ความพร้อมเพรียงพิสดาร
โดย สมณะโพธิรักษ์
แสดงเมื่อวันที่ ๒ ก.ย.๒๕๒๙
ณ พุทธสถานสันติอโศก


"จงคอยดูตนอย่างตนมีดวงตา จนในดวงตานั้นไม่มีตัวตน"

เอ้า ! โอภาปราศรัยกันต่อ พวกเรานี่จะสังเกตกันได้โดยตัวเองก็ดี โดยหมู่ก็ดี อยู่อันหนึ่ง ที่จะสังเกตได้ว่า เราเจริญ หรือว่าเราไม่เจริญ คือ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสเอาไว้ว่า ไม่ฟังธรรมน่ะ คำว่าไม่ฟังธรรมนี่ มันกินความเยอะ การมาฟังธรรมนี่ เช่นว่า การทำวัตร นี่เป็นการฟังธรรม ที่เรารู้แน่ ๆ อยู่แล้ว ว่าเป็นการฟังธรรม การทำวัตรนี้ เป็นการมารวมพร้อม รวมหมู่ เป็นการประชุม ที่เป็นตัวพิสูจน์ ที่พิสูจน์เลย สามัญสำนึกของคน ถ้าเห็นว่า เออ ! พวกเราก็มีอย่างนี้นี่นะ วัน ๆ คืน ๆ เราก็เห็นหน้ากัน เรารวมหน้ากัน พร้อมพรั่ง สามัญสำนึกคนเราก็รู้กันดี พอเห็นหน้าตากัน ก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ที่มีปัญญาแล้ว ก็มาพร้อม ๆ พรั่ง ๆ กัน มีอะไรก็ปรึกษา หารือกัน มีอะไรก็บอกกล่าวกัน ให้รู้กันถ้วน ๆ ทั่ว ๆ ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน นี่เป็นความจริง และทุกอย่าง ก็จะอยู่กัน อย่างสมาน อย่างพรั่งพร้อม อย่างไม่แตก ไม่ระแหง ทุกอย่างก็เป็น One for all All for one ที่แท้จริง แต่ถ้าเผื่อว่า ใครไม่ค่อยลงทำวัตร หรือใครไม่ค่อยลงประชุม การประชุม จะเป็นประชุมย่อย ที่หมู่มารวมกันก็ตาม หรือว่ามาทำวัตร ร่วมกันรวมกันนี่ก็ตาม ไม่ทำ และจงดูเถิดว่า ผู้นั้นน่ะไม่เจริญ เป็นความเสื่อม ตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า เป็นความเสื่อมจริง ๆ อาตมากำลังระลึก อยู่ตอนนี้ว่า เอ๊ ! พวกเรานี่ คนที่ไม่ค่อยได้ลงประชุม อย่างหนึ่งคือ คนทำงานแล้วติดงาน มันติดด้วยจำเป็น หรือว่ามันติดเพราะว่า เราติดจริง ๆ ก็ตาม ถ้าจำเป็นก็ตาม เราติดก็ควรจะต้องแก้ เราเองเราติดงาน แล้วเรา ก็มาไม่ได้จริง ๆ ใจอยากมานะ แต่มันมาไม่ได้ มันก็ต้องเสื่อมแน่ เพราะว่ามันไม่ได้รู้ ไม่ได้ประสาน เขาเป็นยังไง อะไรนิด อะไรหน่อย อะไรเพิ่มเติม มันไม่ละเอียดลออหรอก ธรรมะที่เราฟัง ทุกวันนี่ ที่มันอยู่กันได้ทุกวันนี้ เพราะว่า เราไม่บกพร่อง ในการทำวัตร ในการเจรจาพาทีกัน ลงที่ประชุมมีอะไร มีเรื่องราวอะไร ก็บอกกล่าวทั่วถึงกัน มีอะไรเล็กอะไรน้อย ก็รีบบอก รีบกล่าว รีบแจ้งกัน ในที่ประชุม มันเร็ว แล้วมันก็แก้ไขกัน ระมัดระวังกันได้เร็ว แล้วมันก็ไม่เสื่อม ไม่เสีย ไม่แตก ไม่ระแหง ไม่บกพร่อง

ผู้ใดที่ไม่ค่อยได้ประชุมนี่ มันหล่นแน่ มันหล่น ๆ ร่วง ๆ มันไม่ค่อยได้ครบหรอก มันไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรกับเขา มันไม่ละเอียด มันไม่ลออ อะไรหรอก มันก็เหมือนกับ คนที่ถูกทอดทิ้ง มันก็ค่อย ๆ ปริ ค่อย ๆ หล่น เหมือนกับ สะเก็ด เหมือนกับของ ที่มันอยู่ข้างนอก มันก็ค่อย ๆ ถูกขจัด ๆ ถูกดันออก ๆ มันก็ค่อย ๆ หลุดออกไป ธรรมะมันก็มีลักษณะเหมือน ๆ กันกับ อย่างที่ท่านพุทธทาส ท่านว่า เหมือนเรื่องธรรมชาติ แต่ว่าธรรมชาติที่ท่านหมายนั่นน่ะ มันกว้างเกินไป มันกว้างเกินไป กับนักปฏิบัติธรรม นักปฏิบัติธรรมนั่นน่ะ จะต้องรู้จักธรรมชาติ แต่ต้องคั้นต้องเค้น ธรรมชาติออกมา ธรรมชาติมันมีทั้ง ธรรมชาติชั่ว และธรรมชาติดี เพราะฉะนั้น ที่เป็นสะเก็ด ๆ ออกไป ถูกขจัดออกไปนั่น มันเป็นธรรมชาติเหมือนกัน แต่มันเป็นธรรมชาติชั่ว มันธรรมชาติที่ไม่สมควรแล้ว มันจะถูกดัน ถูกสะกัดออกไป เหมือนธรรมชาติ แล้วเราเอง ถ้าเป็นเรา เราจะต้องการเป็นธรรมชาติ อย่างนั้นเหรอ เราประสงค์จะเป็นธรรมชาติ ที่ถูกขจัดออกไป อย่างนั้นเหรอ ก็คงไม่มีใครจะประสงค์ จะเป็นธรรมชาติ ที่ถูกสะกัดออกไป อย่างนั้นแน่ เพราะฉะนั้น เราก็จะต้องรู้จัก ธรรมชาติ เอ๊ ! ธรรมชาติอย่างนี้ เป็นลักษณะ อย่างที่มันเป็น นี่แหละ ทุกอย่างก็เป็นธรรมชาติ ทุกอย่างทั้งหมด เป็นธรรมชาติ แม้แต่สังขารใหม่ ๆ นี่ก็เป็นธรรมชาติ ถ้าว่าไปแล้ว เกิดใหม่ ธรรมะอะไร ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ทรงอยู่ได้ ตั้งอยู่ได้ ที่ตั้งอยู่ได้ แม้จะตั้งอยู่ไม่ถาวร มันก็ตั้งอยู่ ที่ตั้งอยู่นั่นแหละ คือธรรมชาติ ธรรมะ แปลว่าความทรงไว้ ถ้าแปลธรรมะว่าเป็นธรรมชาติ ก็ธรรมะตัวนั้นก็คือ ความทรงไว้ เพราะสิ่งที่ ทรงไว้ อยู่นั่นน่ะ มันยังไม่เสื่อมไป ยังไม่สูญไป ยังไม่นิพพาน ยังไม่สุญตา มันก็เป็นธรรมชาติ อยู่ทั้งนั้นแหละ

ถ้าสุญตาแล้วท่านจะไม่ทรงไว้ ถึงจะไม่มี ทีนี้ ธรรมชาติสุญตานั่นน่ะ มันไม่ใช่ธรรมชาติ มันทรงไว้ ซึ่งความมั่นคง เป็นธรรมะ อีกความหนึ่ง ไม่ใช่ธรรมชาตินะ สุญนะ ไม่เกิดนะ ไม่เกิดนะ ทรงไว้ ซึ่งความไม่เกิด ทรงไว้ซึ่งความสูญสนิทอยู่ ดับสนิทอยู่ ไม่มีอื่น ไม่มีเปลี่ยนแปลง กิเลสดับสนิท กิเลส สูญอยู่ กิเลสไม่เกิดอยู่ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ใช่ธรรมชาติ เพราะมันไม่มีเกิด มันไม่มีทรงไว้ มันมีตัวดับไป ตัวเดียว มันมีสุญตาตัวเดียว มันไม่มีตัวตนตัวเดียว มันเป็นอนัตตาตัวเดียว มันเป็นเอกังหิ สัจจัง มันเป็นสัจจะอันเดียว อันหนึ่งไม่มีสองแล้ว ไม่แปรปรวนแล้ว มันเที่ยงแท้ มันเป็นนิยตะ มันแน่นอนแล้ว มันไม่กลับกำเริบแล้ว นี่เป็นสุญตา นี่เป็นอนัตตา เป็นไม่มีตัวตนของกิเลส

เราจะพูดแต่แค่ว่าธรรมชาติ ธรรมชาติ ธรรมะคือธรรมชาตินั้น มันกว้างไป แล้วมันก็ไม่เจาะ เข้าไปหาธรรมะ ที่เป็นปรมัตถ์ อย่างสุดยอดอุดมการณ์ เพราะฉะนั้น ธรรมชาติที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ เราฝึก เราเรียน เรารู้ เรียนธรรมชาติชั่ว กับธรรมชาติดี ธรรมชาติดีซิเรายังให้ทรงไว้ มันจะเสื่อมเป็นธรรมดา แม้ธรรมชาติดี ก็จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา จะเสื่อมไป เพราะเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยทุกอย่างตั้งอยู่ ทรงอยู่ มีฤทธิ์ มีแรงอยู่ มันก็อยู่ได้ ถ้าเสริมเหตุปัจจัยอยู่ มันก็อยู่ต่อไป ถ้าไม่เสริมเหตุ เสริมปัจจัย มันก็จะเสื่อมไปเป็นธรรมดา แล้วจะหมุนเวียนอยู่ เป็นวัฏสงสาร นานับกัปกัลป์ จะเป็นอยู่อย่างนั้น แต่ที่เราหมายนั้น เราหมาย ปรมัตถธรรมนะ เราหมายถึง สภาพความเจริญ ในด้านทั้งธรรมชาติที่ดี ธรรมชาติที่เป็นกุศล ที่จะต้องทรงไว้ และธรรมชาติ ที่เป็นชั่ว เราจะดับ เราจะไม่ให้เกิด จะไม่ให้มีบทบาท จะไม่ให้เป็นตัวอะไรขึ้นมาเลย ก็เป็นบาปนั่นแหละ เป็นสัพพปาปัสสะ อกรณัง จะไม่ให้มันเกิดบทบาทขึ้นมา ไม่ทำบาปทั้งปวง นั่นเอง แล้วเราต้องรู้ชัดเจน ว่าสิ่งนี้ เป็นความไม่ดี

แม้แต่มีพฤติกรรมที่ไม่ดี เล็กน้อย เราก็ต้องรู้ ต้องพยายาม และต้องปรับปรุง อาตมาพูดถึงผู้ที่ทำงานนี่ ก็คิดอยู่ว่า งานข้างในของเรา นี่มันก็มากตามเหตุตามปัจจัย ข้างนอกก็จะต้องรับ เราก็จะต้องให้อาตมา คิดว่า เราจะพยายาม มีนโยบายใหม่มา งานที่เราทำได้ เท่าที่เราทำได้กะเวลา กะงานดีกว่า ไม่เช่นนั้น อาตมาออกสงสาร ผู้ที่ทำงานนี่ มันไม่ได้ฟังธรรม แล้วมันก็ไม่เจริญ ในส่วนนั้น มันเจริญจริง มันเจริญ ในกุศล แต่มันบกพร่องในส่วนที่ควรจะได้รับ เวลามาทำวัตร มันก็เมื่อยมาก มานั่งก็มานั่งหลับ นั่งหรี่ เพราะมันทำงานไปมาก ก็คิดดูว่าให้พวกเรานี่ ระมัดระวัง เรื่องเวลา แล้วกะเวลา พอเหมาะพอดีกัน ปรึกษาหารือตกลง มีแผนกอะไรต่ออะไรต่าง ๆ นานา ควรจะรวมกันพูด รวมกันประชุม จะประชุมเป็น ทางการ ไม่ทางการก็ตาม ควรจะทำงาน เป็นหมวดหมู่ ทำงานเผด็จการ ทำงานคนเดียวตัดสินนั้น มันเป็นมานะ มันเป็นเรื่องที่ไม่ดี อาตมาเอง อาตมาพยายามประชุม ร่วมด้วยเสมอ ถ้ามีเรี่ยวมีแรง เพราะการประชุมนั้น เป็นอปริหานิยธรรม เป็นความไม่เสื่อม อปริหานิยธรรม นี่แปลว่าความไม่เสื่อม เป็นอปริหานิยธรรม พร้อมพรั่งกันประชุม พร้อมพรั่งกันเลิก มีอะไรก็มีมติ ตัดสินกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน อย่าไปหลงตัวตัวหลงตนอยู่ว่า ฉันคิดคนเดียว อ่านคนเดียว ฉันเผด็จการ ฉันนี่แหละแน่ ทำอยู่คนเดียว นั่นมันเป็นมานะ เป็นอัตตา เชื่อคนอื่นบ้างซิ ให้คนอื่นรับผิดชอบบ้างซี ถ้าแม้ว่ามันจะผิด ก็ผิดด้วยกันบ้าง ถ้ามันเป็นความชอบ ก็แบ่งความชอบ ให้ด้วยกันบ้าง ทำไมจะต้องเอาความชอบคนเดียว ทำไมจะต้อง เก่งคนเดียว ทำไมจะต้องแน่คนเดียว ทำไมจะต้องวิเศษ อยู่คนเดียวเล่า แบ่งความวิเศษ ให้คนอื่นบ้างซี แบ่งความเก่ง ให้คนอื่นบ้างซี นั่นแหละ จะเป็นสิ่งเจริญ จะได้ถ่ายทอดกัน จะได้แบ่งดี

ชั่วไม่ต้องแบ่งให้ใครหรอก ฆ่ามันทิ้งทุกคน แต่ก็ต้องรับผิด ถ้ามันผิดก็ผิดด้วยกัน ไม่เป็นไร นี่ถึงจะเป็น One for all All for one ขณะนี้มีพวกเรานี่ ยังไม่เข้าใจเรื่อง One for all All for one ยังไม่เป็น เอกภาพ ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ไปจากหนึ่งหน่วยนี่เป็นหนึ่งเดียว จากหนึ่งหน่วย เป็นหนึ่งเดียวกันทั้งหมด ทั้งหมดนี่รวมมาเป็น หนึ่งเดียวกัน ความเป็นหนึ่ง ที่สมพร้อม สอดคล้องกัน เป็นหนึ่งเดียวกัน ความหมายกว้าง ๆ จะเป็นอย่างนั้น เราไปเข้าใจว่า เราจะไปตั้งวงมี One for all ตั้งวงมี All for one มันตั้งไม่ได้หรอก มันต้องทำ และตัวเราเองไปตั้งวงนั่นแหละ คือกำลังแตก กำลังไปเอาตัว เป็นโดดเดี่ยว ที่จริงต้อง ประสาน กันไปหมด ไม่ใช่มาตั้งคณะ ตั้งวง ตั้งพรรค ที่จริงเขาบอกว่า มันเป็นพรรคการเมืองนี่นะ ที่เป็นพรรค การเมืองน่ะ มันไม่จริงหรอก มันต้องทำอะไรให้ดี อย่างอโศก นี่ของเราว่า เป็นชาวอโศกนี่นะ มันเป็นโดย ธรรมมาเฉย ๆ ที่จริงทุกคน เป็นอโศก แต่เขาเป็นไม่ได้ เราก็เห็นว่า เขาเป็นไม่ได้ แต่พยายามที่จะให้เขาเป็น เมื่อเขาเป็นแล้ว ไม่ต้องมาเข้าพรรคเรา ก็มันก็เป็นแล้ว ให้มันเป็นเนื้อหา ให้มันเป็นเนื้อเดียว ให้มันเป็นมวล แจกจ่ายเจือจานกัน ประสานกัน ไม่ใช่ว่า เรามารอบรัด เอาตัวเราเข้ามา เอาแต่หมู่ แต่พวกของเรา แล้วยังว่า One for all ไม่ใช่ เราต้องพยายามปฏิบัติ ประพฤติ ประสานกันเข้าไปต่างหากนั่นคือ One for all All for one เพราะฉะนั้น มีอะไรที่คนไหน มีกิจมีการมีงานอะไร จะปรึกษาหารือกัน แต่ละหน่วยแต่ละแผนก ก็ปรึกษาหารือ แล้วแต่ละแผนก แต่ละหน่วยนั้น ต้องประสานกันคนอื่นไป นั่นถึงจะเกิด One for all All for one ถึงจะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ถึงจะเจือกันได้ ถึงจะประสานกันได้ ถึงจะเข้ากันได้ แล้วจะขยายออก

