ตอบปัญหาส่วนตัว
โดย พ่อท่าน โพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๓๔
เนื่องในงานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๑๕
ณ พุทธสถาน ศาลีอโศก อำเภอไพศาลี จังหวัดนครสวรรค์


เอาละ วันนี้ก็ตอบปัญหาส่วนตัว เลยนะ

พ่อท่านค่ะ มิทราบว่า พ่อท่านคิดอย่างไร ถึงอยากจะออกมาบวชคะ

เขียนมาด้วยนะ กศน.ปฐมอโศก คิดอย่างไร ถึงอยากจะออกบวช

อาตมาก็ตอบให้ตรงประเด็น ประเด็นถามว่า อาตมาคิดอย่างไร ถึงอยากจะออกบวช ที่อาตมา อยากจะออกบวช นี่ ก็คงไม่ใช่ความหมายลึกอะไรนักหนา เป็นความหมายธรรมดาน่ะ ว่าบวชก็คือ มาทำพิธี แล้วก็เข้าพิธีมาเป็นพระ อย่างนี้ล่ะนะ อาตมาคิดอยากบวชตอนนั้น ก็เพราะว่า ได้ไป แสดงธรรมแล้วในชุดที่ เขาหาว่าอาตมาบ้า ตอนนั้น อาตมา...โกนหัวแล้ว เสื้อก็ใส่ เสื้อคอกลม ธรรมดา นุ่งขาสั้น รองเท้าก็ไม่ใส่ เดินแบฟูต ทั้งๆที่อาตมานี่ เด็กๆนี่ไม่รู้หรอก แต่ก่อนนี้ อาตมาก็เป็น ดารานะ แต่ก็ไม่ดังเท่าเบิร์ดหรอก เป็นดารานี่ คนรู้จักดี แต่ก่อนนี่โทรทัศน์มันมีอยู่ ๒ ช่อง แล้วโทรทัศน์ ช่องที่ อาตมาทำงาน ก่อนนี้เป็นดาราโทรทัศน์ ก็เหมือนดาราโทรทัศน์เดี๋ยวนี้ หลายๆ คนน่ะ อาตมาก็มีชื่อพอสมควร เพราะว่าออกโทรทัศน์มาก โดยเฉพาะ เด็กๆนี่รู้จัก อาตมาเยอะ เพราะอาตมาออก จน คือว่าไม่ต้องดูโทรทัศน์หรอก หลับตาก็ยังได้ยินเสียง เพราะว่า ออกทั้งเสียง ทั้งภาพใช่ไหม ถ้าเปิดโทรทัศน์แล้ว แต่ก่อนเขาต้องเปิดด้วย เพราะว่าโทรทัศน์ มันมีอยู่ แค่นั้น มันไม่มีช่องอื่นหรอก แล้วรายการที่อาตมาจัดนี่ รายการของช่อง ๗ ก็ไม่มีรายการเด็ก รายการอะไร ช่อง ๗ ก็ไม่มี สู้ช่อง ๔ ก็ไม่ได้ อาตมาอยู่ช่อง ๔ อาตมาจัดรายการเด็กอยู่ เรียกว่า คนเดียวเลย ตอนนั้น ไม่มีใครเขากล้าจัด อาตมาต้องจัดรายการเด็ก แล้วอาตมาจัดรายการ ผู้ใหญ่ด้วย รายการ สาระ ต่างๆนานา สารคดีเรื่องโน่นเรื่องนี่อะไร เรื่องพวกนี้ อาตมาจัดการหมดแหละ ไอ้เรื่อง ธรรมชาตินี่ สิงสาราสัตว์ ต้นหมากรากไม้ อาจารย์ระพี สาคริก นี่ เชิญมาประจำเลย ใครต่อใคร อีกเยอะแยะ คนที่มีความรู้ในด้านเหล่านั้น หรือ แม้แต่วิทยาศาสตร์ แม้แต่พุทธศาสตร์ แม้แต่เรื่อง ภาษา อย่างกับคนเก่งภาษาอังกฤษเลยนะ อาตมานี่ทำรายการ สอนภาษาอังกฤษ ทางโทรทัศน์ เลยนะ ทำตำรา แจก โอ้โฮ แหม ใหญ่ นะ รัก รักพงษ์ นี่ ที่แท้พูดภาษาอังกฤษไม่เป็น แต่สอนวิชา ภาษาอังกฤษทางโทรทัศน์ ทำมาเยอะแยะ จนคนเขาเข้าใจว่า อาตมา คงจบปริญญา มาไม่น้อยใบ นะ ทำรายการสาระเยอะ มันทำมาก มันดังเพราะมันทำมาก สรุปแล้ว ดังก็แล้วกันน่ะ

แต่พอมาปฏิบัติธรรมแล้ว อาตมาก็กลายมาเป็นเหมือนคนบ้า เดินอยู่ เขาก็รู้นะนี่ รัก รักพงษ์ เอ้า โกนหัวแล้ว ใส่เสื้อแขนสั้นตัวหนึ่ง คอกลม นุ่งกางเกงขาสั้นด้วย รองเท้าก็ไม่ใส่ แล้วก็เดิน แหม (นักเรียนหัวเราะ) แต่ก่อนนี้ เดินสงบ สำรวมมากนะ เดินสุขุม เขาบอกไปแล้วนี่ บ้า น่ะ คนเขา ไม่ศรัทธา เลื่อมใส เราจะพูดสัจจะยังไง เทศน์ยังไง บรรยาย มีคนเข้าใจ เขาก็ดึงตัวมา บรรยาย ธรรมะ เสร็จแล้ว อาตมาก็เห็นว่ามันไม่ได้ผล คนยังติดในรูปสมมุติ ตอนนั้น อาตมา ทิ้งสมมุติ มากไป ก็เข้าใจในเรื่องสมมุติมากขึ้นว่า อ้อ สมมุติต้อง เพราะฉะนั้น พิธีบวชนี่ ก็คือ เอาสมมุติ โดยใจจริงแล้วนี่ ไม่อยากจะไปคลุกคลีเกี่ยวข้องกับการบวชเลย อาตมาจะหาที่อยู่ ถึงไม่อยาก จะมาบวช แล้วไม่ต้องมาบวชง่ายๆ อาตมาไม่ยอมไปบวชด้วย เพราะว่า บวชแล้ว ไม่เอาจริง อาตมาเห็นว่า พระเยอะแยะมากมาย ไม่เอาจริง บวชแล้วไม่เอาจริง คือไม่เอาจริง ก็นอกทาง อาตมา ก็ไปช่วยเขาไม่ได้

เราก็จะอยู่สงบของเรา ตอนนั้น มันก็เหมือนกับ เคยเล่าแล้วว่า พระพรหมยังไม่ได้อาราธนา มันอยาก จะเอาส่วนตัวไปเลย เราสงบแล้ว เราได้ผลแล้ว เราเลิก ไม่ต้องยุ่งเกี่ยว พวกนี้นี่ สอน มันจะไป รู้เรื่องหรือ ทำดัดจริต พูดเหมือนพระพุทธเจ้าเสียด้วยนะ พระพุทธเจ้าท่านก็เหมือนกัน ตอนนั้น ท่านก็บอกว่า แหม มันจะเสียเวลาเปล่ามั้งนี่ คนหมกมุ่นไปด้วยกาม หมกมุ่นไปด้วยมานะมาก อย่างนี้ มันจะไปสอนเขาได้หรือ ตอนนั้น เราก็ไม่อยากจะสอนอะไรมากมายน่ะ แต่เสร็จแล้ว มันก็ไม่ได้น่ะ โดยจิตของเรานี่ ตั้งจิตมาอย่างนี้ก็เลย พอมาบรรยาย มาอะไรแล้ว เขาก็ไม่รับ เพราะว่า มันเป็นคนละสมมุติ ก็เลยคิดว่า เอ๊ ก็แค่เรายอมรับสมมุตินี้ มาทำพิธีบวชเสีย ให้เขาได้ ให้เครื่องแบบมา

นี่ ทางด้านโน้น เขายังเอาไปเล่นแง่อาตมานะ หาว่า อาตมาไม่ได้อยากบวช นี่เข้ามาบวช มามีเล่ห์ เหลี่ยม จะมาทำลายศาสนา นี่ ไปเล่นแง่โน้นอีกนะ โอ้โฮ ยอดเยี่ยมเลย แหม มองไป ในแง่ร้าย ได้เสมอ

อาตมา เลยบวชเถอะ เขาจะได้ไม่ติดสมมุติ แล้วเขาก็จะได้เชื่อถือ พออาตมาบวชปัง ก็คิดอย่างนี้ ที่ถามว่า คิดยังไง ก็คิดอย่างนี้ ถึงบวช พอบวชปังเท่านั้นแหละ อื้อหือ ทีนี้ผิดกันคนละคนน่ะ ญาติโยม ก็ยอมรับต่างกันเลย ยิ่งเป็นพระที่โกนหัวเข้า ดี ไม่ใส่รองเท้า แต่นุ่งห่มจีวร โอ้โห ทีนี้ เป็นพระขลังเลย เดินสงบยิ่งเจ๋งเลย โอ้โห เห็นเดินเท่านั้น ต้องเหลียวหลังแล้ว อื้อหือ อย่างนี้สิพระ เดี๋ยวนี้ พวกเรานี่ โอ้โห แม้แต่อาตมาเอง ก็ไม่ไหว ก็แก้ตัวอยู่ อย่างนั้นล่ะ ไม่ค่อยดีนักน่ะ สำรวม สังวร ระวังนี่ มันก็เป็นประโยชน์เราจริงๆน่ะ เรียบร้อย สุขุม ประณีตนี่ดีน่ะ เอ้า นี่อธิบาย ยาวหน่อยแล้ว

โอ้โฮ จับใบขึ้นมานี่ ตัวหนังสือเล็กนิดเดียว ยาวเยื้อยเลย ๓ ข้อ ๔ ข้อนี่ เอา อาตมาตัดทิ้งไปข้อหนึ่ง เพราะว่า มันไปซ้ำกับของคนอื่นเขา อาตมาอ่านตรวจ มาก่อนน่ะ

อยากทราบว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน หลังจากทานเนื้อสุกรอ่อน ตามตำราในพระไตรปิฎก ของไทย หรือจากเห็ดชนิดหนึ่ง ที่หมูชอบกิน บางตำราโดยเฉพาะของฝรั่ง ก็บอกว่า หลังจาก รับประทานเนื้อหมูเน่า ที่ช่างตีเหล็กผู้หนึ่งนำมาถวาย จึงอยากทราบว่า ตำราเล่มไหน ถูกมากกว่า

ตำราเล่มไหน เขาก็ว่าของเขาถูกมากว่าทุกเล่มไป คุณถามตำรา อาตมาก็ต้องตอบตำรา แต่ถ้าถาม ใจอาตมา นี่ คุณไม่ได้ถามใจอาตมาเลยนะ จะตอบดีหรือไม่ดีนี่ นี่ถามตำรา ถาม ตำราเล่มไหน ถูกกว่า อาตมาจะไปตอบแทนตำราได้ยังไง ก็คนเขียนตำราไม่ใช่อาตมา ก็ต้องไปถาม คนเขียนตำรา เขาก็แน่ใจว่า ของเขาถูก เจ้าที่เห็นว่าเห็ดถูก เจ้าที่เห็นว่า เนื้อหมูเน่าถูก เจ้าที่เห็นว่า เนื้อหมูอ่อนถูก เขาก็ว่าของเขา ถูกน่ะ ฟังอาตมาแล้ว อาตมาก็ขอยืนยันว่า มันเป็นเห็ดชนิดหนึ่งน่ะ ไม่ใช่เนื้อหมู เนื้ออะไรหรอก สุกรมัทธวะ ไม่ใช่หมู ไม่ใช่เนื้อหมูอ่อน ไม่ใช่ ภาษาบอกว่าเนื้อหมูอ่อน แต่เป็นชื่อ ของเห็ดชนิดหนึ่ง ชื่อ สุกรมัทธวะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีเห็ดชนิดนี้ อยู่ในอินเดียก็มี เขาทำ อัดกระป๋อง ขายด้วยนะ เขาว่าเนื้อดี กินดีเหมือนกัน เนื้อชนิดนี้ ถามนายห้างเกร์ดู นายห้างเกร์ ยังเคยพูดถึงน่ะ เดี๋ยวนี้ก็ยังมี แต่หายากขึ้นแล้ว หาไม่ได้ง่ายๆเหมือนเก่า ไอ้เห็ดสุกรมัทธวะนี่ เหมือนกับเราเรียก เห็ดหูหนู อย่างนี้ ไม่ใช่หูหนูนะ เห็ดนะ จะไปเรียกว่า เออ มีชื่อหนู หนูด้วยนะ แล้ว ก็เลยบอกว่า อ๋อ ไอ้นี่หูหนู เห็ดไม่ใช่ มันพืชไม่ใช่หูหนู ไม่ใช่ไปเอาตัดมาจากหนู ส่วนหนึ่ง อวัยวะของหนู ไม่ใช่ ขนมไข่เหี้ย ไม่ใช่ไข่ของเหี้ย นั่นล่ะ เหมือนกัน สุกรมัทธวะ คือ ชื่อของเห็ด ชนิดหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วพอดี มันมีพิษ เห็ด สุกรมัทธวะกินได้ แต่ว่ามันมีพิษ เข้าไปตอนนั้น มันก็เลยไม่ดี


 

ขณะที่พระพุทธเจ้าเสด็จออกบำเพ็ญทุกข์กิริยา โดยการอดอาหาร ตำราพระไตรปิฎก ฉบับภาษา อังกฤษ ซึ่งแปลจากพระไตรปิฎกของมหายาน ในประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า พระพุทธเจ้า อดอาหาร ทุกชนิด โดยทานอาหารแต่เพียงถั่ว วันละหนึ่งเม็ด จนพระวรกายซูบผอม เห็นแต่ซี่โครง เอามือกด หน้าท้อง ก็สามารถ คลำถึงกระดูกสันหลังที่อยู่ด้านหลังได้ ตราบจนพระองค์ ก็ทนไม่ไหว เนื่องจาก ขาดอาหารอย่างมาก จนสลบไป มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ผ่านมาพบเข้า ก็สงสารมาก จึงได้เอาน้ำ ข้าวต้ม หรือแป้งเปียกผสมนม จึงทำให้พระองค์ฟื้นขึ้นมา ระลึกขึ้นมาได้ว่า ควรรับประทานอาหาร ดีกว่า จึงจะมีชีวิต เพื่อให้สมองดี แจ่มใส จึงมีทางตรัสรู้ได้ พระองค์จึงดำเนิน สายกลาง คือ มัชฌิมาปฏิปทา แล้วตรัสว่า ตรัสรู้ในเวลาต่อมา อยากทราบว่า เป็นไปได้อย่างไร ที่มนุษย์ธรรมดา ทานถั่ววันละหนึ่งเม็ด เป็นเวลาหลายปี จึงยังมีพระชนม์ชีพอยู่ พ่อท่านมีความเห็นอย่างไร

เรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เกินเชื่อนะ ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ปัจจุบันนี้ก็ได้ ให้พวกเรานี่ ไปอดข้าวแข่งกันน่ะ เชื่อไหมว่า บางคนอดข้าว ๓ วัน ๕ วันตาย บางคนก็เดือนหนึ่งตาย บางคน ๒ เดือนตาย บางคน นานเลย หลายเดือนตาย หลายเดือนถึงจะตาย ขนาดที่อะไรล่ะ ที่อังกฤษน่ะ ที่ถูกขังคุก แล้วเขา ก็อดข้าว ประท้วงในคุกน่ะ พวก Ireland น่ะ พวกนั้นน่ะ บ้อบบี้ แหม จำได้แม่น บ้อบบี้ นั่นน่ะ อดข้าว กว่าจะตายเท่าไหร่ ๕๐ หรือ ๖๐ กว่าวัน หือ คนแรก ลูกน้องเขา อีก ๕๐ กว่าวัน คนที่เป็นตัว หัวเรือ ตัวหัวเรือใหญ่นี่ ดูเหมือนจะ ๖๐ กว่าวัน ตายนะ พวกคุณนี่จะอดถึง ๖๐ กว่าวันหรือ ไม่กินข้าวนี่ สงสัย เสร็จ ก่อนเขา แต่ผู้มีอินทรีย์พละ ยาวนานนี่ อดได้น่ะ เกินกว่านั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่ พระพุทธเจ้าท่านอดข้าว แล้วกินแต่ถั่วเม็ดเดียว วันละเม็ดๆ นี่ก็ตาม นี่นะ อยู่ได้ เป็นปี อะไรอย่างนี้ เป็นเรื่องที่จะคำนึงคำนวณอินทรีย์พละ ของพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้านี่ มีอินทรีย์พละที่ได้สั่งสมแข็งแรง เกินกว่าที่จะคิดมากมาย มากมายเกินกว่าที่จะคิด อินทรีย์พละเหล่านี้ ซับซ้อนชั้นเชิงด้วยนะ จะไปดูถูกว่าคนนี้ อดข้าวได้น้อยวัน บารมีต่ำกว่า คนอดข้าว ได้หลายวันก็ไม่ใช่ ๆ จะไปเอามิติต้นๆ ตื้นๆ อย่างนี้ มาตีความตัดสินทีเดียว ก็ไม่ได้ ไม่ได้น่ะ อย่าพึ่งไปตีความอย่างนั้น มันมีความซับซ้อนอยู่หลายชั้น หลายอย่างน่ะ

สรุปคำตอบ ก็คือว่า ตามความเห็นของอาตมา หรือยังไม่เห็นธรรมดา อาตมามีอะไร ที่เห็น มากกว่านั้น ก็บอกให้ทราบได้ว่า เป็นไปได้ จริง เป็นไปได้ น่ะเป็นภาวะที่เกินที่เรา จะคาดคะเน เช่นเดียวกันกับในนี้ ถามมาเหมือนกัน แต่ไม่ได้อยู่ในหมวดนี้ ถามมาว่า เหาะได้จริงๆหรือ ล่ะคน เหาะได้จริงๆ แต่สมัยนี้ มันเหาะไม่ได้จริงๆ แต่สมัยโน้นน่ะเหาะได้ คนเหาะได้จริงๆ ไม่ใช่เรื่อง ประหลาด อย่างนี้ เป็นต้น คุณจะเชื่อได้ยังไง คนเหาะได้ ทำได้ยังไง น้ำหนักคนตั้งขนาดนี้ แล้วเหาะขึ้นไป อาตมาไม่รู้นะ ไม่เคยเห็นจริง มีแต่คนเขาพูด เขาบอกว่า พวกทำอะไร สมาธิอะไรนี่ มันก็ลอยตัวได้สูง อะไรนี่...ที.เอ็ม. (TM=Transcendental meditation) นี่ เขาทำสมาธิ แล้วเขาก็ลอย ขึ้นมาได้จริงๆ วัดได้เลย ถ่ายรูปมาดูกันด้วย ขึ้นมาได้ ก็น้ำหนักคนนี่แหละ ตั้ง ๕๐,๖๐ กิโล นี่แหละ ก็เหาะขึ้นมาได้ ลอยขึ้นมาได้ ด้วยพลังงานที่พิเศษ ที่เกิน ที่คุณจะคาดถึง อย่างนี้เป็นได้น่ะ เพราะฉะนั้น ในภาวะที่อดต่อภาวะอย่างนี้ เป็นได้เหมือนกันน่ะ


 

ก่อนที่พ่อท่านจะมาบวชเป็นสมณะ พ่อท่านได้แต่งเพลงมากี่ปีครับ

อาตมาแต่งเพลงมาตั้งแต่อายุ ๑๔ กี่ปีล่ะ เดี๋ยวนี้อายุ ๕๖ เพราะหยุด ไว้แค่นั้น หา แต่งมา ๔๒ ปีแล้ว นี่ถามแค่นี้ ก็ตอบแค่นี้จบ


 

ทำไมท่านจึงคิดอย่างมั่นใจว่า วิธีการของชาวอโศกนี่แหละที่จะช่วยมนุษย์โลกได้ เหมือนท่านเชื่อมั่น วิธีที่ท่านกำลังนำทำอยู่นี่ ดีที่สุดยอดที่สุด (โดยเฉพาะระบบบุญนิยม) นี่เป็นแค่ฝัน (เฟื่อง) หรือเปล่า

อันนี้นี่นะ เรากำลังสอนทรัพย์ของมนุษย์ ทรัพย์ของมนุษย์ข้อที่ ๑. ศรัทธา ศรัทธานี่เป็นนามธรรม เป็นจิตวิญญาณ มันจะเชื่อถือ หรือจะเชื่อฟัง หรือจะเชื่อมั่นนี่ มันเป็นธาตุจิตของมนุษย์ทุกคน มีมาก มีน้อยแล้วแต่ บางคนไม่ค่อยเชื่ออะไรนักหนาหรอก ร่องๆแร่งๆ คนพวกนี้น่ะเหลาะแหละ ทั้งนั้น ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร แล้วคนจะเชื่อมั่นด้วยญาณปัญญา ด้วยสัจธรรม คนเราเชื่อ ด้วยความเชื่อ ที่งมงาย ตัดสินก็มี นั่นเรียกว่า เขาไร้ปัญญา แล้วถูกครอบงำ เขาเชื่อง่าย ตัดสิน ไปตามนั้น ได้ มีเยอะ คนที่เชื่อด้วยปัญญาของตัวเองนี่ คนเราทุกคน อยากจะเชื่อ ด้วยปัญญา ของตัวเอง ใช่ไหม ไม่มีใครอยากจะเชื่อด้วยปัญญาของคนอื่นหรอก อยากจะเชื่อด้วยปัญญา ของตัวเอง นี่เป็นสัจธรรม เป็นเรื่องของสัญชาตญาณของสัตวโลก ที่ทุกคนจะต้องมี จะเรียกว่า กิเลสก็ได้ จะเรียกว่า สัจจะก็ได้ สัจจะมันจะเป็นอย่างนั้น แล้วในสาระในพระพุทธเจ้า ก็ให้สัจจะ อันนี้ ให้คุณเชื่อของคุณด้วยตนเอง เชื่อด้วยปัญญา เชื่อด้วยความรู้แจ้งเห็นจริง ของจริงสิ่งจริง ของตนเอง

อาตมามีทรัพย์อันนี้ มีศรัทธาอันนี้ มีศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละอันนี้ ว่าชาวโลกนี้ จะแก้ไขได้ ด้วยวิธีการ อันนี้คือ วิธีการที่อาตมาเชื่อมั่นว่า เป็นของพระพุทธเจ้าด้วย แล้วอาตมาได้เรียนมา เป็นลูกศิษย์ ที่ถ่ายทอดรับเอามาได้อย่าง อาตมาว่าได้มา ไม่ใช่น้อย มากล่ะ จึงเอาสิ่งนี้ มาท้าทาย ให้พิสูจน์ แล้วให้พวกเราทำตาม ก็ละลด โลภ โกรธ หลง จนกระทั่งได้พิสูจน์ กลุ่มหมู่มนุษย์ขึ้นมา แก้ปัญหาเศรษฐกิจ แก้ปัญหาความเดือดร้อนหลายๆอย่าง แก้ปัญหาจริงๆ ทุกข์น้อยลง สุขสบายขึ้น ยืนยันพิสูจน์รอบถ้วน ตีลังกาเลย แต่ก่อนคนเชื่อว่า มีเงินมากๆ จึงจะเป็นสุข มาทำให้พวกคุณเชื่อ เชื่อตาม เห็นจริง จนกระทั่ง กล้าทิ้งทรัพย์ศฤงคารลงมา น้อยลงๆๆ น้อยลง แล้วคุณก็เป็นสุข คุณก็อยู่ เบิกบานร่าเริงสบายใจขึ้น แล้วเห็นจริงขึ้น เกิดศรัทธา ศรัทธินทรีย์ ศรัทธาพละขึ้นมา ตามนี้ เรื่อยๆๆได้

อาตมาเชื่อ มาให้พวกเราพิสูจน์เชื่อตามขึ้นมาเรื่อยๆๆๆด้วย แล้วก็มีของจริงเกิดด้วย เป็นระบบ เป็นวัฒนธรรม เป็นจารีต เป็นประเพณี เป็นสิ่งที่มนุษย์ได้อาศัยรองรับ จะเรียกว่า ระบบบุญนิยม โดยชื่อ โดยภาษา ก็คืออย่างนี้ๆ แหละ แล้วยังมีลึกซึ้ง สูงส่งไปได้กว่านี้ ปฏิบัติหรือประพฤติ ไปได้ดีกว่านี้ เรากำลังจะพัฒนาระบบบุญนิยมด้วย การค้าก็บุญนิยม การเกษตรบุญนิยม การกระทำ กิจการอะไร ก็บุญนิยม โดยจิตเราจะเป็นผู้สร้างสรร เสียสละ เกื้อกูล ด้วยจิตบริสุทธิ์ ที่ไม่ต้องการ โลภ มาให้แก่ตัว ไม่มีของตัวของตน ไม่มีตัวตนไปถึงจุดปลายปานนี้แหละ

อาตมากล่าวมานี้ก็หลักการของพระพุทธเจ้า และสิ่งที่อาตมาได้พิสูจน์ ตามหลักการ มีของจริง ความจริง จึงเชื่ออย่างนี้ ไม่ใช่มาฝัน อาตมามีสติเต็มที่ไม่ฝัน มันอาจจะเฟื่องฟูขึ้นไปได้เรื่อยๆ อยู่จริง แต่ไม่ใช่ฝันเฟื่องๆ ซึ่งภาษาไทยก็คง จะรู้ว่าฝันเฟื่องมันคือฝันเพ้อเจ้อ แต่นี่ไม่ฝันเพ้อเจ้อ เพราะมีสิ่งจริงขึ้นมา เรื่อยๆๆๆๆๆ คนที่ยังไม่เชื่อนี้ โปรดตามไปดูน่ะ ตามไปดู หรือจะตามพิสูจน์ ตามไปด้วย ก็ยิ่งดี ตามไปดูเฉยๆ ก็ได้แต่ดูนะน่ะ


พ่อท่านบวชตอนอายุกี่ปี

อาตมาบวชตอนอายุ ๓๖ ปี

พ่อท่านบวชครั้งแรกที่ไหน จึงได้มีอโศกขึ้นมา

เอ้อ ช่างถามนะ อาตมาบวชที่วัดอโศการามน่ะสิ ครั้งแรก มันจึงเป็นเค้าเงื่อนอันหนึ่ง ที่เป็นชาวอโศก เออ ดีเหมือนกัน ถามอันนี้ขึ้นมา ถามเท่านี้ ตอบเท่านี้ คือมีถามเยอะ พวกนี้มาจาก กศน. เสียเยอะ คำถามเขา ฟังดูก็รู้ เขาถามง่ายๆ ถามไม่มีเชิงชั้นอะไรมาก เจ้าตัวนี้นี่

ก่อนพ่อท่านจะมาบวช พ่อท่านทำงานอะไรครับ

ก่อนที่อาตมาจะมาบวชนั้นน่ะ อาตมาทำงานหลัก ก็อยู่ที่โทรทัศน์ ช่อง ๔ นอกจากนั้น ก็ทำงานอะไร ต่ออะไรอีกหลายอย่าง นะทำงาน ไปในทางด้านธุรกิจบันเทิง เขียนหนังสือ แต่งเพลง สอนหนังสือ เป็นครูด้วยน่ะ เป็นครู ถึงแม้ว่า อาตมาก่อนจะมาบวช ก็ยังเป็นครูอยู่นะ สอนหนังสือด้วย

พ่อท่านบวชมาประมาณกี่ปีแล้วครับ

อาตมาบวชมา ๒๐ ปี กำลังย่างขึ้นปีที่ ๒๑

พ่อท่านเคยเขียนเรื่องสั้นอะไรบ้าง

โอ๊ย ! อาตมาจำไม่ไหว จำไม่ได้ เขียนทิ้งก็เยอะ เขียนแล้วก็ เดี๋ยวนี้ ก็ยังมีแฟ้มน่ะ มีแฟ้มเรื่องสั้น ที่อาตมาเป็นเรื่องสั้นๆๆๆ แล้วเอาไปออกวิทยุ ตอนนั้นออกวิทยุเป็นเรื่องสั้น โอ้โฮ คิดกันแทบเป็น แทบตาย เรื่องสั้นนี่ เขียนยาก เรื่องยาวนี่ บางทีไม่ต้อง plot ยากหรอก ตั้งตัวพระเอก Character ของ พระเอก นางเอก หรือว่าตัวสำคัญในเรื่องมา แล้วก็ไปเรื่อยๆ ประเดี๋ยวก็เก็บตัว ละครตามไปเรื่อยๆ เขียนไป เดี๋ยวก็ต้องเอ๊ ต้องมีตัวละครเข้ามาแถมแล้วไอ้เรื่องนี้ ตอนนี้ ไม่อย่างนั้น ประเดี๋ยวเรื่อง มันจะไม่คลี่คลาย ไม่ขยาย ไปได้เรื่อยๆ เขียนยาวนี่ plot ต่อไปเรื่อยๆก็ได้ เอาละ อาจจะมีเป้าหมาย ว่าจะจบอย่างไร หรือว่าสร้างเค้าแก่นของเรื่องว่า จะเจตนาสื่ออะไรเท่านั้นไว้ ก็พอแล้ว

แต่เรื่องสั้น นี่ โอ้โห จะสื่ออะไร จะต้องรัดกุม จะต้องขนาดนั้น ขนาดนี้ เยิ่นเย้อก็ไม่ได้ อะไรก็ไม่ดี ไม่เช่นนั้น มันก็เหมือนกับเขียนกลอน เขียนโคลง เขียนกวีนี่ เราจะต้องเยิ่นเย้อ ยุบยับก็ไม่ได้ หาคำหาความ หาลักษณะมา ให้สั้นๆ ให้พอสมควร เขียนเรื่องสั้น เขียนยากน่ะ

