รับลูกให้เป็น
ทำวัตรเช้าที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๓๔
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
อบรมคณะครู กศน. ณ ปฐมอโศก

อะไรๆ ที่ควรจะได้ๆ จะได้ปรับ ควรจะได้รู้ ทางด้านจิตด้วย ทางด้านจิตใจ ถึงเรื่องที่มันเกิดขึ้น ที่มันมีอะไร ที่เราเอง ยังรู้ไม่เท่า รู้ไม่ทันอะไร อาตมาจะพูดกว้างๆนะ จะขยายอะไรต่ออะไรไปให้ฟัง

ขณะนี้ที่ปฐมอโศกเรานี่ มันมีการขยาย โดยเฉพาะ มันมีนักเรียน มีโรงเรียน เป็นโรงเรียนจริงๆ ที่เรา จะต้อง ค่อยๆก่อขึ้น แม้ว่าเรา จะไม่ได้เป็นโรงเรียน ที่ได้รับอนุญาตตรงๆว่า นับว่าเป็นโรงเรียน หรือว่าเป็น ส่วนการศึกษาที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ ว่าเป็นนักเรียน ที่มีชั้นเรียนนี่ ได้ที่เราไปขออนุญาต ที่เป็นนักเรียนกศน.นี่ เป็นการศึกษานอกโรงเรียน ตามระบบ ระเบียบ ของทางการเขา เป็นแต่เพียงว่า เราเองอาศัยทางสันติอโศก เพราะทางสันติอโศกขอได้ เราก็เลย อาศัยว่า เป็นโรงเรียนของสันติอโศก เพราะทางนี้ เรายังขออนุญาตยังไม่ได้ก็ตาม ส่วนการกระทำนั้น ไม่ได้ผิดกฎหมาย ไม่ได้ผิดอะไร เอามาไว้เรียนที่นี่ แล้วก็ไปพบกลุ่มกันตามระเบียบวิธี เขามีอยู่แล้ว มันก็ ใช้ได้อยู่นะ เพราะฉะนั้น เราจึงปฏิบัติอย่างนี้ แล้วก็เป็นการสร้างนักเรียน สร้างนักศึกษา กันจริงๆ

เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นะ เป็นเรื่องใหญ่ แล้วขอให้พวกเราตื่น ขอให้พวกเรารู้ตัว รับฟังรับทราบ คิดดีๆ อาตมาได้เทศน์ มาหลายครั้ง เจาะมาหลายทีว่าการมีนักเรียน การมีเด็กน่ะ เป็นเด็กจริงๆ คือเป็นเด็ก ตั้งแต่ ยังไม่ได้ชื่อว่านางสาว ไม่ชื่อว่านาย เพราะว่า อายุยังต่ำกว่า ๑๕ ก็ยังเรียนกัน ยังเป็นเด็กจริงๆ ที่จริงนักเรียนกศน.นี่ส่วนมากเป็นนักเรียนการศึกษาผู้ใหญ่ การศึกษาของผู้ใหญ่ การศึกษา นอกโรงเรียน เป็นการศึกษาพิเศษ ที่เขาเปิดทางให้แก่ผู้ที่ ไม่มีโอกาสได้ไปเรียน ตามชั้นเรียน ปกติ คือเรียนตั้งแต่เด็กมา คือไล่เลียงมาเรื่อย ตามอายุอย่างที่ นี่อยู่อย่างเป็นสามัญ เขาเปิดโอกาสให้ แต่แท้จริงแล้ว มันก็ล้มเหลวอีก ในการศึกษาแบบนั้น ทีนี้เราเอง พวกชาวอโศก ของเรานี่ เราก็เห็น ความล้มเหลว ของการศึกษาทั้งหมดอยู่ โดยเฉพาะอาตมานี่เห็นความล้มเหลว ของการศึกษา ทั้งหมดอยู่ อาตมาถึงไม่ได้เห็นว่า พวกเราไปเรียนหนังสือหนังหา อย่างนั้นแล้ว มันจะได้สิ่งที่ รวม เป็นสิ่งที่รวมที่ได้มาแล้ว มันจะทำให้ชีวิตนี้เจริญขึ้น หรือว่าสังคมพัฒนาขึ้น อย่างที่เคยพูด กันมามากมาย อาตมาก็พูดกันมามากแล้ว

สรุปง่ายๆ ก็เพราะว่าไปเรียนแล้ว ก็กลายเป็นผู้ที่จิตวิญญาณไม่ดี จิตวิญญาณกลายเป็น ขี้โลภ เห็นแก่ตัว จัดจ้านขึ้น เพราะได้อาวุธในมือ ได้ความรู้ แล้วเขา ก็ตีราคาความรู้เหล่านั้น เป็นทั้ง ศักดินา แล้วก็จิตใจ ก็เป็นนักทุนนิยม เป็นนักล่า ลาภล่ายศ ล่าสรรเสริญ ล่าโลกียสุข ให้แก่ตนเอง จนเกิดวรรณะ เกิดมีศักดิ์มีชั้น มีการเหนือกว่าเจริญกว่า ดีกว่า ร่ำรวยกว่า มีศักดิ์สูงกว่า แล้วก็ข่ม ข่มขี่เบียดเบียนกัน เป็นทาสของสังคม เป็นสังคมทาสอยู่อย่างเดิม แต่ว่าไม่ใช่ทาส อย่างชัดเจน เท่านั้นเอง แต่ก็เป็นทาสกันอย่าง วัฒนธรรม ยังเป็นสังคมที่มีวัฒนธรรม ความเป็นทาส อยู่อย่างเดิม ทาสทางยศศักดิ์ อำนาจ ทาสทางเงินทองร่ำรวย ทาสทางข่มเบ่ง ในเรื่องของการกิน การอยู่ การมีสมบัติพัสถาน การมีศักดิ์มีศรี มีอำนาจ การมีตำแหน่งหน้าที่ การมีความร่ำความรวย ความสวย ความงามอะไรก็แล้วแต่ ที่มันข่ม มันเบ่งกันอยู่ในทีไปทั้งหมด มันก็เลยเป็นการข่ม เบ่งกันอยู่ ในสังคม เป็นสังคมทาส อย่างเดิม

คำว่าสังคมทาสนี่แหละเป็นทั้งโลก แก้ไขกันมาตั้งแต่เป็นทาสหยาบๆ ซื้อคนไปเป็นทาส บังคับใช้แ ล้วก็มีสิทธิส่วนตัวในคน จะสั่งฆ่าสั่งแกงอะไรทิ้งก็ได้ จนกระทั่ง เขาเลิกอย่างหยาบคาย อย่างนั้นมา มันก็ยังเป็นทาส กันมาเรื่อยๆ เป็นทาสกันทางทรัพย์ศฤงคาร ส่งส่วยส่งไป แม้ระดับประเทศนี่ ส่งส่วนที่ควรจะได้ไปให้ เอาเปรียบกันน่ะ เป็นทาสทางอาณานิคม เป็นทาสทางระดับประเทศ จนกระทั่ง พัฒนากันมา ซับซ้อนมาว่า ไม่เป็นทาสทางอาณานิคมกัน ก็พยายามปลดปล่อยกัน แต่ก็ เป็นทาสทางอำนาจเงิน อำนาจอาวุธ และอำนาจเศรษฐกิจ อำนาจทางวิธีการ ที่จะเอาเปรียบเอารัด เรียกเศรษฐกิจนี้ อย่างฉ้อฉล ที่จริงเศรษฐกิจเป็น ความหมายดี แต่เสร็จแล้ว ก็มาปฏิบัติเศรษฐกิจ เป็นขบถ ไปหมดน่ะ พวกนี้เป็นเรื่องรายละเอียด อาตมาจะไม่ขยายความ เพราะฉะนั้น จะไม่ได้พูด เรื่องของเรา ในรายละเอียดพวกนี้ อาตมาจะขยายเป็นวันๆ มาฟังธรรมกันบ้าง อย่างน้อยที่สุด ตอนก่อนฉันอาหารนี่ อาตมาก็เล่าเรื่องนั่นเรื่องนี่ ถ้าแม้ไม่ได้ฟัง ก็เอาเท็ปไปฟัง อะไรกันบ้าง หรือว่า ขวนขวายฟังเวลาเทศน์ แล้วบางทีเขาก็เอามา เปิดๆ ทบทวนอะไร เราก็ไม่ใคร่ใส่ใจฟัง มันก็ไม่รู้ มันช้าน่ะ นั่นก็เป็นเรื่องล้มเหลว ของที่อาตมาขยายความออกไป ให้เห็นว่า การศึกษา ก็ศึกษา เพื่อที่จะให้เกิดเป็น คนที่เจริญ เป็นอารยมนุษย์ หรือเป็นอารยชาติ อารยชน หรืออริยมนุษย์นั่นเอง เป็นอริยชน แต่เขาก็ไม่เข้าถึงจิตวิญญาณ มันเป็นอารยะ หรือเป็นอริยะไม่ได้ เพราะจิตวิญญาณ มันยังเป็นนาย ยังเป็นพวกที่ยังเป็นข่มเบ่ง ยังเป็นพวก เอาเปรียบ เอารัด ไม่เสียสละจริง ยังมีตัวมีตน ยังมีการยินดี ยังมีการได้เปรียบ

มันเริ่มตั้งแต่ การติดยึด เอร็ดอร่อย ที่ตัวเองจะต้องเอามาบำเรอตน เมื่อเอามาบำเรอตน ด้วยอะไร ก็ตามแต่ ที่สมใจตนๆ ต้องอยากได้อยากมีอยากเป็น อย่างเอร็ดอร่อย เป็นอัสสาทะ มีรสอร่อยอยู่ ตั้งแต่แรก เป็นจุดเริ่มต้น ที่จิตวิญญาณ มันเป็นกิเลส มันก็ต้องสะสม สิ่งอร่อยนั้นอยู่ ทีนี้สะสม อร่อย มากเรื่องๆ มากราว มากสังขารธรรม มากขึ้นไป มากเท่าใดๆๆๆ มันก็ต้องร่ำรวย และมีอำนาจ และมันก็ไม่หยุด การร่ำรวย ไม่หยุดการมีอำนาจ จึงมีตัวมีตน ไม่ยอมเป็นผู้เสียสละ อย่างสมบูรณ์ ไม่ยอมเป็นผู้ให้ แก่ผู้อื่นโดยแท้ เพราะต้องมาบำเรอตนนะ นี่เป็นความหมายกลางๆน่ะ ถ้าใครเข้าใจ แล้วก็ฟังดูดีๆ แล้วจะรู้ว่าเราจะต้องละตัวละตน ละไม่ให้เราเสพอะไร ไม่ให้ เราติดอะไรทั้งหมดนะ ซึ่งไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆนะ เราปฏิบัติธรรมมาขนาดนี้ เราถึง ค่อยรู้ว่าอีกเยอะเลย เราเองยังเหลืออยู่ ทั้งๆ ที่เราลดไป ก็เยอะแล้ว แต่มันก็ ยังเหลืออยู่อีกเยอะน่ะ ส่วนคนที่เขาไม่เรียนรู้แล้วนั่นน่ะ อย่าหวังอะไร เสียเลย ว่าเขาจะลดละอะไรได้ นะมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ขนาดเรามาเรียนรู้ วิธีการ อันสำคัญ ซึ่งพระพุทธเจ้าสอนวิธีการให้แก่เราแล้ว ว่ามันเป็นนามธรรม เป็นเรื่องละเอียด แล้วเรา จะเห็นว่า มันเป็นเรื่องยากเย็นขนาดเอาออกแล้วมันก็ยังเด้งกลับมันก็ยัง เหมือนหนังสติ๊กนะ เอาออกมา ก็ยังกลับมาคืนอยู่อะไรนี่ มันไม่ใช่ง่ายๆ แต่ก็ทำได้ เราจะรู้ว่าปฏิบัติถูกทาง แล้วจะรู้ว่า เอาออกได้ เบาบางได้ แล้วก็มีกำลังได้ มีความเสียสละได้ ซับซ้อนลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ดังที่เรากำลังเป็น ดังที่เรากำลังได้

ถ้าเผื่อว่าเสียสละแล้วเราก็จะเห็นคุณค่าจริงๆ ว่าคนเราเกิดมานี่ เรามาฝึกสร้างสรรเสียสละ เท่านั้น เป็นอย่างพระเจ้า อย่างที่เขาอธิบายกัน ในศาสนาอื่น พระเจ้าคือผู้สร้าง แล้วก็ผู้ประทาน หรือผู้ให้ ผู้เสียสละ นั่นเอง สร้างแล้ว ก็เสียสละๆ แล้วก็ให้ หรือประทาน ก็เพราะว่า พระเจ้านี่ถือว่าใหญ่ สร้างๆอะไรๆ ถ้าใครต้องการอะไร ท่านสร้างให้ได้หมด แล้วก็ให้เป็นผู้ให้ ถือว่าผู้ใหญ่ให้ เรียกว่าประทาน ถ้าเด็กให้ก็ให้ไปอย่างนั้นแหละ ถ้าเด็กให้แก่ผู้ใหญ่ ถือถวายนะ ถือว่าถวายด้วยซ้ำ แต่ถ้าผู้ใหญ่ให้ ถือว่าประทานให้ ประทานคือ เป็นผู้ให้ ผู้ใหญ่ให้แก่ใครๆทั้งหมด ก็แล้วแต่ ให้ ศัพท์ภาษาว่า ประทาน

สรุปแล้วมันก็คือว่าเป็นผู้สร้างมาเพื่อให้แก่ผู้อื่น รับใช้ผู้อื่นนั่นเอง ถ้าจะว่าผู้รับใช้ เดี๋ยวจะฟัง เพี้ยนว่า พระเจ้าเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น มันก็ไม่สวย หรือผู้ใหญ่ เป็นผู้รับใช้ผู้อื่น มันก็ไม่สวยนะ ที่จริง มันโดยพฤติกรรมแล้ว คือผู้รับใช้ทั้งนั้นแหละ จะเป็นพระเจ้า จะเป็นใหญ่จะเป็นโต จะเป็น ขนาดไหนๆ จริงๆก็เป็นผู้รับใช้ เป็นผู้รับใช้สังคม ผู้ช่วยเหลือสังคม เป็นผู้ที่มีคุณค่า ไม่เอาเปรียบใคร เป็นผู้เสียสละ ไปทั้งหมด จิตวิญญาณบริสุทธิ์ ลักษณะ ๓ นี่เป็นลักษณะของ จิตวิญญาณ อันยิ่งใหญ่ เป็นจิตวิญญาณที่เป็นผู้สร้าง ผู้ใดเป็นผู้สร้าง ขยันหมั่นเพียร เป็นผู้ที่ มีความรู้ ความสามารถ สร้างอะไรได้ทั้งนั้น สร้างได้ทั้งโลกเลย เขาถึงบอกว่า พระเจ้านี่ เป็นผู้ สร้างทุกสิ่ง ทุกอย่าง สร้างได้หมด อะไรต่ออะไร ก็พระเจ้าสร้างได้ทั้งนั้น สร้างทั้งหมด เพราะฉะนั้น คุณลักษณะ ของ ผู้ที่ศึกษาทางด้านสาย ที่มีพระเจ้า ก็จะต้อง ปฏิบัติตน ให้เป็นคนมีความรู้ เป็นคน มีความสามารถ เพื่อสร้าง ไม่ใช่เป็นคนขี้เกียจ ไม่ใช่คนไม่เป็นอะไร เป็นคนขยัน หมั่นเพียร สร้าง สร้างไปหมด ใครขออะไรก็ให้หมด ในสิ่งที่เป็นความดี ในสิ่งที่ควรสร้าง ควรทำให้นะ มี ยกเว้นนะ ไม่ใช่ว่า สร้างผี สร้างซาตาน สร้างความชั่วความเลวไม่ใช่

พระเจ้าไม่สร้างซาตาน พระเจ้าไม่สร้างความชั่ว พระเจ้าไม่สร้างความเลว ไม่ตามใจคนในเรื่องเลว พระเจ้าจะต้อง สร้างแต่เรื่องดี สร้างแต่คุณงามความดี สร้างแต่สิ่งดีและต้องมี ปัญญารู้ว่า อะไรดีแท้ๆ เป็นนักเศรษฐศาสตร์อย่างสำคัญ รู้ว่าอะไรสำคัญ ที่จะควรสร้างลงไป ที่จะควรกระทำ ลงไป ทั้งเป็นความสำคัญ และความเร่งด่วน หรือเป็นความจำเป็น ที่จะต้องรีบกระทำขึ้นมา อะไรที่มันมากแล้ว เกินแล้ว พอแล้ว ก็จะหยุดสร้าง หยุดทำ นี่เป็นนักเศรษฐศาสตร์อย่างนั้น พระเจ้า จะต้องเป็น นักเศรษฐศาสตร์ สร้างแล้วก็ไม่เอามาแลกเปลี่ยน สร้างแล้วก็ไม่เอามาเพื่อที่ จะไปให้ซื้อ ให้ขายไป เอาเปรียบเอารัดใคร สร้างแล้วก็ให้ไป แล้วมีปัญญาให้ด้วย ให้แก่คนที่ควรให้ ให้ไปแล้ว จะไม่เกิด กิเลสต่อ จะไม่ไปเป็นชั่วเป็นเลว ให้ไปแล้ว จะต้องไปดี ให้ไปแล้ว จะต้องรังสรรค์ ทั้งตัวเขา และสังคม จะต้องดีไปด้วยกันทั้งหมด จะต้องมี ปัญญาว่า จะให้ๆ กลุ่มนี่ให้คนนี้ ให้ในเวลานี้ เวลานี้ยังไม่ควรให้ ควรให้เวลาไหน กลุ่มไหน บุคคลไหน กว้างบ้าง ไกลบ้าง ควรให้ ใกล้ก่อน ไกลก่อนหรืออะไรก่อน ก็ต้องรู้ทั้งนั้น และเป็นผู้ฉลาด เป็นผู้มีความรอบรู้ เราเป็นลูก พระเจ้า เหมือนกัน เราก็ต้องทำจิตวิญญาณของเรา ให้เป็นพระเจ้า จิตวิญญาณของเรา เหมือนอย่าง ความหมายที่กล่าวไปแล้ว และเป็นจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์จริงใจ เป็นจิตวิญญาณ บริสุทธิ์ ทำตรงอย่างนั้นจริงๆ ศาสนาไหนก็สอนในนัยคล้ายกัน แต่มีวิธีการสอน ที่จะไปให้ถึง จุดสุดท้าย อย่างที่ว่านี้ มันไม่ใช่ง่ายๆ นั่นเป็นคุณลักษณะของผู้ที่ยังมีตัวตน ยังมีอัตตา อัตภาพ ยังมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ที่ยังไม่ปรินิพพาน จากโลกไป ยังเป็นผู้ที่ยังมี อัตภาพอยู่ ศาสนาที่ยังมีอัตภาพ เขาก็ยังสอนแง่นั้น

