผู้มีป้ายปริญญาประกาศนียบัตรนั้นก็คือเอาละ มีผู้เขารับรอง ใครรับรอง ก็แล้วแต่ (ผู้รับรองก็แล้วกัน)

เอ้า ทีนี้ก็มีนัยละเอียดลงไปอีกว่า ถ้าใบรับรองเป็นของผู้รู้ คือผู้นี้ได้ประกาศนียบัตร หรือ ได้ปริญญาบัตร แล้วผู้ที่ให้นี่ก็คือ เป็นผู้ที่มีฐานะแค่ผู้รู้ เป็นเพียงของผู้รู้ เป็นผู้รู้เท่านั้น ไม่ใช่ผู้เป็น ให้ด้วยซ้ำ ไม่ใช่เป็นผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุให้หรอก ก็แต่ผู้รู้นี่แหละให้ คุณภาพไม่ทราบได้ เพราะฉะนั้น ก็ไม่แน่นักว่า คุณภาพจะมีหรือไม่ ไม่ทราบได้ว่า มีคุณภาพหรือเปล่า คุณภาพไม่ทราบได้ ไม่รับรอง แต่ใบรับรองมีนะ แต่คุณไม่รับรอง คุณภาพของผู้มีใบประกาศนียบัตร หรือ ใบปริญญานี่ คุณภาพนี่ ไม่รับรอง แต่แน่นอน มีผู้รับรอง คือผู้รู้เขารับรอง

เอ้า ทีนี้ ถ้าใบรับรองเป็นของผู้เป็น พอจะเป็นคุณภาพได้บ้าง เพราะว่าผู้เป็นนี่ ใบรับรอง ผู้ไหน ก็แล้วแต่ จะให้เป็นใบประกาศนียบัตร ใบรับรอง อย่างไรก็แล้วแต่เฮอะ หรือจะเป็นปริญญา ก็ตามใจเถอะ แล้วแต่จะเรียกกัน ตั้งกันไป ตั้งใบปริญญา ตั้งใบประกาศนียบัตร ตั้งใบรับรอง ตั้งใบยกย่อง ชูเชิดอะไร ก็ตามใจเถอะ ตั้งไปเถอะ ไอ้ใบนี่ มันเป็นวิธีการของชาวโลกน่ะนะ ถ้าใบรับรอง เป็นของผู้เป็น ก็พอจะเห็นคุณภาพได้บ้าง คือผู้เป็น หรือผู้ที่เขามีความเป็น จริงๆนี่ ก็คงจะพอ มีความรู้กับผู้รู้ล่ะ เออ อันนี้มันทำได้ ไอ้นี่ คนนี้ทำได้ คนนี้เป็น มันคงจะรับรอง คนเป็น มากกว่าคนรู้น่ะนะ คนผู้เป็นนี่นะ ก็แสดงว่าคุณภาพก็คงจะเห็นได้บ้าง พอจะเห็นคุณภาพ ได้บ้าง

ทีนี้ถ้าใบรับรอง เป็นของผู้สำเร็จแท้ หรือผู้บรรลุแท้ ผู้บรรลุแท้ หรือผู้สำเร็จแท้ เป็นผู้ออกใบรับรองให้ คุณภาพ เชื่อได้แน่ว่าเป็นความจริง คุณภาพ เชื่อได้แน่ว่าเป็นความจริง ว่าผู้นี้ทั้งรู้ชัด รู้เจน รู้แจ้งเลย ได้พิสูจน์ ได้ทดสอบให้ ใบรับรองให้ แน่นอน ก็ต้องรักษาเครดิต จะไปให้ใบเปรอะๆ คงจะไม่รับ ให้น่ะ ผู้สำเร็จผู้บรรลุน่ะ จะไปรับรองใครเปรอะๆ อาตมาทุกวันนี้นี่น่ะ แหม ไม่กล้าไป รับรอง ใครเปรอะๆ เหมือนกันน่ะ รับรองใครเปรอะๆ ก็ยุ่งกันใหญ่เลยนะ เพราะฉะนั้น คุณภาพ เชื่อได้แน่ว่า เป็นความจริง มันคงจะต้องเป็น สัจจะ เป็นความจริง จะต้องแม่น ต้องเด็ดขาด ลงไปล่ะ

แต่ความจริงของสังคมปัจจุบันนี้นี่ซิ คือปริญญา หรือใบประกาศนียบัตรใดๆนั้น ผู้รับรองส่วนมาก เป็นแค่ผู้รู้ ใช่ไหม สังคมปัจจุบันนี้ ใบรับรองที่ออกให้ส่วนมากนั้นน่ะ ปริญญาหรือ ใบประกาศนียบัตร ใดๆนี่ ผู้รับรอง ส่วนมากเป็นแค่ผู้รู้ สังคมเป็นอย่างนี้นะ ฟังค้างเอาไว้ สังคม ปัจจุบันนี้ แต่ความจริง สังคมปัจจุบันนี้นั้นคือปริญญา หรือใบประกาศนียบัตรใดๆนั้น ผู้รับรอง ส่วนมาก เป็นแค่ผู้รู้ และผู้รู้ส่วนมาก ไม่เชื่อว่าผู้สำเร็จ ย่อมรู้ ผู้รู้กับผู้เป็นได้ ชัดเจนแท้กว่า ผู้รู้จะรู้ผู้สำเร็จ จริงไหม

อนึ่ง นี่เป็นประเด็นแทรก ผู้รู้จะรับรอง แต่ผู้รู้นั่นแหละได้มาก เนื่องจากเป็นภูมิขั้นเดียวกัน ย่อมเห็นดี เห็นเด่นชัด ตรงกัน เพราะฉะนั้น สังคมจะมีอะไร ประเด็นนี้มันก็จะบอก ดังนั้น ผู้สำเร็จ จึงไม่ค่อย มีใครรู้ เพราะผู้รู้ ไม่ได้ออกใบรับรองให้

แสนซีด สังคมเลยซีดๆ เพราะความจริงของสังคมเป็นอย่างนี้ นี่ก็ เพลงคุณภาพ ๔ ขั้นของคน

เอ้า ทีนี้ เรามาขยายความด้วยภาษาเละๆ อาตมาจะบรรยาย เละๆ ปนๆ ไปเละให้ฟังน่ะ ว่าทุกวันนี้ สังคมผู้รู้นี่มาก แล้วราคาของผู้รู้นี่แพง เอ้า ทีนี้ เรามาพูดโดยปรมัตถ์ ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี่จริงๆนี่ จะเป็นผู้ที่ตั้งราคาค่าตัวเอง แพงหรือไม่ ไม่ จะไม่ตั้งราคาค่าตัวของตัวเองแพง แต่ผู้ที่จะให้ราคา ค่าตัว ของผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี้ ผู้ที่จะให้นี่นะ ผู้รู้ หรือผู้สำเร็จด้วยกัน หรือผู้รู้ที่รู้ ลึก รู้ซึ้ง หรือผู้เป็น ที่รู้ลึกรู้ซึ้งจริงๆนี่ มีญาณปัญญารู้ว่า ผู้นี้นี่เป็นผู้สำเร็จ หรือเป็นผู้บรรลุ ผู้นั้นยินดีจะให้ราคา แก่ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี่มากๆไหม จะให้มากไหม ยินดีจะให้มากแน่ เพราะผู้นั้นแน่ชัดแน่จริง เพราะฉะนั้น ผู้รู้ที่รู้จริง ผู้เป็นที่รู้จริง มีญาณปัญญา ก็จะศรัทธา เลื่อมใสและเต็มใจ ที่จะให้ราคา แพงๆ แก่ผู้สำเร็จเอง

ส่วนผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้ แหม มันไม่รู้จะพูดอย่างไรแล้วนะ ผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้นี่ เอาละ ไม่ต้องพูดถึง ผู้เป็นเลย ไม่ต้อง พูดถึงผู้เป็น เข้าใจศัพท์แล้วนะ Technical term ผู้รู้หมายถึงอะไร ผู้เป็น หมายถึงอะไร ผู้สำเร็จหมายถึงอะไร เข้าใจแล้วนะ เพราะฉะนั้น ผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้ นี่ ก็จะไม่ให้ราคาแก่ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุ เพราะไม่ค่อยรู้จัก ผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้นี้ แต่ผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้นี้ จะรู้จักผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้ด้วยกันดีไหม แหม มันภูมิขั้นเดียวกัน มันหลงผิด มันก็หลงไปด้วยกัน มันติดยึดอะไร มันก็ติดยึดอยู่ด้วยกัน มันอร่อยในอะไร มันก็อร่อยไปด้วยกัน แต่มันเสียท่าอยู่อย่างเดียวเท่านั้นแหละว่า ไอ้คนโกง ที่โกงเก่งกว่า นี่ มันทำให้คนผู้ที่โกงไม่เก่งกว่า ไม่ค่อยรู้ทัน เท่านั้นแหละ แต่ผู้รู้ที่ต่างคน ต่างโกง ต่างคนต่างเอาเปรียบกันนี่ ก็มักจะพยายามตามให้ทัน แล้วเขาก็จะทัน เพราะฉะนั้น ผู้รู้จึงฉลาด ในเหลี่ยมโกง ผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้ผู้สำเร็จนี่จะ ฉลาด ในเหลี่ยมโกงเรื่อยๆ เพราะเขาจะตามผู้รู้ ในภูมิเดียว กันนี้ จะตามรู้เท่ารู้ทัน จะไล่พวกนี้ให้ทัน จะไม่เสียเปรียบ จะไม่ให้ มันมาข้ามหน้าได้

แต่ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี่ซิ ไม่แข่งในการที่จะไปเอาเปรียบเอารัด เพราะฉะนั้น ผู้เก่ง หรือ ที่สำเร็จ หรือ ผู้บรรลุนี่ จึงจะไม่มีเหลี่ยมคูเหล่านี้ให้ผู้รู้ ที่ไม่ค่อยรู้นี่มาไล่ มาศึกษา มาตาม เหมือนผู้รู้ จะต้องไปตามไอ้ผู้รู้ ที่มันจะเอาชนะคะคานกันใช่ไหม ฟังดีๆนะ เพราะฉะนั้น ผู้รู้เหล่านี้ จึงจะไม่ค่อยรู้ ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุ ยิ่งๆ เพราะมันไม่มีสิ่งยั่ว ให้เขาศึกษา แล้วผู้รู้นี่ ก็จะมองผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี่ว่ามันตื้น มันไม่มีอะไรซับซ้อน มันไม่มีอะไรลึกซึ้ง เพราะจริงๆแล้ว เขามีสิ่งลึกซึ้ง ต่างหาก ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุนี่ เขาจะมีสิ่งที่ลึกซึ้งนี่ต่างหาก ซึ่งผู้รู้นี่ จะจับไม่ติดไปเรื่อยๆ เขายิ่ง จะเผิน เขายิ่งจะฉลาดไปในเชิงของเขา เพราะฉะนั้น ผู้สำเร็จ หรือผู้บรรลุ นี่ก็ยิ่งจะ เดินทางไป คนละทาง ไปเรื่อยๆ กับผู้รู้ที่ไม่ค่อยรู้สัจธรรม จะเดินทางไปอย่างนั้น เพราะฉะนั้น สงคราม ระหว่าง ผู้รู้กับผู้สำเร็จ จึงมีอยู่ตลอดกาลนาน ด้วยประการฉะนี้ จบเสียเลยดีไหม ยังเหรอ เอ้า ยังก็ว่าต่อ เพราะฉะนั้น ในโลกในสังคมนี้ มีผู้รู้ดังที่กล่าวนี้มาก ดังที่ได้พูดไปแล้ว ว่า ผู้รู้แล้วรับรองกัน มีวิธีการ ยกยอ ปอปั้น เชิดชูกัน โอ้ ยกย่องกันอย่างใหญ่ อย่างโตเลยนะ

ตอนนี้ก็กำลังยกย่องชูเชิด ..นาย ข.... เขาก็เป็นนักสังขาร นักปรุง นักแต่ง ซึ่งเขาไม่ได้เรียนธรรมะ เขาไม่ได้ลึกซึ้งในโลกุตรธรรม เขาก็ ปรุงใหญ่เลย ปรุงเผ็ดจัดจ้านพริกขี้หนู กำลังอาละวาด ตอนนี้น่ะ ปรุงเผ็ดจัด แต่งตัวก็จัด ร้องก็จัด อะไรก็จัด เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้านะ ให้คนมาติด ในสิ่งที่เขาเป็น เขาจึงจะเก่ง เขาก็จะทำให้คน ชื่นชมของเขา แล้วเขาจะเป็นคนอย่างไงล่ะ ...