ไม่ใช่มาคั้นเอามาแต่ตัวเอง แล้วก็กลายเป็น ตัวกูของกู มีแต่พรรคของกู หมู่ของกู มันก็เลยยิ่งแตก ยิ่งระแหง ทุกคน ถ้าจะตั้งขึ้น อย่างนี้บ้าง ก็เลยแตกกันไปใหญ่ ไปไม่รอด เป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น จุดสำคัญ ที่สุด ที่จะต้องคำนึงถึง ให้มากเลยว่า ถ้าเราเองนี่ มันไม่ค่อย อยากจะเข้าหมู่แล้ว มันไม่อยาก จะประสานกับใครแล้ว นั่นจงรู้เลยว่า ตัวเรากำลังเกิด ตัวกูของกู กำลังเกิดตัว กิเลสมานะ อย่างน้อยที่สุด ก็เบื่อก็เซ็ง เข้ากับใครไม่ได้ อย่างน้อยที่สุด มันเบื่อมันเซ็ง มันแย่แล้วนะ มันเบื่อแล้ว ที่จริงมันเป็น อย่างมากนะ ที่จริงมันเป็นอย่างมาก มันเป็นอย่างมาก คือโรคมันแรง แต่ถ้าเผื่อว่า มันเข้าหมู่ พยายามเข้าอยู่ แล้วก็พยายาม ประสานไปให้ได้ พยายามเข้ากันได้ มันมีอะไร ก็ต้องพยายาม ตัวเองนี่แหละพยายาม ผู้ใดแก้ได้ ถ้าแม้ว่าผู้ใด กระทำได้ รู้ตัวว่า เอ๊ ! เราเข้าไม่ได้ เราต้องพยายามประสาน เจือออกไป ขยายออกไป นี่เป็นความเจริญ ถ้ามันอะไรไม่ได้ ก็ต้องมาฟังธรรม ทำวัตรเช้า เราก็ต้อง พยายามลง พยายามเข้ามารับมารู้ เข้ามาอะไรต่ออะไรไป ให้เป็นผู้เบิกบาน ตื่น ทำไม คนอื่นเขาทำได้ ตลอดเวลา เวลาไปประชุม ทำไมเขาร่วมไปประชุมกับเขาได้ อยู่ตลอดเวลา ไม่เหน็ดไม่เหนื่อยหรือ มันเหน็ดมันเหนื่อย เหมือนกันนะ ประชุมนะ มานั่ง บางทีเราต้องนั่งรับฟัง เราไปถนัดหมดทุกเรื่องที่ไหน อย่างอาตมานี่รับเละเลย ต้องประชุมหมด ทุกเรื่อง มันไม่หมดหรอก ที่จริงมันไม่ไหว ถ้าหากให้อาตมา ไปทำหมด มันทำไม่ไหวหรอก ก็ทำก็ขนาด นี้มันก็ไม่น้อยอยู่แล้ว แต่ก็ต้องรับ แต่ก็ต้องทำ รู้ ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน เขาอาศัยเรา เราเองเราพอจะช่วยเขาคิด ช่วยเขาทำ ลงมือทำไม่ได้จริง ๆ ก็ช่วย กันคิด ช่วยกันคิดด้วยปรารถนาดี แล้วก็ไม่ได้ไปยึด ความคิดของเรา เราช่วยกันคิด ช่วยกันออกความเห็น ช่วยกันตัดสิน มันอาศัยกันและกัน ปัญญาของใคร ๆ ก็มี ของใครบ้างก็ช่วยกัน ด้วยปรารถนาดี ด้วยความมุ่งหวังดี

ไม่ใช่ว่า เอาตัวกิเลสของเรา ว่าจะต้องเอาแต่ ความเห็นของเรา ถ้าคิดออกไปแล้ว ต้องเอาของเรา เราเข้ามา ประชุมด้วย แล้วเราคิดความคิดของเราออกไป เขาไม่เอาสักที โกรธ ไม่เข้าประชุมดีกว่า ฉันไม่มีค่า ก็ไม่เป็นไป ก็ถ้าเผื่อว่า ในหมู่เขาไม่เอาของเรานั้นนะ ในหมู่เขาก็จะต้อง มีเหตุผลของเขาว่า ทำไมเขา ไม่เอาของเรา ของเราไม่ดีพอนั้นก็หนึ่ง สอง เราอาจจะดีนะ แต่เราเองเรานี่ เป็นอะไรอันหนึ่ง ที่หมู่เขา ไม่ศรัทธา อาจจะดีนะ แต่หมู่เขาไม่ศรัทธา เป็นได้นะ อาจจะดี ยกตัวอย่างง่าย ๆ อาตมาว่าอาตมา เป็นคนมีความเห็นดีนะ มีความเข้าใจ หรือว่ามีปัญญา พอสมควรดี อาตมาก็เสนอความรู้ นี่เสนอนะ ทำออกไปในทางหนังสือ ทำออกไปในทางเทป ทำออกไปในทางอะไร เสนอ เสนอความรู้อันนี้ เข้าไปใน วงการ ศาสนาพุทธ เขาก็ฟังนะ เขาก็รับนะ วงการศาสนาพุทธ นี่เขาก็รับ เขาก็ฟัง แต่เขารับเขาฟัง เพื่ออะไรรู้ไหม เขารับเขาฟัง เพื่อตีทิ้ง เพราะเขารังเกียจอาตมา

แล้วทีนี้อาตมาถามหน่อยซิ ว่าในวงการศาสนาพุทธนี่ ถามพวกคุณนี่แหละ พวกคุณว่าอาตมา น่ารังเกียจเหรอ อาตมาน่ารังเกียจไหม ถามพวกคุณ พวกคุณก็ว่า อาตมาไม่น่ารังเกียจ แต่วงการสงฆ์ วงการศาสนาพุทธ ในเมืองไทย ขณะนี้ เขารังเกียจ อาตมานะ อาตมาไม่ได้น้อยใจนะ อาตมาไม่น้อยใจ อาตมาไม่ได้เสียใจ นี่ยกตัวอย่าง ให้ฟังว่า เขารังเกียจอาตมา เขาไม่รับ ความรู้อาตมา เขาไม่รับ ความเห็นอาตมา ในหมู่พุทธศาสนา ขณะนี้นี่ เห็นไหม ขนาดออกข่าว ออกเรื่อง ออกราวอะไรมา ทั้งกรมการศาสนาโน่นแน่ะ ทั้งอะไรอย่างนี้ วงเถรสมาคมใหญ่ โน่นแน่ะ ขจัดอาตมา ไม่ใช่รับเลย แล้วถามพวกคุณซิว่า อาตมา มีความรู้ มีความเห็น ทางด้านพุทธศาสนาไหม อาตมาว่าอาตมามีนะ มีความรู้ มีความเห็น ทางพุทธศาสนา ดีพอสมควรนะ เสนอเขาเข้าไป เขาไม่เอาหรอก เขารังเกียจอาตมาอยู่ ฉันเดียวกัน แม้ว่าเราเอง จะเป็นคนเก่ง อย่างอาตมานี่แหละ ในหมู่ใหญ่นี่ เวลาเราประชุม เราก็เก่งนะ เราก็ดีนะ เรามีความรู้ความเห็น ดีด้วยซ้ำไปนะ เราเสนอเข้าไป หมู่เขาไม่เอา อย่าน้อยใจ อย่าเสียใจ เราต้องตรวจตัวเองว่า ทำไมเขาไม่รับ อาตมาก็ตรวจตัวเองอยู่ว่า เขาไม่รับเพราะอะไร อาตมาก็ตรวจ ตัวเองดูอยู่ ว่าเขาไม่รับอาตมา เพราะอาตมาเอง ไม่ตามใจเขา ทีนี้เมื่อไม่ตามใจเขา แล้วเราจะมั่นใจไหมว่า เราจะไม่ตาม ถ้าเราจะตามใจเขา เขาเอาเราแน่ ทีนี้ ถ้าเราตามใจเขา เราเอาอย่างเขา ตามเขาไป มันเสีย หรือมันดี ถ้ามันดีก็เอา ถ้ามันเสีย เราก็ยังไม่เอาละ ถ้าเราจะอนุโลมได้ ถ้าเราแน่ใจว่า ถ้าอนุโลมไปแล้ว เราแก้กลับได้ เราก็ตาม ถ้าจะเข้าไปด้วยกัน

อย่างอาตมาออกมานี่ เพราะว่า ถ้าจะอนุโลมตามแล้ว อาตมาไม่มีทางแก้กลับได้ อาตมาทำตามเขาไปแล้ว อาตมาจะมา พัฒนาขึ้นมา อาตมาทำไม่ไหว อาตมาถึงแยกออกมา แยกออกมา แล้วก็มาทำอย่างนี้ แต่ทีนี้ ถ้าเราไม่แยก เราอยู่ด้วยกัน เราต้องรู้ว่า ถ้าอันใดอนุโลมไปแล้ว ต้องตามแก้กันไหว หรือว่าชะลอกันไป เพราะว่าเราเลือกหมู่แล้ว เพราะฉะนั้น หมู่ที่เรา เลือกแล้วว่าดี เราก็ต้องทำตามมติ มีมติหมู่อย่างไร ก็ต้องทำตามมติหมู่อย่างนั้น แม้อาตมาเอง อาตมาก็เคยพูด หลายที ว่าอาตมาเอง อาตมาเมื่อได้ประชุม มีมติหมู่เขาเอาอย่างนั้นแล้ว ทั้ง ๆ ที่อาตมาเห็นว่า ไม่ค่อยดีเท่าไรหรอก ที่ดีน่ะ อาตมาเห็นอยู่ว่าดี แล้วเสนอไปแล้ว หมู่เขาก็ไม่เอา หมู่ไม่เอา ก็เอาอย่างนั้น มันต้องอนุโลมอย่างนั้น มันจะได้ตามฐานะ มันจะได้ตามขั้น มันไม่ดีสุดขีดมากอะไร มันก็ได้แค่นั้น เพราะหมู่ทุกคน ถนัดแค่นั้น ได้แค่นั้น ก็ต้องเอา แค่นั้น เราจะไม่มีใจยึดว่า โอ ! ต้องเอาอย่างดีสุด จะต้องเอาขนาดโน้นก่อน ไม่ได้ เอาไม่ได้เราจะไปแบก ไปหามไปคานหมู่ ไม่ไหวหรอก แล้วเราก็อยู่ที่เราด้วย ใจของเรา จะต้องจริง ใจของเราวาง ก็วางสบาย ถ้าคุณไม่วาง คุณก็ทุกข์ ไม่วางคุณทุกข์จริง ๆ ใครก็ใครเถอะ เมื่อมติหมู่ออกมา อย่างนั้นแล้ว เราก็ เออ ! เข้าใจแล้วเราก็ว่าเอา เอาเราก็ต้องเอา ถ้าเราไม่เอา เราไปขวาง ๆ รี ๆ อยู่ เราก็ทุกข์ ๆ เราวางใจ แล้วก็ประสานสอดร้อยกันไปทำ เราก็ทำ

เมื่อเราแน่ใจแล้วว่า มติหมู่ทำอย่างนี้แล้ว ตัดสินอย่างนี้แล้ว เราก็ลงมือทำ เขาก็ทำ เราก็ทำ ทำ เมื่อทำแล้ว มันผิดนะ มันก็จะได้ผิดกันเสร็จ ๆ ไปเลย จะได้รีบผิดเร็ว ๆ จะได้แล้วไป จะได้รู้ว่ามันผิด จะได้แก้ไข แล้วจะไปต้องชะลอความผิด ไปนานทำไมเล่า ถ้ามันผิด ในโลกนี้ มันมีผิดกับถูก เท่านั้นนะ ไม่ต้องกลัว มันนักหรอก ถ้ามันผิดก็ต้องรับผิดด้วยกัน มันผิดด้วยกัน ทั้งหมู่นี่ เหมือนอย่าง พวกเรา ชาวอโศกนี่ ออกมาทำ เดี๋ยวนี้นี่ ถ้าสมมุติว่า มันผิดนะ พวกคุณก็ผิดอยู่ด้วยกันนะ ด้วยกันกับเรานะ ใช่ไหม ด้วยกันกับ อาตมานี่ นี่นั่ง ๆ อยู่นี่ ผิดด้วยกัน ทั้งนั้นแหละ มันจะได้รีบ ๆ ผิด เขาจะได้เสร็จสรรพไป สังคมมันจะได้ ไม่เสียเวลานาน มันจะได้รู้แล้วรู้รอดไปเลย ว่ามันผิด ก็จะได้หยุด จะได้พังสลายไปเลย จะได้เลิกกัน นี่แน่นอนแล้ว จำนนแล้วว่า มันผิดนี่

แล้วถ้ามันถูกเล่า มันจะเสียดายไหมเล่า ถ้ามันถูก แล้วเราก็ไม่รีบเข้าหมู่กลุ่ม ร่วมแรงร่วมกลุ่มกันพัฒนา ไปให้เร็วรวด คิดให้ดีนะ มันดีทั้งสองด้านเลย ในเรื่องของมติหมู่ ในเรื่องของที่เรา แน่ใจแล้วว่า กลุ่มนี้ สภานี้ หมู่นี้ดีแล้ว เราไว้ใจกัน บอกว่า จะต้องเป็นคน ที่เราเลือกแล้ว ต้องเป็นหมู่ที่เราเลือกแล้ว ว่าเป็น หมู่ที่ดี เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เราจะต้องรู้จัก การประชุม พระพุทธเจ้า เน้นเรื่องการประชุม ต้องหมั่นกันประชุม ต้องพรั่งพร้อมกันประชุม ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน ถ้าอย่างนี้แล้ว ไม่มีที่ไหนตีแตก แล้วอาตมาก็อยากจะบอก พวกเราว่า พวกเรานี่นะ แม้มันจะมีบกพร่องในบ้าง มันไม่ค่อยประชุม บางคนตก ๆ ร่วง ๆ แต่โดยจริงแล้ว เราประชุมกันดี จะจำใจ บางคนก็จำใจประชุมก็ตาม มันจริงนะ แม้คุณรู้ว่า เวลาคุณเข้าไปนั่งประชุมนี่ แม้จะจำใจอย่างไร มันก็ได้รับรู้ ได้รับคิด ดีไม่ดี บางที่นี่เราเข้าประชุมนี่ เรา แหม ! ไม่อยากเข้าประชุมเลย ไม่อยากจะไปคิด ช่วยอะไร แต่เสร็จแล้ว เรากลับไปเป็นตัวสำคัญ ได้ออกความคิด ได้จัดการ ได้ทำอะไรต่ออะไร เป็นประโยชน์ในที่ประชุม ครั้งนี้คราวนั้น ก็มีอยู่เสมอด้วยซ้ำไป บางคน ก็จะรู้ตัวว่า เออ ! จริงด้วยนะ บางครั้งบางคราวนี่ เราไม่ได้อยาก ประชุมเลยนะ แหม ! เบื่อ แต่เข้าไปแล้ว เรากลับได้เป็นตัวประโยชน์ เป็นตัวผู้ได้ออกความคิด ความเห็น พอไปถึงบทถึงบาท ได้แสดงสิ่งนั้น สิ่งนี้ช่วยเหลือเกื้อกูล ก็ได้เรื่องได้ราว ในการประชุมขึ้นมา บางครั้งบางคราว มีอย่างนั้นด้วยซ้ำ แล้วเรา ก็ได้ดิบได้ดี กันอยู่ทุกวันนี้นี่ ชาวเรานี่ ชาวอโศกเรานี่ มันไปตามธรรมนะ อาตมาว่ามันถูกธรรมะ ของพระพุทธเจ้า พวกเราถึงทำเป็น พวกเราถึงเป็นไปได้ พร้อมกัน มีประชุมกัน สม่ำเสมอ ประชุมย่อย ประชุมกลาง ประชุมใหญ่อะไร ก็ประชุมกันอย่างดี มีเวลา เวลา มีครั้งมีคราวอะไร พอเป็นพอไป แล้วมันก็ได้เฉลี่ยความคิดกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันอ่าน ข้อสำคัญระวัง One for all All for one ที่เป็นอันธพาล One for all All for one ที่มันผิดพลาด

