อย่าหลงสร้างอัตตาฝังตนเอง
โดย สมณะโพธิรักษ์
ณ พุทธสถานสันติอโศก
วันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗


เรื่องที่อาตมาจะเทศน์ เรื่องสำคัญ เรื่องอัตตามานะ ในจุดประเด็นที่สำคัญยังไม่เข้าใจกัน พวกเรานี่ ยังไม่เข้าใจ อัตตามานะจุดนี้ แล้วเป็นจุดที่เข้าใจผิด เอามากๆด้วย คือหลงตัวหลงตน หรือว่า หลงผิดไป อย่างสำคัญด้วย หลายคน หลายคนทีเดียว และคนที่หลงผิดในจุดนี้ ไม่ค่อยมาฟัง ธรรมแล้ว ในส่วนนี้ ตอนนี้ไม่ค่อยฟังธรรมแล้ว นั่นแหละ อัตตามานะ ไม่ค่อยมาฟังแล้ว ที่จริง วันนี้นี่ น่าจะได้ฟังอย่างยิ่ง หลายคนไม่เห็นหน้ามาฟังธรรม ก็ยังป้วนๆเปี้ยนๆอยู่ในนี้แหละ ยังอยู่ในนี้แหละ จวนแล้ว จวนจะขาดรอนๆ ออกจากหมู่ไปแล้ว เพราะอะไร เพราะเขาถือว่า เขาศรัทธา เลื่อมใส อาตมามาก นี่เป็นอัตตามานะ ชนิดหนึ่ง ศรัทธาเลื่อมใสอาตมามากน่ะ ศรัทธา โอ้โฮ รัก นับถือ เชิดชู เลื่อมใสมาก และมากคนเดียว นี่อัตตามานะชนิดนี้ ฟังเอา นั่งอยู่ในนี้ ใครแต่ละคน ก็ตามแต่ สักวันหนึ่ง อยู่กับหมู่ยาก เพราะศรัทธาอาตมาแต่คนเดียว ศรัทธาเลื่อมใส เคารพเทิดทูน เชื่อฟัง ว่างั้นนะ เชื่อฟังมาก แต่คนเดียว คนอื่นเลยกลายเป็น ไม่ศรัทธาใคร จะเป็น สมณะอื่น จะเป็นสิกขมาตุ จะเป็นเพื่อนฝูง มิตรสหาย ยิ่งอย่าพูดถึงเลย ยิ่งเพื่อนฝูง มิตรสหายแล้ว (หัวเราะ) แต่บางทีนะ บางทีนี่ เพื่อนฝูงมิตรสหายยังดูดี โดยเฉพาะ คบค้าสมาคม กับเพื่อนฝูง มิตรสหายได้ คือคบค้าสมาคม เป็นเพื่อน แต่ไม่ใช่ ผู้จะมีคุณงามความดี หรือผู้ที่จะสอนนี่ อัตตามานะมันใหญ่อย่างนี้ ไม่ใช่ผู้ที่ จะมีความรู้ความสามารถ ผู้ที่จะสอน จะสั่งอะไรได้หรอก ไม่แคร์ด้วย แต่อยู่ด้วย ก็ไม่โกรธ นึกว่าตัวเอง เก่งซะด้วยน่ะ มีอัตตามานะถือดี อีตัวนี้ ตัวถือดี

คือถือดีแบบหน้าด้าน คือเพื่อนฝูงว่าไง ไม่โกรธ ฉันทำผิดอะไร ฉันจะทำผิด คือ มีลักษณะกิริยาท่าที ทั้งวาจา ทั้งกายกรรม ทั้งพฤติกรรมที่อยู่นี่ เพื่อนฝูงเห็นว่า อย่างนี้ มันติดอาตมามากไป เคารพนับถือ อาตมามากไป แล้วก็มีลีลา ซึ่งอาตมาอธิบายไม่ออกเหมือนกัน มันเป็นลีลาอย่างไรไม่รู้ ที่เพื่อน เขามอง ออกว่า มันถือตัว มันถือดีในตัว เพื่อนมองออก ยิ่งลักษณะที่ ถือดีถือตัวที่ศรัทธาอาตมา เคารพนับถือ อาตมา ยกย่องอาตมา เชิดชู เชื่อฟังอาตมา แต่ไม่เชื่อฟังสมณะอื่น ไม่เคารพนับถือ สมณะอื่น สิกขมาตุอื่น มันจะมีท่าทีลีลา ที่เพื่อนมองออก อาจจะทำท่าทีลีลายกให้ ยกให้สมณะ ยกให้สิกขมาตุ บางรูป ที่ไม่ใช่คู่กรณี ยกให้ มันมีซ้อนมากทีเดียว ยกให้ ว่าเป็นสมณะ หรือว่า สิกขมาตุ หรือเป็นนักบวช ก็ยกให้ แต่ไม่ได้นับถือหรอก ไม่แคร์ จะโกรธฉัน ไม่โกรธฉัน ฉันจะพาล โกรธ แกด้วย ถ้าฉันไม่ชอบใจนะ สมณะรูปไหน สิกขมาตุรูปไหน ก็แล้วแต่ มาทำอะไรไม่ชอบใจฉัน ฉันพาลจะโกรธ จะเกลียดแกเอาด้วย ถ้ารูปไหน ที่ฉันไม่โกรธเกลียด ก็พูดด้วยก็เฉยๆ แต่ไม่ได้นับถือ ไม่ได้เคารพ เพราะนับถืออาตมา องค์เดียว

ผู้ที่มีอันนี้ เป็นอัตตามานะที่ซับซ้อน แล้วไม่รู้ตัว มีหลายคน ๆ ๆ และก็อยู่ได้ เพราะศรัทธา เลื่อมใส อาตมา และก็ฉันจะอยู่กับหมู่นี่ หมู่จะว่าอย่างไรไม่แคร์ หมู่จะชี้อย่างโน้น อย่างนี้ ไม่รู้ หมู่จะว่าอย่างไรก็ ไม่ ฉันก็ขยันหมั่นเพียรทำงาน ฉันก็เอาใจใส่การศึกษา มาฟังธรรมฟังเทศน์ แต่โดยเฉพาะ อาตมาเทศน์ ถ้าอาตมาไม่เทศน์ ไม่ค่อยฟัง ไม่ค่อยมาติดตามฟังเทศน์ฟังธรรม และฟังเท็ปด้วย เท็ปของอาตมาเทศน์ เท็ปของคนอื่น ก็ไม่ค่อยฟัง เพราะฉะนั้น การที่ถือว่า หลงตัวว่า ไม่มีอัตตาตัวตนนั้น โดยเชื่ออยู่ว่า ตัวไม่มีอัตตา ตัวตนหรอก เพราะว่าตัวเอง ศรัทธาเลื่อมใส อาตมาสูงสุด แต่ว่าไม่รู้ตัว ว่าตัวเอง มีอัตตามานะ จนกระทั่ง ทำให้ตัวเอง คืออยู่กับหมู่ แต่ก็เหมือน ไม่มีหมู่ อยู่กับหมู่เหมือนไม่มีหมู่ ฟังตรงนี้ความซ้อน แต่ที่จริง ตัวเองดูเหมือน ไม่ได้เกลียดหมู่น่ะ แต่ฉันไม่รับหมู่ จะมีอะไร อย่างไร ฉันไม่แคร์ หมู่จะว่าฉันก็ยังไม่แคร์เลย หมู่จะมองฉัน เป็นอย่างไร ฉันก็ไม่แคร์ ฉันก็ไม่แคร์ คือ... เหมือนคน หน้าด้าน หมู่จะติจะเตียน จะติงอย่างไร ไม่แคร์ จนหมู่ พรหมทัณฑ์ พรหมทัณฑ์ก็ไม่แคร์ ฉันมีพ่อท่านแล้ว

ถ้าเผื่อว่าอาตมาตีเพิ่มขึ้น ตีหนักขึ้น อาตมาว่าสอนหนักขึ้น ชักจะค่อยๆ เสร็จแล้ว ก็ยังคิดว่าตัวเอง ก็ยังศรัทธาอยู่นั้นน่ะ แต่จะไม่อยู่แล้วที่นี่ เพราะอยู่ที่นี่ อาตมาก็ไม่เอาใจแล้ว อาตมาก็ว่า อาตมา ก็ติเตียน อาตมาก็ดุ อาตมาก็กระแทก อะไร มันก็จะอยู่ไม่ได้ เพราะเพื่อนอื่นๆ มันไม่เป็นมิตรสหาย มันไม่เป็นที่พึ่ง มันไม่เป็นที่รัก มันไม่เป็นมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เพราะฉะนั้น พรหมจรรย์นี้ หรือแวดวงนี้ สปายะนี้ มันไม่สปายะแล้ว มันเหมือนเมืองนรก มันเหมือน กลุ่มหมู่นรก ชาวนรก มันอยู่ด้วยไม่ได้ หรือว่าอยู่กับหมู่ อยู่กับฝูง มันไม่อบอุ่น วิธีหนึ่งก็จะหางาน และก็จะซุก อยู่กับงาน นั่นแหละ ตัวเองนั่นแหละ งานอะไรก็ได้ ยิ่งทำกับอาตมาด้วยยิ่งดี ถ้าไม่ได้ทำกับอาตมา ไม่ให้ทำกับ อาตมา ก็จะไปหางานอื่นทำ ที่เกี่ยวๆโยงๆกับอาตมาออกไป แล้วก็จะอยู่ ซุกกับอาตมา จำนน จำนนว่า ต้องไปทำกับคนอื่น ไปทำกับใครก็แล้วแต่ คนเหล่านั้นๆก็ทำ ด้วยเฉยๆ โดยที่เรียกว่า ก็ไม่ได้ศรัทธา เลื่อมใสอะไร แต่ก็ไปทำกับผู้นั้น จุดนั้น กลุ่มนั้น อาจจะเกี่ยวข้องกับสมณะ เกี่ยวข้องกับ สิกขมาตุ หรือเกี่ยวข้องกับเพื่อนฝูง ก็ไปทำกระจุก อยู่กับงานนั้น อยู่กับรูนั้น ขุดรูนั้นอยู่น่ะ โดยที่ก็ยังอยู่ ยังแฝง อยู่ว่า เมื่อไรอาตมาจะญาติดีด้วย เมื่อไรอาตมาจะไม่ดุ ไม่ด่า ไม่ว่า ไม่อะไรบ้าง ก็จะได้ขอกลับ เข้ามาใหม่ ก็จะอยู่...สภาพอย่างนี้

อาตมาก็เพิ่งทบทวน เห็นมานานแล้ว แล้วก็หลายคน เห็นมานานแล้ว หลายคนแล้ว อย่างนี้ ผลุบๆ โผล่ๆ เป็นตุ๊ดตู่ในรู ในรูอยู่นี้ อยู่ไปคนเดียว หรืออยู่กับงานอะไรที่ตัวเองชอบ แล้วก็พออะไรมากๆ ก็วิ่งหนี กลับออกไป กลับบ้าน หรือว่าไปข้างนอกไปไหนๆ ก็แล้วแต่ ไม่คบหาสมาคมกับคนอื่น ถือซะว่า เฮ้อ... อยู่กับ คนอื่น ดีกว่า อยู่กับหมู่นี้มันไม่ดี นี่จะเป็นเรื่องอัตตามานะที่โง่ ที่ตัวเอง มันไม่ฉลาด ในมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มันมีอัตตามาก ถือดี ถือตัวมาก ว่าตัวอยู่ ในหมู่นี้นี่ อยู่ได้ เพราะเราเอง เรามีคุณค่า ความดี มันถือความดีที่ตัวเองมี จะเป็นดีเพราะงาน ก็ตาม ทำงานเก่งอยู่ในนี้ หรือจะเป็นดีเพราะว่าตัวเอง ถือว่ามีปัญญา ความรู้ทางธรรม ฉันมีความรู้ ทางธรรม ยิ่งผนวกเข้า ทั้งการงาน ผนวกเข้าความรู้ทางธรรมด้วย บ๊ะ อัตตามานะ ยิ่งใหญ่ ใหญ่เลยทีนี้ ข้าก็มีงานการ มีฝีมือ มีความสามารถ โอ้โห ทำงานอยู่ในนี้นี่ ข้ามีคุณค่าประโยชน์ และ แถมข้าก็ถือดี ว่าข้ามีความรู้ ทางธรรม มีภูมิทางธรรม ไม่ใช่น้อยๆน่ะ ลดละได้ไม่ใช่น้อยๆด้วย ผนวกกันเข้าไปด้วย สองอย่างเลย ละแล้วเลยทีนี้ ยิ่งคนอื่นมองไม่เห็นเลย คนอื่น เหมือนไม่มีใคร แต่คบหาได้ เหมือนกับต้นหมาก รากไม้ เหมือนกับอากาศ เหมือนกับดิน น้ำ ลม ไฟ เหมือนกับ สิ่งที่ไม่มีชีวิต อยู่ในนี้ มองคนอื่นๆ เหมือนกับ สิ่งไม่มีชีวิต เหมือนจะอยู่ร่วมกัน จะเป็นประโยชน์ อะไรร่วมกัน ได้ก็เป็นประโยชน์ไป แต่ไม่เกี่ยวล่ะ จะมาติเตียนฉัน ฉันก็เฉยน่ะ จะมาว่าฉัน ฉันก็เฉยน่ะ จะมองอะไรฉัน จะถือสาอะไรฉัน ฉันไม่ถือด้วยนี่ เหมือนกับ หมดอัตตาด้วยนะ จะมาถือสาอะไร ในตัวฉัน ว่าฉันเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ ก็คุณ นั่นแหละยึด ก็คุณนั่นแหละผิด ฉันไม่เห็นยึดถือเลย คุณจะมองฉัน อย่างไร จะว่าฉันอย่างไร ฉันก็วางหมดได้น่ะ ฉันไม่ถือสาพวกคุณหรอก