แต่ก่อน ถ้าเขาแต่งตัวอย่างนี้ ในสมัยก่อนนี้ หมาฟัดแน่ คนยี้แน่ๆเลย แต่เดี๋ยวนี้ มันปรุงมาเป็นขั้น เป็นตอนกัน จนเดี๋ยวนี้ เขาก็รับกันได้ ปรุงเสียจนโอ้โฮ แหม เจ้าประคุณเอ๊ย ไม่ว่าจะแต่งอะไรเข้าไปนี่ เอ้าจริงๆนะ แต่ก่อนผู้ชายแต่งอย่างนี้ เขาหาว่าพวกกระเทย เขาให้พวกวิตถารแล้วใช่ไหม ใส่ตุ้มหู พวงอะไร ห้อยแขนห้อย โอ้โฮ ผ้าก็พันสาระพัดสี สาระพัดยั้วย้าย ทั้งเด๊ฟ ทั้งม๊อส อะไร ไม่รู้ มันปรุงอะไร ตั้งสาระพัด แล้วยิ่งผู้หญิงฟังแล้วรู้เรื่องดีว่า ไอ้เรื่องเครื่องแต่งตัวนี่ มันทำย้วย ทำย้าย ทำพรีส ทำเด๊ฟ ทำม็อส ทำอะไรมันใช่ไหม มันบ้าๆบอ ไอ้ศัพท์พวกนี้ ก็เกิดมาจากการปรุงสร้าง ทั้งนั้นแหละ ให้มากเรื่อง ให้วุ่นวายเข้าไปล่ะ อย่างนี้ เป็นต้น

แม้แต่ในลีลาของการดีด การเต้น ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรก็โอ ดูเก่ง เอาแรงมาปลูกพริก ให้กินหน่อยเถอะ มาปลูกพริกให้กินจริงๆ ให้เป็นอาหารกินนี่หน่อยเถอะ เอาแรงงานที่แกเต้นนี่ โอ้โฮ แกเต้นไป แกปาดเหงื่อไป เห็นไหม เต้นไป ปาดเหงื่อไปนะ แหม เสียดายแรงงานจริงๆ เจ้าประคุณเอ๊ย แต่เขาได้อะไร ได้เงิน ได้เงิน ชื่อเสียงแบบนี้ เป็นชื่อเสียง แบบประโลมโลก เป็นดารา เป็นคนเด่น คนดัง ด้วยการปรุง สิ่งที่ไปมอมเมาจิต ให้คนติดยึด อุปาทานอะไร มันอร่อย มันในหัวใจ ได้ร้อง ได้เต้น ได้ดีด ได้สี ได้แสดงกามคุณ ๕ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งนั้น มีแต่รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ที่ปรุงเข้าไป ให้จัดจ้าน ในนั้นทั้งนั้น คนก็ติดกิเลสกาม เข้าไปมากๆๆๆๆๆๆ นาย ข. ก็ชื่อว่า ได้เงิน แต่ทำให้สังคม โดยเฉพาะ ทั้งเด็กวัยรุ่น ทั้งอะไรต่ออะไรนี่ ไม่เข้าใจ เรื่องกิเลสกามคุณ ๕ แล้วกาม มันก็เยอะ แล้วจะไปทำให้แก้ปัญหาว่า สำส่อนกัน เด็กมันแย่กันแล้ว ปลุกปล้ำข่มขืนอะไรๆ ต่อไป ในอนาคตอีก เมินเสียเถิด ที่จะแก้ปัญหานี้ได้

เพราะตัวปลุกเร้านี้ คนเติมวันๆ เติมกิเลสไปนี่ เขาปลุกเร้า วันหนึ่งเท่าไหร่ แล้วคนต่อต้านนี่ ได้เท่าไหร่ คนมาฟังธรรมนี่ ก็ว่ามากแล้วนะนี่ แต่คนไปเติม กิเลสนาย ข. วันหนึ่งเท่าไหร่ แล้วก็ทำ มากกว่าเราอีก ไม่ได้หยุดได้ยั้ง ไม่ต้องไปทำหรอก แต่พูดก็เหนื่อยแล้ว เหนื่อยแล้วที่จะต่อสู้ แต่อาตมา ไม่ท้อแท้ ไม่เหนื่อย เหนื่อยก็ให้มันรู้ว่า คือเหนื่อย เดี๋ยวพัก หายเหนื่อยเอาใหม่ หายเหนื่อย ก็สู้ใหม่ สู้ทั้งที่รู้ว่ากูแพ้ เอ้า จริง สู้ทั้งๆที่รู้ว่ากูแพ้ นี่เจาะลึกลงไปให้ฟัง ... จะเคืองอะไร ก็ขออภัยเถอะ มันเป็นเรื่องจริง ที่จะต้องพูดกัน หยิบอย่างนี้มาพูด ก็เข้าใจง่าย เพราะว่ามันมี สภาวะรองรับ มันมีสิ่งที่เกิด ที่เป็นอยู่ในสังคม มันจำเป็น อาตมาจะพูด ลอยๆ ลมๆ มันก็ไม่ชัดเจน แล้วมัน ก็ฟังแล้วก็เลืองๆ จับไม่แม่น จับไม่มั่น คั้นไม่ตาย เปรียบเทียบ ก็ไม่เห็นชัด มันก็เบลอๆ แต่นี่ มีของจริงจับ ฟังแล้วจะชัด เราศึกษาธรรมะมาแล้ว เรารู้ดีว่า ผลของกาม มันเป็นเรื่องร้ายแรง ทุกวันนี้ มันก็ต่อรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสนั่นแหละ เป็นผลของกาม ที่เลวร้ายไป เห็นไหม จะกิน จะอยู่ ก็เลวร้าย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสทั้งนั้น จะเป็นชีวิตก็อยู่เลวร้าย

แม้แต่ที่สุด เกิดอาชญากรรมทางเพศ เกิดวิตถารทางเพศ ก็เพราะอย่างนี้แหละ คือเหตุ คุณได้เงินจริง แต่ เงินของคุณน่ะ ทำบาป เห็นไหมว่า คุณได้เงินไปจริง แต่เงินของคุณทำบาป ทีนี้ คนเราก็เก่ง ที่จะหาสิ่งที่มาปะหน้าว่าดี เอ้า ดี อย่างนี้ประชาชนชอบลักษณะนี้ ก็เป็นคุณธรรมบ้าง คุณธรรม เป็นกตัญญู คุณธรรม เป็นคนอ่อนหวาน คุณธรรมเป็นคน อย่างนู้น อย่างนี้ อะไรก็ แล้วแต่เถอะ ที่เป็นคุณธรรมในแง่ของเชิงที่เป็นกุศล คุณธรรมก็ทำ แต่ในเนื้อที่เขาเน้นน่ะ มันไม่พอกัน เห็นไหม เนื้อที่มันแตกออกไป ที่มันเป็นตัวเนื้อแท้ หรือเนื้อหา ที่คุณจ่ายออกไป เป็นเนื้อหา ของกามคุณ เป็นเนื้อหา ของสิ่งที่ย้อมใจ ให้จัดจ้านๆๆๆ ไอ้ความคำว่า จัดจ้าน คำเดียว นี่แหละ มันก็คือ ความรุนแรงของกามคุณ เมื่อไปแปลออกไปก็คือ นั่นแหละ ไปจนกระทั่ง เกิดอาชญากรรม ทาง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ถึงทางเพศ ถึงการฆ่ากัน รุนแรง หึงหวงจัด เพศวิตถาร แล้วก็มีการอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เกิดจากภาวะของกิเลสในจิต ทั้งนั้นเลย แล้วเราก็ไม่เข้าใจ กิเลสพวกนี้กัน

... เราจำเป็น เราต้องฉีกชี้ ให้เขารู้สึกตัว ถ้าเขามีปัญญา ก็ฟังอาตมารู้เรื่อง เมื่อฟังรู้เรื่อง เขาจะต้องลด ต้องลด แม้เงิน จะต้องลดลง เขาก็ต้องยอม เพราะฉะนั้น เอาแรงงาน เอาเวลา เอาทุนรอนที่เหลือ ไปสร้างสรร สิ่งที่เป็นประโยชน์ เขาบอกว่า เขาจะเลิกร้องเพลงแล้ว ... เอ้า ลดได้ดี หยุดได้ดี หยุดร้องเพลง แต่อย่าไปมอมเมากามคุณ ๕ ในเชิงอื่น ก็แล้วกัน หันหาเนื้อหา ที่จะเป็น การลดกิเลส ทั้งหลายแหล่ ลดกามคุณ กามารมณ์ โลกนี้มันใหญ่ยิ่ง เรื่องกามคุณ กับอัตตา นี่แหละ มันยิ่งใหญ่ มันถือดี ถือตัว มันเบ่ง ข่ม มันถือความรู้ แล้วมันเก่งความรู้ แล้วมันก็ เบ่งข่ม ตีราคาความรู้แพงๆ นี่เป็นเรื่องของ อัตตาทั้งนั้น อัตตกิลมถานุโยค ทั้งนั้นแหละ มันไม่ใช่ เป็นเชิงกามคุณ แต่เป็นเชิงศักดินา เรื่องมานะ เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องตีราคาแพงอะไรพวกนี้ เชิงชั้นพวกนี้ ในโลกทำกันอยู่ เป็นเรื่องของทุนนิยมที่เป็นศักดินา พวกนี้ มันไม่ใช่ เรื่องกามคุณโดยตรง แต่มันอีก ประการหนึ่ง อย่างนี้ เป็นต้น นี่แหละ มันก็เสียหายกันอยู่ เพราะฉะนั้น สังคมก็จะเดือดจะร้อน อย่างนี้ อยู่ตลอดเวลา ...