ที่อาตมากำลังแนะอยู่เดี๋ยวนี้นะ นี่บางคน ไม่ค่อยลงเลยทำวัตร แล้วมันก็มีมานะน่ะ ทำวัตรไม่ลงนี่ มันมีมานะแล้ว นอกจาก จะเป็นงาน ที่จำเป็นจริง ๆ คนที่ติดงานจำเป็นจริง ๆ แต่คนที่ไม่ติดงาน ที่จำเป็นจริง ๆ แล้ว มันก็ควร ลงทำวัตร แม้คนติดงาน จำเป็นจริง ๆ ก็ควรจะปลีก ที่อาตมากำลัง จะพูดอยู่เดี๋ยวนี้ว่า อยากจะเน้นเรื่อง การทำงาน งานนี่เราสร้างสรรอยู่นี่ ทุกวันนี้ เราผลิตอะไร ก็แล้วแต่ เราผลิตให้นอก เราผลิตให้นอก เพราะฉะนั้น ขณะนี้ เราว่าเราจะเน้นเข้าหาใน นี่อาตมาอยากจะเริ่ม นโยบายนะ จะเริ่มนโยบาย พยายามให้ผ่อน พยายามให้จัดสรร ลงไปว่า งานที่เราทำ นี่แบ่งเวลา กำหนดเวลา ว่าเราจะทำเท่านี้ ถึงเท่านี้ เท่านี้ ๆ ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เราจะไม่มี overtime เราจะไม่มีเวลา นอกจากที่เราได้กำหนด ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่เช่นนั้น เราจะไม่ได้เคี่ยว เข้ามาหาใน เข้ามาทำวัตร เข้ามาประชุม ร่วมกัน เข้ามาสังสรรค์กัน ไม่อย่างนั้น มันจะลืมกันไปแล้ว โอ๊ ! คนหนึ่ง ก็ทำงาน อยู่อีกมุมหนึ่ง แล้วก็ยิ่งกว้างขึ้น ๆ ไม่ค่อยเห็นหน้ากัน ไม่ค่อยรู้ว่า คนนี้เป็นอย่างไรไปแล้วเดี๋ยวนี้ จริต นิสัย แก้ไขบ้าง หรือเปล่า หรือว่ายังคงเก่าอยู่ แต่ก่อนนี้นิสัย จริตแบบนี้ ฮื้อ ! เราเข้าไม่ได้ เราไม่ชอบละ แต่เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปแล้วนะ เปลี่ยนไป อย่างที่เราชอบ เอามาก ๆ เสียด้วยซ้ำไป เราก็ไม่รู้ เพราะไม่ได้ ประสานกันเลย ไม่ได้พบกันเลย เราก็มุดอยู่ในรูของเรา ทำแต่งาน ของเรา อีกคนหนึ่ง ก็ทำของเขาไป เราก็ทำของเราไป อย่างนี้เป็นต้น

คุณคิดสำนึกสามัญก็ได้ โดยสามัญสำนึกก็รู้ว่า ถ้าเผื่อว่า เราพรั่งพร้อมกันไปนี่นะ คำตรัสของ พระพุทธเจ้า ว่า พรั่งพร้อมกันประชุม พรั่งพร้อมกันเลิก มันยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่เล็ก ๆ นะ แล้วมันอบอุ่น แล้วมันมีน้ำหนัก ไม่เอาอะไร อาตมาเลยยกตัวอย่าง พวกเรานี่ ถึงเวลาทำวัตร เวลาประชุม ก็มานั่งรวมกันเป็นหมู่ คนเขา เดินเข้ามา พวกเรานี่ ก็พรั่งพร้อมกัน แล้วเป็นไปโดยธรรมด้วยนะ นั่งฟังธรรมเงียบเชียบ แม้บางคน จะง่วงบ้าง ก็แล้วแต่ ง่วงมันก็ไม่ค่อยพูดหรอก ถ้าขืนง่วงด้วยพูดด้วย ก็แย่แล้ว ประสาท มันละเมอแล้ว ง่วงด้วย พูดด้วยนี่มันละเมอ มันก็ประสาท มันแย่แล้ว ฟุ้งซ่านหนัก ต้องเอาเข้าโรงพยาบาล แม้ว่าจะนั่งง่วงบ้าง อะไรบ้าง ก็เงียบกันดี คนเขามาจากข้างนอก มาเห็นพวกเรา ลงทำวัตรก็ดี หรือ ประชุมกันก็ดี พรั่งพร้อมกัน ถึงแม้ว่าข้าศึกศัตรู เข้ามา มาถึงปั๊บ ตั้งใจจะมาบุกอโศก พอมาเห็นปั๊บ โอ้โฮ ! มันแน่นหนาโว้ย มันนั่งกันเงียบ พรั่งพร้อมกันเป็นรูป ที่เป็นรูปธรรม อันเป็นหนึ่งเดียว ฝ่อนะคน ฝ่อนะ ยิ่งมวลโตเท่าไร ก็ยิ่งฝ่อเท่านั้นแหละ ยิ่งพรืดเต็มไปหมดเลยนี่ ย่า ! น้ำหนักความนิ่ง ที่เป็นหนึ่งเดียวนี่นะ นิ่งเท่านั้นนะ ถ้ายิ่งไม่นิ่ง มีบทบาทที่พรั่งพร้อม สอดคล้องกันแล้วด้วย ไม่ใช่เป็นการเป็นหมู่มวล ที่เป็นหนึ่งเดียว ที่นิ่ง ๆ ด้วย ยิ่งเป็นบทบาทพรั่งพร้อม

เหมือนกับพวกหัดแถว พวกทหาร หรือตำรวจ ที่เขาเดินแถว ควงปืน ทำโน่นทำนี่ เตะท่าแกว่งมือ เดินเท้าพร้อมกัน มันเป็นน้ำหนักนะ เตะขาเดียว นี่มันก็เจ็บเท่านั้นนะ ถ้าเตะพร้อมกัน ทั้งกองร้อยนี่ละก็ เป้าเดียวกันนี่นะ ระวัง แหลกนะ นี่ยกตัวอย่างให้ฟัง นี่เตะพรึบนี่ เวลาเขาเดินแถว เตะขาปึ๊บ ๆ ๆ นี่ เตะขาเดียวนี่ ก็ดูท่าที ลักษณะเตะที่แรงแล้วใช่ไหม ถ้ามันทั้งกองร้อย เตะพร้อมกันพรึบนี่นะ ตายนะแก สามัญสำนึกอย่างนี้ มันก็รู้กันได้ง่าย ๆ คิดเผิน ๆ ง่าย ๆ สามัญสำนึกคิดเผิน ๆ ง่าย ๆ แล้วความจริง มันก็เป็นอย่างนั้น โดยปรมัตถ์ลึก ๆ โดยสัจธรรมลึก ๆ ก็เป็นอย่างนั้น ความพร้อมเพรียง มีน้ำหนัก ความพร้อมเพรียงเป็นพลัง ความพร้อมเพรียง ดูงามด้วย เป็นเรื่องที่โลกต้องการมากเลย ทุกวันนี้ โลกมันแตกแยก มันแตกระแหง มันไม่เป็นหนึ่งเดียว มันไม่เป็นสัจจะ มันไม่เป็นเอกภาพ มันไม่สอดคล้อง มันไม่สอดร้อย มันถึงทะเลาะ เบาะแว้งกัน มันไม่เป็นสามัคคี นี่มันถึงไปไม่รอด นี่เรากำลัง จะมาสร้าง สิ่งอย่างนี้ อย่างจำเป็น มันจำเป็นจริง ๆ และมันก็สำคัญ มันสำคัญ

ถ้าเผื่อว่าพวกเรานี่ทำไม่ได้ อาตมาก็มองไม่เห็นว่าที่ไหนจะทำได้ เพราะเราเอง เรามาใฝ่ความจริง เรามาใฝ่ความรู้ นี่กำลังพูดนี่ มันเป็นความรู้ แล้วเราก็จะพยายามปฏิบัติ ให้มันเป็นความจริง แน่นอน มันต้องมี ขาดหกตกหล่น มีส่วนที่บกพร่องอยู่ เพราะว่าคนเรา มันจะมีอินทรีย์พละเท่ากัน ไม่ได้หรอก มันก็ยังมีขาดหกตกหล่น ที่ยังทำไม่ได้ ที่ยังขวาง ๆ รีๆ ที่ยังไม่ค่อย ลงร่องลงรอย ยังเป็นไปไม่ได้ มันต้องมีแน่ ๆ

ก็ขอฝากเอาไว้ ใครจะทำงานแผนกไหน อะไรอย่างไรก็ตามแต่ ในเรื่องการจะสร้างสรรงานต่าง ๆนี่ ขยายเผื่อแผ่ออกไป ข้างนอก ก็ขอให้จำกัดเวลา แต่ละแผนก อาจจะต้องมีงานมากอยู่ มันยังทำไม่ได้ทีเดียว ก็ค่อย ๆ จัดลงไป จัดลงไป จัดลงไป ถึงปี ๓๐ แล้วเราจะมีเวลา พร้อมพรั่งเลย แผนกพิมพ์ก็เงียบเสียง แผนกธรรมปฏิกรรม ก็พร้อมหน้า แผนกธรรมภัตตาคารนะ แผนกธรรมภัตตาคาร ก็มีกำลัง มีเวลากัน พร้อมพรั่ง ถึงเวลาทำวัตร เห็นหน้ากันพร้อมหมดเลย ใครไม่พร้อม ก็เห็นเป็นเรื่องประหลาด เป็นยังไง ป่วยไปหรือ หรือมีอุปัทวเหตุอะไร มีเรื่องพิเศษอะไร มันจะอย่างนั้น กันไปทีเดียว

ลอง ๆ ดู มันได้ขึ้นมา และมันมีข้อบกพร่องอยู่แน่ๆ แต่ถ้าเนื้อมวลใหญ่ มันได้แล้ว มันก็ไปรอด ส่วนบกพร่อง สิ่งบกพร่องนะ ของใคร ของใคร ก็ต้องตรวจของตัวของตน ตัวตนทำได้เป็นหนึ่งเดียว เป็นความพร้อมพรั่ง พร้อมเพรียง มันก็เป็นความดี ต้องเน้นอันนี้ให้จัด ๆ เน้นอันนี้ให้ชัด ๆ อโศกนี่เล็ก ไม่ได้ใหญ่นะ อโศกนี่เล็ก ๆ แต่เล็ก ๆ นี่แหละ เล็กพริกขี้หนู เล็กแน่นนะ เล็กแน่น แน่นเล็ก ชัด ๆ เล็กจัด ๆ อยู่ เพราะฉะนั้น ถ้าเรายังรักษาความเป็นพลัง ที่เป็นเนื้อหาแก่นสารที่ชัด ๆ จัด ๆ แม้เล็ก ๆ นี่แหละ อยู่ได้ เพราะอันนี้นี่แหละ ที่เราเล็ก ก็เล็กจริง แต่เราอยู่ได้ เพราะเรามีเนื้อหาที่ชัด ๆ จัด ๆ เขาทำอะไรเราไม่ได้ เพราะมันแน่น เอาจริงเอาจัง เราดีมาได้ขนาดนี้แล้ว ควรดีต่อไป ให้ดียิ่งขึ้น นี่ต้องเคี่ยวกันขึ้น เก็บส่วน บกพร่องขึ้น เพราะฉะนั้น ให้จัดเวล่ำเวลาลงมา ไม่ต้องไปห่วงกังวล มันมากหรอก ข้างนอกนี่ เราจะปล่อย ไปหน่อย ที่เราทำอยู่นี่ เราจะปล่อยไปหน่อย บอกแล้วว่า ข้างนอกให้เขาเข้ามา ถ้าเขาไม่ได้ เขาก็ควรเข้ามา ไม่เข้ามา ก็ไม่เป็นไร เราเอาพวกเรานี่ ให้พัฒนาสูงขึ้น เราจะมาย่ำเท้า อยู่แค่นี้ ไม่เอาละ

อาตมาดู ๆ แล้ว บางคนรู้สึกว่ามันเซ็ง ๆ บางคนมันเฉื่อย ๆ บางคนนี่ไม่รู้ตัว ว่าตัวเองต่ำลงเสื่อมลง เพราะเรามีความเสื่อม ข้อที่ไม่ฟังธรรม หรือข้อที่ไม่ประชุม ฟังให้ดีนะว่า ข้อไม่ร่วมกันฟังธรรม ไม่ฟังธรรมนี่ เข้ามาวัดก็คือ มาฟังธรรมร่วมกับหมู่ในวัด ถ้าจะฟังธรรมอยู่ที่บ้าน จะต้องมาวัดทำไม่ล่ะ ฟังธรรมเดี่ยว ๆ ก็มาทำวัตรนั่นเอง มาฟังธรรมนี่ข้อ ความเสื่อม ๑. ไม่มาวัด ๒. ไม่ฟังธรรม ๓. ไม่เพิ่มอธิศีล อะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราก็ต้องรู้ชัด ๆ ให้ได้ว่า ความหมายเหล่านี้ อธิบายให้เห็นชัดเจนแล้ว