แน่ะ...มันซ้อนน่ะ เหมือนกับเราว่าง วางหมดเลย ถือสาอยู่คนเดียวคืออาตมา แต่ก็ศรัทธาคนอยู่ คนเดียวคืออาตมา ฟังดีๆ มันซ้อน อาตมานี่แหละติเตียน แล้วก็ถือสา ก็เจ็บปวด ร้องไห้ ปวดมาก เจ็บมาก ถือสาอาตมา แต่ก็ศรัทธาอาตมาอยู่คนเดียวแหละ เหนียวนะ เหนียวๆ แต่ก็เจ็บปวด เพราะอาตมา

แต่กับคนอื่นเหรอ ไม่มีอะไรนี่ อยู่ได้ ไม่มีอะไร คนอื่นเหมือนสวะ คนอื่นก็เหมือนธรรมดา เขาจะว่า อย่างไร เขาจะทำอย่างไร เขาจะติบ้าง เตือนบ้าง เขาจะ อย่างโน้น อย่างนี้บ้าง วางได้หมดๆ ไม่ถือสาเลย ใครจะว่าอย่างไร ไม่ถือเลยสักคน บางคนไม่ถือสาอย่างนั้น ก็ถือสาอยู่ด้วย ถือสาจนเกลียด พระรูปไหน ติเราบ้าง เราก็เกลียดพระรูปนั้น พระรูปไหนว่าเรา เราก็เกลียด พระรูปนั้น เป็นรูปๆไป สิกขมาตุ รูปไหนติเตียนเรา เราก็เกลียดสิกขมาตรูปนั้น เสร็จแล้ว ก็ยังพอวางได้ ตีทิ้งเลย เพราะไม่ศรัทธาๆ แล้วเกลียดด้วยตีทิ้งได้ แล้วก็วางได้แล้ว เข้าใจไหม คือลักษณะเราตัดขาด ลักษณะเรา ไม่เอาเลย ตีทิ้งเลย และก็ไม่ศรัทธาเลยนี่ มันก็เท่ากับ ปล่อยวางได้

แต่ความจริงเปล่านะ ไม่ได้ปล่อยวางนะ คือ พยาปาทะ ยังมีพยาบาท โกรธ โทสมูลยังเหลืออยู่เยอะ เพราะชังด้วย ถือสาด้วย โกรธด้วย เกลียดด้วย ทั้งโกรธ ทั้งเกลียด แต่ลักษณะมันตัดขาด ลักษณะ มันปล่อย ลักษณะมันวางนะ ลักษณะมันไม่เอาเจ้า ลักษณะมันซ้อนนะ นี่คือ ผู้ยังไม่ฉลาดรอบถ้วน มันยังไม่ถูกทาง ยังมิจฉาทิฐิอยู่

ยิ่งเข้าใจว่าคนนั้น คนนี้ คนไหนๆๆๆนี้ มองเขา ไม่เกี่ยวกับคนอื่นๆ อย่ามาว่ามาสอน มาตำหนิ ติเตียน มาห้ามมาหวง มาอย่างโน้น อย่างนี้ ฉันฟัง ฟังได้ อย่างวางเฉยเลยนะ เหมือนกับจิต อุเบกขาวาง แต่หน้าด้าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันก็เป็นอยู่อย่างเก่า ฉันจะทำอย่างไร ฉันก็ประพฤติอยู่ อย่างเก่า คือ แน่ใจว่าเราเอง เราไม่ได้ตกต่ำ ศาสนานี้ ไม่ได้ตกต่ำ ในเรื่องลัทธิอโศกนี้ เพราะยึด อาตมาองค์เดียว จะใกล้จะชิดจะศึกษา จะฟังธรรมแต่อาตมา คนอื่นไม่ค่อยสนใจ เท่าไหร่หรอก ไม่เกี่ยว ไม่ข้อง คนอื่น ไม่มีศักดิ์ศรีเท่า อัตตามานะมันใหญ่ซ้อนอยู่อย่างนี้น่ะ

ก็เลยกลายเป็น คนอยู่ในนี้แล้วก็กิริยาหรือว่าความที่ไม่ยอมรับใคร ไม่มีใครเป็นคนที่มีดีบ้าง มีสิ่งที่ เป็นมิตร เป็นสหาย เป็นพี่เป็นน้องบ้าง ไม่ได้นับถือ ในสิ่งเหล่านั้น มันก็กลายเป็นคนกระด้าง ใครพูด อย่างไร จะติอย่างไร ก็ไม่รับ ไม่แคร์น่ะ ทำเฉย กิริยามันเลยยิ่งน่าเกลียด ทำลอยหน้า ไม่มีอะไร เกิดขึ้นนี่ อาตมาอาจจะทำ ไม่เหมือนทีเดียว อาจจะไม่ทำหยาบคายอย่างนี้ แต่ว่ามันจะเห็น กิริยาเลยว่า อยู่กับหมู่นี่ ดูซินี่เพื่อนฝูงติเตียน ทำเฉย ยิ้มแย้มเฉย ว่างวาง แต่ไม่รับรู้สึก ไม่แคร์ เพื่อนฝูงจะรู้สึก อย่างไร จะติอย่างไร เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็อยู่ไปได้ ลักษณะอย่างนี้แหละ เป็นลักษณะที่มันซับซ้อน เป็นอัตตามานะ ที่ถือดีมากน่ะ คำว่ามิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแดวล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์

คนที่เป็นมิตรดี สหายดี คนที่อยู่ในนี้มีคุณค่าทั้งนั้น แล้วเราก็จะต้องรับฟังทั้งนั้นด้วย จะต้องใครติ ใครเตียน ใครที่จะมีอะไร มอง ใครที่จะมีอะไร ก็รับฟังไปจริงๆ สงสัยก็ปรึกษา หารือกัน คือรับฟัง ไม่ใช่ จะตีทิ้ง คือหน้าด้าน ไปเลย ใครจะว่าอย่างไร เหมือนกับเราวางได้ วางได้กับหน้าด้าน อยู่ด้วยกัน ถ้ามันไม่เข้าใจ อย่างถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฐิ มันจะติด อยู่ตรงนั้นน่ะ เพราะฉะนั้น ความติดยึดมาก หรือว่าทำให้ซ้อนเชิง เป็นอวิชชาซ้อนเชิง ทำให้หลงกลายเป็นโมหะหลง แล้วความรู้สึก จะไม่ค่อยรู้ตัวว่า ตัวเองทำอะไรลงไป พอมันรู้สึกเหมือนกับไม่มีใคร ฉันมองคนอื่น เหมือนกับ INVISIBLE เหมือนกับ ไม่มีตัวตน คนอื่นเหมือนกับ ไม่มีใคร รู้สึกไม่มีตัวตน ไม่มีใคร ไม่มีอะไร มันก็เลยเหมือนจะไม่แคร์ใคร เพราะฉะนั้น จะไม่รู้ตัวว่า ตัวทำอะไร พฤติกรรมกาย วาจา ใจ ตัวเอง ทำอย่างไร ก็เลยไม่รู้สึกตัวว่า ตัวเองทำอะไร เมื่อตัวเอง ทำอะไรลงไปแล้ว คนอื่นเขาถือสาอยู่ ตัวเองก็ไม่รู้ว่า คนอื่นเขาถือสา อย่างไร ก็ไม่แก้ไขตัวเอง เพราะตัวเอง มองคนอื่น เหมือนกับคนอื่นนี่ INVISIBLE ไม่มีตัวตน เหมือนกับคนอื่น ไม่มีใครนี่ ก็ฉันไม่แคร์ใคร ฉันเหมือน กับอยู่คนเดียว ฉันอยู่กับใครๆ ก็เป็นเพียง จะสัมพันธ์ก็ เออ มีเรื่องจะะกิน จะอยู่ จะทำงาน จะโน่นจะนี่ แต่ไม่เกี่ยวกันด้วยเรื่องธรรมะ ในเรื่องภูมิธรรม คนอื่น จะมาติเตียน เรื่องภูมิธรรม เรื่องธรรมะ เรื่องความรู้ ที่จะเป็นทางธรรม เป็นโน่นเป็นนี่ ตีทิ้งหมด ไม่ฟังน่ะ จะมีก็มีเป็นคน เท่านั้นเองว่า เออ ถ้าเราจะ กินจะอยู่จะใช้ จะมีชีวิตอยู่ ปกตินี่นะ ก็เกี่ยวข้อง กันนะ เหมือนไม่โกรธกัน เขาจะติ จะเตียน จะว่า จะด่าในเรื่องของธรรมะ อย่างไรๆ คุณธรรมอย่างไรๆ ฉันวางหมดแล้ว ฉันไม่ถือสาหรอก ไม่ได้โกรธเธอน่ะ เพราะฉะนั้น จะพูดจาปราศรัย เรื่องงานเรื่องการ เรื่องความ เรื่องอยู่ เรื่องไปเรื่องมา คือคบหากัน เป็นมิตรสหาย ธรรมดาๆนี่ เป็นมิตรสหายมีอยู่ธรรมดาๆ

แต่ในเรื่องความรู้ ไม่เกี่ยว คุณไม่ได้เป็นมิตรข้า ไม่เป็นพี่ไม่เป็นน้อง อย่ามาติเตียน เรื่องความรู้ ทางธรรม อย่ามาเกี่ยว ตีเรื่องความรู้ ทางธรรมทิ้งหมด ไม่มี มีอาตมาคนเดียว เท่านั้น ที่จะพูดทางธรรม มีมิตร ทางธรรม อยู่คนเดียว คือ อาตมา นอกนั้น เป็นมิตรสหายธรรมดา เป็นเพื่อนฝูง ที่จะกิน อยู่ หลับนอน ทำการทำงาน เหมือนกับ ชีวิตปุถุชน คนข้างนอก เพราะฉะนั้น เรื่องศักดิ์ศรี เรื่องความรู้ ทางธรรม เรื่องอะไรพวกนี้ วางหมด ตีทิ้ง เหมือนพวกคุณ ไม่มีอะไร ไม่มีน้ำหนัก ไม่มีตัวตน เหมือนกับ พวกคุณ จะมอง ในเรื่องคุณธรรม จะมาติเตียน จะมาเพ่ง มาพิจารณา จะมาวิจัยวิจารณ์ เรื่องนั้น เรื่องนี้ วางหมด ทิ้งหมด ตีทิ้งหมด ไม่รับไม่เกี่ยว แล้วก็ไม่รู้สึก ไม่วูบวาบ ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่ถือสา แต่ไม่รับ นี่คือหน้าด้านทางธรรม จะอยู่กับหมู่ เหมือนคบหาสมาคมดีนะ แต่นั่นแหละ เมื่อถูกอาตมา ตีเข้ามากๆ ตีเข้ามากๆ ตอนนี้ก็จะไม่อยู่ กับหมู่แล้ว จะไม่อยู่ที่ไหนเลย เพราะไม่มีที่พึ่ง ที่อาศัยแล้ว เพราะอาตมาเอง ดุว่า ด่าว่า ไม่ยอมรับ หรือว่าไม่อะไร ก็แล้วแต่เถอะ อาตมาไม่โอ๋อีก เพราะฉะนั้น อัตตาชนิดนี้ อาตมาเลี้ยงดูยากมากเลย อาตมาเลี้ยงดูยากมาก

เพราะว่าไม่มีใครช่วยเลี้ยง เพราะตัวเอง ตัดพี่ตัดน้องหมด ตัวเองมีอาตมาคนเดียว ตัดพี่น้องเอง ซึ่งอาตมาทำไม่ได้ ที่อาตมาจะไม่ดุไม่ด่า ไม่ว่า ไม่ติเตียน ไม่แก้ไม่ไขให้ ไม่ได้ อาตมาจะยิ่งโอ๋ เข้าใจผิดอีก อาตมายิ่งทำดี ปล่อย อนุโลมไป ก็เลยเป็นคน SPOIL เป็นคนได้ใจ เป็นคนยิ่งหลงซ้อน เข้าไปอีก เพราะฉะนั้น อาตมาก็ดุก็ด่า ก็ว่า พอดุด่าว่าเข้า ก็เจ็บปวดมาก อยู่กับหมู่ ก็อยู่ไป อย่างนั้นแหละ สุดท้ายก็ไม่ห่วงหมู่ เพราะว่า ก็ไม่มีหมู่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น ก็จะเดียวดาย อยู่กับหมู่ ก็เดียวดาย ไปอยู่ข้างนอกดีกว่า ไปหา จะไปสำนักไหนก็อีก ไม่ค่อยพอใจ ไม่ค่อย ชอบใจหรอก เพราะหัวมันชักสูง สำนักโน้นก็ไม่ดี สำนักนี้ดี แต่ดีแล้ว ก็อยู่ด้วยไม่ได้ เพราะอาตมาว่า อาตมาไม่ยอมโอ๋