ส่วนศาสนาพุทธเรานั้น สอนทั้งสองแง่ๆ ที่จะเป็นผู้ที่จะดีที่สุด เป็นพระเจ้า หรือเป็นลูกพระเจ้า ก็สอนน่ะ เสียสละอย่างสมบูรณ์สูงสุดก็สอน และวิธีการ จะปรินิพพาน คือไม่ติดไม่ยึด เป็นตัว เป็นตน เป็นอัตภาพ แต่เป็นอัตภาพที่ เป็นปรมาตมัน ทีเดียว เป็นผู้ที่มีอัตภาพ อันยิ่งใหญ่ บรมอัตภาพ นั่นเอง เป็นคนที่มี จิตวิญญาณที่ยิ่งใหญ่ คือเป็นจิตวิญญาณ อย่างพระเจ้า พระเจ้า ศาสนาไหนมา แต่ดึกดำบรรพ์ จากไหนก็แล้วแต่ ตั้งแต่พระเจ้าศาสนาพราหมณ์ ศาสนาฮินดู เป็นพระเจ้าอะไร ก็แล้วแต่ เหมือนกันหมดแหละ มีคุณลักษณะเอียงไปข้างเดียวกัน นั่นแหละ สุดแต่ว่า จะเน้นประเด็นใด ก็แล้วแต่ เน้นประเด็นไหน ให้ชัดเท่านั่นเอง

แม้แต่เป็นพระเจ้าทางศาสนาอื่น ส่วนศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาอื่นๆใดๆ ทั้งนั้นแหละ นัยคล้ายกัน เอียงเทไปคล้ายกัน มีวิธีการลึกซึ้ง มีวิธีการที่ ในรายย่อย ที่สามารถทำให้คน ฝึกปรือ เพื่อที่จะให้ไปถึง วิญญาณที่เป็นวิญญาณที่เจริญ ตามความมุ่งหมายได้เก่ง หรือได้ดี มากน้อย กว่ากัน ได้ดีบ้าง กว่ากัน เท่านั้นเอง

ศาสนาพุทธเรานี่เกิดก่อนศาสนาหลายศาสนา แล้วรู้ดีในเรื่องการสร้าง คนที่มีชีวิตอยู่ ถ้าที่ผู้เรียน ครบ สมบูรณ์ทั้งโพธิสัตว์ หรือมหายานกับหินยาน กับผู้ที่มี ความรู้ทั้งสองด้าน จะรู้ทั้งหินยาน หรือ เถรวาทนี่ เน้นนิพพาน เน้นปรินิพพาน แต่เน้นไปแล้วก็สุดโต่ง พระพุทธเจ้าสอนสุดโต่ง สองอย่าง สุดท้ายก็ไม่เข้าใจ สุดท้ายก็มาโต่งเสียเอง เถรวาทก็มาโต่งทางด้าน ที่จะสูญ แล้วก็ไม่เป็นคุณค่า ไม่เป็นจิตวิญญาณพระเจ้า กลายเป็นจิตวิญญาณ คนเห็นแก่ตัว มีอัตตกิลมถานุโยค ลดกาม ลดอะไร ต่ออะไรไปแล้ว แต่ก็ไปเป็นฤาษี จะลดๆ จริงก็ไม่รู้ ของพระพุทธเจ้านี่ลด จริงแล้วรู้ ลดกามคุณ ๕ ลดอย่างถูกเป็นลำดับด้วย จนกระทั่ง หมดกามแล้วก็ไม่หลงโต่ง ไปในทางอัตภาพ ด้วยเป็นอัตตา หรือเป็น อัตตกิลมถานุโยค ก็ไม่หลง ไม่ว่าจะเป็นพระบ้าน พระป่า ไม่ได้หลงทั้งนั้น เป็นพระป่า ก็ไปหลงอัตภาพอยู่ในภพ ในภวังค์ที่ไม่เอาอะไร ส่วนที่มาเป็นพระบ้าน ก็หลงภพ เหมือนกัน ภพความรู้ ภพแห่งความเบ่ง ความฉลาดที่เอาเปรียบเอารัดคนอื่น เป็นภพของความเก่ง เป็นภพ ของความได้ครอบครอง ได้เป็นอำนาจ ได้เป็นใหญ่ ได้เปรียบ

ส่วนภพของทางด้านพระป่านั้น ไม่เอาเปรียบใคร ไปเสียสละหมด จนกระทั่ง ไม่ให้ใคร แต่ของกู ไม่แตกสลาย มันเป็นภพที่อยู่เงียบ อยู่สงบ อยู่ไม่เอาอะไร น้อยเกินไป ส่วนทางด้านไม่เอาเกินไป และไม่ให้ใครเลย ส่วนทางด้านพระบ้าน ก็ทำทีเป็นให้ๆใคร แต่แท้จริง ก็เอามาก จนเกินไป มีปัญญา ซับซ้อน เฉลียวฉลาด แทนๆ เหมือนกับเป็นผู้ที่จะบันดาล จะให้แก่ผู้อื่น ได้มากมาย ทำทีเป็น พระเจ้าจริง เป็นพระเจ้าผู้สร้าง ผู้ให้ผู้อื่นได้มากๆ แต่แท้จริงนั่นซับซ้อน กลายเป็นคน เอาเปรียบ เอารัดผู้อื่นมาก เบ่งข่มเบียดเบียนอยู่ กลายเป็นสภาพไม่ลึกซึ้งซับซ้อน ในความซ้อนนั้น ไม่ลึกซึ้ง ก็เลย ได้เปรียบอยู่

นี่ก็เป็นลักษณะง่ายๆของศาสนา เราเป็นพระเจ้า เราจะเป็นผู้สร้าง

ขณะนี้พวกเรา ชาวอโศกนี่ มันโตขึ้น มันใหญ่ขึ้นแล้ว มันก็จะต้องมีแวดวงที่สมบูรณ์ ครบวงจร ขึ้นไปเรื่อยๆ ปีนี้เป็นปีที่เกิด โดยเฉพาะการเกิดการเกษตร เราก็ทำอยู่ และก็ขับเคี่ยวกันอยู่ ใหม่ก็ทะเลาะกัน เพราะว่าการเกิดอะไรก็แล้วแต่ใหม่ๆ นี่ ในระยะเริ่มต้น เข้าใจอะไรกัน ไม่ได้หรอก ต่างคน ต่างมีอัตตา ต่างคนต่างมี ความถือดี มีมานะ มีความถือดีกัน ไม่ว่าแง่ใด ที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ และ มีหลายคน จะทะเลาะกันอย่างนั้นนะ ไม่ว่าด้านอะไรต่ออะไร ถ้าไม่ยอมรับกันจริงๆ หรือ ไม่อ่อนน้อน ถ่อมตนกันจริง มันก็จะขัดแย้งกันมาก อย่างที่เราเห็นแล้ว แต่ละหน่วย แต่ละงาน ถ้าผู้ใด เข้าไปในหน่วยงานใด ที่มีผู้ที่เก่งอยู่แล้ว ก็ยอมรับกัน เชื่อฟังกัน งานนั้นง่าย งานนั่น เชื่อฟังกัน ยอมรับกันนั่นง่าย เพราะง่ายไปง่ายมาที นี่ผู้ไปเรียนไปศึกษาในแผนกนั้น หมู่นั้น กลุ่มนั้น เรื่องนั้นแล้ว พอเวลาชักเก่งขึ้นมา ทีนี้ ชักทะเลาะกันอีกแล้ว ถ้าผู้ที่นำมาแต่เดิม ไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือปฏิบัติธรรม ไม่ได้ลดอัตตามานะ ไม่ยอมฟังกัน เคยถือว่าฉันนี่แหละเก่ง สอนแกมาแท้ๆ เสร็จแล้วแกจะมาแข็งข้อ มาเห็น หรือว่ามาปฏิบัติประพฤติ แหวกออกไป หรือว่า มีการ ประยุกต์ อะไรออกไป มีการคิดนึก มีความคิดเห็นที่ต่างกัน ขัดแย้งกันขึ้นมา ก็จะแย้งกัน ก็จะทะเลาะกันอีก มันเป็นเรื่องของกิเลสมานะอัตตา ทั้งนั้นน่ะ ไม่ว่าลักษณะที่ซับซ้อน มากกว่า อาตมาพูดไปนี่ อาตมาคงไม่มีเวลาพูด ความซับซ้อนพวกนี่มากนักน่ะ ไม่ว่ามันจะทะเลาะกันหมด ไม่ว่าแผนกไหน คุณสังเกตดูได้เลย ทุกแผนก แต่ถ้าเผื่อว่า ประสานกัน ยอมกัน มีการอ่อนน้อม ถ่อมตน มีการมี ปรโตโฆสะ โยนิโสมนสิการ คือ มียอมรับฟังผู้อื่น ไม่ว่าตัวเองจะเก่ง จะยอด ขนาดไหนก็ตาม ถ้าไม่รับฟังผู้อื่น แล้วก็ไม่พยายามลดรา วาศอกกันแล้ว แล้วเราจะไม่ได้พวก เราจะ ไม่ได้หมู่ เราจะทำคนเดียว เก่งให้ตายก็ทำคนเดียวแล้วหนักๆๆยาก ถ้าถูกจริงนะ เก่งจริงและถูกจริงก็ได้ แต่ไม่ได้พวกหรอก

อาตมาเองคนหนึ่ง ไม่สามารถทำได้ ทำโดยไม่มีพวก คนเดียวทำเก่ง อาตมาจะถูกต้องมากน่ะ อาตมา ก็ไม่ได้หลงตัว หลงตนอะไรหรอก แต่ใช้คำว่าอาจจะ ที่จริงอาตมาเชื่อว่า อาตมาถูกต้องมาก ถึงขนาดนั้น อาตมาก็ไม่สามารถทำคนเดียว อาศัยพวกเราด้วยหลายอย่าง อาตมาต้องโอนอ่อน ต้องยอม ทั้งๆที่รู้ว่าถูก แต่ต้องยอมเสียก่อน ต้องลดรา เอาแค่นี่ก่อน แล้วถึงค่อยไต่ขึ้นมา ตามลำดับ ไม่เช่นนั้น เราทำคนเดียวไม่ไหวหรอก แบกไม่ไหวหรอก สร้างหมู่กลุ่มขึ้นมาไม่ได้ เพราะว่า อัตตา มานะ ของคนนี่ มันไม่ได้รู้ตัว ง่ายๆ จะไม่ยอมง่ายๆ ยิ่งจะรู้สึกว่า ตัวเองถูกแท้ๆนะ ยิ่งทบทวน เท่าไหร่ ก็ยิ่งถูก มันยิ่งแข็งขืนเลย มันยิ่งจะเอาอย่างนี้นะ แล้วมันจะไม่ได้ แม้แต่คน ที่มากับพวกเรา นี่มานี่มาศึกษาฝึกฝนนี่ ก็ไม่ใช่ว่า เรามีบุญบารมี แม้ที่คนมีอินทรีย์พละ แก่ๆ กล้าๆมา ทีเดียวเลย เอาอย่างเข้มๆเคร่งๆทีเดียวแล้วก็ได้ มันก็ไม่ได้อีก แต่ก็แตกสลาย และก็ได้น้อย ไม่คุ้ม ไม่ทันเวลา

เพราะฉะนั้น คนไหนเคร่งๆ สังเกตดูเถอะ เข้ากับหมู่ไม่ติด ตัวเองเบ้งๆ อยู่อย่างนั้นน่ะ แตกสลาย หมู่ฝูงทุกข์ทรมาน พวกเรานี่ดีอยู่อย่างหนึ่ง เรียกว่า อดทนกัน แม้จะถูกเข่น ถูกฆ่า คือแข็งน่ะ เหนียว ถูกเข่น ก็อุตสาหะ อดทน ถ้าเป็นที่อื่นนะเหรอ แตกพังไปหมดแล้ว พวกเรานี่ ขยายแขนง ขยายแผนก ขยายฝ่าย ออกมาหลายๆอย่าง หลายเรื่อง หลายๆงาน หลายๆอาชีวะ หลายๆอาชีพ หลายๆการกระทำ หลายๆงาน อย่างขณะทุกวันนี่นะ แตกหมดแล้ว ระแหงหมดแล้ว อาตมานี่ วิ่งไปตัดสินความ วิ่งไปพิจารณา วิ่งไปประนีประนอมไม่ไหวหรอก ป่านนี้เละหมดแล้ว แต่พวกเรา ก็ได้ฝึกฝนกันมา ก็มีอินทรีย์พละกันมา พอสมควร ขนาดนั้น ยังไม่ค่อยไหวเลย

เอา ทีนี่มาเข้าเรื่องโรงเรียน เรื่องโรงเรียนนี่เป็นตัวอย่างปัจจุบัน เรื่องอื่นก็มีอยู่ เดี๋ยวนี้ยังมีอยู่ หลายแผนก ที่ยังเด่นอยู่คนเดียว แล้วก็ทำมันอยู่คนเดียวแหละ ที่จะเอาอย่างใจ ที่จะเอาอย่างเคร่งๆ นี่แหละ และไม่เข้าใจ และไม่อนุโลมอะไรเลย ลูกค้าก็ไม่มีสมาชิก ที่จะมารับเข้ากับการบริการ ก็ไม่มี แล้วก็ ผู้ช่วย ผู้ที่ทำด้วยกัน เป็นผู้ที่จะช่วยร่วมกันสร้างสรร ร่วมกันทำ ก็ถูกกดดันๆ พวกเรา อดทนได้ๆ บอกแล้ว แต่สุดท้าย ก็แตกระแหง ดูเอาเถอะ แต่ละแผนก มีอยู่ทุกแต่ละแผนก มากบ้าง น้อยบ้าง น้อยบ้างที่ฟังนี่พูดโดยทั่วๆไป

แต่อาตมาจะจับเรื่องการศึกษา เรื่องโรงเรียนนี่เป็นหลัก ในเรื่องอื่นก็ฟังเอา มันลักษณะคล้ายกัน กิเลสเหมือนกัน ผลกระทบก็เหมือนกัน คล้ายๆกันนะ มันอยู่ที่กิเลสเป็นหลักทั้งนั้น แล้ว ไม่มีปัญญา ที่จะยืดหยุ่น ที่จะอนุโลมปฏิโลม ทั้งผู้ที่จะเป็นผู้ถูกก็ตาม ยิ่งไม่ถูกแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่เลย ยิ่งนำพาไป เสร็จแล้ว ยิ่งล้มเหลวไปเละๆ ต้องมาเข้ากลับกัน สุดท้าย ต้องปลดผู้ที่นึกว่า ตัวเองใหญ่ แล้วก็ถูก ต้องปลดๆ ออกไปแล้ว ให้ผู้ที่เป็นไปด้วยดี ผู้ที่มีปัญญาเข้าใจขึ้น ค่อยขึ้นมาทดแทนขึ้นมา ทำแทน กันมา ทำขึ้นไป ที่ เราได้กระทำกันอยู่ ก็ทำกันไปตามเรื่องราว ตามเหตุการณ์นะ

ทีนี้เรื่องโรงเรียนนี่ ขณะนี้กดดันหมดเลย ทั้งเด็กและผู้ที่ร่วมงานและ ครู ตั้งแต่ครูผู้สอน จนกระทั่ง ไปถึงครูพี่เลี้ยง กดดันกันหมด เพราะฉะนั้น อาตมาพูดแล้วว่า มันเกิดจากกิเลสที่เราเอง มีอัตตา มานะ แล้วก็เลยเกิดสภาพนี้ คนละมาก คนละน้อย ผสมผเสกันอยู่ ผู้ที่มีมากมีเด่น ก็ทำมาก ทำแรง ผู้ที่ไม่มีมาก ไม่มีเด่น ก็ทำไปยอมบ้าง ไม่ยอมบ้าง ส่วนผู้ที่ยอมเลย ก็ถูกกดดันไป ตลอดเวลา และตัวเอง ก็มีอัตตา มานะอยู่จริงๆ เราก็ยอมไม่ค่อยได้ มันก็เลยเกิดการกดดัน ยอมไปสุดที่แล้ว มันก็ยอมไม่ได้ มันก็เกิดการกดดันอยู่ อย่างนั้นแหละ ส่วนผู้ยอมได้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ผู้ยอมได้ ก็ทำไปนะ ทำไปเรื่อยๆ ทีนี้ ผลกระทบ ที่มันเกิดให้ครูเขา ก็เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่าไม่ใช่ครู อย่างเดียว เป็นเพราะสมาชิกหมู่บ้านนี้ด้วย คือพวกเราชาวอโศก ที่อยู่ในนี้นะ ไอ้บ้างก็จรมา บางครั้ง บางคราว อาคันตุกะจรมาพัก มาอาศัย ไอ้บ้างก็อยู่ประจำนี่แหละ มันก็ไม่ชอบ คือยังไม่เข้าใจ อาตมาก็พยายาม เกลี่ยแล้วว่า เรื่องนี้ต้องรับเรื่อง นี่เราจะต้องเป็นต่อไป จนกระทั่ง จนให้บอกให้ฟัง ให้ชัด เมื่อวานนี้ แนะนำให้ฟัง ไม่ได้เป็นลูกของเราแท้ๆ และเป็นแขนงของเรา ที่จะต้องเกิด เราจะต้อง มีลูกๆแบบนี้ ต้องมี ในสังคมและเป็นลูกแท้ๆด้วย