เมื่อสอดคล้องกับ อปริหานิยธรรมข้ออื่น บอกว่า เราพร้อมพรั่งกันประชุม พร้อมพรั่งกันเลิก มันก็เป็น เนื้อความ เดียวกัน มันเป็นความหมายเดียวกัน ขยายกัน ส่งเสริมกัน เพราะฉะนั้น เราทำให้มันได้ มันบกพร่องของเรา เราทำให้มันได้ ทำได้จนเห็น ด้วยญาณปัญญาว่า มันเกิดคุณค่าประโยชน์นะ มันเกิดคุณค่าประโยชน์จริง ๆ แม้อย่างน้อย เราเป็นรูปแบบ ใจเราไม่อยากมา แต่รูปแบบ มันเป็นได้ ดีนะ มันก็เป็นฤทธิ์แล้ว มันก็เป็นประโยชน์ต่อใคร ๆ อื่น ๆ แล้ว ตัวเองถ้าเผื่อว่า ยิ่งพยายาม แม้มันฝืนใจมา ก็พยายามมาละ มาวางซิ ก็มันเลวอะไรเล่า พฤติกรรมนี้ กิจนี้ กิจวัตรนี้ หรือวัตรนี้นะ วัตรนี้ บทประพฤตินี้ การกระทำอย่างนี้ นี่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร มันดี เมื่อมันดี ก็จะไปติดยึดอยู่ทำไมในใจเรา เราจะชอบ หรือไม่ชอบ ก็กิเลสของเรา มันควรจะยินดี เป็นฉันทะ มันควรจะพอใจ มันควรจะชอบใจ ใช่ไหม มันควรเป็น ฉันทะ มันควรเป็นอิทธิบาท เพราะอิทธิบาท เป็นตัวบทบาทที่มีฤทธิ์ บทบาทที่เจริญ อิทธิบาท ยินดีในกรรมนี้ ยินดีในกิริยานี้ ยินในบทบาทนี้ ยินดีในความประพฤตินี้ เราก็ควรจะยินดี เหตุผลก็ว่าไป ปัญญาเรามี เราก็พิจารณาไตร่ตรองเอา เมื่อมันดีแล้ว มันก็จะต้องเสริมหนุนซิ มันดีเราก็ต้อง ให้พรั่งพร้อม มันดีเราก็ต้องพยายาม ใส่ใจเอา มีจิตตะ มีวิริยะ มีจิตตะ มีความเพียร เอาใจใส่พิจารณาไป ยิ่งพิจารณา ก็ยิ่งเห็นว่า มันจริง จำนน เมื่อจำนน จนไม่มิวิจิกิจฉาอะไรแล้ว มันยังมีตัวกิเลส กิเลสอะไรของเรา เราก็เพียรเอา ใส่ใจเอา บำเพ็ญเอา จนเราไม่มีอะไรต้าน จนกิเลสมันตาย กิเลสมันหลุด มันก็สบาย มันก็หมั่นเป็นได้ มันก็ขยันเป็นได้ ขยันโดยไม่ต้องขยัน เป็นไปได้โดยไม่ต้อง เร่งเครื่องตัวเอง ไม่ต้องฝืน ไม่ต้องขับ ไม่ต้องดันตัวเอง มันก็เป็นไปคล่อง ๆ ง่าย ๆ มันจะเป็นได้อย่างนั้น

ก็ขอกำชับ ผู้ที่มีการงานอยู่เดี๋ยวนี้ ดูแลการงานอะไรอยู่ก็ตาม ก็พยายามลองจัดสรรดูซิ จัดเวลาลงไปว่า เราจะทำ ประมาณนั้น ๆ ถ้าเผื่อถึงเวลานั้น ๆ นี้ ๆ แล้ว โดยเฉพาะฟังธรรมบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง ควรจะได้เป็นการประสาน การสมานอะไรต่ออะไร ขึ้นมาให้ได้บ้าง เพราะว่างานนี้ เป็นกิจวัตร หรือว่า เป็นสิ่งที่ควรกระทำกัน ประชุมกัน ทำกันอะไรนี่ มันเป็นสิ่งที่ ควรจะได้เป็นไป อาตมาเห็นว่า อันนี้จะทำให้ พวกเราดีขึ้น ปรับปรุงขึ้น เพราะรู้สึกว่า มันไปได้อย่างหนึ่ง แต่มันทำให้ผู้นั้น ๆ นี่ไม่ได้ขาด ผู้นั้นขาดไป เมื่อขาดไปแล้ว มันก็อีกหน่อยต่อไป มันจะเกิดจริง ๆ มันจะเกิด ปลีกเดี่ยว มันจะเกิดว้าเหว่ มันเกิดไป ไม่อบอุ่น เกิดขาด เกิดไม่รู้ นั่นเอง อย่างที่พูดแต่ต้น มันไม่รู้ส่วนละเอียด ส่วนนั้น ส่วนนี้ ก็ประสาน โน่นนี่ อะไรต่ออะไรนี่ มันบกพร่องแล้ว เพราะว่า เราไม่ได้ร่วมประชุม ไม่ได้ร่วมสังสรรค์ ไม่ร่วมเป็นไป

งานการหลายอย่างหลายอัน บางคนนี่แบกไว้เยอะ มันก็จริงล่ะ เพราะว่าเราเอง คนไม่ค่อยพอ แต่ก็อย่า ไปกังวล มากนัก แม้มันไม่ได้ทำ ขนาดนี้ทุกวันนี้ เราก็ทำงาน ไม่ใช่น้อยอยู่แล้ว มันจะไม่ทันการบ้าง มันจะช้า ไปบ้าง อะไรไปบ้างก็เอา ไม่มีปัญหา อะไรหรอก ถ้าเราไม่เร่งเครื่องพวกนี้ มันไม่สอดร้อย มันไม่เนียนใน อย่านึกว่า มันจะไม่มีงาน มันไม่มีบทบาท ที่พลังสร้างสรร แข็งแรงนะ การที่จะมา อย่างที่อาตมาว่านี่ มาพรั่งพร้อมกันประชุม ฟังธรรมกันไป มันยิ่งสร้าง ความแข็งแรง มันยิ่งสร้าง ประสิทธิภาพ และมันจะไปมีบทบาททำงาน มีกำลังแข็งแรง บางคนนี้ มันซ้อนนะ อาตมาก็พยายามอธิบาย ให้พวกคุณ เข้าใจอยู่ กำลังวังชาและกำลังใจ ที่มันเฉื่อย มันไม่ค่อยจะได้ ประสานกับหมู่กับพวก หมู่พวก ก็ไม่สนิทกัน ไม่สนิท เราก็ปลีกเดียว เราก็ทำ อยู่คนเดียว แต่ถ้าเรามาประสาน กับหมู่นี่ หมู่พวกจะเข้ากันได้ หมู่จะสนิทสนม คล้าย ๆ จะมาดึงมาเอาหมู่ไปด้วย จะมาดึงเอาพวก มีผู้คนจะติดตามกันไปอีก ประเดี๋ยว ก็เกิดคนนั้นคนนี้ ช่วยเหลือเฟือฟาย บางคนที่ไม่มีงาน ก็จะไปเป็นงาน จะได้ไปประพฤติ ปฏิบัติ ไปฝึกหัดอะไร เพิ่มเติมขึ้นอีกน่ะ

เราจะเห็นได้จริง ๆ เลยว่า คนที่ทำงาน ทำงานไปมาก ๆ ๆ เข้าเพื่อนน้อยลง นั่นผิดล่ะ ไม่เจริญแล้ว ถ้าคนเจริญแล้ว ทำงาน ๆ มาก ๆ ๆ เข้า เพื่อนมากขึ้น ผู้มาช่วยเรามากขึ้น นี่คือความเจริญ เป็นความรู้ ธรรมดา ไม่ใช่ความรู้ลึกซึ้งอะไร คนที่ทำงาน ทำไป ๆ แล้วตัวเอง ก็ทำได้มาก แล้วก็เพื่อนก็มาสนใจ มีเพื่อนมาช่วยเหลือ เฟือฟายมากขึ้น ๆ เราก็เกื้อกูลกันขึ้น วงก็ใหญ่ขึ้น เจริญขึ้น ไม่ใช่ยิ่งทำไป ยิ่งเหลือ ตัวเราคนเดียว แม้เราจะเก่งให้ตายยังไง เหลือเราคนเดียว เราเก่ง ๆ ขึ้นคนเดียวน่ะ เพื่อนไม่มีใครมา ไม่มีใครมาช่วย ไม่มีใครมาแล นั่นมันตกต่ำแล้ว ไปไม่รอดแล้ว ตายแน่ ๆ ไม่เจริญแน่ ๆ แม้ความหมายว่า เราเก่งขึ้น ชำนาญขึ้น คนเดียวก็ตาม ก็ไม่เจริญ ไม่เจริญหรอก เก่งคนเดียว อยู่คนเดียวไม่เจริญ เราเก่งไป อย่างไร ๆ เราก็เดินทาง ไปสู่ตาย แล้วเก่งคนเดียว แล้วตายคนเดียว ก็สูญแล้ว ไม่มีอะไรสืบทอด ไม่มีอะไร ต่อเนื่อง ไม่มีอะไรพัฒนาแล้ว เพราะคนมันต้องตาย แล้วไม่มีใครสนใจเราเลย ไม่มีใครมาต่อทอด ไม่มีใคร มาสืบ ไม่มีใครมาเอาเลย ก็สูญเท่านั้นเองน่ะ ป่วยการไปพูด ทำไมมี ว่าจะต้องเอาลาภ เอายศ เอาอะไร มาโยงมาเกี่ยว ถ้าเขาจะถ่ายทอดให้คนอื่น เพราะเขาต้องได้ค่าจ้าง สอนคนอื่น ก็จะต้องได้ค่าจ้าง ไม่เช่นนั้น เราก็ต้องทำของเรา คนอื่นเป็นมั่ง เดี๋ยวคนอื่น จะมาแย่งลาภ แย่งยศ เราต้องผลิตของเรา เป็นคนเดียว นั่นมันเรื่องโลกีย์ เรื่องเลว ๆ ร้าย ๆ และมันเลวร้ายอยู่ทุกวันนี้ ก็เพราะอย่างนั้น แต่เมื่อเราเป็น นักปฏิบัติธรรมแล้ว เราต้องยินดี และอาตมาเชื่อว่า พวกเราก็ต้อง ยินดีว่า ใครจะมาแบ่งเบา ใครจะมาหัด มาฝึก ใครจะมาทำอันนี้ ช่วยเหลือเฟือฟาย ก็ต้องยินดีแน่นอน

ทีนี้เมื่อเขามาช่วยเหลือเราแล้ว เรามีมานะ เราดี เราเป็น เราเก่ง แต่เรามีมานะ คนมาทำอะไรกะเรา ก็มาทำ ก็ไม่ติด คนที่จะติดได้ ก็เป็นคนที่ แหม ! ทนได้จริง ๆ เขาถึงติดเราอยู่ ๑. เขาชอบงานมาก ก็ยอมเอา ทนโขก ทนสับเอา พอได้งานแล้ว ถ้าคนที่เขาจำใจน่ะ ทนโขก ทนสับอยู่ เขารักงานมากน่ะ อุ๊ย ! เขารักวิชานี้ เหลือเกิน เขาอยากได้วิชานี้ เขาก็ทนโขกทนสับ จนเขาได้วิชานี้แล้ว พอได้แล้วนะ เขาไม่เอาหรอก เพราะเขาไม่ชอบนิสัย เขาชอบงาน เขาไม่ชอบจิตวิญญาณของผู้นั้น เขาก็เอาได้งานแล้ว เขาก็เอางานไป หนีเลย เพราะฉะนั้น ครูแบบนั้น ก็ไม่ได้วิญญาณของลูกศิษย์ ครูแบบนั้น ไม่ได้วิญญาณของลูกศิษย์ จริงเขาได้งานแล้ว เขาก็ไปเลย แต่ครูที่ดี จะต้องได้ทั้งวิญญาณของลูกศิษย์ และลูกศิษย์ก็เป็นงาน ตัวเขาก็เป็นงาน และเราก็ได้วิญญาณ ของลูกศิษย์ด้วย ครูที่ดีต้องเป็นอย่างนั้น

ผู้ใดมีมานะ และก็ไม่รู้กิริยา ไม่รู้นิสัยของตน ไม่มีความฉลาด ไม่มีสัปปุริสธรรม เป็นครูไม่เก่งหรอก ครูที่ไม่มีสัปปุริสธรรม ประมาณไม่เป็น สิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่จะประสาน ที่จะเอื้อเฟื้อเกื้อลูกศิษย์ ให้ลูกศิษย์ ได้วิญญาณของลูกศิษย์ ลูกศิษย์ก็รับได้ด้วย เก่งด้วย ช่วยเหลือเกิน ถ้าแบบนี้ลูกศิษย์ก็เยอะ อาจารย์ก็เบา เบาแน่ ลูกศิษย์ช่วยทำแน่นอน ลูกศิษย์ช่วยสร้างแน่นอน อาจารย์ก็เบาขึ้น ก็เป็นธรรมดา เราก็จะได้ทำงาน อื่นอีก แล้วยิ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่เก่ง ๆ มีการงานเยอะไป ครูบาอาจารย์ หรือผู้ที่ทำงานเก่ง ๆ ผู้มีหน้าที่ จะได้รับงาน มันจะมีบทบาทของงาน เสริมหนุนขึ้นมา ต้องบริหาร ต้องเป็นที่ปรึกษา ต้อลงมือช่วยทำ บางอย่างบางสิ่ง ที่จำเป็น เหลือบ่ากว่าแรง เหลือมือมา เราจำเป็นจะต้องช่วยแล้ว ถึงขั้นเราต้องลงมือแล้ว เราก็จะได้ทำ ขนาดนั้น มันก็จะเยอะ ถ้างานมันวงกว้าง มันมีอะไรมาก ขนาดไปคอย ไปเสริมเติม สิ่งที่มัน เหนือบ่ากว่าแรงของเขาเท่านี้ มันก็ โอย ! มากมายแล้ว ถ้ามีผีมือ ก็เป็นเช่นนั้น หรือยิ่งมีความรู้ ก็ถ่ายทอด ความรู้ เป็นผู้ให้ความรู้ เป็นผู้รับปรึกษา ข้อที่มันติดมันขัด เรื่องราวที่มัน เป็นไปไม่ได้ สร้างสรรไม่ได้ ตกลงกันไม่ได้ ตัดสินกันไม่ได้อะไร ก็จะได้ช่วยแบ่ง ช่วยเบาออกไป ก็จะเป็นอย่างนั้น ถ่ายทอด อยู่เสมอ ๆ

เมื่อตัดปัญหาเรื่องโลกธรรมออกไปแล้ว มันก็มีแต่การเจริญอย่างนี้ จะเจริญเพราะว่า ไม่ได้ทางวิชา เพราะเรา เข้าใจ ด้วยสัจจะ เข้าใจด้วยความจริง ไปหวงทำไมวิชา ถ่ายทอดไว้ได ้ก็จะได้ช่วยเรา ก็จะได้ เบาแรง ยังหวงอยู่ ยังอะไรอยู่ แล้ว คนที่ได้รับการสอน ได้รับการบอกสอน คนนั้นบอกหน่อย คนนี้บอกหน่อย ถือดี ข้าได้ดีสักหน่อยหนึ่ง ผัดเป็นอย่างหนึ่ง พอคนอื่น จะมาแนะนำให้ ผัดอย่างโน้น อย่างนี้ เฮ้ย ! ฉันทำดีแล้วนี่นะ ผัดอย่างนี้เสริมเข้าไป ผิด ผิดสูตร ผิดอย่าง ฟังเขาบ้าง เขาแนะนำ อย่างโน้นอย่างนี้ มันอาจจะดีขึ้นไป ที่จริงมันไม่ได้ตายตัวอะไรหรอก มันก็สมมุติ กันทั้งนั้นแหละ เสร็จแล้ว ก็ถือดี ถือตัว ไม่รู้ตัวเอง แล้วเป็นลูกศิษย์ คนอื่นสอนไม่ได้ แล้วมันจะได้ยังไง เราก็ไม่ได้เก่งกว่าเขาด้วยซ้ำ หรือแม้เรา เก่งแล้วก็ตาม ให้ผู้ไม่เก่ง เขาแนะได้บ้าง ผู้ไม่เก่ง เขาออกความเห็นได้บ้าง ถ้าเราจะเอาวิญญาณ เอาน้าใจกันแล้วละก็ เออ ! อย่างนี้นี่นะ เอาตามอย่างผู้น้อย เขาพูดหน่อย เอาตามอย่าง ผู้น้อยเขาพูด แม้มันจะไม่ดีทีเดียวหรอก แต่มันไม่เสีย เออ ! เอ้า ๆ เอาละ อนุโลมตามอย่างผู้น้อยเขาบ้าง มันได้น้ำใจ มาเท่าไร ล่ะ ถ้าผู้ใหญ่ฉลาด ๆ จะเป็นอย่างนั้นนะ ให้เขามีภาคภูมิเขาเองบ้างว่า เออ ! เราผู้น้อย เราก็มีความคิดนะ เราก็ช่วยเหลือ เฟือฟาย ผู้ใหญ่เขาก็รับเรานะ แบบนี้มันประสาน แบบนี้มันก็ไปด้วยกันได้ มันถ้อยทีถ้อยมีประโยชน์ต่อกัน ถ้อยทีถ้อย เออ ! เราก็มีคุณค่า เราก็มีประโยชน์