เราเห็น จนกระทั่งว่า คนที่มีเงินมากๆนี่ เป็นคนเสื่อม เอาละซิ ตอนนี้ คนที่ไม่แน่จริง คนที่ไม่มี ความภาคภูมิในตัว คนที่ไม่เชื่อมั่นในตัวเองว่า ถ้าชีวิตนี้ไม่มีเงินแล้วนี่ จะเป็นคนที่ดี เป็นคนที่ ภาคภูมิ ตนเองได้ เป็นคนที่คนอื่น เขาจะภาคภูมิ ในตัวเราได้ คนที่ไม่มีเงินนี่ เขาไม่เชื่อ เพราะโลก เขาจะเคารพนับถือ คนมีเงิน แล้วเขาก็ภาคภูมิในคนมีเงิน มีคนเคารพกันทั่วบ้านทั่วเมือง เต็มมากมาย คนจะมาเคารพคนจน คนไม่มีเงินนั้นน้อย

แต่อาตมาพิสูจน์ของพระพุทธเจ้าได้ว่า พระพุทธเจ้าท่านมีเงินท่านก็ไม่เอาเงินแล้ว สละทรัพย์ ศฤงคารหมด แล้วท่านก็มา เป็นผู้ที่คนมาเคารพนับถือคนที่ไม่มีเงิน บูชาเคารพนับถือ พระพุทธเจ้า พระพุทธ เจ้าสอนสาวกให้ถ่ายถอน ให้เลิกละทรัพย์ศฤงคารมา พระสาวกของพระพุทธเจ้า ก็เลิกละ ทรัพย์ศฤงคารมา แล้วก็มั่นใจว่า มีชีวิตอยู่ได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร คุณความดีของตนเอง โดยไม่ต้อง สะสมเงิน มีผลประโยชน์ เรียกว่าลาภ สิ่งตอบแทนก็ รับมาใช้แบ่งกิน เสร็จแล้ว ก็แจกจ่าย เจือจานต่อไป มั่นใจในตัวเอง ที่มีความขยันหมั่นเพียร ไม่เกียจคร้าน ทุกวันทำงาน สร้างสรร เมื่อทุกวันทำงานสร้างสรร เราก็ได้อาศัย สิ่งที่เราทำนี่แหละ แบ่งกินแบ่งใช้ ในนี้แหละ มันจะเอา ไปแลกเปลี่ยนบ้าง หรือไม่แลกเปลี่ยนโดยตรง จะเป็นทางอ้อมก็ตาม ก็เป็นคนมีคุณค่า มีประโยชน์ มีผลผลิต มีแรงงาน มีสิ่งที่สร้างลงไปให้แก่โลก แล้วท่านก็กินน้อย ใช้น้อย แต่ไม่ได้ ทรมานร่างกาย มีชีวิตเบิกบานร่าเริง อุดมสมบูรณ์ แข็งแรงดีอยู่ ตามที่มีความรู้ ที่จะยังขันธ์ ของตัวเอง เลี้ยงชีวิตของตนเอง ให้เป็นคนที่มีความแข็งแรง มีความสมบูรณ์

สมบูรณ์ไม่ได้หมายความว่า อ้วนเอาๆนะ สมบูรณ์หมายความว่า ได้สัดส่วนที่พอดี พอเหมาะ แข็งแรง แล้วท่านก็ขยันอย่างนี้ เสร็จแล้ว ท่านก็ไม่สะสม กล้าเลยว่า อยู่ในโลกนี้ อยู่ในสังคมนี้ โดยไม่ต้องสะสม ก็อยู่ได้ คนอย่างนี้เป็นคนที่อาตมาว่า น่าทึ่งมากกว่าคนที่สะสมเงิน เอาไว้มากๆ แล้วฉันก็มี ความเป็นอยู่สุข เสร็จแล้วก็ทำบุญทำทานอยู่ แต่ก็ไม่หมดสักที ช่วยเหลือเกื้อกูลเขาอยู่ ไม่หมดสักที คนอย่างนี้ ไม่น่าทึ่งเท่าไหร่ อาตมาว่า แต่คนที่ไม่มีเลย สละออกหมด แล้วก็มีชีวิตอยู่ ได้สร้างสรร แม้จะไม่เป็นตัวเงินเลย แต่แรงงานของเรานี้ ทั้งความคิด และแรงงาน ทางสมรรถภาพ ทางกาย ก็แล้วแต่ ท่านก็สร้างสรรให้แก่สังคม ลงไปอยู่ทุกวันๆๆ อาตมาว่าสดๆ กว่าด้วยซ้ำไป กล้าหาญ ชาญชัยอย่างนี้ มั่นใจ ในคุณงามความดีว่า เก่าอีก ไม่จะพยายามทำให้สอดคล้อง ให้ไปถูก ให้ฟรีให้ได้เลย ให้ได้ยิ่งดี แล้วก็พยายามที่จะเอาเนื้อหา เอาลงไปในหนังสือนี้ ให้เป็นเนื้อหา ที่ยิ่งวิเศษ ยิ่งเป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง ธรรมะที่ง่าย แต่ลึกซึ้ง จริงจัง เป็นสัจธรรมที่ ไม่เพี้ยน ให้ไปได้ มากๆๆๆๆ เจตนารมณ์อย่างนั้นจริงๆ คนไม่รู้ เขาก็หาว่าเรานี่ ทำไปเพื่อ Propaganda ตัวเอง โฆษณาตัวเอง เอ้า ก็ไม่ว่าอะไร มันก็มีส่วน เพราะเราทำนี่นะ เมื่อไหร่ ก็เราทำ แล้วจะยกตัวอย่าง เมื่อไหร่ ก็เอาตัวเอง ไปเป็นตัวอย่างอีก

เพราะว่า จะยกตัวอย่างคนอื่น มันก็ไม่ค่อยมีด้วยเรื่องนี้ หายาก ด้วยนะ แล้วไม่แน่ใจด้วยว่า จะยกตัวอย่างคนอื่นเขาเข้ามา ไม่รู้เขาจะเป็น อย่างนั้น จริงหรือเปล่า เพราะว่าคนเรานี่ พอเวลา ยกคนๆนี้ มาว่าดี ที่แท้เขาเป็น คนเลว เขาก็หาว่าดูถูก หนอย ปัญญาตื้น ไปยกคนชั่ว เป็นคนดี หลอกเรา หน้า เราก็เน่าอีก ก็เลยว่า เอ๊ มันไว้ใจได้หรือเปล่าว้า นี่ ไปยกตัวอย่างมายก แหม ยกตัวอย่าง ใครล่ะ เอาตัวอย่างคนนั้นมายก เราก็บอกว่า คนนี้นี่ น่านิยมชมชื่น นี่ เขาทำดีน่ะ นี่เห็นไหม สอน ในเรื่องของธรรมะ อย่างสวยแจ๋วเลยนี่นะ นี่แหละคนนี้ ชื่อนิกร สอนธรรมะ ชั้นหนึ่งเลย น่ายกย่องชมเชย ต้องเอาอย่างตามนะ ถ้าเราไปยกย่อง อย่างนี้ขึ้นมา ถ้าเกิดเขาไม่ดี ขึ้นมาละ เขาเน่าออกมาแล้ว เป็นอย่างไรล่ะ เขาก็หมดศรัทธาเราเหมือนกัน ปัดโถเอ๋ย หัว ขนาดนี้ น่ะเหรอ หมด เพราะฉะนั้น ก็เลยจะไปยกตัวอย่าง คนนั้นคนนี้ อย่างที่เราไม่มั่นใจ หรือเรายังไม่กล้า เราก็ต้อง ไม่กล้าละนะ เราก็จะต้องยก คนที่เรากล้ายก แล้วก็หายากเสียด้วย เมื่อหาไม่ได้ เอาตัวเองละวะ เราทำได้แล้ว เราก็ยกเราก็แล้วกัน เพราะเราทำได้จริงๆ เราก็ยกเรา เราก็ว่าอย่างนี้น่ะ ดีนะ ดีนะ

สมัยแรกๆ อาตมาออกมาบรรยายธรรมะ เขาก็ชวนหมั่นไส้ อาตมาบรรยายใหม่ๆนี่บอก โอ้ อาตมานี่ ลาออกจากงานแล้วนะ มีรายได้ตั้งสองหมื่น สองหมื่นแต่ก่อนนี้ มันไม่ใช่ทุกวันนี้นะคุณนะ สองหมื่น เมื่อ ๒๐ ปีที่แล้วนี่ รายได้ ๒๐ ปีที่แล้วนี่นะ ทองคำ บาทละ สี่ร้อยกว่า ถึงห้าร้อย ประมาณนั้น ตอนนั้น หรือ เอาอัตราเงินเดือนนายก ตอนนั้นนายก เงินเดือนหมื่นกว่าบาท ไม่ได้ถึง สองหมื่น เงินเดือนนายก แล้วก็เงินรับรองด้วย หมื่นกว่า อาตมาจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ไม่ถึงหมื่นห้า ด้วยซ้ำ เงินเดือน นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยนะ ธรรมดานี่คนเงินเดือนขั้นตรี ก็เจ็ดร้อยกว่าบาท เท่านั้นเอง จบปริญญาออกมา ได้ ตอนนั้นเก้าร้อยมั้ง ปริญญาที่มีเกียรติหน่อย ก็เก้าร้อย ที่มันเรียน เกินสี่ปีอะไร อย่างนี้เป็นต้น หรือเกียรตินิยมอะไรนะ ธรรมดาขั้นตรี ปริญญาตรี ก็เจ็ดร้อยกว่า เจ็ดร้อยห้าสิบก็แล้วแต่ละ ในเกรดนี้น่ะ ไม่เกินพัน ต่อมาก็ค่อยมาขึ้น พันกว่าบาท มาขึ้นพันห้า เดี๋ยวนี้ปริญญาตรี สี่พันกว่าใช่ไหม ปริญญาตรีสี่พันกว่าเดี๋ยวนี้

แต่ก่อนนี้ อาตมาได้เดือนหนึ่ง สองหมื่นบาท ออกมาบรรยาย บอกนี่ อาตมาทิ้งเงินมานะนี่ เดือนหนึ่ง ตั้งสองหมื่น อาตมาทิ้งมา ออกมานี่ มากินมื้อเดียว มาทำงานอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา บรรยายจ้อยๆๆ ก็ยกตัวอย่างตัวเอง มันก็น่าหมั่นไส้หรอก จริงๆ ใครตามอาตมา ฟังธรรมะ ตั้งแต่ ตอนแรกๆ อาตมาไม่รู้ว่า จะยกตัวอย่างใคร ก็ต้องยกตัวอย่างตัวเอง อาตมาเห็นว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็อย่างนั้แหละ อาตมามาอธิบายเรื่องกาม รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เรื่องอบายมุข อธิบายวิเคราะห์แหลกเลยนะ มันก็ไปเข้าหัวเขา ยังสูบบุหรี่ ยังกินหมาก ยังอะไร ต่ออะไร พวกนี้โอ้โฮ เขาหาว่า ไปด่าพระทั่วบ้านทั่วเมือง พระ แต่ก่อนนี้ ก็จริงๆด้วย กินทั้งหมาก สูบทั้งบุหรี่ กันอยู่นั่น ปุ๋ยๆๆ อยู่อย่างนั้น หาเงิน หาทอง แล้วก็มีเดรัจฉานวิชาอะไร มากมาย ต่างๆนานา