ที่จริงเราก็ควรมีพี่มีน้อง เพราะว่าอาตมาว่าธรรมดาสามัญง่ายๆนี่นะ พ่อแม่ดุก็ไปหาพี่หาน้อง ก็อยู่ได้ ใช่ไหม พี่น้อง พี่ป้า น้าอา น้องนุ่ง พี่บ้างน้องบ้าง ลูกบ้างหลานบ้าง ก็อยู่ได้ แต่นี่ มันไม่มีพี่ มีน้อง ไม่มีมิตรดีสหายดี ไม่มี พรหมจรรย์นี้ มีอาตมาคนเดียวเท่านั้น นี่ลักษณะนี่ พวกเรามีอยู่ หลายคน เพราะฉะนั้น พอโดนอาตมาว่า อาตมาดุ อะไรก็ โอ๊ย...เจ็บปวด แล้วก็เหี่ยวแห้ง โหย... เหมือนกับ ไม่มีอะไรเลย อยู่ในนี้มีเพื่อนกิน แต่ไม่มีเพื่อนธรรมะ เพราะมันมีธรรมะ มามองที่อาตมา คนเดียวน่ะ องค์นี้ก็ไม่เป็นที่พึ่ง ท่านติกขะฯ ก็ ไม่ไหว ท่านถิรจิตโตก็ไม่ได้เรื่อง ท่านสรณีโย ก็ไม่ได้เรื่อง ก็วุ่น แต่เรื่องพระไตรปิฎก ท่านปพโล ก็วุ่นอยู่แต่ในห้องถ่ายฟิล์ม ท่านชนะผ ีก็วุ่นแต่ ธรรมปฏิกรรม ท่านสีลวัณโณหรือก็แหม... เป็นองครักษ์อยู่อย่างเดียว ใครไปใกล้ก็ไม่ได้ ยิ่งน่าเกลียด ใหญ่เลย ใครเข้าใกล้ พ่อท่านหน่อยก็ยอดเลย โอโห อะไรนิดก็ไม่ได้ กันสะบัดเลย องค์นี้นี่ ยอดองครักษ์เลย อะไรอย่างนี้

...(เสียงพูดจากญาติธรรมผู้หญิง)

โยมนกน้อยบอกว่า ถ้าเผื่อว่า ใครที่เข้าใจแล้วก็ เคารพนับถือพระ สมณะอย่างน้อย สมณะท่าน ก็ได้เลือกกันขึ้นมา จะมีการคารวะเคารพ มีสัมมาคารวะ นิวาโต คารโวอยู่จริงๆ ไม่ว่าจะเป็น สมณุทเทส จะเป็นสิกขมาตุ ก็อยู่ใน ฐานะที่เรารู้ว่า ฐานะจะเป็นนาค เป็นกรัก เป็นปะ เราก็รู้ฐานะ ตามลำดับ อะไรพวกนี้ มันจะมี การรู้จัก สัมมาคารวะ กันตามลำดับ อยู่ในที หรือแม้แต่ในทางธรรม ก็จะพยายาม มองว่า เอ๊...ทำไม ยอมให้มาเป็นปะ ทำไมยอมให้มา เป็นนาค เป็นกรัก ทำไมยอม ให้มาเป็นสิกขมาตุ ทำไม ยอมให้มาเป็นสมณุทเทส ทำไมยอมให้ขึ้นไปเป็นสมณะ มันก็จะต้อง มองหาจุดดี และจุดดี เหล่านั้น ท่านมีดีอะไรบ้าง รู้ดีของท่านหมดหรือยัง และไอ้ดีที่ท่านมีหมด นั้นน่ะ เขามีดีมาก เท่าท่าน หรือไม่ มันต้องตรวจต้องดู หรือย่างน้อย จะต้องเผื่อ เผื่อพอไว้ว่า ท่านคงมีดี มากกว่าเรา นา... ถ้าใคร ที่นึกว่า แม้จะไม่รู้น่ะ องค์นี้ คงมีดีมากกว่าเราอยู่หรอก ท่านถึงอยู่ในฐานะ ที่ยกไว้เป็นสมณะ เป็น สมณุทเทส หรือเป็นอะไรอย่างนี้ เอาละ เราก็มีสัมมาคารวะบ้าง แม้เรายังไม่รู้ดีว่า มีดีอะไร ไอ้อย่างนี้ ก็ยังมีสัมมาคารวะ นะ ไม่โกรธ ไม่เกลียด ไม่ชัง อะไรพอสมควรยกให้ ไม่ถือสา เอาล่ะยกไว้ คนนี้ อยู่ในฐานะสมณะ ไอ้นี่ไม่ละ เกลียดก็ง่าย สมณะก็คนเหมือนกันนี่หว่า ข้าก็มีอัตตามานะ ก็เลยยิ่งไม่ดู ไม่ตรวจไม่ตราเลย ว่ามีความดีอะไรบ้าง ได้เปรียบ ได้เทียบดูว่า มีคุณค่า ความดีส่วนนั้น ส่วนนี้ มากกว่าเราจริงหรือไม่ ไม่รู้ คือไม่ค่อยได้พิจารณาเรื่องเหล่านี้หรอก

ถ้าพิจารณาก็หมายความว่า เคารพ นับถือ อาตมามองแต่แง่ดี มองแง่ดีอาตมาก็ยิ่งเข้าใจ ยิ่งเคารพ นับถือ อาตมา มากขึ้นๆ ก็มีตัวนี้ ตัวเดียวที่เหนี่ยวรั้ง หรือว่าติดไว้ คนอื่นสมณะอื่นอะไรอื่น ก็ไม่นับถือ ยิ่งเพื่อนมิตรสหาย ที่เป็นฆราวาสด้วยกัน มันหมิ่นหยามคนอื่นไปหมด แต่มันซ้อนนะ มันหมิ่นหยาม เฉพาะเรื่องภูมิธรรม ความรู้ แต่ในเรื่องพี่ เรื่องน้อง เรื่องญาติโกโยติกาในทางโลก คนนี้คนแก่ คนนี้ อายุมาก เขาก็เคารพ เหมือนกับคนแก่... เป็นพี่เป็นน้อง เหมือนคนแก่ ซ้อน คนพวกนี้ ฉลาดซ้อน ฉลาดซ้อน แต่ก็โง่ซ้อน มันฉลาดซ้อน แต่ก็โง่ซ้อน โง่ละเลียด แต่ก็ฉลาด ละเลียด ถือว่าเป็นพี่ เป็นน้องได้ในทางโลกๆ เหมือนคนโลกๆ ก็เลยไม่ค่อยกระด้างเท่าไหร่ ในทางโลกๆ ก็คบหา เป็นพี่ เป็นน้องได้บ้าง แต่เรื่องทางธรรมอย่าเชียวน่ะ ในเรื่องทางธรรม อย่าเชียวนะ นึกว่าตัวเอง นี้ใหญ่ สูงในทางธรรม ติไม่ได้ เตียนไม่ได้ อายุจะมากกว่า ก็ติไม่ได้ ติได้เตียนได้

แต่ซ้อนเชิงอีก ติฉันก็เฉย ฉันไม่ถือสาหรอก คุณมาติ ฉันโยนทิ้งหมดเลย นั่นแหละ เก่งน่ะ วางได้หมด ไม่ถือสา ก็ยังเป็นป้าเป็นน้า เป็นย่าเป็นยาย เป็นพี่เป็นน้อง อยู่อย่างเก่า กันนั่นแหละ แต่ในเรื่อง ทางธรรม ไม่มีพรหมจรรย์ ไม่มีพี่น้องทางธรรม ติมาเตียนมา ในเรื่องทางธรรม วางทิ้งหมดเลย ถ้าไปถือสาผู้นั้นว่าในเรื่องทางธรรมด้วย จะมีภูมิธรรม เท่าไหร่ว่ะมาติเตียน โกรธเลยทีนี้ โกรธเลย เลยซ้อน เช่นว่า สมณะไปติเตียน สมณะก็ต้องเป็นธรรมะจะถือเป็นพี่ก็ไม่ได้ จะถือเป็นน้องก็ไม่ได้ ถือเป็นญาติ แบบโลกๆ ไม่ได้เป็นญาติ แต่เป็นสมณะ เพราะฉะนั้น สมณะก็คือ ธรรมะ พอจะติเตียน ธรรม ถือสาธรรมะและข่มขู่ ดูถูกธรรมะ ใช้ไม่ได้ หยาบคาย เพ่งโทษ ซ้อนลงไปเลยว่า มันน่า จะดีกว่านี้นะ เป็นสมณะแล้ว มันน่าจะมีอะไร ดีกว่านี้ แต่ไม่ดีอย่างนี้ ไม่เข้าเกรด ตั้งเกรดเอา เองเลย ตั้งค่าเอาเองเลย ไม่เป็นสมณะ ไม่นับถืออย่างนี้ นี่มันมีละเอียด ละเอียดที่ซ้อนพลิกพลิ้ว พลิกพลิ้ว อะไรที่ซับซ้อน จนกระทั่ง เอ๊...มันไม่น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้าไม่ถือสาซะ มันก็ยกไว้แล้วก็ไม่เป็นไร ทีนี้ ถือสาซ้อน

นี่อาตมาถึงบอกว่า ธรรมะพระพุทธเจ้า มันซับซ้อนละเอียดลึกซึ้ง ไม่ใช่ธรรมะพุทธเจ้าหรอก สัจธรรมๆ ด้วย มันลึกซึ้ง ซับซ้อน ซึ่งอาตมาก็ยังไม่เก่งนี่ โพธิสัตว์ จะต้องรู้ ให้ละเอียดลออพวกนี้ไว้ ก็ดูดีนะ เอ๊...ดูดีโดยเฉพาะกับอาตมา อาตมามันก็มองยาก เพราะประพฤติกับอาตมา ประพฤติดี ใช่ไหม เซื่อ ศรัทธา เลื่อมใส ซูฮก อะไรต่างๆนานา ติเตียนก็ฟัง ก็ดูดี แต่กับคนอื่น ก็ไปอีกอย่างหนึ่ง มันก็เลย เอ๊...ยังไงกันแน่ บางทีอาตมาก็ไม่รู้ ทำกับคนอื่นอย่างไร มีปฏิกิริยาอย่างไร อาตมาไม่รับรู้ เท่าไหร่ มันไปทำกับ คนอื่นอยู่โน่น แต่คนอื่นก็ไม่ช่างเล่าให้ฟังด้วย จะมาฟ้อง อะไรกันได้มากมาย ใช่ม๊ะ อาตมาก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง คนนี้ก็เลยยิ่งยาก ยิ่งๆอาตมาไม่รู้ข้อมูล ก็เลยยิ่งโปรดยาก เอ๊... แล้วจะสอน อย่างไร อาตมาก็ยิ่งยากใหญ่ มันไม่มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ความนี้ลึกซึ้งมาก มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดีนี่ มันลึกซึ้งจริงๆ เป็นทั้งสิ้นของ พรหมจรรย์

พรหมจรรย์คือ ธรรมวินัย ไม่ใช่อยู่ แค่พฤติกรรม กาย วาจา ใจ หรือว่าการดำเนินชีวิตเท่านั้น อยู่ด้วย การดำเนินชีวิต อยู่เหมือนกับพี่ เหมือนกับน้อง แบบโลกๆ พึ่งพาอาศัย กันอยู่ หลับนอน พึ่งพาอาศัย กินอยู่ ยังชีวิตไป เหมือนสัตว์เดรัจฉาน พึ่งกัน กินอยู่หลับนอนเฉยๆ แต่ไม่ได้มีเอาเป็นพี่ เป็นน้องกัน ทางพรหมจรรย์ มันเป็นพี่ เป็นน้องกัน ทางภูมิธรรม

ธรรมวินัยนี่ มันไม่ได้เป็นพี่เป็นน้องทางภูมิธรรม ทางพรหมจรรย์ หรือทางธรรมวินัย ฟังให้ละเอียด ขึ้นไปน่ะ มันไม่นับถือกันทางธรรม แต่มันนับถือกันส่วนหนึ่ง คือนับถือกันเป็นพี่เป็นน้องทางโลก แบบโลกๆน่ะ แบบสัตว์เดรัจฉาน นับถือเป็นพี่เป็นน้องกันน่ะ เหมือนกัน หรือแบบมนุษย์มนา ถือกัน เป็นพี่เป็นน้อง แบบโลกๆ แต่เรื่องภูมิธรรมไม่ได้ให้ค่านี่ อัตตามานะทางธรรมะ

นี่อาตมากว่าจะได้คิดตัวนี้ กว่าจะได้รู้ตัวนี้ เอาตัวนี้มาพูดกับพวกเรา นี่ มีเยอะหลายผู้ หลายคนเลย แล้วก็อยู่ ซังกะตาย ไปอย่างนั้น แบบนี้ก็เหมือนตาปูตรึงใจ ขีลสูตร มันจะไม่ศรัทธาสงฆ์ ยังเหนี่ยวไว้นะ ยังดีศรัทธาศาสดา หรือ ศรัทธาอาจารย์ใหญ่ ไม่ศรัทธาสงฆ์ ไม่ศรัทธาธรรม ไม่ศรัทธาศาสดา ไม่ศรัทธาสงฆ์ ไม่ศรัทธาการศึกษา ไม่ศรัทธามิตรสหายนี่ จะค่อยๆลดไป ศรัทธามิตรสหาย ยังศรัทธา อยู่ดี มิตรสหายแบบโลกๆละนะ แต่การศึกษา จะลดลงไปแล้ว แล้วก็ไม่ ศรัทธาสงฆ์ ไม่ศรัทธาธรรม มันจะลดไล่ออกไปเรื่อยๆ ดียังว่าศรัทธา อาจารย์ใหญ่เรื่อยๆ หนักเข้า อาตมาดุว่า มากๆเข้า ก็ไม่ศึกษา ไม่ศรัทธาการศึกษา ก็คือ ไม่ฟังธรรมอาตมา ไม่ฟังเท็ปละ ก็ไม่มาฟังธรรม มากเข้า หนักเข้าๆ ก็ไม่เหลือ อะไรแล้ว เพราะว่าธรรมะหรือสงฆ์ หรือหมู่ หรือ มิตรสหายทางธรรม มันลดลงไป มันเหมือนกับ เราวางทิ้ง เหมือนไม่มีใคร เป็นเพื่อนเรา หมู่ของเรา พี่น้องของเราแล้ว ไม่มีญาติธรรม อะไรแล้ว อย่างนี้ เป็นต้น มันก็จะไปกันใหญ่ คนพวกนี้ รู้สึกโดดเดี่ยว

