ตอบให้ถึงพุทธ
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์

เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๓๕
ณ พุทธสถาน ปฐมอโศก
แสดงแก่เด็กนักเรียนโรงเรียนสัมมาสิกขา ปฐมอโศก


เด็ก ถาม : คำถามนี่พ่อท่าน ตอบได้ไหมครับ

ตอบ : ไม่รู้ซิ ยังไม่เจอคำถาม จะตอบได้หรือไม่ได้ก็ไม่รู้

ถาม : พ่อท่าน คิดว่าจะตอบได้ไหมครับ

ตอบ : อาตมาตอบได้เกือบทั้งหมดนะ

ถาม : มันลึกซึ้งนะ

ตอบ : เอาเถอะน่า (เสียงหัวเราะ) ลึกซึ้งขนาดไหนก็เถอะ ว่ามาก่อน มันจะลึกซึ้งขนาดไหน

ถาม : ท่าน นรวีโรนะ ท่านเคย ก่อนจะไปจากนักเรียนนี่นะฮะ เทอมที่แล้ว นี่นะฮะ บอกนะแหละ จะไปนะ ท่านบอกว่า นักเรียนนี่ มาอยู่ที่นี่ รู้ไหมว่า พ่อท่านเป็นใคร และก็มาอยู่ที่ปฏิสันถาร ผลิตภัณฑ์ถั่วนะครับ อาหินก็เล่าให้ฟังอีก น้าฟ้า ก็เล่าให้ฟังอีก อาหินก็เล่าให้ฟังอีกว่า พ่อท่านเป็นใคร อาหินก็ไม่รู้ อาฟ้า ก็ไม่รู้ครับ ก็อยากถามว่า พ่อท่านเป็นใคร แต่ลึกซึ้งนะครับ ห้ามตอบว่า พระโพธิรักษ์ แล้วก็ ท่าน รัก รักพงษ์ นะครับ

ตอบ : โอ้โฮ! (หัวเราะ) อาวๆ บอกให้ฟังนะ ในฐานะที่เราก่อน อาตมาทำงานศาสนาเป็นคนนั้น คนที่พวกเรา จะรู้อะไร แหม รู้ได้ยังไง ประวัติ อะไร ไม่พูดถึงชาติที่แล้วหรอก เขาไม่พูด เขาพูดในชาตินี้ ไม่มีในพระไตรปิฎก ไม่มี ในพระไตรปิฎกนั่น มันสองพันกว่าปีโน่น พระไตรปิฎก มันสองพันกว่าปี ไอ้นี่ มันไม่ใช่ชาติแค่นั้นๆ ไม่ใช่ชาติที่แล้ว ไม่ใช่ชาติที่ กี่ปี ร้อยปี สองร้อยปี สามร้อยปี ห้าร้อยปี แปดร้อยปี ผ่านมานี่ ก็มีตั้งเยอะ ตั้งแยะน่า อาตมารู้ แต่อาตมา บางอันไม่รู้ๆ ละเอียด มันลึก มันระลึกไม่ได้ อาตมาระลึกไม่ได้ละเอียดทั้งหมดหรอก ระลึกได้นิดๆ หน่อยๆ ระลึกได้พอสมควร แต่ว่า อาตมาไม่ใช้ สิ่งคนที่คนไม่รู้ด้วย ไม่สามารถรู้ด้วยเอามาพูด เพราะว่า ถ้าพูดแล้ว เป็นตัวอย่าง ประเดี๋ยวพวกเรา เดี๋ยวได้ใช้บ้าง เดี๋ยวมันหลอกกันก็มี มันไม่จริง มันไม่ได้ ไม่เอา ก็นี่นิดเดียวแล้ว

เอาอย่างนี้ ถ้าใครอยากรู้ว่า ตัวเองได้เคยเป็นลูกศิษย์กะอาตมา ในชาติที่แล้วนี่ เอาอย่างนี้ เราพิจารณา ตัวเอง จงอ่านตัวเอง ออกว่า ฟังอาตมาพูดรู้เรื่อง พูดรู้ภาษา เข้าใจอาตมาพูดแล้ว นี่ลึกซึ้ง เราก็รู้ลึกซึ้งตาม ได้มากน้อย แค่ไหน ถ้าคนฟังภาษา ที่อาตมาพูดนี่ลึกซึ้ง แล้วบอกว่าลึกซึ้ง และเข้าใจลึกซึ้งไปตามได้ คนนั้นแหละ ได้เรียนมา กับอาตมามาแล้ว ไม่ใช่ชาตินี้ชาติเดียว แต่ถ้าใครที่ฟังอาตมาพูดแล้ว แสนที่จะ ไม่รู้เรื่อง แสดงว่า เพิ่งจะมาเจอกัน ชาตินี้

ถาม : พ่อท่านครับ เมื่อตอนที่เด็กชายเก่งอยู่นะ พี่เก่งเขาถามบอกว่า พ่อท่านระลึกชาติได้ไหม เขาบอกว่า ตอบคำเดียวนะ บอกระลึกชาติได้ แล้วถึงจะถามต่อครับ

ตอบ : ถามต่อ ถ้าเผื่อว่าอาตมาบอกว่าตอบ อาตมาไม่ตอบมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว อาตมาก็ไม่ตอบ (คนถาม: ไม่เป็นไรนะฮะ) เอา

ถาม : จะถามพ่อท่านครับ ว่าตอนที่พ่อท่านยังไม่รู้จักปฐมอโศกนี่นะฮะ พ่อท่านเคยเดินมาที่ๆ ที่ปฐมเจดีย์ นะฮะ และมีชายคนหนึ่ง ที่เอาสถูปของพระพุทธเจ้ามาให้นั่นน่ะ (พระบรมสารีริกธาตุ) กระดูก (นั่นแหละ กระดูกของ พระพุทธเจ้า เราเรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ) นั่นแหละครับ เอามาให้ และตอนนี้ พ่อท่าน รู้ไหมว่า ท่านเป็นใคร

ตอบ : อยู่ ไม่ใช่ผู้ชาย เป็นผู้หญิงที่เอาพระบรมสารีริกธาตุมาให้ ที่หน้าพระปฐมเจดีย์ นี่นะ เป็นผู้หญิง เขาเอาใส่บาตร ไปบิณฑบาตแล้ว เดินบิณฑบาตกำลังจะข้ามสะพาน ที่หน้าเจดีย์ไปทางด้านโน่น ไปทางด้าน ตรงข้าม ไปทางด้านโน้นเลย กำลังเดินๆ อยู่บนสะพาน อยู่ขอบสะพาน ก็เขามาถึง เขาก็มา ใส่บาตร เอาสตางค์ แบงค์ยี่สิบมาใส่ๆ แล้วอาตมาก็รับ แล้วอาตมาก็อนุโมทนาสาธุ กะเขา และก็ฝาก บอกว่า อาตมาเป็นพระแล้ว อาตมาไม่ได้ ใช้เงินใช้ทองแล้ว อาตมาก็ฝากคืนไปทำบุญด้วยนะ เอาไปทำทาน ก็ได้นะ เอาไปทำทาน คนที่ยากจน กว่าเรา เขาจะได้เอาเงินนี่ ไปใช้เป็นประโยชน์มีคุณค่า ก็ฝากไปด้วย เสร็จแล้ว เขารับเงินคืนไป เขาก็มองหน้าอาตมา แล้วก็บอก พบแล้ว ว่ายังงั้น ดิฉันหา มานานแล้ว พบแล้ว แล้วเขาเปิดกระเป๋า แล้วควักกระเป๋าออกมา เขาก็เอาพระธาตุ มันเป็นตลับพลาสติก ไอ้ที่เขาใส่สร้อยอะไรนั่นน่ะ ตลับใส่ทอง นั่นน่ะตลับอย่างนั้นนะ ตลับสีชมพูอันนี้ เขาก็ใส่ เขาก็ควักออกมา แล้วเขาก็บอกว่า ขอถวายท่าน อาตมาก็ถามว่าอะไร อาตมานึกว่าสร้อย เพราะไอ้กล่องนี่ อาตมาเคยเห็น สั่งซื้อสร้อยเมื่อไหร่ เขาก็ใส่ตลับอย่างนี้มาให้เสมอนะ อาตมาก็นึกว่า สร้อย

อาตมาก็ถามว่าอะไร เขาก็บอกว่า พระบรมสารีริกธาตุ อาตมาก็บอกว่า อ้าว พระบรมสารีริกธาตุ เอามา ให้อาตมา ทำไมๆ เขาบอกว่า ท่านต้องเป็นผู้รับไปรักษา ต้องเป็นผู้รับไว้แล้ว เพราะว่าตอนนี้ หมดเวลา ของเขา ของดิฉันที่เก็บ เอาไว้แล้ว ถึงเวลาที่จะต้องให้แก่ท่านไปแล้ว

อยู่ อยู่ที่สันติ เป็นใคร ไม่รู้เขารึ จะมาถามอาตมาได้อย่างไร ต้องไปถามเขา ทำไมเขารู้ ก็ต้องไปถามเขาซิ ถามอาตมาทำไม ถามอาตมา ก็ต้องถามอาตมาซิ ไปถามเขาอีก เขาบอกว่า เจอแล้ว ถามเขา ก็ไม่มีปัญหา อาตมาตัดปัญหา ไปตั้งนานแล้ว ก็รูปปั้นของพระพุทธเจ้านี่ ก็รูปปั้น ของพระพุทธเจ้า ใช่ไหม และมันเป็น พระพุทธเจ้าหรือเปล่า พระพุทธรูปน่ะ ไม่ใช่สักรูป และ รูปไหนหน้าเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ยังไม่รู้เลย เราถือว่า เป็นรูปพระพุทธเจ้า ได้กราบเคารพ บูชากันอยู่ ตั้งเยอะแยะ แบบนั้น แบบนี้ แบบสุโขทัย แบบอู่ทอง แบบอยุธยา ตั้งเยอะแยะไป และกราบเคารพ เป็นรูปแทนพระพุทธเจ้า อันนี้เขาบอกว่า เป็นกระดูก ใกล้ชิดกว่า รูปพระพุทธเจ้าอีก ก็อย่างนั้นยังเชื่อ อันนี้นะ น่าเชื่อกว่า อาว ก็ถือว่าเป็น พระบรมสารีริกธาตุ ไม่มีปัญหาอะไรนี่ ก็เก็บไว้ให้

อาตมาก็ถามเขา ถามอีกว่า ทำไมถึงเอามาให้ ถามอีกยาว อีกพอสมควร อาตมาก็ซักไซร้ไล่เลียง ทำไม ถึงเอามาให้อาตมาเล่า บอกว่า ถึงเวลาที่จะต้องให้แล้ว นี่เป็นชุดสุดท้าย เขามีมาก พระบรมสารีริกธาตุ เขาได้ และ เขามีไว้มาก และเขาได้แจกไป และเขาก็ได้ทูลเกล้า ถวายไปหมดแล้วด้วย ยังเหลือชุดนี้ เป็นชุดสุดท้าย ต้องพบผู้ที่สมควร จะต้องให้ เขาได้มาพบแล้ว เขาบอกเขาพบแล้ว เขาจะต้องถวายไป

อาตมาก็ถามว่า คุณแน่ใจหรือ เขาบอกเขาแน่ใจๆ อาตมาก็บอกว่า ตกลง ถ้าคุณแน่ใจ อาตมาก็รับ ไม่ได้ถามหรอก อาตมาก็รับมา พอรับมารู้ไหม พอบิณฑบาตเสร็จ ก็เข้าไปในบริเวณพระปฐมเจดีย์ ที่อาตมาปักกลด อยู่ใต้มะม่วง แถวนั่นน่ะ พอไปเดี๋ยวแผ่นดินไหว ไม่มันไหวทั่วไป ไม่ใช่อยู่ที่นั่นหรอก มันไหว แผ่นดินมันกระเทือน อาตมาจำไม่ได้ พ.ศ. อะไร ไม่ แต่เดาเอาเท่านั้นเอง ไม่ตรงฮะ ไม่เดา เขาเดากัน เขาก็เดากันใหญ่เลย คนนั้นคนนี้ เขาก็เดากันไป เยอะไป พูดต่อปากต่อคำ อาตมาก็ห้าม ไม่ให้พูดมาก ที่นี่ (ฮ๊ะ)

ก็ในราวอายุ ก็ยังไม่แก่นะ ก็คงไม่ถึง ๔๐ ผู้หญิงอายุ ๓๐ กว่า ยังไม่ถึง ๔๐ หรอก ไม่รู้ จำไม่ได้แล้ว สวยไม่สวยไม่รู้ ไม่พบไปหรอก เขาก็เดินไป อาตมาก็ไม่ได้เดินตาม ก็เพราะอาตมา เดินบิณฑบาต จะไปเดิน ล็อกแล็กมองๆ ล็อกๆ แล็กๆ มองดูอย่างนี้ยังไงละ อาตมาก็เดินสำรวม บิณฑบาตไป เมื่อก่อนนี้ สำรวม เรียบร้อย มากกว่านี้ เดี๋ยวนี้มันเร็ว เดินจากนี่ไปโน่น โอ้โฮ! มันไกลนะ และไปเดินในเมือง มันก็อาจจะช้าได้ เดินอยู่ในเมือง เดินอยู่ข้างนอกนี่ มันเร็ว จ้ำๆๆ มันก็ หลุกหลิกๆ มากหน่อย

๑๒ องค์ มันมีพระธาตุอยู่ ๑๒ องค์ หลายสี มีสีดำ สีเหลือง สีชมพู สีแดง สีอะไรหลายๆสีเลย เหมือน เพชรพลอย ไม่เป็นรูปเม็ดข้าวสารหรอก เป็นเม็ดรูปร่างต่างๆ หลายรูปร่าง เขาว่าอย่างนั้น พระธาตุนี่ เขาว่าเอาไปแช่น้ำ แล้วจะลอยได้ จะลอยไม่ได้ลองๆ เหมือนกัน ลองก็ลอง ก็เยอะแยะ

ก็อาตมาไม่ได้ บิณฑบาตที่เดียวนี่ หลายรูป อยู่เรียงกัน หลายรูป พระรุ่นเก่าๆ ตอนนั้นมานานๆ แล้ว ตั้งแต่ ออกจากพุทธสถาน นี่จำไม่แม่น ๒๕๑๘ หรือไง นี่ ก็เป็นประวัติ ตอนหลังๆนี่ ได้อีก ตอนนี้พระธาตุ อยู่ร้อยกว่าองค์ ตอนนี้ร้อยกว่าองค์ อันนี้มี ๑๓ รูป นี่เอง และ ตอนหลัง ก็ได้มาอีก สองชุด สามชุดได้มา เดี๋ยวนี้ มีตั้งเยอะ เพราะฉะนั้น ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร

พอเราสร้างศาลาวิหารสันติอโศกเสร็จ มีสถูปทั้งหมด เอาพระธาตุนี่ ไปไว้ทั้งหมดเลย หายอะไรยังไง เอาไปไว้ที่สถูป หยั่งรวมเอาไว้ที่ดีเลย จะหายยังไง โน่นอยู่ข้างบนนี่ ศาลาวิหารเสร็จแล้วก็ ไม่เหมือนกัน ชุดแรก ชุดสอง ชุดสาม ได้มา ก็ไม่เหมือนกันนะ ชุดแรกจะมีสีสัน มากกว่าชุดอื่นๆ มีแต่ชุดแรกนี่ มีสีสันมาก ชุดอื่นๆ ก็ไม่ค่อยมีสีสัน อะไรมากมาย เม็ดเล็กมากกว่า ชุดอื่นได้เม็ดเล็กๆ ไม่ทุกสีหรอก ไม่กี่สี

ถาม : มาตอนแรก ทำไมถึงไม่ตบยุง หมายความว่ายังไง

ตอบ : ถือศีลเคร่ง ก็ศีลธรรมดา ก็บอกว่าไม่ฆ่าสัตว์ ตบมัน ก็ฆ่ามันน่ะซิ ตบมันทำไมเล่า

อาตมาก็คิดยังไง ก็รู้ด้วยปัญญาธรรมดา ที่ไปตบยุงมันก็ตายนะซิ จะไปตบมันทำไมล่ะ มันก็ตาย มันก็ฆ่าสัตว์ทำไมล่ะ

ก็ธรรมดาตบยุง มันก็คือตาย ตายก็คือ ฆ่าสัตว์และไปฆ่ามันทำไม ก็รู้อยู่แล้ว ฆ่าสัตว์ และเราก็เข้าใจด้วย ปัญญา เราก็ไม่ตบ ก็รู้ๆ อยู่ตบยุง ยุงมันก็ตาย ก็รู้ๆอยู่ เราฆ่าสัตว์ เราจะไปฆ่ามันทำไมล่ะ

เรื่องของพระข้างนอกเขา ก็ช่างของเขาเป็นไรล่ะ ขนาดศีลบอกว่า อย่ากินเหล้า แล้วไปดื่มเหล้า แล้วจะให้พูด ยังไงนะ ก็เขาไม่ปฏิบัติศีล ปฏิบัติธรรม และเราปฏิบัติก็ปฏิบัติ มันรู้มันก็เข้าใจแล้ว มันก็ง่าย มันก็เข้าใจแล้ว เราไม่ฆ่าสัตว์ ก็คือเราไม่ตบยุง เราไม่ฆ่าสัตว์ เขาบอกว่าไม่กินเหล้า เราก็ไม่เอาเหล้าเข้าปาก เราก็ไม่ดื่ม มันก็ตรงๆ มันก็ไม่เห็นยาก ตรงไหนเลย อาตมาไม่ได้ติดเหล้า เห็นพระข้างนอกกินเหล้า ก็ผิดอยู่แล้ว อาตมาไม่ได้ติดเหล้า ก็รู้อยู่แล้ว ยิ่งไม่มีปัญหาใหญ่เลยฮ่ะ

