เปิด กศน.ปฐมอโศก
โดยพ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๑๕ พ.ค.๒๕๓๔
ณ ศาลาปฐมอโศก

วันนี้ ก็เหมือนเป็นนิมิตดีนะ เป็นวันแรก ประวัติศาสตร์ของชาวอโศกเรา ที่ปฐมอโศกนี่ เริ่มเป็น กิจจลักษณะ ที่จะมีโรงเรียน ซึ่งเป็นโรงเรียนที่จดทะเบียนกับทางกระทรวงเขา แม้ว่าจะไม่ใช่สถานที่ หรือไม่ใช่ของปฐมอโศกเอง เราไปอิง หรือว่าเราไปพ้องกับทางสันติอโศก เขาก็ตาม ก็เหมือนกับ ทางมหาวิทยาลัยเขานี่ เขามีวิทยาเขต มหาวิทยาลัยรามคำแหง ก็อยู่ที่รามคำแหง เสร็จแล้วเขาก็มี วิทยาเขต ไปอยู่อีกที่หนึ่ง ห่างออกไปเหมือนสาขายังงั้นน่ะ ของเราก็คล้ายๆกัน แต่การศึกษา ก็มีอันเดียวกัน การศึกษาของเรา ก็มีนโยบายเดียวกัน มีการฝึกฝน สร้างผู้ สร้างคน สร้างให้เป็นคนดี เป็นคนมีคุณค่า คนมีบุญกุศล มีประโยชน์ที่แท้จริง เหมือนกันนะ

ชาวอโศกเราได้ก่อเกิด ได้รวมหมู่รวมกลุ่มเป็นสังคมมนุษย์แล้วมันก็ มีองค์ประกอบมันตามสังคม ที่เรามีปัญญากัน มนุษย์นี่มีปัญญาก็ได้คิดอ่าน คิดสร้างระบบ พิธี คิดสร้างอะไรต่อมิอะไรขึ้นมา เพื่อที่จะรังสรรค์ เพื่อที่จะประกอบแบบประกอบ พิมพ์ ประกอบสิ่งที่จะอบจะรม ซึ่งองค์ประกอบ เหล่านั้น ในภาษาความหมายพวกนี้ พระพุทธเจ้าท่านตรัสรวมเอาไว้ว่า พ่อหรือแม่ เป็นพ่อหรือ เป็นแม่ เป็นองค์ประกอบ ทั้งหมด พ่อพิมพ์ แม่พิมพ์ แม่พิมพ์ยังงี้ เป็นต้น เป็นผู้ที่จะจัดแจง เป็นองค์ประกอบที่ จะมีฤทธิ์มีแรงที่จะทำให้เรานี่ ไปเปลี่ยนสภาพไปสู่สภาพที่ถูกหล่อหลอม ให้ดี ให้เจริญ ให้ประเสริฐขึ้นมาให้ได้ วิธีการทั้งนั้นทั้งผู้คนทั้งสิ่งแวดล้อม ทั้งวิธีการกฎหลัก ระเบียบ ต่างๆ นานานี่ อยู่ในส่วนของคำว่าพ่อ ของคำว่าแม่ทั้งนั้นเลย ของคำว่าพ่อ ของคำว่าแม่ ที่จะทำ ให้เราเกิด ทางกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม เกิดทางพฤติกรรม เกิดทางความเป็นคนที่จะมี กาย วาจา ใจ ที่ไม่ดี มาเป็นวจีกรรมที่ดี มโนกรรมที่ไม่ดี มาเป็นมโนกรรมที่ดี เปลี่ยนแปลงขึ้นมา ให้ได้ วิธีการที่ทำโรงเรียน วิธีการที่จะให้การศึกษา มีทั้งธรรมชาติ มีทั้งที่เป็นหลักเกณฑ์ รูปแบบ อย่างที่เราทำนี่ เรียกว่าโรงเรียน ที่มีหลักเกณฑ์ รูปแบบ มีขั้น มีตอน มีหลักสูตร มีวิธีการอะไรต่างๆ พวกนี้ นี่ เรียกว่า มี และเราก็ต้องเอามาใช้ เมื่อคนมากชั้น มากระดับ เราก็ต้องพยายามปรับ ให้เป็นงาน เป็นหน้าที่ แต่ละฐานะ แต่ละหน้าที่ แต่ละขั้น แต่ละตอน แต่ละระดับ มันจะได้ขึ้นมา นะ การศึกษาอย่างนั้น ก็เข้าใจกันอยู่ พวกเราก็คงจะพอเข้าใจ ที่อาตมาจะต้องอธิบาย ให้พวกเรา เข้าใจ ให้มากๆ คือสิ่ง ที่แตกต่างกันระหว่าง การเรียนของโลก ทางโลกเขาเรียนนี่ อาตมาถือว่า เป็นการศึกษา ที่ล้มเหลว

อาตมาอยากจะชี้เน้นตรงนี้แหละให้ฟังอีกชัดๆว่า เราเป็นนักเรียนเหมือนกัน แต่เราจะมี จุดต่าง ที่สำคัญ ตรงไหน จุดต่างที่สำคัญก็คือว่า พวกเราเป็นนักเรียนนี่ เราจะเรียน เน้นศีลธรรม เน้นคุณภาพ ของคน ที่จะมีจิตวิญญาณไปในทางธรรมธรรมะ เป็นศีลธรรม เป็นคุณธรรมให้มาก ให้เป็นนำหน้า คุณธรรมนำวิชาการ คุณธรรมนำกิจกรรม หรือนำความประพฤติ ความประพฤติ นั่นคือ อยู่ในคุณธรรม นำงาน คุณธรรมจะนำการงาน คนที่มีคุณธรรมดี การงานจะดีด้วย ถ้าคน ที่มีคุณธรรมไม่ดี การงานแม้จะมาก แต่เป็นการงานที่ไม่ดี อย่างคนโลกๆ เขาทำงานเก่งๆ บางคนนี่ ทำงานอย่างไม่ดี ไปทำงานจี้ ทำงานปล้น เป็นต้น นี่หยาบมาก รู้ได้ง่าย ถึงแม้ไม่เป็น งานปล้นงานจี้ เป็นงานสร้าง เหมือนกัน ก็ไปสร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้าง ไปทำสิ่งที่ ไม่ควรทำ ผลิตของปลอม เป็นต้น หรือผลิตของที่มันไม่ควรผลิต ผลิตเฮโรอีน ผลิตยาฝิ่น ผลิตเหล้า ผลิตบุหรี่ ผลิตของที่เฟ้อๆๆ ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย เดี๋ยวนี้ผลิตกันจนกระทั่ง ไม่เข้าใจแล้ว อะไรไม่ควรผลิต ผลิตเครื่องแต่งตัว ขึ้นมามากมาย ปรุงแต่งขึ้นมาเยอะ ผลิตเครื่องแต่งหน้า แต่งตา แต่งอะไรขึ้นมา ให้มันเลอะเทอะ ขึ้นมาเฟ้อขึ้นมาก มาล่อกาม ล่ออะไรต่ออะไร ที่มันจะซับซ้อน ลงไปยังงี้ เป็นต้น เขาไม่เข้าใจกิเลส มันต้องการ เขาเห็นกิเลสคนต้องการมาก เขาก็ยิ่งผลิต หลอกล่อมาก มันซ่อนนะ คนก็เลยยิ่งทำ ก็ยิ่งได้เงิน เขาก็ได้เงิน เขาก็ยิ่งหาทางแฝงปลุกเร้า ให้พวกเรานี่ มีกามมาก มีการติดยึดมาก แล้วเขา ก็สร้างขึ้นมา ให้คนยิ่งหลงใหลได้ปลื้ม แล้วก็ยิ่งซื้อ คนสร้างก็ได้เงิน อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า ยิ่งทำงาน ก็ยิ่งเป็นงานไม่ดี ยิ่งเป็น มิจฉาอาชีวะ เป็นมิจฉากัมมันตะ เป็นงานที่ไม่ดีนะ นั่นหนึ่ง

สองคนที่ทำงานมากๆ แต่เขาไม่มีค่า เพราะเขาทำงานไปแล้ว เขาก็เอาไปแลกเอาเงิน ไม่มีค่า ตรงไหน ค่ามันหมดตรง ไอ้นี่มันค่าสร้างขึ้นมา สมมุติว่า ต้องลงทุนทั้งวัสดุ ทั้งค่าแรงงาน ทั้งค่า สูญเสีย อะไรแล้วแต่ คิดทุนมันหมดแล้วนี่ ราคามันร้อยบาท พอสร้างขึ้นมา แล้วเขาก็เอานี่ไปให้คน เอาไปขาย นั่นเอง คนไหนจะเอาของนี่ไป ก็เอาแลกกลับคืนมา สมมุติทุนมันแล้ว ร้อยบาท ไม่ใช่สมมุติ หรอก ของมันจริงๆเลย ทุนมันควรจะร้อยบาท เสร็จแล้วเขาไปให้คนอื่น เขาก็ เอาร้อยบาท คืนมา แลกเปลี่ยนคืนมา ค่ามันก็หมด คนที่สร้างนี่ ก็ไม่ชื่อว่ามีค่า เพราะ เอาร้อยบาท คืนมา แม้แต่ตัวเลข ก็เป็นอำนาจในสังคมนะ ไอ้ธนบัตร หรือร้อย เงินที่ได้มาแลกเปลี่ยน ถ้าเอาร้อย นี่ไปซื้ออันนั้นคืนมา และไอ้นี่กลับคืนมาไหม ได้กลับคืนมา แล้วก็เท่าเก่า ก็ไม่ได้ให้ใคร อย่างเก่า ใช่ไหม แต่นี่เราให้เขาไป เราได้ร้อยมาแทน คนเขาก็ได้เอาอันนี้ไปใช้ไปกิน ไปทำอะไร ก็แล้วแต่ ตัวเราเอง ก็ไม่ได้ชื่อว่ามีประโยชน์ เพราะว่าเอาร้อยนี่มา แล้วก็เอาไปแลกอันอื่น หรือไม่แลกอันอื่น เอาไปแลกไอ้นี่คืนมา ก็เท่ากับอันเก่านั่นแหละ ก็เท่ากับเราไม่ได้ให้เขา เท่ากับเราไม่ได้ให้ ไม่ได้มีประโยชน์อันนี้ กับใครๆเลย

แต่ทีนี้จริงๆแล้วคนในโลกนี้ ทุนร้อยเขาไปขายร้อยหรือเปล่า ไปขายเท่าไหร่ ขายเท่าไหร่ เกินร้อยไป ขายเกินร้อยนี่ นั่นแหละเขาเป็นคนที่ยิ่งไม่มีค่าในโลกเลย นอกจากค่าที่บอกว่า ถ้าเอาคืนมา แค่ร้อย มันก็หมดค่าแล้ว แต่ดันผ่า ไปเอามากกว่าร้อยอีก แล้วมีค่าตรงไหนล่ะ ขูดรีดนี่ นี่แหละคือ หลักของ สังคมที่เขา ไม่รู้ความจริง แล้วมันก็ไปไม่รอด

เพราะฉะนั้น คนที่ทำงานในโลกนี้ จะมีหลักเกณฑ์ของการค้า หรือ หลักเกณฑ์ของระบบกำไร ขาดทุน หรือระบบของการแลกเปลี่ยน เป็นแบบ ทุนนิยม เขาเรียกทุนนิยมจะเป็นแบบนี้ เพราะฉะนั้น สังคมไม่มีค่า คนที่ทำงานในโลก จึงเป็นคนทำงานไม่มีค่า แม้แต่ค่าแรงงาน ทีนี้ไม่ใช่ผลผลิตนี่ ค่าแรงงาน ก็โก่งเอาค่าแรงงานของตัว แพงมากๆ เอาละ มันก็อาจจะมีค่าแรงงาน มันก็มีค่าละ แต่เราไป เอาค่าแรงงานของเขามา สมมุติว่า ค่าแรงงานเรา ควรจะร้อย เราเอามาหมดแล้ว เราทำงาน ให้เขาไป และแล้วเราก็เอา ร้อยบาทมา แล้วเรามีประโยชน์อะไรกะเขา เราเอาค่าแรงงาน มาคืนหมดแล้ว ค่าความรู้ก็ตาม ค่าแรงงานที่ลงไปในการกระทำ ทางกายก็ตาม เอามาคืนหมดแล้ว คุณมีค่าอะไร ดีไม่ดีจะคิดแรงงานนั่น แพงกว่าค่า กว่าควรด้วยซ้ำ เหมือนกับผลผลิต เพราะฉะนั้น ใครที่ตีราคา ของตัวเองแพง ค่าแรงงานแพงๆพวกนี้ พวกมีบาปทั้งนั้นแหละ ไม่มีค่าในโลกทั้งนั้น พวกคนที่ ค่าตัวแพงๆ คือคนไม่มีค่า กลับกันใช่ไหม ในโลกเรามองว่า ถ้าคนไหน มีอัตราค่ตัวแพงๆ นึกว่ามีค่ามาก ราคามาก แต่เปล่า ทางธรรม มองให้ชัด คือคนนั้น ยิ่งไม่มีค่าเลย ยิ่งติดหนี้ ยิ่งเป็นหนี้ ยิ่งเป็นบาป ฟังออกไหม เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าสมอง ตื้อกว่าเพื่อน ฮ่า ใครคิดว่า สมองตัวเอง ตื้อกว่าเพื่อน ถามคนสมองตื้อกว่าเพื่อน แล้วคนอื่น สมองฉลาดกว่า คงจะเข้าใจ ได้ง่าย ก็คงจะเข้าใจได้ เอาคนตื้อวัด ถ้าคนตื้อกว่าเพื่อนนี่เข้าใจได้ คนที่ไม่ตื้อกว่า คงจะเข้าใจได้ ใช่ไหม นอกจากนั่งหลับตาฟังนะ ถ้านั่งหลับ มันก็ไม่รู้เรื่อง หรือนั่งฟุ้งซ่าน ไปไหนก็ไม่รู้ ถ้าไม่นั่งฟุ้งซ่าน ตั้งใจฟังอาตมาพูด จะตั้งใจนะ

นี่คือหลักสำคัญที่คนทุกวันนี้ไม่ปฏิบัติตามสัจธรรม ออกนอกสัจธรรม สังคมถึงเดือดร้อน เรากำลัง จะเข้ามาหาสัจจะ เพราะฉะนั้น เราจะมาศึกษาการงาน การฝึกหัดตัวเองที่มีความรู้ ความสามารถ เราจะเน้นด้วย ทำด้วย สร้างด้วย แต่จะเน้นเรื่องของคุณธรรม หรือศีลธรรมให้มากยิ่งกว่า ถ้าเราเป็น คนที่เข้าใจ ในสัจธรรม มีศีลธรรมมากกว่า คนเราก็ขยันหมั่นเพียร ก็ไม่กินแรงเพื่อน ก็ไม่ขูดรีด ไม่เอาเปรียบ มีแต่ จะเป็นคนเสียสละ มีคนสร้างสรร มีคนที่จะมีคุณค่า คนทำประโยชน์ มากขึ้น ทุกที เพราะว่ามันเป็น ความจริงน่ะ ถ้าเราเห็น ถ้าเราเข้าใจ เชื่อด้วยปัญญา เชื่อ ศรัทธาเข้าใจ เชื่อ แล้วก็มีปัญญา เข้าใจ ความจริงถูกต้องนี่ คนเราจะไม่เอาเปรียบ กับใครหรอก เพราะเอาเปรียบ มันเป็นบาป และมันเป็น ความเลว และมัน ก็ไม่มีคุณค่าอะไร ไม่มีประโยชน์อะไร กะใคร ใครเห็น ก็บอกว่า อั๊ยคนนี่มัน เอาเปรียบ มันเที่ยวได้กินแรงคนอื่น ใครเขาจะไปชอบหน้า ใช่ไหม แต่ถ้า ใครเป็นคน เสียสละ สร้างสรร มีน้ำใจ โอ๊ย เกื้อกูลอยู่ โอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเจือจานอยู่ ใครก็จะนิยม ชมชอบ ใครก็รัก ใครก็ยกย่องเชิดชู เป็นเรื่องจริงๆ การเรียน การศึกษาในโลก อาตมาบอกแล้วว่า อาตมามองเห็น เป็นการเรียนที่ล้มเหลว เพราะฉะนั้น เราจะมาปรับการเรียนนี่ ให้มีคุณภาพ ตอนนี้ เราถึง คัดเลือกเอาคนที่ ตั้งใจจริงๆ แล้วก็เอามาพยายาม ฝึกหัดให้ดี แต่ก็จะให้เป็นธรรมชาติ มากที่สุด ไม่ให้ไปเร่งรัด ไม่ให้ไปบีบคั้น อะไรกันมากนัก อะไรในตอนนี้

อาตมาก็ได้คิดอะไรๆหลายๆอย่างก็จะได้อบรมพวกครู พวกผู้ดูแล ให้ช่วยกันนะว่า พวกเรา จะทำกัน ยังไงกัน ให้ดีที่สุด ก็ค่อยๆพยายามกัน และก็ขอให้ พวกเราได้ตั้งใจ