อาตมาเคยเขียนเรื่องสั้นเยอะน่ะ เป็นร้อยๆนะ แต่ว่าไม่เหลือ ทิ้งขว้างไปเสียเยอะ เหลือไม่กี่อัน สุดท้าย ทิ้งจริงๆ อาตมาเอาโยนทิ้งจริงๆ ไม่ได้เก็บได้งำ แต่ก่อนก็เก็บหมดนะ ลงหนังสือพิมพ์นั่นนี่ อะไรเอามาใส่ จนกระทั่งกรอบหมดเลยนะ ลงหนังสือพิมพ์เรื่องนั้นเรื่องนี้ เอามาสะสมไว้ เก็บ พอ ตอนหลังนี่ เอาเก็บไว้บนห้องสมุดนี่ อาตมามีชั้น มีตู้นะ เอาใส่ แล้วความร้อนของมัน ติดกับเพดาน ติดกับหลังคา ความร้อนก็อบ กรอบหมดเลย พวกหนังสือต่างๆ ที่เก็บไว้พวกนี้ กรอบ พอพลิกมาปั้บ หัก เปราะถึงขนาดนั้น แน่ะ เก็บไว้ หมดสูญหาย ไม่มีเหลืออะไร เค้าของหลักฐานพวกนี้ ไม่มี แล้วเราก็ ไม่คิดจะตามด้วย เหลือเก็บได้ ไอ้ที่มันใกล้ไม้ใกล้มือมา อาตมาเอามาลงในแสงสูญ ก็ไปตามดู เรื่องสั้นที่อาตมาลงในแสงสูญ ที่ใช้นามปากกาว่า โบราณนวทัศน์ กับโบราณใหม่เสมอ ให้มันย้อนแย้งกันซะ โบราณนวทัศน์ นั่นก็คือ พวกหัวใหม่ โบราณก็หัวเก่า ชื่อหัวเก่า นามสกุล หัวใหม่น่ะ ตอนนั้น อาตมาใช้นามปากกานี้ที่มา ใช้ แต่ที่จริงเมื่อก่อนนี้ ใช้นามปากกาเยอะ ในเรื่องแต่ละเรื่อง แม้แต่เรื่องสั้นก็ แยกแยะลักษณะอย่างนี้ ใช้นามปากกานี้ ลักษณะอย่างนี้ ใช้นามปากกานี้ ลักษณะอย่างนี้ ใช้นามปากกานี้ ใช้กันเปรอะไปหมด จนตัวเอง ก็ชักจะเมาๆ เหมือนกัน มันตอนนั้นน่ะ งานเขียนเยอะน่ะไป เหลือๆก็ไปอ่านดู

ในชีวิตที่เป็นพระนี่ มาบวชแล้วนี่ เขียนเรื่องสั้นอยู่ ๑ เรื่อง ลงในแสงสูญนั่นแหละ เรื่องแรก ในเล่มแรก เล่มที่ลงไม่ใช่เล่มแรก ยังไม่ลง เล่มไหนก็ยังไม่รู้ จำไม่ได้ ในแสงสูญเล่มไหนไม่รู้ เริ่มลงเรื่องสั้น เรื่องสั้น เรื่องนั้น เรื่องแรก ที่อาตมาเขียนในตอนเป็นพระนี่ แล้วก็ยังไม่ได้เขียนอีกเลย เขียนเรื่องนั้น เรื่องเดียว นอกนั้นเขียนตั้งแต่เป็นฆราวาสหมดเลย แล้วเอามาลงซ้ำเฉยๆ


จากพระไตรปิฎกกล่าวถึงพระพุทธเจ้าในชาติก่อน ตอนเป็น...สุเมธพราหมณ์ ได้ไปบวชเป็น สุเมธดาบส

ณ ชายป่าแห่งหนึ่ง ได้บำเพ็ญเพียรภาวนา จนสำเร็จได้บรรลุ และ ได้อภิญญา ต่อมา พระทีปังกร พุทธเจ้า ได้เสด็จมาถึง ชาวบ้านได้พากันถางป่า และ ถางหญ้า เพื่อเป็นทางเดิน มาจนถึง บรรณศาลา ของสุเมธดาบส ซึ่งดีใจมาก ทีปังกรพุทธเจ้า ได้เสด็จมาถึง จึงใช้ผ้าคากรอง และ ขนสัตว์ ปูลงไปในเปือกตม พร้อมทั้งสยายผม และทอดร่างลงในเปือกตมนั้น เพื่อให้พระทีปังกร พุทธเจ้า พร้อมทั้ง พระอรหันต์อีก ๔ แสนองค์ ที่ตามเสด็จ เหยียบร่าง ข้ามเปือกตมนั้น แล้วพระทีปังกรพุทธเจ้า ได้มีพุทธทำนายไว้ว่า สุเมธดาบสนี้ จะเป็นพระพุทธเจ้า ในภายภาคหน้า คือ ไปอีกประมาณ ๔ อสงไขยแสนกัป ซึ่งคิดเป็นจำนวนปี ปัจจุบันคงได้ ๔ คูณร้อยล้าน คูณแสน คูณร้อยปี หรือคิดเป็นตัวเลข ก็เท่ากับ ๔ คูณร้อยล้าน แล้วก็คูณแสน แล้วก็ คูณร้อย ได้จำนวน เท่ากับ ๔ พันล้านล้านน่ะ

จึงสงสัยว่า พระพุทธเจ้าชาติปางก่อน ไม่ได้อยู่ในโลกของเรานี้แน่นอน เพราะโลกเรานี้ เพิ่งมีอายุ โดยแยกจากดวงอาทิตย์ มาประมาณ ๔,๕๐๐ ล้านปี

โอ้โห ช่างคิด แหม ช่างคิดจังเลยหนอ นี่หนอ

และสิ่งมีชีวิตเริ่มเกิดขึ้นมาในโลก เมื่อ ๖ ร้อยล้านปี มนุษย์เพิ่งแยกสายพันธ์มาจากพวก เอฟ เมื่อประมาณ ๒ ล้านปี แต่มนุษย์นี้ เริ่มมีวัฒนธรรม หรือ ศาสนา คงจะเริ่มจากมนุษย์ที่เริ่ม เจริญแล้ว หรือยุคหิน คือมนุษย์

แหม นี่ชื่อกลุ่มมนุษย์ชุดนั้นอ่านอะไรล่ะ เนเดิลทอลล์ หรือ เนอัน นีเอลทอล เนอันเดอร์ทอลล์ และ มนุษย์โคมันยอง น่ะ ซึ่งมีอายุราว ๘ หมื่น ถึง ๓ หมื่น ๕ พันปี ก่อนยุคปัจจุบันนี้เท่านั้น ดังนั้น พระพุทธเจ้า ของเราในชาติก่อน คงจะเป็นมนุษย์ต่างดาวอย่างแน่นอน

แหม คิดไปไกลนะนี่ มันก็มีเหตุผลนะ

แต่สงสัยว่ามนุษย์ต่างดาว อย่างสุเมธพราหมณ์ ทำไมเหมือนกับมนุษย์โลกเราในปัจจุบัน หรือ ยุคพุทธกาล คือมี ๒ แขน ๒ ขา สยายผมได้ มีป่า มีหญ้า มีเปือกตม มีผ้าขนสัตว์ ตลอดจน มีพราหมณ์ และดาบส มีพระอรหันต์ แถมนับถือศาสนา มีการกลับชาติมาเกิด หลายๆชาติ เหมือนกับ โลกมนุษย์เราเปี๊ยบเลย แล้วยิ่งพ่อท่านเคยเทศน์ว่า เราเคยมีพระพุทธเจ้าในอดีต จำนวนมากมาย นับจำนวนเท่ากับ เมล็ดทรายในท้องมหาสมุทร ซึ่งแสดงว่า พระพุทธเจ้า ในดวงดาว ต่างๆ มีจำนวนนับไม่ถ้วน ในดวงดาวต่างๆในอดีต ในปัจจุบัน ควรมีเช่นกัน แต่ทำไม เราส่งยานอวกาศ ไปสำรวจดวงดาวต่างๆ ทำไม ไม่พบพระพุทธเจ้า หรือมนุษย์ต่างดาว ในอวกาศบ้างเลย ไม่พบป่าหญ้า หรือ โคลนตม แม้พราหมณ์ หรือมนุษย์ธรรมดา เราก็ยังไม่เคย พบเลย พ่อท่านกรุณา อธิบาย

ช่างคิดจัง ระวังหัวแตกเป็นเสี่ยงๆนะ แต่ก็ได้เหตุผลนะ คิดด้วยเหตุผล ก็เอาเหตุผลมาคิดไป มีส่วนถูกต้อง ทุกอย่างที่พูดมา ที่คิดมา วางเค้าโครงเรื่องอะไรมานี่ ถูกนะจริงๆ อาตมาเคยบอก นะว่า เอาละ พวกนี้ พวกออกไปนอกโลกนี่นะ ทำเป็นที เป็นเก่ง จะหาโลกใหม่อยู่นะ ไปหาพระจันทร์ ก็อกหัก มาทีหนึ่งแล้ว เพราะอยู่ไม่ได้ ได้หินมาก้อนกระจิ้ด เสร็จแล้วก็เอามาลอย ลอยเอาไว้ตอนนี้ ไม่มีใครสนใจแล้ว ตอนแรกๆ มาใหม่ก็สนใจ มันก็ไอ้หินเหมือนโลกเรานั่นแหละ นะ มันจะมีภาวะ สังเคราะห์ มันก็อาจจะหินชนิดนั้น อยู่ในบรรยากาศของ โลกพระจันทร์ ซึ่งโลกพระจันทร์นั้น ก็มันร้อนมาก มันอยู่ไม่ไหว อยู่ไม่ได้นะ อากาศมันก็ คนอยู่ไม่ได้ ก็เลยไปแสวงหา ที่จะต้องมีน้ำ มีอากาศ มีอะไรต่ออะไร ที่จะมีอุณหภูมิ มีสิ่งแวดล้อม มีองค์ประกอบ ของธาตุต่างๆ ที่คนจะอยู่ได้ ตอนนี้ ก็หวังไปซิ โลกพระอังคาร ดาวพระอังคาร ดาวพระศุกร์

อาตมาก็เคยพูดน่ะ อาตมาไม่อยากพูดมาก เพราะว่าพูดเรื่องนี้แล้ว มันอวดอุตริมนุสธรรม เกินการ เกินไป ในสุริยจักรวาลของเรา มีดวงดาว ๙ ดวง ในดวงดาว ๙ ดวงนี้ มีดาวโลกที่เราอยู่ นี่แหละ เป็นดวงที่เจริญที่สุด ของสุริยจักรวาล ซึ่งเป็นจักรวาลเล็กนิดเดียว ที่มีดาวเคราะห์ ๙ ดวง เล็กมากนะ เป็นจักรวาลที่เล็กมาก ไม่ได้ใหญ่โตอะไรเลย ธรรมดาจักรวาลแต่ละจักรวาลของเขานี่ โอ้โห นับเป็นล้านๆดวง ดวงดาวน่ะ แต่ละจักรวาล บางจักรวาล มีพระอาทิตย์ตั้ง ๕ ลูก ๘ ลูก มีทั้งนั้น แล้วเขาจะมีดาวอะไรอีก และในหมู่ดาวในหมู่จักรวาลเหล่านั้น ที่จะมีดวงดาว ที่มันมี อุณหภูมิ มีการสังเคราะห์ตัวเอง จนกระทั่งเกิดชีวะ เกิดพีชะขึ้นมาได้ จะบอกว่า หวังว่า ดาวพระศุกร์ ดาวพระอังคาร ก็ตาม มีชีวะก็ไป ขอยืนยันว่า ยังอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ค้นหาไป ก็อกหักเปล่า อกหักเปล่า เพราะว่า การปรับตัวของมัน ยังอยู่ไม่ได้ หนาวเกิน ชื้นเกิน แล้วไวรัส หรือว่าตัว แบคทีเรีย อะไรต่ออะไรต่างๆนานา แม้แต่แค่ดูที่ป่าเขาอะไรต่างๆนานา ที่อยู่ในโลกนี้แท้ๆ หลายแห่ง เรายังเข้าไปอยู่ไม่ได้เลย จะต้องไปสะสางกันอีกตั้งนาน จนกว่าจะเข้าไปอยู่ได้ แล้วนี่ มันข้ามโลก ไปอยู่ในอุณหภูมิของโลกอย่างนั้นน่ะ ให้ลงทุนไปเท่าไหร่ๆ ก็อกหัก อาตมาไม่รู้ จะไปบอกเขายังไง เขาลงทุนลงแรงมากมาย ก็เป็นความก้าวหน้า เชิงข้างเคียงอย่างหนึ่ง ที่เอามาใช้ ในโลกนี้ก็ได้ แต่อาตมาว่า มันเกินความจำเป็น ผลาญพร่าพลังงาน ผลาญพร่าเวลา ผลาญพร่า ความนึกคิด แรงงานอะไรต่างๆ ทุนรอนอะไรต่างๆ นานาไป เสร็จแล้ว ทำให้โลกเสียศูนย์ ทำให้โลกนี้ เปลี่ยนแปลง แล้วโลกนี้ถูกพวกนี้ทำลาย เพราะว่ามันเกิด ความดุนความดัน เกิดภาวะ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา ขาดพร่อง อะไรต่างๆนานา แปรปรวนต่างๆ นานาไปแยะเลย คนพวกนี้นี่ เขาคิดไปในทางได้ แต่เขาไม่ได้นึกถึงผลเสีย ที่จะกระทบต่อโลกเองน่ะ

ก็ขอตอบสรุปโดยย่อๆว่า ในจักรวาลเล็กนี้ ไม่มีหรอก แต่ในจักรวาลอื่น มีขณะนี้ ทุกวันนี้ ยังมีพระพุทธเจ้าเกิดอยู่ แต่ไม่ใช่ในจักรวาลเรา แต่อาตมาไม่กล้าตอบว่า จักรวาลไหน คุณประมาณ คะเนเอาก็ได้ เดาเอาก็ได้ เดาๆ เอา เพราะ วาระในจักรวาลนี้ ในเอกภพนี้ วาระกาลทุกอย่างนี้ มีซ้ำซ้อน แล้วก็หมุนเวียน หมุนวน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่อย่างนี้ ไม่มีที่ตั้งต้น

พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า ท่านหาที่ตั้งต้นไม่ได้ แล้วเราก็ไม่มีที่จบ หาที่จบมันไม่ได้หรอก มันจะมีอยู่ นิรันดร์กาล เพราะฉะนั้น เราจะไปคิดก็หัวแตกเปล่าๆ เราเอาประโยชน์จากที่ได้นี่ดีกว่า เราเกิดมา เป็นคน เราจะทำ คุณค่าอะไรให้ดีที่สุด เท่าที่ขอบเขตที่เราควรจะทำ ทำอันนี้ให้สมบูรณ์ที่สุด จบ อยากจะปรินิพพาน ก็ปรินิพพาน สูงสุดมนุษย์เราปรินิพพาน แล้วก็หมดทุกข์ หมดสิ้น หมดความ รับผิดชอบ หมดกรรม หมดเวร ถ้าไม่อยากปรินิพพาน คุณจะอยู่เป็นพระ เหมือนคู่แข่งของ พระอวโลกิเตศวร เจ้าแม่กวนอิม เชิญ คุณจะอยู่แข่งพระอวโลกิเตศวร นี่ก็เชิญ ยังไม่ยอม ปรินิพพาน ง่ายๆ ก็เชิญ ก็อยู่น่ะ ด้วยการอยู่กับทุกข์นี้แหละ มันมีคนต่างจิตต่างใจ เป็นอย่างนั้น ยังไง จะเป็นอย่างนั้นก็เอา จะเป็นอย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็ปรินิพพานไปแล้ว อาตมาก็ว่า อาตมา ก็เอาแค่อย่างพระพุทธเจ้าพาเป็น เอาแค่นั้น ก็พอจริงๆ หรือ พวกคุณบางคน ก็อาจจะบอก อู๊ย ไม่เอาหรอก พระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ เมื่อย ทุกข์ไม่สู้ เอาแค่พระอรหันต์ แล้วก็ปรินิพพานก็ได้ ขีดสูงสุดของมนุษย์ปรินิพพาน ได้ เป็นพระอรหันต์ที่สมบูรณ์แท้ ก็ปรินิพพาน สูงไปกว่านั้น อยากจะ เจริญกว่านั้นอีกก็ได้ เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ อยากจะยาวนานไปอีก จนกระทั่งถึง พระอวโลกิเตศวร อย่างที่ว่าก็เอา วิชาการของพระพุทธเจ้า ท่านได้ค้นพบแล้ว ก็เป็นไปได้ ถึงปานนี้แล้ว เพราะฉะนั้น ไอ้การที่จะมีอะไรๆ เหมือนกัน ซ้ำกัน มีคนรูปร่างเหมือนกัน อะไรๆ เหมือนกันนี่ มันมีจริงๆ ซ้ำซ้อน หมุนเวียนอยู่เท่านี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก๊าเก่า โบร่ำโบราณจริงๆ แล้ววนเวียน แล้วๆ เล่าๆ อยู่อย่างนี้ คล้ายกันบ้าง เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยบ้าง เหมือนกันเปี๊ยบบ้าง เท่านั้นเอง ไม่ใช่น่าอัศจรรย์ ไม่ใช่เรื่องน่างึดอะไรเลย น่างึด ทางเหนือว่า งืดหนอ ทางอีสานก็ ว่างึด ทางภาคกลาง ก็ว่าอัศจรรย์ เอ้า ตอบแล้ว เรื่องนั้น นิทานเยอะ มีเหตุ มีถามคำถามน้อยหนึ่ง


พระโพธิสัตว์หมายถึง จิตที่คิดจะช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่น ใช่ไหม

๑.ประเด็นใช่ พระโพธิสัตว์ หมายถึงผู้ที่ช่วยเหลือผู้อื่น ให้ประโยชน์ผู้อื่น ที่จริงมันมีเงื่อนไขนะ แต่อาตมา ขอผ่านไปก่อน เดี๋ยวค่อยกลับมาตอบเงื่อนไข พระโพธิสัตว์ หมายถึง ผู้ที่คิดจะช่วยผู้อื่น เกื้อกูลผู้อื่นนี่ใช่ แต่มีเงื่อนไขว่า พระโพธิสัตว์ที่จะช่วยผู้อื่น คือ พระโพธิสัตว์น่ะ แล้วค่อยอธิบายว่า โพธิสัตว์คือใคร คืออะไร มีคำถามในนี้ หรือไม่ เดี๋ยวค่อยว่ากัน ถ้าไม่มี เดี๋ยวอาตมาจะแถมให้

พระโพธิสัตว์ จำเป็นต้องเป็นพระอริยบุคคลหรือไม่

เออ มาแล้ว พระโพธิสัตว์ จำเป็นต้องเป็นพระอริยบุคคล ผู้ที่ยังไม่เป็นพระอริยบุคคล ไปเป็น โพธิสัตว์นั้น โกหกตลก ผู้ที่เป็นเศรษฐี จะต้องมีเงิน ผู้เป็นเศรษฐี คือผู้ให้ผู้อื่นได้ ฟังดีๆนะ ไม่ใช่กะฏุมพี นะ ผู้ที่เป็นกะฏุมพี คือผู้ที่ร่ำรวย

ผู้เป็นเศรษฐี ไม่มีเงินก็ได้ ทีนี้คือผู้ประเสริฐ เสฏฐ เสฏโฐ แปลว่า ผู้ประเสริฐ และเห็นแก่คน เป็นสิ่งที่ให้คนได้ ผู้ประเสริฐนี่จะให้ ...เห็นแก่คน เป็นสิ่งที่ให้คนได้ ผู้ประเสริฐนี่จะให้ เราพูดกัน มามากแล้ว คือผู้จาคะ เป็นผู้ให้ คนนั้นเป็นผู้ประเสริฐ ผู้เอาไม่ประเสริฐอะไร ยิ่งไปเอาเปรียบ ยิ่งไม่ประเสริฐใหญ่น่ะ

พระอริยบุคคล ก็คือผู้ประเสริฐ อริยะก็แปลว่า ประเสริฐ โพธิ แปลว่า ตรัสรู้ ผู้มีตรัสรู้แล้ว จะตรัสรู้ แค่ไหน ก็แล้วแต่ ต้องมีของจริง ความจริงอันนั้นของตน แล้วเอาของตนไปแจก อย่าไปแจก สิ่งที่ตนไม่มี แจกสิ่งที่ตนไม่มี เอาอะไรไปแจกละ ไปเอาของคนอื่นมา ก็คือขโมย ไปเอาของคนอื่นมา ขโมย และ จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไปเอาของคนอื่นมา เราต้องแน่ใจว่าเป็นสัจจะ เป็นของจริงนะที่ เราแจก อย่าไปแจกของปลอม แจกของปลอมไม่ใช่โพธิสัตว์หรอก โพธิสัตว์ไม่แจกของปลอม โพธิสัตว์ต้องแจกของจริง ไปแจกของปลอม ไม่ใช่โพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น โพธิสัตว์ จำเป็นต้องเป็น พระอริยบุคคล ยังไม่ได้เป็นพระอริยบุคคล อย่าแอ๊คน่ะ โพธิ แปลว่า คุณความรู้ ตรัสรู้ ส่วนปุถุชน คือผู้ที่ยังไม่ตรัสรู้ ยังไม่มีอริยคุณ เมื่อไม่มีอริยคุณไปแจก ก็ปลอม ได้แต่ความอยากแจก ศาสนา มหายานโพธิสัตว์ มันเก๊แบบนี้ มันก็เลยทำลายศาสนา

๓. พระโพธิสัตว์ แต่ละระดับ มีสิ่งใด หรือคุณธรรมใด เป็นเครื่องจัดระดับพระโพธิสัตว์คะ

พระโพธิสัตว์ แต่ละระดับ มีสิ่งใด ก็คือคุณธรรม โสดาคุณ นี่แหละเป็น อริยคุณ อริยคุณ ๔ นี่แหละ โสดา ตามควร ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ซึ่งจะมีคุณภาพ ที่อาตมาก็พยายามตั้งนะ ตั้งข้อเขต อะไรต่ออะไรให้ในนี้ มีคำถาม นะในนั้นด้วย เดี๋ยวอาตมาอ่านต่อ ต้องมีระดับน่ะ พระโพธิสัตว์ จะเริ่มเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ตั้งแต่ระดับโสดา โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล ไปจนถึง อรหันต์ จนเลยไปอีกเท่าไหร่ๆ เป็นปัจเจก เป็นอะไรไปก็ตามใจ ก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่ต้อง มีก่อน ต้องเป็นอริยะก่อน

๔. พระโพธิสัตว์ระดับ ๗ มีคุณสมบัติอย่างไรคะ

แหม แสดงว่าฟังธรรมมานี่ ขานชื่อระดับ ๗ เสียด้วยนะ ซี ๗ นะ ขานชื่อระดับโพธิสัตว์ซี ๗ ซี ๗ นี้ อาตมาเคยอธิบาย เรื่องระดับ ๑ ถึง ๙ โดยเอา สังขยาเลข มาเป็นตัวอธิบายความ ตามสมมุติ โดยจัดขนาด เอาตามตัวเลขนี่เป็นเครื่องวัด เครื่องกะขนาดประมาณ ก็ขนาดหนึ่งนะ ๒ ขนาดหนึ่ง ๓ ขนาดหนึ่ง ๔ ขนาดหนึ่ง ตั้งช่องเอาไว้ ๙ ช่อง อย่างนี้เป็นต้น ถ้าช่องที่ ๑๐ หมายความว่า ตัวสมบูรณ์ จะวนมาหา ๑ จะวนมาหา ๑ ๑๐ หรือศูนย์ ก็เป็นสิบ ถือว่า วนมารอบ วนมารอบ คลุมรอบ เพราะฉะนั้น เราเอาเศษต่ำสูงนี่ เอาที่แค่ ๑ กับ ๙ เป็นสูงสุด ถ้าศูนย์แล้ว จะมานับต่ำ ก็ยังได้ หรือ ๑๐ นี่ มานับต่ำ มานับพื้นก็ได้ อันนี้ เรียกว่า สมบูรณ์ เพราะฉะนั้น เกินกว่าพระพุทธเจ้า ถือว่า ค่าสูงที่สุด คือ ๙ พระพุทธเจ้าท่านถือว่า ปาง ๙ นั่น คือคำอธิบายนะ คุณฟังให้ดี ปาง ๙ ก็คือ มีคุณธรรม หรือคุณภาพขนาดนั้น ปาง ๘ ก็มีคุณธรรมขนาดนั้น ประมาณนั้น ปาง ๗ ก็มี คุณธรรม ขนาดนั้น ระดับนั้น

ทีนี้ ใน ๙ นี่ แบ่งเป็น ๓ ล็อค ๑,๒,๓ ล็อคหนึ่ง ๔,๕,๖ อีกหมู่หนึ่ง ๗,๘,๙ อีกหมู่หนึ่ง ก็เป็นขนาด ที่อยู่ในกลุ่ม ขนาด ๑,๒,๓ นี่พื้นฐานที่สุด ขนาด ๔,๕,๖ ก็เรียกว่าสูงขึ้นมา มิติเดียว ระนาบเดียว ๗,๘,๙ ก็สูงขึ้นมา ซับซ้อนขึ้นไปอีก ๑,๒,๓ แล้วก็มา ๔,๕,๖ ในเนื้อหา ๔,๕,๖ ซ้อนเข้าไปหา ๑,๒,๓ เติมมาเป็น ๗ มาเป็น ๘ มาเป็น ๙ จนกระทั่งได้ค่าของ ๗ ได้ค่าของ ๘ ได้ค่า ของ ๙ จากเนื้อหาของ ๑,๒,๓ ๔,๕,๖ อย่างแน่นๆๆๆ มาเรื่อย แล้วก็เอา ๗,๘,๙ ซ้อนจาก ๑,๒,๓ ซ้อนไป ๗,๘,๙ อีก อาตมาก็ไม่รู้ จะอธิบายยังไง นี่ อธิบายไปตามสังขยาเลข ตามสภาพหมุนรอบ เชิงซ้อน อย่างง่าย ที่อธิบายนี้ อย่างง่ายเลยนะ อย่างลึกซึ้ง ซับซ้อน อย่างพิสดาร มีมากกว่านี้ ไม่มีภาษาอธิบายให้ คุณฟัง บอกระยะอีกอันหนึ่งให้ได้ง่ายๆ ก็คือว่า ในระยะ ถ้าคุณเห็นว่า ๑,๒,๓,๔,๕,๖ นี่นะ เป็น ๓ สองหมวดนี่ ถ้าการเจริญ เจริญ ๑,๒,๓ แล้วก็ถือว่า รอบย่อย ๔,๕,๖ เป็นรอบที่สอง ๗,๘,๙ เป็นรอบที่สาม เป็นรอบสุดท้าย เป็น ระดับสุดท้าย ถ้าเกิดมันเลยมาแล้ว เลย ๕ มาเป็น ๖ แล้วยังข้าม ๖ ไป หมวดใหญ่นี่อีก ก็เป็น ๗ แสดงว่า ถ้าเกิด ก็เกิดได้ฐานะที่มั่นคง ไม่เวียนตกต่ำ เข้าไป กว่านี้อีกแล้ว

เพราะฉะนั้น ลักษณะค่าของ ๗ นี่ แสดงว่า มั่นคง แน่นอน อยู่ในระดับดีทีเดียว ในระดับหนึ่งแล้ว ถ้าจะบอกว่า เป็นผู้ที่จะผ่านไปสู่ความเป็นยอด ก็เริ่มบทบาทของผู้ที่จะผ่านขึ้นไป สู่ความเป็นยอด อยู่แล้ว แต่ถ้ามี EXCEPTION หรือ มีนัยซับซ้อนอยู่ ประมาทไม่ได้เหมือนกัน ๗ นี่ ถ้าพื้นฐานหรือว่า จะยังไม่แก่ ไม่สูงอะไรนัก อาจจะตีลังกาตกมา มีคนเคยรู้ว่า อาตมานี่ เป็นโพธิสัตว์ ระดับ ๗ อาตมา นี่ ยังอยู่ระดับ ๗ พื้นฐาน ยังไม่ได้เก่งเท่าไหร่ ยังไม่ได้สูงเยี่ยมอะไรน่ะ ประมาทไม่ได้ ประมาท ตีลังกา เหมือนกันน่ะ เพราะฉะนั้น ประมาทนี่ เป็นตัวสำคัญมาก ไม่ว่ารุ่นไหน ไม่ว่าระดับไหน ไม่ว่างานไหน ไม่ว่าอะไร อย่าประมาท

พระพุทธเจ้าถึงสรุปรวมศาสนาของท่านว่า รวมลงที่ไม่ประมาทคำเดียว ผู้ใดเข้าใจ ตัวไม่ประมาทนี้ แล้วพยายาม พากเพียรจริงๆๆๆ ได้นะ เจริญยิ่ง อย่างอัตราก้าวหน้า เป็นอัตราก้าวหน้า ทวีเลย จริงๆ น่ะ

๕. อริยทรัพย์ ศรัทธา ศีล สุตะ เป็นมรรค หิริ โอตตัปปะ จาคะ ปัญญา เป็นผล ใช่ไหมคะ

ใช่ ศรัทธา ศีล สุตะ นี่เป็นมรรคได้ เป็นตัวปฏิกิริยา เป็นตัวปฏิบัติ เป็นตัวนำได้ หิริ โอตตัปปะ จาคะ ปัญญา เป็นผล

สุตะ อ๋อ ไม่ใช่ สุตะ ใช่ๆๆๆ ในๆๆ ในที่เราดูว่า ศรัทธามีองค์ของอะไรต่ออะไร ที่จริง หิริ โอตตัปปะ นี่มัน อยู่ในหมวดของศรัทธาเขา ทีนี้เอามาศรัทธา ศีล สุตะ นี่ มาเอาขององค์ความ บริบูรณ์ ในองค์นั้น ของศรัทธา ศรัทธามีความบริบูรณ์ องค์นั้นก็คือ ศรัทธา ศีล ถ้ามีศีล ก็บริบูรณ์ขึ้นมา ในระดับหนึ่ง แล้วเมื่อมีศีลแล้ว ปฏิบัติขึ้นไป ก็จะเกิดภาวะสุตะ หรือ ปัญญา หรือ รู้ พหูสูตนี่รู้ พหูสูตนี่รู้รู้ แต่ไม่ใช่รู้แต่เปลือก ไม่ใช่รู้แต่บัญญัติภาษา รู้ให้มันได้จริง ขึ้นมาเรื่อยๆๆๆ จนกระทั่ง มีเนื้อหา แล้วเราก็จะต้องเป็น พระธรรมกถึก ต้องแสดงออก ต้องเผื่อแผ่ผู้อื่น เป็นประโยชน์ท่าน เป็นโพธิสัตว์ ว่าอย่างนั้นแหละน่ะ เป็นโพธิสัตว์ ต้องมีทรัพย์เป็นหลักการ ของพระพุทธเจ้า ทั้งนั้นเลย