อย่างนี้ มันต้องหัดฝึกนะ หัดฝึกมีสติ หัดตั้งใจก่อนนอน ตั้งใจ เออว่า เราจะนอน เราจะนอนท่าไหน ถ้าเรารู้สึกตัวแล้ว เราจะต้องตรวจตัวเองดูให้ได้ มีสติ พอเรารู้สึกตัวพับ เราก็ดูว่า เรานอนท่าไหน ที่เราก่อนนอน ท่าไหน พอเรารู้สึกตัว เราหยุดอยู่ในท่านั้นหรือเปล่า ถ้าไม่อยู่ในท่านั้น จะต้องตั้งใจใหม่ เราจะต้องอยู่ในท่าเดิมให้ได้ จะพลิกตัว หรือว่า จะขยับเขยื้อนตัวเมื่อไหร่ ต้องตั้งใจว่า รู้สึกตัว จะขยับ เขยื้อนแขนขา ตัวอะไร จะขยับไปทางไหน จะต้องรู้สึกตัว นั่นแหละ ต้องตั้งใจฝึก ถ้าไม่ขยับเขยื้อนไปที่อื่น นั่นแสดงว่า เก่ง ถ้าตื่นมา ไม่ได้เปลี่ยนท่า นั่นเก่ง ท่าเปลี่ยนไปแล้ว นั่นเราแสดงว่า เราเลอะไปแล้ว ขาดสติ ถ้าตื่นมาแล้ว ที่จะต้องรู้สึกตัวว่า เราจะเปลี่ยนเมื่อไหร่ นอนหลับนี่แหละ แม้แต่จะขยับกาย จะเปลี่ยนแขน เปลี่ยนขา จะเปลี่ยนท่าอะไร จะต้องให้รู้สึกตัว ขยับตัว มันไม่ปลุกหรอก ไม่เกี่ยวกับนาฬิกาปลุก ความรู้สึกตัว เวลานอนนี่ เราจะต้องตั้งใจบอกตัวเอง เราฝึกเลยว่า เรานอนท่าไหน ส่วนมาก เรานอน ท่าอะไร รู้ ไหม ฝึกท่าที่สำคัญ นอนตะแคงขวา ท่านอนสีหไสยาสน์

นอนหงายท่าเปรตไสยาสน์
นอนตะแคงซ้าย กามโภคีไสยาสน์
นอนคว่ำ เดรัจฉานไสยาสน์

และมีอีก ไสยาสน์หนึ่ง ๆ ที่เรียกว่า จะนอนตะแคงขวา หรือจะนอนหงายก็ตาม หรือนอนคว่ำ นอนตะแคงซ้ายก็ตาม มันมีสี่ท่าเท่านั้นแหละ นอนนั่นน่ะไม่ตะแคงขวา ก็ตะแคงซ้าย ก็นอนหงาย หรือ นอนคว่ำ มันก็มีสี่ท่า เท่านั้นแหละ กลับหัว กลับหางไปไหน มันก็สี่ท่านั่นแหละ ไม่คว่ำก็หงาย ไม่ตะแคงขวา ก็ตะแคงซ้าย

เอาเดี๋ยวจะอธิบายความหมาย เอ้า ฟังดีๆ และเขามีอีกภาษาหนึ่ง เรียกว่า พุทธไสยาสน์ หรือ ตถาคตไสยาสน์ ไม่ใช่นั่ง นอน ไสยาสน์ แปลว่านอน ไม่ใช่ว่านั่ง เฮ้ยไปเรื่อยเลย ดำน้ำไปเรื่อยเลย แหม เถียงไปเรื่อย

พุทธไสยาสน์ หรือตถาคตไสยาสน์ ตถาคตหมายถึงใคร พระพุทธเจ้า พุทธไสยาสน์ หรือ ตถาคตไสยาสน์ อันเดียวกัน ท่านหมายความว่า ถึงจะนอนท่าไหนก็ตาม นอนอย่างเป็นพุทธะ หรือนอนอย่างพระพุทธเจ้า เป็นผู้ตื่น เป็นผู้รู้สึกตัว เป็นผู้ที่ไม่หลงใหล ไม่นอนหลับใหล ไม่มีกิเลส ถ้านอนอย่างนี้ ถ้าจะนอนท่า ตะแคงขวา จะนอนท่าหงาย จะนอน ตะแคงซ้าย จะนอนคว่ำอะไร ก็ถ้ามีสติรู้ ตัวทั่วพร้อมจริงๆนี่ เรียกว่า พุทธไสยาสน์ หรือตถาคตไสยาสน์ เป็นการนอน ที่รู้ตัว ดี แต่ทีนี้ ท่านก็อธิบายว่า

ถ้านอนท่าตะแคงขวานี่ มันเหมือนสีหะ หรือสิงห์ สิงห์เป็นเจ้าป่า เวลานอน จะนอนเหยียดตะแคงขวา มันสัตว์สี่ขา มันก็นอนเหยียดขาไปยังงี้ มันก็นอน ก่อนจะนอน มันจะตรวจดูรอบทิศก่อน เรียบร้อย ไม่มีอะไรนะ แล้วมันก็นอน นอนเสร็จแล้ว มันก็จะนอนอยู่ท่านั่นน่ะ สิงห์นี่ พอนอนมันก็นอน ท่าตะแคงขวา พอนอนเสร็จแล้ว ถ้าตื่นขึ้นเมื่อไหร่ พลิกตัวขึ้นเมื่อไหร่ สิงห์นี่ พอรู้สึกตัว จะยกหัว ขึ้นนำก่อน แล้วก็มองดูรอบทิศๆ มองดูตรวจดูให้รู้ว่า มีอะไรต่ออะไร ไม่ใช่ว่า งมงายพรวดๆพราดๆ หรือว่าดิ้นไม่ใช่ว่านอนเวลาลุก ไม่ใช่ว่า เวลาตื่น รู้สึกตัวแล้วว่า ตั้งสติ แล้วก็มอง รอบตัวรู้ได้ ไอ้นอน ลุกขึ้นมายังไม่รู้เลย งุ่มงัวๆ เงียๆ (เสียงหัวเราะ) เหมือนเลย ชนดะเลย งัวเงียๆๆ ยังงี้ มันก็ใช้ ไม่ได้ มันไม่ได้เรื่อง เพราะฉะนั้น เราจะต้องมีสติ ตั้งแต่ยังไม่ลุกขึ้นมา หรือยังไม่เขยิบกายขึ้นมาด้วยซ้ำไป

แม้แต่พอลืมตาแล้ว ก็จะยกหัวขึ้นมา ดูรอบทิศ เหมือนสิงห์ก็ได้ เสร็จแล้ว ถึงค่อยเขยิบลุกตัวลุกขึ้นมา สิงห์ทำอย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็เอามา เปรียบเทียบให้คน ให้ฝึกหัดว่า คนนี่ ที่นอนหัดฝึก มีสติ ถ้านอน ด้านนี้แล้ว เป็นได้ เป็นการนอนที่สุขภาพดี นอนตะแคงขวา คนเราธรรมดา หัวใจมันอยู่ข้างซ้าย น้ำหนัก มันลงไปข้างนั้น เพราะฉะนั้น ท่าลงทางนี้ หัวใจมันอยู่ทางซ้ายมันก็ดี นอนข้างนี้แหละ คนเราถนัดขวา เรานอนข้างนี้แล้ว ทับขวาแล้วนี่ หมายความว่า ถนัดขวา เราเอง เราไม่กังวลแล้ว คราวที่จะใช้ขวานี่ จะหยิบ จะจับ คว้าไอ้โน่นไอ้นี่ จะกินจะใช้ ใช้มือขวา เป็นตัวเก่ง เพราะฉะนั้น เรานอนข้างนี่แล้ว มือนี่ อยู่ข้างซ้าย มันจะไม่กระไรมากหรอก ก็เพราะว่า มือซ้าย มันไม่ค่อยถนัด ก็เรียกว่า เป็นการนอน ที่ปล่อยวางโลกีย์ ปล่อยวางกาม ปล่อยวางโภคี หมายความว่า มือนี่ไม่ไขว่คว้าอะไร เพราะมือซ้าย มันไม่ใช่ตัวต้องคว้า มือขวา เรานอนข้างนี้ มือขวาก็ข้างนี้ ก็หมายความว่า เก็บมือแล้ว แต่ถ้านอนข้างซ้ายนี่ ไม่ค่อยถูกลักษณะ เพราะว่าหัวใจอยู่ข้างซ้าย อีกอย่างหนึ่ง มือขวา เรียกว่าข้างซ้ายนี่ นอนทับ

ข้างซ้ายนี่ เขาเรียกว่ากามโภคี ก็คือ ผู้บริโภคกาม เพราะฉะนั้น มือขวานี่ แหม คว้าอะไรเอามาบริโภค ได้หมด อะไรๆ ก็มือขวานี่ เป็นมือเปิดแล้ว ไม่ค่อยดีนัก เรียกว่า กามโภคี

นอนหงายนี่ มันสบาย เสพ พอนอนหงาย มันไม่ต้องรักษาศูนย์ถ่วง ไม่ต้องรักษาอะไรนะ มันนอนตะแคงนี่ มันต้อง รักษาศูนย์ถ่วง ใช่ไหม ไอ้ที่รองรับนี่ มันก็สันนี่ มันนอนยาก เพราะไอ้นี่มันต้องระวังรักษา อย่าพลิก ไม่ล้มไปหน้า มันก็ล้มไปหลัง ใช่ไหม แต่ถ้าเรานอนงอขา มักน็ค้ำเอาไว้ให้ แต่ถ้าไม่งอขา มันจะไม่ค้ำ นอนเหยียดตรง ท่านหัดให้ๆ นอนให้เหยียดตรง เท้าเหลื่อมเท้าๆ ซ้อนเท้า ไม่ใช่นอนแล้วขาสะเปะสะปะ ไปแยกอะไรไม่ เท้าซ้อนเท้านะ ยากนะ ใครนอนแล้ว รักษาเท้าซ้อนเท้าเอาไว้ได้ แล้วรู้สึกตัว เท้าซ้อนเท้า ได้นี่ ชั้นหนึ่ง ขนาดอาตมายังยากเลย นอนเท้าซ้อนเท้า นี่ ส่วนมากนะ ยาก นอนเท้าซ้อนเท้านี่ ไม่ยังงั้นแล้ว มันจะตก จะไม่อยู่ละ เท้าซ้อนเท้า มันยาก เรานอนอย่างนี้ เราต้องใช้กำลังงานส่วนหนึ่ง กำลังงานรักษาว่า เวลาเรานอนนี่ ไม่ให้มันพลิกคว่ำลง ไม่ให้มัน พลิกหงายลงไปยังไงล่ะ มันยากนะ นอนตะแคง แต่ถ้านอนหงาย มันไม่พลิกไปไหนหรอก แบนเลย มันก็นอนราบน่ะ ถ้านอนหงายนี่นะ มันก็เสพเลย สบายถึงเรียกเปรตไสยาสน์ นอนไม่ต้องรักษาแหละ ไม่ต้องใช้กำลังงาน ควบคุมเลย นอนแบหลาเลย นี่สบาย แม้แต่เวลาจะนอนหงาย ก็หัดระวัง เท้าก็ให้ชิด มือก็ให้แนบ ไม่ใช่ว่า นอนหงายก็ แหม ไม่รู้ท่าไหน ไม่รู้น่าเกลียด อย่าว่าแต่ผู้หญิงเลย ผู้ชายก็น่าเกลียด นอน แหม แบหลาเลย ไม่รู้ท่าไหน เท้า ขาไปยังไง ก็ไม่รู้ ไม่เข้าเรื่องเลย เดี๋ยวซิ อาตมาอธิบายยังไม่จบเลย เปรตไสยาสน์ ก็ยังไม่จบ เดรัจฉานไสยาสน์ เมื่อกี้ทำไม จึงเรียกเดรัจฉาน

พอเราหัดนอนนี่อย่างกาม ตะแคงขวาสิงหะ ตะแคงซ้ายกามโภคี นอนหงายเป็นเปรตไสยาสน์ สบายแล้ว ก็หัดนอน ถึงแม้จะ นอนหงาย ก็ระวัง อย่าให้มันดีดดิ้น แหม มือเท้าอะไรไปท่าไม่เข้าเรื่องอะไรไม่เข้าราว นอนให้เรียบราบ เท้าชิดเท้า แล้วก็นอนให้มันเรียบนะ เหมือนคนนอนในโลงศพ เห็นไหม ไม่ถึงขนาดพนม เหมือนโลงศพหรอกนะ คนนอนในโลงศพ นี่เขามีท่าให้นอน ประณมมือ เรานอนก็ให้มือเหยียด ไปตามลำตัว ธรรมดา แล้วนอนตื่นมา ก็ไม่รู้สึกตัวว่า เอ๋ นี่ขา เราไปดิ้นไป เบี้ยวไปมา แขนดิ้นไปเบี้ยวไปมา อันไหนหรือเปล่า ถ้ารู้สึกตัวว่า มันไม่อยู่กับที่ สำทับตัวเองด้วย เราจะต้องนอนให้เรียบร้อย มีสติ จะขยับ เขยื้อนตัวเมื่อไหร่ เราจะไม่ให้มันเขยิบขยับไป โดยที่เรา ไม่รู้สึกตัวไม่ได้ ถึงจะต้องขยับตัว ก็ให้รู้สึกตัว และเราก็จะมีสติรู้ตัว เราจะเอาแขนไปในรูปร่างนั่น รูปร่างนี่ มันไม่สุภาพ ไม่ดี เราต้องสังวร ระวังนั่น หัดอย่างที่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่า นอน แล้ว ผ้าห่ม ก็ไม่ไปข้างๆตัว ไม่ไปข้าง ไม่ต้องกลัว ถ้าหัดอย่างนี้ นี่ๆมันไม่เข้าท่า เลยยังไม่ได้ฝึกเลย ก็แน่นอน ระวังที่นุ่งผ้าถุง ผ้าเถิง ระวัง น่ากางเกง ก็นั่นแหละ ถ้าไม่หัด ไม่ฝึก จะนุ่งผ้าถุง หรือจะใส่กุงเกงอะไรก็แล้วแต่ สมควรหรือ ที่เราจะต้องไปดิ้น ไปเดิ้น ไปอะไร ถ้าเผื่อไม่หัด ไม่ฝึกเหรอ ระวังเถอะนะ

พวกอาตมาก็นุ่งเหมือนพวกคุณ ผ้าสบงก็เหมือนผ้าถุงนั่นแหละ ถ้านอน ดิ้นๆ หรือนอนไม่ระมัดระวังตัว มันก็โป๊หมด เหมือนกันนะ แต่ก็ต้องนอนฝึกปรือกัน ถึงจะไม่โป๊ เรียบร้อย ต้องหัดฝึก

เอ้า ทีนี้ก็นอน เดรัจฉานไสยาสน์ นอนคว่ำ เดรัจฉานไสยาสน์ มันเหมือนพวกสัตว์เขานอน สัตว์นอน ก็เหมือน สัตว์เดรัจฉานไสยาสน์ มันก็ตามรูป นะ เขาก็เรียกเดรัจฉานไสยาสน์ ก็เท่านั้นเอง ฮ่า ลิงนอน ท่าไหนนะ มันก็นอน ทุกท่า แหละนะ แต่ละตัวก็นอน ไม่เหมือนกัน ลิงนอนทุกท่า เอาที่ถามเมื่อกี้นี้

ถาม : เด็กชาย ดินดำ พ่อท่านครับ ก่อนที่พ่อท่าน จะมาอยู่ ปฐมอโศก นี่นะฮะ ยังไม่รู้อโศก ยังไม่รู้จัก อโศก

ตอบ : อะไร อาตมาเป็นคนตั้งอโศก อาตมาจะไม่รู้จักอโศกได้ยังไง

ถาม : ไม่ใช่ฮะ แต่ก่อนนะฮะ ยังไม่รู้จักอะไรเลย บวชแบบพระข้างนอก ครับ ยังไม่เป็นพระข้างในนะฮับ แล้วพ่อท่าน เอาคำสอน จากใครมา ในคำถามที่หนึ่งนะครับ เอาคำสอนจากพระพุทธเจ้ามา ใช่ไหมครับ

ตอบ : เอา ตอบเองเสียอีก

ถาม : ไม่ใช่ครับ แอ๋ แต่ทำไมพ่อท่านเปลี่ยนหลักคำสอนของพระทั่วไปล่ะครับ

ตอบ : ไม่ได้เปลี่ยนหรอก

ถาม : เปลี่ยนจากพระทั่วไป

ตอบ : ไม่ได้เปลี่ยน

ถาม : เอาตามพระพุทธเจ้าหรือครับ

ไม่ใช่ครับ ก็อยากทราบว่าพ่อท่านเอาแนวคิด เอาแนวอะไรมา

ตอบ : ถามอย่างนี้ก็ดี เข้าใจไหม เข้าใจที่สื่อเขาถามกันใช่ไหม

ถาม : พ่อท่านลอง เอาแนวคิดมาจากไหน

ตอบ : เอาๆ อาตมาจะสรุปคำถาม หรือว่า ทวนคำถามของเดชเขานะ เขาถามอย่างนี้ เขาหมายความว่า อาตมานี่ พอมาบวชแล้ว อาตมาก็ อาตมายังไม่ได้เป็นอย่างนี้น่ะ แรกๆ ใหม่ๆ ก็ตาม อาตมาไปเอาคำสอน ทำไมอาตมาถึง เป็นอย่างนั้น ก็เพราะว่า อาตมาก็เล่ามาแต่ตอนต้นแล้วว่า

อาตมาเป็นคนทำงานศาสนามาหลายชาติแล้วๆ ก็ถึงบอกว่า มาชาตินี้ อาตมาไม่ได้เรียนธรรมะ จากใครนะ อาตมาไม่ได้มี ครูบาอาจารย์ ฟังธรรมะอาตมาไม่เคยมีอาจารย์ สอนความรู้ทางศาสนาของพุทธธรรม นี่ให้อาตมา ซึ่งอาตมา มีความรู้จากอาจารย์นั่นสอน อาตมาได้มาเอง ของตัวเอง มีมาเอง มาตั้งแต่ ปางก่อน ชาติก่อน ถึงบอกว่า เล่าให้ฟังไม่ได้ ว่าชาติก่อน อาตมาเรียนมายังไง อาตมาเล่าไม่ได้ มันเป็นเรื่อง ใครจะมาถาม รู้กับอาตมาไม่ได้ นิดก็ไม่ได้