จุดสำคัญที่จะสรุปก็คือว่า เราจะเป็นนักเรียนที่เรียนรู้ มีความสามารถ มีความรู้แล้ว มีคุณธรรม ที่จะไม่เอาการศึกษานี้ ไปล่าลาภ ล่ายศ ไปหลงเบ่ง หลงโต มีความสามารถสูง มีความรู้มาก ก็ดี เอามาสร้างมากๆ ทำมากเลย แต่ไม่ต้องไปหลงใหล เป็นทาสลาภ ทาสยศ ทาสโลกียสุข หรือ สรรเสริญ ที่โลกเขาทำ ที่พาเป็น เพราะฉะนั้น เราจะทำงานนี่ ไม่ตีราคาค่าแรงงานให้แพง หรือ ยิ่งทำฟรี ยิ่งเป็นบุญ เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ที่สูงสุด

การศึกษาของเรานี่ จะศึกษาให้เรามีความรู้ ความสามารถจริงๆ จะทำเป็นนะ จะทำเห็ด จะทำนา ทำไร่ ทำสวน ทำเครื่องกล เครื่องมือ ทำอะไรที่มันมีงาน ของพวกเรา นี่ เรานี่จะเอางานที่สำคัญๆ มา งานที่ไม่สำคัญ เราจะไม่เอามา สมมุติจะสร้างโรงงานทำลิปสติก นี่ไม่สร้าง ทำไมไม่สร้างรู้ไหม ทำโรงงานลิปสติกนี่ ทำไมไม่สร้าง รู้ไหม ไม่รู้เหรอ มันเฟ้อ มันไม่ได้เรื่องอะไร ไม่ต้องทาลิปสติกหรอก ไม่เหนอะ ไม่หนะดี ไม่ต้องมายั่ว คนๆอยู่ดีๆ เอาสีไปทา ให้มันแดงๆ เขียวๆ บางคนทาปากเขียวๆ ก็ทาน่ะ ตลกน่ะ นี่แหละ พวกเติมแต่ง ไม่สร้างโรงงานทำแป้งผัดหน้า ทำเครื่องทาหน้า ทำเครื่อง สำอาง ไม่สร้างอย่างนี้ เป็นต้น ยิ่งไปสร้างไอ้สิ่งที่มอมเมา จัดๆ สิ่งเสพติด สร้างเหล้า สร้างบุหรี่ สร้างยาเสพติด สร้างสิ่งที่ จะไปมอมเมาคน หรือสร้างสิ่งที่จะไปเป็นพิษ เป็นภัยแก่คน เราจะไม่สร้าง งานเราจะไม่มี เราจะไม่สอนๆ จะสอนแต่งานที่มีคุณค่า แต่มีประโยชน์ จะเอาไปใช้ รองรับ เสื้อผ้านี่ เราก็จะตัด แต่จะไม่สอนถึงขนาด ต้องมีนักออกแบบชั้นเยี่ยม แหม จะต้องไป แข่งขัน กะโลกเขา เป็นนักออกแบบ ราคาแพง อะไรไม่เอา ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ไม่ถึงขั้นอย่างนั้น น่ะ ก็สอนให้พอตัด พอนุ่งห่มได้ เป็นเสื้อ เป็นผ้าพอที่จะให้มีความรู้ ความสามารถ ทำได้พอสมควร ก็พอแล้ว อยู่ในขอบเขตที่พอดี ก็พอแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น

เราทำ จะตัดจะเย็บ จะเป็นช่างตัดเย็บ จะเป็นทอผ้าทอผ่อน จะเป็นช่างที่จะสร้างบ้าน สร้างเรือน ไม่เก่ง ในการสร้างบ้านสร้างเรือน จะต้องออกแบบ แข่งเขา ไปออกแบบ ให้มันหรูหราฟู่ฟ่า สวยงาม เอิกเกริก อะไรเกินการ เราก็ไม่ต้องถึงขนาดนั้น แต่สามารถ สร้างบ้านสร้างเรือน ที่แข็งแรง อยู่อาศัย ใช้ประโยชน์ ใช้สอยได้ดีงามอะไรนี่ เราจะแนะนำ เราจะสอนอย่างนี้ เป็นต้น หรือ สร้างอะไร ที่สำคัญ เราจะให้มีความรู้พวกนี้จริงๆ แล้วจะเห็นคุณค่า ไอ้สิ่งที่เราสร้าง

ชีวิตของเราจะต้องพึ่งข้าว ชาวนานี่ เป็นคนที่ทำงานชั้นหนึ่ง ชาวนา ชาวไร่ ชาวสวนนี่ เพราะเราต้อง กินข้าว พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า อาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก อาหารนี่เป็นหนึ่งในโลก เพราะงั้น พวกเรานี่ จะต้องมีความรู้ และ ถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมกันเลยทีเดียว จะมีความรู้ในเรื่องนา ในเรื่องไร่ ในเรื่องสวน ในเรื่องเกษตรกรรม อย่างเก่งๆ ทีเดียว เพราะเราต้องกิน เราไม่กิน เราตาย อันอื่น ยังไม่เท่าไหร่หรอก อันอื่นยังไม่เท่าไหร่ เสื้อผ้านี่ คนไม่ต้องนุ่งผ้า เปลือยกาย จะตายง่ายไหม ไม่ง่ายหรอก แต่คนที่ไม่กินนี่เป็นยังไง ตายง่ายๆ คนที่ไม่ต้องปลูกบ้านปลูกเรือนเป็น ก็อยู่ได้ บ้านเรือน เราก็อยู่กับดิน กับโคนไม้อะไรก็อยู่ได้น่า เพราะฉะนั้น ข้าวนี่สำคัญ ปัจจัย ๔ นี่ อาหารนี่จะ สำคัญกว่า ยารักษาโรค สำคัญเหมือนกัน แต่ก็ยังรองอาหาร คนเราป่วยทุกวันไหม กินทุกวันไหม น่ะ เห็นไหม กินทุกวัน สำคัญกว่า เราไม่ป่วยทุกวันหรอก บางคนนี่ไม่ต้องใช้หรอก หยูกยานี่ บางคน นี่อายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยไม่ไข้ เพราะฉะนั้น ยาก็สำคัญ ถ้าป่วยถ้าไข้ ถึงขั้นมันจะตาย มันก็ต้องหยูกยา หรือหมอก็สำคัญ แต่ว่ามันไม่ทุกวันหรอกนะ อาหารจึงเป็นหนึ่งในโลก ส่วนอย่าง อื่นๆ ของประกอบอื่นๆ ยิ่งสำคัญน้อย รองลงไป เพราะฉะนั้น พยายามเข้าใจความจริงอันนี้ ให้ได้นะว่า การทำนา ทำไร่ ทำสวน นี่ เป็นงาน ที่มีบุญ มีคุณค่า

ยิ่งสร้างแล้วนี่ ยิ่งขายถูก ยิ่งแจกฟรีนี่ ยิ่งเป็นค่าสูง เรายิ่งได้บุญ ยิ่งได้ค่ามาก ถ้าเราสร้างข้าว สร้างผักพืช อะไรก็แล้ว เสร็จ เอาไปขายแพงๆๆ นี่ ราคามันก็ยิ่งลด ค่ามันยิ่งลด ราคาของบุญ ราคาของคุณค่า ประโยชน์ของเรานี่ยิ่งลดๆ อย่างที่อธิบายแล้วว่า เราสร้างผลผลิตแล้ว เช่น สมมุติ สร้างข้าวนี่ ทุนมันร้อย เอาไปขายร้อย เราก็ไม่มีคุณค่าแล้ว ไม่มีคุณค่า ไม่มีประโยชน์กับใครแล้ว แต่ถ้าเราขาย ต่ำกว่าร้อย จะมีคุณค่า ประโยชน์แก่คนอื่นขึ้น ยิ่งให้ฟรีเลย ยิ่งมีคุณค่า ประโยชน์เต็มเลย เต็มร้อยเลย ยิ่งไม่หวง ไม่แหน ยิ่งทางด้าน จิตวิญญาณด้วย ถ้าเราให้เขาไป ใจก็ยังหวง เสียดาย แหม ของเราๆ นี่แสดงว่า เป็นตัวกูของกู ให้เขาไปแล้ว ก็ยัง ของกูๆๆ ยังงี้ ค่าก็ยังไม่แพง ยิ่งให้ไป ยิ่งไม่ได้ติดยึดว่า เป็นของเรา ให้ไป อย่างไม่หวงแหน ให้ไปอย่าง บริสุทธิ์ใจ เลยว่า ให้ก็คือให้ อย่างมีน้ำใจ เกื้อกูลเขาได้ ค่าทางนามธรรม นี่ ยิ่งแพงขึ้นไปอีก นับค่า บ่มิได้เลย คนยิ่ง จิตบริสุทธิ์ อย่างนี้ ยิ่งแพง สร้างอะไร ก็ราคาแพง เพราะว่า สร้างเพื่อ เกื้อกูลให้คนอื่น สร้างอย่างมีปัญญา อันไหนสมควรสร้าง ก็ค่อยสร้างๆ แล้วก็ให้ใคร ต่อใครไปอีก อย่างบริสุทธิ์ใจ ไม่ต้องการ เอาบุญเอาคุณอะไรเลย ราคายิ่งแพง ราคาบุญราคาคุณ อย่างนี้ยิ่งแพง นอกจาก ไม่เอาเปรียบแล้ว ให้อย่างไม่เอาเปรียบ และ ไม่ติดยึด เป็นของตัว ของตนด้วย ยิ่งราคาแพง อันนี้ลึกซึ้ง อันนี้ปรมัตถธรรม เรียกว่า ปรมัตถ์สัจจะ เป็นเรื่องเกี่ยวกับ เรื่องจิตวิญญาณ กิเลสเรา ไม่มีกิเลสอย่างนี้ ยิ่งบริสุทธิ์ ยิ่งสูงส่ง เพราะฉะนั้น เราจะมา เรียนรู้ สัจจะพวกนี้ แล้วจะเป็นคน อย่างนี้

เมื่อกี้สรุปให้ฟังแล้วว่า เราจะเป็นนักเรียนที่เรียนศึกษามีความรู้ ความสามารถ ขยันหมั่นเพียร เชี่ยวชาญ แต่จะไม่เอาค่าแรงงาน หรือว่าจะไม่เอาผลผลิตเหล่านี้ ไปแลกลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ให้แก่ตนมากๆ ไม่เหมือนทางโลก ทางโลกนี่เขาเรียนไป เพื่อที่จะเอาไปสร้าง แล้วก็ไปแลก เอาเงิน เอาทอง เอาลาภ เอายศมามากๆ ใช่ไหมๆ แต่ก่อนเราก็เข้าใจอย่างนั้น เหมือนกัน ทุกคน ใช่ไหม ใครไม่เข้าใจอย่างนี้ แต่ก่อนเนี้ย สร้างหรือไปเรียนหนังสือ ก็เพื่อที่จะเอาไปหาเงิน ใช่ไหม ให้ได้มากๆ ใช่ไหม ทุกคนก็เข้าใจอย่างนี้ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนะ มาเป็นนักเรียนที่นี่ ไม่ใช่แล้วนะ จะเรียนรู้ เพื่อทำงานได้เก่งๆ สามารถมากๆ เหมือนกัน มีความรู้ มากๆเหมือนกัน แต่ไม่เอาไป แลกลาภ แลกยศ ไม่เอาไปล่า ไม่เอาไปกอบโกย ไม่ไปทำงาน ด้วยความสามารถนั้น ไปเอาเปรียบ เอารัดเขามาก เก่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งดี แต่จะไม่ไปเอาเปรียบ

ยิ่งจะเสียสละ ยิ่งจะสร้างสรร คนยิ่งเก่ง ยิ่งสร้างได้มาก ยิ่งสร้างได้ดี ก็ยิ่งจะมีคุณค่า แก่โลกเขา ยิ่งไม่แลก ยิ่งไม่เอาเปรียบ ยิ่งเสียสละมาก ก็ยิ่งจะป็นคนมีบุญมาก มีคุณธรรมมาก มีกุศลมาก ตามจริง เลยนะนี่ ฟังดีๆ มีบุญ มีกุศลมาก มีคุณค่าจริงๆ แก่คนอื่น ให้คนอื่นได้คุณค่า จาก ที่ตนเอง เป็นคนสร้างคนคิด เป็นคนมีความรู้ และทำจริงๆ นี่จะต้องเข้าใจความจริง อันนี้ให้ชัด แล้วเราจะเป็น คนที่ทำงานอยู่ในโลก อย่างเบิกบาน ร่าเริงยินดี เรามีคุณค่า เรามีประโยชน์ เราเป็นคนดี เรามีคุณธรรม มีกุศล อย่างนี้ น่ายินดีตัวเองไหม น่ายินดีให้ตัวเองไหม มันน่ายินดี เพราะฉะนั้น เราจะยินดี คนไปเอาเปรียบ เอารัดเขามา หลงยินดีถูกหรือผิด (ผู้ฟังตอบ : ผิด)

แต่ก่อนเคยไหมๆ ไปเอาเปรียบเอารัดเขามาก ได้ๆแล้วมาหลงยินดี นึกว่าเราได้เปรียบเขา นึกมาหลงยินดี เคยไหม นั่นแหละคือ ความหลงผิด เรียกว่าโมหะ คือความเข้าใจ ไม่ถูกสัจธรรม มันไม่สอดคล้องกัน จริงๆใช่ไหม มันผิดเหลี่ยม ผิดมุมแล้ว แต่ก่อนเราเคยคิดผิด อย่างนี้แหละ มิจฉาทิฏฐิ อย่างนี้ ไม่รู้เรื่องอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ เราจะมาเรียนรู้อย่างถูกต้อง แล้ว ก็จะทำให้ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เราทำดี ก็ยินดี แต่ก่อนนี้ทำชั่ว ก็ยังไปยินดีความชั่ว ไปเอาเปรียบ เอารัดเขามา เป็นความชั่ว ใช่ไหม แล้วมาหลงยินดีกะความชั่วอยู่ได้ คนเรามันเป็นอย่างนี้ เสียส่วนใหญ่ มันโมหะ มันเมา เหมือนคนเมาไหม ไม่ใช่ทำดี นะ แต่ไปทำชั่ว และมาหลงชั่วว่าดี และก็มาหลงยินดี กะในชั่ว โอย เมาไหม เมาหมัดเมาจริงๆ เหมือนคนเมาจริงๆ ตอนนี้เราต้องเข้าใจให้จริง และสิ่งเหล่านี้ นี่แหละ เราจะอบรมเป็นความจริง เป็นสัจธรรม เป็นความรู้ที่ถูกต้อง และจะเป็นคนอย่างนี้ ในโลก การศึกษายังงี้ อย่างพวกเรา จะศึกษายังงี้ แล้วจะรู้ความจริงต่อไปในโลก ประโยชน์ไปในโลก ประโยชน์ไปในสังคม ก็จะมีมาก ประโยชน์ในประเทศชาติ ก็จะมีมาก

ทุกวันนี้ ประโยชน์ในประเทศชาติ มันไม่มีมาก เพราะมันผิดสัจธรรม อย่างที่อาตมาเล่าแล้ว มันจึง แข่งขันกัน แย่งกัน หาเล่ห์หาเหลี่ยม เพื่อที่จะเอาเปรียบเอารัดกัน สังคมจึงอยู่อย่าง เบียดเบียน อยู่อย่าง แก่งแย่ง อยู่อย่างซับซ้อน มีเล่ห์มีเหลี่ยม ปิดบัง ต่างคนต่างจะเอาเปรียบ ต่างคนต่าง จะหลงว่า การได้เปรียบเป็นสิ่งดี แล้วก็รู้เหมือนกันนะว่า การเอาเปรียบไม่ค่อยดี ก็เลยหาวิธีพราง หาวิธีปิดบัง ไม่ให้คนอื่นรู้ว่า ตัวเองเอาเปรียบ กลับกัน ทำทีว่าตัวเองเสียสละๆนะ แต่แท้จริงนั้น มีวิธีการซับซ้อน ซ่อนมาได้เปรียบ มากขึ้นๆๆๆ นี่คนในโลกเป็นอย่างนี้ พวกเราจะไม่เป็นๆ อย่างที่ กล่าวนี้ เพราะฉะนั้น การศึกษานี้ จะต้องเรียนรู้จริงๆ ให้เข้าใจอย่างที่ อาตมาว่า ในนัยของธรรมะ ของพระพุทธเจ้านี่ มีนัยที่ลึกซึ้ง เรียนรู้ถึงเหตุๆ ที่ทำให้ เราเอง เราต้องไปหลงใหล ติดยึดมา มาเพื่อตัว เพื่อตนอีกเยอะๆ หลงอร่อยในตา หู จมูก ลิ้น กาย หลงสร้างภพ สร้างชาติ เพ้อฝันไป ในเรื่องที่ มันเป็นมิจฉาทิฐิ งมๆ งายๆ มีอีกเยอะ อาตมาคงไม่มีเวลาที่จะสาธยาย สิ่งเหล่านี้ ในวันนี้นะ แล้วค่อยได้เรียนกันไป