ยิ่งแม้แต่มิตรเป็นพี่เป็นน้อง ก็ไม่สัมพันธ์ ไม่มีความสัมพันธ์กับ หมู่พวกเราอยู่ในนี้ ใครๆก็คบหา ไปอย่างนั้น คบหาไปเฉยๆ ไม่ได้มีความสัมพันธ์อะไรกันมากมาย ไอ้อย่างนี้ ยิ่งเปราะบาง ยิ่งจะออก จากหมู่ง่าย เพราะฉะนั้น โดนอาตมาดุ อาตมาว่า เมื่อไรนี่มันจะออกจากหมู่แล้ว กลับบ้าน หรือไปหา รูที่ไหน ที่ตัวเองมีรู หรือไม่ก็ไปงุบงิบ ทำอะไรอยู่ ไม่กลับบ้าน ไม่ไปโน่น ก็หางานอะไร หาอะไรไปทำ จุ๊กจิกอยู่ตรงนั้นน่ะ หาเรื่องที่จะไปส่วนตัว หรือไประบาย ไปคบหากับอะไรอื่น พวกนี้ ถ้าดีไม่ดีเลย หนักเข้าไม่มีเพื่อน คบกับ พวกจิ๊กโก๋ ไปคบกับคนนอก ไปคบกับพวกที่อะไร ไปอะไรก็ได้ มันไม่มีที่พึ่ง ไม่มีเพื่อน คบเพื่อนอะไรก็ได้ ไป...กับเขา ก็ต้องอนุโลมกับเขา เพราะเราจะคบ เพื่อนกับคนอื่นเขา ใช่ไหม เราจะเป็นเพื่อนเขา ก็ต้องมีอะไรที่เป็นตัวคบหากัน สัมพันธ์กัน หรือ ร่วมกันทำ ร่วมกันสนุก ร่วมกัน มีชีวิตชีวาได้ ก็ไปเป็นอย่างเขา มันก็จะไปกันใหญ่

นี่ลักษณะพวกนี้ ที่อาตมากว่าจะได้คิด กว่าจะมีปัญญา อาตมา กว่าจะมีภูมิ ที่มองหยิบเอามาพูด กับพวกคุณฟัง โอโห นายเหมือนกันน่ะ ที่พูดไปวันนี้นี่ ก็ยังไม่รู้ ได้เหมือนกันว่า ผู้ที่เขามีโรค โรคนี่น่ะ จะได้ฟังเท็ปนี้หรือไม่ นี่ พวกคุณนั่งอยู่นี่ ใครมีอันนี้ก็รู้ตัว แล้ ก็ตรวจโรคของตัวเองน่ะ อาตมาเป็น หมอ ตรวจโรค ก็โดยบอกโรคให้แล้ว คุณก็ไปตรวจตัวเอง จะไปเอามา แล้ว ก็เอาเครื่องมือฟังเอง อะไร ตรวจเคาะตรงนั้น ตรวจตรงนี้เอา เลือดมาดู มาตรวจ มาแยก มาอะไร มันก็ไม่ใช่ คุณต้อง ทำเอง ที่บอกไปนี้ ก็บอกอาการของโรค แล้วเราก็ไปตรวจอาการนั้น ที่ตัวเรา

ผู้ไม่ได้ฟังนี่ก็อาการไม่ค่อยดีแล้ว ไม่ค่อยจะฟังธรรมแล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยจะอยู่กับหมู่กลุ่มเท่าไหร่ ห่างๆ เหินๆ แต่ก็อยู่น่ะ ไม่ได้ไปไหนหรอก เพราะว่าดูๆแล้ว ข้างนอกก็ เอ๊ จะไปวัดสวนแก้วก็.. สำนักนั้น ก็ยังไม่เท่าไหร่ จะไปสุญตารามหรือ ก็ไม่ค่อยดีหรอก จะไปสวนโมกข์ ท่านพุทธทาส ก็สิ้นแล้ว จะไป ธรรมกายหรือ เราก็ไม่ถนัด เพ่งลูกแก้ว ... จะไปไหน มันก็เชื่ออยู่ว่า ที่นี่ดี แต่ก็จะอยู่ไม่ได้ ก็มีเหลือ อยู่อันเดียว เป็น"ช้างมาตังคะ" ออกไป แล้วก็ไปตั้งก๊ก ตั้งเหล่า สร้างโขลงใหม่ สามารถมั้ยละ สามารถจริง ก็ลองดูสิ มันไม่ง่าย อันนี้ก็เป็นความหมายหนึ่ง ของมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ คือ ผู้มีภูมิธรรมจริง

แต่เสร็จแล้ว ก็อยู่กับหมู่ไม่ได้ เพราะมีอัตตามานะ ก็ออกไปจากหมู่ ออกไปจากหมู่จริง ก็ไม่ใช่ช้าง มาตังคะ สร้างหมู่ไม่ได้ สร้างกลุ่มไม่ได้ แต่ก็เอาตัวรอดได้ เอาตัวรอดได้นะ เอาตัวรอดได้ สร้างหมู่ ไม่ค่อยขึ้นหรอก ไม่ค่อยออกเท่าไหร่ เพราะไม่มีบารมีขนาดนั้น แต่ก็มีภูมิธรรมพอสมควร ออกไป ก็เอาตัวรอดได้ เสร็จแล้ว ก็อยู่ไปจนตาย ก็ตายไป ทิ้งไป มันก็โกรธละ ชาตินี้มันโกรธ มันเข้ากับหมู่ไม่ได้ แล้วก็โกรธ เพราะอัตตามานะ ออกไป ก็อยู่กันไป ตามประสาไป หมู่กลุ่มก็ได้ ไม่ได้เป็นโล้เป็นพายหรอก ถ้าช้างมาตังคะจริงๆละ จะสร้าง หมู่กลุ่มขึ้นมา แล้วก็จะมีเนื้อหา ก็จะมีหมู่กลุ่ม หนักเข้าหมู่กลุ่ม ก็จะดีๆๆๆ จนกระทั่ง พิสูจน์ได้ เลยว่า ผู้นี้ถูกต้อง กลุ่มที่ออกมานั้น หนักเข้า สุดท้ายกลุ่มนั้นก็ พรหมจรรย์ จะเลื่อนจากหมู่นั้น มาอยู่หมู่ช้าง มาตังคะนี้เอง

พรหมจรรย์จะเลื่อนมาอยู่หมู่ช้างมาตังคะ หมู่นั้นก็เมื่อถูกหัวใหญ่ ช้างมาตังคะจริงป้าบ ออกมาแล้ว หมู่นั้นก็จะ ค่อยเสื่อม ช้างมาตังคะก็จะสร้างหหมู่ขึ้นไป เป็นหมู่แท้ ขึ้นมาแทน แต่นี่ก็ไม่ใช่ช้าง มาตังคะจริง แต่มีภูมิธรรมบ้าง ออกจากหมู่นี้ไป เพราะอัตตามานะ ก็ไม่มีพรหมจรรย์ ไปสร้าง พรหมจรรย์ ไปสร้างหมู่กลุ่ม ทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ สร้างขึ้นไม่ได้ สร้างขึ้นไม่ได้ แต่ก็รักษา ตัวรอดได้ อย่างน้อย ก็มีบริวารบ้าง มีบริวารพอสมควร ได้บริวารบ้าง ก็พอเป็นไปได้ แต่ไม่ได้เป็นตัว พรหมจรรย์แท้ ไม่ได้เป็นหมู่กลุ่มของศาสนา หรือ ทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ เป็นหมู่ใหญ่ แล้วหมู่นี้ ก็จะใหญ่ขึ้นไป จนกระทั่งกลายเป็น แก่นหลักของศาสนา จะไม่ขึ้นอย่างนั้น ก็พอไปได้ ก็จะฝ่อ แล้วก็ทิ้ง เหมือนกับกลุ่ม ครูบาอาจารย์ ที่แต่ละสำนักนี่แหละ ครูบาอาจารย์ ออกไปตั้ง สำนักเอง ก็ดูมีบริวาร มีกลุ่ม มีหมู่นะ เสร็จแล้วพออาจารย์ตาย หมู่นั้นอยู่ไม่นานหรอก ตามเนื้อหา ถ้ามีเนื้อหาบ้าง ก็อยู่นานหน่อย ถ้าไม่มีเนื้อหา หมด

หรือซ้อนเชิงอีกอย่างหนึ่ง ไม่มีเนื้อหาของศาสนาพุทธ แต่เป็นเนื้อหาของฤาษี ฤาษีนี่ดูเหมือน จะอยู่นาน เหมือนกัน จะอยู่ เหมือนดูเหมือนนาน แต่ถ้าใคร ไม่มีดวงตา จะมองไม่ออกว่า มันไม่ใช่พุทธ แต่อยู่ใน ชื่อพุทธ ภาษาพุทธ อยู่ในนามของพุทธ แต่ความจริงนั้น เป็นฤาษี เป็นลัทธินอกรีต แต่ขอใช้นามว่าพุทธ เท่านั้น เป็นนามนอก อยู่นานเหมือนกัน

อย่างมหายาน เป็นต้น มันนอกรีตไปจนกระทั่งมากมายแล้ว มหายานนี่ เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ แต่ก็เรียกว่า พุทธ มหายาน พระมีลูก มีเมียได้ มีเจ้าของกิจการ โอโห มากมายเลย อย่างที่ญี่ปุ่นนี่ เขาก็ถือว่า เขาเป็นพุทธมหายาน อยู่ได้ เอาชื่อแปะไว้เฉยๆ แต่เนื้อหา เพี้ยนหมดแล้ว จะมีไอ้ที่ มีความตรงกันบ้าง ของพุทธบ้าง นิดๆหน่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ ค่าเฉลี่ยแล้ว ไม่ใช่พุทธเลย ค่าเฉลี่ยแล้ว นอกรีตนอกทางหมด ก็ยังมีอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ยกตัวอย่าง ให้ฟังได้ อย่างมหายาน อย่างนี้เป็นต้น มันนอกรีตไปหมดแล้ว แต่ก็เรียกว่า พุทธ ลักษณะมันหมดไปในตัวคุณธรรม แต่ตัวรูปธรรม มันยังอยู่ เรื่องรูปธรรมหรือยี่ห้อ ฉาย ชื่อเสียง ยังอยู่ แต่ในเนื้อหาแท้ แก่นแท้ อรรถมันหมดไปแล้ว มันไม่เป็น อย่างพุทธ ไม่เป็นสัมมาทิฐิ ไม่มีมรรคมีองค์ ๘ หรือว่า ไม่มีหลักเกณฑ์ สำคัญ มันไม่ได้เข้าร่อง เข้ารอย อะไร แม้แต่จารีต ประเพณี วัฒนธรรม มันก็เลื่อนเปื้อน โอ๊ย เป็นศีลพตตุปาทานอะไรๆ เละๆ เทะๆ ไปเป็นจรีต ประเพณีวัฒนธรรม อีกแบบหนึ่งไปเลย กรรมคนละเรื่อง อุเทศ อธิบายคนละอย่าง ศีลก็คนละแบบ ทิฐิก็คนละทิฐิ ไปเลย แต่ยังมียี่ห้อว่าพุทธอยู่นี่ อย่างนี้ก็ต้องเข้าใจให้ดี เดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่เยอะ ห่างน้อยห่างมาก อย่างมหายาน นี่ ถือว่าห่างมาก อยู่ในเถรวาทด้วยกัน ก็ห่างออกไปจากเถรวาทนี่แหละ ก็ยังอยู่ ในเมืองไทย นี่ก็มีห่าง ออกไป มากขึ้นๆ เป็นฤาษีอะไรไปต่างๆนานาสารพัด

ฤาษีที่จะมีลักษณะ ไปอย่างมหายาน เรียกว่า ฤาษีกรุง มหายาน เรียกว่าฤาษีกรุง ฤาษีอย่างเถรวาท ก็เป็นฤาษีป่า ออกไป เรื่อยๆๆ อยู่ในเมืองไทย นี่แหละมี ที่เรียกตัวเอง เถรวาทนี่ มีทั้งมหายานซ้อน มีทั้งเถรวาทสุดโต่งไปหา ฤาษีมากขึ้น อยู่ในเมืองไทยนี่แหละ มีอยู่หลายสำนัก เยอะแยะ แต่ก็เรียกว่า พุทธ หลงกันว่าพุทธ ก็ขอยกตัวอย่าง ขึ้นมาชัดๆเลย เดี๋ยวนี้ ปัจจุบันธรรม

อย่างหลวงพ่อก. อย่างนี้เป็นต้น นี่แหละฤาษีป่า ฤาษีป่าก็เรียกกันว่าพุทธ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอก อาจารย์ ข. ค. ไปทางไสยศาสตร์ ไปทางอะไร อนุโลมเข้าไป มันไม่ใช่พุทธ แต่ดูเหมือน มีภาษาพุทธ อยู่บ้าง แต่โดยส่วนใหญ่ ค่าเฉลี่ยแล้ว จารีตประเพณีวัฒนธรรม ลักษณะต่างๆ มันไม่เป็นพุทธ มันไม่เป็น มรรคองค์ ๘ มีแต่อนุโลม ให้เขา เป็นอยู่ ไม่เป็นสัมมาอาชีพ ไม่เป็นสัมมากัมมันตะ ใครมา ก็ว่าไปเลยน่ะ อนุโลมเขาไป แบบขลังๆ แบบไสยศาสตร์ ไปหมด มันไม่ได้เข้ารีต เข้าร่อง เข้ารอย อะไรของพุทธเลย นี่อาตมาจะว่าปากจัด ก็จัดขึ้นเรื่อยๆ เปิดเผยนี่ฤาษีป่า หลวงพ่อก. หลวงพ่อ ข.ค. อย่างนี้ เป็นฤาษีป่า ที่ออกนอกรีตไปใหญ่