ถาม : พ่อท่านครับ งั้นพ่อท่านก็เป็นแบบปัจเจกแต่สอนได้ (นั่นแน่ะปัจเจกนี่ แปลว่า รู้ด้วยตัวเอง แต่ไม่สอนใคร และปัจเจก รู้เสียด้วยว่า รู้ด้วยตัวเอง) และ พ่อท่านรู้ตั้งนานแล้ว (ไม่ใช่คุยนะ) ถ้าพ่อท่าน ไม่เป็นปัจเจกแล้ว เขาเรียกว่า ยังไงครับ พ่อท่านรู้เอง แต่สอนคนอื่นได้

ตอบ : เอาอย่างนี้ ดีเหมือนกัน ถามยังงี้ อาตมาจะขยายความให้ฟัง ในเมืองไทยนี่นะ เขาเข้าใจว่า ปัจเจกพุทธะ คือ ผู้ที่รู้เอง แต่สอนใครไม่ได้ เขาว่าอย่างนั้นนะ เขาว่าปัจเจกพุทธะนี่ ในเมืองไทยนี่นะ ทางเถรสมาคม หรือ ส่วนใหญ่นี่ เขาเข้าใจว่า ปัจเจกพุทธะ นี่รู้เอง ด้วยตนเอง แต่สอนใครไม่ได้ เขาว่าอย่างนั้นนะ

แต่อาตมาเอง อาตมามาค้านแย้งกับเขาว่าปัจเจก ถ้าของพระพุทธเจ้านี่นะ สายของพระพุทธเจ้าโดยตรง นี่ ไม่ได้เป็นอย่างนั้น ปัจเจกของพระพุทธเจ้านี่ สอนได้ๆ ของพระพุทธเจ้านี่ แต่ที่บอกว่า ปัจเจกพุทธเจ้า หรือว่า คนทั่วไป หรือว่า ที่เขาพูดกันที่ว่า ปัจเจกพุทธเจ้านี่คือ ปัจเจกพุทธเจ้าสอนไม่ได้นั้น หมายความว่า รู้แต่ของตัวเอง ปัจเจกพุทธเจ้า นี่แปลว่า ของตัวเอง รู้ของตัวเอง ทั้งนั้น และบอกคนอื่นไม่ได้ เขาอธิบาย ความหมาย ปัจเจก หรือ ปัจจัตตัง หรือปัจเจกหมายความว่า ของตัวเองน่ะ เฉพาะตัวเอง เขาแปลว่า เฉพาะตัวเอง มันเป็นส่วนเฉพาะตัวเอง ปัจเจกนี่ ภาษาอังกฤษเขาว่า Individual General มันต่างกัน General มันทั่วไปเป็น General ทั่วไป อันนี้มัน ตรงกันข้าม อันนี้มันของเฉพาะตัวเอง นั่นมันทั่วไป General มันทั่วไป มัน Individual มันเฉพาะตัว เพราะฉะนั้น ของพระพุทธเจ้านี่ ต้องด้วยตนแล้ว รู้แล้ว ก็สามารถบอกให้คนอื่นได้ จึงเรียกว่า รู้

ส่วนคนรู้ของตนนั่น อธิบายไม่ได้ นี่หมายความว่า มันรู้อย่างไสยศาสตร์ มันรู้อย่างงมๆ งายๆ มันรู้ที่อย่าง ไม่รู้เหตุ ไม่รู้ผล เมื่อไม่มีเหตุ ไม่มีผล เป็นลำดับที่ว่า เพราะเหตุนี้จึงเป็นผลนี้ เหตุอย่างนี้ เป็นอิทัปปัจจยตา เป็นภาษาบาลี ท่านเรียกว่า อิทัปปัจจยตา เพราะเหตุนี้ จึงเป็นผลเพราะเหตุนี้ ไม่เป็นเหตุ เป็นผลกันอย่างนี้ ศาสนาของ พระพุทธเจ้า สอนว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ ผู้ใดที่ไม่มีเหตุ ไม่มีผลครบ พระพุทธเจ้าถือว่า ไม่รู้จริง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัจเจก อย่างเป็นพุทธ ก็แน่ละ ลูกตัวเอง งมๆ งายๆ อยู่และบอกใครไม่ได้ อย่างนั้น ไม่ใช่สายพุทธแท้

อาตมาก็เลยอธิบายของพุทธแท้ ปัจเจกนี่ก็คือ ตัวเองรู้เองจริงๆด้วย แล้วตัวเองก็สามารถบอกคนอื่นได้ เพราะฉะนั้น จึงเหนือชั้นกว่า ปัจเจกของที่เขารู้เอง แล้วไม่สอนใคร ไม่ได้เหนือกว่าของที่จะไปเป็นของ พระพุทธเจ้า คือ ปัจเจกะพุทธ ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าๆ นี่ รองของพระพุทธเจ้า เหนือกว่าปัจเจก ที่สอนใครไม่ได้ ปัจเจกที่สอนใครไม่ได้ มันยังงมงายอยู่ ปัจเจกของพุทธะนี่ สอนได้ ปัจเจกของพุทธ อาตมาก็เป็น ปัจเจกของพุทธ

ถาม : ถามว่า ผลธรรมะของพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพุทธ ทำไมจึงต้องเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน

เป็นความหมายเลยว่า ถ้าพุทธะแล้ว จะต้องเป็นคนที่รู้ นั่นความหมายหนึ่ง สอง ตื่นนั่นความหมายหนึ่ง นั่น อาตมาอธิบาย อีกความหมายหนึ่ง ตื่น สาม เบิกบาน จะต้องมีคุณลักษณะนี้ ถ้าเรียนธรรมะของ พระพุทธเจ้าแล้ว จะต้องมี คุณลักษณะอันนี้ จะต้องมีคุณลักษณะที่รู้มีปัญญา รู้เหตุ รู้ผล รู้ของจริง ตามความเป็น จริง ก็หมายความว่า ยังไง มันต้องมีของจริงรองรับ

เช่น บอกว่า มีอะไรสักอย่างหนึ่งนี่ มันก็ต้องมีอันนั้นก่อน แล้วเราก็รู้อันนั้น ได้สัมผัสอันนั้น ความจริงอันนี้นี่ รู้ของจริง ตามที่มันเป็น อย่างนั้น เช่น อาตมาจะบอกว่า เรารู้จักดาวพระอังคารไหม นั่นรู้ของจริง อย่างไม่ตามความ เป็นจริง เดาเอา เรายังไม่เคยไปเห็นจริง ดาวพระอังคาร ยังไม่เคยไปลูบ คลำ นั่น เรียกว่ารู้ ไม่ตามความเป็นจริงนะ

เรารู้จมูกของเราไหม เห็นหรือ เห็น เขามีคำถาม ว่าอะไรเอ่ย อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล แต่ไม่เคยเห็น อยู่ใกล้ๆ เราที่สุดเลย แต่เราไม่เคยเห็น คิ้ว เหรอ จมูกก็เห็นรำไร คิ้วนี่ แหม ลูกตานี่ แหม ส่องกระจกก็เห็นหมด ทุกอย่างแหละ แหม พูดอย่างนั้น หนอยยิ่งไม่เห็นไส้ เห็นพุงอะไรอย่างนี้ ไม่เห็นนี่ คอ มันยิ่งหนักเข้าไป เอาข้างนอกซิ อย่าเอาข้างใน เอาๆ ละเห็นความจริง ตามความเป็นจริง ในสิ่งนั้น แล้วก็เห็นสิ่งนั้นนะ

เรารู้จักส้มเขียวหวานไหม เพราะเคยเห็นรูปส้มเขียวหวาน เคยลูบ ส้มเขียวหวาน เคยกินรูปส้มเขียวหวาน เพราะเราเคยเห็นจริงๆ เราเคยสัมผัสของจริงๆ มันมีจริงๆน่า

รู้จักส้มเขียวหวานไหม นั่นเห็นไหม ไม่รู้จัก และก็ไม่เคยเห็นด้วย ก็ มันไม่มีนะ มันไม่มีนะ แต่บางสิ่ง บางอย่าง ที่เขาพูดถึงสิ่งนี้ แต่เรายังไม่เห็น ของจริงนี่เลย นั่นเรียกว่า เรารู้ๆ เขาอธิบาย หลายอย่า งเรารู้เราเข้าใจ นี่เราเข้าใจ ตามที่เราเรียนมา หลายอย่าง เราไม่เข้าใจ แต่เรายังไม่เห็นของจริงเลย โดยเฉพาะ ยิ่งกิเลสๆ เรายังไม่เคย มีญาณเลย ไม่เคยมีปัญญา อันลึกซึ้งเลย รู้กิเลสของเรา เรารู้ว่า กิเลสมีไหมในโลก ในตัวเรามีไหม แต่ก่อนนี้ เราเคยรู้กิเลสไหม เราเคยเห็นกิเลสไหม ทั้งๆที่มันเกิดอยู่บ่อยๆ ตลอดใช่ไหม นั่นแหละ เรายังโง่ นั่นเรายังไม่เคยเรียน เรายังไม่เคยมีญาณ เรายังไม่เคยมีปัญญา เรายัง ไม่รู้พุทธะ นั่นตัวนั้นแหละ ตัวคำถาม นั่นไม่ค่อยฟัง เรายังไม่รู้ อย่างพุทธะ นั่นแหละ เรายังไม่รู้ของจริง ตามความเป็นจริง พอเราได้มาเรียนแล้ว เราก็หัดฝึก อ๋อ กิเลสเป็น อย่างนี้หรือ โกรธ อ๋อ ความโกรธ เป็นอย่างนี้เหรอ เราอ่านออกจริงๆ เลย เรามีญาณรู้ อื้อฮือ มันเกิดที่ใจเรานี่แหละ เห็นแล้วนะ ตอนนี้ใครๆ เคยเห็น กิเลสของตัวเองบ้าง ที่มันเกิดขึ้น มีอยู่ในตัวเรานี่ อาการของมันๆ อยู่ที่ใจของเรานี่ ใครเคย อ่านออกบ้าง ใครเคยเห็นบ้าง เออ อ่านออกด้วยนะ

พอมันโกรธ แหม โกรธ มันมีอาการอย่างนี้ มันมีอยู่ในใจ นี่ เห็นเลย มันไม่ได้อยู่ที่ตรงหัว ไม่ได้อยู่ที่ปลายมือ มันไม่ได้อยู่ที่ไหน มันอยู่ในร่างกายเรานี่แหละ จิตวิญญาณหรือใจนี่ มันไม่ได้อยู่ที่ หัวใจสูบฉีดโลหิตนี่นะ ไม่ได้อยู่ ที่นี่ด้วย มันอยู่ในร่างกายเรานี่แหละ โกรธมันเป็นอาการ เป็นอย่างนี้แหละ และเราอ่านออก จริงๆเลย ขณะใดที่กำลัง เกิดๆ แล้วก็อ่านออกเดี๋ยวนั้นเลย นั่นแหละคือ รู้พุทธะ รู้ของจริง ตามความเป็นจริง แม้มันจะเป็น นามธรรม รู้ว่าเราปฏิบัติตามกฎ ตามระเบียบ ของพระพุทธเจ้า รู้ตามวิธี ของพระพุทธเจ้าแล้ว ลดกิเลสได้ ด้วยรู้กิเลส เอ้า โกรธ ก็ลดลง อยาก กิเลสมันตอนนี้ มันอยากๆ แหม มันอยากจะกิน ไอศกรีมอะไรนี่ อยาก เสร็จแล้ว เราก็ลด กิเลสเราๆไปอยากมัน ให้เหตุผลมันๆก็ไม่อยาก มันก็ลดลง พอมันลด ลงจริง เราก็เห็นมัน นั่นแหละคือ รู้อย่างพุทธะ นั่นรู้นะ เข้าใจนะว่า เพราะนั่น รู้ของจริงตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น จะเป็นวัตถุก็ตาม จะเป็น นามธรรมก็ตาม มันมีของจริง แล้วของนั่นจริงๆ แล้วว่า อ๋อ เป็นอย่างนี้เอง นี่เป็นรูปธรรม ก็อย่างที่ยกตัวอย่างไป ส้มเขียนหวาน หรือว่า อะไรแล้วแต่ ยกตัวอย่าง ให้มันเทียบเคียงให้ฟังว่า ดาวพระอังคารอะไร ยังงี้ จนกระทั่ง มาถึงนามธรรม ความโกรธ ความโลภ

คนนี่คนธรรมดา คนโลกๆ ไม่ได้เรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า นี่ เป็นคนหลับ เหมือนคน อยู่ในโลกมืด อยู่ในโลก หลับใหล งมงายไปตามโลก อร่อยก็อร่อยไปตามเขา อันนี้อยากได้ โอ๋ย อันนี้สวย ก็ถูกหลอก ไปตามใจเขา อันนี้ชังเขานะ อันนี้ต้องแสดงอาการอยู่นี้ โกรธนะ อันนี้ต้องรักนะ อันนี้ต้องชอบนะ ตามโลก เขามา หมดเลย แต่ไหนๆ ถ้าไม่ได้เรียนธรรมะ ของพระพุทธเจ้า จะเป็นไปเรื่อยนะ แล้วไม่หัดฝึกเลิกหรอก ไม่มาเรียนรู้ เพื่อหัดฝึก เพื่อจะเลิก อย่างนั้นหรอก เป็นอย่างนั้นดีไม่ดี ไปหัดให้มันมีแรงกว่าเก่าด้วย ฉันจะโกรธยิ่งกว่าด้วย ฉันจะโลภ ยิ่งกว่าเก่าด้วย ไปอย่างนั้นเลยปุถุชน จะต้องมีกิเลสโลภ โกรธนี่ หนาเพิ่มขึ้นเลย นั่นคือคนอย่างหลับใหล คนอยู่ในความมืด คนที่ยังไม่มีธรรมในจักษุ คนยังไม่มีดวงตา เห็นธรรม ตายังหลับอยู่ ยังงมงาย ยังไม่เปิด เปลือกตาเลย จึงเรียกว่า คนยังไม่ตื่น

ส่วนคนได้ฟังธรรมมาจากพระ พุทธเจ้าแล้ว ก็รู้สึกเข้าใจ อ๋อ มันจะต้องมาอยู่อีกโลกหนึ่ง โลก พระพุทธเจ้า เรียกว่า โลกุตระ โลกใหม่

โลกก่อนนี้ เรียกว่าโลกโลกีย์ โลกคนๆ อยู่โลกียะ พอมาฟังของพระพุทธเจ้าแล้วนี่ อ๋อ ธรรมะของ พระพุทธเจ้า ไม่ต้องไปเป็นทาส อย่างนั้นหรอก อย่างคนมืดๆมัวๆ ที่ไปหลงใหล ไอ้อะไรต่อมิอะไร มันเป็น ความสนุก ความสุข ความเพลิดเพลิน เสร็จแล้ว เราก็ไปติด ไปยึดมันเป็นนรกให้ตัวเอง นั่นหนาเข้าไปทุกที เราตื่นจาก ไอ้ความเป็นคน ในโลกที่มืดมน โลกที่หลับใหล โลกที่พาวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ อย่างนั้น เราตื่นจากนั่น เรารู้แล้วก็พยายาม ฝึก ออกมา เป็นผู้ตื่นจากหลับใหล แล้วรู้แล้วว่าโลกนี้ ไม่มีอะไรดีกว่า มันไม่ได้มี แต่โลกเดียว โลกีย์เก่านั้น มันมีโลกใหม่ ที่จะให้เรา ออกมาอยู่ นี่เรียกว่า ผู้ตื่น ยิ่งได้ ตื่นเต็ม หมายความว่า ออกมาอยู่เลย

ฝึกตัวเองออกมาเป็นคนโลกุตรบุคคลเลย นั่นคือผู้ตื่นเต็ม ตื่นเต็ม แล้ว ยืนยันว่า ผู้รู้อย่างนี้ รู้จักกิเลส ละกิเลส หรือ ผู้ที่ออกมา จากโลกกาม โลกใหม่ได้ จริงๆ อย่างนี้ รับรองว่า เป็นคนเบิกบาน ร่าเริง

พุทธะ มีคุณลักษณะสามอย่างนี้ ใครปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้า ได้ เป็นพุทธบุตร เป็นลูกพระพุทธเจ้า มีเนื้อหา มีคุณลักษณะ อันนี้จริง มีจริงน้อย ก็เป็นลูกน้อย มีมากขึ้น ก็เป็นลูกมากขึ้น ถ้าเป็นลูกจริงๆ ก็ได้มากเลย เรียกว่า เป็นลูกพระพุทธเจ้า พุทธบุตรที่แท้ เป็นลูกทางวิญญาณนะ

วิญญาณเป็นเกิดจริงๆเลย เกิดเปลี่ยนแปลงกิเลส ลดกิเลสลดลงมาได้ แล้วก็เกิดใหม่ๆ มาอย่างนี้ จริงๆเลย นี่เรียกว่า ลูกพระพุทธเจ้า ที่แท้จริง เกิดทาง วิญญาณ เกิดจริงๆ ได้แล้วได้เลย

อย่างอาตมานี่ อาตมาศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้ามา เป็นลูกของพระพุทธเจ้ามา จนกระทั่ง เดี๋ยวนี้ ที่จะมาสืบทอด สมบัติพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว ไม่กลับมาอีกแล้ว ออกสืบทอดไป จนกว่าอาตมา จะปรินิพพานไปด้วย ถ้าอาตมายังไม่ปรินิพพานไปเมื่อไหร่ อาตมาจะตั้งใจ จะเผยแพร่ แจกจ่ายสมบัติ สร้างลูก อย่างนี้ต่อ พระพุทธเจ้าหยุดสร้างแล้ว พระพุทธเจ้า ปรินิพพานไปแล้ว อาตมาจะ สร้างลูกอย่างนี้ สืบต่อไปเรื่อยๆ นี่ใครอยากจะเป็น ลูกอาตมาบ้าง ต้องพยายาม อยากเป็นลูกอาตมามั่ง ก็พยายาม เป็นลูกอาตมานี่ก็ต้องพยายาม เอานะ

อาตมาบอกเราเอง เราไม่รู้ เรางมงาย เราจะต้องเป็นเอง ให้เราเองเป็นเอง รู้เองว่า เราเป็นลูกพระพุทธเจ้า เดี๋ยวบรรลุ ขี้โม้ แหม ขี้โม้จัด