เพราะฉะนั้น ศรัทธา ถ้ามันจะไม่มีตัวนี้แล้ว เพราะฉะนั้น จะเห็นได้ ผู้ใดที่มีศรัทธา แต่ไม่เป็น พระธรรมกถึก ไม่แกล้วกล้าในบริษัทนี่ พวกนี้ศรัทธาจะไม่แน่นหรอก ศรัทธาจะไม่มีประสิทธิภาพสูง หรอก มันจะไม่บริบูรณ์ ขึ้นไปเป็นน้ำหนักที่ซับซ้อน เพราะฉะนั้น จะต้องพยายามแสดงธรรม เป็นพระธรรมกถึก ต้องศึกษา ต้องแกล้วกล้าในบริษัท แล้วต้องเข้าสู่บริษัท แล้วต้อง แกล้วกล้า ในบริษัท ต้องมีประโยชน์ผู้นั้น ความหมายของมันก็คือว่า เราในศาสนาพุทธนี่ สังคม หรือว่า สมมุติสัจจะ มันเป็นตัวหลัก ปรมัตถสัจจะนั้นเป็นตัว ของใครของมัน คุณจะเป็นทุกข์ เป็นสุข ก็เพราะ สมมุติสัจจะทั้งนั้น เป็นตัวเหตุปัจจัย จนเรียนรู้ สมมุติสัจจะอย่างดี แล้วรู้เท่าทัน จนกระทั่ง เอ๊ย มันไม่ใช่เรื่องใหญ่ ไม่ใช่ เรื่องอะไร รู้จริงทั้งหมดเลย แล้วก็ไม่ให้มันมีฤทธิ์ได้ นั่นคือ เราทำใจ ของเรา ตัวปัญญาตัวรู้ยิ่ง รู้จริงนี่แหละ อยู่เหนือมันได้ เพราะปัญญานะ สุดท้ายแล้ว จะถอนอาสวะ อนุสัย ก็ด้วยปัญญา นั่นคือ อยู่เหนือมัน อย่างเด็ดขาด สุดท้าย ต้องรู้อย่างแจ้ง แทงทะลุเลย รู้ยิ่ง รู้จริงเลยจริงๆ เพราะฉะนั้น ในการที่จะรู้ สมมุติสัจจะ ได้รอบ ก็ต้องอาศัยคนทุกคน นี่แหละ คือ สมมุติในทุกคนนี่แหละ ตัวสมมุติเก่งที่สุด กำหนดอันนั้น กำหนดอันนี้ อยู่ในวงคนจารีตประเพณี อย่างนี้ ก็สมมุติอันนี้ อยู่ในวงคนสังคมนั้น ก็จารีตประเพณีอย่างนั้น สมมุติอันนั้นๆๆ แล้วเราจะทุกข์ จะสุขกับมัน ยังไงละ กับ สิ่งเหล่านั้น

คุณอยู่ประเทศอเมริกา คุณก็มี Cencept หรือ มีสมมุติ มีค่านิยม อย่างนั้น มาอยู่เมืองไทย ก็อย่างนี้ มาอยู่ที่นั่นก็อย่างนั้น เมืองไทยนี่ บอกว่า เป็นผู้หญิงนี่นะ จะต้อง รักนวล สงวนเนื้อ สงวนตัวนะ อย่าไป ฟรีเซ็กส์ (Free sex) นะ เอ๊ย อย่างนี้เป็นคนดีน่ะ เราก็มีวัฒนธรรม อย่างนี้กัน ทางอเมริกาบอก พุทโธ่เอ๋ย มันโง่ตายเลย มันต้องเหมือนธรรมชาติ ธรรมดา มันเรื่องธรรมดา อยากจะสั่งขี้มูก ก็สั่งซี อยากจะบ้วนน้ำลายก็บ้วนซี ก็เหมือนกันแหละ เซ็กส์ก็เหมือนกัน มันมีทุกข์เรื่องนี้ขึ้นมา ก็แล้วไปซี ป้องกัน กันนิดหน่อย แต่ว่ามีลูกออกมา แต่ยังไม่มีคุณก็ต้องเลี้ยง คุณจะเอาไหมล่ะ มีลูกมันไม่มีพ่อ ก็กันหน่อย เพราะฉะนั้น ยังไม่ถึงวาระจะมีลูก ก็ไม่เป็นไรนี่ อเมริกาเขาก็ถือว่าอย่างนั้น เขาก็เลย ฟรีเซ็กส์กัน แต่ เอาไปเอามา เขาก็ยังรู้สึกว่า มันไม่ดี เขาก็ยังพยายามเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมนี้นะ เสร็จแล้ว กลับไปกลับมา ก็เป็นอย่างนั้น ก็เป็นเรื่องของเขา เขาว่าอย่างนั้นดี ก็ดีนี่ ก็ตามใจดี ก็สบายดีนี่ ก็เป็นสุข อยากสั่งขี้มูกเมื่อไหร่ ก็สั่งได้สบาย ปวดเมื่อไหร่ ได้กินยาแก้ปวด ก็หาย อะไร อย่างนี้ เป็นต้น เขาก็ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา ไม่เห็นมีอะไรนี่ ไปตั้งสมมุติกันเอง เขาก็เป็น อย่างนั้น ก็เป็นวัฒนธรรมของเขา เขาถือว่าเป็นอย่างนั้นดี ของเราบอก โอ้โห เลว ก็ของใคร ของมันน่ะ เพราะฉะนั้น ก็ไอ้สมมุติต่างๆนานา พวกนี้นี่แหละ เป็นตัวกำหนด ที่เราจะต้องเรียนรู้

การที่จะเข้าสู่บริษัท ก็คือรู้ รู้โลกวิทู รู้ พหูสูตยิ่งขึ้น ถ้าไม่เช่นนั้น จะมีศรัทธาที่บริบูรณ์ สมบูรณ์ ซับซ้อนขึ้นไม่ได้ อันนี้เอาสุตะมาไว้ตรงนี้ อาตมาก็เลย เมื่อกี้ไม่ได้ตั้งหลัก คุณเอาสุตะ มาแทรกหิริ โอตตัปปะ ทั้งๆที่ตัวของศรัทธาเอง องค์คุณทรัพย์ อริยทรัพย์ ทรัพย์แท้ของมนุษย์ มันมีศรัทธา ศีล หิริ โอตตัปปะ สุตะ จาคะ ปัญญา คุณเอาสุตะมาไว้ตรงนี้ก็ได้ ที่จริง ก็ได้ ซับซ้อนขึ้นมาน่ะ แต่เป็น องค์ธรรม อยู่ในข้อบริบูรณ์ เราก็มีความรู้ แล้ว ก็จะต้องมี มันพลิกแพลง ขึ้นไปหน่อย มีพระพุทธเจ้า ท่านเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่รู้แนวทาง หรือรายละเอียดพวกนี้ ได้ชัดเจน แล้วท่านก็มา เรียบเรียง สอน ถ้าใครปฏิบัติ อย่างเข้าใจตรงทางนะ ได้อะไรครบครันหมดน่ะ

จะบอกว่า อันนี้เป็นมรรค ศรัทธา ศีล สุตะ เป็นมรรค พอเป็นได้ หิริ โอตตัปปะ จาคะ ปัญญา เป็นผล พอฟังได้ เพราะเวลาปฏิบัติ ศรัทธา มีศรัทธา แล้วมีศีล ปฏิบัติแล้วจะเกิดหิริ คุณมีความรู้ ในหิริ ว่าเป็นอย่างไร แล้วก็มี โอตตัปปะ คุณก็รู้ นั่นก็คือสุตะเท่านั้น เกิดปัญญา เกิดความรู้ รู้ยิ่ง รู้จริง ขึ้นไปจริงๆ เท่านั้น แล้วก็คุณจะต้องทำ จนกระทั่ง จาคะได้ แล้วก็เกิดปัญญา ที่เห็นในจาคะ เป็นผลตามมาจริงน่ะ และจะเกิดปฏิกิริยาสะท้อนกลับ ทำให้ศรัทธาบริบูรณ์ ศีลสูงขึ้น สุตะสูงขึ้น เกิดหิริ โอตตัปปะ จาคะ ปัญญาที่สูงขึ้นๆ เป็นเชิงซ้อน ที่เหมือน ขดลวดสะปริง ใช่ไหมคะ ยุ่มย่าม ยิ่งกว่า ขดลวดสะปริงอีก จะซับซ้อนยุ่มย่ามยิ่งกว่านั้น เป็นอย่างคุณว่า นี่ก็ถูกต้อง แต่มันยุ่มย่าม ยิ่งกว่านั้น ซ้อนเชิงมากกว่านั้นน่ะ โดย นามธรรม มันมากกว่านั้นจริงๆ


 

ช่วงทำวัตร เมื่อเช้านี้ พ่อท่านบอกว่า ในโลกนี้อะไรก็รู้หมดแล้ว ลูกจึงอยากถามพ่อท่านว่า ชาติที่แล้ว พ่อท่านเป็นใคร มาจากไหน แล้วชาติต่อไป พ่อท่านจะเกิดอีกหรือเปล่าคะ

ตอบ...ตอบเท่าที่ตอบได้นะ ไม่ใช่ว่าตอบ... อาตมาเป็นใครมาจากไหน อาตมาก็ตอบ อาตมาก็เป็น ผู้ที่ได้บำเพ็ญธรรม ของพระพุทธเจ้ามา ในชาติแต่ปางก่อนนี่รู้น่ะ อาตมาต้องบอกถูกด้วย แล้วคุณว่า ถูกไหม นี่เห็นไหม คนให้คะแนน เขาให้ถูกตาม ถ้าอาตมาบอกว่า เป็นนาย ก. นาย ข. บางทีก็ไม่ดี บางทีคุณก็จะบ้าเลือดไปด้วย แล้วไม่เข้าท่านะ อาตมาไม่อยากให้งมงาย ในเรื่องเหล่านี้ คุณมารู้ จริงเอง เข้าใจเอง นั่นเถอะ ถ้าคุณรู้เอง เข้าใจจริงเอง แล้วก็หยั่งรู้ ญาณทัสนวิเศษเอง รู้เองได้ของคุณ อันนี้ของคุณไม่งมงาย หรือ คุณอาจจะหลงก็ได้ หลงงมงายก็ได้ เป็นไปได้เหมือนกัน แต่คุณไม่หลงงมงายหรอก คุณมี อภิญญาจริง คุณมีทัสนวิเศษจริง คุณรู้ได้แจ้งจริงเลยนะ คุณได้มาแล้ว ก็เป็นเรื่องของคุณ อันนี้อาตมาไม่ได้มาหลอกคุณ ไม่ได้มาครอบงำ ทางความคิด ไม่ได้ มาตั้งนิทานอะไร เล่าหลอกลวงอะไร ซึ่งเดี๋ยวนี้นิยมกันมากเลย จนกระทั่ง เละๆ เทะๆ แล้วอาตมาว่า อาตมาไม่ต้องใช้อันนี้ มาเป็นองค์ประกอบ ในการสืบสานศาสนา ก็ได้

เพราะฉะนั้น อาตมาไม่ทำ เพราะผลเสียมากกว่าผลดี คนงมงาย เรื่องนี้มาก อาตมาตอบแค่นี้ ชาติที่แล้ว เป็นใครมาจากไหน ก็ขอตอบแต่เพียงว่า อาตมาเป็นคนทำหน้าที่ศาสนา อยู่ในชาติ ที่แล้วมา แล้วก็มาทำงานในชาตินี้น่ะ ชาติต่อไป พ่อท่านจะเกิดอีกหรือเปล่า ตอบได้ เกิดชาติต่อไป เพราะอาตมาจะยังไม่จบ น่ะเกิด


 

พ่อท่านคิดหวังหรือเปล่า ที่บางคนยังไม่ลาออกจากงานมาช่วยพ่อท่าน ทั้งๆที่ฟังธรรมมา หลายปีแล้ว

ไม่หวัง อาตมาเอง อาตมารู้รสของความหวังแล้วอกหักดี เพราะฉะนั้น อาตมาเป็นคนไม่มีความหวัง ไม่ตั้งความหวัง แต่มีความตั้งใจทำเท่านั้นเอง อาตมาเป็นคนมีความตั้งใจทำ อะไรได้มา ตามเหตุ ตามปัจจัย ได้ความอุตสาหะ วิริยะของอาตมาเต็มที่พอแล้ว ได้มาก็คือได้มา ไม่ได้มาก็ไม่ได้มา ได้มาบ้าง ไม่ได้มาบ้าง ก็เอาแค่นั้นแหละ เดี๋ยวนี้ อาตมามีทั้งได้มาเต็มตัว ได้มาครึ่งตัว ได้มา เสี้ยวหนึ่ง ได้มาเกินครึ่งตัว ได้มาแต่กาย ไม่ได้หัวใจมา ได้มาหัวใจ กายไม่ได้มา ก็มีจริงมั้ย นี่ได้ แต่หัวใจ โอยหัวใจ อยากมาเต็มที แต่กายมาไม่ได้ก็มี แต่ไม่หวังหรอก มันได้ตามเหตุปัจจัย เพราะอาตมาถือว่า สัจจะคือสัจจะ มันจะเป็น ตามจริงของมัน อาตมาเข้าใจนะ เรื่องนี้ คุณจะต้อง เชื่อมั่น แล้วเกิดปัญญาจริงๆ เลยว่า คนเรานี่ เข้าใจอันนี้แล้วนะ คุณจะไม่หวัง แล้วก็คุณจะทำ คุณจะต้องมีอินทรีย์พละ ที่จะทำเต็มที่ของเรานี่แหละ ดีที่สุด โดยหลักการ ก็จะต้องทำ ให้ดีที่สุด เจตนาและตั้งสติ ใช้ความสามารถดีที่สุด แล้วทำไปเต็มที่น่ะ ได้หรือไม่ได้ เป็นผลของเหตุปัจจัย แล้วมันจบ เหตุปัจจัยนี่มีทั้งกรรม และวิบาก มีทั้งกรรมและวิบาก เพราะฉะนั้น บางทีนี่ ดูเหมือน เราทำอะไรไม่มากหรอก แต่กรรมวิบากเราดี มันช่วยนะ บางคนนี่ ทำแทบเป็นแทบตายไม่ได้ เพราะกรรมวิบากคุณไม่ช่วยจริงๆนะ มันมีจริง จริงๆนะ ทางเราถึงได้ เชื่อกรรม เชื่อวิบาก เชื่อฤทธิ์เดชของพวกนี้จริงๆเลย น่ะ