ส่วนฤาษีกรุง ก็มีปรัชญา มีความรู้ มีวิชาการ มีอะไรมากขึ้นๆๆๆ ที่ไม่ค่อยถูกต้อง เป็นมิจฉาทิฐิ อวิชชาซ้อน หรือ เป็นโมหะ จะซับซ้อนๆ ส่วนใครที่ ถูกมาก ก็ยังรักษาสถานะ แม้จะเป็นปริยัติ เป็น ตรรกศาสตร์ เป็นความรู้ ทางปริยัติ ทางบัญญัติ ถูกต้องมากก็เอาไว้มาก ทางภาคปฏิบัติ กัมมันตะ อาชีวะ หรือ สังกัปปะ วาจา ในทางสาย ฤาษีป่า ฤาษีกรุงก็แล้วแต่ ถ้ามีคุณธรรม หรือ มีภูมิธรรม เป็นพุทธมากหน่อย ก็เอาละ ก็ยังมีมากหน่อย แต่ถ้าไม่มี ภูมิธรรมมาก มันก็เละ มันไม่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฐิ ของพุทธเจ้าน่ะนะ ก็ยังซับซ้อนอยู่ในเมืองไทยนี่ ก็อีกเยอะ ถ้าอาตมา พูดไปหมดละ เหมือนยกตัวยกตน ยกตัวยกตน มีอยู่คนเดียว ถูกอยู่คนเดียว ไปตัดสินคนอื่น ผิดหมด เลยไม่ต้อง มีเพื่อนกัน พอดี ไม่มีแนวร่วมกันพอดี เราก็อยู่ไม่ได้ สิ่งดีก็มี แม้แต่อาจารย์ค. ก็มีสิ่งดี ที่พูดถูกอยู่บ้าง หลวงพ่อก. ก็มีสิ่งดี ที่พูดถูกพุทธอยู่บ้าง เพราะไม่ใช่ว่าไม่ใช่พุทธซะเลย เป็นพุทธ อยู่บ้าง แต่ในพฤตินัย หลายๆอย่าง พฤติกรรมหลายๆอย่าง ส่วนใหญ่ ส่วนมาก จะอยู่ประจำชีวิต เรียกว่า สัมมาอาชีพ เลยนั้นน่ะ มันไม่เข้าร่องเข้ารอย ของพระพุทธเจ้า มันกลายเป็นเรื่อง นอกรีตไปเยอะ ไม่ใช่ปฏิบัติอยู่ใน พรหมจรรย์นี้ มันออกนอก พรหมจรรย์นี้ ไปเยอะน่ะ

เพราะฉะนั้น พวกเรานี้ หันมาหาพวกเรา พวกเรามีอัตตามานะ ในเรื่องถือดี นึกว่าฉันศรัทธาเลื่อมใส เอาใจใส่ ในการศึกษา การศึกษาก็คือ มาฟังธรรมะอาตมา ฟังแต่อาตมา นี่แหละ ฟังมาก ใส่ใจศึกษา เล่าเรียนดี แต่คนอื่น ตีทิ้งหมด กลายเป็นคนที่ วางคนอื่นหมด ไม่ยอมรับ แต่ไม่รู้ตัว ว่าไม่ยอมรับ ก็เป็นเพื่อน เป็นมิตร สหาย เป็นคนที่ อยู่ร่วมกันได้ แต่ในภูมิธรรม ฟังดีๆ มันละเอียด เข้าไปเฉพาะ เรื่องภูมิธรรม เรื่องศาสนา อย่ามาติเตียนฉัน ฉันดีพอตัว ดีพอ ตีทิ้งคนอื่นหมด กลายเป็นคนหน้าด้าน อย่างที่อาตมาว่า ไม่รู้ว่าพฤติกรรม มันเกี่ยวเนื่องกัน กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม หรืออะไรพฤตินัย พฤติกรรม อยู่ร่วมกันนี่ มันมีลักษณะ ลีลา เหมาะควร หรือ ไม่เหมาะควร ก็ไม่รู้ตัว เพราะฉะนั้น ตัวเองทำอย่างไร ก็ไม่รู้ ให้คนอื่นเขาติเตียน ติไป ฉันไม่ถือสาแล้ว คนไหนติ ฉันก็เฉย เลยกลายเป็น คนหน้าด้าน อยู่กับหมู่นี่ หมู่ก็ระอาเต็มที หมู่ระอา เขาก็ไม่อยากสอนแล้ว ทางธรรมะ

แต่เอาเถอะ เรื่องกินเรื่องอยู่ ก็ไม่มีปัญหาอะไร จะเรื่องจะอยู่ จะหมู่จะกลุ่ม จะโน่นจะนี่ เขาก็สัมพันธ์ อยู่ด้วย ก็ไม่มีปัญหาอะไร กินข้าว กินน้ำ จะทำงานทำการ เขาก็สงสาร ก็คุณทำงานอยู่ เขาก็เอื้อ เรื่องการเรื่องงาน แต่เรื่องธรรมะ เขาระอาหมดเลย มันซ้อน เห็นไหมว่า มันซ้อนเชิง มันซ้อนเชิง นะ เขาก็ตีทิ้ง เป็นหมา หัวเน่า ในเรื่องธรรมะ อยู่ในหมู่ แต่ในเรื่องไม่ใช่ ธรรมะหรอก เหมือนกับ คนอยู่ในหมู่ด้วย เหมือนญาติธรรมในหมู่ เขาก็ไม่เป็นไร จะกินจะอยู่จะงาน เขาก็สงเคราะห์กันได้ บางทีก็ดีด้วย บางทีดีด้วยน่ะ เขาทำงานดี เออ ก็ดี เขาก็เห็นดี ทำงานทำการ ก็ช่วยเหลือ เฟือฟาย หรือว่า ช่วยเหลือในเรื่องการกินการอยู่ การเป็นการไป การมาอะไร ช่วยเหลืออาศัย เรื่องอาศัยทางโลกๆ ธรรมดา ก็ดี ก็เกื้อกูลกันไปได้ ตัวเองก็เลยกลายเป็นว่า ยังอยู่ ในพฤติกรรมเก่า พฤติกรรมที่ตัวเอง แสดงท่าที ลีลาอย่างไร ก็ไม่รู้ตัวว่า อย่างนี้มันน่าเกลียด อย่างนี้มันไม่ควร ปฏิบัติ อย่างนี้ไม่ควร ประพฤติ โดยเฉพาะ ประพฤติ กับอาตมา ก็ไม่ค่อยเข้าใจ มันเป็นเรื่อง ยากเหมือนกัน มันแบ่งเจียด ออกไปนิดหนึ่ง แล้วมันก็เข้าไปรู้เรื่อง ไอ้ตัวนี้ ก็มาก มันเจียดออกไปอีกนิดหนึ่ง แต่คนอื่นรู้สึก เราวางตัว กับหมู่ เป็นเพื่อน มิตรสหายดี และแต่ไม่ใช่มิตรทางธรรม เพราะดูถูกทางธรรมคนอื่นหมด แล้วมันเป็น อัตตามานะทางธรรม ถือดีในทางธรรม

ฟัง เข้าใจซ้อนขึ้นไปได้ไหม แม้แต่ในผู้ที่เป็นสิกขมาตุ สมณุทเทส เป็นสมณะก็ตาม มีนัยอย่างนี้ อยู่ด้วย เพราะฉะนั้น สิกขมาตุบางรูป ก็ขึ้นต่ออาตมาคนเดียว สิกขมาตุบางรูป นะ สิกขมาตุบางรูป ขึ้นต่อ อาตมาคนเดียว คนอื่นเหมือน ไม่มีเพื่อนฝูงอยู่กิน เป็นมิตรสหาย เป็นพี่น้องกัน ชีวิตอยู่ปกติ กินอยู่ หลับนอน การงานอะไร สัมพันธ์กันดี แต่เรื่องธรรมะ อย่าน่ะ พ่อท่านคนเดียว เรื่องธรรมะ คนอื่น อย่ามาแหยม นอกจากไม่แหยมแล้ว วางได้ ด้วยนะ ไม่ถือสาด้วย ใครจะว่าอย่างไร เฉยหน้าด้าน มันอยู่อย่างนั้นแหละ แหม อาตมา คำว่าหน้าด้าน ว่าแรงแล้วนะ เป็นคำติที่แรง แล้วนะ ไม่รู้จะทำ อย่างไร คนนั้นจะรู้สึกตัว แล้วก็มองคนอื่น ในเรื่องภูมิธรรม นี่ คนอื่น ต่ำกว่าตัวหมด แต่ในเรื่องประสาน ความเป็นอยู่ในหมู่ ประสานได้ อยู่กับหมู่ กินอยู่หลับนอน งานการอะไร ทำร่วมด้วยได้ แต่ในเรื่อง ธรรมะอย่าเชียว ใครไม่มีดีละ นอกจากไม่มีดีแล้ว ข้าไม่เอากับใคร เอาจากอาตมาคนเดียว มันเวร มันกรรม อะไรก็ไม่รู้ อาตมานี่ มันรักมากเกินไป เปลี่ยนชื่อจากรัก รักพงษ์ดีมั้ย ทำไมมัน ต้องมา ชื่อรัก ด้วย ก็ไม่รู้น่ะ ก็ไม่ได้คิด มันจะมีนัยๆอย่างนี้ มาจนถึงขนาดนี้ มันกลายเป็นศรัทธา มันกลายเป็น กลายรัก เลื่อมใสอะไร ก็แล้วแต่ มีกามหรือไม่มี กามอะไรก็แล้วแต่ แม้ไม่มีกาม ก็รักเคารพนับถือ รักอย่างพระเจ้าละนะ รัก อย่างพระเจ้า เชิดชูบูชาอะไร ก็แล้วแต่ ก็รักนี่มันได้หมดทุกอย่าง ความรัก ของศาสนา เขาก็มีก็ได้ แต่มันติด มันเป็นอัตตามานะ เพราะฉะนั้น รักนี่เป็นมิติถึง ๗ ตั้งแต่มิติถึง ๗ นี่นะ มันยัง ไม่บริสุทธิ์ผุดผ่อง มันยังเป็นรัก หรือเป็นศรัทธาเลื่อมใส ที่แฝง

อาตมาเคยพูด ความรักกับศรัทธานี่ มันเริ่มยาก รักกับศรัทธา มันแยกยากอยู่เหมือนกัน ศรัทธา ดูเหมือนรัก ผูกพัน ยกย่อง เชิดชูนับถือบูชา อะไรก็แล้วแต่ชอบใจ สรุป ง่ายๆก็คือ พอใจชอบใจ ชอบใจถ้ามันมีตัวเชิงกาม ก็มีอาการ ทางกาม ถ้าไม่มีเชิงกามเลย เพียวๆ ก็จะมีการชอบใจดูด สัมพันธ์ ผูกพันสนิทมาก ยึดมาก มันก็เป็นความรัก ชนิดที่มัน ผูกพัน อภินิเวสายะ หรือว่าเป็นอุปาทาน ไม่ใช่ สมาทาน ไม่ใช่ยึดถืออย่างสมาทาน แต่ยึดถือ อย่างอุปาทาน มันก็เป็นอย่างนั้น โดยเฉพาะ เอาแต่ อาตมา เพราะฉะนั้น เรื่องอย่างนี้ จึงกลายเป็นเรื่องที่อยู่กับหมู่ ก็เลยกลายเป็น ไม่รู้ตัว ว่าตัวเอง อยู่กับหมู่แล้ว ทำไมนะ มันเข้าไม่ได้ ทำไม มันไม่ประสานกับหมู่ เพราะฉะนั้น ก็เลยไม่รู้ตัวเอง พูดก็นึกว่าตัวเอง อยู่ในภพของ ธรรมะตลอดเวลา พูดธรรมะออกมา เมื่อไร ฉันก็นึกว่า ฉันแน่ทุกที แต่หมู่เห็นแล้ว ก็หมั่นไส้ทุกที ตัวเองก็นึกว่า ตัวเองพูดธรรมะ เจ๋งทุกที หมู่ก็บอก หมั่นไส้ทุกที มันก็เลย ยิ่งรับกันไม่ได้ ในเรื่องของธรรมะ มันก็เลยอยู่กับหมู่ เหมือนโดดเดี่ยว แต่ตัวเองก็วางใจ ก็บอกว่า ไม่มีอะไร อยู่กับหมู่ก็ได้ ตัวเองวางจริงๆ หมู่ก็เห็นในมุมนี้ เหมือนกันนะ ดูนะว่ามันดูซ้อน ดีเหมือนกัน ดูดีเหมือนกัน วางนี่ ทำอะไรก็ทำไป แอ๊คๆ เหมือนคนที่ ไม่เข้าร่อง เข้ารอยกับหมู่นี่ เหมือนติงต๊อง อยู่กับหมู่ เหมือนคน ติงต๊องๆ เอาศัพท์ติงต๊องมาใช้ ซ้อนขึ้นไปอีกซิ คือมันไม่เหมือนหมู่ แต่มันก็อยู่ กับหมู่ได้ ไม่เหมือนหมู่ ในประเด็นหนึ่ง เชิงหนึ่ง โดยเฉพาะ ในเชิง ธรรมะ ถือดีถือตัว ในเชิงธรรมะ เมื่ออยู่กับหมู่ ประสานเรื่อง ธรรมะ กับหมู่ไม่ได้ แต่ประสานในเรื่อง ความเป็นอยู่ กับหมู่ได้ อันนี้ก็ยังดี ก็ยังไม่ต้องไปไหน ก็ยังทำงานทำการกันไป แต่ไม่เจริญทางธรรม