อาตมาก็บอกว่า อาตมาเลิกมาแล้ว เดรัจฉานวิชา อาตมาเล่นมา อาตมาเลิกมาแล้ว หยุดมาแล้ว ไอ้ อย่างนั้น มันยังไม่ใช่พุทธว่าไป เขาก็ว่าไป เขาก็จริ๊งจริง ยกตัวเองว่าตัวเอง เลิกมาแล้ว ไปด่าคน ที่เขายังไม่เลิก เอ้า แล้วมันก็ไม่จริงอย่างไร มันก็น่าให้เขาจะจับเข้าคุกหรอก มันก็เป็นจริงน่ะ เอ้า จริงๆ อาตมาก็เข้าใจเขาก็ แล้วก็เห็นใจเขา แหม มันด่ากูจริง อีกสักหน่อยเถอะอย่างนี้ แต่ก็ยังดีที่ว่า มันยังมีลึกๆ อาตมาก็ยังขอบคุณ ขอบคุณต่อคนเหล่านั้นแหละ เขาก็ยังไม่บ้าระห่ำ คือ ยังไม่รุนแรง จนเกินไป จริงๆทำรุนแรงกว่านี้ก็ได้ เขาก็ยังมีหิริ มีโอตตัปปะ ว่าทำ รุนแรง จนเกินไปนะ ไอ้ที่ไม่ฟังอีร้า ค้าอีรมณ์ละ มันจะผิดจะถูกอะไร พ่อเล่นลูกเดียวละ เอาใมันเข้าคุก ขังลืมไปเสียเลย อะไรต่ออะไร เอาอำนาจบาตรใหญ่ อะไรต่ออะไร ทำได้ แต่เขาก็ยังไม่กล้า เอาอำนาจบาตรใหญ่ ทำอย่างนั้นทีเดียว เพราะว่าก็เกรงๆ หรือว่าตัวเองก็มีหิริ มีโอตตัปปะอยู่บ้าง ว่าคนรู้ มันมีเหมือนกัน นะ ทำไปแล้ว ก็เลยทำอยู่ ในระหว่างนี้น่ะ ขนาดนี้ก็เลย ก็ค่อยยังชั่ว นิดหนึ่ง ก็เลยพอเป็นไป อาตมาก็เลย เอาพอไปได้ อาตมาทำขนาดนี้ อาตมาก็ยังทนได้ แต่อย่าลองอาตมา มากกว่านี้เลยนะ แรงกว่านี้ ก็ไม่อยากจะอวดดีละว่าทนได้ ประเดี๋ยวจะลองเสีย มันก็จะไม่สนุกละหนอ ลองมากกว่านี่ หนักไป มันก็ไม่สนุก จับไปตรึงกางเขนอย่างนี้ บอก เอ๊ คงไม่สนุกนะ มันจะทนไม่ได้ ก็ไม่อยาก จะบอกล่ะน่ะ มันไม่ดีหรอก อย่าทำเลยนะ จับไปตรึงกางเขนน่ะ มันมากไป

แต่คิดว่า สมัยนี้ ไม่มีแล้วล่ะ จับไปตรึงกางเขน เพราะว่ายุคกาลมันไม่เหมือน กับสมัยก่อน ยุคนี้ ก็ต้องว่าไปตามหลักกฎของสังคม โลกสมัยนี้ สังคมสมัยนี้ มันไม่ได้หยาบคาย หรือมันไม่ได้รุนแรง มันไม่ได้จัดจ้าน ถึงอย่างนั้น ก็ขนาดนี้ ก็พอเป็นไป เพราะฉะนั้น คนทุกวันนี้ นี่นะอาศัยความเป็น กับอาศัยความรู้ในชีวิต แต่เสร็จแล้ว ก็ไม่ค่อยเป็น มันมีธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเรานี่ รู้ก่อนเป็น เป็นธรรมชาติแท้อันหนึ่ง เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ส่วนมาก เราก็จะรู้ ไปเรียนรู้ก่อน แล้วก็มาฝึกหัด ให้เป็น ไอ้เป็นก่อนรู้ ไม่มีหรอก มันเป็นพร้อมๆกับรู้ มันก็พอเป็นไป แต่มันก็ต้องรู้นำก่อนทำ พอทำไปแล้ว ก็ไม่รู้ จนกระทั่ง รู้ได้เรียบร้อย เพราะเป็นอันนั้น ได้เรียบร้อย จึงจะรู้ว่า อ้อ อย่างนี้ถูก อย่างนี้ได้ อย่างนี้สำเร็จ อย่างนี้เกิดผลอย่างนี้ อย่างชัดแท้ จนเข้าใจเหลี่ยมมุม ความรู้ของมันหมด เพราะฉะนั้น คนก็เลยยกย่องว่า ความรู้นี่เป็นตัวที่ทำให้คนเป็นได้ มันมีธรรมชาติอันนี้อยู่ คนก็เลย ไปเห็นว่า ความรู้นี่มันสำคัญกว่า

ความจริงแล้ว มองในมุมกลับ คนเป็นนี่ ต้องมีความรู้ ถ้าเขาไม่รู้ เขาทำเป็นไม่ได้ ทำได้ดีทีเดียว ฟลุกๆไปทำอีก โดยไม่รู้ได้ที่ไหน มันต้องรู้เลยว่า เออ ต้องทำอย่างนี้ ต้องมีอย่างนี้ อย่างนี้ชัดเจน ใช่ไหม จึงจะเป็นผู้เป็น เพราะฉะนั้น ผู้เป็นนี่ จะมีผู้รู้อยู่ในตัว เท่าที่เขาทำได้ จะเก่ง ไม่เก่ง จะมีสมรรถภาพสูง หรือไม่สูง ก็ตามใจ เท่าที่เขาเป็นใช่ไหม ถ้าเป็นได้ดี เขาก็ต้องรู้สิ่งดี และ แม้เป็นแล้ว บางทีเอามาบอกคนอื่น มาแสดงว่า เป็นผู้รู้ไม่ค่อยได้ เออ อันนี้มันมีในคน ผู้ที่เป็นแล้วนี่ เอามาแสดงว่า เป็นผู้รู้แล้ว จะได้บอกเขาจ้อยๆ แนะนำเขาได้หมดทุกอย่าง ไม่ได้ บางอย่างนี่มัน เอ๊ เราทำได้ก็ได้ นะ แต่บอกให้เขาทำอย่างนี้เอ๊ ทำไมเขาทำไม่ได้ บอกให้เขาทำอย่างนี้ซิ คนทำ ก็ทำตามไม่ได้ แล้วมันมีกลเม็ด มันมีเชิงขั้น มันมีรายละเอียดยังไง มันไม่ได้ เพราะเราได้ฝึกปรือ เราได้เป็นแล้ว ทุกอย่าง มันก็เป็น แต่คนอื่นเขาไม่ได้ฝึกปรือ เขาพยายามทำตาม ให้ใกล้ชิดยังไง มันก็มีรายละเอียด ที่ละเอียด จนกระทั่งอะไรก็แล้วแต่ ความชำนาญของสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นทักษะ ของผู้นั้น มันเป็น ไม่ถึงกัน แล้วบอกไม่ได้ด้วย โอ๊ มันเป็นนามธรรมบางอย่างก็ซับซ้อน ไม่รู้จะบอก ยังไง เพราะฉะนั้น ผู้เป็นบอกไม่ได้ก็มีอยู่ ผู้เป็นแล้ว แล้วก็ทำได้ดีด้วย แล้วก็บอกได้ด้วย รู้ถ้วน บอกได้ถูกต้อง บรรยาย แล้วจะให้คนอื่นเข้าใจ ให้คนอื่น มาทำตามได้อย่างดี จึงเป็นสุดยอด แห่งคุณภาพของคน

ทีนี้คนเราเกิดมานี่นะ ต้องทำ ต้องเป็น อันนี้เป็นเรื่องของบุญของบาป แล้ว เป็นเรื่องของการ เสียเปรียบ ได้เปรียบ หรือเป็นเรื่องของหนี้ หรือเป็นเจ้าหนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ผู้ที่มาเป็นภาระ ให้แก่สังคม ให้คนอื่นเขาเลี้ยงไว้ ตัวเองไม่ทำอะไร เป็นหนี้ เป็นลูกหนี้ จริงไหม

เอาละ เป็นคน ไม่ได้ไปเบียดเบียนคนอื่นหรอก แต่เบียดเบียนไปเก็บกิน ต้นหมากรากไม้ ไปกินอะไร ต่ออะไร ที่มันเกิดอยู่ในสังคม ในโลกนี้ ไม่ได้เบียดเบียนคนนะ เอาของธรรมชาติกิน กินของ ธรรมชาติ ก็ถือว่า เขาไม่เป็นหนี้ แต่อย่างน้อย คุณเป็นหนี้ต้นไม้น่ะ ใช่ไหม คุณช่วยเขาบ้างซิ ต้นไม้ คุณก็ช่วยเขาบ้าง ช่วย มันจะมีอยู่ ในสังคมทุกวันนี้ยิ่งขาดแคลนธรรมชาติ ไม่ว่าต้นหมาก รากไม้ ไม่ว่าอะไรต่ออะไร ต่างๆนานา มักพร่อง มันไม่พอแล้ว เพราะฉะนั้น เมื่อไม่พอ ก็ช่วยเขา ต้องศึกษา จะทำยังไง ถึงจะขยายให้เขาได้สมบูรณ์ ให้แข็งแรง ได้สัดส่วนที่ดี ไม่มีสารพิษ ไม่มีภัย ไม่มีโทษ มีแต่ส่วนที่ดี ที่ดีๆๆ แล้วก็หมุนเเวียนไป คนก็ได้กิน ได้ใช้ สิ่งเหล่านี้ก็มีขึ้นมา ไม่น้อย ไม่น้อย เรียกว่า ไม่สูญพันธุ์ อะไรๆก็ยังเจริญงอกงามดี ได้เป็นพันธุ์ที่ดีด้วย ต่อ กามพันธุ์ ทำโน่น ทำนี่ให้ดี ให้มันของจริงๆ ของมันที่ดี มันก็เป็นสิ่งหนึ่งในธรรมชาติ เป็นสิ่งหนึ่ง อยู่ในสังคม อยู่ในโลก ไม่สูญหาย ไม่สาบสูญไป ไม่สิ้นพันธุ์ มันก็มีสิ่ง เหล่านี้เกิดอยู่ในโลก คุณก็ได้รับ สิ่งเหล่านี้ เป็นประโยชน์คุณค่า ได้อาศัยๆ