ถาม : ส่วนของพ่อท่านๆ ทราบอยู่ใช่มั้ยฮะ ในส่วนของพ่อท่านนะ

ตอบ : อาตมาก็ทราบบ้าง ไม่ทราบบ้าง คนที่ไม่ทราบก็มี ไม่ค่อยชัด บางคนทราบ แต่ถึงทราบ หรือไม่ทราบ อาตมาจะไม่บอก โดยเด็ดขาดใช่ไหม บอกแล้ว ไม่ดี บอกแล้วเหลิง บอกแล้วเหลิงหนึ่ง บอกแล้วก็เกิด ริษยากันอีก อะไรอย่างนี้ อย่ามาพูดๆๆ เหม็นขี้ฟัน ก็ตอบแล้วไง พุทธะ

มีคุณธรรมรู้ตื่นแล้วจะรู้ลักษณะเบิกบาน ไม่เป็นคนเศร้าสร้อย หม่นหมองหรอก จะเบิกบานร่าเริง แจ่มใส พุทธะ แปลว่า ตื่นเบิกบาน

ถาม : ปฏิบัติธรรมแล้ว ทำไมถึงคิดมาก

ตอบ : ปฏิบัติธรรมแล้วคิดมาก ก็เพราะว่า เรายังไม่บรรลุผลสำเร็จ กล้า ถ้าเราปฏิบัติธรรมแล้ว เราก็พิจารณา ได้ดีแล้ว เราก็ปฏิบัติได้ด้วยเสร็จ สิ่งใดที่จบ สิ่งใดที่สำเร็จ มันไม่คิดมาก มันไม่สับสน มันไม่วิจิกิจฉา มันไม่สงสัย มันไม่ลังเล แน่ชัด สงบ จิตสบายชัดเจน อันนี้ลงตัวแล้วหยุดแล้ว หยุดคิดแล้ว หยุดศึกษาต่อ ท่านใช้ภาษา สูงสุดว่า อเสขะ แปลว่าไม่ต้องศึกษาต่ออีก ไม่ต้องวิจิกิจฉา พ้นวิจิกิจฉา พ้นสงสัย พ้นลังเล เพราะรู้แจ้งเห็นจริงว่า แล้วจบ มีแล้ว มีแล้วในตัวด้วย ที่รู้ยิ่งคิดมาก นั่นหมายความว่า จิตเราสับสน เราสับสน เพราะฉะนั้น ตั้งใจดีๆ เรียบเรียงดีๆ และเราต้องพยายามรู้ว่า ไอ้สิ่งที่เราคิดนี่ เรื่องไหนคือเรื่องไหน และเรื่องไหน ที่เราจะไม่นำมาคิด วุ่นวาย เรื่องไหนที่เราจะต้อง เอ มาพิจารณา คิดแล้วเราเอามาปฏิบัติกับตน แบ่งเอา ไม่เช่นนั้น เราไปฟุ้งซ่าน เอาๆ อะไรมากมาย อะไรเยอะแยะๆ หัวแตกตายพอดี เป็นประสาทพอดี เป็นโรคเส้นประสาท พวกนี้ไม่ได้นะ ต้องแบ่งเอา เรารับไปทั้งหมด ไม่ได้หรอก ต้องแบ่งเอง รับแต่พอประมาณ เราตั้งใจว่า เออ เรารับอันนี้ไว้ ปฏิบัติไว้ ประพฤติไว้ ทำของเรา เสร็จแล้วเราก็มีกำลัง เรารู้ว่าเรามีกำลังเพิ่มเติม ที่เราจะรับมากขึ้น เราก็ค่อยทำไป ตามลำดับ ไม่เช่นนั้น มันไม่ไหว อยู่ไม่ได้ คิดมากนั่นแหละ ต้องลด ต้องหัดวาง เรื่องนี้มันนอก ไอ้เรื่องนี่มันสำคัญแก่เรา ตัดไปก่อน ทิ้งไปก่อน วางไว้ก่อน เอาเฉพาะที่สำคัญแก่เราพอสมควร ถ้ามันมากเกินไปแล้ว มันปวดหัว แล้วมันวุ่น เดี๋ยวเครียด เดี๋ยวพาลนอนไม่หลับ เดี๋ยวเถอะลำบาก เดี๋ยวตกไปส่งอโศก ๒ อ๋อ ชอบอโศกเหรอ จะไปเหรอ รู้ว่าอยู่ไหน อยู่แถวเมืองนนท์ เดี๋ยวเถอะๆ เดี๋ยวเถอะ เดี๋ยวได้ไปจริงหรอก เดี๋ยวเถอะ โอ้ย พูดเป็นเล่น เข้าใจหรือยัง อันนี้ มันต้องเป็นปัญหาของตัวเองด้วยนะ คิดมาก

เรามารู้มาก ก็เลยไปกังวล ก็เลยคว้าเอามากมาย ไปคว้าเอามาหมดไม่ได้ รู้บางอันๆนี่ไม่เหมาะสม กับฐานะเรา หรือว่า เรายังไม่อาจเอื้อม เรายังไม่สามารถ แล้ววางเอาไว้ก่อน เอาไอ้ที่มันเหมาะสม กะตัวเราก่อน ตามลำดับ เอาแบ่งทำไป เป็นตามลำดับ นี่ต้องเข้าใจนะ ถ้าไม่ยังงั้น เขาไม่เรียกว่าอยู่ใน มัชฌิมาปฏิปทา หรือว่า มันไม่เป็นกลาง มันมากไป มันเคร่งไป มันเกินตัวไป อย่างนี้ก็ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าน้อยไป ระวัง เพิ่มหน่อย อ่อนแอ ป้อแป้ และไม่เอาจริง ต้องให้มันเต็ม

พระพุทธเจ้าท่านสอนเอาไว้ว่า ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบาก กุศลธรรมเจริญยิ่ง ถ้าตั้งตนอยู่บน ความสบาย อกุศลธรรม งอกงาม

ถาม : พ่อท่านคะ ลีลาวดี มีจริงไหมคะ

ตอบ : ลีลาวดีไม่จริง เป็นเรื่องแต่ง (เราคิดว่าเรื่องจริง) เรื่องแต่ง ลีลาวดี นี่เป็นเรื่องที่พระเรวัตตะมีจริง มีจริง ในสมัยพระพุทธเจ้า เป็นอรหันต์องค์หนึ่ง ที่เป็นน้องชายของพระสารีบุตร พระเรวัตตะนี่มีจริง แต่ว่าลีลาวดี นี่เขา เอามาผูกเรื่อง เอาขึ้นมาให้มันเป็นเรื่องอะไรต่ออะไรไป

ถาม : และชื่อในพุทธประวัติ มีไหมค่ะ

ตอบ : ลีลาวดี อาตมาไม่รู้

ถาม : หัวใจสีชมพู คิดถึงใครคนหนึ่ง

ตอบ : ต้องพยายามหางานทำ ต้องพยายามพิจารณาเห็นความจริงให้ได้ พยายามเห็นความจริงให้ได้ว่า เราไปคิดถึง คนหนึ่ง คนใดเขาก็ตามแต่ มันเสียเวลา มันเสียโอกาสเปล่าๆ คิดไปแล้วก็อย่างคนโลกๆ ไปมีกิเลส แล้วก็ผูกพัน พระพุทธเจ้าสอนเรา ให้ละให้ปล่อย ให้วาง ไม่ให้ไปผูกพัน ไม่ให้ไปพัวพัน ท่านให้ตัด ความผูกพัน กลัวจะเป็นสุข ถ้าไปตีความผูกพันแล้วเป็นทุกข์ แต่เรานึกว่าเราสุขนะ เพราะได้คิด คนนั่นแหละ ได้คิดถึงคนนี่ ไปในเรื่องกาม เรื่องอะไรด้วยซ้ำ อันนี้ก็ลวงมาเยอะแล้ว บางคนนี่ บ้าถึงขนาดติด ไม่ต้องทำงาน ทำการอะไรหรอก บ้านั่งคิดถึงเธอ นั่นน่ะ ยิ่งยุ่งกันใหญ่เลย เสียหายมาก ไอ้นี่เป็นเรื่องของโลกียะ ธรรมดาพวกนี้ สัญชาตญาณ อย่างนี้มันมี ต้องระวัง ใครเป็นแล้วต้องหัดๆ วาง หัดพิจารณาธรรมะให้ดีๆ ให้เห็นว่า อย่างนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ ประเดี๋ยว จะพาเราทุกข์ไม่เข้าเรื่อง ยิ่งพัวพัน ไปในเรื่องไม่เข้าท่า เวลาเป็นแล้ว คิดไม่ใคร่ออก พยายามระลึกให้ได้ ระลึกถึงคำสอน ที่อาตมา สอนให้ได้แน่ แล้วก็พยายามหัดฝึก ต้องตั้งใจหัดฝึกจริงๆ ถ้าไม่ตั้งใจหัดฝึกจริงๆ แล้ว รับรอง หยุดไม่ได้ กลับจะไป มีทุกข์ซ้ำซ้อน ทุกข์ไปอีกนาน ตั้งใจฝึก มันยังไม่ง่ายนักนะ แต่ถ้าใครเก่ง ถ้าใครมีอินทรีย์พละดี ก็หัดฝึกง่าย วิธีอยากจะไม่ให้คิดถึงใคร อยากจะให้วาง ทำอย่างนี้

นึกหาข้อบกพร่องของเขาให้เจอมากๆ นึกหาข้อเสียของเขามากๆ หาไม่เจอก็โง่ ขนาดพระพุทธเจ้า ยังไม่ดี หมดเลย ขนาดพระพุทธเจ้า ยังมีส่วนบกพร่องได้เลย กับอาตมาก็มีส่วนบกพร่อง ใครก็มีส่วนบกพร่อง หาส่วนบกพร่อง ของใครๆ เขาไม่ได้ ก็แสดงว่า เราโง่ จะคบกันยังไง ก็ต้องหาให้ได้ หาไม่เจอ มันก็งมงาย อยู่อย่างนั้น ต่อไปซิ มันก็ทุกข์อยู่ อย่างนั้นแหละ เอ้า จริงๆ นะ

อาตมาเคยอกหักนะ อกหักรักผู้หญิงคนหนึ่ง ในชีวิตอาตมา อาตมาถือว่า อาตมาถูกหักอก อาตมาถือ ลบเหลี่ยมชาย แหละนะ คือ อาตมานี่ ไปจีบผู้หญิงเยอะ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนถือว่า ไปลบเหลี่ยมชาย ลบเหลี่ยมอาตมา แต่อาตมาถือว่า คนนี้ ลบเหลี่ยมอาตมา เพราะแต่อาตมาถือว่า ไม่เคยมีใครบอกอาตมา หรือเป็นคนที่ บอกว่า เขาจะให้อาตมา เลิกคบกะเขา แล้วเขาก็ไปคบกับคนอื่น ไม่มีใครเคยทำกับ อาตมาเลย ในชีวิต คนอื่นๆ ก็ไม่มีใครทำ นอกจากว่า ต่างคนต่างแยกกันไปธรรมดา แต่เขาจะไม่แสดง อาการ โจ่งแจ้งอย่างนี้ มีคนนี้คนเดียว ที่แสดง อาตมาถือว่า คนนี้หักอกอาตมา มีอยู่คนเดียวเท่านั้นในชีวิต ส่วนมาก เอาอันนี้ เรื่องจริง ไม่ใช่อาตมาหลายใจ อาตมาไม่มีใจนี่ต่างหาก ใช้เล่นๆ ไป ไม่ได้มีใจอะไรหรอก มันก็มีความผูกพันแหละ จะเรียกว่า รักก็ได้ เรียกว่า ความผูกพัน มันก็เป็นลักษณะเดียวกัน เราก็มี ความหลง แบบผูกพัน มันเป็นความหลง

ทีนี้อาตมาก็เห็นว่าอาการอย่างนี้ เราถูกเขาทิ้ง หรือว่าเขาทำให้อกหัก หรือว่าเขาปฏิเสธเรานี่นะ อ๋อ ลักษณะ อย่างนี้เอง เป็นลักษณะคิดถึง แล้วเราก็เจ็บปวด อาตมาก็รู้สึกอย่างนั้น แต่ก่อน

แต่ก่อนนี่ อาตมายังไม่ได้ปฏิบัติธรรม อาตมาก็ยังไม่เข้าใจ ก็คิดอย่างโลกๆ นั่นแหละ ออ ถึงได้ปวดอย่างนี้ อาตมาก็คิดว่า ทำอย่างไร ถึงจะหายจะคลาย คิดเองนะ อาตมาคิดเอง อาตมาก็คิดว่า เอ๊ะ อาตมาก็คิดว่า เขามีอะไรดี เอ๊! พิจารณาไปหมดเลยอะไรดี แต่ก่อนนี้ เข้าใจว่าสวย แต่ก่อนนี้เข้าใจว่า ส่วนนั้น ส่วนนี้น่าดู นิสัยใจคอ ความประพฤติ อะไรต่างๆ นานา เราก็มองไปละเอียด บอก ประเดี๋ยวก็เห็น ว่าอันนี้ ยังใช้ไม่ได้ อันนี้ยังไม่ดีจริง อันนั้นยังไม่ดีจริง อันนี้ยังไม่เข้าท่า อันนั้นก็ไม่ยังไม่เข้าท่า ประเดี๋ยวเลยหายหมดๆ หมดผูกพัน หมดคิดถึง สบาย ไม่ทุกข์ ต้องทำบ่อยๆ ทำจริงๆ ถ้าไม่ทำจริงๆ มันไม่หายนะ ต้องทำจริงๆ ต้องทำให้สำเร็จ ต้องทำให้จริงๆ และก็พิจารณา ในแนวของธรรมะ ของพระพุทธเจ้าให้ชัด ธรรมะของ พระพุทธเจ้านี่ ให้เห็นเลย ว่าการคิด การผูกพัน อย่างนี้ คือความทุกข์ ให้เห็นจริงๆเลยว่าความทุกข์

พระพุทธเจ้าถึงบอกว่า การผูกพันนี่ เป็นความทุกข์ คุณจะหาความทุกข์เจอ โอ้โฮ มันคิดถึงมากๆนี่ มันเป็นทุกข์นะ เจอกันไม่กี่ครั้ง แล้วก็คิดกันเป็นทุกข์ ไอ้อย่างนี้ โง่ใหญ่เลย เรายิ่งทุกข์ใหญ่ เรายิ่งโง่ ใหญ่เลย เจอกันไม่กี่ครั้ง แล้วกลับ ไปคิดถึงเขามากนี่ เรายิ่งโง่ใหญ่เลย เรายังไม่รู้จักเขาดีด้วย อะไรยังงี้ แน่นอน ไอ้ดีก็ยังไม่รู้จักทั่ว ดีก็ไม่รู้จักเขา และเขาชั่วอะไร เราก็ไม่รู้ และเผลอไปคิดถึงเขามากๆ แสดงว่า เรานี่ ใจเร็วไปๆ ชาตินี้ก็ตกนรกมาก นั่นน่ะซิ ชาตินี้ก็ตกนรกมาก ถ้าเป็นคนนี้ คนใจไวใจเร็วแบบนี้ อีกหน่อยก ก็เจอนรกมาก ก็เพราะว่า คนไม่สุขุม ไม่ประณีต ไม่หนักแน่น ใจเร็ว ใจไว ฮ้า ถ้าเป็นได้ ถ้าเผื่อว่า มันมีมากๆ เข้าไป มันทำบาป ทำอะไรมากเข้า ไปเกิดเป็นหมา เป็นเดรัจฉานไปเลย

ถาม : ทำอย่างไร จะอกหักน้อยที่สุด

ตอบ : ถ้าเขามารักเรา เราก็พยายามที่จะต้องแสดงความจริงใจ บอกเขาให้เห็นชัด อย่าให้เขาลังเล อย่าให้เขา มีความหวัง พยายามที่จะบอกความจริง อย่างใจเย็นๆ บอก อย่าไปกระด้าง อย่าไปประชด อย่าไปกระแทก อย่าไปให้เขาโกรธ พูดให้เข้าใจชัดๆ แข็งแรง ให้เขาเห็นว่า เป็นความตั้งใจ เป็นความ ไม่เหลาะแหละ เป็นความไม่มี เล่ห์เหลี่ยม อะไรเลยจริงๆ ชัดๆ นั่นแหละ ไม่นานหรอก ไม่กี่ครั้ง เขาก็จะต้องยอมรับ เพราะว่าความจริง พวกนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะ ปฏิเสธกัน เขาก็จะรู้ว่า อ้อ จริงๆ คนนี้ แข็งแรง ยายคนนี้แน่นอนมั่นคง เขาก็หมดหวังเองนะ ตื๊อ ก็บอกเขา อย่างนี้ บอกเขาไม่กี่ครั้งหรอก ผู้ชายเขาจะรู้เอง ว่าอย่างนี้ มีท่านะ อย่างนี้หวังเขาก็ต่อ เขาก็ตื๊อ ก็บอกเขา ด้วยเป็นสำนวนให้ฟัง ผู้หญิง มีเยอะอะไรนี่ คนดีกว่าเราก็มีอีกเยอะ ก็แล้วแต่ บอกว่าของเรามันไม่แล้ว ละ บอกว่า เราไม่มีจิตใจจริงๆ ให้แข็งแรง ให้มั่นคง ให้ชัดๆ บอกชัดๆ อย่าไปเหลาะแหละ อย่าไปเป็นเชิง แหม ลับเหลี่ยมคมใน เชิงๆ มีท่าว่า คล้ายๆ เป็นเล่ห์เหลี่ยมอิสตรี แฝงๆ ยิ้มให้ยั่วๆ อย่างนี้ ไม่เอาๆ ชัดๆ บริสุทธิ์

กิเลสนั่นซิ ถ้ารู้สึกว่า คนอื่นมาชอบเราแล้ว เอ๊ย ดีใจ นั่นกิเลสของเรา โอ๊ย ของเราก็มีค่าเหมือนกัน นะ มีค่านะ มีคนมาชอบเราน่ะ อะไรนี่ อย่างน้อยเราก็ต้องมีดีบ้างละ แม้ไม่สวยก็ต้องมีข้อดีอะไรบ้าง อะไรหรือไม่ ต้องมีดีมั่ง มันก็เป็นกิเลส อีกชนิดหนึ่ง ก็ต้องการให้คนอื่น มาชมเชยของตัวเรา มันเป็นอัตตามานะ ชนิดหนึ่ง มันหลงว่าตัวดี

