ความสุดโต่งสองทางอย่างเจาะลึก
โดย พ่อท่าน สมณะโพธิรักษ์
เมื่อ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๓๔ (อาสาฬหบูชา)
ณ สันติอโศก

วันนี้เป็นวัน อาสาฬหบูชาพรุ่งนี้ก็เป็นวันเข้าพรรษา อาสาฬหบูชา นี่แปลว่า ๘ วันบูชานี่ วันเพ็ญ เดือน ๘ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ วันเพ็ญเดือน ๘ คือวันอาสาฬหบูชา

เมืองไทยเราไปมองประวัติของพระพุทธเจ้า ไปมองค้นตรวจดูแล้ว ก็เห็นว่า วันนี้ก็เป็นวันที่มีอะไร พิเศษๆ วันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ นี่ ไปตรวจดูว่าตามประวัติ มีอะไรเกิดบ้าง ก็มองเห็นว่า เป็นวันที่ พระรัตนตรัย เกิดครบในวันนี้ เป็นวันอุบัติพระรัตนตรัย คือ พระพุทธเจ้า พอตรัสรู้มาแล้ว และ ก็ไป ประกาศตัวว่า เป็นพระพระพุทธเจ้าต่อหน้า ถือว่าประกาศ วันอย่างเป็นทางการเลย ต่อหน้า พระปัญจวัคคีย์ ต่อหน้านักบวช ปัญจวัคคีย์ก็เป็นนักบวช ซึ่งนักบวชตอนนั้นยังเป็น ผู้แสวงหา ปัญจวัคคีย์นี่ แต่ก่อนก็แสวงหา เสร็จแล้วก็มาศรัทธาเลื่อมใส ในพระพุทธเจ้า ตั้งแต่ยังไม่ตรัสรู้ พอพระพุทธเจ้าปฏิบัติ ผิดแนวที่ตัวเองยึดถือ ก็เลยไม่ชอบใจ ก็เลยแยกไป อย่างที่เรารู้ประวัติอยู่ เสร็จแล้วพระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้ว ก็เลยนึกถึงว่า เออ ปัญจวัคคีย์นี่ มีภูมิธรรม มีอินทรีย์พละ พอที่จะ เรียนรู้ได้ จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้านี่คงจะได้ เพราะว่า ธรรมะ ของพระพุทธเจ้านี่ยาก ไม่ใช่เรื่อง ง่าย เรื่องลึกซึ้ง ฟังดีๆน่ะ ตรงคำว่า ลึกซึ้ง ยาก นี่นะ ท่านต้อง เลือกคนที่มีภูมิ ว่าจะรับได้ไหม คนมันมีเยอะแยะไป ท่านจะไปเทศน์ที่ไหน ถ้าเผื่อว่า มันง่าย ท่านเทศน์ที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นที่จะต้อง เลือกคน ท่านถึงได้ตรวจสอบ ดูว่าจะไปโปรดใครดี อย่างที่เรารู้ในประวัติ ก็ระลึกถึงปัญจวัคคีย์ว่า อ้อ... ปัญจวัคคีย์ ๕ รูปนี่มีภูมิธรรม คงจะรับได้

มีภูมิธรรม นี่ หมายความว่า พระพุทธเจ้าไม่ได้มีญาณน้อยๆนะ มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ มีอนาคตังสญาณ มีทศพลญาณ มีญาณตั้งเยอะแยะ ท่านตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้านี่ มีญาณ ตั้งมากมาย จึงจะรู้ว่า คำว่าภูมินี่ ไม่ใช่ย่อยๆ จะต้องรู้บุคคล รู้ว่ามีภูมิธรรม มีความเป็นไปได้ ขนาดไหน มีเบื้องหลังเบื้องหน้า มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่ก็หมายความว่า ระลึกได้ด้วยนะว่า ชาตินั้น ชาตินี้ จะมีอย่างโน้นอย่างนี้ ซึ่งท่านก็เคยระลึกให้ ๕ รูป ในประวัติก็มีระลึกให้ว่า ปางก่อน ตั้งแต่ชาติก่อนๆ มานี่ ได้บำเพ็ญกันมาขนาดไหน ท่านก็รู้แล้ว ท่านจึงได้ไปโปรด ภูมิธรรมชั้นสูงนะ ภูมิธรรม ที่จะฟังธรรมของพระพุทธเจ้าปุ๊บ บรรลุเลย อย่างพระโกณฑัญญะ พอไปโปรด เทศน์กัณฑ์ สองกัณฑ์ เท่านั้นแหละ บรรลุเลย คิดดูซิว่า จะมีภูมิธรรมขนาดไหน ฟังเทศน์เท่านั้นน่ะ เกิดดวงตา เห็นญาณ เข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าได้