มาเรียนตั้งแต่เล็กๆ เด็กๆ นี่อยู่กับพวกเรานี่ดี เราจะเรียนรู้อยู่กับผู้ใหญ่ที่นี่ ทั้งสมณะ ทั้งสมณุทเทส ทั้งสิกขมาตุ ทั้งจะเป็นนาค เป็นกรัก เป็นปะ เป็นอารามิก เป็นคนวัดอะไรก็แล้วแต่ ได้เรียนรู้ ธรรมะมา และค่อยๆเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ คนที่มีความรู้ ความจริงที่ถูกต้อง ก็มีอยู่ คนที่มีความรู้ ความจริง ที่ไม่ถูกต้อง ก็มี มีบ้าง ผิดพลาดบ้าง เราก็ค่อยๆศึกษา คนไหนผิด ก็พยายามรู้ แล้วก็ เออ คนนี้ผิดพลาดอยู่ ก็ไม่ต้อง ไปเอาตาม ในฐานะเราเป็นเด็ก เราไปท้วงไปติง ไม่ได้หรอก เออ เอาละ ท้วงติงไม่ได้ ก็ให้ผู้ใหญ่ หรือไม่ก็ไปบอกผู้ใหญ่อีกทีหนึ่ง ว่า เออ คนนี้เป็นยังงี้นะ ไปให้ข้อมูล เราไม่ถือว่าฟ้อง การฟ้องนี่ คือ มีจิตที่มีความโกรธ และความรัก ก็ไปฟ้อง มีความลำเอียง ก็ไปฟ้อง นั่น เรียกว่าฟ้อง ไปให้ข้อมูลโดยที่ว่า ให้มันสมใจเรา หนำใจเรา ถ้าเราโกรธ เราก็ไปพูดอย่างโง้น อย่างนี้ ดีไม่ดี ใส่ไข่ด้วยนะ ดีไม่ดีก็ไปรายงานประเภทที่เกินๆๆ ความจริงบ้าง นี่เรียกว่า โกรธ ใส่ไฟใหญ่เลย ใส่ไข่ใหญ่เลย นี่เรียกว่า ใส่ ไฟ ใส่ไข่ คือมันเป็นความไม่จริง ใส่อะไรผสมผเสไป นี่เรียกว่าฟ้อง

แต่ถ้าเผื่อว่าไปรายงานข้อมูลด้วยใจไม่ลำเอียงซื่อตรง และก็เห็นว่า ควรจะไปบอก รายงานข้อมูล ให้ผู้ที่ควรรู้ได้รู้ นี่เราเรียกว่า บอกข้อมูล ผู้ใหญ่จะได้ไปจัดการ ถ้าได้อะไร ที่มันจะเสียหาย ผู้ใหญ่ ก็จะได้รีบจัดการให้เรียบร้อย ไม่ให้มันเกิดการ คาราคาซัง ไม่ให้มันเกิดความเสียหาย ถ้าไม่รีบบอก ข้อมูล เราก็พลอยได้รับความเสียหายไปด้วย เพราะว่า ในหมู่เรา ถ้าเสียหาย มันก็เสียหาย อยู่ด้วยกัน เพราะฉะนั้น ต้องช่วยกันดูแลรักษา ดูแลระมัดระวัง เป็นหูเป็นตา แล้วก็คอยรายงานข้อมูล เพราะผู้ใหญ่เอง ก็ไม่อาจสามารถ ที่จะไปรู้อะไรๆ ได้หมดหรอก ไม่ได้ไปอยู่ทุกซอก ทุกมุมเมื่อไหร่ ผู้ใหญ่ก็ใช่ไหม ก็ทำงานอยู่เป็นสัดเป็นส่วน ก็ไม่ได้รู้ไปทั่ว เพราะงั้น เรารู้คนนั่นรู้ที่นี่ คนนี่รู้อันนั้น คนนี้รู้อันนี้ ก็เห็นว่า สมควรจะรายงาน เราก็มาบอก มารายงานกันนะ อย่างนี้ เป็นต้น เราจะต้อง เข้าใจ อย่าไปส่อเสียด ส่อเสียดคือ หาเรื่องพูดใส่ไข่ ใส่ไฟ พูดที่ไม่จริง เอาเรื่องเกินๆ มาผสมผเส ใส่เข้าไปๆ พูดไปบรรยายออกมา เก็บมาเกิน ไม่เป็นความจริง อย่างนี้ เรียกว่าส่อเสียด ทำให้โกรธ ทำให้แค้น ทำให้เคืองกัน ยุแหย่เหมือนกะ เหมือนยุแหย่นั่นแหละ เป็นการยุแหย่ อย่างนี้เรียกว่า ส่อเสียด พูดไม่ดี เราอย่าไปพูด อย่าไปทำนะ

การศึกษาที่นี่ เราจะพยายามที่จะอบรมให้มีคุณธรรมดังกล่าว แล้วให้มี ศีลธรรมจริงๆ แล้วก็เป็น คนดี ที่จะเป็นหลัก รุ่นแรกๆนี่ พวกเรารุ่นหนึ่งนะ จำเอาไว้นะ พวกเรานี่รุ่น ๑ นะ กศน.รุ่น ๑ เชียวนะ จะต้องสร้าง ประวัติศาสตร์ให้ดีๆ ให้ได้นะ ประวัติศาสตร์นี่รุ่นไหนดีๆ จะได้เป็นแบบอย่าง รุ่นน้องๆ ต่อไป หรือรุ่นหลังๆต่อไป ไม่ใช่รุ่นน้อง รุ่นไปอีกกี่ชุดๆ หลายช่วงคน ยิ่งจะรุ่นหลาน รุ่นเหลน รุ่นโหลน รุ่นอะไรๆไปอีกไกลเลย ถ้าเรามีหลักดีๆ ที่ถูกต้อง แล้วก็เอาแบบอย่างกัน ง่าย เอาแบบอย่าง กันได้ มีอิทธิพลสูง ถ้าแบบอย่างของเราดีๆ นี่น้อย มีแต่ชั่วมากๆ ชั่วมันก็มีอิทธิพล คนก็ตามแบบ ชั่วมาก ตามแบบผิดๆ มากได้ง่าย

ถ้าเรามีดีมากๆ ถูกต้องมากๆ มันก็มีอำนาจมีฤทธิ์ คนจะตามได้ง่ายๆ ตามได้เร็ว และแล้วก็อยู่นาน นะ เพราะฉะนั้น เรามาปฏิบัติตนให้ละชั่ว ละสิ่งไม่ดีไม่งาม และเราก็ มาอบรมตัวเองเป็นคน มีสิ่งดี มีสิ่งที่เจริญ มีสิ่งที่ประเสริฐ ให้แก่ตัวเราเอง เราก็ได้สิ่งดี เราก็ได้บุญ ได้กุศล ได้เจริญติดเนื้อ ติดตัวไปเลย ติดจิตวิญญาณไปด้วย สังคมก็ได้กับเราด้วย

แน่นอนที่สุด เป็นตัวอย่างอันดีงาม หรือเราดีแล้ว เราก็สร้างสรรคนอื่น ก็ได้รับส่วนที่เราสร้างสรร ก็เป็นบุญของเรา เป็นกุศลของเรา คนอื่นก็ได้รับประโยชน์ ได้รับคุณค่า ได้รับสิ่งเราได้สร้าง เราได้สรร นี้ด้วย อย่างแท้จริงนะ ข้อสำคัญ เราจะไปเห่อเหิมกับโลกเขาเลยนะ เราจะไปหลง ประกาศนียบัตร ไปหลงปริญญา แต่มันบอกเป็นหนังสือ บอกฐานะ บอกเขต บอกขีดว่า พวกนี้จบชั้นนี้ คนนี้จบชั้นนี้ คนนี้มีความรู้วัด มีเครื่องวัด มีวิธีวัด วัดได้ด้วยอันนี้ จบ ป.๖ นี่ จบประถมศึกษา นี่จบมัธยมต้น นี่จบมัธยมปลาย นี่จบปริญญาตรี นี่จบปริญญาโท ปริญญาเอก อะไรก็แล้วแต่ ก็เป็นใบบอกแจ้ง ซึ่งเรียนทางโลก เขาเรียนไปแล้ว เขาได้แต่ทดสอบแต่ความรู้ ความเป็นจริง มันไม่สูงจริงหรอก ปริญญาตรี ปริญญา โท

ถ้าพวกเรานี่ จะไปเรียนถึงขั้น ปริญญาตรี นี่ ควรจะต้องเป็นโสดาบัน ถ้าจะไปเรียนปริญญาโท จะต้องเป็น สกิทาคามี หรือเป็นอนาคามี เป็นสกทาคามี เป็นอย่างน้อย แล้วก็ค่อยไปเรียน ปริญญาโทมา แล้วหลักประกันนั้นจะดี คนที่มีความรู้ ความสามารถมาก มีความละลดกิเลส เห็นแก่ตัว น้อยลงๆ เป็นสกทาคามี มันก็จะมีความรู้ ความสามารถนั้น มาช่วยเหลือ เฟือฟายโลก และสังคม ได้มากขึ้น มันจะไม่เอาไปโลภ ยิ่งจะไปเรียนปริญญาเอก ยังมีความรู้ มีความสามารถ สูงขึ้นไป ควรจะต้องเป็นพระอนาคามี ไม่หลงใหล ได้ปลื้มกับลาภ ยศ สรรเสริญ ทรัพย์ศฤงคาร ที่จะเสียสละ ให้โลกได้มาก มีความรู้มาก ยิ่งดีใหญ่เลย เสียสละให้โลกมาก นี่มันมีความรู้มาก มันมีความสามารถมาก แต่มันยิ่งเอาไปโลภมาให้แก่ตัวเองมากๆ เพราะฉะนั้น การเรียนอย่างนั้น จึงเป็นบาป การเรียนอย่างนั้น อย่างฉ้อฉล ไม่สอดคล้อง กับสัจธรรม นี่ในโลกเป็นอย่างนี้ มันก็เลย ล้มเหลว คนก็เลยนิยมแบบได้เปรียบ หลงว่าได้เปรียบ เป็นสิ่งประเสริฐ ได้เปรียบ เป็นผลสำเร็จ ของชีวิตมนุษย์ สังคมในโลกก็พัง คนก็อยู่ทุกข์ อยู่ยาก

พวกเราจะพยายามเห็นความจริงอันนี้ อย่างนี้ให้ได้ แล้วก็เป็นคน อย่างอาตมากล่าวนี้ให้ได้ เป็นคน ที่จะต้องมีคุณธรรม เป็นโสดาบัน เป็นสกิทาคามี เป็นอนาคามีไปเลย เพราะฉะนั้น ที่นี่จะส่งเสียนะ ส่งเสียให้เรียนปริญญาตรี ปริญญาโทได้ แต่ต้องเป็นโสดา สกิทา อนาคา อย่างที่ว่านะ เรียนฟรี ส่งเสียให้เลย เป็นอนาคามี ก็ส่งไปเรียนเลย ไปเรียนเอาปริญญาเอก เป็นสกิทาคามี ส่งให้ไป เรียนเอาปริญญาโท เป็นโสดาบัน ส่งให้ไปเรียนปริญญาตรี แต่ถ้าไม่ยังงั้นแล้ว ไม่ส่งละ ส่งไปแล้ว ก็ไปเป็นภาระสังคม ไปเป็นตัวแย่งสังคม สังคมก็ล้มเหลวอย่างเก่า ฟังให้ดีๆนะ สังคมล้มเหลว อย่างเก่านี่ เรื่องจริงเลย อาตมาเองไม่รู้จะพูดยังไง ทางโลก เขาไม่เข้าใจ และเขาจึงเดือดร้อนอยู่ เขาแก้ปัญหาไม่ตก จนอยู่ทุกวันนี้เนี่ย สร้างกฎหมาย สร้างหลักการ สร้างอะไรต่ออะไร เอาตำรวจ ทหารเข้ามาบังคับขู่เข็ญ กันอยู่ทุกวัน นี่ มันไม่เสร็จ หรอกๆ แต่ของพวกเรานี่ จะไม่ต้อง ใช้ปืน ไม่ต้องใช้มีด คนที่มีความสามารถมาก รู้มากก็ช่วยคนได้มากๆ ก็เป็นคนมีบุญมากๆ อย่างแท้จริง คนก็นับถือ ยกย่องบูชา เชิดชูกัน มันอย่างสัจธรรมจริงๆ เอง แล้วพวกเราก็อยู่กัน อย่างมีความอุดม สมบูรณ์ มีการเกื้อกูลกัน เหมือนอย่างพี่ เหมือนอย่างน้อง นะ อยู่กันอย่างเรียกว่า ไม่ต้องแย่งชิง เหมือนของเขานี่ พวกเรานี่อยู่ไปๆ เถอะ ก็เรียนไปเถอะ แล้วก็ไม่ต้องไปเร่งรัดพัฒนา อะไรเกินการว่า เราเอง เราจะสู้โลกเขาไม่ได้ ไม่ต้อง เราแข่งตัวเราเอง วันนี้เราไม่ดี เราไม่ขยัน เราขี้เกียจทำงาน หรือ เราขี้เกียจดูหนังสือ วันนี้ขี้เกียจเท่านี้ พรุ่งนี้ต้องขยันกว่านี้ให้ได้ มะรือนี้ต้องขยันขึ้นมากว่าเก่า มะเรื่องนี้ ก็ขยันขึ้นกว่าเก่าเรื่อยๆ อย่างนี้ เปรียบเทียบกับตัวเอง

แม้แต่ในเพื่อนๆเรา ตัวเองนี่ ก็อย่าไปริษยากัน ใครที่เขาเก่ง เขาทำงานได้เก่ง เราก็ดูเขา โอ๋ เขาทำงาน ได้เก่ง เราน่าจะทำงานได้เก่งเป็นอย่างเขา เราก็พยายามทำให้มันได้อย่างเขา หรือทำให้ดี กว่าเขาขึ้นไปอีก แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องไปริษยา แหม เขาเอง เขาเก่งกว่าเรานี่ แหม จะแกล้งมันเสียบ้าง ทำร้ายมันเสียบ้าง ไม่เอา อย่างนั้นเลว ใครทำดี ใครเก่ง ใครสามารถมากๆ ต้องยินดีด้วย มีจิตใจอนุโมทนาคนที่เก่ง คนที่สามารถมากๆ

แต่ถ้าเก่งแล้วสามารถมาก ไปขี้โลภเอา แล้วก็ไม่ยินดีในส่วนขี้โลภ แต่เราจะยินดีในส่วนที่เขาขยัน หมั่นเพียร สร้างสรรได้ดี ส่วนความขี้โลภ เราไม่เอา ไม่ไปยินดีด้วย เขาเก่ง เราเลือกรู้ว่า เขาเก่งดีนะ เขามีความสามารถดี รู้นี่ดีนะ ก็เอาแต่ส่วนนั้น ส่วนเขาเอาไปขี้โลภ เราไม่เอาๆ ขี้โลภหรอก

เราเก่งอย่างเขาให้ได้ เราก็เอาไปเสียสละ เอาไปเกื้อกูลเอื้อเฟื้อให้มันต่างกับเขา ให้มันต่างจาก คนที่เก่ง แต่เอาเปรียบเอารัดไปขี้โลภ หรือ เอาไปเป็นอำนาจเบ่งข่มคนอื่น ไม่เอา เราจะไม่เบ่ง ไม่ข่ม คนจะมา เคารพ มาบูชานับถือเรา ไม่ใช่เพราะเราเอาอำนาจ ไปเบ่งข่ม แต่คนจะมาเคารพบูชา นับถือเรา เพราะเราไม่เบ่ง ไม่ข่ม แต่เรามีเมตตาเกื้อกูล เอื้อเฟื้อต่างหาก เราบูชาเคารพ เพราะว่า มีน้ำใจ มีการเอื้อเฟื้อ ไม่เบ่งไม่ข่ม ไม่ดูถูก ไม่ดูแคลน แม้จะเก่งกว่า แม้จะสามารถกว่า แม้จะมี ความรู้ มากกว่า ก็ไม่เบ่ง ไม่ข่ม คนก็จะต้องเข้าใจให้ได้ เราก็ยิ่งจะบูชา เคารพคนนี้ คนที่มี ความสามารถมาก ไปเบ่งไปข่มเขา มันก็ไอ้เท่านั้น ยิ่งไม่มีความสามารถเลย ทำก็ไม่เป็น ความรู้ก็ไม่มี แต่ว่าได้บัลลังก์ ยึดหัวหาดได้ มีอำนาจเขายกย่อง อะไรก็แล้วแต่ เขาสมมุติจนกระทั่ง มีอำนาจ ทำก็ไม่เป็น ความรู้ก็ไม่มี แล้วไปเบ่ง ไปข่มเขา ยิ่งบาปใหญ่เลย ได้เป็นหนี้ ได้แต่สิน คนที่ทำได้เก่ง จริงๆ แต่ก็ยังไปเบ่ง ไปข่มเขา ก็ได้บาป แต่ก็ยังบาปเบา เพราะตัวเอง ก็ยังทำ ตัวเองก็ยังสร้าง ก็ยังเป็นประโยชน์อยู่บ้าง แต่ก็ไปเบ่ง ไปข่มคนอื่น เบ่งข่มคนอื่น ที่เขาทำไม่เป็น มันก็มีบาป ตรงที่ไปเบ่ง ไปข่ม แต่ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้าง บาปก็ไม่แรงเท่ากับคน ที่ทำๆเอง ก็ไม่เป็น รู้ก็ไม่รู้ อาศัยคนอื่นทำ อาศัยคนอื่นสร้าง อาศัยคนอื่นรู้ แต่เสร็จแล้ว ตัวเองก็ไปเบ่ง ไปข่มเขา ตัวเอง ไม่เป็นเสียหน่อย คนนี้แหละบาป มากๆ ฟังให้ดีๆนะ