สงสารเขานั่นแหละ สงสารเป็นบ่อเกิดแห่งความรัก ทำไมเขาจึงมีความรัก เพราะเขายังมีกิเลสด้วย มันยังไม่รู้ตัว มันยังไม่รู้เรื่อง มันเป็นมานานแล้วนะ กิเลสอย่างนี้ มันสั่งสมกันมาหลายชาติแล้ว เพราะฉะนั้น ใครที่ยังไม่ได้ ตั้งใจละ เลิก มันก็เกิด ก็ต้องฝึกหัดละเลิกจริงๆ มันถึงจะละได้ ใช่ ใช่ๆ แต่ละคน สั่งสมมา ไม่รู้ว่ากี่ชาติต่อกี่ชาติ ดีก็บอกตรงๆ ที่อาตมาว่านี่ตรงโอกาสไหน ก็แล้วแต่ อย่าไปเปิด โอกาส ให้เขาเข้าใจผิด ต้องพยายามทำทุกเวลา ขณะที่เรามีโอกาส แล้วก็บอกเขา อย่าให้เขาเข้าใจว่า เราไปมีส่วน จะให้เขามีความหวัง ไม่บาปเลย ทำให้เขา เลิกรักจากเรา นั่นเป็นบุญจำไว้ ใครทำให้เขา มาหลงรักเรา นั่นแหละ เป็นบาป ใครมาทำให้ ใคร โดยเฉพาะ หลงรักทางกาม เป็นบาป ไปหลงรัก ช่วยไม่ได้ ดีแล้ว ไม่ต้องไปช่วยเขา ปล่อยให้เขาโง่ไป เขาก็รู้ตัว เขาก็เลิกโง่เอง เขาไม่รู้ แล้วเขา จะโง่ดักดานไปอีก มันก็เป็นความซวยของเราเองน่ะ

ผู้หญิงเรา อย่าไปรักเขาเข้าบ้างละ รักแบบมีความปรารถนาดีต่อกัน ไม่ใช่เป็นกาม ไม่ใช่รักแบบผู้หญิง ผู้ชาย รักแบบ เราตั้งใจช่วยเหลือกัน มีอะไรก็สร้างสรร มีอะไรก็เกื้อกูล ช่วยเหลือกัน รักกันเหมือนญาติสนิท เหมือนกัน อย่างนี้ ไม่มีปัญหา อย่างนี้ดี เหมือนมิตรสหายที่ดี เหมือนอย่างพี่น้องที่ดี เขาไม่คิดกะ เราอย่างนั้น ก็บอกเขาให้รู้เรื่อง ถ้าเราขืน สนิทสนมต่อไป ก็เขาก็คิดอย่างนี้ เราก็ต้องห่างกันเลย ต้องห่าง กันไป บอกไปแล้ว ให้แสดงความแข็งแรง จริงจัง ให้เขาให้เด่นชัด แสดงออกว่า อย่าให้เขามีความหวัง

ถาม : พ่อท่านครับ ร้องเพลงที่มีความรักมากๆนี่ มันจะมีส่วนให้มีความรัก ไหมครับ

ตอบ : มีส่วน คนเราจะรู้จักว่าสิ่งอะไร ที่เราจะเอามาพูดก็ตาม จะเอามาร้องก็ตาม ถ้าเราจะเอามาพูด เราจะต้อง รู้ว่า อันนั้นมันเป็นสาระ เราควรจะต้องเสียเวลา เสียกำลัง หรือเราก็ยินดี เล่นๆๆ มันก็แค่เล่นๆ ถึงแม้เราเอง เราก็ไม่เห็นคุณค่า เราจะไม่เห็นประโยชน์ เราจะไม่เห็นบ่อยหรอก เล่นนิดเดียว เราก็โยน ทิ้งแล้ว ร้องมันไม่มีค่า ถ้าสิ่งเราเห็นว่ามีค่า ถึงแม้ว่า จะเล่น ถ้ามันมีค่า เราก็จะเล่นบ่อยได้ ถ้ามันมีค่า ถ้ามันไม่มีค่าจริง เราจะไม่เล่นเลย ตั้งใจเอาอันนั้น มาทำบ่อยๆเลย จะร้องจะพูดอะไรก็ได้ แต่ถ้ามันมีค่า เออ อันนี้มันมีสาระแน่ อันนี้มันมีแก่นสารนะ มีเนื้อหาที่ดี แต่ถ้ามันไม่ดี แสดงว่า เราเองไม่มีปัญญา ไม่มีดี จะเอามาเสียเวลา อยู่ทำไม ฟังได้ รับรู้นี่ ไม่มีปัญหาหรอก จะรู้ได้ เพราะว่าสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่คนอื่นเขาทำ เขาจะทำอย่างนี้ๆ เราไปบังคับเขาไม่ได้หรอก และเราก็ต้องรู้ตัวว่า คนนี้เขาชอบอย่างนี้ เขามีอย่างนี้บ่อยๆ เราก็รู้เขาไป อันนี้เป็นความจริงนะ เสร็จแล้ว เราก็จะรู้ว่า สิ่งนั้นเป็นสิ่งแสดง หรือเป็นสิ่ง เป็นค่า ดรรชนี ชี้ค่า เขาเหมือนกัน คนชอบร้องแต่เพลงลามก แสดงว่า คนนั้น เป็นคนลามก คนชอบร้องเพลงรัก ก็แสดงว่า คนนี้ มีแต่อารมณ์รัก อยู่ในหัวใจ คนที่มันชอบสิ่งที่มัน เป็นเพลงชีวิต เป็นเพลงสร้างสรร เป็นเพลงธรรมะ อะไรนี่ อันนี้เราก็จะรู้ คนนั้นเป็นอย่างนั้นจริงๆ

มันมีความรัก นั่นแน่ะ เผลอพูดออกมา ก็ไม่มีโอกาสจะมีความรักแบบ โลกๆ เขาไม่ดีหรือ มาอยู่ในแวดวง อโศกออกเก๋ อะไรไม่ดี (เสียงพ่อหัวเราะ) นี่ระวังเถอะ พวกนี้อายุ ๑๔-๑๕ นี่ แหม ขนาดนี้ ๑๒ เองด้วย ๑๑ ด้วย แค่ ๑๑-๑๒-๑๓ แค่นี้ เดี๋ยวเหอะ ระวังจะแรดนะ รู้จักสิบเอ็ด ร.ด ไหม (เสียงพ่อ หัวเราะ) รู้จักสิบเอ็ด ร.ด.ไหม ระวังจะสิบเอ็ด ร.ด. อายุ ๑๒ ก็ยังไม่พ้น ๑๑ ร.ด ก็ยังไม่พ้น สิบเอ็ดร.ด. ก็ต้องระวัง เคยได้ยินคำว่า แก่แรดไหม ระวังเถอะ แม้แต่แก่ ยังแรดได้เลย ระวังเถอะ

ถาม : พ่อท่านครับ เมื่อกี้นี้ แต่นานแล้ว คำถามที่ผมถาม บอกว่า อะไรฮับ ที่พ่อท่านบอกว่า ตอบไม่ได้ว่า นักเรียน เป็นลูกอาตมาหรือเปล่า แต่พ่อท่านก็เผยคำ บอกว่า เดี๋ยวๆ คนอื่นจะเอาตาม

ตอบ : เขาจะเอาอย่างวิธีนี้นี่ อย่างวิธีที่พูดนี่ หมายความว่า ไปบอก เที่ยวได้ไปเปิดเผย แม้จะรู้จริงก็ตาม รู้จริงก็ตาม อาตมาไม่พาทำ รู้ว่าคนนี้เป็นลูก คนนี้คนนั้นเป็นอย่างไรก็ตาม แต่นี่ ไม่ให้พูดชาติแต่ก่อน คนนี้เป็นลูกมาเก่า ก็ไม่พูด อาตมาไม่ทำไม่พูด เพราะฉะนั้น คนที่เป็นลูกศิษย์ที่เป็นต้น เรียนถามอาตมา เขาก็จะไม่ทำเหมือนกัน เพราะอะไร เพราะว่าวิธีอย่างนี้นี่ บอกว่า แล้วมันไม่ดี คนที่ได้รับการบอกก็เหลิง คนที่รู้ว่า ตัวเองไม่ใช่ลูก มารู้ว่า คนนี้เป็นลูก ก็เกิดการริษยากันได้ อย่างนี้เป็นต้น มีอีกกว่านี้ ไม่ดี ไอ้นี่ ก็รู้แล้วว่า มันไม่ดี ต่อไปคนอื่นที่รู้ไม่จริง ว่าไอ้นี่ ว่าคนนี้ ระลึกชาติได้จริงหรือเปล่า คนนี้เป็นลูกจริง หรือเปล่า ลูกจริงหรือไม่จริง เอาอันนี้มาหลอก แล้วทีนี้ แหม บรรลัยจักรเลย ทีนี้เรื่อง เหลวไหล เละเทะ มันจะไปกัน มันจะเสียหาย กันใหญ่มาก เพราะฉะนั้น มันไม่มีประโยชน์ สักอย่างเดียว คนรู้จริง ก็ไม่มีประโยชน์ ยิ่งคนไม่รู้จริงแล้ว ยิ่งทำลายใหญ่เลย ทำลายศาสนา หลอกลวงเกิดขึ้น วุ่นวาย เสียหาย มากมาย เพราะฉะนั้น เมื่อมันไม่มีผลดี ทั้งสองอย่างเลย ก็ไม่ทำ เข้าใจแล้วนะ

ถาม : พ่อท่านครับ มีบอกว่าคนที่เลวๆ ตายไปแล้ว แต่กลายเป็นสัตว์ๆ เดรัจฉานใช่ไหมครับ แล้วทำไม สัตว์เดรัจฉาน มีการหมดพันธุ์อะไรอย่างนี้ แบบ สมมุติ ตัวอะไรนะ สัตว์ที่สูญพันธุ์ไปแล้วครับ

ตอบ : ก็ไม่เป็นไรนี่ ก็เกิดใหม่ อย่างที่มันไม่สูญพันธุ์ซิ หมายังไม่สูญพันธ์ มาเกิดเป็นหมา จะต้องไปเกิด ทำไม ไดโนเสาร์ สูญพันธ์แล้วก็ต้องไม่เกิด แล้วก็มาเกิดเป็นหมา เกิดเป็นอะไรนะ อันนี้จะบอกให้ คนตายเยอะ ใช่ไหม คนเกิดเยอะหรือเปล่า รู้ไหมว่า วิญญาณหรือสัตวโลก ที่อยู่ในเอกภพนี่ ทั่วไป ไม่รู้ว่า มันมีอยู่เท่าไหร่ รู้ไหม โอ้โฮ! มันจะเอาอะไรมานับได้ละ และ ไม่ต้องห่วงหรอก ว่ามีมาก หรือมีน้อย มันยังไม่ได้หมดหรอก โลกลูกหนึ่ง มีสัตว์โลก แค่นี้ มันจะไปมากไปมายอะไร มันมีนับไม่ถ้วน เขานับ พลโลก ทุกวันนี้รู้ไหม ความรู้รอบตัว ขณะนี้พลโลก มีเท่าไหร่ ๖๐๐๐ ล้านคน ยังไม่ถึง

๕๐๐๐ ล้านกว่า เขาเพิ่งประมาณ เขาเพิ่งคำนวณ ๕๐๐๐ ล้าน นะ เมื่อไม่กี่ปีนี่เอง ดูเพิ่มขึ้นแล้ว เลย ๕๐๐๐ ล้าน ขึ้นมาแล้ว อย่าไปคิดเลย ปฏิบัติธรรมไปดีๆ แล้วจะไม่เห็นแปลก อย่าไปคิดเลย คิดไม่ออกหรอก ปวดหัว ไปยังงี้ ระวังดูแล้ว ให้มันได้คิด ถ้าเป็นลักษณะเราบ้าง เราเป็นอย่างนั้นบ้าง ขนาดนี้ คนอย่างนี้ เราก็รู้ ก็มันไม่เข้าเรื่อง เอ้า โง่นะซิ ทำไมไม่มีสามัญสำนึกละ ว่าอะไรดี ไม่ดี อะไรชั่ว ไม่ชั่ว ไม่รู้เหรอ เออ อยากไปเป็น อย่างชั่วเหรอ ไม่มีสามัญสำนึก อะไรดี อะไรชั่ว

ถาม : ขอโอกาสครับ หมาที่เกิดมาเป็นพันธุ์ บูด็อก อะไรนี่ เขาถือว่ามี บุญหรือเปล่าครับ

ตอบ : เออ มาเกิดเป็นหมา จะมีบุญอะไร

ถาม : อยู่กับพวกคนมีเงิน

ตอบ : พิจารณาให้ฟังสองอย่าง เรามองไปในแง่ตื้นๆ เราจะรู้สึกว่า หมาที่มาเกิดเป็นพันธุ์ บูด็อก พันธุ์อัลเซเชี่ยน อะไรที่คนเขาชอบเลี้ยง แหม มีมุ้งกางให้ ให้กินข้าวใส่ไอ้นั่น ดีไม่ดี มีสร้อยคอด้วยนะ หมาเดี๋ยวนี้ เรามองตื้นๆ เรารู้สึกว่า มันมีบุญ ฟังตื้นๆ ฟังดีๆนะ ตื้นนะ เราจะรู้สึกว่ามีบุญ ความจริงแล้ว นะ มันไม่ค่อย รู้เรื่องอะไรหรอก มันหมานะ คนไปอุตริไปอะไรต่ออะไรให้มัน และมันแสนจะไม่รู้เรื่อง ที่จริงนะ คนนะ แสดงความโง่กับหมาให้ดู คือ เป็นคนไปเบ่ง ไปทำแสดงว่า เมตตา ไปทำแสดง อะไรต่ออะไร

เอ้า ทีนี้ เรามาของเรา เราเรียนธรรมะแล้ว พวกเรานี่ เรียนธรรมะแล้วนะ การแสดงโอ่อวด การแสดงร่ำรวย การแสดง เบ่งข่มเขา เป็นความโก้ ความหรู ความอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่เบ่งความสวย ความงาม ข่มคนอื่น ดีมั้ย ไม่ดี บอกแล้วว่า มันหมา มันไม่รู้ตัว แต่คนนี่ มันไปตบแต่งหมา ให้หมามันรู้สึกว่า ใครมาเห็นแล้ว ก็จะได้รู้สึก ชมชื่น นิยมชมชอบ หรือ รู้สึกว่า มันได้มันเก๋ มันสวย มันเท่ห์ มันอะไร คนต่างหากเล่าที่โง่ และ ไปทำบาปให้หมา ถ้าหมาตัวนั้น จริงๆแล้ว ถ้ามันมีความรู้สึกนะ มันมีความรู้สึกแล้วก็ เกิดสัญชาตญาณ เหมือนกัน นะ หยิ่งผยอง ในตัว มันรู้สึกขึ้นมาได้เหมือนกัน นี่มันลึกซึ้งนะ จิตวิญญาณหมาก็รับ วิญญาณนั่นได้รับนิสัย ได้รับความรู้สึกแบบนี้ ติดในความโอ่อ่า ติดในความเบ่ง เป็นอัตตามานะ ถือตัว ถือดี หยิ่งผยองพองขน ขึ้นมานี่ เหมือนคนนี่ หมามันเป็น ขึ้นมาบ้าง หมามันได้บาป หรือได้บุญ ได้บาป นี่เราเรียนธรรมะแล้ว เราก็รู้ เพราะฉะนั้น คนทำอยู่ก็โง่ ก็บาป ไปทำให้หมา มันได้รับบาป ใส่ตัวมัน ไปด้วยซ้ำไป ไม่ได้เป็นความเจริญ อะไรหรอก นี่ความโง่ของคน มันทำโง่ๆ พวกเราอย่าไปวุ่นวายเลย หมาขี้เรื้อน มันก็มันเป็นเวรของมันๆ เป็นบาปของมัน

ถาม : แล้วทำไม คนเราจึงเกิดเยอะนะครับ

ตอบ : คนทำไมเกิดเยอะครับ คนมันสมสู่กันเยอะ มันก็เกิดเยอะนั่นซิ จะไปตอบยังไง แสดงว่า โลกทุกวันนี้ ผลิตคนเยอะขึ้นมา บอกว่าคนพลโลก ทุกวันนี้นี่ กว่า ๕๐๐๐ ล้านคนแล้ว และคนเหล่านี้ ไม่ได้เรียนรู้ อย่างพวกเรานี่ คือเรียนรู้ให้ เลิกเสีย อย่าไปวุ่นวายทางกาม อย่าไปวุ่นวายเรื่องสมสู่ คนไม่ได้มาสอนกัน ทิศนี้ คนมีแต่ส่งเสริม สมสู่ในทางโน้น การสมสู่เป็นเหตุ แห่งการเกิดใช่ไหมเล่า ผสมพันธุ์ มันก็ต้องเกิด คนขึ้นมา และ ถามอาตมาว่า ทำไมคน ถึงเกิดเยอะ ก็คนมันผสมพันธุ์กันมาก เยอะ ก็คนมันไปหลงใหล ในกามเยอะ แล้วคนมันเกิดเยอะน่ะซิ จะให้ตอบว่ายังไง

หมายความว่ายังไง มันยาก ให้อธิบายธรรมะ คนมันเกิดยากอย่างนั้น คือ ยังงี้ ไม่ใช่จิตวิญญาณ ของคน อย่างเดียวนะ สัตวโลกในโลกนี้ด้วย หรือวิญญาณ ในโลกนี้ มีกรรม มีวิบาก มีมากมาย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ในพระไตรปิฎก ว่าคนที่ เกิดเป็นคนแล้ว ตายจากคนแล้ว จะได้กลับมาเกิดเป็นคนอีก นั่นน้อยนัก ต่อน้อยนัก