การเข้าใจธรรมะของพระพุทธเจ้าที่ทวนกระแสโลกียะนี่นะ มันไม่ใช่เรื่องเล่นๆนาคุณ แต่พวกเรานี่ เห็นมันเป็นธรรมดา เพราะว่าเรามีพุทธศาสนา อยู่นี่มาตั้งพันสองพันปีแล้วในเมืองไทย แล้วก็ถือว่า เป็นเมืองพุทธ และมีคำสอนต่างๆ นานา มีภาษาคำสอนของพระพุทธเจ้าฟังมามากมาย อะไร ต่ออะไรก็ฟังมา แล้ว เราก็นึกว่า เรารู้มรรคองค์แปด เราก็รู้ ก็เคยได้ยินมา นิพพาน โอ๊ย ได้ยินมาฉ่ำ แฉะ นิพพาน เข้าใจ นิพพานก็คือนิพพาน นิพพานก็แปลว่าพระอรหันต์ตาย นิพพาน เป็นผู้บรรลุๆๆ ได้ยินคำว่าบรรลุคืออะไร บรรลุสุดยอดเลยบรรลุนี่ เหาะเหิน เดินน้ำดำดินได้ด้วย ถ้าบรรลุแล้วนี่ เอากระบอง มาตีกระบาลก็ไม่เจ็บน่ะ บรรลุแล้วนี่ หมดทุกข์ไม่มีทุกข์ ไม่มีร้อนอะไร ใครจะทำยังไง ก็ไม่ทุกข์ ไม่ร้อนอะไร เอาไปปลงหม้อต้มน้ำเดือดๆ ก็ไม่ทุกข์ เพราะท่านบรรลุแล้ว ท่านเป็น พระอรหันต์ แล้วเอาไปคั่ว เอาไปแกงก็ไม่เป็นไร ท่านไม่ทุกข์แล้ว คือมันเข้าใจไม่ได้หรอก ฟังไป ก็ฟังเผินๆ ท่านนิพพานพ้นทุกข์ ท่านสุดยอด ท่านเก่ง ท่านเยี่ยม ท่านยอด อะไรต่างๆนานา สารพัด ที่จะเดาอะไรยังงี้เป็นต้น เราก็ได้น่ะ ได้ฟัง เพราะฉะนั้น เราไม่เอาหรอก

การเป็นพระอรหันต์หลายๆอย่าง บางทีเราก็นึกไม่ถึง ที่ไม่เอาก็เพราะ โอ้ย... เราเป็นไปไม่ได้หรอก มันยอดเยี่ยม เป็นไปไม่ได้หรอก วิเศษ วิเสโส บูชาเคารพนับถือวิเศษ ของพุทธนี่ ถ้าบรรลุอรหันต์นี่ วิเศษจริงๆ ยอมรับ แต่ยอมรับนับถือนะ แต่ไม่เอา ไม่ไหว เอาไม่ได้ ขออยู่กันไปโลกๆ ไปธรรมดา นี่แหละ บูชาเคารพกราบไหว้ อยากจะได้สมโลภอะไรๆ อยากจะได้สมโกรธอะไร อยากจะได้ลาภ ได้ยศ ได้สรรเสริญ แล้วก็อยากจะได้โลกียสุขอะไร ก็ไปบนบาน ศาลกล่าว เอาศาสนานี่แหละช่วย นี่แหละศาสนาพุทธ ช่วยด้วย เพราะว่าศาสนาพุทธนี่เยี่ยมยอด บันดาลอะไรก็ได้ ยิ่งกว่าศาสนา อื่นๆน่ะ ศาสนาอื่นๆ เขาก็บันดาลได้ไม่เก่งเท่า เพราะศาสนานี้เรานับถือนี่ เรายกย่องว่ายอดเยี่ยม บันดาลได้ยิ่งกว่า ศาสนาอื่นแหละ ศาสนาอื่นจะมาสู้ศาสนาพุทธได้ยังไง ก็เรานับถืออยู่นี่ มันต้อง เยี่ยมยอดกว่าศาสนาอื่นน่ะ เพราะฉะนั้น ศาสนาอื่นเขาไปบนบานศาลกล่าวให้พระเจ้าช่วย ให้คนนั้น คนนี้ช่วย โอ้ย... พระพุทธเจ้าเรา ช่วยได้เก่งกว่าแน่ ก็ไปบนบานพระพุทธเจ้านี่ บนบาน พระพุทธรูป บนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ของศาสนาจะทำกันขึ้นมาแบบไหน ก็ยอดกว่า บนบานเอา ทีนี้ ศาสนาอื่นๆ ที่ว่าแน่ ของเรามีครบทุกอย่างแน่กว่า ให้พระเจ้าช่วยก็ช่วยได้ พระเจ้าเราไม่มี ก็เอา พระพุทธเจ้านั่นแหละ เราก็คิดเป็น พระเจ้าของเราช่วยได้ บันดาลอะไรได้