คนยิ่งทำเป็นขยันหมั่นเพียร สามารถมาก มีความรู้มาก แล้วทำ แล้วสร้างขึ้นมา ไม่เบ่งไม่ข่มเลย มีแต่จะแจกจ่าย เจือจานเอื้อเฟื้อเกื้อกูล อย่างมีปัญญาด้วย คนไหนสมควรได้ ให้ คนไหนยัง ไม่สมควรให้ ก็ไม่ คนไหนขี้โลภมาก ก็ต้านค้านๆ แย้งๆ บ้าง อย่าไปให้ย่ามใจ อย่าไปให้สมโลภ มากนัก มีวิธีการนะ วิธีการเรารู้ค่อยเรียนไป แล้วเราจะมีวิธีการ ก็ไม่ให้คนนั้นย่ามใจ ขี้โลภจัดอะไร เพิ่มขึ้น นี่แหละ จะเป็นวิธีรู้ เราจะรู้ว่า คนไหนควรแจก คนไหนควรให้ คนไหนควรจะได้ การเคารพ นับถือบูชา จะมีของจริงพวกนี้

ทีนี้การศึกษาของพวกเรานี่ ศึกษาอยู่รวมกันนี่ พี่ป้าน้าอา ใครที่ขยัน หมั่นเพียร ใครที่ไม่เรียนแล้ว ท่านก็เป็นคน มีความรู้ ความสามารถแล้ว เราก็จะทำงานด้วย เราก็จะคบคุ้นด้วย ไอ้อยากจะเรียน หนังสือ เรียนตำรา และเรียน ทฤษฎีหลักเกณฑ์อะไร ที่จะต้องใช้บ้าง ก็เรียนไป วิชาความรู้ หลายอย่างนี่ อาตมาจะดูในอนาคต ในวิชาเฟ้อๆ จะไม่สอน จะไม่ต้องสอน จะต้องลดในทาง หลักสูตรนี้ ก็จะต้องคิดอ่านกันอีก ที่สันติอโศก ก็จะมาคิดอ่าน เพราะฉะนั้น วิชาหลายๆอย่าง ที่มันเกินเลย เช่น วิชาคอมพิวเตอร์ ยังงี้ ไม่ต้องเรียนหรอก ให้เก่งๆ เก่งหลักเกณฑ์ เก่งอะไร ต่ออะไร พอสมควร แล้วพวกเราทุกวันนี้ ทำคอมพิวเตอร์กันอยู่ ได้ อยู่ที่สันติอโศก ไม่ได้ไปเรียน ไปเรินมาหรอก เสร็จแล้วก็ทำ ไม่ได้พ่ายแพ้เขาหรอก ตอนนี้จะใช้วิชา กดคอมพิวเตอร์ ทำอะไร ต่ออะไร เพื่อที่จะใช้งาน ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ถึงเวลาแล้ว เราจะเข้าฝึกงาน ถึงโอกาสแล้วได้ ไม่ต้องไปยาก เขาไปเรียนกันมาแพงๆ เสร็จแล้วก็มาเอาค่าเรียนแพงๆ แท้จริง มันไม่แพงเท่าไหร่ หรอก คนสร้างคอมพิวเตอร์ อาจจะยากหน่อยๆ ได้ราคาตอนแรกแพงหน่อย แต่แพงมันก็ไม่ควร ถ้ายิ่งคนเขาสร้างคอมพิวเตอร์ได้ ยิ่งขายราคาถูก เขายิ่งมีบุญมาก อย่างที่อาตมาบอกไปแล้ว เดี๋ยวนี้ มันก็ถูกลงๆ คนสร้าง เอาค่าสร้างไป คนใช้ทุกวันนี้ใช้คอมพิวเตอร์ มีความรู้ทางคอมพิวเตอร์นี่ คนใช้ คอมพิวเตอร์ กดปุ่มเป็น มีวิธีการ รู้วิธีการใช้นี่นะ มันอาจจะซับซ้อนหน่อย ต้องใช้ ปัญญาว่า เออ มันมีเชิงกล อะไรหลายๆอย่างนะ ก็ยังโน้นอย่างนี้ จะกดอย่างโน้น กดอย่างนี้ มันมีกี่ชั้น กี่เชิง แล้วมันจะออกมา ยังโน้นอย่างนี้ ก็ไปเรียนรู้บ้าง ฝึกปรือบ้าง แต่ไม่ได้เป็นคนสร้าง เราเป็นคนใช้ กดปุ่มนะ ให้มันเป็นนะ ไปเรียน วิธีกดปุ่มนะๆ แล้วก็ไปตีราคาแพงๆ คนพวกนี้ เราก็จะต้องไปเรียนรู้ ว่าเราเอง ศึกษาได้ ไม่ต้องไปตีราคาแพงหรอก คนกดเครื่องคอมพิวเตอร์นี่ ใช้สมองมากหน่อย ส่วนคนที่ ทำนานี่ ใช้อะไรมากๆหน่อย ใช้แรงงานมากหน่อย ร้อนหนักก็ ราคาเท่ากัน คนหนึ่ง ใช้สมองมากหน่อย สมองร้อน คนหนึ่งใช้แรงงานมากหน่อย ตากแดดมากหน่อย ก็ร่างกายร้อน สรีระร้อน เหมือนกันนะ

เพราะงั้น ทุกวันนี้ นี่ไปคิดราคาคนทำคอมพิวเตอร์ให้ราคาสูง ราคาแพง ส่วนคนทำนา ให้ราคาถูก มันผิดหมด น่ะทุกวันนี้ผิด อันนี้อาตมาคิดว่า คงไม่ได้อธิบาย อธิบายไปคงไม่ได้ มันซับซ้อน อีกหลายชั้น แล้วค่อยๆศึกษาไป อาตมายังมีเวลาอยู่ ยังไม่ตายแก่ไป ถ้าพูดได้ บรรยายได้ ก็ต้องบรรยาย

เมื่อวานนี้พวกคริสต์มาบอกว่า สงสัยว่าบรรยายอะไรกันทุกวันๆ เอาอะไรมาพูด เขาว่ายังงั้น อาตมาก็เลย ต้องตอบเขาบอกว่า ถ้าอาตมาจะอายุถึง ร้อยปีตาย อาตมายังไม่แน่ใจเลยว่า อาตมา จะพูด สิ่งที่ต้องการพูด หรือสิ่งที่จะพูด ให้พวกเราฟัง ที่ยังไม่รู้นี่นะ อาตมาจะพูดหมดไหม อาตมา ตอบเขายังงี้ เขาก็ งงๆ เอ๊อ ! เอาอะไรที่จะมาพูดตั้งร้อย ตายแล้วก็ยังจะมาพูดไม่หมด อาตมา ว่าจะอธิบาย อีกอันหนึ่ง ให้เขาฟัง แล้วก็ยังไม่ได้อธิบาย เมื่อวานนี้ ก็คือหลายอย่าง อาตมาจะ อธิบายเดี๋ยวนี้ ยังไม่ได้ เพราะจะไม่มีฐานรับ จะไม่มีความเข้าใจ ต้องรอเวลา ต้องรอโอกาส ถึงจะอธิบาย เพราะฉะนั้น บางอย่างที่จะอธิบาย ปีที่อายุ ๗๐ ปี ปีที่อายุ ๘๐ ปีที่ อายุ ๙๐ ปี ก็ยัง ไม่ได้อธิบายในตอนนี้ อธิบายในตอนนี้ ก็อธิบายไม่ได้

อาตมาจะพูดเป็นภาษาออกไป ก็มีภาษาคน ถ้าคนไทย ก็มีภาษาไทยทั้งหมดเท่านั้น แล้ว อาตมาพูด ออกไปนี่ พูดออกไปแล้ว ก็ยังพูดไม่ได้ บางทีตัวเอง ก็ยังพูดไม่ออกเลย ถึงพูดออก พวกเราก็ยัง รับไม่ได้ เพราะว่ายังสับสน เอาหัวเป็นหาง เอาหางเป็นหัว เอาหัวเป็นเท้า เอาเท้าเป็นหัวอยู่ เพราะจะต้อง มีจังหวะที่จะมีความรู้ ที่จะรู้สภาพชัดเจน ไม่สับสน ไม่กลับกัน จนเป็นฐานรองรับได้ อย่างแม่น อย่างมั่น แม่นยำ นั่นแหละ เราถึงจะฟังภาษาพวกนั้นได้

นี่ทุกวันนี้ อาตมาพูดกะพวกคุณ พวกเรานี่ พูดได้ง่ายขึ้น อย่างอาตมาพูดว่า ไอ้ขาดทุน นั่นแหละ คือกำไร โลกเขาถือว่า กำไรนั่นแหละคือขาดทุน งง ไหมๆ ไอ้ที่โลกเขาถือว่า กำไรนั่นแหละ พวกเรา ถือว่าขาดทุน พวกที่โลกเขา ถือว่า ขาดทุนนั่นแหละ พวกเราถือว่ากำไร งงไหม งงหรือยัง งงไหม ไม่งง บางคนยังงงๆอยู่ เห็นไหม แต่หลายคนไม่งงงแล้ว ยังงี้งงไหม ไม่งงแล้วนี่ สบาย มีฐานรับ อย่างพอเพียง อย่างนี้เป็นต้น นี่ต้องอาศัย กว่าจะอาตมาจะพูด อันนี้ได้ ใช้เวลาหลายปี เหลือเกินนะ และมาพูด กับพวกเรานี่ กว่าจะรู้เรื่อง กว่าจะพูดให้ลึกขึ้นไปอีก เดี๋ยวมันกลับแล้ว เดี๋ยวมันกลับแล้ว เอ๊า ตอนนี้เอาหัว เป็นเท้ากลับแล้ว พอต่อไปดีๆ เอาเท้าเป็นหัวอีกแล้ว อยู่ดีๆ เอาหัวเป็นเท้าอีกแล้ว โอ๊ย ถ้าคนไม่รู้ฐานนี่ เมาเลย โอย ทำกลับหลายชั้นนักเล่า กลับไปกลับมาๆ จะรับไม่ได้แล้วนา

อย่างศีล ศีล ๕ ดูโทรทัศน์ ดูการละเล่น ดูร้องเพลงอะไรได้ก็ศีล ๕ นี่แข็งแรง ร้องได้ถ้าไม่มีปัญญา ก็ร้องไปยังงั้นแหละ อย่างนี้ทุกวันนี้ เขาก็มอมเมากันอยู่ ยิ่งกว่าคนศีล ๕ อีก มอมเมา คนศีล ๕ จะมีปัญญา ร้องเพลงๆที่มีสาระ เพลงที่พออาศัย ถ้าเราจำเป็นต้องร้องเพลง เราต้องใช้สิ่งนี้ ชะลอ เพราะว่าร่างกาย หรือว่าอินทรีย์พละเรายังไม่แข็งแรง เราก็จะต้องมี ไม่ใช่ ร่างกาย จิตใจร้องเพลงนี่ จิตใจเรา ก็ต้องรับอันนี้ก่อน ก็เอาแค่ศีล ๕ เอ๊า ร้องได้ พอศีล ๘ ฐานสูงขึ้นมา ไม่ให้ร้องเพลงๆ แล้วเราจะอดใจได้ไหม เราต้องพิสูจน์ตัวเองว่า เออ เราไม่ร้องเพลง อดได้ไหม ไม่ร้องเพลงนี่ เจริญได้ไหม อดไหม มันรู้สึกอร่อย มันรู้สึกเพลงมันอร่อย มันบันเทิงใจ มันชูใจ เราจะอดได้ไหม ถ้าเราอดได้ ลดได้ ศีล ๘ แข็งขึ้นๆ จนกระทั่งรู้เท่าทันว่า ร้องเพลงนี่ เราอยู่เหนือเพลง เราร้องเพลง หรือว่าดูหนัง เป็นโสตทัศนศึกษา ไม่ใช่ดูเป็นมหรสพ คนศีล ๘ สูงขึ้นไป มันก็ต้องมีฐานสูงเป็น ๘ ที่อธิศีล สูงขึ้น ก็ร้องเพลงได้ ร้องไม่ใช่เพื่อตัวเอง ร้องเพื่อสอนเขา ร้องเพื่อจะให้ผู้อื่น ได้รับประโยชน์ ไม่ใช่ตัวเอง เสพติด ไม่ใช่ตัวเองจะต้อง อร่อยเอร็ดอะไร ร้องเพราะ เราชอบ ร้องเพราะเรามันหัวใจ ไม่ใช่ แต่เป็นประโยชน์กับผู้อื่น หรือเป็นประโยชน์ต่อตนก็ได้ เพราะฉะนั้น เราจะดูวิดีโอ ดูหนัง ดูละคร ดูอย่างมีความรู้ อย่างเหนือแล้ว สามารถดู แบบนี้นี่ ศีลกลับกลายไป เหมือนคนเลยศีล ๘ ไปอีก ศีล ๘ นี่สูงขึ้นไปอีก กลับกลายไปอีกเหมือนศีล ๕ ดูร้องเพลงได้ ดูโทรทัศน์ได้ มันกลับกัน อย่างนี้ คนก็งงๆ ใครไม่รู้ก็งงๆ เออ ไอ้ยังงี้มันไม่ได้หรอก จะถือว่าศีล ๘ ยังไม่ได้ ศีล ๘ ต้องไม่ดู โทรทัศน์

เหมือน สกุลเมืองนี่ เอย ยังงี้ไม่ได้ เอย ชั้นยังต่ำ นี่วัดนี่ดูวิดีโอ ดูทีวี ดูอะไรอยู่ นี่ อย่างนี้ถือว่าผิด ก็ใช่ คนที่เข้าใจไม่ได้ แต่คนเข้าใจจริงๆ และก็มีฐานที่ถึง แล้วจริงๆ จะเข้าใจได้ และต้องจริงใจนะ ต้องบริสุทธิ์ใจจริง ตัวเองไม่ได้เสพ หรือตัวเองได้ประโยชน์ๆจริงๆ จากสิ่งนี้ ขัดเกลาตัวเองก็ตาม หรือยิ่งรับรู้โลกวิทู เป็นพหูสูต เป็นสิ่งที่เราจะได้เข้าใจ หลายๆอย่าง เราไม่จำเป็น ที่จะต้องเอาตัวเอง เข้าไปค้นคว้า เอาไปสัมผัส ไปพบเห็นมาเอง นี่เขาสรุปมาให้แล้ว ยิ่งทุกวันนี้ มันเหมือนของทิพย์ มันเหมือน หูทิพย์ ตาทิพย์ มันกะอะไรเหมือน เขาย่นย่อมาให้ เขาสรุปมาให้ เขาเอาสิ่งเป็น วัตถุดิบ เหล่านี้ มาให้เรา เราก็ได้รับประโยชน์ อย่างน้อย ก็ได้ทดสอบ ตัวเอง อย่างสูงก็ใช้เป็นประโยชน์ โสตทัศนศึกษา ให้แก่ผู้อื่น นี่ อาตมาใช้อย่างนี้นา อาตมาใช้อย่างนี้นา เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ ก็ดูได้ ดูวิดีโอ ดูโทรทัศน์อะไรก็ได้ แต่ต่อไป เดี๋ยวครูจะบอกดูได้ เวลาเท่าไหร่ แต่เราก็จะต้อง มีเวลาทำงาน ทำการ มีเวลาศึกษาเล่าเรียน ตามระดับพื้นฐาน มันมีเยอะ