อาตมาได้ถามแล้วว่า ลูกทางจิตวิญญาณ กับลูกทางสายเลือด ที่อยู่ในท้องคลอดออกมา ผสมพันธุ์กัน คนตาบอด หูหนวก แขนด้วน มันยังผสม ออกมาได้เลย แบบนั้นนะ และไม่ต้อง ฉลาดด้วย โง่ๆด้วย พวกที่โง่ๆพวกที่อีเดียด (idiot) พวกที่กึ่งบ้ากึ่งดี ไม่ค่อยรู้เรื่อง มันยังมีลูกเลย ผสมพันธุ์ ให้มันถูกเรื่อง เหมือนกับสัตว์เดรัจฉาน เท่านั้นแหละ เอาน้ำเชื้อกับไข่ เข้าไปผสมพันธุ์ และแล้วมันก็ ออกมาแล้ว ได้ลูกแบบนั้น ใครๆมันก็สร้างได้ ไม่ต้องเอาความเฉลียวฉลาด แต่ การสร้างลูก แบบที่เรากำลังทำนี่ ต้องใช้ความเฉลียวฉลาด ต้องใช้ญาณปัญญาเกิด ทางจิตวิญญาณ เป็นลูกจริงๆ เป็นลูกที่จะไม่เพี้ยน เป็นลูกที่เกิดจากหน่อ จะไม่กลายพันธุ์ จะเป็นกรรมพันธุ์ เป็นพันธุกรรม เรากำลังสร้างพันธุกรรม ให้แก่ลูกที่จะเกิดมา เป็นคนที่จะมี พันธุกรรม มีพุทธเป็นกรรมพันธุ์ๆ มีจิตวิญญาณอย่างพระพุทธเจ้าเป็น กรรมพันธุ์ เราเป็นเลือดเนื้อ เชื้อไข ของพระพุทธเจ้า เราเป็นเลือดแท้ของพระพุทธเจ้า ที่เราจะถ่ายกรรมพันธุ์อันนี้ ให้แก่คน คนที่จะมาเป็น ลูกเรานี่ ไม่ได้เกิด จากท้องๆเราเอง ไม่ใช่เกิดจากสายเลือดของเราเอง แต่เป็นคน ที่เราจะให้ เกิดทางวิญญาณ และจะมีถ่ายทอดกรรมพันธุ์ ทางวิญญาณนี่ได้จริงๆ จะเป็นพันธุ์ที่ไม่ แปรปรวน

เมื่อเป็นพันธุ์ขึ้นมาได้จริง ให้เป็นพันธุ์ของพุทธ ให้เป็นเผ่าของพุทธ มีจิตวิญญาณ ของพุทธ ซึ่งเราทำจริงๆ ซึ่งอาตมาทำจริงๆน่ะ อาตมาไม่ใช่ทำเล่นๆ นะ คุณมองเห็นสัจธรรมอันนี้ ให้ได้เลยว่า เรามาสร้าง เรากำลังมาให้การกำเนิด อาตมาใช้คำว่า กำลังตั้งท้อง ขณะนี้กำลังตั้งท้อง ขณะนี้ เพิ่งเริ่มปฏิสนธิ นี่โรงเรียนหรือนักเรียน หรือเด็กที่เรากำลังเอามาทำนี่ กำลังช่วยกัน ปฏิสนธิ ทุกคน เป็นพ่อเป็นแม่ เป็นผู้ใหญ่ที่อยู่ในนี้แล้ว เป็นองค์ประกอบของมดลูก และอาหาร และ เครื่องที่จะให้เกิด กำลังปฏิสนธิเข้ามาแล้ว และเราจะต้องไม่ให้แท้ง เราจะต้อง ให้แกเจริญเติบโต อย่างดี และเกิดได้จริงๆด้วย ต้องให้เกิดได้จริงๆด้วย นี่กำลัง ประคบประหงมกันอยู่ แต่พวกเราไม่รู้ พวกเราไม่เข้าใจ แรกๆก็ไม่ยอมรับ ก็เกิดภาวะแอนตี้ มันก็แท้งง่ายซิ มดลูกน่ะ ภาวะมีอะไรก็ไม่รู้ ในมดลูกนี่ แอนตี้ด้วย เดี๋ยวก็แท้งซิ อะไรนิดอะไรหน่อยก็ไม่ยอม ไม่ยอมรับ ไม่ยอมดูด ไม่ยอมดึง ไม่ยอมรักษา หลุดง่าย ไม่เกาะ แม้แต่ผนังมดลูก ไม่เกาะแม้จะไม่มีอะไรที่จะเป็นอาหารที่ดี ให้แก่ สิ่งที่ กำลังกำเนิดอยู่ในนั้น อาหารที่ดีก็ไม่มี ไม่เป็นเสนาสปายะ เป็นครรภ์ทัพโพ เป็น ท้องห้อง หรือว่า เป็นครรภ์นี่ ที่มีองค์ประกอบไม่ดี อาหารก็ไม่ดี สถานที่อยู่เสนาสนะก็ไม่ดี บุคคลก็คือ ตัวตนจริงๆ องค์ประกอบที่เรียกว่า ตัวบุคคลนี่แหละ

ปุคคลนี่ ต้องช่วยรังสรร ต้องช่วยพยายามเป็น ต้องตัวงานๆ ที่จะสอดประสาน ที่จะทำงานทำการ ช่วยเหลือให้สิ่งนี้ อยู่ได้ เลี้ยงสิ่งนี้ให้โตได้ บุคคลนี่แหละจะเลี้ยง และมีความรู้คือ ธรรมะ มีความรู้ หรือธรรมะก็ยังไม่พอ ถ้าเป็นในมดลูกจริงๆ ก็มีระบบ ที่มีพลังงาน ที่ไม่สมบูรณ์ มันก็แท้งได้นะ ฉันเดียวกันเลย ฟังธรรมะดีๆ ฉันเดียวกันเลย เพราะฉะนั้น พวกเราผู้ที่อยู่รวมกันอยู่ในนี้ ก็ต้องรู้ รับรู้ด้วย และจะต้องไม่ปฏิเสธ ลักษณะการปฏิเสธนี่ ทางชีววิทยา ทางอะไรนี่รู้ดี แม้แต่ในเรื่อง สรีรวิทยา นี่ก็ปฏิเสธ อย่างคนนี่ เอาเนื้อของคนอื่น มาใส่เนื้อของอีกคนหนึ่ง นี่ไม่ได้ง่ายๆหรอก ปฏิเสธเนื้อเหมือนกัน นี่เนื้อ คนละคนๆ นี่ก็ไม่เหมือนกัน และเซลล์ก็ไม่รับกัน ปฏิเสธกัน เพราะฉะนั้น พยายามที่เปลี่ยน อวัยวะ ทุกๆ วันนี่ยาก กว่าจะเป็นอวัยวะที่ พอสอดคล้องกันได้ หลายอวัยวะ เปลี่ยนไม่ได้ แม้ทุกวันนี้ เขาก็พยายาม จะเปลี่ยนให้ได้ เอาใจคนนั้น มาใส่หัวใจคนนี้ ด้วยซ้ำ เปลี่ยนอวัยวะสำคัญๆ ยาก ปฏิเสธ มันไม่ได้รับกันได้ง่ายๆนา อะไรก็แล้วแต่ เอามาใส่ รวมกัน ไม่ได้รับกันได้ง่ายๆ พวกเรา ก็มีภาวะอันนี้เหมือนกัน ไม่ได้รับกันได้ง่ายๆ มันลึกซึ้งนะ มันซ้อน

ทีนี้พวกเราต้องทำใจของแต่ละคนให้รับกันซิ เพราะเราเองเราเป็น เจ้าของจิตวิญญาณ ให้รับรู้ว่า ให้รับกัน และต้องยินดีว่า เออ เราจะต้องพยายาม เพราะว่าเรารับแล้ว เราก็คัดเลือกเหมือนกัน เด็กที่อยู่ในนี้ ก็จะต้องได้รับการคัดเลือก แต่เราก็จะต้องมีใจเสียก่อนว่า เรายินดีต้อนรับนะ เป็นลูก แน่ๆ แท้ๆ เหมือนเรามีลูกจริงๆ คนที่เกิดลูก พอเป็นลูก นึกว่าเป็นลูกเราผสมพันธุ์เสร็จแล้ว แล้วก็ คลอดออกมานี่นะ ไม่ว่าพ่อหรือแม่ๆก็ตาม มันเป็นลูกนี่รักมันมาแต่เด็ก และเรา ยังไม่รู้เลยว่า มันจะเด็กดี หรือเด็กไม่ดีนะ โอ๋ รักมันรูปงาม หรือรูปไม่งามก็รักมันมา บางคนถึงพิการ คลอดออกมา แล้วก็พิการ แล้วก็ยังรักเป็นลูกเลยนะนี่ เราเองนี่นะ บอกตรงๆ ว่าเด็กที่มาที่นี่ ว่าเป็นเด็กที่ได้ คัดเลือก มาขนาดหนึ่ง อย่างน้อยก็ไม่พิการ คัดเลือกมาแล้วนะว่า เป็นเด็กครบอาการ ๓๒ แล้ว รูปร่าง หน้าตา พอสมควร ก็เพราะว่า คัดเลือกแล้วด้วย อะไรต่ออะไร คัดเลือกมาจริงๆ

เอาเป็นลูกเต้าเหล่าหลานของชาวอโศก ไม่ใช่เอาลูกผีลูกมารที่ไหน มาก็ไม่รู้ ไม่รู้หัวนอนปลายตีน ก็ไม่รู้ ไม่ใช่นะ คัดในเผ่าในพันธุ์มาเลยนะ มีวิธี การเหมือนกับ ยังคำสอนของระดับของฮินดู ของพราหมณ์ มาเลยนะ เราคัดเผ่า คัดพันธุ์มา พอสมควรเลย เป็นลูกพอสมควร ทีเดียวเชียว เสร็จแล้ว เราก็ยังไม่ยอมรับนี่ แสดงว่าเราไม่มีปัญญา ไม่มีธรรมะ

เมื่อกี้บอกแล้วว่า ในสัปปายะ ๔ เสนาสนสัปปายะ อาหารสัปปายะ บุคคลสัปปายะ ธรรมสัปปายะ เราเอง ไม่มีธรรมะสัปปายะ เราแต่ละคนไม่มีธรรมะ ไม่มีความรู้ อาตมาเอง เป็นคนบกพร่อง ที่ให้ธรรมะ แก่พวกคุณ ยังไม่ทัน นี่ก็พยายามให้ พยายามรับรู้ ตื่นเสียที รู้ตัวเสียที เรื่องนี้ไม่ใช่ เรื่องเล่น เป็นเรื่องจริง และเราต้องเปิดใจรับ ต้องเมตตาเกื้อกูล เอื้อเอ็นดูนะ ให้เด็กได้รู้สึก ว่าเขาเอง เป็นสมาชิกที่นี่ เป็นลูกหลานจริงๆของที่นี่ เรามีปรารถนาดีต่อกัน ตามความรู้ ไม่ใช่ว่า เราถูกครอบงำ ว่า โอ๋ เรามีลูกเรามีทุกข์ เรามีอะไรมากๆแล้วมันยุ่ง ต้องมีน้อยๆ ต้องน้อยๆ เล็กๆ มีอะไรบ้าง มันรำคาญหนัก มันวุ่นวาย นี่เป็นเพราะความขี้เกียจของเรา เป็นเพราะเราไม่เอาภาระของเรา เป็นเพราะ ความใจไม่กว้างของเรา ที่จริง มันเป็นบทฝึกหัดนะ เรามีสิ่งนี้มาตามกาลเวลา เป็นบทฝึกหัด ไม่ใช่ว่าการสอนของอาตมา การนำพาธรรมะของอาตมา ไม่ใช่ว่า ไม่มีแบบฝึกหัด มีองค์ประกอบของ แบบฝึกหัด นี่แหละแบบฝึกหัด ที่จะได้ขัดเกลา มีสัมผัสเป็นปัจจัย ในเรื่องราว อย่างนี้ เอ๊ เราจะทำอย่างไร มันจะต้องเกิดการสัมผัสสัมพันธ์ แล้วจะต้องทำ ความสัมพันธ์อย่างไร จึงจะไม่หลงติด ไม่หลงรักเกินไป เหมือนกับคนรักลูกเกินไปนี่ รักลูกเกินไป ลูกเสีย ทุกวันนี้ รักเกินไป รักแบบไม่เข้าใจ ไม่มีปัญญา เราจะรักอย่างไร จะเมตตากันอย่างไร จะเกื้อกูลกันอย่างไร เราจะเลี้ยงดูกัน ด้วยความรัก อันเหมาะสม ไม่ใช่รักด้วยกิเลส ทำหน้าที่ถูกหน้าที่ ทำหน้าที่ทำกาย วาจาใจ อย่างไรนะ ใจนั่นเป็นปัญญานะ จิตวิญญาณนี่เป็นปัญญา

เพราะฉะนั้น เราจะดูแลแก ก็ดูแลอย่างมีเมตตาเกื้อกูลหวังดีตามปัญญา แล้วก็ไม่พยายาม มีมานะ อัตตา ว่าฉันนี่แหละเป็นผู้ถูก ฉันเป็นผู้ที่รู้มากคนเดียว ช่วยกันเป็นพ่อเป็นแม่ไปทั้งหมด แล้วก็ ช่วยกันดู อันไหนที่รู้สึก มันไม่เข้าท่า มีเพื่อนทักท้วง มีผู้ใหญ่ทักท้วง หรือมีผู้รู้เขาทักท้วง ว่าไอ้นี่ไม่ถูก เออ เราก็อย่าไปทำอย่างนี้ แก่เด็กเลย ทำอย่างนี้กับเด็ก แล้วเขาทักท้วงไม่ดี เชื่อฟังกัน อย่างนี้ รับรอง เด็กไม่แท้งนะ ลูกไม่แท้งนะ ต้องมีเมตตา ต้องมีความสัมพันธ์จริงๆ

ทีนี้เด็กมาอยู่แล้ว ครูก็ยังเข้ากันไม่ได้ สมาชิกในที่นี้ก็ไม่ยอม ไม่มีกะจิตกะใจ ไม่มีน้ำใจ ไม่ประสาน ไม่ประสม มันก็เลยดูแยกๆๆ ดูว่าไม่อบอุ่น เข้าไม่ได้ เข้าไม่ติดนะ ที่จริงโดยธรรมชาติแต่เดิมแล้ว มาแต่ไหนๆ โรงเรียนก็คือ การอยู่ร่วมกันนี่แหละ แล้วก็ศึกษาไป เพื่อยังชีวิต เพื่อเกิดวัฒนธรรม เกิดความรู้ ที่จะยังชีวิตต่อไป สัตว์เดรัจฉานก็เหมือนกัน คนก็เหมือนกัน เราอยู่ๆไปแล้ว ยิ่งคน คนนี่เป็นสัตว์โขลง สัตว์หมู่ อยู่แล้วก็รวมกัน แล้วจะอยู่กันอย่างไร มีวิธีการอยู่กัน อย่างไร โอบอ้อม อารีอย่างไร มีหน้าที่จะช่วยเหลือเฟือฟายอย่างไร ผู้ใหญ่ต้องมีแรงมาก มีความรู้มาก ต้องเลี้ยงผู้น้อย มีความสามารถมาก ก็เลี้ยงผู้น้อยเอื้อเฟื้อ เกื้อกูลกันไป สัตว์มันก็ยังเลี้ยงตัวเล็กตัวน้อยได้ มันยัง อุตส่าห์นะ สัตว์นี่มันก็ดี นะ บางทีตัวใหญ่นี่นะ มันอดมันยอมให้ตัวน้อยกิน คุณเห็นคุณธรรม ของสัตว์ไหม มีนะ หลายคนอาจจะเคยพบเคยเห็น มันไม่แย่งหรอก มันไม่แย่งตัวน้อย มีแบ่งให้ ตัวน้อยกิน แล้วมันก็อด ไปหากินใหม่ คนก็เหมือนกัน นี่เป็นคุณธรรมของ ทั้งสัตว์และมนุษย์ เหมือนกันหมด เพราะฉะนั้น เราจะต้องเป็นผู้เสียสละเอง และรู้ว่าคนไหนควรไม่ควร คนไหน ที่มีอินทรีย์พละ อ่อนกว่า ก็ต้องช่วยเหลือ เป็นธรรมดา แนะนำทั้งด้านความรู้ และความสามารถ เพราะฉะนั้น เราต้องช่วยสอนกัน