ทีนี้ คนเรามันต้องอาศัยซึ่งกันและกัน คนอาศัยสัตว์ อาศัยพืช อาศัย คน คน สัตว์ พืช ดิน มันก็อาศัยหมด นั่นแหละ ที่จริงน่ะ คน ถ้าย้อนศรนะ คนไปเป็นอาหารดิน ดินเป็นอาหารพืช พืชเป็นอาหารสัตว์ สัตว์เป็นอาหารคน นี่ก็เป็นวงจรธรรมดา

ทีนี้ ความจริงแล้ว ดินเป็นอาหารคนไหมๆ ไม่เป็น สัตว์เป็นอาหารคนไหม เป็นก็มี ไม่เป็นก็มี พืชเป็นอาหารไหม แน่นอน พืชเป็นอาหารคนแน่นอน เพราะฉะนั้น ดินนี่ เป็นอาหารคนไหม ไม่เป็น สัตว์เป็นอาหารคนไหม เป็นบ้าง ไม่เป็นบ้าง อะไรเล่าแน่ๆ เป็นอาหารคนน่ะ คนฉลาดเขาเอาแน่ๆ คนฉลาดเขา เอาแน่ๆ แล้วกินพืชนี่ ตลอดจนตายนี่ จะตายไหม อายุยืนไหม กินสัตว์ ไม่กินพืชนี่ จะอายุยืนไหม ไม่ยืน คนที่ไม่แน่ก็กินสัตว์บ้าง พืชบ้าง คนไม่แน่ ก็เปอร์เซนต์ มันถูกทุกอย่าง กินพืช ก็อายุยืน กินพืชก็ไม่บาป กินพืชตลอดตายก็ได้ดี ไม่มีปัญหา ไม่ขาดอะไร เพราะฉะนั้น ไม่ได้ต้องมี วิจิกิจฉาอะไรเลย ไม่ข้องใจ ไม่สงสัยอะไรเลย ไม่ต้องมีใครมาทักมาท้วงด้วย ไม่ต้องทักท้วงด้วยนะ แม้แต่พวกที่ต่อต้าน นักมังสวิรัติทุกวันนี้ เขาบอกว่า ดี กินมังสวิรัติน่ะดี แต่ทำไม จะต้องเอามา เบ่งละ

เห็นไหม มันไม่ได้มีความผิดตรงที่ว่ากินพืช เป็นความถูกต้อง กินพืช เขาก็เห็นด้วยว่าดี แต่ที่ผิด ตรงที่เอาไปตีเขา เอาไปข่มเขา คุณทำดีได้ดี ทำไมคุณจะต้อง มาอวด มาอ้าง ทำไมจะต้อง ไปเบ่ง ไปข่มคนอื่นล่ะ กินได้ก็กินไปซี ทำได้แล้ว ก็ดีแล้วล่ะ ก็ดีไปเถอะ แต่เอาส่วนไม่ดีมาตีเขา เพราะฉะนั้น เราเลิกความไม่ดีออก เอาตรงไปข่ม เอาไปตีเขา เอาไปอะไรเขานี่ออก เลิกอันนี้ออกแล้ว เราก็ทำดีเสีย ไอ้ตรงกินพืชนี่ก็แล้วกัน ส่วนคนที่เขาไม่ดีนี่นะ เขาก็ยังไม่ดีตรงที่ แม้ไอ้ตรงนี้ ก็ยังไม่ดีเลย เพราะฉะนั้น เขาจะมาคุยโม้ว่า เขาดีน่ะ ไม่มีสิทธิ์ ใช่ไหม มาคุยโม้ว่าเขาดี ไม่มีสิทธิ์ เมื่อไม่มีสิทธิ์ คุยโม้ได้ เพราะเขายังไม่ดี แล้วทำไม จะต้องมาว่า คนที่ไม่กินพืช ที่ดีแล้วนี่ จะต้อง มาว่าเขาทำไม ไม่มีสิทธิ์มาว่าด้วยนะ ความจริงแล้ว ไม่มีสิทธิ์มาว่าด้วย แล้วคนที่ดีกว่า คนไม่ดีนี่ มีสิทธิ์ว่าคนไม่ดีไหม มีไหม เอ๊ ไม่รู้ เขาให้สิทธิ์หรือเปล่าไม่รู้หนอ คนดีนี่ มีสิทธิ์ว่าคนไม่ดีไหม เอ๊ สหประชาชาติ เขาจะจดสิทธิมนุษย์อันนี้หรือเปล่า คนดีนี่มีสิทธิ์ ว่าคนไม่ดีไหม หรือละเมิด สิทธิมนุษยชน เหมือนกัน เอ๊ ข้อนี้จะต้องส่งเข้าไป สหประชาชาติ เสียแล้วละ ให้วิจัยจุดนี้ แต่โดยสามัญสำนึก มีสิทธิ์ไหม ควรมีสิทธิ์ไหม โดยสามัญสำนึก คนที่ดี ย่อมมีสิทธิ์ว่าคนไม่ดี เพราะฉะนั้น เราดีให้ได้ แล้วเรามีสิทธิ์ว่าคนไม่ดี แต่คนไม่ดีนั้น มีกิเลสมานะ ถูกว่าก็โกรธ ถูกว่า ก็ถือตัว จึงว่าย้อนคนมีสิทธิ์ มาเป็นความผิดของเขาอยู่นั่นเอง เป็นความผิดของเขา แต่เอาเถอะ พูดไปก็ไม่จบ ปัญหาพวกนี้ ก็เถียงกันได้ ไม่มีจบ แต่อาตมาก็วิเคราะห์เหตุผล วิเคราะห์มุมเหลี่ยม อะไรต่ออะไรให้ฟัง

เอ้า เรื่องของคุณภาพของคนนี่ จะต้องเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ พวกนี้อย่างดี เข้าใจแล้ว เราก็ มั่นใจ อย่างอาตมานี่มั่นใจ อาตมาไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่ถือสา แต่ก็บอกเขาเหมือนกันว่า ไม่ควรหรอก ไม่ควรมาด่าอาตมา ไม่ควรมาว่าอาตมาหรอก เพราะคุณเอง คุณยังทำสิ่งเหล่านี้ ยังไม่ได้ อาตมา ทำได้ก็บอก คุณก็หาว่าอวด แล้วคุณรู้ใจอาตมาไหมเล่า ว่าอาตมาบอกโดย ไม่ได้อวด ไม่ได้อยากใหญ่ อยากอวด แต่แท้จริง คุณบีบคั้นให้เราว่า เอาละ แม้จะไม่บีบคั้น แต่ก็สมควร จะต้องได้พูด สมควรจะต้องได้บอก เพราะคุณอมพะนำกัน อย่าบอกว่าใครดี แล้ว ใครจะรู้ว่า ใครดี รู้ได้ด้วยการคบคุ้นกัน เหมือนกัน รู้กันอยู่นานๆ ก็ได้รู้ได้เหมือนกัน แต่การบอกว่า คนดี แล้วเรา ก็จะได้รู้เร็ว แล้วเราก็จะได้พิจารณาพิสูจน์เร็ว แล้วจะได้ทำตามเร็วๆ ดีกว่า ไม่บอกกันไหม ดีกว่าไหม วิเคราะห์ไป ก็ต้องดีกว่า

อาตมาเป็นจอมเหตุผล แต่อาตมาก็ไม่เอาความมีเหตุผลเหล่านี้ ไปเถียงกับเขาหรอก เป็นแต่เพียง เอามาวิเคราะห์ให้คุณฟัง เพราะฉะนั้น อาตมาไม่เถียงกับคนอื่นมาก จะไม่ไปบอกวิเคราะห์วิจัย อย่างงี้กับคนอื่นมาก โดยเฉพาะ พวกที่เห็นตรงกันข้าม ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง อาตมา จะงด ไม่เสียแรง ไม่เสียวเลา ซึ่งอาตมาพยายามวิเคราะห์ วิจัยอะไรให้พวกคุณฟังนี่ อาตมาเชื่อว่า อาตมา ไม่ได้วิเคราะห์ วิจัยไปเปล่า พวกคุณฟังอาตมาแล้ว พวกคุณฟังแล้ว เข้าใจได้แล้ว เอาไปปฏิบัติตาม แล้วก็เกิดศรัทธาเลื่อมใสได้ ด้วยอาตมาก็ทำประโยชน์พวกนี้ กับพวกเรา แต่ถ้าเพื่อจะไปพูด กับคนอื่น ที่เขาไม่เข้าใจอย่างนี้ แล้วก็เถียงเอา เพื่อเอาชนะ คะคานนั้น อาตมาจะไม่ลงทุน จะไม่ลงแรง ไปเถียงกับเขาเพื่อเอาชนะ ไม่เถียง เพราะว่า แม้จะชนะเขา เขาก็ไม่ได้ศรัทธา เลื่อมใส อะไรได้ง่ายๆ แล้วเขาก็ไม่ทำตามได้ง่ายๆ อาตมาว่า อาตมาเสียแรงเปล่า ไม่คุ้ม เพราะฉะนั้น อาตมาจะทำสิ่งที่คุ้ม เวลาอาตมา ควรจะมาทำสิ่งที่ ได้ประโยชน์มากกว่า เมื่อได้คุ้มกว่า อาตมาก็ทำ สิ่งที่ได้คุ้มกว่านั้น

แม้อาตมาจะพูดซ้ำซาก พูดซ้ำพูดซาก พูดอะไรต่ออะไร ที่มันไม่ค่อยจะกว้างขวาง ออกไปมากนัก ซ้ำซาก แล้วก็ขยายความไปแต่น้อยๆ อาตมาก็ยินดีที่จะทำอันนี้มากกว่ากับพวกเรา เพราะฉะนั้น พวกเราได้ฟังธรรมะที่ อาตมาแสดงนี้ มันจึงลึกซึ้ง ซับซ้อนขึ้น แล้วก็มีแง่ มีเชิง ที่เสนอเป็นศิลปวิธี ที่จะเสนอ จะสื่อให้เข้าใจแห่งสัจจะ

อาตมาเคยประกาศว่า อาตมาเอง อาตมาไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่ปัญญาชน ไม่ใช่ผู้ที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้รู้อะไรมามาก ไม่เป็นผู้รู้อะไรตามบัญญัติได้มาก เพราะอาตมาชาตินี้ ไม่ได้ศึกษามาก ไม่ได้อ่าน ไม่ได้ฟังจริงๆนะ อาตมาไม่ได้เป็นนักอ่านนักฟัง เป็นนักเที่ยวเสาะหาความรู้ มาใส่ตัวเองมาก อาตมาไม่ได้เป็น เช่นนั้นนะ เกิดในชีวิตนี้ ไม่ได้เป็นผู้ที่ไปเสาะแสวงหาความรู้มาก ให้กับตัวเองมาก ไม่ใช่เป็นหนอนหนังสือ ไม่ใช่เป็นนักค้นคว้า ไม่ใช่เป็นนักจดนักจำ ไม่ได้เป็นผู้ที่ เข้าสถาบัน การศึกษา จนได้ใบรับรองเป็นผู้ที่จบอย่างนั้น อย่างนี้ ได้ร่ำได้เรียนมา ได้ขนาด ได้เกรด ที่เขารับรอง กันมา มีใบรับรอง อาตมาไม่ได้เป็นคนเช่นนั้นจริงๆ ในชาตินี้