อย่างหลายคน นี่ อาตมาพูดง่ายๆ หลายคนก็เห็นอาตมา โถ น้ำหนักก็แค่ไม่ถึง ๖๐ ดี สูงก็เท่านี้ ร่างกาย กล้ามเนื้อ ฝีมืออะไรก็แล้วแต่ ก็แค่นี้ละนะ ใช่ไหม หลายคนบางทีวัดนี่ ส่วนนั้นส่วนนี้ อาจจะน่าจะมีประสิทธิภาพ มากกว่าอาตมา แต่ทำแล้ว สู้อาตมาไม่ได้ นี่แหละ เขาเรียกว่า แข่งบุญ แข่งวาสนา มันแข่งไม่ได้ อย่างนี้ นี่แหละคือกรรมวิบาก มีกรรมมีวิบาก มีกัมมัสสกตา มีมรดกของเรา เป็น กรรมทายาท มีมรดก อาตมามีมรดกอันนี้มาช่วย อาตมาไม่ได้เชื่องมงายนะ และ หลายๆคน ก็พยายาม มาพิสูจน์ มาศึกษาสิ่งนี้ ไม่รู้จะอธิบายยังไง มันเป็นนามธรรม ตั้งมาก ตั้งมาย มีนามธรรม ประกอบมากมาย เพราะฉะนั้น ก็ต้องไปได้เท่าที่มันไปได้ เอ้า ตอบแล้วน่ะ

เพราะฉะนั้น คนที่จะมาหรือไม่มานั้น ไม่ผิดหวัง บางคนยังไม่ลาออกจากงานมา อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาไม่ไปดุน ไปเที่ยวได้เร่งเร้า ไม่ได้ไปปลุกเร้าให้ออกมาจากงาน ส่วนใครจะออกมาจากงานนั้น ก็ออกมาเอง ออกมา ให้มันสุก อย่าออกมาอย่างห่ามๆ ให้มันสุกเต็มที่ ให้มันถึงรอบดีแล้วออกมา แล้วก็ แน่ใจ ต้องมาทดสอบ ต้องมาอยู่ดู บอกแล้วว่า อยู่ในนี้น่ะ โอ้โหย เสือ สิงห์ กระทิง แรด ของโลกุตระนี่ ไม่เหมือนเสือ สิงห์ กระทิง แรดข้างนอกนะ โอ้โห เล่นกันน่าดู ลีลาเหลือล่ะ จอมกระบี่ ในนี้น่ะ โอ้โห ต่างคนต่างก็จอมยุทธ เจ้ายุทธจักรกันทั้งนั้นเลย บางคนก็เจ้ายุทธจักร หยาบๆ บางคนก็ไปฝึกวิชามาร โอ๊ย มี แทรกซ้อนอยู่ในนี้เยอะ ฝึกวิชาธรรมะก็มี แต่ฝึกวิชามาร แฝงๆ อยู่ก็เยอะ อยู่ในนี้ล่ะ นี่เรื่องจริงๆนะ เพราะฉะนั้น ต้องมาศึกษาดีๆ

 

ที่พ่อท่านว่า แม้อายุจะ ๑๒๐ ปี ก็ยังเป็น ๕๖ อยู่ หมายความว่ายังไงคะ เห็นเง็งจังเลย

อาจจะพาซื่อนะ อาตมาพูดไปอย่างนั้นแหละน่ะ มันเรื่องเกินไป นี่มันก็ ๕๖ ๕๗ ๕๘ นี่มันก็เป็นไป ตามจริง ที่อาตมาพูดเอาไว้นั่น ก็เป็นเชิงตั้งใจเอาไว้ว่า จะทำตนให้แข็งแรง จะไม่ให้มันทรุด มันโทรม เกินไปนัก ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นไปไม่ได้หรอก มันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ เสื่อมไป เป็นธรรมดา แต่เราจะพยายาม มีอิทธิบาทน่ะ มีอิทธิบาทจริงๆ ตั้งใจจะมีอิทธิบาท เพราะจะเห็นได้ว่า อาตมาทุกวันนี้นี่ ยอมให้ดูแล รักษาสุขภาพ มากกว่าแต่ก่อน แต่ก่อน อาตมาไม่เอาถ่านหรอก ใครจะมาดูแลสุขภาพ จะมา เอายาบำรุง เอาวิตามิน เอาโน่นเอานี่มาให้กิน ไป เลิก อย่ามายุ่ง อย่ามาแตะ ไม่เอา แต่ก่อนนี้ ไม่เอาจริงๆน่ะ แต่เดี๋ยวนี้ ทำเป็นเล่นไม่ได้ แล้วร่างกายสังขาร มันก็บอกเราจริงๆด้วยว่า ไม่ได้นะ ขืนประมาทไม่ได้ อาตมาจึงรับ และดูแลร่างกาย บอกว่าเอาละ ในระยะนี้ ต้องตั้งใจแล้วว่า เราจะ พยายาม ให้มันยืนยาวไปหน่อย และที่อาตมาคิดอย่างนั้น ก็เพราะว่า เรามีกลุ่ม มีหมู่ มีผู้ที่จะรับช่วง การงานอะไรต่ออะไร แบ่งเบาลงไปได้ ไม่อย่างนั้น เราจะรับเหมาอยู่คนเดียว มันทำไม่ได้หรอก อย่างนี้ นะ ถึงมันรับไปหมด เราต้องทำ ซึ่งมันต้องจำนน ที่ต้องทำ ใช่ไหม แต่ตอนนี้ไม่ต้อง จำนนถึงขนาดนั้นหรอก เราไว้ใจ ผู้อื่นบ้าง แบ่งผู้อื่นทำไปบ้าง อะไรบ้าง ไม่ใช่ว่า อะไรก็ ไอ้เรือง คนเดียว ฉันนี่แหละ เป็นเอก เป็นเอ้ คนอื่นไม่ได้หรอก อาตมาก็ต้องปลดปลง ต้องปล่อย ต้องให้ ผู้นั้นผู้นี้รับช่วง รับแทน รับทำอะไร ซึ่งพวกเราก็ยัง ไม่ค่อยเข้าใจ บางที ให้คนนี้แทน ให้คนนี้ ทำอะไรต่ออะไรมั่ง ก็ไม่ได้ ยังไงก็ต้อง ไม่ว่ารุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ก็จะเอาพ่อท่าน นี่แหละ มาเป็นประธาน พ่อท่านนี่แหละ มาร่วมประชุม พ่อท่านนี่แหละ มาคอยจัดการ จัดการตัดสิน เอ้าวะ ตายกันพอดี มันก็ไปไม่รอด นี่ต้องเข้าใจด้วย

แม้ว่าไม่ได้อาตมาไป ก็องค์อื่นๆ ก็ดีอยู่แล้ว แล้วก็ได้ให้องค์อื่นๆ ได้แสดงฝีมือ คนเรา ถ้าไม่ได้ ซักซ้อม ไม่ได้ทำงาน ไม่ได้ฝึกปรือ มันก็ไม่เชี่ยวชาญขึ้น ไม่ชำนาญขึ้น ไม่เก่งขึ้น ไม่เจริญขึ้นเร็ว อย่างนี้เป็นผลให้เจริญเร็วขึ้นด้วย แล้วก็ได้พิสูจน์ความจริง ไม่ใช่ว่านั่งนึก นั่งคิดเอาน่ะ

เอ้า หยิบออกมาอีกแล้ว ไม่คนอีกแล้ว แต่เมื่อกี้คนน่ะ คนแล้วก็เอาอันที่ต้นนี่แหละมา

พ่อท่านบอกว่า ปวดหัว พ่อท่านทุกข์มาก ไม่รู้จะเอาไปวางไว้ตรงไหน ดิฉันเข้าใจมานานแล้วว่า พ่อท่าน หมดทุกข์ หมดสุข (นิพพาน) พอฟังขณะ พอฟังอย่างนี้ ชักสงสัยค่ะ พ่อท่านอธิบายคร่าวๆ ค่ะ

โอ เห็นไหม อาตมาอธิบายเรื่องทุกข์ ๑๐ ประการ อธิบายมาหมดแล้ว คนเข้าใจทุกข์ไม่ถูกน่ะ เข้าใจทุกข์ไม่ถูก ก็นึกว่า พระอรหันต์เจ้านี่ แม้จะถูกไฟเผาอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ทุกข์ นั่งยิ้ม อื้อหือ เจ้าประคุณเอ๋ย มันเป็นไปได้ยังไง ดีแต่ว่ามีหลักฐานในพระไตรปิฎกนะว่า พระพุทธเจ้า ท่านก็ทุกข์ ด้วยพยาธิทุกข์ ความไม่เที่ยงของอวัยวะของไอ้โน่น ไอ้นี่

นันทิกะ เรามายืนฟังเธอบรรยายนานแล้ว เรายืนรอเธอ จนหลังเราปวด พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัส ธรรมดาน่ะ ว่า ท่านก็ปวดหลังเป็น ท่านก็เมื่อยเป็น ท่านก็ปวดได้ ท่านก็บอกว่า เราทุกขเวทนา มากแล้ว อานนท์ เราต้องการนอนพัก เธอจงปูผ้าลงไปให้แก่เรา อานนท์ เราจะเอนกาย ก็มีอยู่ หลายตอน ทุกขเวทนา ก็คือทุกข์ มันเกิดแล้ว มันทุกข์แล้ว มันทุกข์ กายิกทุกข์ ด้วยความไม่สมดุล ของร่างกาย แต่ท่านแข็งแรงนะ พระพุทธเจ้าท่านไม่เจ็บไม่ป่วย ท่านไม่มีวิบากเรื่องเหล่านี้ มากมาย นักหนา เพราะฉะนั้น ท่านจะแข็งแรง โรคภัยไข้เจ็บท่านน้อย

อย่างอาตมา บารมียังไม่สูง วิบากเรื่องเจ็บ เรื่องป่วย เรื่องอะไรต่ออะไร ยังมีมากอยู่พอสมควร เจ็บปวดป่วย ขนาดพระพุทธเจ้าท่านปวดหัวได้ อย่างที่ท่านก็บอกว่า เราปวดหัวนั่นน่ะ ที่อาตมา จะปวดหัวบ้าง ก็หาว่าอาตมาไม่สูง ทีพระพุทธเจ้า ท่านปวดหัวบ้าง แล้วท่านสูงเหรอ นี่เข้าใจผิด เห็นไหมนี่ คนเข้าใจไม่รู้ อันนั้นกายิกทุกข์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พยาธิทุกข์ คือ เจ็บป่วยได้ไข้นี่ เลี่ยงไม่ออก เป็นที่ใคร ต้องทุกข์ทุกคน แต่ใจอย่าทุกข์ เจตสิกทุกข์ไม่มี มีแต่กายิกทุกข์ ทุกข์ที่กาย เพราะมันมีโรค เชื้อโรคกัดกร่อน หรือมีปฏิกิริยา ของความไม่สมดุลของอวัยวะ ท่านบอกว่า อวัยวะ เจ้าการมันทำงานไม่สมดุลน่ะ มันก็จะต้องเจ็บ ต้องปวด จะต้องเกิดปฏิกิริยา เกิดภาวะ ที่มันเจ็บ หรือ ภาวะที่มันเป็นอย่างนั้นด้วย เรียกว่า เจ็บก็ตาม ปวดก็ตาม อาการอย่างนั้น มีได้ ไม่ว่าใน พระอรหันต์ หรือ พระพุทธเจ้า น่ะ ส่วนใจไม่ทุกข์ จริงอย่างที่คุณเข้าใจ แต่ว่าคุณเข้าใจ ยังไม่สมบูรณ์น่ะ ไม่ทุกข์ที่ใจ ใจรู้ว่า นี่เป็นเหตุปัจจัยอย่างนี้ แล้วเราก็วางใจ แต่ไอ้ตัวที่มันยังไม่ออก ไม่รู้ว่า จะตัดจะทิ้งตรงไหน มันก็ยังอยู่ในตัวเรา นี่ปวดที่ขา ปวดที่หัว ปวดที่นั่น มีแผลที่นี่ มีอะไรที่นั่น มันก็มีปฏิกิริยาตัวนี้ มันก็ปวด มันก็เจ็บ มันก็ทารุณ เป็นทุกข์อยู่ตรงนั้น เหมือนกัน เป็นกายิกทุกข์


พ่อท่านคิดยังไง ถึงได้จัดงานพุทธาภิเษกฯขึ้น

อันนี้ อาตมาเคยเล่าตั้งแต่ปลุกเสกฯ หรือพุทธาภิเษก อยู่ที่ไหน ก็เคยเล่า ที่ศรีษะฯ ก็เคยเล่าน่ะ ก็เล่าอีกสั้นๆ คิดโดยการเห็นวิธีการของการอยู่กรรม หรือเขาทำอยู่ปริวาส ซึ่งเป็นวิธีการที่คิดว่า ได้อบรมคน มันเป็นวิธีการอบรมคน เป็นยัญพิธีที่ดี อาตมาก็เลยประยุกต์มา ตอนแรกก็ตั้งชื่อ ตั้งยาว เคยเล่าให้ฟังแล้ว อบรมฝึกบำเพ็ญธรรมสติปัฏฐาน มันยาว ตอนหลังก็เลยมาตั้งชื่อ อยู่ศรีษะ ก็ตั้งไปว่า ปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ มาที่นี่ก็ตั้งว่า พุทธาภิเษกสุดยอดปาฏิหาริย์ ซึ่งวิธีการ เหมือนกัน ทุกอย่าง เพื่อที่จะอบรมฝึกฝนพวกเรานั่นเอง ไม่มีอื่นน่ะ มีความคิดอย่างนี้

 

พ่อท่านฉันมื้อเดียวอยู่ได้อย่างไร

ฉันมื้อเดียว อยู่ได้อย่างนี้ ไม่รู้จะตอบยังไงเนาะ ถามว่าฉันมื้อเดียว อยู่ได้อย่างไร ฉันมื้อเดียวนี่ พระพุทธเจ้า ตรัสเอาไว้ว่า คนที่ฉันมื้อเดียวจะ อัปปาพาธัง อัปปาตังกัง ลหุฏฐานัง พลัง ผาสุวิหารัง อัปปาพาธัง นะ ไม่อาพาธ ไม่ป่วย ไม่เจ็บ เสร็จแล้ว คนเรา เข้าใจว่า กินมื้อเดียวนี่ เดี๋ยวก็ป่วย เจ็บตาย หร็อก หนอย ก็ตรงกันข้ามกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้ากลับเห็นว่า ฉันมื้อเดียวนี่ละ จะไม่เจ็บ ไม่ป่วย เห็นไหม ความเห็นมันต่างกัน แต่มีเงื่อนไขว่า คุณต้องมาประพฤติปฏิบัติ ต้องค่อยๆ ลด ค่อยๆ ปรับให้มันลงตัว ให้มันได้สัดส่วนจริงๆ จนกระทั่ง มันลงตัวได้ดีแล้ว ยิ่งลดอาหาร แบบรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เราไม่ติดแล้ว เราก็รับอาหารเป็นธาตุ กินเข้าไป ให้ได้ปริมาณ พอเลี้ยงยังขันธ์ เหมือนเติมน้ำมันรถ ให้มันได้ นี่น้ำมันเครื่อง นี่ น้ำมันเบรค นี่น้ำมัน เบนซิน ใส่ให้มันพอเหมาะพอดี แล้วมีไฟ นี่แบตเตอรี่ พอเหมาะ มันก็ทำงานของมัน เท่านั้น ไม่ได้กินมาเพื่ออร่อย ไม่ได้กินมาเพื่อโก้เก๋ กินเพื่ออลังการอะไร ไม่ใช่เลย คุณก็จะกินอาหารอย่าง กินอย่างอริยะเลยจริงๆ กินแล้วก็ให้มัน ยังขันธ์เข้าไป มื้อเดียว ก็เหลือแหล่แล้ว ที่จะไปใช้แคลอรี่ ประมาณ เท่านั้นๆ จะใช้เท่าไหร่ล่ะ อาตมาคงใช้มากกว่า สองพันแคลอรี่ ในวันหนึ่ง เพราะโน่น เพราะนี่ ไหนจะโน่นนี่อะไร จะนั่งพักเสียหน่อย เดี๋ยวก็มาแล้ว เอ้า ต้องจ่ายแคลอรี่อีก เรื่อยไป แหละนะ มันก็จ่ายแคลอรี่ แล้วจ่ายแคลอรี่ชั้นสมองด้วยนะ สมองนี่ เขาใช้แคลอรี่ชั้นดีนะ แคลอรี่ ชั้นเลว ใช้ไม่ได้ด้วย ต้องไปใช้กับสมอง เซลล์สมอง เดี๋ยวถามหมอดูซิ เขาเรียนจริงๆนะ ใช้ เข้าไปใช้ จริง ต้องเอา แหม สังเคราะห์เอาแคลอรี่ชั้นดีเอาไว้ใช้ อะไรต่างๆพวกนี้ จริง กินมื้อเดียวพอ คนธรรมดา ก็ตามฐานะ กินมื้อเดียวก็พอตามฐานะจริงๆน่ะ อยู่ได้ เพราะ ปฏิบัติให้ลงตัวได้ นี่เป็นคำตอบ อยู่ได้ยังไง อยู่ได้อย่างปฏิบัติให้ลงตัวได้