เพราะพระพุทธเจ้า ตรัสแล้วว่า มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมดทั้งสิ้นของธรรมะ พูดกันง่ายๆ ธรรมวินัย หรือพรหมจรรย์นี้ ธรรมวินัยนี้ อันเดียวกัน เพราะฉะนั้น ก็เลยธรรมะไม่มีอันนี้ มิตรดีสหายดี สังคม สิ่งแวดล้อมดี ไม่เป็นมิตรสหายทางธรรมเลย เป็นมิตรทางโลกเท่านั้น มิตรทางโลก สหายทางโลก สัมปวังโก ทางโลก แต่ทางธรรมมีอาตมา เป็นมิตรผู้เดียว เพราะฉะนั้น อัตตามานะ ตัวซ้อนตัวนี่ อยากให้พวกเรา ได้รู้สึกตัว

อยากให้พวกเราได้เข้าใจ และก็พยายามที่จะปรับตัวเองให้อย่าเป็นผู้ดูถูกดูแคลน อย่าถือดีถือตัว อะไรพวกนี้ มากเกินไป มันแคบ กลายเป็นตัวเอง ที่จริงในหมู่ ในฝูง มีฝากไว้คนละนิด คนละหน่อย ธรรมะอย่างนั้นอย่างนี้ มีเยอะเลยนะ ในพวกเรา เพราะคนอยู่ในพวกเรา มีธรรมะทั้งนั้น เพราะฉะนั้น จะไปประมาททำไม มันจะเหลือ แหม นิด สองอณูติดอยู่วันนี้ สักวันหนึ่ง โถ สองอณูนี้ ดีน่ะ เราเอง ขาดอันนี้ด้วยน่ะ ในตัวมีแต่ในสิ่งที่ ไม่ใช่ธรรมะหรอกน่ะ แต่มีธรรมะสองอันนี้สำคัญ มีซ้อนอยู่ โอ เพียงเห็นจากคนนี้เอง

ไม่มีอะไรมาก แต่มีอะไรอันวิเศษสำหรับเรา หรือบางทีไม่วิเศษสำหรับเราหรอก มีอันนั้นเหมือนเรามี เราก็มี เขาก็มี แต่ อ๋อ อันเดียวกันกับเรามี แต่เขายังมีน้อย เขามีมากกว่า ด้วยซ้ำไป แต่ก็มองเห็น แล้วว่า เขาก็มีอันนี้ เหมือนกันนี่นา แม้เขาจะมีน้อย เพราะฉะนั้น จะมีคุณธรรม จะเป็นลักษณะ โลกุตรธรรม ก็จะมองออก ก็จะรู้ จะไม่ลบหลู่กัน มันจะประสาน สมานกันได้หมดน่ะ อันไหนที่จะ ต่อภูมิต่อภพกันได้ อ๋อ อันนี้มีอันนี้แล้ว ต่อภูมิต่อภพต่อกันไป เพราะฉะนั้น อัตตามานะ ในเชิง อาตมาขยายความอยู่นี่ มันมีกัน อยู่เยอะมากคน บางคนมีจัด ฟังดูดีๆน่ะ แม้แต่ ในนักบวช ก็มีลักษณะนี้อยู่ด้วย อยู่กับหมู่ ไปแล้ว ก็ไม่ศรัทธาหมู่กลุ่ม ก็อยู่กับหมู่ไปเฉยๆ ก็อย่างที่ว่านี่ โดยธรรมะแล้ว มีอัตตามานะน่ะ ไม่ค่อย จะเชื่อภูมิธรรมกันเท่าไหร่ ลักษณะนี้ ผู้หญิงเป็นมาก ซ้ำอีก ลักษณะนี้ ผู้หญิงเป็นมาก พูดซ้ำอีก ตั้งแต่สิกขมาตุก็ด้วย ฆราวาสผู้หญิงก็ด้วยเป็นมาก เพราะฉะนั้น ไม่ค่อยนับถือกันน่ะ มานับถือสมณะ

ในสิกขมาตุเอง บางที ผู้หญิงนี่ ไม่นับถือสิกขมาตุ ผู้หญิงเหมือนกันนี่หว่า นี่มัน ซ้อนๆๆ เป็นอย่างนี้ ในผู้หญิงนี่ มีมาก เป็นมาก และมีหลายคน ที่เป็นหนักๆ อาการหนักๆ เหมือนกับอยู่โดดเดี่ยว ในหมู่เลย บางคน ถึงขั้นติงต๊อง ก็อยู่อย่าง (หัวเราะ) ก็อยู่กับหมู่อยู่ จะกินจะอยู่ ทำงานทำการ กับหมู่ก็ได้ แต่ว่าอัตตา ทางธรรมะ ถือตัวอยู่มาก ก็เลย อยู่กับหมู่ไปอย่างนั้น และก็เลยลักษณะ เชิงธรรมะอะไรนี่ พูดไม่เข้าหูหมู่ หมู่ก็พูดไม่เข้าหูเขา เข้าหูเขาก็วาง เขาดูเหมือน วางได้ด้วยน่ะ ใครไปติเตียนเรื่อง ธรรมะเหรอ แหม โก้ด้วยน่ะ โยนทิ้งเลย ไม่เกี่ยว ไม่เอามาคิด ไม่เอามานึก ไม่เอามายุ่ง ฉันดีแล้ว ดีแล้วน่ะ เพื่อนติเตียนไม่ได้ ฉันก็เป็นอยู่อย่างเก่า ก็เลยติงต๊อง ทางธรรมะ อยู่อย่างเก่า เข้าใจศัพท์ ติงต๊องมั้ย คือมันเป็นคนไม่เหมือนกับหมู่แล้ว มันแปลกๆหมู่แล้ว เหมือนคนบ้า ในหมู่ อาตมาก็ใช้ ศัพท์นี้แทนเท่านั้น ก็ไม่ใช่เป็นบ้าทีเดียวหรอกนะ แต่มันประหลาดหมู่ มันไม่กลมกลืนกับหมู่ มันไม่กลมกลืน มันไม่สมานสนิท มัน ก็...พิลึกๆอยู่กับหมู่ แปลกๆอยู่กับหมู่น่ะ มันซ้อนน่ะ แปลกๆ ในเชิงธรรมะ น่ะ แต่ว่า กิน อยู่ หลับ นอน ทำงานทำการ อะไรนี่ เออ ประสานกับหมู่ได้ แต่จำเพาะ เรื่องของธรรมะน่ะ ติงต๊องเท่านั้น มันดูพิลึกๆ อยู่กับของ ตัวเอง ไม่เข้ากับหมู่ ประสานกับหมู่ไม่ได้ ในเรื่องเชิงความเห็น ทิฐิ และเนื้อหา ของธรรมะ เพราะอย่างนี้ เป็นคนที่โดดเดี่ยวในทางธรรมะ มันก็ไม่เป็นทั้งหมดทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์ เพราะมันไม่มีมิตร ทางธรรมะ มิตรดี สหายดี เป็นประโยชน์ ร่วมกัน ในทางธรรม ไม่รับแล้วนิ ปิดประตูหรือว่า ไม่เห็นร่วม ไม่สมาน ไม่ประสาน ไม่เสมอสมานกัน มันก็ไม่มีทางที่จะเข้ากันได้ มันก็จะขัดแย้งกัน แล้วมันก็ไม่รับกัน นอกจากจะขัดแย้ง ก็ไม่รับกันเลย หนักเข้า ก็ตีทิ้งไปแล้วกัน อย่างนี้เป็นต้น มันก็เลยไม่เจริญ อยู่นานไป นานไป ถ้าเผื่อว่า อาตมานี่ ไม่ยอมตามใจ เป็นอัตตา

อัตตานี่ ตามใจไม่ได้ อัตตามานะนี่ยิ่งตามใจ อัตตาโตมานะโตถือดี นึกว่าตัวเองได้รับแต้มน่ะ ได้รับโอ๋ ได้รับแต้มแล้ว มันก็จะสั่งสมลงไปอีก หลงผิด มันจะยิ่งหลงผิด ซ้ำซ้อนขึ้นไปเรื่อยๆ มันจะกลายเป็น เสียหายน่ะ เพราะฉะนั้น ในเรื่องจุดของพวกนี้ เป็นจุดที่ไม่ฉลาดน่ะ ไม่ฉลาด ก็ไม่ได้ฉลาดทั้งหมด ฉลาดในส่วนที่ตัวเองฉลาด แต่ไม่ฉลาด ในความเป็นอัตตามานะของตน แล้วก็เลยทำให้ตัวเอง ไม่สบาย ไม่ร่าเริง เบิกบาน ไม่สมาน ไม่ประสานหมู่กลุ่ม อยู่ไปก็เหมือน ซังกะตาย จืดๆ ชืดๆ ไม่ค่อย ได้เรื่อง ได้ราว อะไร ถ้ามันหนักเข้า อยู่กับหมู่นี้ หรือว่าอาตมา ไม่เอื้ออะไร พอสมควร ไปขีดหนึ่ง สายใย ที่เกี่ยวเกาะ กับอาตมาขาด อยู่ใกล้ไม่ได้แล้ว แรง เราไม่ได้รับ ตามที่เราต้องการ ก็ไม่อยู่แล้วหมู่นี้ ออกไปอยู่หมู่อื่น ไม่อยู่หมู่อื่น ก็ไปอยู่คนเดียว หนักเข้าก็ลำบาก อาตมาไม่อยากให้เกิดน่ะ ไอ้อาการ อย่างนี้ สภาพอย่างนี้ ในพวกเรา ไม่อยากให้เกิด แต่ก็ไม่รู้ จะทำอย่างไร อาตมาก็ไม่เก่ง กว่านี้น่ะ เก่งเท่านี้ ก็พยายามอยู่ เพราะฉะนั้น ในเรื่องอัตตามานะนี่ ยังมีอีกมากเหลือเกิน ที่เราจะต้อง เรียนรู้ ศึกษา ฝึกฝน จะมาอ้างแต่ว่า เอ อาตมาว่า ว่ามีอัตตามานะ แล้วก็เข้าใจ อัตตามานะ ว่าอัตตามานะ คือจะต้องไม่ศรัทธาอาตมา แล้วก็ ถือคนมีอัตตามานะ ถือดีกับ อาตมา ไม่ใช่ ถือดีกับใคร ก็แล้วแต่ ถือตัวกับใคร ก็แล้วแต่ แต่โดยเฉพาะ มันละเอียดลงไป ถือดีถือตัวเชิงธรรมะ ไม่ได้ถือดี ถือตัว ของการ เป็นอยู่น่ะ เรื่องการเป็นอยู่ ไม่ถือดีถือตัว เขาติเตียนเราได้ ว่าเราได้ ในเรื่องการเป็นอยู่น่ะ ว่าได้ ติเตียนได้ ยอมได้ แต่ในเรื่อง ธรรมะ ในเรื่อง ภูมิธรรม ในเรื่องความรู้ ในเรื่องของเชิงธรรมะ ศรัทธา อาตมา เท่านั้น คนอื่นมาติ มาเตียน ในเรื่อง ให้เปลี่ยนแปลง ความเป็นอยู่ที่เป็นภูมิธรรม ไอ้อย่างนี้ มันรู้สึก มันไม่ดีน่ะ ไอ้อย่างนี้ มันแสดงสภาพ ที่มันมากไปน่ะ น้อยไปน่ะ อะไรอย่างนี้ ปรับทั้งกายกรรม ทั้งวจีกรรม ไม่ฟัง ที่จริงกายกรรม วจีกรรม มันก็เกี่ยวกับ ภูมิธรรมด้วย เพราะอย่างนั้น ทั้งกายกรรม วจีกรรม เชิงนั้น เชิงนี้ ซึ่งอาตมาอธิบายละเอียด ไม่ได้แล้ว ตรงนี้ ไม่รู้ลีลาของแต่ละคน มันคนละอย่าง กายกรรม วจีกรรม อย่างไรที่ส่อว่า มันไม่สมควร ไม่เหมาะควร ควรแก้ไขซะ แต่ถือดีว่า ตัวเอง ทำถูกแล้ว เหมาะแล้วนี่ ฉันทำเหมาะแล้ว กิริยาอย่างนี้

ยกตัวอย่างง่ายๆนะ อย่างพวกเราเป็น ผู้หญิงหลายคนน่ะ พบอาตมา เข้ามาหาอาตมา เข้ามาบ่อย แต่ก็ไม่มีกิริยา ที่คนอื่น เขารู้สึกน่าเกลียด พูดก็ตาม กิริยากายกรรมก็ตาม ย่อย แต่คนอื่น เขาก็ ไม่น่าเกลียด ไม่ผลักไสหรอก เขาก็ไม่กั้น ไม่ต้าน แต่บางคนนั่นน่ะ เข้ามาพบอาตมา ไม่บ่อยเท่า คนที่ ยกตัวอย่าง ไปเมื่อกี้ด้วย แต่ถูกผลัก ถูกตัด ถูกต้าน ถูกติง อย่าไปพบพ่อท่านมากล่ะ แล้วจริง ด้วยนะ เอ๊...เข้าไปพบพ่อท่าน ก็ไม่มากไปกว่าคนนี้นะ คนนี้มากกว่า ด้วยซ้ำไป ทำไมมาถือสา แต่กิริยากายวาจา ที่เข้ามา เขามองออก กิริยาวาจา มาหาอาตมา น้อยกว่า ก็ตาม แต่ก็มองออกว่า ไอ้อย่างนี้ต้องกั้นแล้ว ไอ้อย่างนี้ต้อง ระมัดระวังแล้ว แต่เขาก็มอง บอกไม่ถูก เหมือนกัน ว่าอย่างไร แสดงกิริยาอย่างนี้ มันไม่ดูดีนะ ก็อาตมาพูดก็ตาม เรื่องราวก็ตาม กิริยากายกรรมก็ตาม มันไม่ดูดี ไอ้นี่ อาตมาอธิบายไม่ได้ มันอย่างไร คุณเข้าใจไหม (เสียงตอบว่า เข้าใจ) เข้าใจไหม แล้วเขาก็ต้อง ปรามไว้ ก็หาว่า เขาแกล้ง ไอ้ทีคนนั้น ทำไมไม่ห้าม พูดมากกว่า แล้วจริงด้วย เขามาพูดกับ อาตมามาก เข้ามาพบอาตมามากกว่า ด้วย แต่มันไม่มีกิริยาที่เขา กิริยาอย่างนี้มันซื่อๆ กิริยาอย่างนี้ มันไม่มีกิริยา ที่น่าสงสัย น่าระแวง (พ่อท่านหัวเราะ) กิริยานี้ไม่น่าระแวง ถึงจะมากก็ไม่เป็นไร อย่างนี้เขาก็เห็น ไอ้ปฏิภาณอันนี้ลึกๆของคน มันมีเหมือนกัน เขาก็เลย ไม่ต้าน ไม่อะไร ก็มาก็ไม่เป็นไร คนนี้ไม่มีปัญหา ไม่สงสัย ไม่ระแวง เพื่อนก็ไม่ต้าน สมณะก็ไม่ต้าน โดยเฉพาะ ท่านสีลวัณโณ องครักษ์ก็ไม่ต้าน ก็ปล่อยได้