แต่อาตมาว่าอาตมารู้ แล้วอาตมาก็เอาสิ่งรู้เหล่านั้นมาเปิดเผย จากสิ่งที่อาตมามีจริง เป็นจริง รู้มาเดิม เป็นของเก่า จะเป็นทั้งบัญญัติภาษา และเป็น สภาวะอะไรก็ตาม อาตมาได้รู้ของเดิมมา โดยเฉพาะธรรมะลึกซึ้ง มันมีนามธรรมมากมายเลย นามธรรมของธรรมะนี่เยอะ ในระดับของจิต เจตสิก รูป นิพพาน เป็นปรมัตถสัจจะนี่เยอะ อาตมาบรรยาย ปรมัตถสัจจะ ให้คุณฟัง พูดถึงกิเลส วิเคราะห์กิเลสจากจิต ลักษณะอาการโลภะ โทสะ โมหะ แขนงนั้นแขนงนี้ เกิดจากเหตุปัจจัย อย่างนั้น อย่างนี้อะไรก็แล้วแต่ ที่อาตมาได้บรรยาย สัจธรรมพวกนี้มา อาตมาไม่ได้ท่อง ไม่ได้เรียน ไม่ได้มาจากบัญญัติภาษา ที่เขาเรียนนกันมา ไม่ได้มาจากสิ่งเหล่านั้น แต่อาตมาอ่านมาจาก สภาวะ ของจริงที่ อาตมารู้ว่า สัจธรรมเป็นอย่างนี้ แล้วก็อ่านออกมาพูด นำออกมาบรรยาย เป็นภาษา เท่าที่จะสื่อเป็นภาษา อาตมาเป็นคนไทย สื่อภาษาไทยได้ รู้จักความหมายภาษา ไทย ก็เอามา ประกอบกับสภาวะ สื่อมาให้พวกคุณฟัง หลายอย่าง ไม่ตรงกันกับ อาจารย์ที่เขาเรียนมา ทางบัญญัติ ภาษา ไม่ตรงจริงๆ

ซึ่งอาตมาเอง อาตมาก็เข้าใจนะว่า ผู้ที่เขาเรียนมาอย่างนั้นๆ ซึ่งอาตมามองเห็นแง่เชิงที่ว่า มันไม่ครบ มันไม่สมบูรณ์ มันไม่ตรงทีเดียว บางอย่างผิดๆ เพี้ยนๆ ไปด้วย อาตมาก็ติงก็ติอยู่ ติงสิ่งที่ ผิดเพี้ยน ผู้ที่ยึดมั่นถือมั่น ในความรู้เดิม ที่ตนเองเรียนมาแล้ว จึงเกิดการยึดถือ เพราะมันไปผิด ไปเพี้ยน อาตมาไปบรรยายผิด เอาอะไรไปว่า ไปให้ความหมาย อะไรผิดกันเข้า ก็จึงเกิด การขัดแย้งกัน ซึ่งอาตมาเห็นอยู่ว่า มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเรื่องเป็นไปอย่างนั้นแหละ เพราะอะไร มันผิด มันก็ต้องขัดแย้งกับสิ่งที่ถูก ถ้าเขาถูก อาตมาก็ผิด ถ้าอาตมาผิด เขาก็ถูก มันก็เท่านั้นเอง แง่สุดท้าย มันก็ เท่านั้นเอง โดยสัจจะใช่ไหม ถ้าอาตมาผิด เขาถูก ถ้าอาตมาถูก เขาก็ผิดเท่านั้นเอง

ทีนี้ เราจะรู้ถูก รู้ผิดยิ่งเป็นนามธรรม คุณก็ต้องมาศึกษาถึงคุณลักษณะ เหล่านั้น ให้เกิดคุณภาพ จนสมบูรณ์ มาศึกษาคุณลักษณะเหล่านั้น ตั้งแต่ก่อนนี้คุณหลงใหลในรสอร่อย ที่เป็นอัสสาทะ โลกๆ เป็นความเพลิดเพลิน เป็นความสุข คนเราก็ แสวงหาความสุข แต่ความสุขอันนั้น เขามอมเมา ในระดับของอบายมุข อาตมาหยิบมาให้พวกคุณ ได้ประพฤติปฏิบัติพิสูจน์ดู ว่าอบายมุข คุณเลิกดูซิ พอเลิกแล้ว มันก็ทำให้คุณได้รู้อาการของกิเลส นี่เป็นวิธีการ คุณพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยาง ออกจากน้ำ เลิกสิ่งนี้มาดูซิ คุณก็จะเห็นอาการมันติด มันยึด มันอยาก มันอร่อย มันเคยเสพ มันเคยบำเรอ มันไม่ได้บำเรอ มันก็เร่าๆ ร้อนๆ มันก็โหยหา มันก็อยาก กิเลสอยาก นั่นแหละ คือกิเลสตัณหาสมุทัย นั่นแหละ ทุกข์สมุทัย คือตัณหา คือความอยากได้มา คุณเห็นอาการมันแล้ว เราก็มาหาวิธีการ ลดซะซิ พยายามกดข่มก็ตาม เห็น ด้วยเหตุด้วยผลว่า มันไม่ใช่เรื่องที่เลิศลอย มันเป็นเรื่องที่วิเศษ วิเสโส มันเป็น เรื่องต่ำเลยนะ นี่มันระดับอบายมุขนะ คนดีเขาเลิกมา ไม่ไปสุขอย่างนี้หรอก ลองดูซิ เลิกอาการอยากมาให้ได้ คุณเห็นเหตุ เห็นผล คุณก็พยายามเลิกมา จนกระทั่ง อาการของกิเลส มันจาง มันคลาย มันตาย มันจางคลายไปจริงๆ

แล้วคุณก็จะรู้ว่า อ๋อ คุณขาดสิ่งนี้น่ะ ไม่ได้รสอร่อย จากได้เสพอบายมุข ไม่ได้รสอร่อยจากการดูดยา ไม่ได้รสอร่อยจากการดื่มเหล้า ไม่ได้ความเพลิดเพลิน จากอย่างนี้ อบายมุขนี้กับการเล่นไพ่ รสอร่อย ในการเที่ยวกลางคืน มหรสพ การพนัน อะไรก็ตามใจเถอะ หรือ แม้แต่เรื่องการแต่งตัว อย่างที่ อาตมา บอกว่า เป็นของผู้หญิงนี่นะ เป็นอบายมุข ของผู้หญิงนี่ คุณลองดูซิ แล้วชีวิตคุณ จะเป็นอย่างไร เมื่อคุณได้มาลองแล้ว ก็เห็นว่า เอ๊ ทิ้งรสไอ้นี่ไปแล้วนี่ เราก็ไม่ตายนี่นะ รสอันนี้ น้อยลงไป ก็รู้จักอาการว่าลดน้อยลงไป แล้วมันว่างนะ รสอย่างนี้แหละ คือ ความสงบระงับ ว่าง ไม่อยาก แล้วก็ไม่ต้องตื่นเต้นอะไร ไม่มีความอร่อย ในนี้เลยได้ เฉยๆแล้ว เออ แต่ก่อนอร่อยจริงๆนะ มันเป็นความเพลิดเพลิน มันเป็นความมัน ในหัวใจ แต่เดี๋ยวนี้ จืดๆ ชืดๆ เฉยๆ ไอ้นี่แต่ก่อนนี้ เคยอร่อย เดี๋ยวนี้เฉยๆ คุณก็ไม่เห็นว่า คุณด้อยอะไร ไม่ด้อยนะ นอกจาก ไม่ด้อยแล้ว เรากลับรู้ชัด รู้เจนว่า เราเลิกอบายมุขมาได้นี่เจริญ เป็นคนสูงขึ้น เจริญขึ้น ถามใครก็ได้ คุณเคยติดเหล้า แล้วไปถาม เพื่อนขี้เหล้า มันอาจมีพวก ไอ้อุตรินี่นะ ก็เอาเผื่อ ไว้หน่อย ติดเหล้าหยำเปเลยนะ เสร็จแล้ว คุณก็เลิกเหล้าได้ ไปถามเพื่อนขี้เหล้าสิบคน ด้วยกันซิ เอาล่ะยกไว้ มันอาจมีคนอุตริ เฮ้ย เลิกเหล้าไปได้ มันก็เลวลงนะซิ เขาอาจพูดอย่างนั้นน่ะ ปัดโธ่ ไปเลิกได้ทำไมเล่า ปัดโธ่ คอทองแดง อย่างนี้ขั้นหนึ่ง อาจมีตัวประหลาดๆ อย่างที่ว่า แต่คุณไปถาม จริงๆ เถอะ ในสิบคน นักขี้เหล้า ด้วยกันนี่ คุณเลิกเหล้าได้แล้ว ในสิบคนนี่จะบอกว่า เออ เอ็งดีแล้วๆ เอ็งเลิกได้ดี สาธุ ข้ามันยังเลิก ไม่ได้วะ รับรองว่าเกือบทั้งสิบ หรือ อย่างเก่า ก็มีแปดเก้าคน โน่นแหละ ใช่ไหมๆ นี่แหละ เป็นเรื่อง สัจจะ ที่พิสูจน์ได้ ยกไว้เผื่อไอ้ตัวบ้าๆ อย่างที่ว่านี่แหละ ไอ้บ้าอะไรวะ ไปเลิกเหล้า ของดีๆ ไปเลิก ทำไมวะ บ้าฉิบหายเลย ปัดโธ่ มันต้องเมาเมาอย่างนี้ มันถึงจะแน่ เป็นชาย ไม่กินเหล้า ก็บ้าใหญ่น่ะซี อาจมีไอ้ตัวมันเห็นอย่างนั้นจริงๆ มันอุตริอย่างนั้น จริงๆได้ นอกจาก มันแกล้งพูด จริงๆ ก็ไม่เอานะ แกล้งพูดก็หลงอย่างนั้นจริงๆ จะมีไหม หนึ่งในร้อย จะมีไหม ไอ้ขี้เหล้านี่แกล้ง มันไม่มีจริงๆหรอก เล่นไพ่ เป็นดาราไพ่ก็ตาม