 

พ่อท่าน ทำไมถึงคิดบวช

ตอบไปแล้ว

บวชแล้วดียังไงครับ

แหม เยี่ยมยอดเลย บวชได้จริงๆเลยนี่แล้ว ได้แล้วดี แต่ถ้าเรายัง ไม่มีภูมิฐานพอที่จะถือเพศ ตามสมมุติ อย่างนี้ เราไม่มีคุณธรรมพอ อย่าเพิ่งมาบวช มันฝืน แล้วมันบาปมาก การมาทางนี้ ทุกคน ก็รับสมมุติสัจจะด้วยว่า นี่เราต้องยกย่องไว้นะ เป็นผู้ที่มีสิทธิหลายอย่างนะ ได้รับสิทธิ หลายๆอย่าง ซึ่งประชาคมที่เรารู้กัน เรายกให้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น เราได้อะไรพิเศษนี่ เราจะต้องมี อะไรพิเศษตอบแทน หรือสมควร ถ้าเราไม่มี ค่าของบาปของบุญพวกนี้ มันเป็นจริง พระพุทธเจ้า ถึงตรัสว่า มาบวชแล้ว กินข้าวเขานี่นะ ถ้ามันไม่ได้คุณค่าพอกัน เป็นหนี้แล้ว อ้อ องค์นี้พอดีเลย นั่งกรึ่มเลย ยิ้ม ไม่เจตนาหรอกนะ ชี้ไปว่า เป็นข้างหลังล่ะนะ ไม่ได้ว่า คุณคนเดียวหรอก อย่าใจเสียว (ผู้ฟังหัวเราะ) มันเหมือนกินเหล็กแดงเผาไฟนะ อาตมาพูดอย่างนี้ เพื่อให้ท่านทั้งหลายนี่ สำนึก ด้วยเหมือนกัน เพราะฉะนั้น การบวชนี่ จึงบอกว่า ไม่ใช่เรื่องเล่น ไม่ใช่เรื่องอยากจะทำ ก็ทำเล่นๆ ไม่ใช่ บวชเป็นสมณะ เป็นสมณุทเทส เป็นสิกขมาตุ ได้สิทธิพิเศษ มากพอสมควร ตามสัจจะของมัน เพราะฉะนั้น ขึ้นมาแล้ว มันไม่เข้าท่านี่ บาปจริงๆ โดยสัจจะนะ อาตมาพูดเอาก็ได้ แต่อาตมาพูด มันจริงไม่จริง มันก็อยู่ที่สัจจะ อาตมาพูดผิด ก็เป็นผิด ถ้าอาตมาพูดถูก มันก็เป็นถูก เท่านั้นเอง โดยสัจจะ มันมีของมันเอง อาตมาอาจจะพูดผิด ก็เป็นตัวผิด แต่ถ้าเผื่อว่า สัจจะมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้น ทำบาปเท่าไหร่ ทำบุญเท่าไหร่ มันเป็นสัจจะของมันเอง เพราะฉะนั้น ค่าของมัน บวก ลบ คูณ หารนี่มันยาก แต่จะต้องฟังคร่าวๆนี่ อย่างที่ว่านี่ฟังได้ ก็จะต้องไปแก้ไข ปรับปรุง หรือว่า ทำให้มันได้สัดส่วน

 

ที่ว่า เจ้าชายสิทธัตถะ สามารถตัดต้นไม้ ๒ ต้นเคียงกันขาดในดาบเดียว ต่อเมื่อลมพัด จึงโอน โค่นลง ตามลม ไม่ทราบว่าพ่อท่าน เชื่อหรือไม่ แล้วพ่อท่านทำได้หรือไม่ หรือก่อนที่พ่อท่าน จะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องไปฟิตซ้อมร่างกายให้แข็งแรง ทางสรีระขนาด เจ้าชายสิทธัตถะหรือไม่ โปรดอธิบาย แบบรื่นเริง

นั่นแน่ มีให้โปรดอธิบายแบบรื่นเริงด้วยนะ เอ้า ตอบอธิบายแบบรื่นเริงน่ะ ที่เจ้าชายสิทธัตถะ สามารถตัดต้นไม้ แหม ไม่น่าเอานิยายนี้มาเล่าเลย ท่านสมณลักขโณน่ะหรือ แหม มาเล่าให้เรา จะต้องมา ตามเช็ดตามล้าง โอ้โห นะ ตัด แล้วต้นไม้ตัดขาดไปจนกระทั่ง แหม ไม่รู้สึกเลยนะ ก็เรียกว่า ฝีมือจอมยุทธนี่ ร้ายกาจมาก ขนาดนี้นี่นะ แล้วถามว่า พ่อท่านเชื่อหรือไม่

อาตมาเชื่อ เกินคิดนะ ในเรื่องกำลังภายในอย่างที่ว่านั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ ในสมัยของจีน เขามีจริงๆ แล้วฝึกปรือกันจริงๆ เพราะฉะนั้น ในพลังงาน พิเศษหลายๆอย่าง นี่เราคิดไม่ถึง คาดไม่ถึง เราเห็นเขาเล่น กายกรรมน่ะ เล่นอะไรต่ออะไรเพียงแค่นี้ๆ ทุกวันนี้ เรายังอัศจรรย์ เรายังเห็นว่า ประหลาด จริงๆ มันประหลาดยิ่งกว่านี้ อีกมากนักน่ะ โดยความจริงล่ะนะ เพราะฉะนั้น อาตมาเชื่อ แต่ว่าอาตมา ก็ยังไม่ได้นึกยินดีปรีดา จะต้องไปเที่ยวได้ฝึกอย่างนี้ด้วยหรอกนะ ทีนี้ ถามว่า ทำได้ หรือไม่ ทำไม่ได้ อาตมาทำไม่ได้ พ่อท่านทำได้หรือไม่ ไม่ ก่อนที่พ่อท่านจะเป็น พระพุทธเจ้า ต้องไป ฟิตซ้อมร่างกายให้แข็งแรง ทางสรีระ ขนาดเจ้าชายสิทธัตถะหรือไม่ อันนี้ตอบได้ว่า ต้องผ่าน ต้องฟิต ต้องทำ ปางใดปางหนึ่ง ต้องใช้กำลังสรีระ กำลังอะไรต่ออะไรต้องทำ ต้องทำ ต้องมี แล้วต้องซักซ้อม ไปจนกระทั่ง ถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น จะไปมีสรีระ หรือมีกำลัง มีวรยุทธถึงขนาด เหมือนตอน เจ้าชายสิทธัตถะ จะต้องมี ทั้งรูป และนามครบครัน ในตอนนั้น แต่เราจะใช้อะไร เท่านั้น

สมัยพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้า ทุกอย่างจะพร้อม จะเอาอะไรมาใช้ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านจะใช้ ทางด้านรูปธรรม หรือทางด้านอาณาจักร ท่านจะเป็นจอมจักรพรรดิ์ ซึ่งคนจะไม่กล้ารอนราญ แล้วจะไม่เป็น จอมจักรพรรดิ์

อาตมาเคยบอกว่า จอมจักรพรรดิ์นี่ คือผู้ไม่ฆ่าคนนะ คือผู้ไม่ฆ่าคน ผู้ที่กระดูกของท่าน จะต้อง ใส่สถูป กราบคารวะ ท่านจะต้องมีศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ฆ่าคน แล้วฆ่าสัตว์ไม่ได้ จะไปฆ่าคนได้หรือ จอมจักรพรรดิ์ นี่ ก็คือจอมจักรพรรดิ์ คือพระเจ้าแผ่นดิน ผู้ยิ่งใหญ่ แล้วไม่ฆ่าคน ไม่เบียดเบียน เพราะฉะนั้น จะมีความเลื่องลือบริหาร มีอาณานิคม อย่างที่เขาซูฮก อย่างประเภทใช้นามธรรม ใช้บุญบารมี จริงๆ เกินคิดนะ ยุคกาลนี้ ไม่มีตัวอย่าง ให้คุณเลย ประวัติศาสตร์นี้ก็ไม่มี ประวัติศาสตร์ เรื่องราวของ จอมจักรพรรดิ์มายกเลย อาตมาเคยงง เรื่องนี้ แต่อาตมาก็เชื่อว่า ระลึกรู้ แล้วก็ อะไรรู้ได้ตามญาณขึ้นไป จนกระทั่ง มาพูดให้คุณฟังได้ ซึ่งเรื่องแปลก แปลก ประหลาดที่สุด อาตมาจะเป็นพระพุทธเจ้า ต้องเป็นอย่างนั้นได้ด้วย แต่ตอนนี้ ยังไม่ถึง น่ะ ยังไม่ถึง อย่าลอง ห้ามลองของ

พ่อท่านจะเล่าให้ลูกๆได้รับรู้บ้างได้ไหม ว่าชาติก่อน พ่อท่านเกิดเป็นอะไร

ตอบแล้ว

พ่อท่านเคยอ่านลักษณะของพระโพธิสัตว์ มีข้อหนึ่งเขาบอกว่า ตอนเกิด แม่จะยืนคลอด แล้วเมื่อ คลอดออกมา จะไม่มีน้ำคลำ น้ำเมือกต่างๆ ตามร่างกายเลย พ่อท่านคิดว่า เป็นจริงหรือเปล่า ตอนพ่อท่านเกิด เป็นอย่างไร

ไม่รู้ แหม ถามอาตมาได้ว่า อาตมาเป็นอย่างไร ก็คงจะเหมือนคนธรรมดานี้มั้ง ยังไม่มีบารมี ถึงขนาดนั้นหรอกน่ะ แล้วบอกว่า จะเป็นจริงหรือเปล่า อาตมาไม่คิดให้ปวดสมอง สิ่งที่เกินจริง เป็นจริงได้ ในหลายๆ อย่าง ที่เราคิดไม่ถึง คือมันมีเหตุปัจจัยของมัน ไม่ใช่บังเอิญนะ ไม่ใช่เรื่องฟลุค ด้วย แล้วอาตมาเคยอธิบายเรื่องสรีระ ถึงเรื่องมหาปุริสลักษณะ อะไรต่างๆ นี่ของ พระพุทธเจ้า อาตมาเคยอธิบายนะ

พูดถึงวันที่ไม่มีพ่อท่าน พูดถึงวันที่ไม่มีพ่อท่าน ที่อโศก (ที่ท่าน ติกขวีโรพูดเมื่อเช้านี้) ทราบว่า พ่อท่าน บริจาคศพ ที่โรงพยาบาลอะไร เวลาเขาเผาพ่อท่าน จะขอกระดูกพ่อท่าน ได้หรือไม่ กระดูกของพ่อท่าน จะเจือทองคำ หรือธาตุใดไว้บ้าง

โอ้โห ! ถามลึกถามซึ้ง ถามหลายเรื่องหลายราว โอ้โห จะเป็นทองคำด้วยหรือนี่กระดูก ไม่เป็นมั้ง อาตมาจะ แหม อาตมาอธิบาย อจินไตยพวกนี้ ยากนะ เรื่องของสรีระ แม้แต่ด้านกระดูกนี่ มันก็เป็น การสังเคราะห์ แล้วจะมีพลังงานเข้าไปสังเคราะห์ ทั้งธาตุความร้อน ธาตุนั่นธาตุนี่ ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุของฟิสิกส์ต่างๆของมันนี่นะ อาตมาเคยบอกว่า อย่าว่าแต่ชาวพุทธเลย แม้แต่ ชาวอื่นเขา กระดูกก็เป็นพระธาตุได้ แต่ว่าคำว่าพระธาตุนี่ มีหลายอย่างไม่เป็นถึง โลหะหรอกน่ะ ไม่เป็นถึงโลหะ แล้วจะมีสีสรร มีลักษณะที่เป็นผิวพื้นของโลหะบ้าง มีได้น่ะ แต่ไม่ถึงขนาดนั้น สำหรับอาตมานี่ บอกได้เลยว่า จะไม่เป็นธาตุเหล่านั้น จะไม่เป็นธาตุอย่างกับพวกฤาษี พวกฤาษีนี่เป็นธาตุ พระธาตุ นี่เก่ง สายนั่งหลับตา เป็นพระธาตุได้เก่ง สายอย่างอาตมา เป็นกระดูก ธรรมดามากกว่า นี่ไม่ใช่ อาตมาพูดแก้ตัว ไม่ใช่อาตมาพูด มันเป็นเรื่องจริง เพราะอาตมาปรุง เพราะฉะนั้น จะเหมือน มนุษย์ธรรมดานี่มาก เพราะฉะนั้น ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ซึ่งเป็นของแท้ ของธาตุดิน น้ำ ธาตุแท้ของ วัตถุธรรมนี่ มันจะเอามาใช้ แล้วมันก็จะสังเคราะห์ เพราะฉะนั้น กระดูกของอาตมานี่ จะไม่เย็น จะไม่นิ่ง จะไม่เกิดการสังเคราะห์ ในชีวิตหนึ่ง เมื่อไปถูกไฟเผาแล้ว ก็จะทำปฏิกิริยา ออกมา อย่างหนึ่ง อย่างนั้น ตามธาตุของฟิสิคส์ มันจะไม่ออกมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่า ธาตุทองคำ จากกระดูกอาตมาเป็นอันขาด ศพของอาตมา บริจาคที่ โรงพยาบาลศิริราช นี่บัตรที่บริจาค ไม่รู้ไปทิ้งที่ไหนแล้ว

เวลาเขาเผาพ่อท่าน จะขอกระดูกพ่อท่านได้หรือไม่

ขออาตมาได้ยังไง อาตมาตายแล้ว ก็ขอคนที่อยู่ซี เผาแล้วก็ขอกันเอง อย่าทะเลาะกันก็แล้วกัน เผาให้มันเป็นขี้เถ้าเลยดีกว่า จะได้ไม่ต้องแย่งกัน จะได้ไม่ต้องขอ เผาเป็นขี้เถ้า เดี๋ยวก็แย่งขี้เถ้า กันอีกน่ะ เอ้า ก็แล้วแต่ จะยังไงก็แล้วแต่ น่ะ เอ้า ผ่าน เก็งๆแล้ว ตอบหมด ก็แล้วกันนะ