ก็บันดลบันดาลกันมา จนกระทั่งมาถึงวันนี้ ก็ยังบูชากราบไหว้พระพุทธรูป บูชากราบไหว้ พระพุทธเจ้า ให้บันดลบันดาลอะไรอยู่ทั้งนั้นน่ะ ก็กลายเป็นศาสนาอย่างนี้ จะให้ปฏิบัติธรรมของ พระพุทธเจ้า ก็ปฏิบัติอยู่ อยากได้ลาภ ได้สมลาภ ไปกราบพระพุทธรูป กราบพระพุทธเจ้า ไปวัดไปวา เอาธูปเทียน ไปบูชา ไปทำบุญทำทาน ไปเซ่นไหว้อะไรต่ออะไรอยู่น่ะ ไม่เซ่นไม่ไหว้ได้ไง เหมือนเซ่น ไหว้ผี ไหว้เทวดาเหมือนกัน เซ่นไหว้อยู่น่ะ ไม่ได้ปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าอยู่เหมือนกัน ปฏิบัติ วันพระ วันเจ้า บางทีขลังๆ ก็ไปเซ่น หรือว่าวันสำคัญๆ วันอาสาฬหบูชา นี่ก็ไปวัด ไปเวียนเทียน ไปบนบานศาลกล่าว อธิษฐาน เจ้าประคู้ณ...จะเข้าพรรษาแล้ว ขอให้ลูกร่ำลูกรวย ซักที มันไม่ร่ำ ไม่รวยโน่นนี่ไป ขึ้นยศขึ้นศักดิ์อะไรก็ไม่รู้ บูชากันอยู่ ทำไมไม่ปฏิบัติธรรม ของพระพุทธเจ้า ปฏิบัติ เขาก็ว่าเขาปฏิบัติ เขาก็ว่าเขาเคารพนับถือ ใครอย่าแตะต้องเชียวนะ ศาสนาพุทธนี่ เอาตายเลย อย่ามาแตะ อย่ามาดูถูกดูแคลน ไม่ได้เชียวนา เขาก็ศรัทธาเลื่อมใส เขาก็ปฏิบัติ แต่ก็ปฏิบัติไป อย่างที่อาตมาเล่า อาตมากล่าวนั่นแหละ เลอะเทอะ เพราะฉะนั้น ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร

พระพุทธเจ้าเกิดสาม เกิดพระไตรรัตน์ เกิดพระรัตนตรัย ในวันอาสาฬหบูชา คือพระพุทธเจ้าอุบัติ พระพุทธเจ้าไปประกาศต่อปัญจวัคคีย์ ว่า ตัวเองสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว บรรลุพระอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะมาโปรดพวกเธอ มาบอกตัวเองว่าเป็นพระพุทธเจ้า มาแสดงว่า พระพุทธเจ้าอุบัติ ปรากฏตัวทั้งรูปทั้งนาม ยืนยันยืนหยัดว่า ฉันเป็นพระพุทธเเจ้ากับเธอ เดี๋ยวนี้ละ เธอต้องรับฉันนะ ฉันจะเป็นรัตนะองค์ที่หนึ่งของเธอละ ประกาศกับประชาชน ประกาศกับผู้คน บุคคล มีคณะน้อยเดียว ๕ คน จนทั้งปัญจวัคคีย์ ๕ รูปยอมรับ พอยอมรับ ก็ท่านก็ลงมือเทศน์ จึงเกิด พระธรรมคำสอนของศาสนาพุทธกัณฑ์แรก เป็นพระธรรมที่เทศน์กัณฑ์แรก คือ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นสูตรที่แจ้งชัด เป็นสูตรที่บอกถึงตัวทฤษฎีหลัก ทฤษฎีหลักเลย ของพระพุทธเจ้า เป็นสูตรที่ยิ่งใหญ่มาก บอกถึงว่า คนเราอยู่ในโลกนี้ มันติดอยู่สองอย่าง เท่านั้นแหละ ติดกาม กับติดอัตตา เพราะฉะนั้น ถ้ายังมี กาม มี อัตตา ยังไม่สูญ ยังไม่ลงตัว ยังไม่กลาง ยังไม่เข้าใจกาม ยังไม่เข้าใจอัตตา จนกระทั่ง อยู่เหนือกาม อยู่เหนืออัตตา แล้วก็เป็นทุกข์ อยู่นั่นแหละ ธรรมที่ชื่อ ธัมมจักกัปปวัตน ก็คือว่า ธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านเทศน์ออกไปแล้วนี่ ตัวสูตรนี้แหละ จะเป็นสูตรที่เหมือนกับ จักรกล สตาร์ทเครื่องของศาสนาพุทธ จักกัปปวัตตน ก็หมายความว่า เดินบท เกิดกลไกติดเครื่องของพุทธ เริ่มต้นสตาร์ตติดเครื่องเลย ทันที ธรรมะของ พระพุทธเจ้าติดเครื่องเลย เดินบทอยู่เดี๋ยวนี้ ก็ยังมีธัมมจักกัปปวัตตน ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ยังเดินบทบาทอยู่น่ะ เดี๋ยวนี้ยังเดินอยู่

เหมือนกับโลกนี่ พอแตก สมมุติว่าโลกนี้ ไม่ได้เกิดเอง หรือแตก หรือเกิดเองก็ได้ โลกนี่เกิด ออกมา ลูกหนึ่ง แตกออกมาจากดวงพระอาทิตย์ หรือเกิดเอง ตัวเกิดเอง มันเกิดได้ ๒ อย่าง โลกหรือดาวดวง ดาวในจักรวาล เกิดได้สองอย่าง รวมตัวเป็นดาวใหญ่ สะสม โมเลกุลต่างๆ เข้ามาจนกระทั่ง กลายเป็น ดวงดาวเอง จนกระทั่งกลายเป็น ดวงดาวสมบูรณ์ ติดเครื่องขึ้นมา เป็นดวงใดดวงหนึ่ง อยู่ในจักรวาล ก็เหมือนกันกับศาสนาพุทธ ติดเครื่องเกิดมา ในโลก ของมนุษยชาตินี่ เหมือนดาวดวง ใดดวงหนึ่ง นี่ ได้ติดเครื่องเป็นอิสระของตัวเอง เป็นเรื่องของ ตัวเองขึ้นมา เป็นรูป เป็นอันหนึ่ง อยู่ในวงโคจรของจักรวาล ศาสนาพระพุทธเจ้า ก็ติดเครื่องขึ้นมา เป็นพฤติกรรมอันหนึ่ง เป็นกลไก อันหนึ่ง เป็นดาวดวงหนึ่ง เป็น กาแลกซี่ๆ หนึ่งๆ เป็นจักรๆๆ นี่แหละ จักกัปปวัตตน นี่แหละ เป็นจักร ที่ดำเนินไปอันหนึ่ง ของพระพุทธเจ้า จักรนั้น ก็คือ คำสอนในจักกัปปวัตตนสูตรนี่ ซึ่งบอกถึงที่เรา เรียกกันอยู่ ในภาษาว่า สุดโต่งไปสองด้าน สองขั้ว คำว่าสุดโต่งนี่ ฟังแล้ว... มันตื้นไปหมด สุดโต่ง ก็คือ คนไหนที่หลงกาม ติดกามจัดที่สุด ฝั่งหนึ่ง โต่งไปฝั่งหนึ่ง คนไหนที่ติดอัตตาไปอีกฝั่งหนึ่ง เป็นอัตตา เป็นการทรมานตน ตนหรือ อัตตาตน ทุกข์นะ ที่จริงทุกข์ตนมีทุกข์นั่นเอง ตนลำบาก บนกิลมถะ ก็คือลำบากลำบน ตน ทรมานตนเอง อยู่ฝั่งหนึ่ง อีกอันหนึ่ง มีกามอยู่อีกฝั่งหนึ่ง โน่นแน่ะ หยาบๆ ตั้งแต่ เบื้องต้นนั่นแหละ ใครมีกาม จนกระทั่ง หยำเหยอะ เลอะเทอะ คนนั้น ก็เขาก็บอก ว่า เออ... คนนี่แหละ ยังสุดโต่ง คำว่าสุดโต่งนี่ เป็นคำเสียๆ ทุกวันนี้ ก็ฟังเออ... เราเป็น ลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่กาม ไม่สุดโต่งยังงั้น เอ้ย ยังไม่เป็นไรหรอก สุดโต่งโน่นท่านว่า อัตตกิลมถา ไปทรมานตนโน่น ไปทำให้ตัว เองทรมานตน จนเจ็บป่วยเจ็บปวดอะไรหนักหนา สากรรจ์โน่น ยังโน้นโน่นแน่ะ ถึงจะถือว่า สุดโต่ง เราก็พอตัวของเราแล้ว เรามัชฌิมาแล้ว เราพอดีแล้ว เรามีกามขนาดนี้ ไม่โต่งหรอก เรามีอัตตามานะ ขนาดนี้ ไม่โต่งหรอก แล้วก็ท่านสอน สุดโต่ง นั่นต่างหากกันว่า นี่มัชฌิมา นี่ไม่โต่งหรอก สมตัวฐานะเรานี่ สมตัว ได้ขนาดนี้นี่ เราได้ แล้วละ ปานกลาง มัชฌิมา สมฐานะ