ผู้น้อยก็มีประโยชน์ต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่น่ะมีประโยชน์ต่อผู้น้อยน่ะมันแน่ ๆ อยู่แล้วละ แล้วไม่ใช่ว่า ผู้ใหญ่ จะมีประโยชน์ต่อผู้น้อย จนหลงตัว มีมานะอัตตา ฉันต้องถูก ต้องตามฉันทั้งหมด แล้วก็แรง ๆ เบ่ง ๆ ข่ม ๆ ถ้าผิดพลาด ก็กระแทกกระทั้น อะไรเกินไปนัก มันก็แตก มันก็ไม่ได้ คนทนได้ก็ทนได้ คนทนไม่ได ้มันจะไป ทนอะไรเล่า คนเรามันมีกิเลสมา ทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่มันเป็นพระอรหันต์ มาให้เราสอนเมื่อไหร่เล่า ถ้าเป็น พระอรหันต์มาให้เราสอน ก็สบายซิ โขกเข้าไปเถอะ พระอรหันต์ ก็บาปของเรานั่นแหละ โขกเข้าไปเลย ถ้าพระอรหันต์มาให้เราสอน แต่นี่เขามาไม่ใช่ พระอรหันต์ ด้วยนะ ดีไม่ดี เป็นเสือร้าย มาด้วยซ้ำ มาให้เราสอน เราจะไปโขกได้ง่าย ๆ ยังไง เราต้องดูตัวเรา ปรับนิสัยของเรา ปรับกิริยาของเรา ปรับกายกรรม ปรับวาจากรรม หรือปรับ วจีกรรมของเรา เออ ! คนนี้มา ต้องเล่นวจีกรรมอย่างนี้ คนนี้มาต้องเล่นกายกรรม อย่างนี้ เราก็เจริญขึ้น เราก็เป็น สัตบุรุษยิ่งขึ้น เป็นผู้ที่รู้ประมาณ เป็นผู้ที่รู้กรรมกิริยา กายอย่างนี้สุภาพ กายอย่างนี้สัมมา วาจาอย่างนี้สุภาพ วาจาอย่างนี้สัมมา มันก็เป็น สมรรถภาพอันสูง

การปรับกาย ปรับวาจานี่แหละ คือสมรรถภาพ ปรับกาย ปรับวาจานี่ ใจเป็นตัวรู้ ใจเป็นตัวกำลัง ใจเป็นตัวรู้ แล้วทำให้ได้ มีสติ มีสัมโพชฌงค์ มีสติรู้ แล้วก็เป็นกำลังที่จะทำ มันรู้แล้ว มันก็ทำให้ได้ ทำกายอย่างนี้ให้ได้ ทำวาจาอย่างนี้ให้ได้ ลดก็ตาม เพิ่มก็ตาม โอ้ ! วาจาอย่างนี้ มันแรงไป ลด โอ้ ! อันนี้มันเบาไป เพิ่ม กายกรรม อย่างนี้ มันยังไม่ดี มันเบาไป เพิ่ม กายกรรมอย่างนี้ มันแรงไป ลด นี่ตัวภาษาก็ง่าย ๆ แต่พฤติกรรมต่าง ๆ กายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มันมากกว่านี้ เราก็ต้องปฏิบัติ ประพฤติอย่างนั้น เราจะยังไว้ทรงซึ่งธรรมะ ธรรมะที่ทรงไว้ ก็เป็นธรรมชาติดี ธรรมชาติที่ไม่ดี เราลด เราดับ เราไม่ทำแล้วชั่วใด ๆ สิ่งไม่ดีใด ๆ เราต้องดับ ต้องหยุด หยุดจริง ๆ ให้ได้ เพราะฉะนั้น กุศลใดก็ถึงพร้อม เราจะทรงไว้ พระอริยเจ้า พระอรหันต์เจ้า ก็ทรงไว้ ซึ่งกรรมกิริยา ความประพฤติ บทบาทที่รังสรรค์ที่สร้างสรร ที่เป็น พหุชนหิตายะ เป็นประโยชน์ต่อมหาชาน เป็นความสุข ของผู้เป็น มหาชน อนุเคราะห์โลกเขาไว้อย่างนั้น นี่เป็นความประเสริฐ ใจเราก็สบาย เราล้างกิเลสด้วย ใจเราหมดกิเลสเราก็สบายทั้งนั้นแหละ แต่ไม่ได้ หมายความว่า หมดกิเลสแล้ว ไม่ต้องทำงานอะไร ยิ่งทำงานได้เก่ง เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันยิ่งทำงานได้ดี เพราะมันไม่เห็นแก่ตัว มันเมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร

เมื่อไหร่คุณซาบซึ้งว่า เราไม่พัก เราไม่เพียร แล้วก็ซาบซึ้งด้วยปัญญาด้วยนะ เข้าใจอย่างแท้จริงด้วย เมื่อนั้นแหละ คุณเอ๋ย สบาย แล้วเราก็สร้างสรรไป คนเราก็รู้จักพัก รู้จักเพียร ไม่ทรมานตน มันเพียรเกินไป จนกระทั่ง ไม่มีเวลาพัก ไม่มีเวลา ที่จะดูแลตนเอง หรือให้ตัวเอง ได้มีความหมุนเวียน การพักการเพียร อันสมดุล เป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง สมบูรณ์อยู่ มันก็แย่กัน แต่มันมาก พวกเรานี่ มันพวกหัวหอก พวกบุกเบิก มันมาก งานการโน่นนี่ อะไรต่ออะไร ตัวมันก็ไม่ค่อยมาก ขณะนี้เราก็ขยับขยาย อะไรออกไป ซึ่งต้องทำด้วย ต้องรับผิดชอบเพิ่มขึ้น ต้องเป็นเรา พวกเรานี่รับผิดชอบ และต้องเป็นพวกเรานี่ มันจุก มันมาจุก มันมาดุนมาดัน และเรียกว่า มันจุกตูดนะ มันไฟจุกตูด ให้เราทำแล้ว

อาตมาได้พยายามขยายความถึง วรรณะ ๔ แต่วรรณะ ๙ นั้น เป็นรากฐาน วรรณะ ๖ คือความไม่ดี แล้วเราไม่ได้วรรณะ ๖ เลย วรรณะ ๖ คือ

๑. ทุพภระ เลี้ยงยาก ๒. ทุพโปสะ บำรุงยาก
๓. มหิจฺฉะ มักมาก ๔. อสันตุฏฐะ ไม่สันโดษ
๕. สังคณิกะ ความคลุกคลี เขาแปลว่า ความคลุกคลีเกี่ยวข้อง สังคณิกะ

ถ้าสังคณิกะ หรือสังสัคคะ ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกิเลส อาตมาก็พยายามแปล ให้มันเข้าเป้า แล้วเขาก็บอกว่า ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง ก็ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกับคนชั่ว ไม่คลุกคลีเกี่ยวข้องกับบาป ไม่คลุกคลีกับคนพาล ซึ่งมันสอดคล้อง กับคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ถูกละ เราไม่คลุกคลี ไม่เอาด้วยกับคนพาล จนกว่าเราจะมี กำลังวังชา เราจะไปช่วยคนพาลได้ หรือคนชั่วได้ เราก็ค่อยเป็นไป เรายังไม่มีฤทธิ์ ไม่มีแรง เราไม่คลุกคลี เพราะคลุกคลีแล้ว เขาดูดเรา เพราะฉะนั้น เราก็จะอยู่มิตรดี สหายดีที่เป็นบัณฑิต ที่เป็นครู เป็นอาจารย์ ที่ช่วยเหลือเฟือฟายกันได้ เพราะฉะนั้น ข้อที่ ๕ สังคณิกะ หรือ สังสัคคะ

ข้อ ๖ โกสัชชะ หรือกุสีตะ ความขี้เกียจ และนี่ ๖ วรรณะ ๖ วรรณะ ๖ อย่าง เอ้า ! ทวนอีกทีหนึ่ง ทุพภระ ทุพโปสะ มหิจฉะ มักมาก อสันตุฏฐะ สังคณิกะหรือสังสัคคะ โกสัชชะ หรือกุสีตะ ความขี้เกียจ

สังคณิกะ หรือสังสัคคะ นั่นคือความคลุกคลี เกี่ยวข้องกับกิเลส หรือ หลงสวรรค์ หรือการเป็นกิเลสเป็นก้อน จะแปลง่าย ๆ สังคณิกะนี่ ประกอบกิเลสให้เป็นคณะกิเลส เป็นก้อน ตกผลึกแข็ง ตีไม่แตก นี่เป็นนามธรรม อย่างนั้นนะ แต่เขาแปลกันง่าย ๆ แปลกันพื้น ๆ น่ะ แปลว่าไม่คลุกคลีเกี่ยวข้อง แปลเอาอรรถ แปลว่า ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะได้ยังไง มันก็ค้าน อาตมาเคย ค้านบอก มันก็ค้านแย้ง กับมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี น่ะซี มันก็ค้านแย้งคำสอน ของพระพุทธเจ้า ค้านแย้งกันได้ยังไง ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ ก็เราเลือกหมู่คณะแล้ว เราก็ต้องอยู่ กับหมู่คณะ ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะอื่น ก็โอเค แบบนั้นไม่ได้หรอก แม้จะให้มันเป็นการขยาย จะไม่ให้มีการเจริญ แม้แต่คณะอื่น เราก็ต้องพยายาม ประสาน พยายามที่จะเผื่อแผ่ แล้วไม่ไปคลุกคลี ไม่ไปพยายาม ที่จะกระจายออกไป ให้แก่ผู้อื่นได้ยังไง ด้วยวิธีการใด ๆ ก็เอา

พระพุทธเจ้า ยังไปนั่งสอนพวกนิครนถ์ พระพุทธเจ้ายังไปนั่งสอน พวกนิครนถ์ นาฏบุตร อะไรอย่างนี้เลย จะว่าไม่คลุกคลี แต่ต้องเป็นผู้ที่ไปคลุกคลีได้ บอกแล้วว่า เป็นผู้ที่มีกำลัง มีฤทธิ์ ที่คนผิด คนชั่ว เขาดึงเรา ลงไปไม่ได้ เราเป็นบัณฑิตมีกำลัง ก็ต้องไปคลุกคลี ก็ถูกนะ ต้องเข้าใจเหตุผลนัยให้ดี นั่นอย่างชั่ว วรรณะ ที่ไม่ดี ๖ อย่าง มันก็ตรงกันข้าม กันนั่นแหละ ขยายสังคณิกะ กับขยายกุสีตะ ตัวขี้เกียจกับตัวที่ไปมีกิเลส นั่นเอง สังคณิกะ ยังกิเลสเป็นก้อน หรือจะแปลว่า คลุกคลีเกี่ยวข้อง กับสิ่งที่เป็น กิเลสอยู่ ก็คือกิเลสเรา คลุกคลีกันอยู่ เกี่ยวข้องกันอยู่นั่นเอง อยู่ในตัวเรานี่แหละ แต่เขาไปแปลว่า บุคคล ก็ไม่เป็นไร อาตมาก็ ขยายความแล้ว เพราะเราอยู่ในหมู่มิตรดี สหายดี เราไม่ได้ไปคลุกคลีเกี่ยวข้องแล้ว เราก็ไม่เป็นไรแล้วนี่ แต่มันก็ยังอยู่ ในตัวเรานะ ลึกขึ้นไป เราก็ยังสังคนิกะ ตรงที่เราแหม ! กิเลสเรายังเป็นก้อน เป็นกลุ่มอยู่นะ เพราะฉะนั้น เรายังประกอบกลุ่มนี้ อยู่ไม่ได้ ต้องอสังคนิกะ อสังสัคคะ ต้องตีให้แตก ต้องไม่ให้มันเป็น อย่างนั้น ต้องไม่ให้มัน คลุกคลี หรือต้องไม่ให้ มันเกี่ยวเกาะอยู่ ต้องไม่ให้มันเกี่ยวเกาะอยู่ให้ได้นั่นเอง นี่โดยทั้งพยัญชนะ และโดยอรรถะนี่ เขาอธิบายกัน อาตมาเข้าใจเขานะ แต่มันไม่ลึกพอ เขาก็ว่า อาตมา อวดดี อาตมาก็ไม่รู้ จะทำยังไง มีดีไม่อวด ก็ไม่รู้จะทำยังไง มันก็เสียคน ทิ้งเปล่า ๆ ก็โมฆบุรุษ มีดีไม่อวด ฝังตายไปกับอาตมา ก็ไม่ดีน่ะซี เรามีดีก็ต้องอวด ต้องโชว์บ้าง คนไหนเห็นดี เข้าใจ โดยที่เข้าใจ อาตมาว่า อาตมาไม่ได้อยากอวดหรอก อาตมาไม่ได้มีจิตลามกอะไร อาตมาว่าเป็นพวก อสโถ อมายาวี

อสโถ ไม่ได้ลามก ไม่ได้อยากอวดอ้างอะไร สโถ นี่แปลว่าผู้อวด พวกคนขี้อวด สโถ พวกจิตลามก ขี้อวด ขี้อ้าง อาตมาว่า อาตมาไม่ได้เป็น อย่างนั้น เขาก็ไม่เชื่อ ไม่เป็นไรหรอก พวกคุณเชื่อ พวกคุณก็เอา ก็แล้วกัน เพราะฉะนั้น มีดีก็ต้องอวดกัน ให้มาเอาอย่างกัน ก็เอาตามกัน นี่ก็พูดโดยภาษาง่าย ๆ พูดไม่ได้อวด ไม่ได้พูดโดยจริตอะไร พูดไม่ได้ประชด ประชันอะไรหรอก พูดซื่อ ๆ นะ พูดด้วยภาษาซื่อ ๆ พูดภาษาตรง ๆ นะ เรามีดี เราก็โชว์กัน บอกกัน เอาไหมล่ะ อย่างนี้นี่ เอาก็มาเอา ถ้าเอา ก็มาประพฤติกัน มาปฏิบัติกัน

ทุกวันนี้นี่ เรามีวรรณะ ๙ กันขึ้นมา เป็นผู้เลี้ยงง่าย นี่เลี้ยงง่าย พวกคุณนี่เลี้ยงไม่ง่าย อาตมาตายแล้ว เลี้ยงไม่ได้หรอก เศรษฐกิจ อย่างนี้ด้วย ตาย นี่พิสูจน์ความเลี้ยงง่ายของพวกเรา มากินมังสวิรัติด้วย มากินอย่างมีความรู้จัก ในอาหาร พิจารณาอาหารเป็น แล้วก็กินกันอย่างนี้ สุขภาพไม่เสีย นี่เรายืนยัน กันอยู่แล้ว สุขภาพเราแข็งแรง เลี้ยงง่าย การกินก็ง่าย การอยู่ก็ง่าย เลี้ยงนี่ ไม่ได้หมายความว่า กินอย่างเดียว กินอยู่ หลับนอน นี่อยู่ง่าย นอนง่าย หลับง่าย หลับง่ายจนจะต้อง เอากระบอก คอยเคาะหัวกันน่ะ มันง่าย มันไม่ฟุ้งซ่าน มันไม่เป็นโรคประสาท ออกไปโน่น มันก็ง่ายนะ กินง่าย อยู่ง่าย นุ่งห่มง่าย ที่อยู่อาศัย ก็ง่าย ๆ ไม่ลำบาก ลำบนอะไร ไม่ติดไม่ยึดเหมือนอย่างโลก นี่คือเลี้ยงง่ายนะ คนที่เลี้ยงยากนะ โอ้โฮ ! จะกินก็ต้องแหม ! เป็นมนุษย์จานบิน กินอะไร ก็กินไม่ลง เลือกอาหาร ติดอาหาร ยิ่งศักดินาด้วย ยิ่งติดรส ติดรูป ติดกลิ่น ติดอะไรด้วย ยิ่งแย่ใหญ่ อยู่ก็ยาก เครื่องนุ่งห่มก็ยาก ที่อยู่ที่พัก ก็ยาก ยารักษาโรคก็ยาก แม้ปัจจัย ๔ ก็ยังยาก สิ่งอื่น ๆ ที่เป็นเครื่องบริขาร ยิ่งหาเรื่องมาก ๆ ก็ยิ่งอยู่ยากน่ะซี