แต่บางคนนี่ อาตมาว่าท่านสีลวัณโณก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน เพราะอาตมาเองก็ยังบอก ไม่ถูกเลยว่า (พ่อท่านหัวเราะ) เอ๊...นี่มันกิริยาอย่างไรนะ จะอธิบายกับเขา กายกรรม วจีกรรมอย่างไร อย่างนี้ไม่ดี เอ๊...อย่างนี้ แปลกๆ มันไม่น่าไว้ใจ ในกิริยา กายวาจาอะไรอย่างนี้ ท่าทีมันซ้อนอยู่นะ ไอ้นี่ ไม่รู้จะบอก เจ้าตัว อย่างไร เพราะเรา ก็ยังไม่มีปฏิภาณ ไม่มีนิรุตติ ที่จะบอกให้ว่า ไอ้อย่างนี้อย่าทำนะ กิริยาอย่างนี้ วาจาอย่างนี้ กายกรรมอย่างนี้ ลักษณะ มันออกมา สายหู สายตา ไม่รู้สิ อาตมาก็ บอกไม่ถูก (หัวเราะ) มันอย่างไร อย่างนี้อย่าทำ อาตมาว่า อาตมาก็ไม่ค่อยรู้ ไม่รู้ท่านสีลวัณโณ จะรู้มากกว่าอาตมาหรือเปล่า ก็ยังไม่รู้ นะ ท่านก็ต้องปราม มากกว่าอาตมา เพราะท่านเป็นองครักษ์ อะไรอย่างนี้ มันอย่างไรไม่รู้ ก็เลยต้องปราม ท่านก็เลย พาลถูกคนๆนั้นเกลียด (พ่อท่านหัวเราะ) เพราะไปต้านความพอใจของเขา อะไรอย่างนี้ เขาไม่ได้ทำดังใจเขาอย่างนี้ ก็เป็นลักษณะพวกนี้ ท่านติกขะฯ ก็เป็นปัจฉาด้วย ก็เลย เป็นต้องใช้วิธี ป้องกันช่วยด้วย ก็เลยพาลถูกเกลียด ไปอีกคนหนึ่ง แต่ท่านติกขะฯ ท่านไม่ชิดใกล้ เหมือนกับท่านสีลฯ ที่ท่านคอยดูอาตมา ท่านติกขะฯ คอยไปรับงาน หรือว่า ทำงานบริหาร ทำงานอะไร รอบกว้างหน่อย ก็เลยเวลาน้อยกว่า อะไรกว่า แต่ก็ยังมีพาล มีเหมือนกัน นั่นแหละ

เพราะก็มีปฏิภาณ เหมือนกับท่านสีลวัณโณ ท่านติกขะฯ ท่านก็มีปฏิภาณเหมือนกัน ไม่ใช่ว่าไม่มี ท่านก็ใช้หมัด เหมือนกัน คนไหนที่พอมี ก็โดนหมัดท่าน เหมือนกันนั่นแหละ (พ่อท่านหัวเราะ) โดนหมัด ท่านดีดให้ ก็เลยพาลไป อย่างนี้ ก็ไม่เป็นไร ก็เป็นวิบากของปัจฉาฯ ก็ศึกษาเรียนรู้ศิลปวิทยา วรยุทธ อันนี้นะ ว่าจะทำอย่างไร ถึงจะไม่ให้ เขาเกิดโกรธเกลียด เกิดชัง แล้วเขาก็รับได้ว่า เออ อย่างนี้เขารู้แล้ว ละ แล้วเขาก็แก้ไขปรับปรุง นี่ก็เป็นวรยุทธ เหมือนกัน อาตมาก็สอนให้ เหมือนกัน

อาตมาก็ เท่าที่อาตมาจะรู้ อาตมาก็แนะนำบางผู้บางคน ที่มีช่วงมีโอกาส และเป็นเรื่องราวพวกนี้ อาตมาก็แนะนำให้ แต่ก็ยังไม่เก่ง อาตมาก็รู้สึกตัวเองว่า ไม่เก่งพอ ที่จะอธิบายให้มันละเอียดลออได้ มันรู้ๆอยู่นัยๆ ว่ามันมีอะไรอยู่นะ แต่ ว่ามัน ไม่งามนะ มันไม่ดูดีอะไรอย่างนี้ มันแฝงจริงๆนะ มันซ้อน จริงๆ มันซ้อน ความซับซ้อนพวกนี้ มันเยอะ แต่นั่นแหละ เราก็ค่อยๆศึกษากันไป บางทีก็เอา ก็อนุโลม กันบ้าง บางทีมันก็เจ็บปวดจริงๆ เจ็บปวดกันอะไร ต่ออะไรกัน ก็ แหม จะอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็เสียโอกาส จริงๆก็ลึกๆ มันก็ไม่ดูเลวร้าย หยาบคายอะไร เหมือนข้างนอก เขาหรอกนะ ที่พูดไปแล้วนี่ เหมือน ยิ่งเหมือนเรื่องหยาบ เรื่องใหญ่ เรื่อง โอโฮ จะพังอะไร มิใช่หรอกนะ มันเรื่องซ้อน ละเอียด ซับซ้อนลงไป มันก็ดูไม่หยาบคายอะไรหรอก ที่อาตมาพูด บางคนอาจจะ ไม่รู้สึกว่า ท่านพูดอะไรนี่ ใคร อาจจะนึก ไม่ออก สักคนเลย และตัวเอง ก็ไม่เป็นจริงๆด้วย ไอ้ที่อาตมา พูดไปแล้ว ตั้งแต่ต้น มาจนกระทั่ง จะหมด เวลาแล้วนี่ พูดถึงใคร ใครเป็นน่ะ ตัวผู้นั้นเขาเอง เขาคือคนที่ว่านี่ก็ไม่เป็นด้วย คนนั้นไม่เป็นจริงๆ และ ก็มองไม่ออกหรอก ว่าใคร เป็นอย่างที่ว่านี้ ก็ดีแล้วละ คุณไม่เป็น คุณไม่รู้ ก็เป็น แต่ไม่รู้ ศึกษาให้มันรู้บ้าง ก็ดี แต่คุณไม่เป็นน่ะ ดีแล้ว

หรือบางคน คนเป็นซะเองนี่แหละ ไม่รู้ตัว เอ๊ ท่านว่าใครวันนี้ โอ้โฮ อาตมาคงจะต้องหนักไป อีกหลายชาติ ถ้าอาตมาเทศน์ไปแล้ว วันนี้คนที่เป็นซะเอง ก็ยังไม่รู้เลยนี่ เมื่อย แทนอาตมาไหมๆ คนที่เป็น อาการหนัก ด้วยนะ และก็ไม่รู้ว่า วันนี้ อาตมาเทศน์ให้ ที่จริงด่าให้ ก็ไม่รู้ด้วยอย่างนี้ อาตมาก็ ไม่รู้จะทำ อย่างไรล่ะ ขนาดนี้น่ะ ดีไม่ดี นั่งฟังด้วย ขณะนี้ ใครน่ะ เป็นอย่างนี้ ใครเป็นอย่างนี้ ฉันเปล่า ฉันไม่เป็นหรอก เมื่อยแทนอาตมาไหม โอ้ แม้อาตมาก็ไม่ศรัทธา สมณะก็ไม่ศรัทธาเลยนะ แต่อยู่ได้นาน ใช่ไหม โอโฮ ยิ่งใหญ่ ศรัทธาตัวเอง ตัวเองเหนือชั้นกว่าใคร (พ่อท่านหัวเราะ) มันอยู่อย่างนั้น ก็แสดงว่า อยู่แฝงไป ก็เพียงว่า โอกาส ที่จะชิงบัลลังก์ ก็ยังไม่ได้ เป็นเหมือนกับเจ้าสำนักในหนังจีน อยู่ไปนี่ เจ้าสำนัก ฉันจะต้องโค่นให้ได้ ฉันไม่ศรัทธาหรอก ฉันแน่กว่าอยู่ในนี้ ไม่ศรัทธา เจ้าสำนัก หรือว่า ตำแหน่งรองอะไรอื่นๆ ฉันก็ไม่ศรัทธาทั้งนั้น ฉันก็อยู่ไป สักวัน ฉันต้อง โค่นเจ้าสำนักนี้ลง แล้วฉันก็ จะต้องยึด สำนักนี้ เป็นของฉัน ให้ได้ มันคงจะอย่างนั้นมั้ง ถ้าอยู่ที่นี่ไป ก็คงมีความหวัง อันนั้นมั้ง

ถ้าไม่มีความหวังอันนั้น อีกอย่าง คือไม่ได้ยก ไม่ได้มักใหญ่ใฝ่สูง อะไรนัก ก็กลายเป็น คนที่ถล่มตัวเอง เกินไป เห็นว่าที่นี่ดี แล้วเราเองก็ถล่มตัวเอง จนกระทั่ง แล้วเราก็ไม่มีภูมิ ที่จะไปศรัทธาใคร เอ๊ มันก็ไม่ใช่ มันต้อง ศรัทธาซิ ถึงมันจะอยู่นะ ไม่ศรัทธา แล้วจะอยู่อย่างไร อาศัยแฝงกิน อยู่เฉยๆ กันอย่างนั้น หรอกหรือ ศรัทธาในอุดมการณ์ ศรัทธาทั้งหมดทั้งมวล มันก็ต้องรวมต้องรู้สิ ก็ต้องมีปัญญารู้ว่า ศรัทธา ทั้ง อุดมการณ์ทั้งหมด และอุดมการณ์ มันมีอะไรบ้างละ มันออกมาจากใครบ้างล่ะ มันมีที่ใครบ้างละ มันก็ต้องมีที่ใคร อุดมการณ์อันนั้นมีที่ใคร ออกไปจากใคร มีใคร มีอุดมการณ์ อันสอดคล้องกัน มันก็จะต้องไปกับ เนื้อหา พวกนี้ด้วย เนื้อหาสาระพวกนี้ก็มีที่คน มันก็ต้องศรัทธา อยู่ในนั้น บ้างแหละ คนไหนมีมาก โอ้...คนนี้ มีอุดมการณ์ดี อุดมการณ์คนนี้ มันก็ต้อง อยู่ที่คนด้วย จะบอกว่า มันไม่ศรัทธาใคร มันก็คนนั้น เขามีอุดมการณ์ อันนั้นก็เหมือน ศรัทธาคนนั้น เขามีมากด้วย มันก็เหมือน ศรัทธาคนนั้นมาก เอาล่ะ เราไม่ติด คนเขาก็ไม่ได้ติดตัว ติดตนอะไรหรอก แต่มันก็มี อุดมการณ์ ก็ยังดี แต่มันก็อยู่กับตัว กับตน จะบอกว่าใคร ไม่ใครก็น่าจะรู้ตัวว่า คนนี้มีอุดมการณ์ อันนี้ มีภูมิธรรมอันนี้ และก็ศรัทธาคนนี้ ศรัทธาอุดมการณ์ คุณธรรมของคนนี้ อยู่ในตัวคน จะบอกว่าไม่ ใคร มันก็น่าจะพอชี้ พอบอกได้ จะแยกวิเคราะห์ ให้ละเอียดว่า เราไม่ได้ติดตัวตน ก็ไม่เป็นไร แต่มันก็น่า จะมีส่วน มีในนัย ละเอียดๆ พวกนี้ มันมีซับซ้อน มากมายน่ะ นั่นแหละ มันจะเป็นอัตตามานะไว