ในโบราณกาล ยังไม่มีกรรมวิธียังแบบสมัยใหม่อย่างนี้ สอนกันโดยธรรมชาติ อยู่กันอย่างสมบูรณ์ อยู่กันอย่างประสานเป็นกลุ่มเลย ผสมผสานกันหมด ทีนี้พวกเรานี้ พอมาตั้งโรงเรียน ก็เลยเกิด แยกส่วน แยกหมู่ กันมากเกินไป นี่อาตมาเห็นในพวกเรา เกิดโรงเรียนขึ้นมา มันไม่เป็นธรรมชาติเดิม มันก็เลยแยกกัน ก็โรงเรียนเขาแยกนะ โรงเรียนสมัยใหม่เขาแยก และเขาจัดสรรเด็ก เรียนก็ให้ไป หน้าที่เรียน ไม่ต้องไปสนใจใส่ใจอะไร ที่จริง พวกเรานี่ กำลังเป็น นักเรียนกันทั้งนั้น ทั้งผู้ใหญ่ด้วย จะว่าไป ไม่ใช่แต่เด็กหรอก ที่นี้เราก็มานึกว่า เออ พวกเราชาวอโศก ที่อยู่ก่อนนี่ เป็นชาวอโศกก่อน เพราะฉะนั้น จะต้องใหญ่ๆ กว่าเด็กๆ ยิ่งตัวเล็กด้วยเด็กๆด้วย เพราะฉะนั้น พวกนี้จะต้อง ไม่มีความรู้ เท่าเราหรอก มันก็เลยข่มเบ่งเด็กก่อนเลย เด็กพวกนี้ ก็เป็นลูก เป็นหลานของอโศก

ไม่แน่หรอกในจิตวิญญาณลึกๆนี่แก มานะแกต้องน้อยกว่าแน่ ก็เพราะว่า แกเป็นเด็ก แกจะมามี มาเบ่งมาใหญ่ในนี้ เข้ามาใหม่ด้วย แกจะมาใหญ่กว่าผู้ใหญ่ในนี้ ทันที เป็นไม่ได้หรอก แต่ตัวมานะนี่ มันไม่ว่าเด็ก มันไม่ว่าผู้ใหญ่ มันข่มได้มันข่มหมด เหมือนกับสัตว์ ตัวเกเร หมาน้อยมันก็กัด แต่หมาไม่เกเร หมาใหญ่มันไม่ทำหมาน้อยหรอก สัตว์ที่ไม่เกเร หมาที่ไม่เกเร มันไม่กัดหมาน้อยหรอก หมาน้อยกัด มันยังไม่ทำอะไรเลยนะ ฉันเดียวกันแหละ คนนี่ หมาน้อยอยู่ดีๆ มากัดหมาใหญ่ มันไม่กัดหรอก มีแต่มันจะมาเล่นด้วย พอมาเล่นด้วย ก็ฉันผู้ใหญ่นะ อย่ามาเล่นกับฉันนะ ไม่รู้จัก สัมมาคารวะ กัดเลย คล้ายๆอย่างนั้น นี่ก็เปรียบเทียบให้ฟัง ไม่ได้ว่าคุณเป็นหมาหรอกนะ ประเดี๋ยว จะเหมือนกับ หินชนวน ละ อาตมาว่าขี่ ไปเข้าใจว่า เป็นขี้ เลยจิตตก ไปหาว่าดูถูกดูแคลน ดูถูกไม่ได้หรือ แหม ดูถูกหน่อยไม่ได้ หาว่าเป็นขี้หน่อย ก็ไม่ได้ มันใหญ่กันนักกันหนาอย่างไร อาตมาว่า อาตมาใหญ่กว่าคุณนะ จะบอกว่า คุณเป็นขี้เท่านั้น ไม่ได้หรืออย่างไรนะ นั่นก็เพี้ยน ฟังขี่เป็นขี้ แหม เสียใจ จิตตก โอ้โฮ มานะอัตตาไม่เอาแล้ว ฉันวางมือแล้วโน่นนี่ ประชดไปโน่นเลย อะไรไปอย่างนี้ เป็นต้น นี่มันก็วูบๆ อย่างนี้ วูบๆ วาบๆ ศัพท์คำว่าวูบ เดี๋ยวนี้กำลังดังนะ มันวูบเก่ง อะไรนิด อะไรหน่อย มันก็วูบ ให้แต่ชาวโลกเขาวูบเถอะ ทำไมเราเป็นชาวธรรมะ จะวูบอะไรนักหนา เก่งเหลือเกินวูบ จิตตกนี่แหละ คือวูบ เอาแหละ เสียใจแล้ว เอ้า ท้อแท้แล้ว

ท้อแท้มันเป็นคุณธรรมหรือ หรือเป็นโทษธรรม ความท้อแท้ มันเป็นโทษธรรม หรือเป็นคุณธรรม เป็นโทษธรรม ไม่ใช่คุณธรรม และไปพยายามฝึกฝน โทษธรรมใส่ตัวเอง ให้เกิดความท้อแท้ ให้เกิด ความท้อถอย ให้การหมดกำลังใจ อยากหมดกำลังใจจริงๆ นะเหรอ จะได้ทำให้น่ะ หรือว่าอยากมี กำลังใจ และไปทำตัวเอง ให้หมดกำลังใจทำไมล่ะ กิเลสมันพาเรา ให้หมดกำลังใจ ก็ต้องมีกำลังใจ ขึ้นไปทุกทีแหละ เรื่องอะไรจะต้องไปหมดกำลังใจ นี่พยายาม วิเคราะห์ตัวนี่ให้แยบคาย ให้โยนิโส ให้ง่ายๆ เอ๊ เราทำไมจะต้องไปหาตัววูบ ตัวชั่ว วูบไปหา ลักษณะเลว จิตวิญญาณ เราวูบไปหา ลักษณะเลวทีใด ต้องรู้ทัน ในทันทีว่า นี่มันจิตวิญญาณ ลักษณะเลวทุกทีแล้ว ทำไมต้องไปทำตัว ลักษณะเลวอย่างนี้ ให้แก่ตัวเอง เผลอเมื่อไหร่ รู้ตัวเมื่อนั้น ตื่นให้ได้ อย่าไปวูบ ลงไปหาจิตตัวเลว มันจะโกรธ จะเคือง จะเสียใจ จะน้อยใจ จะไม่มีกำลัง จะท้อแท้ท้อถอย จะไปในทางที่มัน ไม่เกิดคุณค่า อะไรก็แล้วแต่ ในทางที่จะเป็นไปสู่ ในทิศทางที่ดี รู้ตัวให้ทัน แล้วเลิกมันให้ทันทีน่ะ แก้ไขปรับปรุง ตั้งตัวตนให้ได้ ตื่นให้ได้ตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นก็ช้า ขนาดเราได้ฝึกฝนมา ขนาดนี่ ดูซิ ยังไม่ค่อยรู้ เท่าทันเลย และคนไม่ได้ฝึกทางธรรมะมา เป็นอย่างไร เขาก็ไปตาม อารมณ์ของเขา ตลอดเวลา มีใครไปเตือนเขา เตือนเขาก็รู้เรื่อง เพราะเขาไม่ฝึก ทางธรรมะ ไปปล่อย ไปตามใจกิเลส ที่จริงไม่ใช่ใจหรอก กิเลสตัวเองเข้าไปครอบงำทางจิตใจ มันเหมือนกัน กิเลสกับจิตใจ มันก็ตัว เรียกภาษา ซ้อนซ้ำกัน

ที่จริงมันทำหน้าที่ อยู่ที่จิตวิญญาณเรา จิตวิญญาณเราแท้ๆ ที่จริง เป็นธาตุรู้ เท่านั้น ธาตุรู้ที่ดีด้วย ถ้าจิตวิญญาณได้ฝึกดี เป็นธาตุรู้วิเศษ ธาตุรู้ที่มีคุณค่าด้วยซ้ำไป ไม่ท้อแท้ ท้อถอย ไม่โง่ไม่เง่า อะไรหรอก ฉลาดเฉลียว รู้จักสิ่งที่ดีมีคุณค่า ทั้งหมดน่ะ จิตวิญญาณที่แท้ มันทำให้ดี อย่างนั้นได้ ถ้าไม่อย่างนั้น เขาก็เรียกแบ่งไปเรียก จิตวิญญาณผี หรือ เป็นอารมณ์ผี เป็นความเห็นของผี ฉลาดเฉลียวนะ ผีก็ฉลาดเฉลียว หรือซาตาน หรือพวกโง่โง่ ที่จริงอาตมา แปล อวิชชา ที่แปลว่า โง่ ไม่ได้แปล อวิชชาว่าตัวโง่ อาตมาแปลว่ารู้ อวิชชา คือ ความรู้ที่ไม่พาไปนิพพาน อวิชชานี่ รู้ยอดเยี่ยม ได้ด้วย เฉลียวฉลาดวิเศษเลย แต่มันไม่ไปนิพพาน ดีไม่ดี มันยิ่งเป็นตัวต้านของนิพพาน ตรงกันข้าม กับนิพพานด้วยซ้ำไป ตัวอวิชชานี่ ยิ่งเฉลียวฉลาด วิเศษ เลยนะ ที่มันจะหนีนิพพานแล้ว มันก็จะเป็น โลกียะ บ้าๆบวมๆ เอาเปรียบ เอารัด มีอำนาจ เบ่งข่ม ทำให้เกิดบาป บุบสลาย สังคมแตกหัก มีแต่บาป มีแต่หนี้ แต่ตัวเอง ได้เปรียบน่ะ โดยโลกๆนี่ ตัวเองได้เปรียบ เราเรียนธรรมะมาขนาดนี้ ก็รู้ ได้เปรียบ นะ มีลาภ มียศ มีสรรเสริญ มีโลกียสุข คนอื่นไม่รู้เท่าไม่รู้ทันเลย มันไม่ฉลาด มันสู้พระเจ้า ไม่ได้หรอก

เอาทีนี้เข้ามาวิเคราะห์ต่อ เราเกิดความไม่เข้าใจ ทั้งผู้ที่เป็น สมาชิกชุมชน ไม่รับตั้งแต่แรก ไม่เลี้ยง ไม่ดู ไม่เอ็นดู ไม่พยายามประสาน มันก็เลย ไม่เข้ากัน เพราะฉะนั้น ขอให้ทราบว่า โรงเรียน ธรรมชาตินั้น ไม่แบ่งแยก อาตมานำพา ทำกันมานี่นะ ไม่แบ่งแยกมา เป็นสหะ แม้แต่มีคนเตือนว่า มันควรแบ่ง ชั้นเรียนนะนี่ คนนี้ในฐานโสดา ก็ควรเอาไปสอนนี่ คนฐานโสดา คนที่มาใหม่ จะขึ้นเป็นโสดา ก็ไปเรียนน่ะ ไม่อย่างนั้น มันจริง อยู่เหมือนกันว่า พูดแล้วบางทีพูดสูงแล้วพูดต่ำ คนฟังไม่รู้เรื่อง อย่างอาตมาเทศน์ บางทีนี่ คนมาใหม่ๆ ไม่รู้เรื่อง อย่างนี้เป็นต้น หรือมาเก่า คนฐาน ไม่สูง ก็ฟังไม่รู้เรื่อง เมื่อเวลาอาตมาเทศน์ ในเรื่องสูง ลึกซึ้งไปแล้ว ก็ไม่เข้าใจนะ จริง ถึงอย่างไรๆ มันก็ซับไว้ มันก็เรียนรู้ อาตมาก็พยายาม พูดหยาบๆ กลางๆ ละเอียด วนเวียน แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ก็ไม่ใช่ มีแต่อาตมาเท่านั้น พวกเรา ก็พยายามให้เทศน์ ให้บรรยาย ผู้ใดที่เทศน์ได้ขนาดต่ำ ก็ให้เทศน์ต่ำ ถนัดขนาดไหน ฐานขนาดไหน คนเรานี่ มีภูมิที่กำลังอยู่ในภูมิไหนนี่ มันจะมัน มันจะอร่อย มันรู้ลึก รู้ซึ้ง ในมุมนั้น และชี้มักจะพูด มุมนั้น ซ้ำๆ ซากอยู่อย่างนั้นนะ มันอยู่ในภูมิไหน เราจะสังเกตได้ คนนี่ อยู่ในภูมิไหนนะ มันจะวนเวียน อยู่ในภูมินั้น จะพูดแต่ไอ้เรื่องอย่างนั้น จะพูดไอ้เรื่อง ที่ตัวถนัด แหม ซาบซึ้งเหลือเกิน จะเอาไอ้ซาบซึ้งนั่นแหละ เอามาพูด คนอยู่ในภูมิไหน มันจะเมา อยู่ในภูมินั้น แต่ก็มีความเฉโก อยู่เหมือนกัน คนที่หลงนะ หลงว่าตัวเองนี่ แหม ซาบซึ้ง ตัวนี้ เอาแต่ตัวภาษาใหญ่ๆ หรือว่าฐาน สูงๆ มันเหลือเกิน ในฐานสูงๆ แต่เป็นแต่ปริยัติมันนี่แหละ พูดไปหมดนี่ แท้จริงไม่ใช่ตัวจริงหรอก นั่นแหละ หลงไปใหญ่เลย นึกว่าตัวเองสูงด้วย ตัวเองยังไม่ได้ แต่ว่ามันๆ ในภาษาบัญญัติ ในโลกสมมุติ มันในโลกสมมุติ แม้ไม่ได้เป็นปรมัตถ์หรอกนะ แหละมีเยอะในโลก สังคมทุกวันนี้ โดยเฉพาะ นักวิชาการ หลงว่าตัวสูง ตัวเองใหญ่ อยู่อย่างนั้น นักวิชาการนี่ ไปเรียนรู้ปริยัติ ไปเรียนรู้บัญญัติ ไปรู้ทฤษฎีมา โอย เก่งยอดเลยนะ ทฤษฎีต่างๆ มันในทฤษฎี นึกว่าตัวเองสูง แต่แท้จริง ตัวเองนี่ต่ำ และบาปมากๆ ด้วย ตัวเองไม่ได้สูง และเอาค่าความรู้ ของตัวเองสูง มาเลี้ยงชีวิต อยู่ทุกวันนี้ นี่ก็เป็นลักษณะหนึ่ง ของคนโลกๆ

ในทางธรรมก็เหมือนกัน เป็นพระนักสอนนักเทศน์ เป็นพระนักรู้ เป็นพระผู้ใหญ่ ความจริงตัวเองน่ะ ก็ล่าลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข บำเรอตนอยู่ ไม่สูงหรอก แต่รู้ปริยัติสูงเหมือนกับนักวิชาการ นั่นแหละ แต่เป็นพระนักวิชาการเหมือนกัน เดี๋ยวนี้ก็มีพระระดับดอกเตอร์ แล้วยอมรับกันด้วยนะ เอาความรู้ ทางดอกเตอร์ ทางโลกมาเรียก พระดอกเตอร์มหาด้วยนะ จะบ้ากันใหญ่แล้วนะ เอาละ อาตมาไป วิเคราะห์ข้างนอก ประเดี๋ยวไม่มีเวลาอีก เอาเข้าข้างใน

พวกเรานี่จะต้องเข้าหาสาระสัจจะพวกนี้ให้ชัดเจนว่าเราเองนี่ เรียนกันอยู่รู้อยู่ อาตมารวมๆมา ตลอดเวลานะ จะเป็นชั้นเล็กชั้นน้อย ชั้นต่ำอะไรก็เรียนกัน รวมอย่างนี้ เป็นสหศึกษาด้วย คือ รวมหมด ทั้งเพศหญิงเพศชาย นี่มานั่งรวมเรียนกัน ซึ่งเขาหวาดเสียวว่า ซึ่งอาตมานี่ทำ ไม่เหมือน พระพุทธเจ้านะ ปนเปโละเละ สมัย นี่นะ มันปนเปโละเละยิ่งกว่า ในสมัยพระพุทธเจ้า มันสหะ กันไปหมดแล้ว เดี๋ยวนี้ จนกระทั่ง มันรวมอยู่ในคนๆเดียวกัน จนกลายเป็นกระเทยไปแล้ว เดี๋ยวนี้ มันสหะยิ่งกว่านั้น ไม่เข้าเรื่อง จนถึงขนาดนั้นแล้ว สมัยพระพุทธเจ้านั้น กระเทยอย่างนี้ไม่มี กระเทยอย่างประเภท อย่างมีทั้ง๒ เพศ อยู่ในตัวเองอย่างนี้ ในตัวเองอย่างเดียวเลย เป็นผู้หญิงก็ได้ เป็นผู้ชายก็ได้ น้อย เป็นผู้หญิงก็ผู้หญิง ผู้ชายก็ผู้ชาย สมัยโบราณ นั้นน่ะ มันจะเป็นกระเทย ประเภทที่ว่า เป็นผู้หญิงแต่ไม่ชอบผู้ชาย ไปชอบผู้หญิงด้วยกัน มันเป็นกระเทย อย่างนั้น สดๆเลย เป็นผู้ชายก็ชอบแต่ผู้ชาย มันไม่แบ่ง เดี๋ยวนี้ ทั้ง ๒ อย่างเลย มันปนกันไปหมดเลย กิเลสมันปรุง เข้ามา แล้วจิตมันก็เอาทั้ง ๒ อย่างเลย ได้เปรียบนี่ได้ทั้ง ๒ ทาง ได้เปรียบอะไรอย่างนี้ เป็นต้น มันกิเลสขึ้น สมัยพระพุทธเจ้านี้ เป็นแบบทั้ง ๒ ด้านไม่มี เป็นกระเทย ก็เป็นกระเทยไป เป็นกระเทย ฝ่ายหญิง กระเทยฝ่ายชายอะไรไป ก็ตามแต่ กระเทยรู้แล้วนะว่าคือกระเทย อย่างนี้เป็นต้น นัยคล้ายกัน พวกคนนี่ก็เหมือนกันนะ มาเป็นอย่างนั้น

ทุกวันนี้ในภูมิในส่วนรวมแล้ว สหศึกษาได้ เรามีจิตเรามีความรู้ มีกำลังพอจะทำได้ อาตมานำพากัน เรียนกันมานี่ เป็นอย่างนี้แหละ แบ่งในส่วนที่แบ่ง มีวิธีการแบ่ง มีวิธีการแยก พอสมควร แล้วก็มี วิธีการเพื่อที่จะให้สัมผัส เกี่ยวข้องประสาน อาตมาเป็นนักวิทยาศาสตร์ ในตัวนะ มันจะสป๊าค กันแค่ไหน สป๊าคมากเกินไปนี่พัง เป็นนักไฟฟ้าด้วยรู้ว่า มันสป๊าคกันเกินไปพัง เพราะฉะนั้น ให้สป๊าค กันขนาดนี้กำลังดี ได้ต้องการแรงเท่าไหร่ สป๊าคกันขนาดนี่ จะได้พลังงาน จะได้ความร้อน จะได้สิ่งที่พอดี ออกมาทำประโยชน์ได้ ขนาดนี่ ให้ผสมส่วนขนาดนี้ ได้คุณค่า