แต่นี่เรามาลดได้จริง มันจึงพิสูจน์ได้จริง นี่คนอยู่ได้นาน ๆ ก็ยิ่งอยู่ยากน่ะซี แต่นี่เรามาลดได้จริง มันจึงพิสูจน์ได้จริง นี่คนอยู่ได้นาน ๆ แล้วจะเข้าใจว่า เออ ! จริงด้วย เราเป็นคนเลี้ยงง่ายขึ้นมานะ เป็นคนอยู่ง่าย ไปอยู่ที่ไหน ก็ไม่เป็นภาระอะไรใคร มากมาย เป็นคนบำรุงง่าย สอนได้ เจริญดี พัฒนาไป ๆ มีอธิศีล อธิจิต อธิปัญญาขึ้นไปเรื่อย ๆ มีการศึกษาพัฒนาไป วันต่อวัน เดือนต่อเดือน ปีต่อปี ไม่ติดแป้น เจริญด้วยอธิศีล แล้วก็ลงมานะได้ดีจริง ๆ เข้ากันได้ ประสานกันได้ สมานกันได้ เป็นสามัคคี จนเราเองนี่ โอ้โอ ! สามารถเข้ากันได้ หมดทุกคน นี่เราดีขนาดไหน นี่เราเข้าได้แต่หมู่เรา เท่านั้น หมู่อื่นเข้าไม่ได้ มันน่าเสียใจนะ โอ้ ! เรานี่มีแต่หมู่เรา ทั้งนั้น มีแต่พรรคของเราแคบ ๆ อยู่ในกะลาครอบ คนอื่นเข้าไม่ได้จริง ๆ แล้วอาตมาเข้ากับหมู่ใหญ่ เขายังไม่ได้นี่ ถ้าขืนไปเข้า เดี๋ยวนี้ ก็พัง ก็ต้องมีวิธีการของเราไปเรื่อย ๆ ก็ให้พวกเรานี่เจริญงอกงาม จนกระทั่ง ประสานกันได้ เข้าไปได้ แล้วมันก็จะประสาน มันจะมีข้อตกลง มันจะมีการจำนน หรือมีการยอมต่อสัจจะ อันใดก็ต้องเอาไว้ อันใดไม่ดีล้มไป ถ้าของเราอันใดไม่ดี เมื่อประสานกัน ถึงขนาดพอเพียง พูดกันได้แล้ว มันจะมาตกลงกันจริง ๆ ความจริงมันต้องชัดเจน อันใดไม่ดีเอาออก อันใดดีเอาไว้

ถ้าเรามีอะไรดี อะไรเราถูกต้อง อันนั้นจะต้องอยู่ อะไรไม่ดีของเราเอ งเราก็จะเอาไว้ทำไม เมื่อตกลง ประสานกันแล้ว เอ้า ! อันนี้ไม่ดี ต้องเอาออก ก็ต้องเอาออก เราก็ไม่เอา เราก็ต้องไม่เอาเหมือนกัน เพราะฉะนั้น เราแน่ใจว่า นี่ดี เราก็พยายามพัฒนาดี ให้มันใหญ่ ให้มันกว้าง ให้มันแข็งแรง ให้มันมีมาก ยืนยัน เรายิ่งมีมาก มันยิ่งจะยืนยันว่าดี แล้วยิ่งมาก ถ้าเผื่อว่าเป็นเสียนะ มันก็จะเห็นผลร้าย ก็มันเสียนี่ มันมากแล้วมันเสีย แต่ถ้าดีมันมาก มันก็ยิ่งชัดว่ามัน แหม ! ผลดี มันมีประโยชน์คุณค่าใช่ไหม เพราะฉะนั้น เรามาพัฒนา ขึ้นไปนี่ ด้วยวรรณะ ๙ ขึ้นไป บำรุงง่าย เจริญง่าย เป็นคนมักน้อย ที่เห็นได้จริง ๆ ขยายความ มามากแล้ว มักน้อยก็ขยาย เป็นคนสันโดษ เป็นคนขัดเกลา ขัดเกลาจนกระทั่ง แหม ! ใครมานี่โดนกระบอง บางทีเข้าวัดไม่ได้ บางคนมาเจอ คนหมัดหนัก ๆ ชัวะ แหม ! ถอยไปร้อยลี้เลย ไม่เห็นหน้าเลย เจอหมัดหนัก ๆ ของพวกเรา ขัดเกลาเขาแรงไป ไม่ประมาณ ไม่รู้จัก ไม่คูณ

ถ้าเผื่อว่า เราจะขัดเกลาก็ต้องดู มีฝีมือขัดเกลาผู้อื่นก็ตาม โดยเฉพาะขัดเกลาตัวเราเองนะ สำคัญ เราเอง ยังไม่หมดกิเลส เราก็ขัดเกลา เราไปเรื่อย ทุกวันทุกเวลา เราได้ขัดเกลาตัวเราเอง เป็นคนมีความขัดเกลา เป็นคนมีสัลเลขธรรม เป็นคนมีธูตะ นี่มีศีล ศีลเราเป็นอธิศีล ศีลเคร่ง ศีลเจริญ ศีลเคร่งขึ้น ศีลที่เป็น องค์ประกอบ องค์ชำระ องค์แห่งการชำระ ได้ชัดขึ้น ๆ เอาการที่น่าเลื่อมใส ก็อาการอย่างที่เราเป็นกัน นี่แหละ ที่มันดีขึ้นมา มันมักน้อย มันสันโดษขึ้นมานี่แหละ มันเลี้ยงง่าย เป็นคนเลี้ยงง่าย เป็นคนที่ไม่มี ศักดินา ทุนนิยม อะไรอย่างนี้แหละ อาการลีลาอย่างนี้ ดูซิ คุณดูซิ อย่างคุณจำลอง มีอาการ ไม่ถือเนื้อ ถือตัว เขาเอาไปโชว์ ทั่วบ้านทั่วเมือง ขยัน ช่อง ๙ นี่มาถ่ายคุณจำลอง ที่เช็ดโต๊ะนี่ กี่ทีแล้ว คุณรู้ไหมของเก่า ๆ นะ ไม่ได้แปลกอะไรเลยนะ ถ่ายอยู่นั่นแล้ว ไปออกทีวี โชว์อยู่เรื่อยเลย ทำไมและทำไม บทบาทมันไม่ได้ บทบาทใหม่เลย ก็มายกจาน ยกชาม เอาไปล้าง เอาไปถือ อันนั้นน่ะ ถ่ายออก กี่ทีแล้วล่ะ เสียฟิล์ม เสียของ เสียเวลาออกโชว์ ไม่ได้จ้างสักบาทด้วยนะ มาถ่ายเอาไปโชว์ มันของดีนะ การลดตัว ลดตน การทำตัว มักน้อย เป็นคนสันโดษ เป็นคนไม่ใหญ่ไม่ยิ่ง เป็นคนใหญ่ แล้วก็ยิ่งมา ไม่ใหญ่นี่ ไม่ถือเนื้อถือตัวนี่ ทำลงไป ให้จริง จริงใจเท่าไร มันก็ดูไม่เคอะไม่เขิน ถ้าไม่จริงใจ มันดูเคอะเขินนะ

ถ้าจริงใจแล้ว ยิ่งดูไม่เคอะไม่เขิน ยิ่งดู โอ๊ ! ดี มันยิ่งกลมกลืนยิ่งดี เราก็รู้ก็เห็นอยู่ เพราะฉะนั้น ดูตัวเรา ส่องดูตัวเรา เราต้องคอย ดูตัวเรา เหมือนเรามีดวงตา คอยดูตัวเรา ให้เป็นคนมีดวงตา คอยดูตน จนมีดวงตาคอยดูตน เป็นคนมีดวงตา อะไรเมื่อเช้านี้ ลืมไปหมดแล้วพูด คอยดูตน อย่างคนมีดวงตา จนนัยน์ตานั้นไม่มีตัวตน จนนัยน์ตานั้น ไม่มีตัวตน มันมองออกจากนัยน์ตา ได้เหมือนกันนะว่า มันมีตัวตน หรือเปล่า บางทีอย่างนี้ ตัวตนเบ้อเร่อออกมาเลย จากดวงตา จนนัยน์ตา ไม่มีตัวตน ต้องดูตัวเองจริง ๆ คอยตรวจตรา เราเองเรามีกิเลสส่วนกาม ส่วนมานะ มานะนี่แหละ มันทำอะไรไม่ใหญ่ ทำอะไรเจริญไม่ได้ เพราะมานะ คนใหญ่ ไปตัวคนเดียว แล้วเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรใหญ่ เสร็จแล้วทำลายด้วยซ้ำ คนทำอะไรได้เยอะ เก่งเท่าไร ก็ตามแต่ ได้ใหญ่ ๆ แล้วตัวเอง ไม่ลดตัว ไม่ลดตน มีมานะนี่ มันทำอะไร ไม่ได้ใหญ่หรอก คนไม่มีมานะ ทำอะไรไม่มีมานะ มันใหญ่ได้ กว้างได้ แม้จะไม่เก่งเท่าไร ไม่สามารถเท่าไร ก็กว้างได้ เพราะน้ำใจมันดี มันไม่มีกิริยาที่ตนรังเกียจ เป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัวนะ

เราสามารถที่จะทำอะไร ให้มีอาการที่น่าเลื่อมใส ออกไปได้ มีศีลเคร่ง มีอาการน่าเลื่อมใส ลดตัวลดตน มักน้อยจริง ๆ และเป็นคน ไม่สะสมจริง ๆ ชัดเจน พิสูจน์ ทุกวันนี้เราพิสูจน์ธรรมะ เหมือนมันซื่อ ๆ อย่างคุณจำลองนี้ แบกไปพิสูจน์ ผมไม่เอา เงินเดือน แหม ! มันอวดๆ นะ ผมมีเงินใช้ นี่ใช้แต่เงินเดือน ที่ได้บำนาญ เงินนี่มา จะต้องบอกไว้ เงินนี้ แม้จะไม่เอาเงินเดือน อ้าว ! เขาให้เงินรับรอง อีกตั้งสองหมื่น อ้าว ! สองหมื่นนี้ เราจะต้องกำหนด จะเอามาใช้ส่วนตัวไม่ได้ ถ้าอะไรเป็นกิจ ที่จะต้องเสริมหนุนเอา แต่ตัวเอง จะมาใช้ส่วนตัว ไม่เอา ใช้ส่วนตัวที่ไหน ใช้ส่วนตัว ที่เงินที่เราได้บำนาญ ใช้ให้พอ คนทุกวันนี้ ต้องสอนให้มันหยาบ ๆ อย่างงี้ เสร็จแล้ว เขาถือตัวด้วยนะ แหม ! อวดดี อวดตัว อวดดีก็ดี ๆ อย่างนี้ ไม่เอาอย่าง แล้วไปเอาอย่างใคร ที่ไหนเล่า ง่าย ๆ นี้เข้าใจนะ แต่หมั่นไส้เห็นไหม กิเลสมันซ้อน ง่าย ๆ อย่างนี้เข้าใจ ดีนะแต่หมั่นไส้ คนไหนที่มีมานะ ก็หมั่นไส้จริง ๆ และไม่เอาอย่าง และไม่ศรัทธาเลื่อมใส คนไหนที่เขาไม่มีมานะ เขาก็ โอ๊ย ! นี่ดีจริง ๆ เขาก็จะเอา เมื่อเอาอย่าง เขาก็เจริญ นี่มันสอน มันต้องมีฤทธิ์ ต้องยอม ให้เขายอมด้วยฤทธิ์ อย่างนั้นอย่างนี้ ยอมด้วยฤทธิ์ที่เขาสามารถบริหาร เขาสามารถที่จะทำโน่น ทำนี่อะไรได้ เสร็จแล้ว อัดคุณธรรมลงไป อัดด้านจริยธรรม หรือด้านศีลธรรม ด้านศาสนาลงไป นี่อัดไปอย่างนี้ ก็คอยมีบทบาท

ขณะนี้พวกเรานี่ ได้ทำงานมา วรรณะ ๙ ของเราก็ดี ขยันหมั่นเพียร เขาเห็นนะคน เขาไม่เถียงหรอก ว่าดูส่วนรวม ของพวกเราแล้ว ดูแล้วว่า มันขยัน นี่เขาไม่เถียงหรอก เขายอมรับ ว่าพวกเรา ขยันน่ะ ดูส่วนรวมนะ แต่พวกเราแต่ละคน ๆ จะมีคนขี้เกียจอยู่ ก็มีล่ะ มันก็มี แต่ต้องพัฒนาขึ้น แม้เราขี้เกียจอยู่ ใครก็ตาม ถ้ารู้ตัวว่าขี้เกียจ ก็ขยันขึ้น วรรณะ ๙ นี้เป็นหลักแกนของมนุษย์ พระพุทธเจ้า ท่านบอก วรรณะ ๖ นี่ เป็นวรรณะต่ำ วรรณะ ๙ เป็นวรรณะที่จะต้องพัฒนา เป็นมนุษย์พัฒนาให้ได้ เมื่อได้แล้ว เราถึงเข้ามา สู่สภาพส่วนรวม รวมเป็นบริษัท เป็นวรรณะ ๔ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร มาเป็นวรรณะ ๔ คือ พราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทร เราเริ่มต้น พัฒนา ตั้งแต่หัวต้นก่อน คือพัฒนาพราหมณ์ จนกระทั่ง ได้มีตัวอย่าง เป็นหลักเป็นแกน พราหมณ์คือ ผู้มีวรรณะ ๙ นั่นเอง พราหมณ์น่ะ ยิ่งเป็นคนขยันหมั่นเพียร เป็นคนไม่สะสม เป็นคนมีอาการ ที่น่าเลื่อมใส และเป็นคนที่มีธูตะ เป็นคนมีศีลเคร่ง เป็นคน มีการขัดเกลา เป็นคนที่สันโดษ เป็นคนมักน้อย เป็นคนบำรุงง่าย เป็นคนเลี้ยงง่ายมาได้เรื่อย ๆ ได้จริง ๆ ขึ้นมาได้ ประมาณหนึ่ง มันก็จะมีฤทธิ์ แล้วก็เผื่อแผ่ สอนต่อทอดคนอื่น ก็มีฆราวาสด้วย มีใครต่อใครด้วย เข้ามาศึกษา มาศึกษา จนกระทั่ง มีฆราวาสเยอะ ทีนี้ฐาน ฆราวาส เขาก็จะเป็นฐาน สมณะหรือพราหมณ์ โดยรูปก็เป็นนักบวช โดยธรรม ก็ทั้งแม้แต่ฆราวาส ที่มาศึกษา ได้วรรณะ ๙ ก็เป็นธรรมโดยธรรม เป็นนามธรรม อยู่ในบุคคล เพราะฉะนั้น บุคคลที่มีวรรณะ ๙ ลงไปเป็นคุณธรรมจริง ๆ ซ้อน ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ เป็นฆราวาสอยู่ ก็ทำหน้าที่เหมือน เป็นพราหมณ์ เหมือนเป็นผู้รู้ เหมือนเป็นสมณะในตัว