ทุกวันนี้ หลายๆ อย่าง อาตมาจะบอกแล้วว่า แม้แต่หลักสูตร แม้แต่วิชาการหลายๆอย่าง นี่เราจะตัด ไม่เอาละ ทุกวันนี้แบกหมดเลย เมื่อเช้านี้บอกว่า ไปวันนี้ เปิดเรียนพรุ่งนี้แล้วนี่ พ่อแม่จะต้อง เอา สตางค์ ไปจ่ายค่าอะไร ค่าคอมพิวเตอร์ ตัวเล็กๆนี่ เรียนคอมพิวเตอร์แล้ว ที่จริงเฟ้อ ไม่สมควรเลย อย่างยิ่ง ต้องไปจ่ายค่า คอมพิวเตอร์ ต้องไปเรียนคอมพิวเตอร์ ไม่เรียนนี่ขนาดนี้ ยังไม่ต้องเรียนเลย คอมพิวเตอร์ ไม่ต้องหรอก เรียนในสิ่งที่ควรจะเรียน พอเป็นไปได้นี่ รู้จักปัดกวาด เช็ดถูก รู้จักใช้มีด รู้จักใช้ เครื่องมือๆ ที่หนักที่ยากขึ้นไป ตามขั้นตอน เดี๋ยวนี้นี่ โปะลงไปเลย ต้องการใช้ เครื่องมือ ชั้นสูง เครื่องราคาแพง เครื่องมือที่จะต้องการได้เงินเยอะๆ อัดเข้าไป หมดเลย พ่อแม่ก็ไม่รู้เรื่องหรอก ครูบาอาจารย์ หรือว่าโรงเรียนบางโรงเรียนนี่ พยายามที่สอนวิชา ที่จะออกไปแล้ว ไปทำงานได้ ในราคาแพง ออกไปแล้ว ลูกศิษย์ฉันนี่ ได้ราคาสูง ได้อะไรต่ออะไรนี่ เขาก็เอาวิธีนั่น เป็นแบบทุนนิยม ได้เปรียบเขา ก็หาวิธีลัด ที่จะอัด กับเด็กได้สิ่งเหล่านี้ ซึ่งพวกเราจะรู้ ลำดับ รู้ชั้น รู้ขนาด ว่าเราจะไม่ สิ่งฟุ้งเฟ้อ หลายอย่างๆ เราไม่เอา ไม่ต้องเรียนละ

อาตมาจะพยายามในเรื่องการศึกษาตอนนี้ อาตมาก็จะต้องตรวจ จะต้องค่อยๆ หลายๆอย่าง อาตมา อาจจะยังไม่ละเอียด อาจจะลอดหูลอดตาไปก่อน ต่อไปอาตมาก็จะค่อยๆ คัดเลือก ค่อยๆ ล้าง ค่อยๆ ปรับให้มันเข้าระดับ เข้าระบบ ชั้นนี้ก็ควรจะเรียนเท่านี้ ชั้นนี้ก็ควรจะเรียนเท่านี้ ชั้นนี้ ควรจะเรียนเท่านี้ อันนี้ แล้ว จะได้สัดส่วนที่พอเหมาะๆ ตามลำดับ แล้วเราก็จะแข็งแรง มีความรู้ เอาไปสร้างสรร ได้อย่างดี ไม่ใช่เพื่อจะเรียนเอาความรู้ เพื่อที่จะไปเอาเปรียบเขา ยิ่ง ได้ลัด ได้เปรียบ ได้ที ได้ลัดกว่าเขา อย่างนี้มันเป็นเขิงที่ไม่เข้าท่านะ อย่างนี้ เป็นต้นนะ อาตมาก็จะ พยายาม ที่จะช่วยกัน

ครูก็ตาม ที่จะสอนนี่ก็คิดว่า ยังเข้าใจไม่ได้ละเอียดลออนักหรอก อาตมาเอง ก็ยังไม่ได้ใส่ใจ ในด้าน วางระบบ หลักสูตรการศึกษาพวกนี้มาแต่เดิม ก็จะค่อยๆทำความรู้ ค่อยๆเป็นไป อาตมาเอง มันมีงานมาก ไม่ว่างานการค้าการขาย การสร้าง การทำการเกษตร การเผยแพร่ การทำอะไรต่อ อะไรต่างๆ แม้แต่หลักวิชาของศาสนา การเล่าเรียน การศึกษาพวกนี้ยังไม่ทำ เป็นหลักเป็นเกณฑ์มา ไม่ได้เอื้อมมือเข้ามาบ้าง ตอนนี้มันก็ต้องเข้ามาสู่การศึกษา นี่ต้องทำ ปริญญา ศึกษาศาสตร์บัณฑิต เสียแล้ว มันมีมาก อาตมาก็จะต้องทำอีก ตอนที่ ต้องมาสนใจ ในด้านการศึกษาศาสตร์อีกแล้ว ก็เอา แล้วก็ค่อยๆปรับกันไป ไม่เช่นนั้นแล้ว มันก็ผิดพลาดมาหมด เดี๋ยวนี้โลกเขามันหลงใหลกัน วิชาการ อะไรก็กลายเป็น วิชาการ ที่เรียนไปแล้ว ศึกษาไปแล้ว ยิ่งไปทำให้โลภยิ่งเดือดร้อน ยิ่งเป็นทุกข์ แย่งชิง เอาเปรียบ เอารัด ยิ่งเกิดการเกิดโลภ โกรธหลงกันมากขึ้นๆๆๆ การศึกษาเหล่านั้น จึงเป็น อวิชชา เป็นการศึกษา ที่ล้มเหลว เป็นศึกษาที่มีเฉกัง ฉลาด มากรู้มาก แต่แกมโกงเฉกัง

เฉกัง นี่แปลว่า ฉลาดแกมโกง เฉกะหรือเฉกัง ฉลาดแกมโกง สังคมมันจึงไปไม่รอด เพราะฉะนั้น ก็จะต้องศึกษา หรือเล่าเรียน เป็นคนที่เรียนอย่างมีปัญญา อย่างเข้าใจจริงๆนา

เพื่อจะอยู่กัน อย่างสุขเย็น จะอยู่กันอย่างสร้างสรร อุดม สมบูรณ์ เป็นผู้มีบุญ ตัวเราก็มีบุญ ทุกคน สร้างสรร ก็รู้จักบุญที่แท้จริง ตั้งอกตั้งใจ ขยันหมั่นเพียร ไม่เอาเปรียบ ไม่เอารัด พึ่งตนเอง แล้วก็ให้ ผู้อื่นพึ่งได้ จนกระทั่ง เราก็มีน้ำใจอย่างบริสุทธิ์ อย่างนั้นจริงๆ แม้อายุแก่ อายุเฒ่าลงไป เราก็ยัง เป็นที่รัก ที่เคารพนับถือบูชา เพราะเป็นคนที่ได้สร้างบุญสร้างคุณ เป็นตัวอย่าง เป็นหลัก อันดีงาม ถ่ายทอดไว้ๆๆๆ

เพราะงั้น บรรพชน หรือคนแก่คนเฒ่า คนที่จะเกิดก่อนเจริญมาก่อน เป็นหลักมาก่อน จึงได้รับ การเคารพ นับถืออยู่ตลอดเวลา ถ้าคนแก่คนเฒ่า หรือ บรรพชน บรรพชน แปลว่า คนรุ่นก่อนๆ คนรุ่นก่อนๆ ถ้าไม่ดี ก็ไม่น่าเป็นตัวอย่างๆ เพราะฉะนั้น ก็การเคารพนับถือบรรพชน หรือคนแก่ คนเฒ่า ก็เพราะคนแก่คนเฒ่าที่เป็นตัวอย่าง หลักเกณฑ์อันดีไว้ก่อน เพราะฉะนั้น คนแก่คนเฒ่าไหน หรือว่าคนที่จะ พยายามมีชีวิต แต่ว่าไม่มีความรู้ อวิชชา ก็กลายเป็นคนแก่คนเฒ่า ที่ล้มเหลว เป็นคนแก่ คนเฒ่าที่ทำผิด ทำชั่ว ทำสิ่งไม่ดีขึ้นมา ไม่ดี ในทางจีนเขานี่ เขามี บรรพชนเขามียังงี้ บรรพชนที่ดี เขาจะเคารพบูชา กราบเคารพกราบไหว้ โขกศีรษะให้ ส่วนบรรพชนที่เลวร้าย บรรพชนที่ชั่ว เขาก็จะมีรูป มีป้ายบรรพชนที่ชั่วด้วย บรรชนที่ชั่วนี่ เขาก็จะด่า เขาก็จะถุยน้ำลายใส่ๆ นี่มีจารีตประเพณี ของจีนเหมือนกันนะ พอบรรพชนชั่วนี่เขาจะด่า เขาก็จะถุยน้ำลายใส่ และเขาก็ จะบอกว่าชั่วอะไร เลวอะไร ไม่น่าเอาอย่าง ไม่น่าเอาตาม

ส่วนบรรพชนที่ดี น่าเอาอย่าง น่าเอาตามอะไรนี่ อย่างไร เขาก็จะทำ ซึ่งจริงๆมันก็ชัดดีเหมือนกัน แต่ว่าคนเรามันซ้อนนะ กลายเป็นพ่อเป็นแม่แล้ว ไปถุยน้ำลาย ให้ปู่ย่าตาทวด พ่อแม่ มันก็เลยดูไม่ดี เพราะฉะนั้น หลายเผ่าเขาก็ไม่นิยม หลายพวกเขาก็ไม่นิยม เขาก็เลยไม่เอา เขาก็เลย เลือกแต่ บรรพชนที่ดีๆ มาสร้างอนุสาวรีย์ มากล่าวถึง มาบูชาเคารพ มาเป็นตัวอย่างกล่าวถึง เป็นตัวอย่าง มาเรื่อยๆ เขาเอาแต่ส่วนดี ส่วนคนไม่ดีนั่น เลือก เอาแต่ที่จัดๆ จ้านๆ ที่จำเป็น ไม่เกี่ยวไม่ข้อง กับตัว พ่อแม่พี่น้องเรานัก ก็พอทำใจได้ แต่ถ้าคนฉลาดแล้ว เขาจะมองเห็นว่า เอ๊ะ คนที่ไม่ดี ที่เขาเอามา เป็นตัวอย่างนั่นหนะ พ่อแม่เราก็เหมือนนี่หว่า เหมือนคนที่ไม่ดีนี่ ถ้าเรารู้ตัว เราก็มีเชิงฉลาด มีความฉลาด เราก็รู้ อ๋อ พ่อแม่เราไม่ดี เออ เราก็เข้าใจแล้ว เอ้าสิ่งไม่ดีนี้ แต่อย่างไรๆ ก็เป็นพ่อแม่ ในส่วนที่เป็นพ่อแม่ ก็ต้องมีบุญคุณส่วนหนึ่ง แต่สิ่งที่ไม่ดีของท่าน เราเข้าใจแล้ว เราก็ไม่ต้อง เอาตาม ไม่ต้องไปประพฤติปฏิบัติอบรม ตนตามเท่านั้น ก็เท่านั้น ไม่ต้องไปลบหลู่ ไม่ต้องไปดูถูก จนกระทั่ง เราก็ไม่เคารพพ่อแม่ ปู่ย่า ตา ทวด บรรพชน พี่ป้าน้าอา อะไร เราก็ไม่เคารพ ยังงั้นไม่ ได้

เราต้องแยกแยะให้ได้ว่า คนกับความ [ไม่ใช่คนกับควายนะ] คนกับความ คนดีมีความดี คนชั่ว มีความชั่ว คนที่มีความดีมากมีความชั่วน้อย ก็ถือว่าคนดี มีดีมาก นี่ถือว่าคนดี คนที่มีความชั่วมาก มีความดีน้อย ก็นับเนื่องเป็นคนชั่ว ถึงแม้ว่า คนดีที่มีความดีมาก มีความชั่วน้อย เราก็รู้ความชั่ว ให้ได้ว่า เราจะต้อง ไม่เอาความชั่ว เราจะต้องไม่ยินดีในความชั่วของคนดีๆ แต่ไม่ใช่ปฏิเสธคนดี แม้คนชั่ว ที่มีความชั่วมาก มีความดีน้อย เราก็ไม่ปฏิเสธคนชั่ว ในสิ่งที่ดี ที่เขามี แม้จะมีน้อย เราก็ไม่ปฏิเสธความดี แต่เราปฏิเสธความชั่ว ในคนชั่วเท่านั้น ฟังความ กับฟังคนให้ดี

เพราะฉะนั้น เราจะไม่ชังคนชั่ว คนชั่วเราก็ไม่ชัง แต่เราจะชัง หรือ เราจะไม่รับ เราจะไม่เอาความชั่ว ไม่ใช่คนชั่ว เพราะฉะนั้น คนชั่วที่ชั่วมาก มากจนกระทั่งเราเห็นว่า เราไม่มีแรงพอที่จะช่วยเหลือเขา และเขาก็มา เขาก็วุ่น เอาความชั่วมาเป็นตัวอย่าง มาหาพวกหมู่ๆมากเกินไป เราสู้ไม่ไหว เราก็คัด ออกก่อน เอาคนที่มีความดีมาก ความชั่วน้อย มาค่อยๆล้างความชั่ว ของคนๆดีนี่ออกไป จากตัวเองออก ความชั่วที่เหลือน้อย ก็ลดลงไปอีกๆ กลายเป็นคนดีๆ ที่มากขึ้น คนที่มีความชั่ว อยู่ในตัว จึงอย่าเพิ่งไปเกลียดไปชังเขา เจาะลึกมองให้ออกว่า เราจะต้องรู้จักความกับคน ให้ออก ดูตัวเราเองด้วยว่า เรานี่เป็นคนในระดับไหน มีความดีมาก หรือมีความชั่วมาก ถ้ายังมีความชั่วอยู่ เราก็ล้างความชั่ว ออกจากตัวเรา ให้มากๆ เราก็จะอ่านความชั่วเป็น ดูที่ตัวเรานี่แหละ เมื่อเราดู ของเราเป็น เราก็จะดูของคนอื่นเป็น แล้วเราก็จะต้องเข้าใจกัน เออ คนนี้เขามีความดี ตั้งมาก ตั้งมายนะ ไม่ใช่ว่าเห็นความชั่วเขาเล็กๆน้อยๆ ก็ไปตีทิ้งเขาหมดเลย เอาความชั่วที่เขามี นิดหน่อย แต่ความดี เขามีตั้งมากไม่รู้ คนที่เห็นความชั่วเขานิดหน่อย ไม่เอาชัง ทิ้งไม่คบ ยังงี้ขาดทุนตายนา เราจะต้องฉลาด ที่จะต้องรู้จักสิ่งเหล่านี้ อย่างชัดเจน แล้วเราก็จะศึกษาปรับตัว ปรับตน เป็นคนที่จะดี สร้างดีให้แก่ตัวเอง สร้างอะไรให้แก่ตัวเองได้นา

ที่อาตมาได้อธิบายมาแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว เมื่อกี้นี้ เริ่มต้น เก้าโมงกว่าหน่อยๆ ตอนนี้สิบโมง เกือบหนึ่งชั่วโมงแล้ว ก็สาธยายเนื้อหาให้ฟังนา เนื้อหาที่เราจะประพฤติปฏิบัติ ในการศึกษา ในการเรียน

ทีนี้จะบรรยายถึงสภาพของการอยู่รวมกันๆ นี่เด็กๆนี่ ควรจะทำอะไรบ้าง อย่างมากเด็กๆนี่ มีกำลังวังชาดี กำลังจะมีกำลังวังชามากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งออกกำลังมาก กำลังลดลงหรือเพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น เด็กๆนี่ กล้ามเนื้อประสาทเซลต่างๆ จะโตขึ้นเรื่อย เพราะฉะนั้น เด็กๆนี่ยิ่งออกกำลัง ยิ่งทำงานมาก ยิ่งจะแข็งแรง กล้ามเนื้อจะได้รับ แต่ระวังอย่าให้มากเกิน อย่างพวกเล่นกีฬานี่ ไปเล่นกีฬาอย่าง ประเภท เขาหลอกให้อร่อย ให้สนุก มันเล่นสนุกจนเพลิน จนเกินออกกำลังเกินไป พวกนี้เสื่อมทั้งนั้น พวกเล่นกีฬานี่ มันจะติดอร่อย ติดสนุกใช่ไหม เพราะงั้น ติดอร่อย ติดสนุก เล่นเกินทุกคน ยิ่งเป็น นักแข่งขันอาชีพ ที่จะต้องฝึก เล่นให้เกินเอาเรื่อยๆ ทำมากนั่นแหละ สุดท้ายเห็นได้ พวกนักกีฬานี่ พิการเสียส่วนใหญ่ พออายุมากเข้า แย่ ทรุดโทรม สังขารร่างกาย แย่ทั้งนั้นแหละ