อาตมาทำอย่างนี้นะ นี่ยกตัวอย่างวัตถุให้ฟัง เพราะฉะนั้น สป๊าคขนาดไหน ให้ได้ประโยชน์ สป๊าคมากเกินไปพัง สลายไม่ได้หรอก ไม่สป๊าคเลย ช้าตายเลย กว่าจะรู้เรื่อง กว่าจะได้คุณค่า กว่าจะได้กำลัง จะได้เรื่อง ต่างกัน โอ้โฮ ห่างกันเป็นร้อยโยชน์ กว่ากัน โอ้โฮ เคลื่อนมา เกิดการ สร้างสรร เกิดสป๊าคที่จะมีพลังสร้างสรร ไม่เกิดสักทีหนึ่งเลย แม้ตัวเองก็ไม่เกิด การขัดเกลา ไม่เกิดการสร้าง สิ่งที่ต้องการที่จะสร้าง บวกก็บวกอยู่นั่นแหละ ลบก็ลบอยู่นั่นแหละ ไม่เกิดคุณค่า อะไรขึ้นมา สักทีหนึ่งเลย ผู้หญิงก็เป็นแต่ผู้หญิง ผู้ชายก็เป็นแต่ผู้ชาย อยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อไหร่ จะรู้กาม เมื่อไหร่จะรู้กิเลส กามกิเลสผู้หญิง กิเลสผู้ชาย เมื่อไหร่จะหมด ไม่เหลือกิเลสผู้หญิง ไม่เหลือกิเลสผู้ชาย เป็นกลาง นิวตรอนไม่ได้สักที ช้าก็ไม่เอา สป๊าคกันจนมาถึง พังกันไปทั้งคู่ เลยลงนรกไปด้วยกัน ก็ไม่เอาน่า นี่ยกตัวอย่าง ตามวัตถุให้ฟัง เราทำกันอย่างนี้มา เพราะฉะนั้น ทีนี่พวกเรา มาเรียนรู้แล้ว มันไม่สป๊าค เฉพาะเรื่องผู้หญิงผู้ชาย เรื่องเด็กเรื่องผู้ใหญ่ด้วย เรื่องเข้ากันได้ เข้ากันไม่ได้ด้วย มันก็เลย ไม่ผสมผสานนะ

อาตมาเอง อาตมาเวลาน้อยนะ เวลาจะจับมาเรียงตัวอธิบายเป็น คนๆๆๆ ก็ไม่ค่อยได้ หรือว่าบางที บางครั้งนี่ ก็คนไหนที่เดือดร้อนมากก็เอา ทำอะไรมาแรง มันมากเกินไป มันไม่ได้ละ จะต้องรีบจัดการ ก็จัดการ อันไหนยังพอเป็นไปถูไถ ก็เอา คนรับผิดชอบนี่ คนที่ทำเต็มใจรับผิดชอบแล้ว เสร็จแล้ว ก็มีมานะ อัตตามาก เกินไป แต่รับผิดชอบดีก็เอา ปล่อยไป ในมุมที่จะรับผิดชอบ เอาจริงเอาจัง ก็ดีแล้วละ ให้ลักษณะนี่มาบางคน ก็ถูกเกณฑ์มาทำ ก็ไม่ค่อยจะรับผิดชอบ ก็ให้ดูคนตัวอย่างที่ เอาจริงเอาจัง รับผิดขอบเสียก่อน ส่วนไอ้ตัวที่ผิดที่พลาด อาตมาก็ค่อยเอามาแก้ไข ทีหลังนะ เอาจุดเด่นตัวนั่นก่อน ที่มันเกิดขึ้นมา มันเป็นอย่างนี้

ทีนี้พวกเราก็พอเข้าใจแล้ว คนรับผิดชอบก็อยู่ คนที่ยังไม่รับผิดชอบมารับ เข้าก็ เออ ชักจะค่อยเข้าใจ ค่อยจะรับผิดชอบ เพิ่มความรับผิดชอบเอามั่ง เสร็จแล้ว บางคนก็ถูกผู้รับผิดชอบ ที่แสดงตัวว่า รับผิดชอบเต็มที่ แต่มีมานะอัตตา อย่างที่ว่านี่ เกิดการจะปะทะ เกิดการกดคนนั้นคนนี้ สุดท้าย ไอ้ความรับผิดชอบ ตอนแรก ก็ยังไม่รับผิดชอบ อย่างเท่าไหร่หรอกนะ มาเจอปัญหาพวกนี้เข้าอีก เลยออกไปเลย ไม่เอาแล้วเว้ย ไม่รับผิดชอบแล้ว ขอลาแยกไปทำอื่น ไม่เอาแล้ว วงนี่ปล่อยมัน เอ็งเก่ง เอ็งทำคนเดียวเถอะ ข้าไม่เก่ง ข้าไม่เอาแล้ว เกิดปฏิกิริยาพวกนี้ อย่างที่มันเป็นนี่ อาตมาพูดกลางๆ นะ ฟังดูดีๆ นี่คือผลที่มันเกิดการ ยังไม่เป็นโล้เป็นพายนะ บอกแล้วว่า ผู้ที่ไม่รับผิดชอบ ก็ไม่ให้ ความร่วมมือ คือพวกเรา ชุมชนชาวอโศก นี่ประชาชนชาวอโศก ประชากรชาวอโศกนี่ พ่อแม่พี่น้อง ทั้งหลายแหล่นี่ ไม่ให้ความร่วมมือ มันก็ไม่เกิดความอบอุ่น ผู้ไปรับผิดชอบก็เกิด ปฏิกิริยา อย่างที่กล่าวแล้ว ผู้ที่จะเอาภาระ ผู้ที่ให้ไปเอาภาระ ก็เลยไป เกิดปะทะกันในนั้นอีก เด็กก็เลย ได้รับผลกระทบ เด็กแกเป็นเด็กที่ไม่ได้มาอยู่ที่นี่ มาเข้ากรอบ แกก็ลำบากแล้วนะ แกก็ต้องอด ต้องทนของแกแล้ว เสร็จแล้วก็ไม่มีอาหารที่ดีๆ โดยเฉพาะอาหารทางจิตวิญญาณ มันไม่มีนะ จะต้องมาลด

แม้กระทั่ง อาหารที่ไม่ใช่จิตวิญญาร กวฬิงการาหาร ที่บ้านแกกินเละ กว่านี่อีก มาอยู่นี่มา เข้ากรอบ เข้าข่าย จะต้องจำกัดจำเขี่ย จะกินก็ต้องมานั่งท่องก่อน โอ้ กินแล้ว ก็จะต้อง อะไรต่อมิอะไร ต่างๆ นานา มันไม่เหมือนที่บ้าน เด็กมันเคยสบาย พอมาที่นี่ มันก็ไม่สบายๆ คำนี่มันไม่ใช่สบายหรอก อบายน่ะ เด็กมันเคยอบายมาแต่เก่า พอมาที่นี่ พยายามที่จะปรับ ให้แกเข้าสบาย สปายะ แกก็ต้อง เข้ากฎระเบียบ แกถูกบังคับอยู่แล้ว แต่ทั้งการกิน การนอน การอยู่ การไป การมา การเที่ยว การเล่น อะไรต่างๆ ถูกเข้ากรอบไปหมด มันก็ยากซิ มันบทฝึกหัดมันเยอะ เพราะฉะนั้น เราก็เคร่งเข้าไปอีก ไม่มีร่องไม่มีทาง เหมือนกับผู้ใหญ่ๆ ทนได้ ถ้าจะไปเรียน โรงเรียน นายร้อยนี่นะ โอ๋ย ไปเอาตำแหน่ง ข้างหน้านี่ เข้าเรียนโรงเรียนนายร้อยนี่ เขาถือว่า ยิ่งใหญ่เลยนะ ไปเรียนแล้ว โอ้โฮ คนนี้ก็รู้แล้ว เด็กมันต้องยอม จะบังคับอดอยากอย่างไร หนักอย่างไร ทนทรมาน อย่างไร มันเอาก็เพราะว่า มันมีรางวัลอยู่ข้างหน้า จะได้เป็นนายร้อย ต่อไปจะได้เป็นนายพล ต่อไป จะได้เป็นนายกนั่นแน่ะ เขาถือว่าเป็นนักเรียนนายร้อย ถือว่าเป็นโรงเรียนนายก เพราะว่าในเมืองไทย นี่ อย่างที่เป็นนายกนี่ เป็นทหารนี่ มีจำนวนเท่าไหร่ คนที่เป็นทหาร ได้เป็นนายกๆ ที่เป็นทหารนี่ เป็นนายพลนี่มากนะ เขาถือว่า เป็นโรงเรียนที่ จะได้ผลสูงสุด ไปถึงเป็นนายกทีเดียว อย่าว่าแต่เป็น นายพล เป็นจอมพลเลย เพราะฉะนั้น ค่ารางวัลข้างหน้า ค่ามันสูง มันก็ยอมนะซิ ให้ทำอย่างไร ก็ทำจะตบ จะตีอย่างไร จะกดจะข่มอย่างไร มันก็ยอม ที่นี่มีอะไรให้เขาน่ะ เขามาเรียนนี่ เขาจะได้เป็นนายกหรือ แหม หมดหวังเสียด้วยซ้ำ เป็นนายพลหรือ เป็นนายโพนนั่นซิ รู้จักนายโพนไหม โพนนี้แปลว่า จอมดินๆ สูงๆ นั่นแปลว่าโพน เนินๆ นั่นแหละ คือโพนคือเนิน จะได้เป็นเนินดิน ให้เขาเหยียบย่ำ เสียด้วยซ้ำไป จะได้เป็นนายพลอะไรกัน ไม่มีอะไรล่อ และเด็กจะเข้าใจ หรือว่าเขาจะได้อะไร ที่จริง มันจะได้ ได้สิ่งที่เป็นอริยทรัพย์ เด็กเขาจะได้อริยทรัพย์ แล้วมันรู้อริยทรัพย์อะไรกันง่ายๆ คนเรา มาศรัทธา ในอริยทรัพย์ได้ง่ายที่ไหน พวกเรานี่ดีนะ ยังมาศรัทธา ในอริยทรัพย์ เพราะฉะนั้น นักหนาเหน็ดเหนื่อยอย่างไร ก็ทนเอา ถ้าเห็นค่าว่า อริยทรัพย์ยิ่งกว่าจอมพล ยิ่งกว่านายก ยิ่งกว่า เศรษฐีมหาศาล ในโลก

ถ้าเราเข้าใจ แล้วว่า อริยทรัพย์นี่ราคาแพงกว่า ที่เราควรได้ เราก็ทนได้ แต่พวกเราเองก็เถอะ ไม่ได้ไปศรัทธา ในอริยทรัพย์ ถึงขนาดนั่นอีกด้วยนะ มันก็เลยไม่ค่อยแน่นเท่าไหร่ มันจะไปยอม อะไรกันละ นักเรียนก็ตาม ครูก็ตามนี่ นี่ก็ถูกอดถูกทนทั้งนั้น ครูก็ได้รับอดทน ก็ต้องอด ต้องดัน เหมือนกัน จะยอมไหมละ ไม่ยอมอั๊วะก็ไม่เอาไม่ฝึกฝน ไม่รับภาระไม่เอาละ กดขี่ข่มเหงฉันนัก แหม มาเบียดเบียนน้ำใจ เป็นสงคราม ทางจิตวิญญาณทั้งนั้นแหละ เบียดเบียนน้ำใจกันนัก อะไรกันนัก อะไรกันหนา ไม่ได้อยากเป็นสักหน่อย ไม่ได้อยากทำสักหน่อย ในทางธรรมนี่ ต้องทำในสิ่งที่ ไม่อยาก นี่ในทางธรรม

เพราะฉะนั้น ตอนนี้พระเจ้าส่งโจทย์มาแล้ว พระพุทธเจ้าส่งโจทย์มาแล้ว อ้าว เราถูกจัดเข้ามา ช่วงนี้แล้วหรอก ไม่ได้ทำนะ แล้วทำไปทำไม ทำไปเพื่อได้ อริยทรัพย์ เพราะคุณปฏิบัติที่ทำบอกแล้ว คุณไม่ได้ตำแหน่งหน้าที่อะไรหรอก อยู่แผนกไหนก็แล้วแต่ แผนกช่าง แผนกยา แผนกเห็ด แผนกเกษตร แผนกอะไรก็ ตามแต่เถอะ แผนก เดี๋ยวนี้ แบ่งแผนกย่อย ไปจนถึงแผนกเก็บผักก็ตาม โจทย์ทั้งนั้นแหละ โจทย์ที่เราจะต้งอดทนฝึกฝน และจะต้องเรียนรู้ ต่อการกระทบสัมผัส เก็บผัก ไม่ใช่กระทบสัมผัสนะ เดี๋ยวก็กระทบสัมผัส เก็บมามากก็ถูกด่า เก็บมาน้อยก็ถูกด่า เก็บมาผิด ไอ้เขาไม่ต้องการ ก็ถูกด่า ไปเก็บ ไอ้เจ้าหน้าที่ไม่ใช่หน้าที่ดูแลเกษตร ดูแลผักอะไรอยู่ ไปทำผิด ทำพลาด ถูกค่า มันก็ ถูกด่าทั้งนั้นน่ะ ไปทำผิดทำพลาดนะ ไม่รู้มุมไหนต่อมุมไหน ถูกด่า ทั้งนั้นแหละ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เป็นตัวอย่าง นะ

นัยเดียวกันการเรียนนี่เราก็ยังไม่รู้ แม้แต่หลักสูตร เอาคนเก่งหน่อย ก็ร่างหลักสูตร หลักสูตรก็จะร่าง กูร่างเอง อย่ามาแก้นะ อะไรอย่างนี้เป็นต้น เลอะยุ่งกันใหญ่ เอาอย่างอะไรอย่างนี้เป็นต้น อาตมาถึง ขอสรุปง่ายๆว่า เราต้องเรียนเป็นพวกรวม การศึกษาที่เป็นมหาวิทยาลัยชีวิต หรือโรงเรียนชีวิตนี่ จะต้องร่วมกันทำ ถ้าไม่เช่นนั้น มันจะเกิดมานะอัตตา เราจะรู้ดีเท่าไหร่ก็แล้วแต่เถอะ เข้ามารวมกัน ปรึกษาหารือกัน ร่วมคิดกัน เอาอย่างนี้ดีไหม เอาอย่างนี้ดีไหม เมื่อตกลงเป็นมติแล้ว แม้เราจะ แน่ใจว่า ดีกว่าถูกกว่านะ เมื่อมติของหมู่เป็นอย่างนี้แล้ว เอาตามมติ เอาตามส่วนรวม เพราะอย่า ไปดูถูก ความคิดผู้อื่น ถึงอย่างไร เราก็ไม่เจตนาร้าย เราเจตนาดีต่อกัน เราก็ไม่ใช่คนโง่ พวกเราก็ไม่ใช่ คนโง่เสียทีเดียว แม้คุณจะฉลาดกว่าเขาก็ตาม ต้องเอาค่าเฉลี่ย แล้วมาทำงาน ร่วมกัน ประสานกันดี พวกเรานี่ต้องอาศัยความประสานสัมพันธ์

ถ้าแม้แต่พ่อแม่พี่น้อง ญาติธรรม ทำกันอยู่ในนี้ทั้งหมด ในชาวบ้านชาวประชากรของปฐมอโศกนี่ มี ความอบอุ่น มีความประสานกันดี เข้ากันกับเด็กๆ เราก็รับเด็กดีอบอุ่นน่ะ เด็กไม่คิดถึงหรอก การเรียน จะหนักอย่างไร แกก็ไม่คิดถึงบ้าน ก็เพราะว่าแกมีที่พึ่ง ใช่ไหม อบอุ่นนะ ใครๆ ก็พี่ๆ น้องๆ นี่ก็ญาติ นี่มองๆไปนี่ก็หน้ายักษ์ ใครก็จืดชืดแข็งทื่อเข้า เด็กจะไปพึ่งใครได้ มองใครก็ เข้าไป ก็โดนเสียบ เข้าไปก็โดนเสียบ แกก็ต้องคิดถึงบ้านนะซิ แกจะไปอยู่อะไรได้เล่า แต่ถ้ามองหน้าใคร ก็บอกเป็นอะไร หนู เออ เป็นอะไรน้อง อะไรต่างๆนานา เป็นอะไรลูก เออ เด็กมันก็สบายใจ อันนั้น อันนี้ มันออเซาะบ้าง เราเป็นผู้ใหญ่ เราก็รู้ว่า เออ อ้ายนี่มันอ้อนมากไปก็เอา ก็ค่อยๆประสาน อย่าไปตามใจเกินไป เดี๋ยวมันจะเสีย ค่อยๆพูด ค่อยๆจา ใช้ความฉลาดของเรา เหมือนกะเลี้ยงลูก เลี้ยงหลาน จริงๆ อันใดที่จะพาเสียพาเสื่อม แกอยากได้สิ่งที่ตามใจ ที่อยากได้ตามใจแกนั่น มันไม่ค่อยถูกนัก เราก็ค่อยๆรับลูกให้เป็น รับที่จะประสานยังไง ที่จะทำให้แกขัดเกลา ตามใจเกินไป มันก็ไม่ได้ ไม่ให้แกบ้าง มันก็ไม่ได้ อินทรีย์พละแกแค่นี้ ให้แกไปก่อนเถอะ แล้วพวกเราก็ไม่ใช่ ตวาดแก จนเกินไปล่ะ ดูซินี่ ฉันไม่ให้ อีกคนนั่นไปให้ น่าเดี๋ยวก็ตีกันอีกละ ก็ดูค่อยๆยังนี้แหละ