หรือจะมาเกิดเป็นเทวดานั้น น้อยกว่าน้อยนัก ตายจากคนแล้ว จะต้องไปเกิดเป็นเดรัจฉาน อยู่ในนรก เป็นสัตว์นรก อีกมาก เพราะฉะนั้น ขนาดคนที่มีอยู่แล้ว ตายไปแล้ว ไม่ได้เกิดมา ไอ้ วนเวียนมาเกิด นั่นเราคิดไม่ออกหรอกว่า มันมีมากเพิ่มขึ้น มันมีบอกแล้ว วิญญาณ หรือสัตวโลกที่จะมาเกิดในเอกภพ นี่ มันนับไม่ถ้วน ไอ้ที่มาเกิดนี่ ก็ตัว มาเกิดก็มาเกิดวิบาก

เราคิดไม่ออกหรอก ทำไมมันมาเกิดมาก ยังไม่มากหรอกนะ ที่มาเกิดในโลก เกิดแค่นี้ ยังไม่ได้มากนัก คนถ้ามาเกิดอีก จะมากกว่า ๕,๐๐๐ ล้านคน ไปอีกเท่าไหร่ มีอีกกี่ๆชาติ ที่เราเกิดไปตามที่โลกลูกนี้ ยังไม่แตกไว หรอกนะ ยังไม่แตกไว เพราะฉะนั้น คนนี่ยังจะไปเกิดอีกมากเลย ไม่ใช่โลกนี้ จะมีแค่ ๕,๐๐๐ ล้านคนนะ มันจะมี เป็นหมื่น เป็นแสนล้านคนแน่นอน มันยังแย่งกัน ขนาดนี้แล้ว นั่นแหละ ระวังเถอะ จะเกิดอีกในยุค ต่อๆไป นี่ยิ่งทุกข์กว่านี้อีก ขนาดยุคนี้ เรายังทุกข์ขนาดนี้ นะ ไม่แน่ ถ้าตามไม่ดี ก็ไม่เจอ

จะเป็นอะไร อาตมา ก็เป็นโพธิสัตว์ต่อไป จะเป็นอะไร โปรดต่อ คนที่จะตามให้อาตมาโปรด ต้องตาม ได้ด้วย และต้องตอบติดชั้น ถ้าตอบไม่ติดชั้นไป ตามไม่ได้ มันก็ไม่ได้โปรดกันนะ ถ้ายิ่งโสดาบัน ก็ยิ่งต้อง มีโอกาสเลย ยิ่งจะต้องให้ได้ ถ้าไม่ได้โสดาบัน ไม่มีหลักประกัน แล้วไปกินอะไร กินไข่ ไข่คือลูกของสัตว์ นม คืออาหารสัตว์ ไข่ลมก็คือ ลูกสัตว์ ไม่จริงละ มันก็ลูกสัตว์ ไม่เชื่อ ไปเอาไข่ลมงูจงอางดูซิ งูจงอาง มันไล่ เอาตายเลย มันไม่รู้ ไข่นี่คือ ลูกมันทั้งนั้น ไข่นี่ไม่ใช่อาหาร มันจะเกิดหรือไม่เกิด มันก็คือลูกสัตว์ จะเอาไว้ ทำไม แล้วก็ทิ้งไปซิ มันไม่เป็นประโยชน์ มันเป็นประโยชน์ว่าเราได้กินนะ แต่ว่าเราไปเกิดมันไม่ติด อย่าพูดเลย ไอ้ที่เถียงๆ อยู่นี่ คือคิดจะบอกให้เลิก ไม่ยอมเลิกนี่แหละ มันส่อติด

ถาม : โกนหัว หนาวไหม

ตอบ : มันไม่มีอะไรคลุมมันก็เย็นๆ กว่าที่มีผมละ ผมปกคลุมมันก็อบอุ่นกว่าที่ ไม่มีผมนะ ที่อาตมา บอกให้ว่า ไม่ให้กินไข่นะ ที่ไม่กินไข่ นี่ ทางด้านโลก มันมีคลอเรสเตอรอลสูง ไขมันที่ซึมได้ยาก สลายได้ยาก ไขมันพวกนี้ มันตีไม่แตก มันซึมได้ยาก คลอเรสเตอรอล มันเป็นไขมันชนิดที่ไม่ดี ว่างั้นเถอะ มีมาก ในไข่นี่ มีมาก ไม่ควรกิน แต่นี่

ในด้านธรรมะ มันมีกามมากไข่นี่ ไม่มีได้ยังไงนะ โอ้โฮ มันคาวจัด มันจัด มันหอมจัด อะไรอยู่ในตัว มันจะไม่เกี่ยว ได้ยังไง อธิบายให้อยู่เดี๋ยวนี้ กามก็คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันเกิดตา หู จมูก ลิ้น กาย นี่แหละ กามข้อ ๓ ก็เรื่องไข่ผง คนผู้หญิงผู้ชาย กามคุณ ๕ ยังไง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ยังไง นั่นแหละ มันมีกามจัด แหม ไม่มีเปรี้ยว ไม่มีหวาน มันออกจะตายไป ในไข่นะ อร่อยไม่ดีทั้งสองอย่าง อย่าเลือก เอาอย่างไม่ดี เอาอย่างดีมาเทียบกัน อาตมาตอบว่า ดีอันหนึ่ง ได้ยังไง ไม่ดีทั้งสองอย่าง มาตีกินกับอาตมา เรื่อยเลย พวกนี้ พยายามที่จะไม่ให้บริสุทธิ์ แหม หาทางเพื่อที่จะให้เลือก ฉลาดแกมโกง ใครด่าเรา นี่ เราอย่าเพิ่ง ไปโกรธเขานะ ใครด่าเรา แล้วเราฟังคำด่าเขา เพราะบางคน เขาด่าเรานี่ เขามีเหตุผล เขาติเตียนเรานี่ มันถูกต้องที่เขาด่า เขาว่าเรา ว่ามันไม่ดีอย่างนี้ มันไม่ดียังงั้น อะไรนี่นะ อย่าเพิ่งไปโกรธเขา เรารับฟัง เออ มันจริง มันน่าจะขอบคุณเขา ด้วยซ้ำไป หัดทำใจอย่างนี้ เราจะกลาย เป็นคนที่มีประโยชน์ คนที่ฉลาด ทำลำบาก ก็ต้องทำ ตั้งตนอยู่บนความลำบาก แล้วกุศลธรรม จักจะเจริญยิ่ง ทำตนลำบาก นั้นดีแล้ว อย่าไปทำตนมักง่าย

ไม่ต้อง ถ้ามันไม่จริง มันก็เป็นความโง่ของเขา ที่เขาพูดสิ่งไม่จริง ไม่ต้องไปคิดว่าเขา ไปคิดว่าเขา ให้โง่ ทำไมเล่า เขาโง่ของเขาแล้ว เราไม่ข่มเขา จะไปทำใจของเราให้โง่ตาม ถ้าโง่เราไปข่มเขาว่า ไอ้โง่ เราก็คนโง่ เราไปทำสิ่งโง่ๆ ให้ตัวเอง ทำไมเล่า มันดีไหมเล่า ไปข่มเขา เราไปดูถูกเขา ไปอะไรเขา มันดีไหมละ ดีไหม ไม่ดีใช่ไหม อย่าไปทำ สิ่งไม่ดีซิ อย่าไปทำ นี่จริงพูดจริง ถ้าเราทำใจอย่างนี้ได้นะ สบายเราด้วย และเราก็ ไม่ก่อศัตรู ใครจะมาโง่ ใครจะมาด่าเรา ใครจะมาว่า เราก็ฟังเขา ออ เพราะว่ามันไม่จริง มันไม่จริง ก็ไม่ต้อง ไปต่อว่าเขาหรอก เราก็เข้าใจแล้ว เพราะเขาไม่รู้ความจริง คนที่ไม่รู้ความจริง ก็ได้ข้อมูลไม่พอ หรือเขา ยังโง่อยู่ เขาทราบความจริง ยังไม่ได้ ไปดูถูกเขา ไปว่าอะไรเขาอีก ต่างๆ นานา เราเองนั่นแหละ ไปทำ สิ่งไม่ดี เขาไม่ดีก็เป็นส่วนของเขาแล้ว เราจะต้องไปทำ ส่วนไม่ดี เพราะคนๆนี้ ทำไมล่ะ คนๆนี้ มีฤทธิ์อะไร ใหญ่กว่าเรา คนโง่มีฤทธิ์แท้ ไปทำให้โง่ตามเขาได้ แสดงว่าเราก็โง่กว่าเขาไปอีก ถ้าคนฉลาดมาทำให้โง่ หรือคนฉลาด มาทำให้เราฉลาด ก็พอว่า นี่คนโง่ มาทำให้เราโง่เข้าไปอีก โธ่ ซุปเปอร์โง่เลย

ถาม : ถ้าเราไม่ชอบเพื่อนคนไหน ถ้าเราทำเฉยๆ ไม่พูดด้วยอะไรเฉยๆ ก็พูดนิดๆหน่อยๆ ได้ไหมฮ่ะ

ตอบ : ได้ ก็พยายามหัดทำใจให้ดีๆ ถ้าใจของเราทำดีแล้วนี่นะ ต่อไปเรา ก็พูดคบหากัน ในเรื่องที่เป็นสาระ ในเรื่องของ ใครรวนละ เรารวนเขาเหรอ เขารวนเรา เราทนได้เราเก่ง เขารวนเรา และเราทนได้ เราเก่ง ฝึกหัด ให้มัน วางนิ่งสนิท วิธีปฏิบัติจริงยาก แต่กุศลธรรมเจริญนะ ต้องหัดๆ จริงๆ ต้องหัด

เอาอย่างนี้ เรื่องฆ่าสัตว์ อาตมาขอพูดกับพวกเหมือนกัน เราเอง เราไปทำงาน เฉพาะไปทำเกษตรนี่ นะ ไปทำกสิกรรม เราต้องขุดดิน ขุดอะไรกัน ถูกแมง ถูกมด ถูกนั่น ถูกนี่ๆนะ ให้เข้าใจให้ได้นะว่า สัตว์เหล่านี้ เป็นสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่นั่นด้วยนั่นหนึ่ง ไม่ใช่สัตว์ที่มีประโยชน์มากมายอะไรนักหรอก ก็เป็นสัตว์เล็ก อย่างที่ว่านี่ มันบาป ก็ไม่บาปอะไรมากนัก แต่ถึงขนาดนั้น ก็อย่าได้ไปประมาท แม้บาปเล็ก บาปน้อยก็ตาม อย่าไปประมาท ทีนี้บาป มันจะไม่เต็มบาป หรือมันไม่เป็นบาป ร้อยเปอร์เซนต์ ก็ตามที่ว่า การฆ่า ที่เขามี องค์อยู่ ๕ ข้อ ที่จะครบบาปสมบูรณ์

๑.สัตว์นั้นมีชีวิต
๒.เรารู้ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
๓.เจตนาจะฆ่า ชีวิตนี้ให้ตาย
๔.ลงมือทำ
๕.เอาจนตาย ตายสนิทตายจริงๆ ตายอีหลีอีหรอ รู้หรือเปล่า รู้หรือเปล่า คนเหนือ รู้หรือเปล่า คนใต้ ตายอีหลีอีหรอ นี่ อีหรอนี่ มันก็สร้อยคำ ว่าอีหลี แปลว่าจริงๆ จริงๆ ตายอีหลี อีหรอนี่ตายจริงๆ จริงๆเลยนะ

ถ้าเผื่อว่า เราเอง เราทุกวันนี้นี่นะ เรามีเหตุผลเก่านั่นเอง ที่นี่เราทำให้มันตายนี่ คือสัตว์มันมีชีวิต เราไม่รู้ ไม่เห็นด้วยซ้ำ ว่า มีสัตว์ที่มีชีวิต เราไม่ได้เจตนาฆ่ามันเลย ลงมือทำ พยายามทำให้มันตาย ด้วยความพยายาม เมื่อไหร่ เราไม่เลยนะ และบางที มันตายก็ตายนะ ตายโดยที่ เราไม่ได้มีจเตนาเลยนะ

เพราะฉะนั้น จริง ๆ บาปมันไม่มีนะ องค์บาปที่สมบูรณ์แบบ มันไม่ครบหรอก แต่มันก็ไม่ดีบ้าง มันไม่ได้ บาปมาก บาปมายอะไร อย่างที่ว่านี่ องค์บาปในการฆ่าสัตว์นี่ มันมีอย่างทั้ง ๕ ที่ว่านี่นะ มันไม่ได้เป็นถึง ขนาดนั้นหรอก เอา ทีนี้ เรามาคิดถึงความจริงขณะนี้ ที่เราจำเป็นต้องอย่างนั้น ก็เพราะว่า มันยังไม่สมบูรณ์ กสิกรรมของเรา ยังไม่สมบูรณ์ กสิกรรมของเรา นี่เราค่อยๆปลูก ค่อยๆทำขึ้นมา ถ้ามันเป็นธรรมชาติที่ดีแล้ว ไม่ต้องไปขุด ไม่ต้องไปตัด ไม่ต้องไปอะไรกับมันอีก ดินมันก็ดีแล้ว มันเป็นโคจรของมันอยู่นา มีแต่เราจะไป เด็ดยอดมันมากิน เด็ดใบมันมากิน เด็ดนั้น เวลามีผลก็ไปเด็ดผลเอามากิน เวลาจะทำความสะอาดอะไร เล็กๆ น้อยๆ เมื่อนั้น เราก็ไม่ต้อง ไปมีที่จะต้องไปต่อ เป็นเรื่องที่จะต้องบาปอีก แต่ ตอนนี้ มันมีบ้าง มีบ้างก็เอาเถอะ เราสร้างความดี ที่เป็นบุญ ให้ท่วมท้นยิ่งกว่า แค่นั้น บาปยังไม่ครบองค์ ๕ ด้วย แต่เรา ทำบุญนี่ ครบบริบูรณ์ ไปเรื่อยๆ มันมาก ทุกวันนี้นี่ เราสร้างบุญจริงๆ เอาละ แค่นี้ เราไปทำนา เรามีบุญไหม ท่วมท้นยิ่งกว่า ที่เราทำสัตว์ตาย แล้วแต่คน ใครคนไหน เขาข้องใจนะ เราทำสิ่งที่เป็นคุณค่านะ ท่วมอยู่หรอก ไม่ต้องไปใจฝ่อ มากมาย อะไรนิด อะไรหน่อย ก็ไม่ได้ แต่ว่ามันจำเป็น มันสุดวิสัย ก็มันเลี่ยง ไม่พ้นนะ ก็จำเป็น

ถาม : โรงเรียนสัมมาสิกขาของเรานี่นะคะ ประสบปัญหาอย่างหนึ่งค่ะ การหลับในห้องเรียน ทำยังไง ถึงจะแก้ได้น่ะค่ะ

ตอบ : เราก็พยายามปรับปรุงจริงๆ ไอ้แก้กันการหลับนี่นะ มันก็ไม่ง่ายนัก (เสียงพ่อท่านหัวเราะ) เราต้อง พยายามฝึกจริงๆ เรารู้ว่ามันยากด้วย แล้วมันมีเหตุปัจจัยของมัน คือมันติดง่ายนะ ติดหลับนี่ มันติดง่าย จะบอกให้นะ คนข้างนอกเขานี่ เป็นเด็กก็ตาม เดี๋ยวนี้ เขาไม่ได้เป็นโรคติดหลับนะ เขาเป็นโรคนอนไม่หลับ โรคนี่ๆ มันยิ่งร้ายกว่าเรา คือพวกนี้ ยังไปหาโรคเส้นประสาท พวกที่นอนไม่หลับนี่ นี่ เด็กๆ ข้างนอก เขาแข่งขันกันและกัน และเขาก็ถูกกดดันแบบ โลกเขานี่นะ

คนมาในอโศกนี่นะ อย่าว่าแต่เด็กเลย ผู้ใหญ่ก็เหมือนกัน มาอโศกนี่ ส่วนมากเป็นโรคที่หลับไม่ตื่น ปล่อยวางเก่ง เอาจริงๆ อันนี้เราต้องรู้ฐานะของเรา เพราะฉะนั้น เราต้องสู้มันหน่อย หัดฝึกจริงๆ ฝึกก็พยายาม อย่าให้มันหลับ ตั้งอกตั้งใจ ให้มีสติแข็งแรง มันเป็นโจทย์ที่เราจะต้องทำให้แข็งแรง หัดให้มี ความสดชื่น สนใจในสิ่งที่ เราควรสนใจ ตั้งใจบ่อยๆ หาโทษหาภัยของมันให้ดี เขยิบขยับจริงๆ ว่าถ้าเรา เอาแต่ติด แต่หลับนี่นะ ท่านว่าเอาไว้เยอะ ในพระไตรปิฎก ก็ว่าไว้ ว่าเป็นพญานาค หลับเก่งๆ นี่เป็น พญานาค นาคที่จริงนี่ ที่จริงเป็นคำตบแต่ง คำว่า พญานาค ก็คือพญางู พญานาค นี่คืองูทรงเครื่อง ว่ายังงั้นเถอะ งูที่ตบแต่ง งูที่ประดับประดา งูที่เขาประชดนะ ประชดว่ามันยิ่งกว่างูๆเวอร์ งูตบแต่งหงอน ตบแต่งอะไรต่ออะไร ร้ายแรง หยาบคาย คือเกินไป งู เดิน เป็นงูที่หยาบ เป็นงูที่จัดจ้าน นะ มันยิ่งกว่า ธรรมดา จึงเรียกว่างูใหญ่ๆ หรือ พญานาค หรือ งูเวอร์ เขาเป็นภาษาประชดน่ะ แบบภาษาประชด อย่างสุภาพ อย่างผู้ดี

เพราะฉะนั้น ใครไม่รู้ทัน ก็ฟังหลงผิดด้วยน่ะ ก็นึกว่า ฉันเป็นพญางู เป็นพญานาคอะไรนี่ หลงไปใหญ่เลย ยิ่งบ้า ไปใหญ่เลย กลายเป็นโง่ใหญ่เลย แต่ถ้ารู้ตัวแล้ว เขาว่าเรานี่ เป็นงูธรรมดาแย่แล้ว