คนทำงานนี่ ถ้ามันเหนื่อยพอสมควรแล้วเนี่ย เหนื่อยมากๆ จะทำต่อไหม ทำงานต่อไหม คนทำงานนี่ เหนื่อยมาก จะทำต่อไป เหนื่อยพอสมควร ก็พอทำได้ ก็ทำก็พอสมควร แต่ถ้าเห็นสมควรจะพัก แล้วเขาจะพัก คนทำงานนี่นะ ถ้ายิ่งไม่เอาลาภยศ ไม่เอาเงินเอาทอง เอาอะไรล่อนี่ ยิ่งจะไม่อยาก จะทำมากหรอก มันก็ทำพอเหนื่อยพอสมควร ถ้ามีความจำเป็นก็เอ้า รีบเร่ง รีบร้อนไปทำ บ้าง พอสมควร แต่เราไม่ได้ไปการันตี ไม่ได้ไปสัญญาคนอื่นคนไหนเขาว่า เราจะต้องทำให้เขา โดยเขา เอาเงินมาแลก เอาอันนั้นมาบังคับ เอาอันนี้มาจ้าง เอาอะไรมาจำนน แล้วเราจะต้องทำให้เขา มันก็ไม่ต้อง เราก็ทำพอสมควร เพราะฉะนั้น คนทำงานนี่มันจะไม่มีโอกาสเกิน ออกแรงเกิน เพราะฉะนั้น สุขภาพ ร่างกายจะไม่เสื่อม แต่คนที่ไปเล่นๆกีฬา เล่นอะไรนี่ มันสนุกเพลิดเพลิน มันอร่อย เพราะฉะนั้น แม้มันจะเหนื่อยแล้ว มันก็ยังทำต่อ มันก็ยังเล่นต่อ มันก็เดิน มันจึงทรุดโทรม เสื่อมโทรม คนออกกำลังกายประเภทเล่นกีฬา เพราะคนทำงาน จริงๆนี่ ยิ่งไม่เอาลาภเอายศ มาเป็น ตัวกำหนดด้วยนะ ไม่ทำเกินเท่าไหร่หรอก มันเมื่อย ควรหยุด เราก็หยุด มีแต่ว่ามันยัง ไม่ทันจะเมื่อย เลย มันจะหาเรื่องหยุด นั่นซีใช่ไหม ฮ่า ทำไปหน่อยหนึ่ง โอ่ย เมื่อยแล้ว ทำไปโอย พอแล้ว มันขี้เกียจ นะ กิเลสนะใช่ไหม มีแต่มันจะยังงั้นน่ะซี ยิ่งทำไปแล้ว ทำไป อันไหนบกพร่อง อันไหนผิด ถูกติด้วย ทำอันไหนดี ไม่เห็นค่อยชมเลย ทำอันไหนก็ดีๆๆ ไม่เห็นค่อยชมเลย แต่ถ้าทำอันไหนผิดๆ ปั๊บ โดนๆ ทำอันไหนพลาดปั๊บ โดน ใช่ไหม เพราะฉะนั้น อย่าทำมันมากเลย ทำมากก็ผิดมาก แล้วโดนมาก แน่ะ! คนเขาติเขาเตียนนะ ดีแล้ว เพราะงั้น เราจะทำงานนี่ จะรวมกะผู้ใหญ่ รวมกะใครต่อใครนี่ ที่สมควร

ผู้ใหญ่เขาบอกว่า อันนี้อย่าเพิ่งทำ อันนี้อย่าทำเลย เราก็จะต้องฟัง ผู้ใหญ่เขาจะรู้ว่า สมควร หรือไม่สมควร เอ้าอันนี้สมควร มา มาทำอันนี้ มาอันนี้ได้ สิ่งไหนเหมาะสมทำ เด็กบอกแล้วว่า ออกกำลังกาย กันได้เสมอๆ แล้วการออกกำลังกายนั้น มีผลพลอยได้ ออกกำลังแล้ว ก็มีผลของ การงาน มีการสร้าง การสรรนี่ แล้วก็ทำใจเบิกบาน การทำงานสร้างสรร นี่มันมีผล มันมีประโยชน์ มันมีคุณค่าไหม น่าดีใจไหม น่าสนุกไหม ทำงานนี่ มันมีผล มีคุณค่าได้ ออกกำลังได้ด้วย ได้ผลงาน ได้อะไรออกมาด้วย น่าดีใจ ต้องน่าสนุกด้วย มันสมควรจะสนุก เวลาไปเล่น ได้ออกกำลังกายจริง เวลาไปเล่นนี่ วิ่งเล่น หกคะเมน ตีลังกาอะไรก็แล้วแต่ เตะบงเตะบอล เตะโน่นเตะนี่ อะไรก็แล้วแต่ ออกกำลังกายจริง มีผลพลอยได้ไหม มีผลเสียไหม เตะบอล ก็เสียค่าลูกบอล เสียสนามเปล่าๆ ปลูกผัก ปลูกพืช ยังได้เลย เสียออกเยอะ เดี๋ยวนี้เขายิ่งโฆษณาพวกนักทุนนิยม ยิ่งเปลืองไปใหญ่เลย เสร็จแล้ว ก็เสีย ไม่ได้อะไร ตอบแทนมา แต่ไปหลงดีใจใช่ไหมๆ หลงสนุกใช่ไหม สนุกกับสิ่งที่ เสียๆๆๆ ไม่ได้อะไรตามมาเลย โง่หรือฉลาดกันแน่ เห็นไหม สนุกให้เป็น ทำงานนี่ดี ใช่ไหม ทำงาน สิ่งที่ควรทำ เป็นงานอันไม่มีโทษ อนวัชชะ การงานอันไม่มีโทษ เป็นสิ่งที่ ได้รับประโยชน์ ได้คุณค่า ใช่ไหม และ เราก็ได้กำลังวังชา ได้ความเชี่ยวชาญ ได้ความชำนาญใช่ไหม น่าสนุก น่าดีใจไหม ทำความเข้าใจ อันนี้ให้ดีๆ เพราะฉะนั้น ใครทำงานอย่าไปขี้เกียจ อย่าไปโอ๊ย ทำงานนี้แล้ว เศร้าหมอง พอให้ไปเล่น ไปโน่น ไปนี่อะไรเสียๆ โอ๋ยดีใจ ดีใจ นี่มันโง่ตายเลย เห็นไหม คนเรา มันโง่มาก่อนฉลาด หรือ ฉลาดมาก่อนโง่ โง่มาก่อนฉลาด นี่ฟังให้ดีๆ เห็นให้ชัดๆ เพราะฉะนั้น การทำการงานนี่ เป็นสิ่ง น่าดีใจ เป็นสิ่งที่น่าสนุก เพลิดเพลิน เข้าใจให้ถูกนะ เพราะว่า เป็นคุณค่า เป็นบุญ เป็นทั้งบุญ เป็นทั้งคุณค่า เป็นทั้งความชำนาญ เป็นทั้งความเชี่ยวชาญ เป็นทั้งสิ่งที่ดีทั้งนั้น เกิด ทั้งหมดเลย แต่ไปเล่นนั่น เขาหลอกไปให้อุปาทานสนุก ก็เลยไปสนุกตามที่เขาหลอก เสร็จแล้ว มันไม่มีดิบดีอะไร มีแต่เรื่องเสีย เรื่องผลาญ

ทุกวันนี้ติดในการละเล่นกันเต็มบ้านเต็มเมือง กีฬานี่ตัวร้าย นี่เดี๋ยวนี้ โอ้โฮตบแต่งประดับประดา เล่น จัดวิธีทำโน่นทำนี่ แข่งขันกันเอาชนะคะคานมันไปแข่งโลกๆ เอาชนะคะคานกัน ได้ลาภ ได้ยศ ได้เกียรติ ได้สรรเสริญ อะไรกันไปหลงยังงั้น และก็ไปหลงว่า เป็นสุข โลกียสุข คืออร่อย สนุก เพลิดเพลิน ทำงานนี่ก็สนุกเพลิดเพลินได้ เพลิดเพลินได้จริงๆ อย่างพวกเรานี่หลายคน ที่บรรยายกัน วันนั้น ว่าโอ...เอ๊ะ พูดที่นี่ หรือสันติฯก็ไม่รู้ นะที่บอกว่า ครูเขาสอน เขาอบรม บอกว่า เออ มาๆ พวกเรา มาตีกอล์ฟ ที่แท้คือมาเขี่ยผงเข้าปุ๊นเต้า มาปัดผงเข้าปุ๊นเต้า นี่นี่กอล์ฟ ตีกอล์ฟของพวกเรา ตีกอล์ฟของอารยชน เขี่ยผงเข้าบุ้นเต้า นี่ตีกอล์ฟ ได้ประโยชน์ไหม แข่งขันกัน ใครจะตัก ได้มากกว่ากัน ตีผงเข้า เขี่ยผงเข้าบุ้นเต้า นี่ ตีก๊อล์ฟ อะไรอีกนะ ขุดทอง เอ้ามาช่วยกันขุดทอง คนมีปฏิภาณดี บอกว่าตาย ขุดทองเลย อ๋อ ไปขุดทองกัน ไปล้างส้วม ไปทำสิ่งที่สกปรก ให้มันสะอาด หรือว่า แหม ไม่ให้บอกใคร จะทำสิ่งที่สกปรกออกมาได้มาก เหมือนกะขุดทอง อย่างนี้ เป็นต้น เราต้องมีปัญญา และมันได้ประโยชน์ได้คุณค่า การละเล่น เขาก็ไปหาวิธี การพลิกแพลง ยังงั้นนา ไปตีก๊อล์ฟ ไปเล่นอะไรต่อมิอะไร ต่างๆนานา มันไม่เห็นได้เรื่องได้ราวอะไร มันมีแต่เสียหาย มีแต่เปลืองผลาญ มันไม่มีคุณค่า ประโยชน์อะไรเลย สร้างค่านิยมที่ล้มเหลว อย่างนี้แหละ ไม่ใช่การทำงาน แต่ก็เป็นการกระทำ เป็นกรรมกิริยาเหมือนกัน กรรมกิริยาที่ล้มเหลว เป็นอกุศลกรรม

นี่เขาไม่เข้าใจ พวกเราต้องเข้าใจก่อนเขา เราตั้งหลัก เราต้องเป็นคนใหม่ คนในโลกใหม่ ที่เจริญ งอกงาม มีความจำเป็นไหม ที่เราจะต้องถูส้วมขัดส้วม เราจะต้องทำความสะอาด มีความจำเป็นไหม มีความจำเป็น ถ้าเราไม่ต้องตีกอล์ฟตลอดชาติเลยนี่ มันจะล้มเหลวไหมชีวิต ถ้าเราไม่ปัด ไม่กวาด ไม่เก็บ ไม่ถู ไม่ทำความสะอาด จะล้มเหลวไหม สังคมบ้านเมืองที่อยู่นี่ จะล้มเหลวไหม เชื้อโรคก็จะเข้า ไอ้อะไรก็จะทับ จะถม ท่วมตายกันพอดีนะ ไปไม่รอดแน่ เพราะฉะนั้น หลายสิ่งหลายอย่าง ที่โลกเขาทำกันเดี๋ยวนี้ นี่กลายเป็นเรื่องปรุงแต่ง ที่ผลาญพร่า ล้มเหลวกันเยอะเลย มากกว่านั้นนะ อาตมาพูดกะพวกเรา คงไม่ไหวแล้ว ไอ้เรื่องตีกอล์ฟนั่น มันเป็นเรื่อง วิธีการซับซ้อนที่หลายอย่าง อีกหลายชั้น อีกหลายเชิงชั้นสูง เขาทำอะไรต่อมิอะไร ที่ยิ่งเป็นแก๊งค์ เป็นวิธีการอันโหดร้าย อาตมาก็ ไม่ต้องบรรยายในที่นี่แหละนะ เพราะงั้น เราพยายาม เข้าใจให้ได้ การงานนี่ หนึ่ง ต้องรู้ว่าการงานที่ไม่มีโทษ เรียกว่า อนวัชชะ กระทำกรรมที่เป็นกุศล หรือ การงานที่เป็นกุศล นี่ น่าสนุก น่าเพลิดเพลิน น่ายินดี ต้องทำให้ถูก พอบอก จะได้ทำงานปั๊บ เฮ ไปแล้ว เราจะได้สนุกอีกที เหมือนเขาบอก เอา ไป เตะบอล จะสนุกคล้ายๆกัน แต่ตอนนี้ เราไม่เอาแล้ว ไปเตะบอล เสียเวลา เสียแรงงานเปล่าๆ เสียสนามไม่เข้าท่า เหมือนกะผู้ใหญ่ เขาก็ไปตีกอล์ฟ ไปเราก็ไปเตะบอล ไปวิ่งเล่นอะไร มันไม่เข้าท่า เราก็ไปออกกำลังกายเหมือนกัน แล้ว จะได้ทำงาน แล้วมีผลพลอยได้ แล้วได้สร้างสรร ทำใจให้ถูกต้อง ทำใจในใจให้ถูกทาง เบิกบาน ร่าเริง สนุกสนาน ในสิ่งที่เป็นคุณค่า เป็นประโยชน์ และเป็นบุญ เป็นกุศลที่แท้จริงให้ได้ เนี่ยๆ เราทำในหมู่ พวกเราชาวอโศก นี่พากันทำงาน ถึงเวลาทำงาน ยังโง้นอย่างนี้ ก็ถึงเวลาพักก็พัก คนนี้ไม่แข็งแรง คนนี้ไม่สบาย คนนี้คนจะพัก ยังโน้นอย่างนี้ถึงเวลาพักก็พัก ถึงเวลานอนก็นอน

อย่าไปหัดนอนดึก ตื่นสาย มันเป็นระบบไม่ดี เราต้องให้สอดคล้อง นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า พวกเรานี่ ระบบนอน ๓ ทุ่ม ไม่เกินนั้น ๒ ทุ่มกว่า ๓ ทุ่มนอนแล้ว ตื่นตี ๓ ตี ๔ ก็ตื่นแล้ว เอาละ เด็กต้องการ พักผ่อนมากหน่อย เหมือนเด็กๆ ยิ่งเด็กๆ ตัวเล็กๆ นี่เห็นไหมล่ะ เคยเห็นน้องๆไหมเล่า ตัวน้อยๆ นอนแบเบาะ โอย นอนทั้งวัน นอนทั้งคืน อาวเด็กนอนมากหน่อย พอโตขึ้นมาพอสมควร อายุสักร่วม ๒๐ แล้ว ไม่ค่อยนอนแล้ว ทางโลกเขาก็ไม่ค่อยนอน มันไปเที่ยวไม่นอน มันไม่อะไรหรอก มันไปเที่ยว นา รุ่นหนุ่มรุ่นสาว ๑๘-๑๙-๒๐กว่าๆ ไปถึง ๓๐ เอาแล้ว ไม่ค่อยนอนหรอก เป็นนิกผู้ไปเที่ยวไม่ได้ เรื่องนอนก็น้อยลง แล้วตะนี้นา พอถึงรุ่นขนาดนั่น นอนน้อยลงแล้ว เพราะงั้น เราอายุมากขึ้นไป ๑๓-๑๗-๑๘-๑๙นี่ชักน้อยลงๆ พอ ๑๙-๒๐แล้วก็นอนน้อยลงๆ ลงไป จะไปนอนมาก อีกตอนแก่ๆ นอนมากขึ้น เหมือนเด็ก นี่มันเป็นเรื่องของความเจริญ นะ เป็นเรื่องของ สิ่งที่จริง เพราะงั้น แก่ ก็จะนอนมากขึ้น เพราะที่นี่ เราพอใครมีอายุมากขึ้นไปแล้วนี่ พออายุ ๖๐ ไป แล้ว ที่นี่เราไม่ว่ากัน ถ้าอายุ ๖๐ ไปแล้วนี่ จะนอนกลางวันก็ไม่ว่า เรามีอยู่ แล้วในหมู่พวกเรา แต่คน ในอายุระหว่าง ยิ่งอายุระหว่าง ๒๐ ขึ้นไป ๓๐ นี่ อย่านอนกลางวันเป็นอันขาด นา

ตอนนี้ไม่ใช่วัย ที่จะนอนแล้ว แล้วก็อย่าไปเที่ยวกลางคืน ให้ง่วงให้เหงาน่า เราก็จะต้องรู้จักเวลาพัก เวลาตื่น รู้จักหลับ รู้จักตื่น นอนหัวค่ำ ตื่นแต่เช้า ทำงานทำการเป็นเวลาที่สร้างสรร กำลังกาย ก็กำลังแข็งแรง กล้ามเนื้ออะไร ก็ยังสดใหม่ โอ่ เป็นตอนที่จะได้สร้างบุญสร้างกุศล มากที่สุดเลย หนุ่มๆสาวๆ นี่แข็งแรง พอแก่ๆไปแล้ว สังขารร่างกาย ชักเปลี้ยไปแล้ว ๔๐-๕๐-๕๐ ขึ้นไป ชักจะ ค่อยๆ โรยๆ ไป แล้ว พอ ๖๐ ขึ้นไปแล้ว อย่าไปเอานิยายกะ ๖๐ ขึ้นไป เลยตะนี่ แต่ก็ยังแข็งแรง ได้นะ คนที่แข็งแรง คนที่ยังไม่แข็งแรงก็คนที่ไม่แข็งแรง ก็จะไปตามสภาพแล้ว ๖๐ -๗๐-๘๐ จะนอน มากขึ้น เหมือนเด็ก อย่างที่กล่าวแล้ว ให้พักผ่อนมากขึ้น ทำอะไรก็ไม่ได้ ทำแรงๆ เดี๋ยว กระดูกหัก เดี๋ยวกระดูกผุ พอแก่ๆ แล้ว มันจริงๆ มันอ่อนแอนะ ร่างกาย กล้ามเนื้อก็ชักจะยืดยาน แต่แแค่จะลุก จะนั่ง ให้มันแข็งแรงเถอะ อย่างนี้ลุกแล้วปรู๊ด คนแก่ลุกปรุ๊ดดูซิ จ้างก็ปรุ๊ดได้หรอก กว่าจะลุกขึ้น แค่ยืนก็จะแย่อยู่แล้ว เดี๋ยวกระดูกมันจะหัก มันเป็นเรื่องจริง ใช่ไหม แกล้งที่ไหน คนแก่ อยากจะปรู๊ด เหมือนเด็กเหมือนกัน แต่มันทำไม่ได้ ร่างกายมันไม่ให้ อยากลุกปุ๊บๆ บั๊บๆ ปราดเปรียว มันอยากจะทำอย่างนั้นเหมือนกัน ร่างกายมันไม่ให้หรอก มันเป็นเรื่องจริง มันเสื่อม มันเป็นเรื่อง ธรรมดา เพราะงั้น เราต้องรู้ ช่วยเหลือดูแลคนแก่ เพราะเราก็จะแก่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น ต้องสร้าง วัฒนธรรม ต้องให้เป็นยังงี้ เป็นแบบอย่างที่ดี