เอาเถอะ การแต่งตัวนี่มีได้บ้าง อย่างผู้หญิงนี่นะ เอ้อ เรื่องอะไร ไปหยุดแต่งตัว บ้าเหรอ โทรม ต้องมาแต่งงามๆ อย่างนี้แหละ มันถึงจะดี ไอ้นี่ อาจมีใช่ไหม จริงใจเขาเหมือนกันนะ บอกว้าย ไม่ได้หรอก ต้องแต่งไปจนตาย นั่นแหละ เรื่องอะไรจะไม่แต่ง แต่คุณอธิบายเหตุผล ว่าไม่แต่ง นี่แหละ เราเป็นคนธรรมชาติบริสุทธิ์ดีๆ มีเหตุมีผล คนที่มีปัญญาสามัญนี่ อาตมาว่า เขาเข้าใจได้ เราก็ไม่เปลืองใช่ไหม เราก็ไม่ต้องเสียเวลาใช่ไหม แล้วเราก็ไม่ต้องไปทำลาย ธรรมชาติ ใช่ไหม นี่รูขน ก็เอาอะไร มาอุดรูขน เจ็ดขั้นแปดขั้น นี่ใช่ไหม อะไร ต่างๆนานา ไม่ต้องเสียเวลาแรงงาน อะไรเลย แล้วเราก็ได้ คนที่เขาจะมารักเรา ถ้าสมมุติคุณยังจะต้องให้คนมารักอยู่ เป็นผู้หญิง ให้คนมารัก แล้วก็จะได้ คนที่ไม่หลงหน้ากาก ใช่ไหม คนที่เขามารัก มารักหน้ากาก ที่คุณมาโปะ มาพอก มาทา เอาไว้ คนที่มารักหน้ากากนี่คนโง่ หรือคนฉลาดล่ะ เอ้า คุณก็ได้คนรักหน้ากากไป เอาคนโง่ ไปเป็น นั่นแหละ มันถึงได้หย่ากันมากเดี๋ยวนี้ ก็มันได้แต่คน เอามาแต่งงานกับหน้ากาก มันแทนที่ จะแต่งงานกับเรา ถ้าเราเป็นคนบริสุทธิ์อย่างนี้ เอ้า หน้าตา เนื้อตัว จริตจะก้าน เรามีคุณธรรมอะไร ก็มีอย่างนี้น่ะ สดๆเลย ไม่ต้องเอาอะไร มาพอก มาหุ้มอะไรนักหนาหรอก จะบอกสวยก็สวย มารยาทสวย กิริยาสวย คุณธรรม สวยอะไรก็แล้วแต่ ไม่ได้สวยไอ้ตรงหน้ากาก ไอ้ของปลอม ของเปลือกอะไร พวกนี้ คุณก็จะได้คนลึก คนมาแต่งกับคุณก็คนลึก คนลึกซึ้งดีกว่าไหม อาตมาว่า คน ไม่โง่เกินไปน่ะ จะบรรยายบอกกันนี่ จะเข้าใจ

ถ้าคุณเลิกอันนี้มาได้ คุณก็ไม่ได้เป็นคนต่ำอะไร คุณรู้ว่าเลิกมาได้ คุณก็ไม่ได้เปลือง ไม่อะไร แล้วคุณก็จะได้ดี ทุกอย่างละ อย่างที่ว่านี้ ถ้าแม้คุณจะแต่งงาน ยิ่งคุณไม่แต่งงาน คุณจะไปแต่ง มาหลอกเขาทำไม ใช่ไหม ดี ไม่มารักเรายิ่งดี เราจะได้สบายๆ มารักก็วุ่น ไอ้เขารักเราข้างเดียว ยังวุ่นเลย จอมตื๊ออย่างนั้น อะไรบ้าง ไม่เข้าท่าละ ไม่ต้องมารักเราเลยได้ก็ยิ่งดี แต่เราประสานกัน สัมพันธ์กัน เป็นมิตร เป็นญาติ เป็นผู้ที่เกื้อกูลแก่กัน และกันก็ดีไป ไม่ต้องไปเอาราคะ ไม่ต้องมา เอารัก ราคะมาอะไรต่ออะไรพวกนี่ รักความสวย รักอะไรต่ออะไร จะอะไร ไม่ต้องล่ะ สิ่งที่สัมพันธ์ กันได้ จะเรียก ความรัก หรือความเกื้อกูล เป็นภาษาทางสังคม ที่เขาเรียกความรัก รักกันอย่างมิตร อย่างผู้ที่ปรารถนาดีต่อกัน เกื้อกูลกัน ช่วยเหลือกัน ร่วมกันสร้างสรรสิ่งที่ดี เออ รัก กันอย่างนี้ รักไปซิ ไม่เป็นภัย มีแต่สร้างสรรก็เอา เพราะฉะนั้น คนจะเข้าใจคุณภาพของคน คุณลักษณะเอกๆ ที่เลิศๆ ยอดๆดีๆอย่างนี้ของคนกัน เข้าไปหา สาระ อย่างนี้ เราก็มาปรับปรุง เป็นคน ที่มีคุณภาพ มีคุณลักษณะ อย่างนี้ ก็จะกลาย เป็นคนที่มีคุณภาพ

ดังที่อาตมากล่าวแล้ว ว่า เราทั้งรู้ อาตมาพูดไปนี่ คุณรู้นำ แล้วคุณก็เอาไปทำให้ได้ เมื่อรู้นำ แล้วไปทำให้ได้ จนกระทั่ง คุณกลายไปเป็นผู้รู้ได้ถ้วน ทำได้ที่ แหม คม คมเสียด้วย ผู้รู้ได้ถ้วน ทำได้ที่ ชื่อว่าผู้สำเร็จ ผู้บรรลุ นี่แหละ เป็นคุณภาพยอด เพราะฉะนั้น คุณภาพในอีกสามขั้น รองลงมา ว่าเป็นผู้เป็น หรือผู้ทำได้ แต่แม้จะรู้ไม่มาก บรรยายเขาได้ไม่ค่อยมาก แต่ทำดีได้ ก็ยังดี ดีกว่าผู้ที่ทำได้ยาก รู้มากง่าย จะไปให้ทำนี่ โอย ยาก จะไปให้ทำนี่ ทำได้ยาก แต่รู้ไหม รู้ โอ้ย ง่ายมาก รู้นี่ รู้ง่าย รู้มากง่าย ง่ายให้รู้ละ เอาแต่รู้ รับรอง ฝอยรับรองลิงตกต้นไม้เลย ฝอยได้ แต่ให้ทำเล่า ทำได้ยาก แล้วรู้เล่า ง่าย รู้ได้มากๆด้วย รู้ มากง่าย ทีนี้ก็ได้แต่ลักษณะคนผู้รู้ ประโยชน์น้อยกว่าน่ะ มันไม่จริง มันไม่เป็นจริงเป็นจัง ส่วนเอาละ ผู้มีป้าย ป้ายปริญญา ประกาศนียบัตร ก็เอา ผู้มีป้าย รับรอง

นี่คุณภาพระดับ สี่ขั้น ที่อาตมาสาธยายมานี้นี่ ทุกวันนี้นี่ความจริง เรากำลังโง่ลง สังคมเรา กำลังโง่ลง เพราะไปหลงป้ายกันมาก อาตมาพูดอย่างนี้นี่ นะ เขาก็ว่าอาตมา มันเป็นหมา เห็นองุ่นเปรี้ยว เพราะมันไม่มีปริญญา โพธิรักษ์นี่ มันไม่ได้ปริญญาซักใบ ชาตินี้ มันก็ไปว่าเขา อยู่นั่นแหละ แล้วไม่หยุดหย่อนเลยนี่ เห็นไหม เอาเลิศกว่าเขา เอาอะไรไปอย่างนั้นน่ะ มันหมา เห็นองุ่นเปรี้ยว มันไม่ได้กินองุ่น มันไม่ได้ป้ายปริญญากับเขา มันก็มาว่าคนเขาได้ เอ้า ก็จริง ของเขา เหมือนกัน อาตมาก็ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็ไม่ได้ด้อย ไม่ได้น้อยน้ำใจอะไรหรอก ก็จริง อันนั้นก็แง่หนึ่ง

แต่ทีนี้ ป้ายปริญญาอย่างที่ว่านั่นน่ะ ป้ายปริญญาทุกวันนี้ อาตมาอธิบายไปแล้ว ผู้รับรองป้าย ปริญญากันส่วนมาก เป็นผู้รู้เท่านั้นมาก นี่เป็นค่าของสังคมจริงไหม ผู้รู้เท่านั้นน่ะ แล้วตีราคาผู้รู้ ให้กันและกัน โอ้ ผู้รู้นี่นะนี่ ยกย่องกันไปเลยนี่ ขั้นนั้นขั้นนี้ อย่างโน้นอย่างนี้ นี่เป็นศาสตราจารย์ เป็นมหาศาสตราจารย์ เป็นอภิศาสตราจารย์อะไร ก็ตั้งกันเข้าไปเถอะ มากมาย เดี๋ยวนี้ ผู้รู้ๆๆ แต่ทำได้ยากนะ แล้วก็รับรอง มีป้ายปริญญาประกาศนียบัตร รับรองกันทั้งนั้น แล้ววิเคราะห์วิจัย นักคิด อีกด้วยนะ นอกจากรู้แล้ว คิดใหม่ คิดแปลก คิดอะไร แต่ไม่ได้ทำหรอก ไม่ได้ทำหรอก ทำได้ ไม่ได้ไม่รู้หรอก วิทยานิพนธ์นี่คิดเถิด เชิงนั้นแง่นี้อะไรต่ออะไรไป ในระดับ ยิ่งด็อกเตอร์ ยิ่งต้องคิดนะ เป็นงานของส่วนตัวด้วยนะ ไปลอกๆมา ปริญญาโทนี่ เรียกว่ารู้มาก ปริญญาเอก ต้องมีของตัวเองนะ ใช่ไหม อาตมาไม่เคยไปเรียน ปริญญาเอกหรอกว่า เขาบอกว่า จะต้องเป็นเจ้าของความรู้ เจ้าของ ลักษณะ อะไรอันหนึ่ง เจ้าของผลงานอะไรอันหนึ่ง ของตัวเองน่ะ อย่าไปเอาของใครมา ต้องมีเจ้าของ ผลงาน ชิ้นนั้นๆ จะวิจัยก็ตามใจ หรือจะคิดอะไรได้ ก็ตามใจ จะมีทฤษฎีหลัก อะไรก็ตามใจ พิสูจน์ได้ชัดเจน ของตนเองให้ได้ออกมา ปริญญาเอกนี่ ต้องให้ได้ออกมา แล้วไอ้สิ่ง เหล่านั้น จริง ไม่จริง แค่ไหนก็ไม่รู้ รู้เอาเอง ไม่ได้พิสูจน์หรอก คิดได้ก่อน เป็นด็อกเตอร์ เป็นอะไร ต่ออะไรไป ตั้งเยอะตั้งแยะ เสร็จแล้ว ทำไม่ได้ก็เยอะ