ความจริงแล้วนี่ ยังมีกามเหลือเศษอยู่เท่าไหร่ ก็โต่งอยู่เท่านั้นแหละ จุดที่ลงกลางที่สุดคือสูญ ถ้ายังมีกาม ยังไม่สูญกามสนิท มันก็ยังโต่ง มันก็ยังมีอยู่อีกขั้วหนึ่ง ฝั่งหนึ่ง ยังมีอัตตา ถืออัตตา ยังเป็นอัตตา แม้แต่เป็นพระอนาคามีก็ยังโต่งอยู่ ยังไม่เป็นพระอรหันต์ ก็ยังโต่งอยู่ ยังเป็นอัตตา หนึ่งอยู่ มีมานะ เป็นอัตตา มีอุทธัจจะ เป็นอัตตา หรือแม้แต่มีวิชชา พ้นอวิชชาแล้ว แต่ยังติดยึดอยู่ เป็นวิชชา เช่น พระโพธิสัตว์ เป็นต้น

พระโพธิสัตว์นี่ ยังมีวิชชาเป็นอัตตา อาศัยวิชชานี้ยังอยู่ในสังสารวัฏ ยังไม่ดับสังสารวัฏ ยังมีทิศทาง ที่จะดำเนินต่อ พระโพธิสัตว์ยังไม่สูญ ยังขอเกิดอยู่ ฟังดีๆ อาตมาจะขยายความ เดี๋ยวจะได้ค่อยๆ เท้าความจากลึกๆ นี่ไป พูดเกลี่ยไป จะให้เห็นว่า ทุกวันนี้ นี่เราปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้า นี่แหละ แล้วก็เรียนมา ฟังมาจาก ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สุดโต่งสองฝั่ง กาม หรืออัตตานี่ ก็ฟังมามากมาย แต่วันนี้ ฟังดูอีกนะ ฟังดีๆ แล้วจะได้รู้ว่าเราเองนี่ ยังประมาท เป็นอยู่กันทุกวันนี้ ยังไม่เพิ่มฐาน ยังประมาท ยังมันพอสบายนะ ทุกวันนี้ ว่ากันจริงๆ ในภพ ในภูมิ พวกเรานี่ ในหมู่ฝูงพวกเรา ในแวดวง ของพวกเรานี่นา พุทธบริษัทพวกเรานี่ มันสบายพอสมควรน่ะ ทุกวันนี้ มีสัมมาอาชีวะ มีสัมมากัมมันตะ สัมมาวาจา สัมมาสังกัปปะ พอสมควร แต่ดีกว่านี้ยังมีอีก ยังโต่งๆอยู่ พวกเรา ก็ไม่ใช่ ธรรมดา ยังโต่งไปไปในอัตตามานะ ยังโต่งไปในกามอยู่พอสมควร ไอ้ที่ลดมาได้ นี่ มันไโต่ง ไปไกลสุดกู่น่ะ มันก็ลดละมาได้แล้วละ เขยิบเข้ามาแล้ว แต่มันก็ยังโต่ง อยู่นั่นแหนะ มันยังไม่สูญ พูดง่ายๆ ว่ามันยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์ เพราะฉะนั้น ยังไม่บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็ยังสุดโต่ง อยู่สองขั้ว อยู่ทั้งนั้นแหนะ มันจะขั้วใกล้ขั้วไกล อะไรก็ตามใจเถอะ นี่ ต้องเข้าใจให้ได้อย่างนี้ ถ้าไม่เช่นนั้นแล้วละก็ ฟังสุดโต่ง มันก็โต่งอยู่ยังงั้น ประมาท เพราะฉะนั้น คนที่ยังไม่ได้เป็นโสดาบัน ด้วยซ้ำ ในสังคมก็เขาไม่ได้สุดโต่งอะไรหรอก