แม้จะยังไม่ได้มีรูปเป็นสมณะ มีความเป็นโสดาบัน มีความเป็นสกิทาคามี อยู่จริงเท่าไร ก็ทำไปด้วย มันก็จะเป็นจริง คนมีของจริง ก็จะเป็นไป ตามของจริง เสร็จแล้วเราค่อย ๆ ทำงานมานี่หลายปี ๆ วรรณะทั้ง ๔ มันจะออกมาเป็นรูปเป็นมวล สมณะของเรา ก็มีอย่างนี้ เราก็มาได้รูป ได้ร่างอย่างนี้ แล้วก็มีคุณธรรม ขนาดอย่างนี้ ๆ ผู้บริหารก็แต่ก่อน ก็บริหารในหมู่เรา เป็นกรรมการ สมาคม เป็นกรรมการมูลนิธิ เป็นผู้ที่เป็นเจ้าหน้าที่ เป็นผู้เอางานเอาการ รับผิดชอบงานพวกเรา ไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง เรากว้าง ขึ้นไป เป็นกองทัพธรรม ไปเป็นอะไร ๆ ออกไป ก็ช่วยกันดูแล ไปเผื่อแผ่ ไปกระจายกองทัพธรรม ไปสอน เป็นหน้าที่ของผู้สอน คือครู คือสมณะ เสร็จแล้วเราเอง เราก็ต้องเป็นนะ เราเป็นวรรณะ ๙ พอสมควร เสร็จแล้ว เราก็พอได้คนมา เราก็มารวบรวม บริหาร ดูแลจัดสรร แบบรัฐศาสตร์ ช่วยทั้งเศรษฐกิจ ช่วยทั้งรัฐศาสตร์ ช่วยทั้งสังคม ให้อยู่กันดี ค่อย ๆ ทำกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่ง ค่อย ๆ เกิดรูป เกิดร่าง เกิดแบบเกิดแผน อะไรขึ้นมา เกิดกฎ เกิดระเบียบ มีระเบียบ มีวินัย เสร็จแล้วเราก็ต้อง ทำงานอื่นอีก ต้องเป็น ทั้งพ่อค้า ต้องเป็นทั้งผู้ผลิต มันก็ค่อย ๆ เกิดผลิต เราผลิตตอนแรก เราผลิตอะไรที่เป็นปัจจัย ๔ ไม่ได้ เราก็ผลิต สิ่งอื่นก่อน เพราะเรามาจาก การเป็นครู เราก็ผลิตคำสอน ผลิตหนังสือ ผลิตเท็ป ผลิตวิดีโอ ผลิตอะไรออกไป มีการเป็นครู ต่อทอดกันไป ถ่ายทอดกันไป นอกจากพระจะเป็นครูแล้ว ฆราวาสก็เป็นครูได้ เป็นผู้ช่วยสอนก็ได้ เป็นผู้บริหารหมู่กลุ่ม ต่อไปกันได้ มีทั้งพวกเราเอง บริหารกันเอง ช่วยกันเอง โดยไม่ต้อง แต่งตั้ง ตำแหน่งยศศักดิ์อะไรมากมาย เป็นแค่เพียง กำหนดกันบ้าง รู้ ๆ กันบ้าง แล้วก็ได้มีสภาพของ พราหมณ์ได้แล้ว

กษัตริย์ตอนนี้ก็ขึ้นมา จนกระทั่ง ออกไปถึงข้างนอก กษัตริย์ก็คือผู้บริหาร ผู้ที่จะประสานทำงาน เป็นผู้ดูแล ช่วยเหลือ และก็เป็นศูทร เป็นแพศย์ หรือเป็นผู้ผลิต เป็นกรรมกร ศูทร เป็นผู้ผลิตจริง ๆ เลย เราก็มีตัวผลิต อยู่ในตัวพวกเรา ผลิตอะไร ก็แล้วแต่ สุดท้ายจริง ๆ ก็ผลิต อย่างที่เรียกว่า หลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน ผลิตของกิน ของใช้ ผลิตของที่อาศัยสำคัญ เป็นปัจจัย ๔ จนกระทั่ง ถึงบริขาร เครื่องใช้ ที่พอสมควร หัตถกรรม จนกระทั่ง จะถึงอุตสาหกรรม ก็ให้รู้กันไป แต่เรายังไม่ถึงขนาดใหญ่ กลุ่มใหญ่ ต้องทดแทนถึงขั้น จะต้องสร้าง อุตสาหกรรมอะไร ก็ยังไม่เป็นไร ก็ทำหัตถกรรมไปก่อน จนกว่าจะเป็นอุตสาหกรรมย่อย กว่าจะขยายมาเป็น อุตสาหกรรมใหญ่ เราก็ไม่โลภ โมโทสัน ให้เป็นอย่างนั้น มันก็ไปตามธรรม ถ้ามันสอดคล้อง เป็นคนดีแล้ว สิ่งเหล่านี้จะเกิด แม้มันจะไม่ใหญ่ ไม่กว้าง เขาจะบอกว่า เราไม่ใช่ พวกเจริญพัฒนา มีสิ่งก่อสร้าง มีความรู้ ต้องสร้างวัตถุ สร้างเทคโนโลยี สร้างอะไรใหญ่ ๆ สร้างอะไรลึกซึ้ง ซับซ้อนเป็นกลไก เป็นอะไร เครื่องไม้เครื่องมือ เป็นสิ่งแทน อะไรขึ้นมา ได้เยอะแยะ ก็ไม่เป็นไรหรอก สังคมของเรา อยู่ได้เป็นสุข เป็นพหุชนะ สุขายะ แล้วเราก็เป็นสามัคคี เป็นมนุษย์ที่ไม่เดือดร้อน อะไรกัน เป็นสุขกันอยู่ ในสังคม เป็นสังคมพระศรีอาริย์ เป็นสังคมยูโทเปีย หรือเป็นสังคม ที่ยิ่งกว่ายูโทเปีย อุดมสมบูรณ์ แม้จะไม่มี เครื่องอุตสาหกรรม เครื่องทุ่นแรงเก่ง ๆ เครื่องทุ่นแรง เครื่องทดแทนใหญ่ ๆ แต่เราก็เลี้ยงตนเองได้ มีผลผลิต เผื่อให้แก่บ้านเมือง ที่มีอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ ด้วยซ้ำ เราอย่าไปน้อยหน้า น้อยตาอะไร เราไม่ต้องพึ่งพาอาศัย เครื่องมือสำคัญ เครื่องเทคนิคเยี่ยม ๆ แต่เราก็มีผลผลิต โดยเฉพาะ ผลผลิต ที่จำเป็น ผลผลิตที่สำคัญ แค่มนุษย์อาศัยอยู่ได้อย่างดี ไม่ใช่ไปผลิต สิ่งที่เฟ้อที่เกิน ด้วยซ้ำ เรากลับพร้อมพรั่ง ทุกอย่าง ได้ระบบที่ดี

ยกตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ถนนหนทาง รถราไม่ติด แต่ก็หมุนเวียนกันอยู่อย่างดี รถราไม่ติด รถยนต์ก็ทำเอง ใช้เอง แม้จะเป็น ยี่ห้อของเราเอง ที่ไม่เก่ง ไม่กาจหรอก ใช้รถคันหนึ่ง มันไม่ทนเท่าไร ความเร็วก็ ๔๐ กม. ต่อชั่วโมง ก็วิ่งอยู่ในถนนหนทาง แต่พวกเรา มีอยู่มีกิน ข้าวก็มีกิน เสื้อผ้าก็มีนุ่งมีห่ม ปัจจัย ๔ สมบูรณ์ ทุกคนแข็งแรง อายุยืน โอ๊ ! พลเมืองประเทศนี้ แม้จะมีรถวิ่ง ในอัตรา อย่างเก่ง ๔๐ กม./ชม. ก็วิ่งกันไป ไม่เป็นไร งานนี้ทำ แทนที่จะเสร็จวันนี้วันเดียว ๓ วันเสร็จ ก็ไม่เป็นไร แต่โดยค่ารวมแล้ว โอ้ ! คนพวกนี้ มีชีวิตอยู่ อายุก็ยืนนะ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน ไม่มีการฆ่า การแกงกัน ไม่มีความเดือดร้อน ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง เบิกบาน ยื้มแย้ม เป็นสยามเมืองยิ้ม สบาย หน้าตาเบิกบาน อยู่ดีกินดี ไม่มีคนอ้วนเกิน ไม่มีคนผอมเกิน เป็นคนที่ได้สัดได้ส่วน มีเอกลักษณ์ตัวเอง มีสัญลักษณ์ตัวเอง คนอื่นเขาจะมาศึกษาว่า เอ๊ ! ทำไมคนพวกนี้ มีอะไรดี ๆ ไม่เห็นจะต้องไปแข่งเขาเลย แข่งวิ่งจรวดแข่งเขา ไม่เห็นจะต้องแข่ง อาตมาว่า คนไม่มีจรวดนี้ ไม่ตายหรอก ไม่ตาย ไม่ต้องมีรถประสิทธิภาพวิ่ง โอ้โฮ ! วิ่ง ๕๐๐ กม./ชม. ไม่เป็นไร ก็ ๕๐๐ กม./ชม. ก็ตายไวน่ะซี ก็มันมีความเร็วมาก ๆ มันถึงได้ตายไว อะไรก็เร่ง อะไรก็ร้อน อะไรก็แรงไปหมด มันก็ตาย กันไปหมด อายุมันจะไปยืนอะไร

ทุกวันนี้นี่พ่อเจ้าประคุณทูลหัว รถยนต์นี่ มันชนคนตาย ส่งให้ยมบาล วันหนึ่งตั้งเท่าไร ทุกวันนี้ แล้วมันก็ แข่งกันไปต่าง ๆ นานา นั่นแหละนะ รายละเอียดพวกนี้นี่ เราต้องเข้าใจ ให้เป็นอริยบุคคล เข้าใจให้เป็น อารยชน เป็นคนประเสริฐ ไม่ใช่ไปหลอกล่อ เราไปหลงแต่ เรื่องสร้าง เรื่องก่อ เรื่องรวด เรื่องเร็ว เรื่องมาก เรื่องมาย มักมากเป็น มหัปปิจฉะ ไม่ใช่หรอก เป็นความเสื่อม แล้วมันเสื่อม กันมาก ๆ นะนี่ อาตมาชี้ให้ฟัง มันเป็นความเสื่อมมาก ๆ ด้วยนะ มันสร้างมันก่อ อะไรกันนักหนา มันสร้าง มันก่อกัน จนเกิน เพราะฉะนั้น เราให้มันมีสมดุลในธรรมชาติ ในความหมุนเวียน ดิน น้ำ ไฟ ลม มีบรรยากาศอะไรพอเพียงแล้วเราก็

อาตมานี่ พยายามจะให้เกิดปฐมอโศกนี่ ให้มีวงจรสมบูรณ์ ดูซิแล้วพวกคุณจะรู้ว่า พวกคุณไม่อยากอยู่ ทุกวันนี้ พวกคุณยังหลง สภาพติดโลก ๆ เขาอยู่ อีกหน่อยต่อไป พวกเรามีวัฒนธรรม จารีตประเพณี ไม่ได้ใหญ่หรอก มันไม่ใหญ่หรอก เมืองไม่ใหญ่หรอก อาตมาประสงค์เห็น อาตมาเห็น แต่พูดไม่ออก เห็นอยู่ว่า มันจะเป็นวงจรสมบูรณ์ จะเป็นหุ่นตัวอย่าง เป็น model ของวงสังคม มนุษย์เล็ก ๆ อันหนึ่ง ซึ่งจะเห็นได้ง่ายนะ มีอะไรอยู่ยังงั้นแหละ ข้าวก็มีกิน ดินมีเดิน ตะวันมีส่อง พี่น้องมีเสร็จ สบาย ดินก็งาม น้ำก็ใสบริสุทธิ์ ใบไม้ก็สดนะ จิตวิญญาณมนุษย์ก็บริสุทธิ์ดี สิ่งพวกนี้แหละ เรากำลังรู้เป้าหมายอยู่ แต่เราเอง เรามันยังไม่ถึงที่ อาตมาจะโม้ อาตมาจะคุยเขื่องอะไรมากมายไป มันก็ไม่ดี แต่ก็บอกนำอยู่นี่ ที่จริงคุย ไม่น้อยแล้วนะ คุยนำหน้าไป ไม่น้อย ที่จริงไม่อยากคุยนะ แต่ก็ต้องนำพวกคุณ ไม่นำพวกคุณก็ เอ๊ ! ทำไปทำไม บางคนก็สงสัย บางคนค้านแย้งหรือต้าน ทำไมต้องทำ ทำไมทำอย่างโน้น ทำอย่างนี้ อาตมาว่า อาตมาไม่ผลีผลามนะ ไม่ได้เป็นคนผลีผลาม ทำอะไรต่ออะไร ยิ่งไปสร้างไปก่อ ยิ่งไปทำอะไร โน่น นี่ใหญ่ ๆ โต ๆ ไม่ได้ผลีผลามนะ ดูตามเหตุตามปัจจัย แล้วมันก็เกิดเป็นเอง เสียส่วนมาก ตัวเองไม่ได้ ผลักดันอะไร มากมายหรอก สิ่งที่จะผลักดัน ก็มีอยู่เหมือนกัน แต่ก็เห็นเหตุปัจจัยพร้อมพรั่ง แล้วถึงผลักดัน ถึงพยายาม ต้องผลักดัน อันนี้ให้เป็น

อย่างขณะนี้นี่ อาตมากำลังผลักดันสภาพ บริษัทบุญนิยมให้เกิด อาตมาเห็นแล้วว่า มันจะต้องผลักดัน หน่อย ให้ครบวงจร เพราะว่า มีวรรณะพราหมณ์ วรรณะพราหมณ์เราก็พออาศัยแล้ว วรรณะกษัตริย์ คือวรรณะที่จะบริหาร ก็กำลังเริ่มต้น มันก่อหวอดแล้วบริหาร ทั้งพวกเรานี่บริหารมีแล้ว เป็นผู้ที่ร่วม รับผิดชอบกันดูแล หมั่นมีผู้ดูแลทางการประชุมให้พราหมณ์ เพื่อให้สมณะไปช่วย เป็นผู้ช่วย ร่วมประชุม แล้วพวกเราก็หัดประชุมกัน เป็นกรรมการ เป็นคนออกเสียง เป็นลูกขุนในสภา ต่างคนต่างเป็นลูกขุน เสมอภาคกันนะ บางคนยังไม่เป็นเอง เท่านั้นแหละ ไปถึงละก็อุบหุบปาก บอกให้ใช้ที่ประชุมให้เป็น มีเรื่องราวอะไร อย่ามาอัด เก็บกดเอาไว้ เปิดเผยบอกอะไรก็บอกมา บอกมาแล้ว เราตัดสินไม่เป็น เขาก็จะได้ วิเคราะห์วิจัยกัน ตัดสิน นี่อุบอย่างนั้นแหละ เราตัดสินเป็น เราก็ช่วยกันคิด ช่วยกันออกเสียง ไม่ใช่ไปทะเลาะ เบาะแว้งกัน วิเคราะห์วิจัยกัน มีเหตุมีผลอะไร ก็ว่ากันไป เราจะเป็นคนอารยชน เราจะเป็นคนเจริญ จะเป็นคนมีเหตุมีผล มีวิธีการ ทุกวันนี้ วิธีการที่เขาทำอยู่ ก็วิธีการเดียวกัน นี่แหละ ที่เราทำก็วิธีการเดียวกัน แต่มันเนียนกว่ากันนะ อาตมาว่ามันเนียน มันลึกซึ้งกว่ากันนะ เพราะฉะนั้น เรามีหน้าที่บริหารใน เราก็บริหาร จนกระทั่ง ออกไปบริหารนอก ไปบริหารนอก เราก็มีคนยังไม่มาก แล้วเราก็ค่อย ๆ สืบสานไป เอาไม่มาก เราก็ไม่ได้อยากใหญ่ อยากมากอะไรหรอก ได้เท่าไร เราก็ทำ