พ่อท่านทานอาหารมังสวิรัติมาได้กี่ปี

กว่า ๒๐ ปีแล้ว เพราะอาตมาฉันอาหารมังสวิรัติ ทานอาหารมังสวิรัติ มาตั้งแต่เป็นฆราวาสน่ะ ที่บวชนี่ก็ ๒๐, ๒๑ ปีแล้ว เพราะฉะนั้น ๒๐ กว่าปีแล้ว

พ่อท่าน เคยมีแฟนหรือเปล่าครับ

ตอบไปแล้ว

ตอนหนุ่ม พ่อท่านหนังเหนียว ใช่ไหมครับ

ใช่ ตอนหนึ่ง ไม่ใช่หนังเหนียวตลอดกาล อาตมาเล่นไสยศาสตร์หนังเหนียวน่ะ เล่นกันนะ มันจริง ขนาดเชือดกันนี่ เอาใบยิลเลต ใบมีดโกน เชือด ไม่ใช่ว่าไอ้มีดทื่อๆมาทำฟัน แล้วมีวิธีการฟันด้วยนะ ไอ้อย่างนี้ มันก็ไม่เข้าน่ะซี ต้องเอาประเภทที่ เราจะลองกันนี่นะ อย่าว่าแต่ใบมีดโกนเลย แม้แต่มีด ธรรมดา จะเอามาลองฟันกันนี่ จะต้องมาถึงก็โกน โกนขนให้เห็นเลยว่า คมขนาด โกนขนร่วงนะ จึงใช้มีดนั้นฟัน ฟันชึก ไม่เข้า เล่นกันขนาดนั้น อาตมาเล่น มาเรื่องของหนังเหนียว แต่เดี๋ยวนี้ อย่ามาลองนะ ฉัวะ เลือดไหลแน่ๆ เพราะอาตมาไม่ได้ใช้พลังงานด้านนั้น และก็ไม่ได้ปรุงแต่ง ไปในมุมนั้นแล้ว ไม่เล่นอย่างนั้นแล้ว เอาพลังงานมา แค่แต่เร่งพวกคุณ ให้มาปฏิบัติธรรมนี่ ก็จะหมด แคลอรี่แล้ว จะเอาพลังงานที่ไหน ไปใช้ในพวกนั้นได้ รู้ไหม

พ่อท่านกินข้าวมื้อเดียว ไม่เหนื่อยเหมือนพวกเราบ้างหรือครับ

อาตมากินข้าวมื้อเดียวนี่ก็เหนื่อยแล้ว เพราะฉะนั้น จึงเห็นใจคนที่กิน ๒ มื้อ ๓ มื้อ จุบจิบอีกต่างหาก เห็นใจจริงๆว่า ไม่เมื่อยหรือยังไง ทำไมกินได้กินดี ไม่หยุดปากหยุดคอเลยน่ะ การกินมื้อเดียว แถมอีก พระพุทธเจ้าว่า มีอานิสงส์ ๕ ประการ อานิสงส์ประการที่ ๖ คือฟันดี อย่างที่อาตมา หมอฟัน ได้อุทาน อาตมาแล้วว่า ทำไมไม่มีแบคทีเรีย ทำไมไม่มีทรัคท์ ไม่มีคราบไคล ไม่มีอะไรต่ออะไร ฟันทำไมดี แบคทีเรียก็ไม่มี ไม่มีแบคทีเรียในปาก ไม่เหม็นนะ จริง ปากเหม็นนี่ แบคทีเรียนะ และลำไส้ไม่ดี แก๊สมาจากกระเพาะ มี ๒ อย่าง ที่ทำให้ปากเหม็นน่ะ เพราะฉะนั้น เมื่อท้องก็ดี ปากก็ไม่มีแบคทีเรีย ไม่เหม็น แต่ห้ามมาดม

สังเกตว่าพ่อท่าน ไม่ค่อยมองผู้หญิงเลย เวลาเทศน์ ซึ่งเมื่อก่อน มองมากกว่านี้ อยากทราบว่า พ่อท่านสำรวมสายตา หรือมีสาเหตุอื่น

ช่างสังเกตจริงๆนะ ปัดโธ่! ไม่จริงหรอก อาตมาก็มองอยู่นี่ ผู้หญิงมากด้วยนะนี่ มานั่งข้างหน้านี่ เป็นผู้หญิงซะส่วนใหญ่ ผู้ชายอยู่ข้างๆ นี่เยอะเห็นไหมนี่ เยอะแยะนี่ แล้วไม่มองอะไรเลย เมื้อกี้ ก็มองอยู่ ทั้งนั้นแหละ ไม่มองก็เห็นน่ะ อยู่ข้างหน้านี่ ตำตาอยู่อย่างนี้นี่หรือว่ายังไง หรืออย่างสุดานี่ ไม่ใช่ผู้หญิง ก็ผู้หญิงทั้งนั้นแหละ นี่เห็นไหมนี่นั่งๆอยู่นี่ ไม่มองได้ยังไง หา สังเกตผิดมั้งนะ

พ่อท่านบวชมากี่ปี

ตอบไปแล้ว ๒๐ ๒๑ ย่าง

พ่อท่านใช้เวลาเป็นพระโพธิสัตว์กี่ปี

โอย นับไม่ถ้วน

พ่อท่านเคยสะกดจิตคนอื่นไหมครับ

เคย เคยเล่นสะกดจิตมา แต่ก่อนสะกดจิตเป็น เดี๋ยวนี้เลิกแล้ว

ใครเป็นคนแต่งตั้งอโศก ถ้าเป็นพ่อท่านอายุกี่ปี

เอ๊ะ ทำไม มันเกี่ยวอะไรกัน ถ้าเป็นพ่อท่าน พ่อท่านอายุกี่ปี ตอนตั้ง มันคงจะไม้ยมกนี่คงยาว กินความหมดละเนาะ ใครเป็นคนแต่งตั้งอโศก จะว่าแต่งตั้งอโศกนี่ ก็ค่อยๆมันเป็นมาเองนะ จะว่าตั้งแท้ๆ ก็อาตมาก็มีส่วนผลักดันมากเหมือนกันนะว่า เอาอันนี้ก็แล้วกัน เรียกอันนี้ อันนี้ มันก็มีประวัติ นิทานของมัน มาเกี่ยวกับคำว่าอโศก ตั้งแต่เราบวชครั้งแรก อยู่วัดอโศการาม มาบรรยายธรรม ที่ลานอโศก ออกหนังสืออโศก ทุกคนเขียนเรื่องมานี่ ไม่เอานะ นามปากกา คนนั้นคนนี้ ทุกคนนามปากกาอโศกหมด อะไรอย่างนี้เป็นต้น เลยกลายเป็นพวกเรา พวกเผ่าอโศก แล้ว ทุกคนเป็นอโศก ก็เลยกลายเป็นอโศกมาอย่างนี้ อาตมาอธิบายสั้นๆ นี่ก็เห็นแล้วว่า ลักษณะอโศก มันออกมา เอ้า ก็ชื่ออโศกก็แล้วกัน ก็มากันเองน่ะ

ถ้าเป็นพ่อท่าน พ่อท่านอายุกี่ปี แต่งตั้งมากี่ปี ก็ตั้งแต่ตอนโน้นสิ ไปบรรยายอยู่ที่วัดมหาธาตุฯ และ คำว่าอโศกนั้น คืออโศก มันขึ้นมา ตั้งแต่ตอน วัดมหาธาตุฯ โน่นแหละ ก็ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๑๕ ได้ก็เท่าไหร่ล่ะ ๒๕๑๕ ตอนนี้ ๒๕๓๔ นั่นล่ะ

เอ้า อีกใบ สุดท้าย

พ่อท่านเคยโกรธคนไหม แล้วเวลาโกรธ พ่อท่านทำอะไร

ถามมามี ๒ ประเด็น พ่อท่านเคยโกรธคนไหม อาตมาเคยโกรธคน ตั้งแต่ยังไม่บรรลุธรรม นั่นเคยโกรธ จนกระทั่ง ปฏิบัติธรรมแล้ว ความโกรธ ก็ลดลง ลดลง จนกระทั่ง ลดได้จริงๆ ตอนนี้ บอกเป็น อุตริมนุสธรรมเลย ว่า อาตมาไม่เคยโกรธใครแล้ว แล้วเห็นอานิสงส์ ของการไม่โกรธ มันเป็นสุข จริ้งจริงๆเลย นะ ใครไม่เชื่อ อย่าเชื่อ จริงๆ ไม่โกรธใครนี่ มันมีใจ ไม่โกรธใคร ใครจะด่า ใครจะทำร้าย ใครจะมาแกล้ง มาอะไรของเราช่างเถอะ จะมาทำร้าย ทำลายเรา อย่างใดๆ ดูถูก ดูแคลนยังไง ก็แล้วแต่ ทำผิดใจผิดเจย ทำไม่ถูกต้อง ตามใจที่เราต้องการ อะไรก็ตาม ไม่ต้องโกรธ ไม่ต้องโกรธ การยังโกรธนี่ ทำอะไรได้ตามใจที่เราหวังนี่ มันเป็นอัตตา มันเป็นตัวอัตตาแท้ๆ มันเป็นกู ถึงแม้คุณจะถูกก็ตาม คุณจะถูกก็ตาม ไม่ต้องหรอก ก็เขาทำอย่างนั้น มันก็เขาทำน่ะ ใจเราเอง เรายังทำตามใจเรา ไม่ได้ดังใจเราเลย ฟังอันนี้เอาไว้ ใจเราเอง ตัวเราเอง เรายังทำอะไร ไม่ได้ดังใจเราเอง แล้วเราจะให้ผู้อื่น มาทำให้ได้ดังใจเรา คนนั้น มหาอภิมหาบรมนิรันดร์โง่ จริงไหม เอาไปคิด แล้วคุณ จะพิจารณา คุณจะปลดปล่อยอันนี้ได้ เราจะไม่โกรธ เพราะว่าเออ คนนั้นคนนี้ เขาทำอย่างโน้น อย่างนี้ คุณจะไม่โกรธเขาเลย ไปโกรธเขาทำไม ก็เขาน่ะ ก็บอกแล้วว่า เราเอง เรายังทำอะไร ให้ได้ดั่งใจเราสมบูรณ์เต็มที่ เรายังทำไม่ได้ทั้งหมดเลย แล้วจะไปให้คนอื่น เขามาทำ ได้ดั่งใจเราไป อย่าว่าน้ำท่วมหลังเป็ด เลยฮึ น้ำท่วมหลังอะไรล่ะ สำนวนโบราณ น้ำท่วมหลังเป็ด ก็ไม่มีทาง ให้หมางอกเขาก็ไม่มีทาง ให้เต่ามีหนวดก็ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นไปได้นะ เพราะฉะนั้น ไม่โกรธ คนที่ถึงความจริงแล้ว แล้วอบรมจิตให้เห็นจริงให้ศรัทธาจริง ให้เกิดปัญญาญาณ ญาณทัสสนวิเศษจริง และคุณจะเชื่อมั่น และคุณก็จะไม่เป็น คือ ไม่โกรธ ไม่โกรธจริงๆ แล้วสบ๊าย สบาย

ทีนี้มาถามว่า เวลาโกรธ พ่อท่านทำอะไร จำไม่ได้แล้ว อีตอนโกรธ ตอนที่เป็นอยู่โน่นทำอะไร จำไม่ได้น่ะ แต่ไม่เคยไปทำร้าย ทำลายอะไรใครมากมาย อย่างดีก็คงด่าเขา ว่าเขาบ้างมั้ง แต่เคย ไปตบไปตี ไปชกไปเตะ ไปอะไรเขาไม่ อาตมาไม่ได้เป็นหยาบอย่างนั้นนะ อะไร ตบหน้าน้อง ไหนตบหน้าน้องไม่เคย หา เคยถีบนายชาติ (ผู้ฟังหัวเราะ) เคยถีบนายชาติครั้งหนึ่ง แต่ถีบนี่ ตั้งใจ ตั้งสติถีบนะ ถีบให้เขาเซ ออกไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่ได้ถีบให้เขาเจ็บอะไร คือถีบยันนะ ยันน่ะ ยันออกไป ยันออกไปที่หน้าบ้าน ยันออกไปข้างนอกเลย ไม่รู้ว่าเขาโกรธหรือไม่โกรธ อาตมาไม่ใช่เขานี่ โกรธตอนนั้นโกรธ ตอนนั้น ก็ยังไม่ได้ปฏิบัติธรรมอะไร ยังเด็กอยู่เลย มีอยู่ครั้งเดียวเท่านั้นน่ะ ที่เคยตีน้อง เคยตี อาตมาตีน้องนี่ เลือดไหล ติดไม้บรรทัดเลย ไม่ใช่ ใช้ไม้บรรทัดไม้ฉาก อาตมา ยังจำได้ ตีนายแต๋มนี่ ตีนายด้าวนี่ ยังเล็กอยู่น่ะ ดื้อ ดื้อ อาตมาก็เอ้ ทำไม นะเรา มันมีอัตตา ตอนนั้น มันมีอัตตา เราเลี้ยงมา เหมือนลูกนะ เลี้ยงมาตัวยัง เด็กเล็กๆเลย ให้ไปเรียนหนังสือให้ดี ให้ไปโน่นนี่ ทำไมมันดื้อด้าน ไม่เข้าใจ พูดรู้ เรื่อง ดื้อ ดื้อ ตี ใจนี่มันมันน้อยใจน่ะ มันไม่ได้โกรธหรอกนะ มันน้อยใจ ทำไมนะ หวังดีแล้ว ทำไมมันจึงเป็นอย่างนั้น ตี แต่พอดีเหลี่ยมคม ของไอ้ พลาสติกน่ะ มันไปถูกหนัง มันก็เลยเข้า บาดง่าย มันก็เลือดออกน่ะ เห็นเลือดออก ก็เลยหยุดตีน่ะ ก็เท่านั้นเอง ในชีวิต ไม่ได้ไปโกรธ ธรรมดาอาการอารมณ์วูบๆวาบๆ ไอ้โกรธธรรมดา มันก็เป็น ธรรมดาบ้าง แต่ไม่เคยไปโกรธรุนแรง โหดร้ายอะไร ยิ่งพยาบาทอาฆาต ไปพยาบาท อาฆาตคนนั้น คนนี้ อะไร ไม่มี ในชีวิตไม่เคยไปอาฆาตใคร ใครทำเราก็แล้วไป ไม่มีอาฆาต อันนี้ เป็นบุญเก่า เป็นบารมีอาตมารู้ คนหลายคน พยาบาทอาฆาต อันโน้นอันนี้อยู่ อาฆาตไปทำไม เวรภัยไม่เข้าเรื่อง หยุด

เลยไป ๑๐ นาทีพอดีๆ เลย นี่ถึง ๘ โมง ๑๘ พอ จบดื้อๆน่ะ

สาธุ


ถอดโดย ประสิทธิ์ ฝ่ายทอง
ตรวจทาน ๑.โดย สม.ปราณี ๒๐ ก.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย สม.จินดา ส.ค.๒๕๓๔

ตอบปัญหาส่วนตัว / FILE:1670B.TAP