ที่ถามว่า มีลักษณะมั่นใจในตัวเองมาก ไม่ค่อยแคร์ใคร นี่ละ กัณฑ์นี้ คืออันนี้โดยตรง มั่นใจ ในตัวเอง มาก และไม่แคร์ใคร เป็นใคร เป็น INVISIBLE หมดเลย เห็นใครไม่มีตัวตน เห็นใคร ฉันวางหมดแล้ว แต่ฉันก็อยู่กับเขาได้ เพราะเขาเหมือนไม่มีอะไร เขาจะติเตียน เขาจะมองหยาบ มองแรง มองด่า มองว่า เหมือนจะทนได้ ซะด้วยนะ เขาจะด่า เขาจะว่า เขาจะนี่ ไม่ แต่ถ้าอาตมา ด่าว่า แล้ว โอโฮ เจ็บจัง ปวดจัง แต่คนอื่นด่าว่า ไม่เกี่ยวน่ะ ฉันวางได้ ไม่แคร์ มั่นใจตัวเอง คนจะมาติเตียน ฉันได้ มีคนเดียว ถ้าคนนี้เขา ติเตียนกัน เข้ามาเมื่อไหร่ละ ฮึ ถือสาเจ็บปวดมาก แต่คนอื่นน่ะเหรอ ต่อให้ตะลุมพุกมา อย่างไรมา ฉันก็วางได้ คนอื่นจะหมัดหนักมาอย่างไร ฉันก็วางได้ มันก็หลงตัวซ้อน หลงตัวซ้อน ฉันหมด อัตตาแล้ว ใครๆติเตียน ฉันวางได้หมด ไม่ถือสาจริงๆ ถืออยู่คนเดียวแหละว่า หรือว่าก็ต้องถือคนนี้ ศรัทธาคนนี้ ก็ยังดี ที่มีศรัทธา ทีนี้ถ้าไม่ละ ทีนี้มั่นใจตัวเองใช่ไหม ถือแต่ตนเอง ฉันจะรับของใครก็ ฉันรับ ฉันไม่รับ ก็ไม่รับหมดเลย แม้แต่อาตมา แล้วฉันก็จะอยู่ตรงนี้ มันมีอีก เหมือนกัน ฉันจะอยู่ มันตรงนี้ เอาความคิด ของตนเอง เป็นใหญ่ อันไหนดีเมื่อไหร่ ฉันใจดีฉันรับ ยอมรับว่าดีฉันก็เอา ไม่ยอมรับว่าดี ฉันก็โยนทิ้งหมดเลย นอกนั้น ก็อยู่กับภูมิธรรมของตัวเอง ของฉัน คนเดียว คนอื่นๆ INVISIBLE หมดเลย แม้แต่อาตมาตอนนี้

แม้อาตมาจะสอนจะเป็นโน่นเป็นนี่ ว่าโน่นว่านี่ อะไร ก็ไม่เป็นไร ไม่ฟังตีทิ้งได้ ฉันมีภูมิธรรมของฉัน ฉันก็พึ่ง ของฉันนี่แหละ คนเดียว ไอ้อย่างนี้ก็หนักเหมือนกัน ไม่ใช่พุทธแท้หรอก นี่ที่อธิบายไปแล้วว่า นี่ มันไม่ฟัง แม้แต่อาตมาเองก็ อยากจะรับเมื่อไหร่ก็รับ ไม่รับก็ปิดกุญแจใส่ตน คนอื่นก็ตีทิ้งหมดแล้ว ฉันเชื่อมั่นในตัวเอง คนเดียว

ระวังน่ะ นี่ฉายามือมั่นนะนี่ คนนี้ได้ชื่อใหม่ นาคมือมั่นอะไรละ อโศกตระกูลเหรอ นาคมือมั่น อโศกตระกูล ถามว่ามือมั่นแปลว่าอะไร มาถามอาตมา อาตมาก็ว่า มือมั่นหมายความว่า เหนียวแน่น ทั้งแม่นยำ มือมั่น ระวังฉันคนเดียว มันเป็นกรรมฐานอย่างดีเลย ถามออกมา วันนี้ เผยตัว ระวัง มือแม่น ทั้งแม่นยำ ฉันก็ต้องเชื่อมั่น ตัวเองละ ฉันก็เหนียวแน่นด้วย และก็แม่นยำ ด้วย โอโฮ เจ๋ง ไม่หลุดง่าย และแถม ก็ยังแม่นด้วยนะ ถูกต้องด้วยนะ เหนียว แน่น และแม่นยำ มือมั่นน่ะ มันรวมทั้ง ความมั่นคง มือมั่นน่ะ

ระวังมันจะเป็น อัตตามานะจัด เพราะฉะนั้น เรามีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี เป็นทั้งหมด ทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์นี่ มันเข้าใจเพื่อน แล้วก็มีเจโตปริยญาณ ถ้ามีสิ่งที่ บริสุทธิ์ บริบูรณ์หมด เป็นเจโตปริยญาณ รู้ว่า เพื่อนคนนี้คบคุ้นกันไป คนนี้มีภูมิธรรมเท่าไหร่ มีดีส่วนนี้มีจริตดี อันๆนี้ มีกุศลด้านนี้ นี้เป็นกุศลของคนนี้ อันนี้เป็นอกุศล เราก็ เข้าใจเขา และเราก็ไม่ถือสา หรือว่าเราก็ อนุโลม กับคนนี้ อกุศลของเขาอันนี้ มีอันนี้ ก็ไม่เป็นไร เราจะช่วยกันได้เท่าไหร่ มีวรยุทธ มีศิลปวิทยา มีฝีมือ ในการที่จะช่วยแก้เขา ขนาดนี้ ก็ช่วยกันไป แก้ไม่ได้ก็หาวิธีอื่น ส่วนความดี อันดีก็ เคารพกันได้ เขามีดี อันนี้ อันนี้มีดีทางธรรม อันนี้มีดีทางโลก ดี ส่วนนั้น ส่วนนี้ เจโตปริยญาณก็คือ การรู้ผู้อื่นอย่างนี้ รู้ภูมิธรรมผู้อื่น รู้จิตใจผู้อื่น รู้จริตผู้อื่น รู้กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ของผู้อื่น นี่ก็คือภูมิธรรม ญาณที่ จะฉลาดเฉลียวขึ้นจริง เมื่อรู้แล้ว ก็รับกันได้ สมานกันได้ รับลูกกันเป็น ช่วยเหลือเฟือฟาย อนุเคราะห์ กันเป็น มันก็จะมีประโยชน์ แก่กันและกันมากขึ้น นี่ ใครจะเป็นจะตาย อย่างไร ไม่รู้ ฉันตีทิ้ง ฉันวาง ได้หมด ฉันไม่ถือสาคุณ และคุณ จะไปรู้รายละเอียด แยกย่อย ได้อย่างไร คุณไม่ได้ศึกษา คุณไม่ได้วิจัย คุณไม่ได้ฝึกฝน คุณไม่ได้รู้จักอ่าน และนอกจากอ่านแล้ว รู้จักช่วยกัน รู้จักให้ รู้จักรับ การอยู่ด้วยกัน มีทั้งการให้ และการรับ ให้ข้าวให้น้ำกิน ให้ความช่วยเหลือ ด้านสรีระ ด้านความเป็นอยู่ ก็ไอ้แค่นั้น ภูมิธรรมละ ก็มีการให้การรับ ทางภูมิธรรมกันด้วย เป็นทายก เป็นปฏิคาหก ในเรื่องของ ภูมิธรรม กันอีก แม้เขาจะไม่ศรัทธาเรา เราก็สามารถให้เขาได้นะ ถ้าเรามีวรยุทธ ถ้าเราเอง เรามี ศิลปวิทยา แม้แต่ศัตรู เราก็สามารถที่จะให้ศัตรู ได้รับภูมิธรรม ได้เหมือนกัน ถ้ามีวรยุทธ ถ้ามีฝีมือ อาตมานี่ยังพยายาม ฝึกตัวเอง ให้มีฝีมือ ที่จะให้วรยุทธ ให้ภูมิธรรม แก่ ... บ้าง แต่ยังไม่มีฝีมือเท่าไหร่ ... แต่ก็ไม่ได้คิดว่า จะทำเป็น ตนเองเป็นครู เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่เหนือชั้นกว่าเขา เรามีอะไรก็แบ่ง อาตมาเอาสมมตินะ

สมมติว่าท่าน...นี่ อาจจะมีขนมก้อนใหญ่เลยนะ อาตมามีขนม ก้อนเล็ก อาตมาก็แบ่งขนมก้อนเล็ก ให้ท่าน... กินบ้าง ท่าน...อาจจะไม่มีขนม อย่างที่อาตมามี แม้จะก้อนเล็กกว่าก็ตาม สมมติว่า อย่างนี้ อาตมาก็แบ่ง ให้บ้าง ท่านจะรับบ้างไหมละ ท่านไม่มีนะ ขนมอย่างนี้ ขนมอย่างนี้ ท่านไม่มีนะ แม้ อาตมา จะมีก้อนเล็ก ก็ตาม แต่ท่านไม่มีเลย ก้อนนี้ ท่านมีก้อนใหญ่ โอโฮ ก็ อย่างอื่นหมด อย่างนี้ ท่านไม่มีนะ อาตมาก็แบ่งให้บ้าง คล้ายๆอย่างนี้ สมมติอย่างนี้ ท่าน... ก็มีก้อนใหญ่นะ อาตมามี ก้อนเล็ก ก็ตาม แต่ท่านไม่มี อย่างนี้นะ อาตมาก็ใจดี แบ่งให้ เป็นต้น ...

... ฯลฯ ...

ที่จริงใจนี่อาตมาว่า อาตมาไม่ได้โกรธได้ เกลียดใครง่ายๆ เพราะอาตมารู้ความโกรธมันเป็นทุกข์ ความชัง ความไม่ชอบ มันเป็นทุกข์ ไม่ชอบนี่น่ะ มันไม่ดีก็คือไม่ดี ฟังดีๆ ถึงไม่ดีเราก็รู้ว่าไม่ดีซะ เราก็อย่า ไปมีอาการ คุณอ่านอาการ ลิงคะ นิมิต ของความไม่ชอบใจในใจของเราให้ดี แล้วล้าง ให้มันสะอาด ให้มันอย่าไปชังใคร อย่าไปไม่ชอบอะไรให้ได้ โอโฮ เป็นสุข จะมีมิตรสหายเยอะน่ะ เราก็จะสัมพันธ์ได้ จริงๆ จะสัมพันธ์ง่าย เพราะเรา ไม่มีตัวไม่ชอบ ไม่มีในใจเรา แล้วมันก็สัมพันธ์ ได้ง่าย ใช่มั้ย นี่มันก็ ความหมายง่ายๆ ตื้นๆ คุณก็รู้ อยู่แล้ว ถ้ามันไม่มีจริงๆน่ะ มันเป็นจริง สัมพันธ์ง่าย แล้วจะสัมพันธ์ แค่ไหน เราก็ดูที่กิริยาของเขา จะรับเอา ใจเราไม่มีแล้ว ไอ้ความไม่ชอบ แต่เราจะสัมพันธ์ อยู่ที่กิริยา กาย วาจา เท่านั้น

ทีนี้กิริยา กาย วาจาเราจะสังขาร ปรุงออกมาอย่างไร ปรุงตัดไว้ เขาก็ไม่สัมพันธ์เรา ถ้าไม่ปรุงตัด ปรุงสัมพันธ์ เขาก็มาสัมพันธ์กับเรา เท่านั้นเอง ถ้าคนนั้น ก็อยากสัมพันธ์อยู่แล้ว ก็ง่ายขึ้น แต่ถ้าคนนั้น กำลังเกลียดเรา ก็แน่นอนละ มันก็ไม่สัมพันธ์ง่ายแหละ ใช่มั้ย ทั้งๆที่เราจะมีกาย วาจา เป็นสะพาน สัมพันธ์ แต่เขาเอง เขาไม่สัมพันธ์ มันก็ไม่สัมพันธ์แหละน่ะ แต่ใจเรานั้น ไม่มีปัญหาแล้ว เราจะสัมพันธ์ เมื่อไหร่ จะทอดสะพาน เมื่อไหร่ ก็ทอดได้ ก็ใจเรา มันไม่มี แต่ถ้าใจมันมี แม้จะทอด สะพานทางกาย ทอดสะพานทางวาจา ใจ สะพานบึกบัก สะพานมันไม่ทอดอยู่นั่นแหละ ทอดมันไม่ไป ถ้าใจน่ะ ใจมันเป็น ประธานของสิ่งทั้งปวง

ถ้าใจมันไม่เป็นแล้ว ไม่มีความชัง ไม่มีความไม่ชอบแล้ว โอ ทอดสะพานง่าย ฟังภาษาเหมือนหยาบ แต่ทอดสะพานสัมพันธ์นะ ไม่ใช่ทอดสะพานในเรื่องกาม ทอดสะพานในเรื่อง มิตรสหาย ในเรื่อง ความสัมพันธ์ อันดี ความเสมอสมานกัน

เอาละวันนี้ ก็หมดเวลาแล้ว ก็ขอให้พวกรา ได้ไปไตร่ตรอง ไปตรวจตรา ในเรื่องอัตตามานะ ในเชิงที่ อาตมา พยายามวิเคราะห์นี่ มันละเอียดซับซ้อน หลายชั้น หลายเชิง เพราะฉะนั้น ไปตรวจตัวเองเถอะ มันยังมีอยู่ ได้บ้าง บางคน ก็ยังมีจริตแบบนี้จริงๆนะ ยิ่งเป็นตัวเอง ตัวตนอะไรมาก ตัดประตูคนอื่น แล้วมันโดดเดี่ยว แล้วมันถือดี ถือตัวจัด อัตตาสูง ไม่ดีน่ะ พยายามตรวจตรา แล้วก็แก้ไข ปรับปรุงขึ้นมา มีน้อย มีมากอะไร ก็รู้ตัวเองบ้าง แล้วก็ปรับปรุง ให้มันดีน่ะ


ถอดโดย กนกวรรณ-ค่ำแล้ว ๒ พ.ค.๒๕๓๗
ตรวจทาน ๑ โดย สม.ปราณี ๓ พ.ค.๒๕๓๗
พิมพ์โดย ใจขวัญ ๑๐ พ.ค.๒๕๓๗
ตรวจทาน ๒ โดย โครงงานถอดเท็ป ๑๒ พ.ค.๒๕๓๗

FILE:4010B.TAP
ได้ตัดข้อความบางส่วนออก เพื่อความเหมาะสมในการอ่านบนเว็บไซต์