เด็กๆ หนุ่มๆสาวๆ ต้องดูแลช่วยเหลือคนที่แก่ คนที่เจ็บป่วย เนี่ย จะต้องมีคนคอยดูแล ประคบ ประหงม มีคนเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ให้โอ่ แทบจะไม่ต้องทำอะไรเลยนะเนี่ย สบ๋าย สบาย คนเจ็บป่วย มีแต่คนช่วยเหลือ เอาไหม เจ็บป่วยเอาไหมๆ ใครมันก็ไม่อยากเจ็บป่วย มันทุกข์ ทำอะไรก็ไม่ไหวแล้ว มันเจ็บ มันป่วย มันปวดนั่น มันไม่อยาก ไม่ใช่อยากหรอก ถึงอยากทำ มันก็ทำไม่ไหว แต่คนทำให้ รู้สึกสลายไหม ไม่ริษยาเหรอ ฮึ คนป่วยนี่ คนแก่ก็ ได้ เอ้า อยากแก่ไหม เอ้า แก่แล้ว ไม่มีคน ช่วยเหลือนะ อยากไหม จะได้มีคนช่วยเหลือ จะได้ไม่ต้องทำอะไร คนแก่มีแต่คนช่วยเหลือ เอาไหม ไม่อยาก แต่มันจะต้องแก่ เหมือนกัน คนป่วยก็มีวิบาก บางทีเราก็ต้องป่วย ก็ไม่มีใครอยากป่วย ไม่มีใคร อยากแก่ แต่ต้องป่วย ต้องแก่ คนที่โชคดี วิบากดี ไม่ป่วย ก็ดีไป แต่แก่นี่เลี่ยงไม่ได้ วิบากแก่ ดีไม่ดี ตายก่อนแก่ ดีไม่ดี ไม่ต้องแก่หรอก ตายก่อนแก่ เพราะยังงั้น แก่เนี่ยเลี่ยงไม่ได้ เพราะงั้น คนในนี้ อย่ารังเกียจคนแก่ คนที่แก่แล้ว ก็มีกะจิตกะใจขวนขวาย ช่วยตัวเองบ้าง ก็ดู บางทีคนแก่ มีมานะมาก ตัวเองก็ไม่น่าจะไปทำแล้ว กระดูกมันจะหักจะผุ ยังไปทำอยู่นั่น จะต้องไปรักษา ต้อง มาคอย ประคบประหงม เสียมากๆ ก็ระวังคนแก่ยังงั้น และเราก็ต้องค่อยๆบอก ด้วยว่า เอ๋อ อย่าไปทำเลย ย่า ยาย ปู่ ตา ไปทำอย่างนั้นไม่ไหวแล้ว ยังงี้หรือป้าลุง อะไรก็แล้วแต่ ก็ค่อยช่วยดูแลกัน เป็นวัฒนธรรมที่เราต้องสร้าง กิริยามารยาท สร้างกรรม สร้างการกระทำ สร้างบทบาท พฤติกรรมอย่างนี้ไว้ ให้หมู่กลุ่มสังคม ดูแลมีน้ำใจเอื้อเอ็นดูกัน

น่าสงสาร นะ คนแก่ คนเจ็บ คนป่วย คนพิการ หรือแม้เด็กๆเนี่ย ยังทำอะไรไม่เป็นนี่ ยังทำอะไรไม่ได้ เราก็ ต้องช่วย คนแก่ก็ต้องช่วย เด็กก็ต้องช่วย นี่ ที่คนจะต้องช่วยเหลืออยู่ก็คือ ๑ เด็ก ๒ คนแก่ ๓ คนป่วย ๔ คนพิการ ๕ คนไร้สมรรถภาพ คนไร้สมรรถภาพ ก็คือคนที่จิตประสาทก็ไม่ค่อยดี เป็นคนที่ ไม่ค่อยฉลาด โง่ ไม่ค่อยเก่ง ไม่ค่อยสามารถ ไร้สมรรถภาพ นี่เราต้องช่วยเหลือ เขาเหมือนกัน เขาอยากเก่ง เขาอยากสามารถ เขาอยากรู้อะไรมากๆเหมือนกัน แต่บารมีเขาเท่านั้น เขาทำได้เท่านั้น เราต้องช่วยเขาด้วย

ส่วนคนที่ไม่น่าช่วยที่มันมีอยู่ในสังคม มีอีก ๒ คน รู้ไหม ใครบ้าง ฮ้า คนที่ไม่น่าช่วยเลย แต่มันมีอยู่ ในสังคม ต้องเข่นกันรู้ไหม คนขี้เกียจ กับคนขี้โกงนี่ มันมีอยู่ในสังคม ต้องเข่น แม้แต่ตัวเรา ก็ต้องเข่นตัวเรา แต่นอกนั้น น่าช่วยเหลือทั้งนั้น เด็กที่สมควรจะช่วยเหลือ คนแก่คนป่วย คนพิการ คนไร้ สมรรถภาพ พวกนี้เราก็ต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันอยู่ในสังคม มันก็ต้องมี ถ้าสังคมของเรา เป็นคนดีนะ คนมีบุญ คนแก่ก็จะมีประสิทธิภาพ คนแก่ก็จะเป็นคนแก่ที่น่ารัก เป็นคนแก่ที่น่าบูชา เด็กก็ไม่เป็นเด็กดื้อ เด็กซน ไม่เป็นเด็กเหลือขอ ไม่เป็นเด็กที่ซิ่ง ไม่เป็นเด็กที่สอนไม่ได้ ในสังคม ของเรานี่แหละ เด็กก็จะป็นที่ดี ที่เกิดมาเพราะว่า นี่มันมีบุญดี น่ะ เด็กมาเกิด ก็จะมีเทวดา ลูกเทวดา มาเกิด นี่เป็นเรื่องลึกซึ้งนะ จะเป็นลูกเทวดามาเกิด คนแก่ก็จะเป็นคนแก่ที่ดี ที่น่าบูชา เคารพ ก็เพราะว่า ทำดีมาตลอด จนกระทั่ง แก่อายุมาก ก็ยังไม่เห็นแก่ตัว ก็พยายามช่วยเหลือ ตัวเอง เท่าที่ช่วยได้ คนอื่นช่วยบ้าง ไม่สะดิ้งมากมายอะไร นี่สมเหมาะสมควร ที่อาตมาใช้คำว่า สะดิ้ง เป็นคำติเหมือนกัน คนแก่ที่มีมานะ อวดดี แหม ! คนอื่นควรจะช่วยแล้ว ก็ไม่ให้ช่วย คนเจ็บป่วยเหมือนกัน ป่วยตัวเอง ทำเอง เดี๋ยวก็อาการหนักกว่าเก่า ไม่ให้คนช่วย แอ๊คมาก เดี๋ยว อาการจะหนักกว่าเก่า ไม่ให้ช่วย อย่างนี้ก็เป็นคนป่วย ที่สะดิ้งเกินไป เพราะฉะนั้น ต้องรู้ขนาด รู้สมควร สมควรให้เขาช่วยแล้วต้องช่วย

ไอ้บางคนนะ ไม่ควรจะให้ช่วยหรอก เห็นแก่ตัวขี้อ้อน คนแก่ขี้อ้อน คนป่วยขี้อ้อน โถ ช่วยตัวเองก็ได้ แต่ไม่ช่วยตัวเอง ไอ้ยังงี้ก็เกินไป ก็ต้องรู้ตัว พยายามอย่าเป็น เรานี่ต้องเรียนรู้ความจริงพวกนี้ ให้ได้ อย่าเป็น ถ้าคนแก่คนป่วยที่เป็น ก็แก้กิเลสของตัวเองเสียบ้าง อย่างนี้เป็นต้น นี่ เราจะได้คนดี คนแก่ ก็คนดี เด็กก็คนดี คนเจ็บ คนป่วยก็คนดี คนไร้สมรรถภาพ ก็เป็นคนดี ที่อยู่ในสังคมคนดี ส่วนคนขี้เกียจ กับคนขี้โกงนั่น มันไม่ดีอยู่แล้ว แต่ไหนแต่ไรมา เราก็ต้องพยายาม ขจัดออก ไปจาก คนในหมู่พวกเรา ความขี้เกียจ ความขี้โกง ขจัดออกไปให้หมด ล้างออกไปให้หมด ฆ่าออกไปให้หมด เราก็จะเป็นสังคมที่เจริญ คนเจริญจะอยู่ ร่วมกันมากๆๆๆ จะเป็นสังคมที่ดีงงาม จะเป็นสังคม ที่น่าอยู่ อบอุ่น แล้วจะอุดม สมบูรณ์ แล้วเราจะไม่สะสมด้วย เรามีมากๆ เราก็ไม่สะสม จะเอื้อเฟื้อ เกื้อกูล

ถ้าเผื่อว่าพวกเราก็พอกินพอใช้นี่นา พวกเรานี่นะ ฝึกหัดตอนเช้าๆ หัดสร้างวัฒนธรรม จะมีตาราง สอนบ้างก็ดี เช้าๆ ให้ออกไปเก็บผัก เก็บพืช เก็บอะไร มีผัก มีพืช มีผลไม้ไปพอสมควร แล้วก็เอา มาเก็บ แล้วก็เอามาให้ตรงนั้น ตรงนี้ๆ น่าจะมีคนงาน อย่างนี้มันน่าดูนะ ตื่นเช้าขึ้นมา มีงานอะไร ออกไป เรามีเกษตรกรรมของเราๆ มีผลผลิตของเรา ไปดู ไปตรวจ อะไรเสียหาย จัดแจง เปลี่ยนแปลง ปรับปรุง อะไรที่ยังไม่ได้ทำ ทำ อะไรที่มันบาน มันโต แก่มันควรเก็บ ควรเอารับ เก็บไปทำอะไร มันก็เป็นบทบาท กิจกรรม เป็นบทบาท การงานของเรา อยู่ในวงในหมู่บ้าน ในอะไรๆ เราเนี่ย เป็นวัตถุดิบ เป็นธรรมชาติ เป็นอะไรต่ออะไรด้วยธรรมชาติตรงไหน ที่จะช่วยเหลือ ต้องรีบ จัดแจง นี่มันจะเสียหาย แล้วรีบปรับปรุง เราจะเห็นๆ เราจะเดินทั่วหมู่บ้านกัน หลายคนเดินกัน ก็อะไร ก็ไม่รอดสายหูสายตา มีสายหูสายตาเห็นตัวที่บกพร่อง ก็รีบจัดแจง ที่ไหนที่ควรส่งเสริม ก็ได้รีบส่งเสริม ที่ไหนที่มันควรจะได้เอามา ก็เอามาให้มันได้จังหวะให้พอเหมาะ นี่ผลไม้สุกแล้ว นี่ผักนี่เก็บมาได้แล้ว ดอกไม้นี่เก็บมาทำประโยชน์โน่นนี่ได้ แล้ว เก็บใส่ตะกร้า ใส่อะไรมาเอ้า อันนี้ได้ อันนี้จะเอามาไว้ที่นี่นะ ดอกอัญชันไปไว้ที่นี่ ผักตำลึง ผักโน่นผักนี่เอาไว้ที่นี่ ผลไม้อะไร เอาไปไว้ที่นี่ อันนั้นอะไรได้ ก็เอาไว้ที่ควรไว้ ไปให้แหล่งที่ควรให้ ก็จะได้สร้างสรรกัน ก็จะได้ เอาไปทำงาน ทำการกัน ต่างคนต่างรู้เลย

ต่อไปมีความรู้ มีความสามารถมาก จะรู้ว่าผลไม้ขนาดนี้ เก็บได้หรือยัง แก่หรือยัง ควรเก็บหรือยัง แก่หรือยัง ควรเก็บหรือยัง อันนั้นแก่เกินไป ปล่อยให้มันแก่เสียเลย เอาไปไว้เสียเลย เพื่อที่จะได้ใช้ เป็นพันธุ์ เอาเม็ด เอาอะไรมันอีก หรืออันนี้ ควรเก็บได้แล้ว อันนี้ ยังไม่ควรเก็บ แล้วอันนี้ยังไม่ควรเก็บ จะปล่อยไปยังงี้ เราจะมีความรู้ๆๆสิ่งที่ แวดล้อมเราเนี่ย อย่างดีเลยว่า เราควรจะเป็นอย่างไรๆๆ ความรู้เหล่านี้แหละ สำคัญกว่าอะไรที่จะไปเรียนรู้ อย่างโลกๆ นอกเยอะแยะ เดี๋ยวนี้เรียนบ้าๆบอๆ เยอะไป อันโน่นน่า ไม่ได้มีความจำเป็น ไม่มีความสำคัญ ไม่ลึกซึ้งเท่าอย่างนี้ ไอ้นี่ ลึกซึ้งนะ เดี๋ยวนี้ คนเดี๋ยวนี้ผิวเผิน ยิ่งคนในกรุง ยิ่งไม่มีความรู้เหล่านี้เลย ผักเก็บกินยังไม่รู้เลย ต่อไปเราจะมีความรู้ ผักอันนี้กินได้ ผักอันนี้กินได้ ผักอันนี้ต้องเวลานี้ ที่จริง ผักพืชนี่กินได้เยอะ แต่เราไม่ค่อยรู้ ต่อไป เราจะมีความรู้ เออ อันนี้กินได้ ถ้าเก่าเกินไปมีพิษ ถ้าอ่อนเกินไป จะกินไม่ได้ อะไรอย่างนี้ เป็นต้น อย่างใบยาสูบนี่นะ ใบยาสูบนี่ เป็นใบไม้ ที่กินได้ ถ้ามันแก่เกินไป จะมีนิโครตินอะไรนี่ มีธาตุทา อยู่ในนั้น มันเยอะ แต่ถ้าเผื่อว่า มันอยู่ในส่วนที่ ใบพอเหมาะ และเก็บมากินนึ่งกิน เอาไปแกง เอาไป อะไรได้ คือใบยาสูบนี่ เป็นต้น และมีวิตามินดี มีอะไรดีๆ หลายๆอย่างด้วย ผักอะไรหลายๆอย่าง ก็เหมือนกัน กินได้ ในขนาดนั้น ใช้ได้ในขนาดนั้น ใช้ได้ในขนาดนั้น ถ้าแก่เกินไป และก็มีพิษ ถ้าไม่แก่เกินไป ใบขนาดนั้น ไม่มีพิษ ใช้ได้เลยทีเดียว พวกนี้ เราก็จะรู้ในอะไรต่างๆ นานานี่ จะเป็นความรู้ธรรมชาติ เราจะเป็นผู้ที่ ไม่ไปเอาแต่ธาตุสังเคราะห์ ไปทำอะไร ก็ไปปรุงเอามาเอง ใหม่หมดเลย ไม่ เราจะเอาจากธรรมชาตินี่ ธรรมชาติจะเลี้ยงดูเรา เราเอง นี่ เกื้อกูลธรรมชาติ ธรรมชาติ มันก็ทำงานของมัน มันก็สร้างตัวมัน โดยที่เรา ไม่ต้องไปสร้างเอง จะอุดมสมบูรณ์ แวดล้อมไปอย่างดีเลย