อาตมาจะพูดยังไง มันก็ไม่หมดหรอก สภาพพวกนี้ มันก็มีการยืดหยุ่นกันไปบ้างนา บอกแล้วว่า เด็กก็ไม่ใช่ว่า เด็กไม่ได้คัดเลือก เขาคัดเลือกมา เพราะฉะนั้น จะไม่เลวร้ายถึงขนาดหรอก ไอ้โน่นไอ้นี่ อะไรบ้าง ก็อนุโลมปฏิโลมแกไปบ้าง แกไปพอสมควร ในระยะนี้นะ เสร็จแล้ว เราก็ค่อยๆเคี่ยว เรามีตัวอย่าง เรามีแบบ อย่างน้อยเราอนุโลมาให้เด็กอย่างนี้ เราอนุโลมให้กิน ๓ มื้อ เรามีตัวอย่าง คนกินมื้อเดียว เด็กแกรู้ตลอดเวลา ความดีงาม ต้องกินมื้อเดียว ไอ้กิน ๓ มื้อนี่ มันไม่ดีๆ เท่าหรอก เราได้รับการอนุโลม เพราะเราเป็นเด็ก เด็กเขารู้ ไม่ใช่เขาไม่รู้ เพราะงั้น เด็กคนไหน เขาอยากจะกิน ๒ มื้อ เขาก็ลดของเขา เขาก็พากเพียรของเขา เด็กคนไหนเขามีสำนึก เขามีอินทรีย์พละเพียงพอ เขาจะลด เขาจะกินมื้อเดียว เด็กบางคนจะกินมื้อเดียว เขาก็จะลดของเขา เด็กคนไหน อินทรีย์พละ โตแล้วเพียงพอ เขาอยากจะทำ ให้เขาทำอย่างนี้ เป็นต้น

มันก็จะไปตามขั้นตอน ขอให้เรามีหลัก ของเราหมู่นี้มีหลักๆสูง สมณะก็เป็นหลักให้ดีๆ แล้วก็ สิกขมาตุ หรือ ฆราวาสก็ตาม ผู้ที่แข็งแรงแล้ว ก็เป็นหลักเป็นตัวอย่าง ให้มีตัวอย่างมากเพียงพอ ในเป้าหมายสูง เป้าหมายสูง หรือจุดสูง เป็นหลัก อยู่อย่างมากเพียงพอ คนที่จะตามมา เขาก็รู้ว่า อะไรเป็นแนวโน้มทิศทาง ความสูง ความกลาง ความต่ำ ขนาดไหน ใครอยู่ระดับต่ำ เขาก็อยาก ขึ้นสูง กันทุกคนนั่นแหละ เพราะฉะนั้น ไม่ต้องรีบร้อน เร่งรัด แหม่ รีบบีบรีบบี้ขึ้นมาสูงทันที ไม่ไหวหรอก ไม่ไหวจริงๆ มันยิ่ง จะคับแค้น มันยิ่งจะอดกลั้นนา

นี่เรามีใหม่ รับลูกยังไม่เป็น สำนวนนี้เหมือนกะ สำนวนกีฬา บาสเกตบอล รับลูกไม่เป็น หรือ ตะกร้อ เตะแล้ว ก็รับลูก คนที่เขารับลูกไม่เป็น รับไม่ได้ มันต้อง รับมาได้ จะผิดจะพลาด จะยากจะเย็น ลูกตะกร้อนี้เตะผิดท่ามา ไอ้คนรับนี่ ก็ยังอุตส่าห์ตะล่อมเข้ามา ให้มันอยู่วงอย่างดี เข้าวงมาอย่างเก่ง อะไรยังนี้ นี่ เรียกว่า รับลูกเป็น สำนวนเป็นภาษา เป็นสำนวนของไทยๆ สมัยนี้ไม่ค่อยใช้กันเท่าไหร่ สมัยเก่าๆใช้ ต้องรับลูกเป็น รับลูก ลูกที่เขาส่งมานี่ รับเป็น ส่งมาอย่างงาม มันก็รับง่าย ส่งมา อย่างไม่งาม โอ้โฮ มาอย่างแทบจะตาย มาทีเดียว คนที่เก่ง แหม่ ส่งมาแต่ ตะกร้อมันจะตกดินแล้ว หวือมาเลย โอ้โฮ ทั้งเร็ว ทั้งไม่เข้าท่า คนเก่งก็ต้องช้อนรับ ลูกเป็น รับลูกได้ อย่างนี้ถึงเรียกว่าเก่ง ถึงเรียกว่าวิเศษ ต้องรับลูกให้เป็น ต้องเข้าใจมุมเหลี่ยม เข้าใจเรื่องราว ของมันเสมอ เพราะฉะนั้น พวกเราเนี่ย ยังไม่ค่อยจะฝึกหัดตัวรับลูก เพราะฉะนั้น ถึงเวลาแล้ว ตอนนี้ลูกมาแล้ว ทีนี้ใช้ สำนวนเลย รับลูกจริงๆ เลยนะทีนี้ รับลูกให้เป็น สำนวนภาษาไทย ยกตัวอย่างตะกร้อ ตอนนี้ ไม่ใช่ตะกร้อแล้วนะ เด็กนะ ก็เหมือนกันกะตะกร้อ มันมานี่ เอ๊ มันมาอย่างไร นี่มันมา หวือหวาเลย จะรับยังไง จะประสานกันยังไง ให้มันอยู่ในนี้ให้ได้ ให้อยู่ในวง อย่างตะกร้อวงนี่ เตะมา ลูกมายังไง พยายามเตะให้สวย ส่งไปให้ผู้ที่จะรับต่อไปให้ดีๆ อย่าให้ตกดิน อย่าให้เสียหาย อย่าให้มันไม่งาม ต้องให้งาม อะไรอย่างนี้ เป็นต้น นี่เลี้ยงลูกมาจริงๆ ต้องรับลูกเป็น ทั้งผู้อยู่ ทั้งครูผู้สอน ตอนนี้ไปปิด ไปกั้นบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง แม้แต่ดูวิดีโอ อาตมาก็เห็นว่า เอ๊ ตอนแรกกะเห็นว่า ตอนแรก จะแบ่ง ไม่ให้ดู ตอนแรกอาตมาเห็นว่า เออ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น

แต่เห็นว่าขลุกขลักหลายอย่าง ทางด้านจิตวิญญาณ อาตมาหลายอย่าง มันไม่เร็วทีเดียว ต้องมาแก้ ทีหลังบ้าง บางอันๆ ก็ตัดสินได้ทันทีทีเดียว ไม่ต้องแก้ บางอันรู้สึกว่า เอ่อ มันต้องเปลี่ยน ต้องขยับ อย่างยกตัวอย่าง ดูวิดีโอนี่ ก็บอกแล้ว มาดูวิดีโอกันเถอะ ปล่อย ใครอยากจะมาดูก็มาดู ทีนี้ก็ขนาดว่า เอามาดู เขาก็ ไม่ค่อยมาดู เราก็จะมีวิดีโอนี่เป็นเครื่องสื่อ ใช้เป็นโสตทัศนศึกษาก็เอา เขาจะเอาไปใช้ ไปอะไรบ้าง ก็ที่มีผู้บริจาคให้ จะเป็นเครื่องอุปกรณ์ เพราะสมัยนี้ มันมีเทคโนไฮเทค พวกนี้ ก็ไม่เป็นไร ก็เป็นประโยชน์ ให้มันเป็นประโยชน์ไปเลย เราจะเอามาใช้ ให้เป็นประโยชน์ๆจริงๆ สื่อสาร สื่ออะไรได้ง่ายดี ก็เอาไปใช้

เรื่องครูเราก็ได้พูดกันหลายครั้ง อาตมาก็พูดหลายครั้ง ก็ยังไม่ค่อยเก่ง แต่มันก็ไม่ได้พูดเจาะตัว บอกแล้ว ก็พูดรวมๆ ให้เกิดความสัมพันธ์ เป็นตัวแรก อาตมาสรุปแล้ว ครูก็ได้พูดไปแล้ว ต้องเกิด ความสัมพันธ์ อบอุ่น พอเกิดความสัมพันธ์ อบอุ่นแล้ว ไม่อยากจะจากกัน มีความสัมพันธ์ อันสนิทใจกันแล้วนะ โอ้ย ทีนี้แบบวิธี จะยากเหมือนกะบอกแล้ว ยกตัวอย่าง โรงเรียนนายร้อย อย่างนี้ โอ๊บอกว่า ถ้าเขาเอง เขาพยายามมีสัมพันธ์ เขามีจุดหมายหลักดี หนึ่งให้เขาเข้าใจจุดดี ว่าเราจะมา เรียนศีลธรรม เราจะมาเรียนอะไร ค่อยๆเอาเรื่องนี้เป็นหลัก ไอ้เรื่องการเรียน ไปเอาวิชา ทางโลก บอกแล้ว แม้แต่การบ้านก็ให้ลด นี่อาตมาบอกค่อยๆปรับไป อยู่เสมอ การบ้านที่จะต้อง มาเรียนตัวหนังสือ อะไรต่อมิอะไร ที่จะต้องเอาไปสอบ นี่นะ ไม่ต้องไปเน้นนักหรอก ลดลงมา ให้เกิดการประสาน ให้เกิดการสัมพันธ์นี่ให้ดี นา นี่อันหนึ่ง ให้เกิดการสัมพันธ์ให้ดีเสียก่อน แล้วก็ให้เขาได้รู้ จุดมุ่งหมาย ว่าเราไปเอาอะไร เราจะเอาการศึกษาของเรานี่ เราจะเน้นให้เป็นผู้ มีศีลธรรม คุณธรรม และแล้วก็มี การทำได้ สร้างสรรเป็น เพราะฉะนั้น มาให้ฝึกหัดการงาน อยู่กะหมู่ กับฝูง อยู่กับชาวอโศกเรา เอาจะเป็นชาวสวน ชาวไร่ จะไปทำงานอะไร ก็แล้วแต่ ตามใจ ที่เด็กแกสมัครก็เอา พยายามให้เข้าคลุกคลี มากกว่าให้ทำงาน มากกว่าที่จะไปท่องหนังสือ โน้ม เน้นไปในทางให้ทำ มากกว่าที่จะไปท่องหนังสือ

แต่หนังสือ ก็ทำบ้าง แม้สอบไม่ได้ ก็บอกแล้ว ๒ ปี เขาจะสอบเอาเลย มัธยมต้น ๒ ปี จะสอบ มัธยมปลาย ๔ ปี สอบ เสร็จทั้งๆที่ๆเขาทำ ๖ ปี ๔ ปีเสร็จ แม้จะเอาปีเดียวให้ได้เลย ไม่ไปเร่งละ ไปตามนี้ล่ะ ไปตามลำดับ นี่แหละ ถึงปีก็พาไปสอบ สอบไม่ได้ไม่เป็นไร อย่าว่าแต่ ๓ ปี เขาสอบ เสร็จเลย เขาธรรมดาสามัญ ๓ ปี มัธยมต้น ๓ ปี มัธยมปลาย ๓ ปี พวกเราไปสอบ ๓ ยังไม่ได้เลย กศน. นี่ขี้เป้ ไม่เหมือนเขา ของเขานี่ โถ กศน.ของเขา สอนแค่ ๒ ปี เพราะเขาอนุโลมให้นะ ในเรื่อง ทางวิชาการ ทางโลก นะ เขาสอบ ๓ ปี เราสอบไม่ได้ ๔ ปี ถึงค่อยได้ ๕ ปีถึงค่อยได้ ก็ไม่เป็นไร นี่ก็ได้บอกไปแล้ว ได้พูดไปแล้ว ไม่ต้องไปกลัว ไม่ต้องเกรงเรื่องนี้ เพราะว่าเราเอง เราไม่เน้นเรื่องนั้น อาตมาไม่เน้น เรื่องประกาศนียบัตร หรือ ปริญญา ที่จะเอาไปแลกเงินแลกทองทางโลก ขอให้เราเป็น ก็แล้วกัน ถ้าเราเป็นแล้ว เราทำได้แล้วนะ ไม่มีใบปริญญารับรอง แล้วมันก็เลี้ยงตัวได้ มันทำได้ ทุกวันนี้ มันไปเป็นบาป ได้ประกาศนียบัตร ได้ปริญญา แต่มันทำไม่เป็น ได้แต่ไปชี้ใช้เบียดเบียนข่มขี่ เอาเปรียบ คนอื่น กลายเป็นศักดินาชนิดหนึ่ง เสร็จแล้วก็ได้เปรียบ กลายเป็นทุนนิยม กลายเป็น คนร่ำรวย กลายเป็นคนได้เปรียบ แล้วก็ร่ำรวย แล้วก็เป็นแบบอย่าง เสพสุข โลกียสุขไม่เข้าท่า อวดอ้าง แล้วเบ่งข่ม และเขาก็ไม่รู้คนอวิชชา ไม่รู้เรื่องๆก็ จะเอาอย่างนั้นๆ วิธีการทางโลก ก็เลย เป็นแบบนั่น เป็นวิธีการของศักดินา เป็นทุนนิยมอยู่ตลอดกาลนาน นะเป็นมาแต่ไหนๆ แม้เดี๋ยวน ี้ก็ยิ่งศักดินา เป็นทุนนิยม ซับซ้อนที่ลึกลับ ที่คนรู้ไม่เท่าทันนั่นเอง แต่เรารู้ว่า มันลึกลับ นั่นแหละ มันลึก มันซ้อนลึกนะ

ในเรื่องของการเรียน เราจะเรียนทำ มากกว่าเรียนท่อง หรือเรียนทำตามตัวอักษร หนังสือ พวกนั้น แต่ก็ไม่ใช่ว่า เราจะไม่ให้เลย ก็ให้ตามควร เพราะฉะนั้น ถ้าดูแล้วว่า เออ เด็กจะทำมากกว่า เด็กก็รักเรียน จะเอาแต่ตัวหนังสือ จะท่องแต่หนังสือ เขาก็มีเหมือนกัน จริตเด็กก็เอา ใครที่เขา รักเรียน ก็เอา ดูบ้าง แต่ก็ถ้าเผื่อรักเรียน จะเอาแต่ตัวหนังสือมากเกิน จนไม่เข้ากะหมู่ ไม่มาทำงาน ทำการ ก็เน้นให้เขาฟังว่า ที่นี่เราจะสอน ให้เน้นที่ทำงานทำการให้เป็นน่ะ ไม่ใช่ว่า จะเอาแต่ ตัวหนังสือ

จะเอาแต่ตัวหนังสือ จะต้องออกไปเรียนข้างนอกได้เลย เพราะว่า ข้างนอกเขาสอนเขาเน้น อย่างนั้นจริงๆ เขาแข่งกัน เอาเป็นเอาตายเลย อย่างแต่ละบ้าน นี่พ่อแม่ร่ำรวยนี่ เอ็งเรียน เอ็งไม่ต้อง มายุ่งเกี่ยวเลย แม้แต่เช็ดขี้เช็ดเยี่ยว แทบจะจ้างคนมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวให้เลย คนร่ำรวยน่ะ ลูก เอ็งเรียนท่าเดียว ทุกอย่างไม่ต้องทำ ขอให้เรียนท่าเดียว อย่างนั้นจริงๆเลย เดี๋ยวนี้ทั้งนั้นเลย ทั้งโลก ไม่ใช่ว่าแต่ในประเทศไทย เน้นอย่างนั้นใชไหม หลงอย่างนั้นกันหมดแล้ว เรียนเถอะ กระทำความรู้ ทางสมอง ทางตัวหนังสือ ทางความรู้สมัยใหม่นี่แล้วแต่ เขียนคิดอะไรต่ออะไรได้เก่ง ลงมือทำ ไม่ต้องเป็น ก็ช่างมัน เขาเน้นอย่างนี้กัน และก็ได้ราคาสูงด้วย นี่เป็นค่านิยมของโลก อย่างนี้จริงๆ นะทั้งโลก มันเป็นความล้มเหลว เราจึงมาแก้กลับว่า เป็นทฤษฎีหลัก อะไรไม่ทันเขา ไม่เป็นไรหรอก แต่เราก็ไม่ได้ปละปล่อยนะ เราก็มี โลกเขาไปถึงไหนแล้ว เขามีความรู้ด้านไหน อย่างไร อะไรยังไง ต่างๆนานา มีไฮเทคขนาดนั้น ขนาดนี้ เราก็เข้าใจ เราก็รู้ แต่เราไม่จำเป็น เราไม่ต้องใช้ ไฮเทคหรอก ใช้คน แรงงานคน