งูคืออะไร งูคือลักษณะที่มันได้แต่นอน ไม่มีสิทธิที่ยืนขึ้นสองขาตั้งยืนขึ้นมาได้ นอนติดพื้นอยู่นั่นน่ะ ต่ำต้อย ไอ้นอนเอือก ติดดินอยู่อย่างนั้นแหละ นอนหนักๆ นอนขนาดยากเลย นอนขนาด ไม่รู้จักหลับ จักตื่น เขาอธิบายเป็น บุคลาธิษฐาน ไปจนกระทั่ง ถึงขั้นว่า พญานาคนี่ นอนอยู่ใต้บาดาล หลับไม่รู้ ตั้งไม่รู้กี่ชาติ จนกระทั่ง ติดนิสัย ขนาดนั้น และมันจะไปผุดไปเกิดอะไรกันได้ล่ะ เอามันจะไปเจริญ ตรงไหนละ ก็โง่ติดดิน อยู่ใต้บาดาลด้วย ไอ้ขนาดบนดิน มันก็ถือว่า ต่ำเตี้ยแล้ว นี่มันใต้บาดาลลึกลงไป โน่นอีก เมื่อไหร่มันจะโผล่ ขึ้นมาเป็นคนเจริญได้ เป็นสัตว์เจริญได้

เขาพูดเป็นบุคลาธิษฐาน พูดเป็นสมมุติ พูดเป็นรูปร่าง อะไรพวกนี้ มันแสดงว่าเขาด่า เพราะฉะนั้น อย่าไปติด คำว่า งูๆ ระวังจะไปอยู่ใต้บาดาล ไม่ได้ผุด ไม่ได้เกิด ไม่ได้โง ไม่ได้เจริญขึ้นสักทีนะ ติดไม่รู้กี่ชาติ ต่อกี่ชาติ ระวัง อย่าไปติด ความหลับ ความนอนอะไรละ

ถาม : พ่อท่าน พระโสดาบัน นี่ จะแน่วแน่ต่อพุทธศาสนา

ตอบ : แน่นอนๆ

ถาม : แล้วจะไม่รักใคร่ด้วย ใช่ไหมฮะ

ตอบ : ไม่แน่ โสดาบัน สกิทาคามี ยังไม่หมดกาม โสดาบัน ยังมีกามอยู่ได้ ยังมีขนาดหนึ่ง คือ มาตรฐาน ที่ท่านตัดเกรด เอาไว้ ว่าพระโสดาบัน หมายความว่า มีกิเลสในระดับที่ยังมีกิเลส พวกที่ยังมีกาม บางทีอาจจะต้อง ถึงแต่งงาน บางทีก็อาจจะไม่ต้องแต่ง โสดาบันไม่แต่งงานก็มี โสดาบันแต่งงานก็มี เป็นได้ สกิทา ก็เหมือนกัน

ถาม : ทีนี้ ตอนนั้นพระอานนท์ ถูกนางโกกิลาตามตื๊อ แล้วทีนี้ พระอานนท์ บอกว่า พระอานนท์ไม่มีหัวใจ ให้ใครแล้ว มีหัวใจให้แก่พระพุทธเจ้าองค์เดียว

ตอบ : ก็ดีแล้ว ก็น้ำหนักไปทางนี้ก็ดีแล้ว

ถาม : พระโสดาบัน ต้องเป็นอย่างนั้น ทุกคนไหมคะ

ตอบ : ไม่ทุกคน ถ้าทางนี้ตัดให้มากอย่างนั้นก็ดี แต่ก็ว่า อย่างอื่น มันยังไม่มีพอ มันมีคุณภาพอย่างอื่นด้วย คุณภาพ อย่างอื่นดียังไม่มาก แต่คุณภาพเรื่องกาม เรื่องผู้หญิง นี่ และท่านอาจจะมีมาก คุณภาพอันนี้ ท่านจะมีมากก็ได้ หรือเรื่องอื่น ยังไม่มากพอก็ได้

ถาม : และทำไม บรรลุอรหันต์คืนเดียว และบรรลุเลยนะฮะ อย่างพระอานนท์

ตอบ : ที่จริง พระอานนท์ท่านบำเพ็ญธรรมของท่านเอาไว้มาก ท่านบำเพ็ญเอาไว้ตั้งหลายชั้น หลายเชิง อะไรแล้ว ไม่ใช่คืนเดียว ท่านบำเพ็ญมา ตั้งมากตั้งมาย

ถาม : ถ้าบำเพ็ญแล้ว แต่ทำไม ถึงไม่บรรลุสักทีแล้ว

ตอบ : ก็ไม่เป็นไร ก็ท่านจะไปพูดอันนั้นคืนนั้นเท่านั้น คืนที่จะบรรลุ วันอื่นท่านก็ได้มาแล้ว ใครไปติดตาม ท่านได้ จดทะเบียน จดสถิติมาเล่า แต่เขาหยิบเอาตอนนั้นมาพูด เราก็เข้าใจเอาเอง เราไปเข้าใจว่า พระอานนท์ มามีภูมิตอนนั้น พรวดเดียวไม่ได้ ทุกอย่าง เป็นไปตามลำดับ ลาดลุ่มไปตามลำดับ

ถาม : พ่อท่านคะ สมมุติว่า คนที่พูดกันมากๆ นะคะ แล้วใช้การ พุทธังอะไรอย่างนี้นะคะ มันจะหาย ได้ไหมค่ะ

ตอบ : ก็ช่วยได้บ้าง เราจะเกิดสังวร คนที่พูดมากๆ พูดบ่อยๆ ก็หัด ระงับสังวรวจีของเราว่า พยายามมีสติ เออ เวลาจะพูด จงหัดระงับบ้าง ได้ผลดีเหมือนกัน เอา

ถาม : พ่อท่านค่ะ มนุษย์ขี้ฟ้อง นี่จะปราบยังไงดีคะ ในสัมมาสิกขานี่น่ะ ชอบขี้ฟ้องประจำเลยฮะ

ตอบ : เอาอาตมาจะอธิบายฟ้องให้ฟังนะ ฟ้องกับให้ข้อมูล มันคืออะไร เอาฟัง ฟังก่อน คนฟ้อง คำว่า ฟ้องนี่ หมายความว่า เป็นคนที่ไปรายงาน เรื่องอะไรก็แล้วแต่ เป็นเรื่องที่ดีหรือไม่ดีก็ตาม เสร็จแล้วไปใส่ไข่ อย่างที่ว่า นี่ไปพูดเอา แล้วก็มีกิเลสในหัวใจ เป็นความริษยา เป็นความโกรธ เป็นความไม่ชอบอะไรอย่างนี้ เป็นต้น ใส่เข้าไปกับ การรายงาน ข้อมูลนั้น อย่างนี้ เรียกว่าฟ้อง

แต่คนไหน ที่ไปรายงานข้อมูลนั้น โดยไม่มีกิเลส โดยไม่มีความริษยา ไม่มีความโกรธเคือง ไม่มีความชิงชัง แต่รู้ว่า มันไม่ดี ไปบอก โดยเฉพาะ ไปบอกผู้ใหญ่ ไปบอกผู้ควรที่จะรู้ เมื่อผู้ใหญ่คนนั้น จะได้รู้สิ่งเหล่านี้ เพื่อช่วยแก้ไข สิ่งที่ไม่ดีอันนี้ สิ่งบกพร่องอันนี้ อย่างนี้เขาเรียกว่า ไปให้ข้อมูล สังคมต้องการข้อมูล เพราะฉะนั้น ใครจะไม่บอกข้อมูล ความบกพร่องของใครๆๆๆ แก่ใครๆ เลยนี้ สังคมนั้นไม่เจริญ สังคมนั้น เสื่อม เพราะฉะนั้น ต้องบอกข้อมูล ของคนที่ขาด หกตกหล่น บกพร่องอะไรนี้ แก่ผู้ที่สมควรที่จะต้องบอก ที่รายงานข้อมูลนี้ด้วย เพราะฉะนั้น เราจะไปบอกข้อมูล ข้อบกพกร่องของใครแก่เพื่อนๆ ให้แก่ครู ให้แก่ผู้ใหญ่ ให้แก่สมณะ ให้แก่ใคร ก็แล้วแต่ ให้ฟังบ้าง

ถูกแล้ว เป็นการทำที่ดี แต่ต้องดูใจเรา อย่าไปใส่ไข่ อย่าไปเอาความโกรธ ความชิงชัง ในการผู้นั้น ทำให้ถูก สัจจะ ด้วยเมตตา เป็นความไม่ดี ด้วยเมตตา จะเล็กน้อย หรือมากมาย ไม่เป็นปัญหา พระพุทธเจ้า ไม่ได้เคยทำ ให้เรื่องใหญ่ หมายความว่า ใส่ไปซิ ใส่ไข่มันจะเป็นใหญ่อะไร มันก็เล็กเท่าเดิม หลายคน มันก็ไม่ใหญ่ มันเล็ก มันรู้มากคนเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องเล็ก แต่รู้มากคน หมายความว่า เรื่องใหญ่ๆ มันก็ใหญ่ๆ เล็กๆมันก็เล็ก อย่างเก่านั่นแหละ แต่มันรู้หลายๆคน เท่านั้นเอง ถ้ามีกิเลส ต้องหัด ต้องฝึก คนที่ไปเล่า ที่ไปรายงานข้อมูล ก็พยายามหัดๆ จริงๆ การรายงานข้อมูล ไม่ผิดอะไรหรอก ดี สังคมจะได้รู้ จุดบกพร่อง เกิดอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใครบ้าง ให้ดูแล ผู้บริหาร ผู้บอกไม่เป็นความจริงบาป แต่ถ้าบอกเป็นความจริง แล้วเป็นบุญ คนที่ยิ่ง รู้ความไม่ดี ฟัง ไม่ดีตรงนี้ คนที่ยิ่งรู้ความไม่ดีของเพื่อน เป็นความชั่วที่ไม่ดี มากๆ ด้วยนะ

ความผิดที่มักมากแล้ว และเราก็ไปรู้ความผิดที่มักมากของเพื่อนนี่ ไม่รีบไปบอกผู้ใหญ่ อันนี้ยิ่งบาป มากๆเลย เพราะว่า ผู้ที่เสีย ก็เสียอยู่นาน เหตุการณ์ที่เกิดอีก ก็ไม่ดีอีก ก็เกิดขึ้นในสังคม เพราะยังไม่ได้ เกิดการแก้ไข ยังจะไม่มีการ ระมัดระวัง ยังไม่มีการทำให้ดีขึ้น เพราะฉะนั้น มันจะเสื่อมเสีย ใครปกปิด ความไม่ดีของเพื่อน ที่เรารู้แล้ว ช่วยกันปกปิดบาป บาปมากด้วย

พระนี่ถ้าเผื่อว่า รู้ความผิด รู้อาบัติของหมู่พระด้วยกัน ไม่ไปแจ้งแก่อุปัชฌาย์ ไม่ไปแจ้งแก่หมู่ อาบัติ สังฆาทิเสส สังฆาทิเสส นี่รองจากปาราชิกนะ ไม่ได้นะ

ตัวอย่างนั้นแหละ จะต้องบอกให้กันเข้าใจ แล้วจะได้อบรม ผู้เป็นครูนี่ จะต้อง ถ้าหาเรื่อง ก็โง่ต่อไป รายงานต่อครู ก็จะต้องบอกเรื่องนี้ อย่างอาตมานี่ ก็ต้องบอกพวกเราไว้ อย่าไปต่อว่าเขา คนอื่นเข้าไป รายงาน สิ่งไม่ดีของเรานี้แล้ว เขาปรารถนาดี เขาอิจฉาก็เป็นความซวยของคนรายงานเอง บาปของเขาเอง ใครทำก็บาปของเขา เขาไปด้วยอิจฉา ริษยา เป็นเรื่องบาปของเขาเอง เราจะไปริษยาเขาทำไมเล่า ไปริษยา เขาก็บาปเอง เราจะไปเอาบาปขึ้นมาด้วย ทำไม เราก็โง่เข้าไปอีกนะซิ จะ ไปโง่ทำไมเล่า เอาคิดให้ดีๆ นะ ต้องรู้ความจริงอย่างนี้แล้ว เราจะไม่ประหลาด อะไรหรอก ต้องทำให้มัน ถูกต้อง ตามหลัก แล้วก็จบ

ถาม : พ่อท่านคะ ถ้าเผื่อว่ามีคนชอบทำให้เราหน้าแตก อะไรนี่ อย่างนี้แหละ

ตอบ : เราพยายาม ไอ้หน้าแตกนี่ มันเป็นภาษาสำนวนของศักดิ์ศรี ถ้าเราไม่ถือศักดิ์ศรีอะไร มันไม่หน้าแตก หน้าเติก อะไรหรอก

ถาม : เขาตะโกนดังๆค่ะ

ตอบ : ช่างเขา

...

ละเมอนี่ ก็คือจิตใต้สำนึก จิตนี่ มันมีอยู่ ๓ ขั้นนะ เราเรียกว่า
๑.จิตสำนึก (CONCIOUS)
๒.จิตใต้สำนึก (SUB CONCIOUS)
๓.จิตไร้สำนึก (UNCONCIOUS)
๓ ระดับฟังให้ดี

ทีนี้เมื่อเวลาคนละเมอนี่ นี่เวลานี้ เรามีสติ ใช้สำนึกธรรมดา สำนึก (เสียงหัวเราะพ่อท่าน) เดี๋ยวซิ เลอะเลย ไปภพเดียวกัน นั่นแหละ จิตใต้สำนึก นา จิตใต้สำนึก หมายความว่า จิตตัวลึก ของไปจากจิต ตัวลงไป จิตสำนึกนี่ ซึ่งมันก็ ใกล้จิตสำนึก มันทำงาน เราจะล้วงถึง เราจะหยั่งถึงได้ง่ายกว่า เราจะพยายาม ระลึกด้วย ลงไปถึงจิตสำนึก ลึกๆของเรานี่ เรียกว่าใต้สำนึก เราล้วงลงไปได้ เจอมากกว่า

ส่วนจิตไร้สำนึก นั่นเราล้วงไปไม่ถึง จิตไร้สำนึก คือจิตที่อยู่ลึกๆ จน เราล้วงไปไม่ถึง แต่มันมีบทบาทๆ มันมีการงานของมันอยู่เหมือนกัน มันทำงานอยู่เหมือนกัน เพราะฉะนั้น เวลาเรานอนหลับ เรานอนหลับ เราไม่มีสำนึก ธรรมดา และเราก็ไม่รู้ตัว เมื่อรู้ตัว นี่คือจิตใต้สำนึก หรือจิตไร้สำนึก หรือจิตใต้สำนึก มักทำงานนี่ เหมือนกัน รู้บ้างไม่รู้บ้าง เลยรู้ตัวบ้างนิดๆ ลำเลืองๆ จิตใต้สำนึก ไม่รู้เลยนี่จิตไร้สำนึก ไม่ออกมาทำงานเลย ทำจนเสร็จแล้ว พอออกมา ฉันทำอะไร ไม่รู้เรื่องเลย ไม่รู้ตัว ทำอะไรไปก็รู้เรื่อง แต่มันมีตัวบงการ มันมีตัวสั่ง มีสัญชาตญาณที่ตนสั่ง

ปัดโธ่ ละเมอมาตักน้ำใส่ตุ่ม จะเต็มตุ่ม กลับไปนอนตื่นเช้าขึ้นมา คน ว่าโอ่ว่านี่ เมื่อคืนนี้ ตื่นขึ้นมาตักน้ำ ใส่ตุ่มหรือนี่ ไม่รู้นี่ ทั้งๆที่ตัวเองละเมอไปตักน้ำ ใส่ตุ่มจนเต็ม มีจริงๆ มีๆ ไม่ใช่อาตมา คนอื่นเขา มีคน ละเมอ ไปทำไอ้โน่น ไอ้นี่ ทำ มันเคยชินนะ สัญชาตญาณมันเคย มันทำๆ ตามสัญชาตญาณ ที่มันเคยทำ มันมีตัวสั่งทำ อย่างนี้รู้ จิตใต้สำนึกทำ ตาก็เห็นอะไรก็เห็น แต่มันไม่ออกมาสู่ข้างนอกเลย ทางภาษาพระ ท่านเรียก มันไม่ขึ้นสู่วิถี เป็นจิตใต้สำนึก มันทำงานของมันจริงๆ แล้วไม่รู้ตัว

กรนก็คือ อวัยวะของคนหลายๆคน มันทำงาน มีอวัยวะทำงาน ที่ไม่สะดวก มันก็เป็นของมันตามธรรมชาติ บางคนก็เป็น บางคนก็ไม่เป็น เราไปลงโทษของ ไม่ได้หรอก กรนนี่

ฝันก็คือ จิตมันทำงานเลอะเทอะไปตามกิเลส ถ้ามีกิเลส นั่นแหละกิเลสๆ มันก็เลอะๆเทอะๆ ถ้าคนไม่มี กิเลส นอนก็มีนิมิต แต่นิมิตนั้นไม่ผสมด้วยกิเลส ก็เป็นเรื่องราวอะไรไปตามเรื่อง

นิมิตก็คือ ภาพเหมือนที่เกิดในฝันนั่นแหละ เป็นภาพอะไรต่อมิอะไรที่เกิดขึ้นมาไปตามเรื่องตามราว


ถาม : ทำอย่างไร ถึงจะลดจิตที่คิดริษยาคนอื่นครับ

ถาม : จิตคิดริษยาคนอื่นนี่ ก็มองให้มันเห็นชัด ไปริษยาคนอื่น เอาตรงนี้ก่อน ริษยาหมายความว่า ไม่ต้องการ ให้เขาได้ดี เราริษยา พอรู้ว่าเขาดี ไม่ต้องการให้เขาได้ดีกว่าเรา ก็จะต้องข่มเขาไว้ จะต้องไม่ให้ เขาได้ดีกว่าเรา เราจะต้องดีกว่าเขาเสมอ ว่าริษยา และเราคิดดูซิว่า ทำไมคนดีนี่นะ คนเขาดีนี่ ทำไมเรา จะไม่ให้เขาดีขึ้น ดีขึ้นไปอีกๆๆๆ ทำไมๆ และทำไมๆ มันโง่หรือมันฉลาด คิดดูเหตุผล อันนี้ให้รู้จริงๆ ถ้าคนดี น่าจะนิยมชมชื่น น่าจะยินดี ปรีดากับเขาว่าเขาดี เขาดีนะ เขาจะได้เป็นคนมีประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม ต่อมนุษยชาติ เขาก็ได้บุญของเขา ต่อโลกมนุษย์ สังคมก็ได้ประโยชน์ ก็เพราะว่า เขาเป็นคนดี ควรจะสนับสนุน คนเป็นคนดีด้วย เห็นเหตุผลนี่ให้จริง เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปริษยาเขา แหม เขาดีแล้ว ไม่อยากให้เขาดี แสดงว่าเราเลว เราโง่ เราอยากเลว อยากโง่ ก็ทำต่อไป