ขณะนี้อย่างคุณจำลองก็เอาพวกเราเข้าไปบริหาร คนข้างนอกเขาก็ทำอย่างพวกเรา ๆ นี่แหละ เสร็จแล้ว เราก็ค่อย ๆ มีบทบาทต่อไป จนกระทั่ง ไปด้านอบรมคุณภาพมนุษย์ ก็เราเน้นที่คน ที่มนุษย์นี่แหละ เราก็พยายามพัฒนา คุณภาพมนุษย์ เขาไม่เชื่อ แต่เรารู้แล้วว่า มันเจริญ เพราะว่าเราพัฒนา คุณภาพมนุษย์ ขึ้นมา ทุกอย่างมันก็เป็นเอง ทุกอย่างมันก็เจริญตาม วัตถุก็เจริญตาม เพราะจิตวิญญาณเจริญ วัตถุก็เจริญตาม จิตวิญญาณมันชั่ว วัตถุก็ฉิบหายไปหมด และเอาวัตถุมาหลอกล่อกัน ด้วยสร้างวัตถุ แล้วมอมเมาวัตถุกันด้วย มันก็พังอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าเรามี จิตวิญญาณเจริญ จิตวิญญาณรู้ค่าอันควร ค่าอันใด พอเหมาะพอสม รู้ความสมดุล รู้ความมัชฌิมา รู้อะไรที่ถูกต้อง รู้อะไรเป็นเนื้อหาสาระแก่นสาร รู้อะไร เป็นเปลือก เป็นกระพี้ เป็นสะเก็ด เป็นขยะ เราก็เข้าใจจัดสรร นี่เราพิสูจน์ตัวของเราแล้ว เพราะไปข้างนอก ก็ต้องไปอบรมคุณภาพมนุษย์ ให้กระทำกันอยู่ เพราะฉะนั้น ต้องให้แข็งขัน คุณภาพมนุษย์ ช่วยกัน สร้างสรรออกไป นี่เป็นกิจที่เรา ต้องทำ บอกแล้วว่า มันต้องเป็นเรา อาตมาบอกแรง ๆ นะ ทำไมต้องเป็น กู เออ ! ต้องกูนี่แหละต้องทำ กูนี่แหละต้องเป็น มันไม่มีอื่นหรอกนะ และก็ทำกันอยู่ ตอนนี้ก็เป็นไป

ทีนี้ก็ด้านศูทร เราก็พยายามปลูกฝัง พยายามช่วยตนให้ได้ มีปัจจัย ๔ ให้ได้ในด้านต่าง ๆ แม้จะดูเหมือน เล็ก ๆ เล่น ๆ แต่เราไม่เล่นนะ เราทำจริง ๆ ค่อย ๆ พัฒนาขึ้นมา ข้าวก็พยายามปลูกเอง พืชผักอะไร ก็พยายามกระทำ ให้พอเลี้ยงตน เลี้ยงตัว มันขยาย จนกระทั่งถึงขณะนี้ เรื่องแพศย์ เรื่องการค้า ยิ่งการค้า นี่แหละ เป็นตัวร้ายของสังคมมนุษย์ ในโลกนี้ พวกนายทุน กับพวกอำนาจ ผู้ใดมีอำนาจกระบอกปืน อำนาจอาวุธก็ดี หรือแม้แต่มีทุนมาก ๆ มีอำนาจทางทุนนิยม กับอำนาจทาง ก็เขี้ยวเล็บแหละ ก็คืออำนาจ เรียกว่า อาวุธนั่นแหละ นี่มันยิ่งใหญ่อยู่เดี๋ยวนี้ มันลดไม่ลง เอาละเรื่องอาวุธนั่น เราไม่ใช้ เราใช้อหิงสาแน่ ๆ เราจะพยายามที่จะต่อต้าน แม้แต่สันติภาพ ที่เขาทำกันโครมคราม เอาละ เราทำไปด้วยวิธีเนียน ไปเรื่อย ๆ น่ะ เรื่องทุนนิยม เราก็พยายามที่ละลด เป็นพ่อค้าที่จริงใจ และซื่อสัตย์ นี่แหละ อาตมาก็ผลักดัน จะให้เกิด อันนี้อยู่ ถ้าอันนี้เกิดได้แล้ว วงจรนี้มันก็จะสมบูรณ์ คุณจะเห็นรูปที่ชัดเจนว่า สังคมมันเป็นงั้นแหละ มีวรรณะ ๔ นี่อยู่ตามฐานะ บริษัท

จะว่าไปแล้วนะ ประเทศที่ใกล้เคียงกันอยู่นี้ ทุกประเทศขณะนี้ ไม่ต้องเอาไกล เอาแค่อินโดจีนนี้เอง ประเทศไหน มันเป็นประเทศ ที่สงบสุข เท่าประเทศไทยขณะนี้ แม้เขาว่า เขาเป็นคอมมิวนิสต์ เขาว่า จีนแดงเขาก็ว่าเขา เอาละ นับไปถึงจีนแดง เลยอินโด ฯ ไปถึงจีนหน่อย ก็ตาม เขาว่า เขาสุขกว่าเรานักหนา จริงหรือเปล่า ถ้าเจาะลึก ๆ แล้ว ใจเขาไม่สุขนะ ใจเขาไม่สุขหรอก เขาถูกบังคับ มานานปีแล้ว เขาถูกเก็บกด ยิ่งกว่าโยโกะ ถูกเก็บกดยิ่งกว่าโยโกะ จะบอกให้ มันพยาบาทอยู่นะ มันได้โอกาสเมื่อไร แล้วมันจะเอา กามมันก็ไม่สมกาม ความถูกกดขี่ มานะถูกกดขี่เอาไว้ ไม่ให้มันใหญ่ ไม่ให้แสดงตัวออกมาเต็มที่ มันก็ยังกด ถูกกดอยู่ อย่างนั้นแหละ จิตวิญญาณ ถ่ายทอดไม่รู้กี่ชั่วอายุคนมาแล้ว หลายอายุคนมาแล้ว เพราะว่ามัน ๓๐ กว่าปีแล้วน่ะ มันเก็บกดนะ เพราะฉะนั้น นี่เปิดออกมาให้เห็นได้เลย กำลังออกมาลิ่ว ๆ ๆ ๆ เลย อาตมา ขอให้พวกคุณคอยดูเถอะ ไม่นานหรอก และเทียบกับ พวกเราซิ เอาไปเทียบกับประเทศไทยทั้งหมด มันก็อาจจะดูยาก ดูพวกเราซิ เราเก็บกดก็มี แต่ไม่ได้เก็บกดอะไร นักหนา มันเก็บกดก็เพราะว่า เราต้องกด เอาไว้ก่อน ประเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาเท่านั้นเอง

แต่เราก็รู้ว่า เรามีบทบาท มีวิธีการ ที่จะสลาย กิเลสเหล่านั้น เมื่อกิเลสนั้น สลายจริง ไม่มีจริง มันก็สบาย มันก็เป็นมวลของมนุษย์ ที่เป็นอยู่สุข ไม่ต้องร่ำรวย ความรวยไม่ใช่ตัวที่ จะพาสุข แต่เราจะมีมวลที่ร่ำรวย เหมือนกับที่เขาเป็นคอมมิวนิสต์ ประเทศอุดม สมบูรณ์ร่ำรวย ร่ำรวยนี้ไม่ใช่ร่ำรวยวัตถุ แบบโลก ๆ มีเทคโนโลยี มีเครื่องอะไรต่ออะไร ปราดเปรื่องอะไรต่าง ๆ นานา เพื่อไป อวดอ้างกัน แล้วก็แฝง เรื่อง mechanics ต่าง ๆ เรื่องของกลไกต่าง ๆ เพื่อที่จะไปเป็นอาวุธ มาฆ่าแกงมนุษย์ เอามาทางสันติภาพ นั้นน้อย ผลิตแรงงาน ผลิตแรงกลอะไรได้ ก็แฝงเอาไปเป็น เครื่องอาวุธ อาศัยอยู่เดี๋ยวนี้ ดูแต่ละประเทศ คุณรู้ไต๋เขาไหม เขาทำการพัฒนานั่น ๆ นี่ ๆ นั่นแต่แฝงไว้ เสร็จแล้ว ก็ไปพัฒนา ไปเป็นอาวุธให้ร้ายแรง แล้วก็ค้าขายอาวุธ แล้วก็เอาอำนาจ อาวุธนั้นน่ะ เป็นใหญ่ ข่มคนอื่นไว้ แบบนี้มันไม่ใช่สุจริต ไม่ใช่สัจธรรมอะไรหรอก ต้องรู้ให้ทัน ให้เปิดเผยเอาไว้ แต่ไม่ได้บอก ให้ไปเกลียด ไปโกรธใคร แต่จงรู้ พฤติกรรมอันนี้เราไม่ทำ

คนใหญ่เพราะสิ่งเหล่านี้ มันไม่ใหญ่จริงหรอก ไม่ใหญ่จริงหรอก มันไม่เจริญจริงหรอก มันต้องรักษาอันนี้ ข่มเบ่งเขาไว้ และต้อง รักษาอันนี้ขู่เขาไว้ ต้องแยกเขี้ยวอยู่เรื่อย ๆ เขี้ยวอั๊วแหลมนะ อั๊วลับใหม่อีกแล้ว เขี้ยวอั๊วแหลมขึ้นแล้ว แต่ก่อนนี้ ระเบิดของฉันนี้ มีอำนาจระเบิด เพียง ๖ กิโลตัน เดี๋ยวนี้ ๑,๐๐๐ กิโลตัน นี่ก็บอก ลูกระเบิดอะไรที่มันตก ที่ได้ยินว่ามันด้าน แต่มันมีอำนาจระเบิด ยิ่งกว่า ไปทิ้งฮิโรชิมา นั่นแค่ ๖ กิโลตัน นี่มันตั้ง ๑,๐๐๐ กิโลตัน มีอำนาจระเบิดถึงขนาดนั้น อย่างนี้เป็นต้น แล้วมันยังบอกว่า เขี้ยวอั๊วนี่ แหลมขึ้นนะ นี่ยิงฟันอวดด้วย บางทีไม่ยิงมาก ไม่ทำเป็นยิงมากหรอก กลัวเขาเห็น ทำเป็นซ่อน ๆ กลัวเขาเห็น แต่แท้ ๆ เลยว่า แฮ่ ! อย่านะ เห็นไหม เขี้ยวฉันแหลมขึ้นกว่าเก่าตั้งเท่าไร มีฤทธิ์เดช นี่ไม่ใช้ ๑,๐๐๐ กิโลตันแล้ว เดี๋ยวนี้ ๑,๐๐๐ กิโลตัน แล้วนะ แต่เสร็จแล้ว ก็อยากให้เขากลัว แล้วเขาก็กลัวกันจริง ๆ อย่างนี้หรือเป็นการชนะ ชนะเพราะข่มเขาไว้ด้วย ฤทธิ์เดชอำนาจ ประเภทที่ ฉันจะฆ่าแกง ฉันจะฆ่าแกง มันก็อันธพาลเราดี ๆ นั่นแหละ

ต้องเขาเอง เขารักเรา เขานับถือบูชาเรา เพราะเรามีคุณธรรม เรามีคุณงามความดี เราไม่มีเขี้ยว เราไม่มี อาวุธ ไม่มีอะไรหรอก เรามีแต่ความสร้างสรร เสียสละ เป็นผู้รับใช้ด้วยซ้ำไป เราใหญ่เพราะ เรารับใช้เขา เราใหญ่เพราะเราเป็นคนที่มี ความสามารถ มีสมรรถนะ มีน้ำใจ อย่างนี้ซิเป็นของเลิศ เป็นของประเสริฐ เมื่อใหญ่ ๆ มันทำไม่ได้ เราทำน้อย ๆ ให้มันได้ ก็พอแล้ว แค่น้อย ๆ เรานี่แหละ ทำให้มันได้พอแล้ว เอาแค่นี้ก็ได้ ใครไม่เอาอย่างช่างหัวมัน ใครไม่อยากได้ช่างมัน ก็เราไม่ได้ใหญ่อะไรนักหนา เราก็ทำน้อย ๆ นี่ให้มันได้

อาตมาไม่กลัวนะ พวกคุณจะอยู่ทำหรือไม่อยู่ทำ อาตมาไม่กลัว อาตมาจะทำ จะทำอย่างนี้แหละ อุดมการณ์อาตมามี ไม่เปลี่ยนแปลง อาตมาจะทำให้พวกเรา ให้เป็นคนที่มีวรรณะ ๙ มักน้อย สันโดษ เป็นผู้เสียสละ เป็นผู้รับใช้เขา เป็นผู้สร้างสรรไป จะเหน็ด จะเหนื่อยก็เหนื่อย อาตมาจะตายก่อนก็ตาย ไม่เป็นไรหรอก อาตมาได้มีความดีแล้ว ไม่กลัวหรอกมันตาย ทุกวันนี้ก็พยายาม พัฒนาตัวเองอยู่ว่า ไม่ให้มันทรมานตน ไม่ให้มันเบียดเบียนตน ส่วนนั้นส่วนนี้ มันจะชำรุด ทรุดโทรม ไปมากเกินอายุ

หมอพจน์ มานั่งเมื่อวานนี้ พ่อท่านอายุ ๘๐ แล้วนา อายุ ๘๐ แล้วนา อาตมาก็ว่า เอ๊ ! ๘๐ อะไร คนเห็นหน้าตาอาตมา ก็ว่าหนุ่มอยู่ แต่ข้างใน ๆ มันมีอะไรอยู่บ้าง แต่อาตมาก็ว่า อาตมาแข็งแรง แต่รู้ว่า เรื่องส่วนประสาทพวกนี้ ชักร้อนไว ชักไม่ทน แต่ส่วนอื่น ยังแข็งแรง แต่นี่มีกระตุก บอกว่ามือมันอะไรแค่นี้ คนอื่นเขาเขียนมากกว่าอาตมา ไม่น่าจะเป็นอย่างนี้ แต่มันก็เป็นไป ตามวิบาก เป็นไปตามธรรมะนะ เราก็ไม่ได้แกล้ง มันเป็น ก็รักษาดูแลบำรุง จะพักผ่อน จะใช้ยาช่วยเหลือเฟือฟาย ใช้ธาตุเทอดอะไร ช่วยเหลือ ก็เอาไปนะ

ก็คิดว่าพวกเราจะเข้าใจอะไรขึ้นมาเรื่อย ๆ นะ อย่างนี้ใครเอาก็เอา น้อยไม่ว่า อาตมาบอกว่า น้อยไม่ว่า อาตมาไม่ได้คิดใหญ่ คิดโตอะไร คิดเอาความจริงส่วนหนึ่ง สร้างความจริงของ สังคมมนุษยชาติ ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ท่านว่าไว้นี่แหละ เป็นมวลมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งสิ้นของ พรหมจรรย์ มีพรหมจรรย์หนึ่ง มีอาณา เรียกว่าอาณาจักรก็ไม่ได้ เรียกว่า วงจักรอันหนึ่ง วงจักรของ มนุษย์อันหนึ่ง ที่จะมีวงจักร ที่จะมีคุณธรรมอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ มีความเป็นไปอย่างนี้ มีความเป็นอยู่ อย่างนี้ ได้แค่ไหนก็เอา ถ้ามันใหญ่พอเป็นไปได้ ก็เอา ถ้ามันใหญ่มาก จนมันจะฉุดมันจะรั้ง มันจะทำให้เสื่อม ไม่เอา เอาให้มันพอเป็นไปได้ เจริญนี่แหละ เอาแค่นี้น่ะ

อ้าว ! เอาละสำหรับวันนี้เลยเวลาไป ๕ นาที พอ



จัดทำโดย โครงงานถอดเทปธรรมะฯ
บันทึกข้อมูลโดย ทีมงานคุณกัญญา พุ่มรัตนา มีนาคม ๒๕๔๗
เข้าปกโดย สมณะพรหมจริโย
copy 088s.doc ความพร้อมเพรียงพิสดาร ๒ กันยายน ๒๕๒๙