อาตมาเน้นแม้กระทั่ง จะทอผ้า แต่ที่จริงไม่ต้องทอหรอก ยังงี้ไปซื้อเครื่องมือมา ไฮเทคเล่นเครื่องมือ หาทุนมา ซื้อเครื่องตั้งโรงงานทอผ้าขึ้น พวกเราตกงานกันแถบๆ แล้วจะบอกให้ แล้วได้ผ้ามาเร็วด้วย จะให้ละเอียดกว่ามือ ทอนี่ก็ได้ จะให้ทำด้ายเส้นเล็กเส้นละเอียดมา ยังไงก็ยังได้ ก็เพราะว่าเครื่องมือ ทางไฮเทค มันทำได้ แล้วทอกันด้วยเครื่องยนต์เลย ปรับกันให้จะเนียนบางยังไงก็ได้ แต่อาตมา ไม่ต้องการ อาตมาต้องการแฮนเมด (Hand made) ต้องการฝีมือ ต้องการคนทำ แล้วก็ถ่ายทอด กันไป และก็ทำโรงงานทอผ้าต่อไป จะเย็บ จะปัก จะตัดอะไร ก็ตัดเสื้อผ้าใส่ ก็ไม่ต้องไปเป็น นักดีซายน์เนอร์ (designer) ต้องส่งไปเรียนฝรั่งเศสมา เอามาดีซาย ไม่ต้อง ทีนี่ดีซายกันพอใช้ พอกันร้อน กันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อยได้ ทำมันให้ได้คุณภาพประโยชน์ ตัดเสื้อผ้า ให้เหมาะสมกับ ประโยชน์ให้ดีที่สุด ให้เก่ง เรื่องความสวยเป็นรอง เรื่องประโยชน์เป็นใหญ่ แค่นี้ก็เอา ก็พอแล้ว เรียนตัดให้เป็น เย็บให้เป็น ชุนให้เป็น ปะให้เป็น อะไรให้ได้ แค่นี้ ก็เอาแล้ว ให้มีเวลา ให้อุดมสมบูรณ์ข้างหน้า ที่อยากจะทำสวย ทำงาม ก็ค่อยว่ากันทีหลัง ตอนนี้ให้พึ่งตนเอง ให้ได้ พวกนี้ อย่างนี้เป็นต้น เราค่อยๆ ทำกันจริงๆ ใคร ยิ่งลูกน้อง การสร้างบ้าน สร้างเรือน การสร้างพวกนี้ เด็กๆ ไม่ใคร่ค่อยเอาเลยน่ะ ช่างถนอมกูลนี่ ไม่มีลูกศิษย์เลยนา แม้แต่พวกเรา ก็ไม่ค่อยเอา นี่เป็นปัจจัย สำคัญ ที่สร้างบ้าน สร้างเรือน ที่อยู่อาศัยสำคัญนะ สถาปัตย์ ทุกวันนี้ ก็เป็น สถาปัตย์ หาเงิน อีกเหมือนกัน ไอ้คนลูกน้องก่อสร้าง ตกหลุมตกท่อตาย ตกนั่งร้านตายอะไรตาย ถูกไอ้เครน ทับตาย อะไรตายกัน ได้เงินน้อยยังงั้น น่าทรมานทรกรรม ไอ้สถาปนิก ไอ้สถาปนึก มันเอาเงิน ไปกินหมด คนคุมก่อสร้าง ชี้โบ้ชี้เบ้ มันเอาเงินไปกินหมด แต่เอาเปรียบไปหมด ไอ้อย่างนี้พัง นี่แหละ ลักษณะของความพัง นา

เพราะฉะนั้น ก็พยายามเน้นเรื่องความเข้าใจพวกนี้ เรื่องสาระแก่นสาร บุญอยู่ที่ไหน คนออกแรงงาน นั่นแหละ ตัวบุญ เรามีความรู้ บอกเขาก็บอกไป เขาได้รับความรู้ ปั้นเดี๋ยวเขาก็ทำได้ๆ เขาก็เป็นคนได้ ไอ้ตัวเอาแต่ชี้ เอาแต่ความรู้ๆ มันพอที่ไหน คนที่มีความรู้ทำไม่เป็น อยู่ไม่รอดหรอก คนที่ทำเป็น ไม่มีความรู้ มันอยู่รอด คนที่มีความรู้แต่ทำไม่เป็นน่ะ ตาย แต่ทุกวันนี้ มันรวย คนที่มีความรู้ ทำไม่เป็น รวย คนที่ทำเป็น กลับยิ่งจน ถูกขูดรีด นี่แหละ สังคมมันผิดสัจจะตรงนี้ เพราะฉะนั้น เราต้องเป็นคนงาน เป็นคนทำเลยจริงๆให้ได้ เด็กก็ต้อง เน้นให้เขาเข้าใจ พวกนี้ด้วยนะ ไปสมัคร อยู่แผนกไหน ก็ตาม ให้เขาทำ

สรุปแล้วคือ ให้เขาทำให้เป็น เพราะฉะนั้น ความรู้เรื่องการบ้าน ที่จะให้ไปท่องไปจำ จำไปโน่นไปนี่ อะไรบ้าง ก็เป็นรอง แต่ไม่ได้ความว่าไม่เน้นนะ เป็นศิลปะในการสอน จะมีหลักสูตร จะมีวิธีการสอน อย่างไรๆ ครูก็ต้องเรียนศิลปะ เหล่านั้น ศิลปะการสอน นี่ยิ่งใหญ่มาก ต้องศึกษา ต้องเล่าเรียน เป็นครูที่ดี ตัวเองก็ต้องดีก่อน ต้องทำเป็นก่อน ครูทุกวันนี้ทำไม่เป็น ได้แต่รู้เยอะ ทำไม่เป็นนะ อย่างครู ทางธรรมะ อย่างนี้ สอนนิพพานนะ แต่ตัวเองยังทำนิพพานไม่เป็นเลย อย่างนี้เป็นต้น มีเยอะ สอนนิพพาน ตัวเองยังไม่รู้นิพพาน ยังทำนิพพานไม่เป็นเลย สอนนิพพาน สอนคุณงาม ความดี แต่ตัวเอง ยังทำคุณงามความดีอย่างนั้นไม่ได้เลย สอนสร้าง ตัวยังสร้างไม่เป็นเลย แล้วไปสอนสร้าง เดี๋ยวนี้ เป็นอย่างนั้น โลกสอนอะไร ที่ตัวเองยังไม่เป็น เป็นครูที่ไม่เป็นเดี๋ยวนี้ มันจึงเป็นความล้มเหลวของสังคม เพราะฉะนั้น เราเป็นครู ที่จะต้องเป็น

พระพุทธเจ้าสอนเราว่า เราจะต้องทำคุณอันสมควรก่อน เราเป็นผู้ทำคุณอันสมควรนั้นก่อน แล้วจะได้ พร่ำสอนผู้อื่น จะได้ไม่มัวหมอง จะได้สัดส่วน ได้ประโยชน์ จะได้คุณค่าให้ดีด้วย เพราะอันใด ที่เรายังไม่เป็นนี่ เราอย่าไปยึดมั่นถือมั่น อย่าไปมีมานะ ถือดีนั้นได้ ฉันเป็น ฉันมี อย่า จงค่อยๆเป็นไปน่ะ

ขณะนี้ ผลกระทบนี่มันทำให้เราจิตวูบ จิตตก และเราก็ไม่มีความอดทน ท้อแท้ท้อถอย เหตุเกิดมา เพราะที่อาตมา ขยายความให้ฟังนี่ทั้งนั้น มันมีบกพร่องกันอยู่ ยังไม่เข้าใจกันรอบถ้วน ที่อาตมา ขยายนี่ อธิบายรวมหมด อาตมาคิดว่า ไว้พูดให้แก่ทุกๆคนแล้ว มันเป็นลักษณะอย่างนี้แหละ กลางๆ มากบ้าง น้อยบ้าง เด่นไปในทางไหนนา มันหนักไปในทางไหนของแต่ละแง่ แต่ละเชิง ของแต่ละคน มันอย่างนี้ เพราะยังงั้น อาตมาขอสรุปรวมๆว่า ต้องพยายามที่จะมี อัตตามานะ อย่ามีความอ่อนแอ บังคับน่ะ บังคับไม่ให้อ่อนแอ อย่ามีความอ่อนแอ ท้อแท้ ต้องอดทน ต้องขยัน ต้องพยายาม พากเพียร อุตสาหะ เพราะว่ามันยังไม่ลงตัว มันต้องเป็นอย่างนี้แหละ เราก็ว่า เราเป็นนักสู้ นักอดทน มาแล้ว แง่นี้ก็ลองทำดู อดทนตากแดดเก่งๆ ในแง่ตากแดด ลองในร่มดูซิ มันจะอดทนไหม ในร่ม มันก็ถูก ภาวะความร้อนของกระแสวิญญาณ มันจะเผาไหม้ สู้แดดได้ไหม บางที โอ้โฮ กระแส วิญญาณนี่ มันร้อนกว่ากระแสแดดอีกน่ะ โอ๋ย ไปอยู่กลางแดดดีกว่า มันก็ยังไม่เก่ง มันต้องเก่งซิ กระแสวิญญาณนี่ มันจะร้อนแค่ไหนเชียว เหมือนกะคนที่บอกว่า แหม่ ขนฟางนี่ หนักกว่าหิน นั่นแหละ คล้ายกัน ขี้หมานี่ ขนฟางมันหนักกว่าหินได้ที่ไหนในโลก แต่เสร็จแล้ว มันไม่รู้วิธี มันก็เหมือน หนักกว่า นั่นแหละนะ มันก็เหมือนกะไปตากแดดนี่แหละ โอ๋ย ตากแดด ยังไม่ร้อน เท่ากับ ถูกกระแสวิญญาณ โอ้ โฮ ร้อนชะมัดเลย ร้อนยิ่งกว่าวิญญาณอีก โอ้โฮ บาดทีหนึ่ง ถูกทีหนึ่ง โอ้โฮ ไหม้เลย ไหม้หัวใจ ร้อนยิ่งกว่าแสงแดด อยู่แดดดีกว่า

เหมือนกะคนบอกว่า ขนฟาง หนักกว่าหิน ขนหินดีกว่า หินเบากว่าฟาง ทั้งๆที่ พุทโธ่ มีอย่างที่ไหน ฟางมันจะหนักกว่าหินนะ ใช่ไหม แต่มันรับลูกไม่เป็น มันทำไม่ถูก มันอะไรก็เลยกลายเป็น ขนฟาง หนักกว่าหิน ด้วยความจริง ฟางมาหนักกว่าหิน จริงๆหรือเปล่า มันไม่จริงหรอก ก็เหมือนกันนั่นแหละ แดดนั่นน่า มันร้อนกว่า แดดวิญญาณ แดดวิญญาณ มันจะร้อนกว่าไหนกันเชียว แต่เสร็จแล้ว มาเจอแดดวิญญาณ เข้าหน่อย โอ๋ย ร้อนจังเลย ตากแดด ทำงานกลางแดดดีกว่า ร้อนน้อยกว่า คล้ายกันแหละ คล้ายกัน ยังงี้ ไม่ใช่หรอก เรารับลูกไม่เป็น เรายังไม่เข้าใจ เรายังไม่เก่ง เราก็ยัง ท้อแท้ๆ ง่าย มันเป็นภาวะยังงี้ กระทบสัมผัส เราจะต้องเรียนรู้ โยนิโสมนสิการ ศึกษา เราจะเข้าได้ เราจะประสานได้ จะอยู่ได้ มันต้องรู้กันไป รู้กันมากเท่าไหร่ มันก็เจริญเท่านั้น มีคุณค่าเท่านั้น กลายเป็นพระเจ้า เป็นผู้สร้างได้มาก มีประโยชน์คุณค่า มีความรู้ความสามารถ หลายด้าน หลายแง่ สร้างอะไรก็ได้ดี เข้าใจอะไร ก็ได้ดี เสร็จแล้ว ก็ได้เป็นคุณค่าได้สร้าง ได้ทำ ได้ให้

สรุปนะ สรุปหลักใหญ่ อาตมาสรุปกะครูแล้ว ว่าพวกเรานี่จะต้องดำเนิน ๒ ประการใหญ่ๆ การเรียน นี่นะ

๑. จะต้องสร้างสัมพันธ์อันสนิททุกคน เพราะฉะนั้น เรื่องสหศึกษา ในเรื่องที่จะไปแบ่งแยก ไม่ให้เด็ก ไปคุยที่นั่น ไม่ให้เด็กไปสัมพันธ์ที่นี่ ตีกรอบไว้มากเกินไปนัก อันนั้นก็เปิดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ หมายความว่า ให้แกอยู่นอกการควบคุม ก็ต้องอยู่ การควบคุมดูแลในสายหู สายตา เพราะฉะนั้น นั่นโดยหลัก ที่จะต้องเป็นรั้วกั้นเดินไปนักนั้น ก็อย่าพึงเลยน่ะ อย่าไปตีกรอบ ถึงขนาดนั้นเลย ให้เกิดการสัมพันธ์อันสนิท ให้มากขึ้น แต่ก็ต้องมีระเบียบบ้างนะ มีกฎ มีระเบียบ มีแบบแผน มีรูปแบบ ต่ออะไรมิอะไรบ้าง ก็มีเป็นธรรมดา ก็มีระเบียบ ก็มีหลัก มีเกณฑ์บ้างพอสมควร แต่ไหน ดูมันเคร่ง ดูมันจะหลัก มันจะตีจาก ตีห่าง ไม่เกิดสัมพันธ์อันดีมากเกินไปนัก ก็เปิดบ้างนะ

สรุปแล้ว ข้อ ๑ นี่ ก็คือ จะต้องทำอย่างไร จะเกิดความสัมพันธ์อันสนิท เป็นเลือดเนื้อเดียวกัน เป็นลูกหลาน ปรารถนาดี เกื้อกูล มีเมตตาเอื้อเฟื้อช่วยเหลือ แนะนำทุกคนเป็นพ่อเป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง อันสนิทให้ดี เกิดความอบอุ่น เมื่อเด็ก เขาอบอุ่น แล้วที่นี่เราจะสอน นอกจาก อบอุ่นแล้ว มันจะเกิดความสัมพันธ์อันสนิท แล้วเด็กก็จะเกิดปัญญาญาณรู้ด้วยว่า มุ่งหมายอะไรๆ เพราะฉะนั้น เด็กที่จะมาเรียนทีนี่ ต้องให้แกเข้าใจดีๆ เลย มุ่งหมายอะไร พอรู้เป้าหมายที่ดีแล้ว เป้าหมายที่ดี เป็นยังไง จะมาเอาคุณธรรม ศีลธรรมกับการทำเป็น ทำได้มากกว่าที่จะไปเรียน ตัวหนังสือ เพื่อไปแข่งขันในทางโลก

ถ้าเป้าหมายนี่ไม่ชัดเจน แม้แต่ญาติธรรม พ่อแม่ของเด็ก และตัวเด็กด้วย ไม่เข้าใจนะ จะมาเรียนที่นี่ เพื่อจะไปเอาปริญญา แข่งขันกะโลก อย่ามาเลย ไปเรียนข้างนอกเถอะ ถ้าจะมาเรียนอย่างนั้น อย่าเลย จะต้องชัดเจนเลยว่า เอามาที่นี่ อย่าไปหลงใหลได้ปลื้มกับประกาศนียบัตร เอาปริญญา ข้างนอก ประกาศนียบัตร กับปริญญาข้างนอกนั่น ได้หรือไม่ได้ ไม่มีปัญหา ขอให้เป็นก็แล้วกัน ขอให้เป็น ก็แล้วกัน ๆ คุณจะเป็นช่างวิศวะ ทำการวิศวะได้เก่งเลย ปริญญาสอนไม่ได้สักที ใบประกาศนียบัตร ปริญญาตรีก็ไม่ได้ แม้แต่เทคนิค กับปวส. ปวช.ก็ไม่ได้ ไม่เป็นไร ขอให้คุณ ทำเก่งเถอะ คุณผลิตเครื่องบินได้ คุณไม่ได้ปริญญาตรี ก็ไม่เป็นไร ผลิตเครื่องบินได้ หรือวิศวะ ทางด้านไฟฟ้า โอ้โฮ ทำเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ ในระดับวิจิตรเลย ปริญญาตรีก็ไม่ได้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเอามัน ขอให้ซ่อมเครื่องคอมพิวเตอร์ก็ได้ คิดอะไรๆได้เก่งๆ ออกมาทำอะไรเก่งๆ ออกมาได้ อย่างนี้เป็นต้น ทางไฟฟ้าก็ตาม ทางด้านอะไรก็แล้วแต่เถอะ ด้านไหนก็แล้วเถอะ เป็นต้น หรือ เป็นทางเกษตร แหม มีความรู้ทางด้านเษตร อย่างเยี่ยมยอดเลย แต่ไม่ได้ปริญญาตรี ด้านการเกษตรเลย อือฮือ มีความรู้ในด้านเกษตร ลงมือทำเองเลย เข้าใจแนะนำ สอนพวกเราได้ ทำอะไรต่อเนื่อง ได้ดีเลย ปริญญาทางโลก ไปสอบเอาเมื่อไหร่ เขาก็ไม่ให้สักที สอบเมื่อไหร่ก็ดี อ่านตัว กข. กับเขา ก็ไม่ถูกสักที แต่ทำได้ ทำเป็นทุกอย่างเลย เท่านี้ อาตมาก็พอใจแล้ว

แต่ไม่ใช่ไปดูถูก ดูแคลนเขานะ สอบได้ก็เอา ให้มาก็เอา ไม่ต้องไปดูถูกดูแคลนเขาหรอก เขาสอบ ไปสอบกะเขาก็เอา ตามประสาของโลก สมานกะโลกได้ ก็เอา ไม่ได้ก็แล้วไป ไม่มีปัญหา ขอให้ ทำเป็น เป้าหมายหลักของเรา ศีลธรรม กับทำเป็นจริงๆ รู้เรียนรู้ที่ รู้ทำได้ ไม่ใช่รู้เฉยๆ โดยทำไม่ได้ รู้ทำเป็น ๆๆ รู้ๆๆ และทำเป็น ไม่ใช่เอาแตรู้ๆๆ ทำไม่เป็น อย่างโลกนี้ไม่เอา เพราะฉะนั้น การเรียน ของเราเป็นอย่างนี้ เรื่องประกาศนียบัตรใบรับรองนั่น หรือไม่ได้ เป็นเรื่องรองๆ เป็นอันดับ ๓ ด้วยซ้ำ จะต้อง ๑. ทำเป็น ๒. รู้ และรู้ทำเป็น ยอดเยี่ยมจริงๆ ก็คือทั้งรู้ และทำเป็น อันที่ ๒ ทำเป็น อันที่ ๓ รู้ อันที่ ๔ ได้ประกาศนียบัตร เออ เอาแบบนี้ เป็นอันดับ ๔ ด้วยซ้ำ เอาใบ ประกาศนียบัตรนี่ รอง เป็นอันดับ ๔ ด้วยซ้ำ เอา ๑.รู้ แล้วทำเป็น ๒.ทำเป็น แม้ไม่รู้มากแต่ทำเป็น ๓. รู้ นี่เป็นอันดับ ๓. รู้และทำไม่เป็น ๔. ได้ประกาศนียบัตร หรือใบรับรองอันดับโหล่ อันดับ ๔ ให้เข้าใจอย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้ว เด็กก็ให้เข้าใจ พยายาม แต่อย่าเพิ่งไปยัดเยียด ความเข้าใจ อันนี้ทันที ค่อยๆทำ แม้แต่ในหลักสูตร ตารางสอนอะไร ก็เข้าใจหลักอันนี้ให้ได้ ๔ ระดับนี่ รู้และทำเป็น โดยการสร้าง การทำงาน อะไรที่เป็นงานสำคัญในนี้ๆแหละ ให้รู้งานสำคัญ ในแวดวง ของพวกเรา เรามีงานอะไร อยู่ในนี้ เราทำอันนี้ ข้างนอกไม่เอาละ มันเก่งในวิธี การปั้มเท็ป ในวิธีการ ที่จะเอาไปทำ มิวสิกวิดีโอ ยังๆ งานนี้ยังไกลนัก ยังไม่รู้ช่างหัวมัน ทำไม่เป็นช่างหัวมัน ไม่มีปัญหานะ