นี่อาตมาฝากไว้นะ ครู อยากจะให้มีวัฒนธรรม ถือตะกร้ากันคนละใบ หรือ สองใบก็แล้วแต่ บางคน อาจจะหาบ ใครเก่งๆก็ สองใบหาบ เออ เดินช้าๆ เก็บ เสร็จแล้ว ก่อนที่จะไปทำกิจอะไรอื่น ก็จัดการ ดูแล พื้นภูมิประเทศ ของเราเสียก่อน อันไหนควรเก็บ ควรทำก็ทำไป อันไหนควรบำรุง อันไหน ควรรดน้ำ อันไหนควรปรับปรุง อันไหนควรจัดแจง อันนั้นอันนี้อะไร จะเป็นความรู้ แล้วก็จะได้ สร้างสรร รังสรรค์กันอยู่ ทุกอย่าง ก็ดูดีไปหมดเลย ดูที่ไหนบกพร่องไม่มี อะไรจะมาซุกซ่อน อะไรที่จะมาบกพร่อง อะไรที่จะมาเดินมา น้อยไปขาดไปอะไรก็จะไม่มี น้อยไปก็ ขาดไปก็ไม่มี เกินไปก็ไม่มี มันก็จะรักษาสมดุล เราก็ช่วยกัน รักษาสมดุล ดูแล อะไรอะไรไป นี่วัฒนธรรมอันนี้ จะซ้อนลึก เป็นสัมมาอาชีพ เป็นวัฒนธรรม แบบ พวกเราเหมือนคนชนบท คนชนบทที่แต่เดิมเขาดีๆ แต่เดี๋ยวนี้ เราถอยหลัง เข้าคลองนะ ถอยหลัง เดินกลับไปสู่ทางเกวียนสายเก่า เดี๋ยวนี้มันมันเลิด มันเพลินไปไหนๆ มันออก นอกลู่ นอกทาง นอกอะไรต่ออะไรไปแล้ว โง่งมงาย ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้น เราจะกลับมารู้จักสัจจะพวกนี้ สาระพวกนี้ดี และจะจัดแจงกัน ใครจะไปช่วยนั่น ช่วยนี่ จะช่วยนั้นงานนี้ ถนัดงานนั้นงานนี้ ก็ไป มี เวลาควรไปช่วยกัน ทำครัวกัน คนที่จะไปช่วยงานทางช่าง ก็ไปทำทางช่าง คนจะลงเกษตรออกไปทางไกลโน่นก็กระทำ คนจะอยู่นี้ก็ทำในนี้ คนจะไปช่วย ทำเต้าหู้ ไป ทำเต้าเจี้ยวๆ ใครจะไปทำ ถึงเวลาไปทำอันโน้นอันนี้ก็ไปทำ เอ้า เวลานี้ยังไม่ต้อง ตอนนี้ ต้องทำอาหารกันก่อน กินซ่ะก่อน กินเสร็จแล้ว ค่อยไปทำอันนี้ต่อก็ยังได้ ได้โอกาส ได้วาระ ทำเป็นขั้น เป็นตอน เป็นเวลา ทุกอย่างก็สมบูรณ์ มีอะไรอยู่ มีอะไร ก็เผื่อแผ่กันกิน แบ่งกันกิน แบ่งกันอยู่ อยู่กันไปอย่างหมู่กลุ่มใหญ่ๆ นี่ อุดมสมบูรณ์ไป

ทุกวันนี้ อโศกเราเนี่ย ปฐมอโศกเนี่ย อบอุ่นขึ้น มีคนมากขึ้นพอสมควรทีเดียว พอที่จะพูดกันรู้เรื่อง อย่างที่ อาตมาพูดไปแล้ว พอแจกแจงอะไรอะไรไป พอยังรู้กัน พอแบ่งตัวไปได้ แต่ก็ยังไม่พอ มันยังพอไปได้ แต่ก็มันยังไม่พอดีนะ ยังไม่สมบูรณ์ดี ยังขาดๆอยู่ ไม่เกิน ยังขาดๆอยู่ ยังไม่มีบุคคล ยังไม่มีบุคลากร ยังไม่มีการงาน แต่ก็หนุนเนื่องขึ้นมาเรื่อย ต่อไปยิ่งเข้าใจกัน แล้วๆ ก็หนุนเนื่อง กันเร็ว ฉลาด มีปฏิภาณ โอ๋ อันนี้ไปช่วยอันนี้ เวลานี้ต้องรีบไปดู อันนี้ซิ เวลานี้ต้องไปดูอันนี้ก่อน อันนี้มันถึงเวลาของมัน เราจะเข้าใจ แต่ละคน แต่ละคน ทุกคนก็มีการเอาใจใส่ สิ่งจะสูญเสีย สิ่งจะบกพร่อง ก็น้อยลง สิ่งที่จะอุดมสมบูรณ์ขึ้น ก็จะเกิดขึ้น อย่างทันทีทันใด เสร็จแล้ว เราก็จะมี วงจรการสร้างสรร การอุดมสมบูรณ์ครบครัน พวกเราก็ไม่ใช่นักผลาญ ไม่ใช่นักทำลาย แต่เป็น นักสร้างสรรด้วย ทุกอย่างก็จะงอกงาม งอกเงย คนก็เข้ามา เราก็คัดเลือก คนที่เห็นดี เห็นชอบ จะเข้ามาเอง คนที่ไม่เห็นดีเห็นชอบ ไม่ต้องมาหรอก ขนาดคนเห็นดี เห็นชอบแล้ว ยังต้องมาฝึกหัด ขัดเกลาเลย จะต้องมาอดทน จะต้องมาอบรมฝึกฝน เพราะงั้น คนที่ยังไม่เห็นดีเห็นชอบเลย ซึ่งเป็นทิศทางแห่งโลกียะเขานี่นะ ยิ่งไปเอารัดเอาเปรียบ อะไรต่ออะไรอย่างโลกๆเขา โอย อย่าไปเอา เข้ามาเลย คนพวกนั้น จะมาทำลาย เพราะงั้น คนที่จะทำอย่างที่เข้าใจแล้ว ยังจะต้องอดทน ฝึกฝน มันไม่จำเป็น จะต้องไปโลภโมโทสัน กลัวจะไม่มีใครมา ไม่มาก็ ไม่เป็นไร เราก็เอาเท่านี้

อาตมาไม่เชื่อว่า คนในโลกนี้ จะโง่เง่าจนกระทั่งไม่รู้สิ่งดี ไม่รู้สิ่งชั่ว มีคนแสวงหาสิ่งดี สิ่งประเสริฐ มีอยู่ เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญาเขาจะมา เขามาแล้ว เขามาถูกคัดเลือกด้วย คนอยากจะมา มีปัญญารู้เหมือนกัน แต่ตัวเองอินทรีย์พละไม่พอ ไม่แข็งแรงพอ เขาก็ถูกคัดออกเหมือนกัน เพราะฉะนั้น คนที่มีปัญญาดี มีอินทรีย์พละพอ ก็ฝึกฝนอยู่ด้วยกันไป คนที่ไม่มีปัญญา มีอินทรีย์ พละแก่กล้าดีนะ แต่ไม่รู้หรอก ถูกเขาจับยัดพั้วะ ที่นี่มีเหมือนกัน น่ะ มีเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่า ที่นี่ดีหรอก แต่ถูกเขาจับยัดผั๊วะเข้ามา แต่มีอินทรีย์พละดีนะ พอบอกทำยังงี้ ทำได้เลย ทำยังงี้ ทำได้ ทำไว้ ทำยังงี้เป็น ทำขัดเกลาได้ง่าย เป็นได้ คนนี้ก็อยู่ได้เหมือนกัน อยู่ได้เหมือนกัน มันมีเหมือนกัน มีประเภทที่ว่า ตัวเองก็ไม่รู้อีโหน่อิเหน่อะไรหรอก เขาจับมายัดพั้วะนี่เอ้า เลยได้ดีไปเลย เรียกว่า เลี้ยงง่าย บำรุงง่าย หรือเรียกว่านอนสอนง่าย อบรมง่าย ได้ง่าย ฝึกฝนได้ง่าย ก็เลยดีไปเลย ก็มี แต่ คนที่ มันรู้นี่มีมาก รู้ก่อน แต่อินทรีย์พละไม่พอ เอาไม่ได้ ทำไม่ได้ นี่มีเยอะ คนยังงี้เยอะนะ ก็แล้วไปเถอะ ไม่เป็นไร และเราก็จะมียังงี้แหละ ผสมมา เราก็จะคัดเลือกกันอยู่ในตัว สะสมไป คัดเลือกไป มันก็จะค่อยๆเพิ่ม

ทุกวันนี้ อโศกเรานี่ ปฐมอโศกเรานี่ จะเพิ่มขึ้นมา มีกิจกรรมกิจการมีผู้คน มีอะไรขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่ต้อง รีบร้อน ขอให้ได้จริงๆ ขอให้เนื้อแท้ๆ ดีๆๆๆ เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน รีบร้อน ประเดี๋ยวเถอะ อยากใหญ่ อยากโต อยากจะสมบูรณ์ไวๆ มากๆ มันไม่สมบูรณ์หรอก มันจะเกิน มันจะมาก เกินมาก สิ่งที่ไม่ได้สัดส่วนด้วย ถ้ามันมากในสิ่งที่ไม่ได้สัดส่วน มันก็จะเละ นะ เพราะฉะนั้น ก็จะใช้ไม่ได้นา

เอาละ อาตมาก็ได้สาธยายอะไรต่อมิอะไรเพิ่มมา ได้กำชับกำชา อะไรหลายๆอย่าง บอกให้ฟังแล้ว เพราะฉะนั้น ในหลักเกณฑ์ที่ทางโรงเรียนได้ตั้ง อะไรเอาไว้ และก็พยายามทำตาม อาตมาก็จะดูแล นโยบาย จะแนะนำทางครู ทางผู้ที่ดูแล ทางผู้ปกครอง อะไรก็ตาม เราก็จะทำกันไป เราจะเรียนกันไป อย่างของพวกเรา ต่อไปทุกคนเรียนนี่ ไม่เหมือนทางโลกเขาหรอก พวกเรา เรียนฟรี กินอยู่ฟรี เรียนฟรี มีทุน มีรอน ตอนนี้ได้ประชุมกัน ที่สันติอโศกแล้ว เราตั้งกองทุน กองบุญสัมมาสิกขา ขึ้นมาแล้วนะ กองบุญสัมมาสิกขา มีตอนนี้มีกรรมการ ๗ คนด้วยกันนะ อาตมาจำไม่แม่น ว่ามีใครบ้าง แต่เอาเถอะ กรรมการนั่น ก็มีครูที่สันติอโศกอยู่ด้วย และก็มีผู้ปกครอง ผู้ที่เขาควรจะได้ดูแลเรื่องเหล่านี้ อยู่อีกด้วย รวมกันแล้ว ๗ คน กรรมการ ตอนนี้ทางโน้นพอตั้งขึ้นวันแรก วันที่ประชุมกัน วันแรก คือ วันอาทิตย์ ประชุมกันแล้ว ก็ตั้งกรรมการ แล้วก็บอกนโยบายอะไร เสร็จปั๊บ ก็มีคนมีบริจาคทุน ทันที ตอนนี้ได้มา ๖ หมื่นกว่าแล้ว ปึ๊บเดียว ทุนได้ ๖ หมื่นกว่า ๖๖,๘๘๓ บาทหรือไงนี่ อาตมาจำตัวเลขนี่ ดูเหมือนจะใช่นะ ๖๖,๘๘๓ บาท ในวันแรก และทุนนี่จะต้องเป็นทุนที่มากขึ้น จนกระทั่งถึง อาตมาบอกเขาแล้ว ว่า ทุนนี้จะเป็นทุนการศึกษา อย่างที่แท้จริง ถึงการสร้างอาคารโรงเรียน หรือ สถานที่ ทำอะไร ถ้าในอนาคต จำเป็นที่จะต้องทำ หรือทุนรอน ผู้ใดที่ควรจะเรียนๆ มีความรู้ ความสามารถ ที่จะเรียน ไปเอามาทำประโยชน์ ไม่ใช่เรียนไปเพื่อล่า ลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ โลกียสุข ทุนนี้ก็จะส่งเสริม เป็นคนในทุนเรียนทุน จริงๆ และเรียนทุนนั้น ก็มีจิตใจบริสุทธิ์จริงๆ ว่าเรียนไป เพื่อความรู้ ความสามารถ เพื่อเอามาพัฒนาสังคม มาเสียสละ ไม่ใช่เรียนมาเพื่อ กอบโกย ให้แก่ตัวเอง มาล่าลาภ ล่ายศ ล่าสรรเสริญ โลกียสุขให้แก่ตัวเอง จะไม่ใช่เลย เพราะฉะนั้น การศึกษา นี่ เราส่งเสริม ถ้าใครสมเหมาะสมควรที่จะเรียน ไปเรียน เพิ่มเติมสิ่งที่ ควรเรียน มาขนาดไหน ถ้ามันมีความจำเป็นในอนาคต จะต้องส่งคนไปเรียนสร้างจรวด ออกนอกโลก อาตมาจะส่ง ไม่ใช่อาตมาหรอก ทุนของเรานี่จะส่ง ส่งให้ไปเรียนเลย ถ้ามีความจำเป็น

แต่ตอนนี้ มันยังไม่จำเป็นเลย ไม่ต้องไปออกนอกโลกอะไรหรอก อยู่ในปฐมอโศกให้มันได้ก่อนเถอะ ไม่ต้องไป ออกนอกโลกหรอกนา เข้าใจไหม อยู่ในปฐมอโศก นี่ไม่ออกไปนอกปฐมอโศกนี่ ให้มันได้ ก่อนเถอะ ไม่ต้องไปออกนอกโลกหรอก เพราะฉะนั้น ไม่มีความจำเป็นอะไรที่ จะสร้างจรวด เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปเรียน ทุนอย่างนี้ไม่ต้องไปให้ ไม่ต้องไปเสริม หรือทุนที่จะส่งเสริม ไปถึงขั้นที่ เป็นวิชา เทคโนโลยี่ ลึกซึ้ง ต้องไปเรียนรู้เอามา อาตมาว่ามันมีความจำเป็นน้อย แต่ถ้าถึงครั้งคราว ที่จะต้อง กระทบไหล่ กะเขาบ้าง ต้องมีคนอย่างนี้ พอที่จะไปพูดให้เขารู้เรื่องได้บ้าง เราก็จะรู้ว่า สิ่งที่ เป็นคุณค่า มีประโยชน์อย่างไร อย่างวิชาความรู้ ในเครื่องมือเทคนิค หลายๆอย่าง คอมพิวเตอร์ อย่างนี้เป็นต้น เราไม่ประมาท เราไม่ดูถูกเครื่องทางไฟฟ้า เครื่องทางกลๆอะไร หลายๆอย่าง ที่จะต้อง ทุ่นแรง ที่จะต้องอะไรต่อมิอะไรบ้าง เพราะว่าทุกอย่างมันพร่อง มันบก มันพร่อง มันแห้ง มันไม่พอ ไปหมดแล้ว ต้องใช้เครื่องมือพวกนี้ช่วย เราก็จะเรียนบ้าง

แต่ถ้าเรายังคนไม่มาก เรายังไม่ช่วยคน ยังไม่ต้องไปช่วยคน อย่างกว้างเกินไป นะ เราไม่ต้องมี สิ่งเหล่านั้น ไม่ต้องมีความรู้เหล่านี้ก็ได้ แต่ถึงที เราจะต้องช่วยคน ในระบบที่กว้างขึ้น มากขึ้น ต้องหาพวกนี้ มาเป็นเครื่องทุ่นแรง เป็นเครื่องช่วยถึงเวลานั้น เราก็จะมีคนคอยควบคุม แทนที่เรา จะไปจ้าง เอาคนที่ เขามีความรู้ทางโน้นมา เราไปหาเงินจ้างเขา แล้วเขาก็มาขี้โลภ จะต้องได้เปรียบ อะไรอยู่อย่างนี้ เราไม่เอา เราเอาคนของเรานี่แหละ ไม่มีความรู้ เราก็จะเอาคนของเราไปเรียน เรียนมา เพื่อจะมาทำงานนี้ได้ แล้วเขาก็จะไม่มานั่งขี้โลภ กอบโกย เอาเปรียบ เอารัดอยู่ เราก็จะทำงาน เจริญต่อไปได้ อย่างนี้เป็นต้น ถ้าเผื่อว่าพวกใคร ไปเรียนมานี่ ก็ไม่มีปัญหาหรอก เราก็มาประยุกต์ เอาเข้ามาปรับ เพื่อที่จะทำงานกะพวกเรานี่ ได้ไปหมดแหละ จบอะไรมา ก็เรียน เอามาทำได้หมด ไม่มีปัญหาอะไร เราทำได้ เท่าที่มันมีประโยชน์ คุณค่าอันสำคัญ เราทำได้หมด หลายคนเรียนมาก่อน เรียนที่โน่นที่นี่มาก่อนแล้ว ก็ไม่เป็นไร ต่อไปนี้ เราจะเรียนถูกแขนง ถูกความจำเป็น ถูกความสำคัญไปเรื่อยๆ เลยต่อไปในอนาคต และ เราไม่จำเป็นที่จะต้อง ไปเที่ยวได้ ดิ้นรนเดือดร้อน ต้องไปหาทุน ต้องหาเงินมาส่งเสียให้ลูกให้เต้า ยังโน้นอย่างนี้ ไม่ต้องหรอก ทุนก็มี ขอให้มันเก่งจริง ให้มันเหมาะสมเองจริงเถอะ ขี้คร้านจะไม่อยากไปเรียนน่ะนะ ขี้คร้านจะไม่อยาก ไปเรียน แต่ถ้าเผื่อว่าเราไม่เห็นแก่ตัว เราจะตั้งใจไปเรียน ถ้าเผื่อว่าคนนี้เหมาะสม ไป ถ้าเรามี ความชำนาญ มีบุญ มีพรสวรรค์ในทางนี้ เอาไปเรียนทางนี้มา เพื่อที่ จะมารังสรร มาสร้าง ถ้าเราไม่มี ความเห็นแก่ตัว ไปเรียนมันก็เมื่อย ไปเรียนมันก็เมื่อย มันก็ต้องใช้อุตสาหะวิริยะ แต่คนเรา เข้าใจแล้ว จะทำ ทำเพื่อสร้างสรร เราก็ได้บุญ สังคมก็ได้บุญไปด้วยกันหมดนะ


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ ๗ มิ.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑.โดย สม.จินดา ตั้งเผ่า ๑๐ มิ.ย.๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒.โดย สม.ปราณี ๒๑ มิ.ย.๒๕๓๔

# (อบรม กศน.ฯ/ FILE:1555B.TAP)