อาตมาถึงบอกว่า วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกก็ดี เอ้า ยิ่งปริญญาโท ไปเอาเรียบเรียง มาต่อกันให้เนื่อง ให้ปนกันไปมากๆ เถอะเท่านั้นเอง ปริญญาเอก คิดได้ก็ตาม มีอยู่เยอะเลย ที่ไม่เกิดผลอะไร แต่ราคาปริญญาเอก ได้หรือยัง ได้ แล้ว แต่งานที่คิดออกมาเป็นวิทยานิพนธ์นั้นน่ะ ไม่ได้เอาไปทำ อะไร โลกเขายินดี ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข คุณก็มาลดโลกียสุข แล้วก็ไม่ต้องไปหลงใหล ได้ปลื้มเป็นสุข เพราะได้ลาภ เพราะได้ยศ เพราะได้สรรเสริญ แม้แต่นินทา คุณก็มี ปัญญามั่นใจว่า เขานินทา เขาติเตียนสิ่งที่เราทำ ทำสิ่งที่เราเป็น คุณก็พยายาม ตรวจสอบ ไม่ประมาท ถ้ามันจริง ของเขา แก้ไข ถ้ามันไม่จริง คุณยืนหยัด อย่างที่ อาตมาเป็นอยู่ และพาพวกเราทำ ยืนหยัดๆ แล้วก็ไม่ไป ทะเลาะกับเขา แต่สร้างสรรอยู่ ไม่หยุด ๆ ยืนหยัดแล้วไม่หยุด สร้างสรรอยู่เรื่อยไป และ ที่ได้สร้างสรรอยู่นี่แหละ ไม่หยุดนี่แหละ จะเป็นตัวที่ยิ่งเกิด ยิ่งเห็นชัด ยิ่งเกิด ยิ่งยืนหยัด มันจะประกาศ ความจริงออกมา มันจะเป็น ประกาศความจริง เช่น คุณยิ่งสร้างสรร เสียสละ ก็ยิ่งอุดมสมบูรณ์ขึ้นมา ยิ่งเกื้อกูลกัน ยิ่งประสานกัน ไม่เอามาเป็นของตัวของตน มันก็ยิ่งจะมี กองกลางที่โต แล้วคุณก็ยิ่งสูงขึ้น ลด มักน้อย สันโดษ ไม่เปลือง ไม่ผลาญ ไม่สุรุ่ยสุร่าย มีความสุขุม ประณีตขึ้น เรื่อยๆ ตัวเองก็แข็งแรง สมบูรณ์อยู่เย็น เป็นสุขขึ้นเรื่อยๆ แล้วเราก็ ยิ่งได้สร้างสรร ขึ้นเรื่อย คุณก็ประเสริฐขึ้นเรื่อยๆ ส่วนรวมก็ยิ่งประสานทั้งมนุษย์ และ สิ่งสร้าง ประสาน ทั้งมนุษย์ด้วยกัน แล้วก็เจริญ ทั้งสิ่งสร้างขึ้น

คุณพอแลเห็นบ้างไหมว่า ชาวอโศกมีลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้น เห็นไหม ใครยังไม่เห็นยกมือขึ้นซิ มีสักกี่คน ที่อาตมาพูดมานี่แหละ เข้าใจที่เข้าใจนี่แหละ ใครยังไม่เห็น ไม่มีใครยกมือเลยเหรอ เห็นหมดเหรอ เอ๊ อาตมาไม่อยากเชื่อ เห็นจริงๆน่ะเหรอ มาใหม่มีไหม คนใหม่เอี่ยม แล้วเข้าใจเหรอ เข้าใจไหม ที่อาตมาพูด เข้าใจไหม เข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ จะเห็นได้อย่างไรล่ะ ทำไมไม่ยกมือเล่า ที่อาตมาถามเมื่อกี้ ใครไม่เห็นไอ้ที่พูดเมื่อกี้นี้ว่า นี่ มีคนมารวมกันนี่ มาเสียสละสร้างสรร แล้วก็มี สิ่งที่ รวมกันได้ สิ่งที่อุดมสมบูรณ์รวมกัน แล้วเราก็มักน้อย สันโดษลง จริงๆๆๆๆๆๆๆ นี่คนที่ ตกในนี้นี่ ไม่ได้ประพฤติปฏิบัติอยู่รวมกัน ทำอะไรรวมกันมานานแล้วนี่ พวกเรานี่เห็น สร้างก่ออะไร ต่ออะไรขึ้นมา ทำขึ้นมานี่เห็น เพราะฉะนั้น คนใหม่นี่ อาจยังไม่เข้าใจ ในสิ่งที่อาตมาพูดนี่ แล้วก็เมื่อ ไม่เข้าใจดี แล้วยิ่งพึ่งมาใหม่ แล้วจะเห็นได้อย่างไงล่ะ มากกว่ามาก ใส่เข่งถมทะเล จนทะเลตื้นเลย อาตมาว่า มันอย่างนั้นน่ะ เสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้ผลอะไรตอบแทน แต่ราคาขึ้นแล้ว คนก็นิยมน่ะซี ขอให้คิดอะไรมาเถอะ คนคิดไม่ทัน ฉันมีเหตุมีผลอะไรออกมา ก็แล้วกัน ทฤษฎีเสร็จแล้ว ได้ปริญญา รับรอง ราคาขึ้นแล้ว เอาไปหากิน แล้วไปพูดอย่างไรก็ได้ ไปอะไรๆ ก็ได้ บางทีไม่ได้สอนหรอก ทฤษฏีที่ตัวเองคิดนี่ จบด๊อกเตอร์ด้วย เรื่องนี้ แต่ไปบรรยาย เรื่องอะไร ก็ไม่รู้ สอนเรื่องอะไรก็ไม่รู้ เยอะแยะไป เป็นนักรู้รอบโลก ไอ้จิตวิทยานิพนธ์ของตัวเอง อุตส่าห์เป็นเจ้าของ ทฤษฏีอะไรออกมา ไม่ค่อยได้ทำล่ะ ที่ทำจริงๆ มีไม่เท่าไหร่

อาตมาก็ทำวิทยานิพนธ์ด๊อกเตอร์ เหมือนกันน่ะ ตอนนี้อาตมา ทำเรื่องอะไรรู้ไหม ขออภัย ที่จริง เป็นของพระพุทธเจ้า แต่ของพระพุทธเจ้าก็เลิกพูดกัน เขาเข้าใจของพระพุทธเจ้า อีกอย่างหนึ่ง เสียด้วยซ้ำ ใช่ไหม อาตมาว่า อาตมาเข้าใจว่าอย่างนี้ เพราะฉะนั้น ทฤษฎีที่อาตมานำมาเสนอ อยู่ทุกวันนี้นี่ อาตมาว่า อาตมาเอามาทำนะ ไม่ใช่เอาแต่บรรยายเฉยๆ แล้วพยายามที่จะให้ พวกคุณพิสูจน์ เพื่อจะให้ยืนยันความจริง ทฤษฎีบุญนิยม แม้แต่หลักเกณฑ์ของทฤษฎีบุญนิยม นี่มีข้อย่อย ลงว่า ทฤษฏีกำไรขาดทุน ของอริยะ ก็ทวนกระแส แล้วมาให้คนพิสูจน์เลยว่า แล้วคุณ จะเจริญในชีวิต โดยทฤษฎีบุญนิยมนี้ ได้ไหม

อาตมาว่า อาตมาประสบผลบุญนิยม โดยอาตมาเอง อาตมาไม่ต้องมีทุนมาก ไม่ต้องเป็นเจ้าของทุน ไม่ต้องเป็นนายทุน ไม่ต้องได้เงินมาก แล้วได้ทำงานมาก ได้สร้างสรรมาก ได้มีองค์ประกอบของการ สร้างสรรนี่ มีเครื่องไม้เครื่องมือ มีบ้างก็มี มีเทคโนโลยี่อันสมควร อันพอเหมาะพอสม แล้วก็สร้างสรร ด้วยกัน แล้วก็มีแรงงาน มีคนมาช่วยกัน คนมาแรงงานก็มา ในทิศทางเดียวกันนี่ ลดราคาค่าตัว ลงมา เรื่อยๆๆๆๆๆๆ อาตมาว่า อาตมาได้ พาพิสูจน์ทฤษฎีบุญนิยมนี้อยู่ ไม่ใช่เป็นทฤษฎีลอยลม แล้วไม่เอามาพูด ไม่เอามาพิสูจน์ กำลังพิสูจน์ทฤษฎีนี้อยู่ มีคนมาทำไปด้วย ทำไป ทำมา ขึ้นมาๆ เรื่อยๆ ทวนกระแสขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างนี้ เป็นต้น แล้วทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ลึกซึ้งด้วย จิตวิทยาอย่างนี้ ก็ เป็นจิตวิทยา ที่คุณจะเกิดทิฐิ หรือความเห็นกลับกัน กับที่โลกเขา

คนที่มาใหม่ ก็อาจยังไม่เห็น เพราะฉะนั้น อาตมาถาม เมื่อกี้นี้ เอ๊ ทำไม ไม่ยกมือ มันน่าจะมีคนใหม่ มีคนใหม่จริงๆ หลายคน คงจะไม่ยก ก็มีน่ะนะ เพราะฉะนั้น คนที่อยู่เก่านี่ส่วนมาก จะเห็น จะรู้ อาตมาว่า มันไม่โง่ถึงขนาด ถ้าไม่อีเดียด มันต้องรู้น่ะ ถ้าคนอีเดียด ก็แล้วไป อย่างพวกเรา มีคนอีเดียด เหมือนกัน อยู่ในพวกเรานี่มีจริงๆ แต่ไม่ใช่ไปว่าคุณน่ะ เป็นคน อีเดียดจริงๆเลย ทดสอบ ทางวิทยาศาสตร์ด้วยได้ว่า เป็นคนอีเดียดจริงๆ เป็นคนในระดับอย่างนั้น เขาเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ แล้วเขาก็ ไม่รู้เรื่องหรอก ก็เอาเถอะ ก็ปล่อยเขา แต่คนสามัญที่ไม่ถึงอีเดียด ที่ไม่อยู่ใน เขตอีเดียด นี่นะ อาตมาว่าฟังรู้เรื่อง แล้วก็พอมองออก อ่านออก ยิ่งอยู่นานปี นานวันขึ้นมาๆ มันก็ยิ่งจะเห็น ลักษณะจริง พวกนี้ขึ้นได้

ถ้าเผื่อคุณเข้าใจแล้วว่า พระพุทธเจ้าหมายอะไร อาตมาแน่ใจว่า อาตมาเป็นลูกพระพุทธเจ้า แล้วก็เอา ทฤษฏี เอาความเป็นจริงอันนี้มาเผยแพร่ มาประกาศให้มนุษย์เป็นอย่างนี้ มีคุณภาพ อย่างนี้ อาตมาก็จะขอทำไปอีก อย่าว่าแต่ชาตินี้ชาติเดียวเลย อีกชาติหน้า ชาติหน้า ทำแน่ อาตมาทำไป ต่อไป แน่ๆๆๆๆ แม้ชาตินี้ อาตมาจะถูกจับเข้าคุก ออกจากคุกมา ก็มาทำอย่างนี้อีก เอวัง

สาธุ


ถอดโดย ดงเย็น จันทร์อินทร์ ๒ สิงหาคม ๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒ โดย ป.ป ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔

คุณภาพคน 4 ขั้น / FILE:1712.TAP

หมายเหตุ ...ได้ตัดข้อความ บางส่วนออ