ไม่รู้ในงาน แอ๊ดเวอร์ไทร์ซิ่ง ยังไม่ต้อง งานโฆษณา งานหาทางโฆษณา วิธีโฆษณาเดี๋ยวนี้ งานแอ๊ดเวอร์ไทร์ซิ่ง ราคาแพงนะ ไม่มีความรู้เรื่องนี้ ไม่เป็นไร ไม่ต้องไปเรียน ยังไม่ไปเรียน ไม่ต้องศึกษา เอางานที่สำคัญ ที่จำเป็น สำคัญที่เป็นงานหลัก งานสร้างปัจจัย งานที่เรามีนี่ อย่างเรารับงาน หรือเราเห็นเป็นแผนก เราก็เกิดขึ้นเรื่อยๆ งานในนี่ แค่นี่ เราก็พอแล้ว เด็กเรียนตาม ในนี้นี่ ให้ทั้งรู้ และทำเป็น ระดับ ๒ นี่ทำเป็น เน้นทำเป็น รู้ไม่มากไม่เกินไม่ฉลาด ที่จะคิดอะไรใหม่ อะไรแปลก ก็ไม่เป็นไร อันแรกนี่คิดใหม่ ทำคิดแปลก ก็ทำเป็น แล้วก็นำเป็นคิดได้ ก็ทำได้ อันนี้ทั้งรู้ ทั้งทำเป็น ๒ ทำเป็น ๓ รู้ๆๆๆ ทำไม่ค่อยเป็นนัก แต่รู้นี่เป็นอันดับ ๓ รู้นี่คิดแปลก คิดใหม่ได้ อันดับ ๓ รอง ๔ ประกาศนียบัตร หรือใบปริญญา ใบรับรอง อันนั้นให้มันเป็นผลพลอยได้ จริงๆ ใครจะมา รับรอง เป็นใบเป็นอะไรมาให้ ก็ของเขา ไม่ให้ก็ช่างหัวใคร แต่พวกเราก็ให้ กันอยู่เอง อยู่แล้ว โดยไม่ต้อง มีใบเบิกอะไรอยู่แล้วนา นั่นนะ คือ การเรียน

แล้วที่นี้ศิลปะนอกจากมีการเกิดสมานอันดี สัมพันธ์อันดีแล้วนี่ ศิลปะการสอน นอกจาก มีการเกิด สมานอันดี สัมพันธ์อันดีแล้วนี่ ศิลปะการสอน ครูรับหน้าที่โดยตรง ญาติโยมที่นี่ มีพี่น้องในนี้ ก็ต้องมีศิลป์ ในการสอนเด็กด้วย เข้าใจให้ดีนะ ไม่ใช่ว่า ไม่มีศิลปะในการตอบรับ ในการรับลูก ในการสอน ในการแนะนำ ต้องมีศิลปะด้วย ศิลปะในการสอน การแนะนำกัน ที่จะถ่ายทอด สิ่งที่ดีแก่กัน หรือถ่ายทอด การทำเป็น สิ่งที่ดีก็คือ คุณธรรม ศีลธรรม คุณธรรมและ การทำเป็น ก็คือ สิ่งที่ตนเอง ที่จะต้องมีกรรม มีการกระทำ จะต้องทำเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ศิลปะการสอน ครูโดยตรงนี่จะต้องมีจริง แต่ก่อนอื่น ถ้าเกิดความสัมพันธ์อันดี เกิดความอบอุ่นแล้ว และเด็ก รู้เป้าหมาย อย่างดีแล้ว เด็กไม่อยากจะจากที่นี่แน่ อยู่ก็อบอุ่น จะเอาอะไร เด็กก็รู้ อย่างชัดแจ้งว่า เอาอันนี้ สิ่งนี้มีค่ากว่า เป็นโลกุตระนี่ มีค่ากว่าโลกียะ ที่จะได้อย่างโน้นๆ ในทางโลกเขาก็ได้โลกียะ มาทางนี้ ได้โลกุตระ เขาเข้าใจเลยว่า เอาอย่างนี้ดีกว่า มาทำเป็นบุญ มีคุณมีค่าอย่างนี้ มาสร้างที่นี่ มาเรียนที่นี่ มีวิชาความรู้ที่นี่ ที่นี่สอนอะไรให้ จะทำได้ เป็นมากกว่า และเราได้สร้าง มากกว่า เป็นคุณค่ามากกว่า แม้จะสอนให้เอากำไรน้อย หรือว่า ไม่เอาเปรียบใคร สอนแล้วก็ได้แต่ มาเสียสละ อะไรมากๆ ก็ยิ่งดีใหญ่ ถ้าเด็กเข้าใจเลยว่า ทฤษฎี กำไรขาดทุน ของอารยชนนี่ โอ๋ย เข้าใจดีเลย เด็กก็จะมาอยู่ที่นี่หรอก ไม่ไปไหนหรอก

ทีนี้ศิลปะการสอนก็สำคัญ ถ้าศิลปะการสอนก็ดี เด็กก็จะเจริญง่าย ๑.เด็กอยู่ ๒.เจริญด้วยการสอน มีศิลปะในการสอน นี่การเรียน มันจะมี ๒ อย่าง นี่ มีหลักใหญ่ๆ เพราะงั้น ศิลปะการสอนของเรา จะต้องรู้ว่า เราจะใส่อะไร และ วิธีการสอนนี่ พูดยังไง สอนยังไง แต่ละคน แต่ละจริต จะทำยังไง เคร่งเกินไป ดีไหม หย่อนเกินไปดีไหม ไม่เคร่งๆขนาดนี่ไม่เคร่ง หรือว่าเคร่งแล้ว ขนาดนี้เรียก ว่าหย่อน หรือไม่หย่อนแล้ว อนุโลมปฏิโลมคนนี้ แต่ละคนแต่ละจริต คนนี้ต้องเคร่งหน่อย เพราะจริต คนนี้ ต้องหย่อนหน่อย เพราะจริตๆ มันไม่เหมือนกัน พวกนี้ ครูก็ต้อง มีปัญญา ที่จะรู้จักศิลปะ ในการที่จะเติม จะให้ ในวิธีการที่จะตอบ จะรับกันนะ

เอาละ อาตมาคิดว่า ได้แนะนำ ได้บอกกลางๆไปหมดแล้วนะ ทุกคน ไม่ใช่บอกแต่เฉพาะครู ไม่ใช่บอก แต่เฉพาะชาวประชากร ของปฐมอโศกนะ ก็บอกไป ถ้วนทั่วทุกๆคน ทั้งครูบาอาจารย์ ทั้งสมณะ ทั้งสิกขมาตุ ทุกรูปทุกแบบ ทุกคน นา

คนเราเกิดมามีงานๆ งานนั่นแหละเป็นคุณค่า และ เราว่างได้ ด้วยงาน จิตเราหมดทุกข์หมดสุข จิตเราหมดท้อแท้ จิตเราหมดเหี่ยว หมดโศก หมดระเริงดี สร้างได้ดี ก็ไม่ระเริง ไอ้โศกเหี่ยวนั้น ไม่มีเลย เพราะฉะนั้น อโศกนี่ มาตัดตัวนี้เสียก่อน พวกเรานี่ ไปถึงไหนๆๆ ก็แล้วแต่ จนกว่า อาตมา จะตาย หรือต่อไปๆนี่ ลักษณะของความท้อแท้ และของความไม่อดทน ของความหม่นหมอง ของความไม่ยินดี จะหมดไป อโศกนี่ ส่วนการระเริงบ้าง ระเริงในความดี เป็นโพธิสัตว์นี่ ระเริง ในความดี นะ แต่ เป้าหมายในการที่ท้อแท้ ไม่อดทน ไม่พากเพียร นี่ จะต้องไม่มีให้ได้ ก่อนอื่นเลย

ขีดเขตของอโศก อโศกะ อาตมานี่ ในภูมิในปางของอาตมาเนี่ย จะต้องเป็นผู้อดทน ไม่ท้อแท้ ไม่มีการหม่นหมอง ไม่มีการจืดชืด ค่อนข้างจะไปในทาง อาตมาเคยพูด นะ พวกเรานี่ จะไปในทาง โรแมนติกฮิตซึ่ม (ROMANTICISM) จะไปในทาง ซาดีสซึ่ม (SADISM) แต่ทุกวันนี้ มันออกซาดีสซึ่ม พอสมควร มันรู้สึกว่า มันแข็งๆ มันทื่อๆ มันทึ่มๆ มันตัดๆ มันไม่ค่อยเบิกบาน มันจืดๆ มันเซียวๆ เข้มๆ อยู่นะ นี่มันยังไม่ใช่อโศกนะ อโศกจะต้องเบิกบาน ร่าเริง ที่จริง ลักษณะทางด้าน สายท่าน พุทธทาส นั้นนะ กลับดูดีกว่าเรา ดูของเขาแหมดีนะ ท่าทีลีลาผู้ดีๆ ไม่ใช่ผู้ดีเหมือน กรรมกร นี่มันแข็งๆ มะลื่อทื่อๆ เหมือนคนบ้านนอก เรานี่พวกในกรุงนะ อโศกะนี่ ไม่มีหรอก ไอ้โศกเศร้า หม่นหมอง ไม่พริ้งไม่เพริด ไม่งามไม่หวาน พวกเรานี่ จะ ไปในเชิงหวาน

แต่อาตมาเริ่มต้นจากรากฐานต้นก่อน ฐานต้น มันก็คัดอย่างนี้ คือหมายความว่า ต้องเคี่ยวเข้มๆ มาก่อน ทำสูงมาหาต่ำ เพราะฉะนั้น มันก็ได้ยังงั้นมาก่อน เพราะฉะนั้น เรากำลังเดินทางอยู่ ยังไม่ถึงที่จบ ที่จบของพวกเราแล้ว นี่จะหวาน จะสวย จะงาม

ดูหม่นหมองอย่างนี้เถอะ ก่อนอาตมาตาย อาตมาก่อนอายุ ๙๐ อาจจะต้องมาบี้กันนี่ มันสวยไปแล้ว นี่มันหวานไปแล้ว นี่มันระเริงเกินไปแล้ว มัน วิรชะแล้วนา มันไม่ใช่อโศกะ มันเกินแล้ว เกินอโศกะ อโศกะนั่น ได้เกินเลยเถิด ไปหาวิรชะ มันเป็นธุลีเริง มันเป็นตัวเริง ไม่ใช่ธุลีแล้ว มันเป็นก้อนเริงเลย ระเริงมาก แล้วมันร่าซ่า แล้วมันระเริงจ้า แล้วมันจะต้องไปปราบปรามตรงนั้น แต่ตอนนี้ เราเข้าหา ขั้นนี้ก่อน นี่คิดว่าเข้าใจความหมาย มันเป็นชั้นตอนของพระพุทธเจ้า ท่านเรียงลำดับมานี่ มันวิเศษ เราทำเริ่มต้น จุดนี้ เพราะฉะนั้น จะต้องเอาให้ชนะอโศกะ จะต้องไม่โศก ไม่หมอง ไม่หม่น ไม่เครียด แต่ต้องเข้ม แต่ต้องเคร่ง ต้องสะอาด ต้องแข็งๆ แข็งในตัว โดยลักษณะไม่ใช่ว่า ไปแข็งมะลื่อทื่อ ไม่ใช่ แข็งในนิ่มนอก ไม่ใช่อ่อนนะ นิ่มนวลนะ แข็งในนิ่มนวล อ่อนช้อย ดูดี นา ต้องสวย ต้องงาม นะ เราจะต้องเป็นอย่างนั้นไปทีเดียว ต้องเข้าใจลักษณะสำคัญๆ นี่ อาตมาอธิบายลักษณะสำคัญ ให้ฟัง ชาวอโศก เราจะเป็นลักษณะนั้น

อาตมาไม่มีพื้นซาดีส ไม่มีพื้นกระด้าง แต่ทุกวันนี้ อาตมาต้องแอ๊ค กระด้างมา แอ๊คแข็งๆ มา ถ้าอาตมา ไม่แข็งมาทุกวันนี้นะ อาตมายุ่ยเป็นผงหมดแล้ว ถ้าไม่เด็ดเดี่ยว ไม่แข็งขัน ไม่เข้ม ไม่เคร่งมา นะ ป่านนี้ถูกกลืนไปหมดแล้ว นี่เข้มเคร่ง มาจนได้หมู่ได้มวล แล้วนี่นะ ขนาดนี้ๆนะ หวานขึ้นบ้างได้แล้ว ไม่ต้องหวือๆ เคร่งๆ ไปอีกหรอก หวานไปแล้ว จนกระทั่งเขาว่า ไอ้พวกนี้ ดูซิ อือ ฮือ มันไม่มีมนุษยสัมพันธ์เลย มันมีอะไรข้นๆเข้มๆ มีแต่พวกไม่เอาตาดู หูฟังคนอื่นเลย ไม่สัมพันธ์ กับคนอื่นเลย อะไรอย่างนี้ แต่ต้องรู้ว่า เราก็อนุโลมเขาบ้าง แต่เราต้องรู้ ถ้าเราอนุโลมเขาบ้าง เราไม่เสียนะ ถ้าเราเอง เราเฉพาะส่วนตัวเนี่ย ถ้าอนุโลมไปให้คนนั้น เราไม่ไหวหรอก ซึ่งอาตมา เคยยกตัวอย่าง เหมือนเราจะเอื้อมมือ ลงไปช่วยคนในบ่อ ถ้ามือเรายังไม่ยาว แรงน้ำหนักยังไม่พอ เอื้อมลงไปในบ่อ หัวทิ่มบ่อเลย ต้องเพลงหัวทิ่มบ่อ ไอ้นั่นมันเมาเหล้า เพลงของมันนั่น มันเมาเหล้า หัวทิ่ม แต่ไอ้นี่ไม่เมาเหล้าหรอก อวดดี อยากจะไปช่วยเขา เอื้อมอนุโลมแก่เขา แต่ตัวเอง ยังไม่แน่จริง เขาก็เลย ดึงเราตกบ่อไปด้วย

นี่ อาตมายกอุปมาอุปมัย ให้ฟังนี่ คงพอเข้าใจไปประมาณเอานี้เรื่องอะไร แต่ละอย่าง แต่ละสิ่ง อย่ากลายเป็น เตี้ยอุ้มค่อม อย่ากลายไป เดี๋ยวหัวทิ่มบ่อ นา มันไปไม่รอด มันจะต้องรู้ เพราะฉะนั้น คนไหนอนุโลมยังไม่ได้ ก็ไม่ต้องอนุโลม เอาแต่ตัว ไม่ต้องไปว่าคนอื่นเขา ไม่ต้องไปไอ้นั่น คนอื่นเขา คนไหนเขาอนุโลมได้ ก็ปล่อยเขา เหมือนอย่างอาตมา อนุโลมให้ดูทีวีนี่ ให้ดูวิดีโอนี่ คนที่ไม่รู้นี่ โอ้โฮ ว่ากันใหญ่เลย คนที่เข้าใจก็เออ เข้าใจ ก็อนุโลมกันไปได้ เสร็จแล้ว เราควบคุมเหตุการณ์ได้ เราสามารถ ที่จะดึงเอาไว้ได้ เราสามารถที่จะทำให้เกิดคุณค่า ให้เป็นประโยชน์ได้ อย่างนี้เป็นต้น อนุโลมได้ แต่ไอ้สิ่งที่อนุโลมไม่ได้ เรายังไม่เอา ก็ยังไม่เอา แม้แต่อาตมายังไม่เอา ก็ยังไม่เอา อันไหน ที่พอเอาได้ พอประมาณอยู่ มันหลายอย่าง อาตมานี่สอนกว้างๆ ใหญ่ๆ ลึกๆ มันก็เลยพูดใหญ่ ๆ ลึกอย่างนี้แหละ นัยย่อย คุณไปเข้าใจเอาเอง ค่อยๆเข้าใจ แล้วค่อยๆจัดรูป จัดเรื่องขึ้นมา

เอาละ พูดไป พูดมาจะ ๖ โมงแล้ว แยกย้ายกันไปทำงานก่อน


ถอดโดย ยงยุทธ ใจคุณ
ตรวจทาน ๑. โดย เอมอร อโศกตระกูล
พิมพ์โดย อนงค์ศรี เบญจโศภิษฐ์
ตรวจทาน ๒. โดย สม.ปราณี ๑๒ ส.ค.๒๕๓๔

รับลูกให้เป็น / FILE:1698A-B.TAP