ถาม : ครับ ก็พอเข้าใจแล้วครับ

และ ถามอีกคำสั้นๆ พ่อท่านคงตอบสั้นนะครับ ลด คำที่ว่า ลด อาการของคนที่ถือสานี่นะครับ อาการ ของคน ที่มีจิตถือสาคนอื่นนี่นะครับ

ตอบ : นั่นแหละ ก็คล้ายกับริษยาอยู่เหมือนกันนะ คนอื่นคนอื่น เราคือเรา ถ้าเขาจะทำไม่ดี และเราก็ไป ถือสา เราไปละลาบละล้วงเขานะ มันเรื่องของกู อย่ามายุ่งกะกู นี่ เข้าใจไหม กูจะเป็นอะไรก็ช่าง เขาจะดี หรือเขาจะไม่ดี ก็ไปถือสาเขา นั่นแหละ ไปละลาบละล้วงเขาเปล่าๆ มันเรื่องอะไรของเราล่ะ เข้าใจให้ชัด อาตมาอธิบายให้ชัดๆนะ เขาเรียกว่า ถ้าเผื่อว่า พูดให้ชัดๆ คือเสือกไปถือเขา เขาจะดีหรือเขาจะไม่ดี มันเรื่องของเขา เพราะฉะนั้น ถ้าเขาดี เราไม่อยากให้เขาดี เราไปริษยาเขา เราโง่แสนโง่ เราแสนจะ ไม่ได้เรื่อง ได้ราวเลย

ทีนี้ เขาจะดี หรือเขาไม่ดี เขาจะอะไรก็แล้วแต่ มันเรื่องของเขา ไม่ดีก็เรื่องของเขา ไม่ต้องละลาบละล้วง ไม่ต้องไป ส.ใส่เกือกกับเขา รู้ให้ชัดๆ อย่างนี้ คิดเห็นจริงๆ เราไปเสือกทำไม เราไปถือสาทำไม มันไม่ดี ของเขา ถ้าเป็นหน้าที่ ปรารถนาดีต่อเขา ถ้าเขาไม่ดี จะช่วยเขายังไง มีเมตตาอย่างนี้ดี เขาไม่ดี เออ ถ้าเราจะไปรายงาน ไปบอกข้อมูล หรือ เราไปบอกเขาได้ไหม ถ้าเขาไม่ศรัทธาเรานะ เราจะไปบอกเขานะ ไม่เข้าท่าล่ะ ไปบอกผู้ใหญ่ หรือ ไปบอกกับคนที่ จะช่วยเขาได้ นี่เป็นเมตตา ให้ข้อมูลกับผู้ที่ควรจะให้ และไม่ต้องไปถือสา เขาเป็นอย่างนี้ เออ ก็น่าสมเพทเวทนานะ ถ้าเขาไม่ดี ส่วนมากก็ถือสา คนที่ทำไม่ดีนะ และเราไปถือสาใช่ไหม ถ้าคนทำดี เราก็ไม่ไปถือสาเท่าไหร่ เราก็ไปถือสาคนทำไม่ดี ระวัง อย่าไปส.ใส่เกือก คนเขาทำไม่ดี ก็เรื่องของเขา

ถาม : พ่อท่านคะ ถ้ามันเป็นเรื่องของเขาก็จริง มันเกี่ยวกับเรา

ตอบ : มันเกี่ยวกับเรา (ใช่ครับ) มันเป็นเรื่องเขา แต่มันเกี่ยวกับเรา (ใช่ค่ะ) ค่อยๆ บอกแก่กัน ทำอย่างนี้ แล้วมันไป สะเทือนคนอื่น มันเสียหายแก่คนอื่น มันไม่ยินดี ไม่อยากให้ทำอย่างนั้นใช่ไหม (ฮะ) รู้สึกว่า มันไม่ดี แต่ชาวบ้าน เขาทำไม่ดี แต่เราถือสา เราไม่อยากให้เขาทำอันนี้ อาตมาถึงบอกแล้วเมื่อกี้ ก็ไปบอก กับคนที่เขาควรจะบอก ไปรายงานผู้ใหญ่ ผู้ที่จะช่วยเขาได้ ก็จบ หรือถ้าเขา เอ้า มันก็ต้องช่วยได้บ้างละ ถ้าเราไม่บอกเลย ก็ไม่มีใครช่วย ถ้าเราไม่บอกเลย ก็อย่างนั้นแหละ เราก็ทำของเราไปด้วย แหม ไม่มีเมตตา เพื่อนฝูงเลย เดี๋ยวเพื่อนด่าเราอีก เราหัดเลย เป็นข้อสอบ เป็นแบบฝึกหัด เขาด่าเรา เราจะทนได้ไหม เราปรารถนาดีแท้ๆ เขามาด่าเรา เราก็ว่า เออ เราทำดีอาวไม่เลว เราเป็นจริง เราเลวหรือเปล่าล่ะ เราปรารถนาดี เราไปฟ้องแล้วเราก็ใส่ไข่ เสร็จแล้ว เราก็เอา ความเครียด ความชังอะไร ไปด้วยหรือเปล่า เราเปล่า เราก็ไม่ได้ทำเลวอะไรนี่ เราเจตนาดี เราปรารถนาดี เราเอาสิ่งที่ไม่ดี ไปบอกผู้ใหญ่ เขาจะได้แก้ไข ปรับปรุง เขาก็จะได้ดีขึ้น นั่นเป็นความปรารถนาดีของเรา เราไม่ได้เลว อะไรนี่ จะไปตื่นเต้นทำไม จะไปบ้าจี้ ทำไม เพราะเราเอง ทำดีอยู่แล้ว เขาบอกว่า เราทำเลว เราก็ทำดีอยู่แล้ว จะไปบ้าจี้ทำไม เขาว่าเราเลว เราเลว ไปตามลมปากเขาเหรอ เราไม่ได้เลวไปตามลมปากคนหรอก

ถาม : พ่อท่านคะ ถ้าเกิดเราเห็นคนอื่นเขาดีกว่าเรา แล้วเรารู้สึกว่า ทำไมเราจะทำอย่างนั้นได้บ้าง และ ก็พยายาม ทำนี่ ถือเป็นอัตตามานะไหมคะ

ตอบ : ดี ถือเป็นความมานะในแง่กุศล มานะหมายความว่า ความพากเพียรที่จะทำดี มานะนี่ ภาษาไทย เราเข้าใจดี โอ๋ย คนนี้ไม่มีมานะเลย แสดงว่าคนนี้ ไม่พากเพียรในการที่จะทำดี เรียกว่าไม่มีมานะ เพราะฉะนั้น ในสภาพที่ว่า คนนี้เขาทำดี เราจะทำดีให้ได้อย่างเขา นั่นเป็นมานะอุตสาหะ ดี อย่าไป ริษยาเขา

ถาม : เป็นกิเลสไหมคะ

ตอบ : มันก็เป็นความต้องการที่ดียังไง เป็นความปรารถนาอยากใคร่ดียังไง จะเรียกว่าเป็นกิเลส ก็เป็น วิภวตัณหา เป็นตัณหาอุดมการณ์ เป็นตัณหาที่พาเจริญ มันไม่ได้เสียอะไรหรอก มันค่อยๆดี แล้วเราค่อย ไปวาง อีกทีหนึ่งก็ได้ ว่าเราได้ดีแล้ว เราอย่าไปถือดีก็แล้วกัน อย่าไปติดดี ว่าดีเป็นของเรา ก็แล้วกัน และคนที่ รู้สึกว่า

ถาม : แล้วคนอื่นทำดีแล้วก็บอกว่า ช่างเถอะ คนนั้นเขาดีแล้ว เราไม่ทำหรอก ยังงี้ เป็นรู้สึกยังไง

ตอบ : นี่แหละโง่ๆ ว่า เห็นเขาทำดีแล้ว เอ๋อ ปล่อยเขา ดี เขาทำดีก็ดี เราก็อยู่ของเราไปเถอะ คนนี้ ไม่มีปัญญา ไม่เจริญ ประมาท ไม่มีปัญญาจริงแล้ว เอ๋ คนนี้เขาก็คน เราก็คนดี แล้วทำไม เราไม่ดีอย่างเขา ไม่มีดีให้ได้อย่างเขา จะตามหรือไม่ตาม ก็เขาคนดี พระพุทธเจ้าดีแล้ว ทำไมตามพระพุทธเจ้าล่ะ ผิด อาว ก็สิ่งที่ดีของใคร ก็ดีเหมือนกันหมดแหละ ถ้าเราแน่ใจว่าอันนี้ดี จะเป็นใครก็ดี อย่าไปถือตัว ถือดี ถ้าคนเขาดี เราแน่ใจว่า อันนี้ดีนะ อันนี้ดีจริง จริง เราควรจะทำ เราควรจะเป็น เราก็เป็นอย่างนั้น ทำอย่างนั้นไป เราไปถือดีคนนี้เขาดี อย่าไปทำตามมันเลย โง่บรมเลย

ถาม : ถ้าเราเห็นความผิดพลาดของคนอื่นนะฮะ แล้วก็เปิดโอกาสให้ ชี้ขุมทรัพย์ด้วย แต่เราไม่ชี้ มีความรู้สึกว่า ไม่แน่ใจว่า ตัวเองนี่ ไม่ได้ชี้ด้วยกิเลสจริง จริงแล้วก็กลัวเขารับไม่ได้ แบบนี้มันดีไหมคะ

ตอบ : ก็เราไม่แน่ใจน่ะว่า กลัวเขารับไม่ได้ เพราะเราไม่แน่ใจว่า เราจะพูดนี่จะรับได้ จะเก่งจะมีศิลปะ ในการพูด พอหรือเปล่า ก็ระมัดระวังไว้ก่อน ก็ดีเหมือนกัน ไม่แน่ใจ ถ้าแน่ใจว่า เออ เราพูดนี่ เขาจะรับได้ ฟังได้แหละ นั่นละดีนะ เราก็ค่อยๆ แสดง ก็ดีเหมือนกัน มันก็จะไม่เกิดการกระทบกระเทือนอะไร

ถาม : อย่างเด็กๆนี่ อย่างเวลาชี้ขุมทรัพย์กันนี่ ส่วนมากจะเงียบ ไม่ค่อยคุยกัน

ตอบ : นี่พวกเราอย่างนี้ เวลาประชุม เวลาที่มีการแสดงออก เอ้า ใครมีอะไรก็พูด ใครมีอะไร ก็แสดงออก แล้วไม่ทำนี่ ไม่ แสดงว่าเราเอง เราไม่กล้า เราเป็นคนหงอ ไอ้ทีนอกเวที แหม ทำอย่างนี้ๆ น่าเอาไม้กระบอง ตีกระบาล ไอ้ที่มีทาง เปิดโอกาสให้แล้ว ไม่ทำนะ มันไม่รู้จักกาลเทศะ นี่เขาเรียกว่า คนไม่รู้จักกาลเทศะ

ถาม : มันไม่กล้า แต่มันไม่อยากทำนะ

ตอบ : ทำไมล่ะ

ถาม : เครียด เวลาเขาบอกว่าเครียดมาก

ตอบ : นั่นแหละ เราต้องมีศิลปะ เราต้องฝึก แสดงว่าเราพูดในเรื่องที่ พูดเขารับไม่ได้ใช่ไหม (คะ) พูดให้เขารับได้ พูดให้มีศิลปะ ให้มันได้ประมาณ ให้พอดี พอเหมาะ พูดให้สุภาพ พูดให้เรียบร้อย ต้องเก่ง ต้องฝึกฝนนะ อยู่ดีๆ มันทำทันที ไม่ได้หรอก ศิลปะเราไม่มี ก็ต้องหัดยังไง และไม่หัด มันเกิดเองได้เหรอ เพราะคนเก่ง เขาซักซ้อม มาก่อนแล้ว คนที่มีพรสวรรค์นั่นคือ คนที่ซักซ้อมมาก่อน มาแต่ชาติก่อนๆ ปางก่อนๆ พอมาที่นี่ มันก็ติดตัวมา เรียกว่า พรสวรรค์ อยู่ดีๆ มันไม่มีทุกอย่าง พระพุทธเจ้าสอนเราว่า ทุกอย่างมันมาแต่เหตุ เพราะฉะนั้น อยู่ดี มันจะลอย ตุ๊บๆ ป่องๆ ฟลุ๊ก เราไม่ได้ฝึกมาเองเลย ได้เรารับฟรีๆ ได้ ไม่มีหรอกในโลก นอกคำสอนของ พระพุทธเจ้า ทุกอย่าง มาแต่เหตุ แม้ชาตินี้เราไม่ได้ฝึก แม้แต่ ชาติก่อนๆ เราก็ได้ฝึกมา มันมีเป็นสัญชาตญาณ มันติดมาที่คน ติดมาที่ใคร ก็มี พรสวรรค์อันนั้นนะ

ถาม : ถ้าอย่างนั้น หมายความว่า สมมุติมีรายการชี้ขุมทรัพย์ ต้องชี้กันทุกคน ใช่ไหมคะ

ตอบ : ก็ควรฝึกๆ ไม่ใช่อาตมาจะไปบอกชี้ขุมทุกๆคน มันก็มากไป ก็จะไม่หวาดไม่ไหวมั้ง บางคนที่ ไม่ไหวด้วย ปล่อยเขาไปก่อน คนไหนเขาไม่กล้า หรือเขายังไม่กล้า ยังทำไม่ได้ จริงๆ ก็ต้องปล่อยเขาไปก่อน ให้คนที่เขา สามารถนี่เขาฝึก เราไม่เก่ง เราก็ต้องรู้ตัวเรา และเราก็ต้องพยายาม ถ้าเราฝึกอยู่บ่อยๆ ก็ยิ่งดีซิ เป็นไรไปล่ะ

ถาม : พ่อท่านครับ ขอถามคำถามสุดท้ายครับ ให้พ่อท่านอธิบายขยายคำว่า คนขี้เก๊ก นี่รู้สึกว่า มันจะได้ยินบ่อย รู้สึกว่า เขาจะพูดให้ผมบ่อยนะครับ ให้พ่อท่านขยาย คำว่าขี้เก๊ก นี่เป็นอย่างไรครับ

ตอบ : คำว่าคนขี้เก๊ก นี่นะ ก็คือคนที่ทำอะไรมีลักษณะที่เด่น หรือเป็นลักษณะที่แปลก เพราะฉะนั้น ถ้ารับ ลักษณะที่ดี และมันเด่นมันดี และมันแปลกออกไปนี่ มันก็เหนือ และมันก็ไม่เหมือนกับคนอื่น เขาก็หาว่า คนนี่เด่นนี่ ศัพท์สำนวนที่คน พูดประชดว่าเก็ก

ทีนี้ถ้าเราเอง เราเป็นคนที่แอ๊ค ดัดจริต เราพอถึงเวลาหมู่เยอะ คน มักมากแล้วก็เก๊ก เราก็ทำแบบนั้นน่า โดยที่จริงๆ แล้ว โดยปกติ เราก็ไม่เป็น แสดงว่า เราเก๊กจริงๆละ คือเราแกล้งทำโชว์ เก๊กจริงๆ แต่ถ้าเผื่อว่า เราดีจริงๆ เราทำอย่างนี้ได้จริงๆ ยิ่งเป็นปกติ และมันก็เป็นของดีของเด่น และมันก็แปลกจาก คนอื่นเขา แต่มันเป็นสิ่งที่ดี และมันเป็นเอง ไม่ได้แกล้งทำโชว์หรอก มันเป็นของที่ ติดตัวเรา คนที่ไปว่า หาว่า คนนั้นเก๊ก คนนั้นแหละ โง่ คนที่ไป ว่าเขานั่นแหละโง่ เพราะเขาเป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาดีจริงๆ เขาเด่นจริงๆ ตัวเองนะ ไปริษยาเขา แล้วไปว่าเขา โง่ ไปว่าเขาเก๊ก ความจริงเขาไม่ได้เก๊ก ไม่ได้แกล้งทำนะ เขาทำจริง มันทุเรศ คำว่าทุเรศตานี่ ต้องพิจารณานะ ทุเรศตา ก็เรื่องของเขา ก็น่าเกลียด อาตมาบอกแล้ว นิยามแล้ว คำว่า ที่เขาทำนะมันดี มันเด่น และมันแปลกกว่าคนอื่นเขา เหนือเขาไปนั่นแหละ บอกมันไม่ได้บอก ถ้าทำนั่น มันทุเรศไป มันไม่ใช่เรื่องเก๊กหรอก มันเรื่องทุเรศ พูดแล้ว แต่ไม่พูดด้วยนะหรือ ทำไมล่ะ เขาเรียก ได้ยินแล้ว ทำไมไม่รีบขานบ้างละ ไม่อยากพูดมาก ไอ้รับคำแค่นั้น พูดมาก อะไรกันเล่า แหม ไม่มีอะไร มากหรือ ไม่อยากออกเสียงเหรอ เออ เอา หัดสัมพันธ์มั่ง

อาตมาเทศน์ถึงเรื่องสัมพันธ์สนิทอยู่นะ เทศน์แต่เรื่องสูงหน่อย ต้องละเอียดลออ สัมพันธ์สนิท หัดมีบ้าง มารยาทสังคม เราก็ต้องมีบ้าง การทักทาย ปราศรัยอย่างไร ไปทำอะไรนะ อ๋อ ทะเลาะสามัคคี (พ่อท่านหัวเราะ)

ถอด โดย ยงยุทธ ใจคุณ ๑๖ ม.ค.๓๖
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๒๑ ม.ค.๓๖
พิมพ์ โดย สม.มาบรรจบ
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๒๓ ก.พ.๓๖