ถ้าพวกเขาบอกว่า มันสุดโต่งจริงๆ เขายอมรับน่ะ แต่อัตตกิลมถานุโยค นี่ยังไม่ค่อยเข้าใจ ถ้าบอกว่า กามเขามาสุดโต่งในกามนี่ เอาละ พวกซาดีสม์ ในกาม ผู้ที่กามจัดๆ จ้านๆ เขาก็รับของเขา ก็เท่านั้น เขาบอก ก็ช่างปะไร เราไม่ได้ปฏิบัติธรรม เราก็จะอยู่อย่างโลกีย์ ของเรานี่แหละ ถ้าเขารู้ตัว เขาก็จะ ว่ายังงั้น บางคนเขาก็มี... หนักหนาสากรรจ์ นี่เขาก็ไม่ เขาก็สมฐานะของเขา เขาก็อยู่ในขอบเขต มีเงินที่จะไปบำเรอตนด้วยกาม ยังไงก็เงิน ของเขา นะ ฐานะของเขาหนะ เขาไม่ได้ไปปล้นไปจี้ใครนี่ เขาก็ทำมาหากินของเขา สุจริต โลภโมโทสัน มาตามที่เขาหาได้ แล้วเขาก็เอามาบำเรอกามตัวเองไป เขาไม่ได้ไปทำทุจริตอกุศล อะไรหรอก อย่างนี้ เป็นต้น เขาก็อยู่ของเขาอย่างนั้น บำเรอไป สั่งสม กิเลสกาม กิเลสราคะอะไรไป อัตตามานะอะไรไป ก็ทำตัวเองอยู่ยังงั้นแหละนะ แต่ไปไม่รอด

นี่ อาตมาขยายความหน่อยก่อน เรื่องกาม กะเรื่องสุดโต่ง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เสร็จแล้ว ก็เกิด พระสงฆ์ เกิดพระโกณฑัญญะ ฟังแล้วก็ฟัง ท่าน เทศน์ถึงเรื่องสุดโต่งทั้งสองอย่าง แล้วท่าน ก็บอกวิธีที่จะลดละ ท่านตรัสรู้อริยสัจ ๔ วิธีที่จะลดละ ก็คือ มรรคองค์แปด เป็นทางปฏิบัติอันเอก ที่จะหลุดพ้น ท่านก็บรรยาย เหมือนอย่างอาตมาพยายามบรรยายกะพวกเราอยู่นี่ แต่พวกเรา อาตมา บรรยายตั้งไม่รู้กี่ปีแล้ว ก็ยังมาพูดซ้ำซาก ยังอธิบาย ยังบรรยายต่อไปอีก นี่ของท่าน บรรยายปุ๊บ พระโกณฑัญญะ ฟังปั๊บ โอ๋ย สว่างแจ้ง รู้ทางๆ ปฏิบัติภูมิธรรมขึ้น ถึงที่ เป็นพระอริยเจ้า เสร็จแล้ว ก็พอเทศน์ อีกกัณฑ์เดียว เป็นพระอรหันต์เลย ไม่ได้รอช้าเลย พอฟังจักกัปปวัตตน เทศน์ อนัตตลักขณ สูตรอีกสูตรหนึ่ง เป็นพระอรหันต์เลย พอเทศน์ธัมมจักรกัปปวัตนสูตร ก็บวชแล้ว พระโกณฑัญญะ ขอปวารณาตน เป็นลูกศิษย์ บอกว่าชัดแจ้งแน่นอน เชื่อแล้วว่า สำเร็จอนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ เพราะฉะนั้น ขอเป็นสาวก ขอเป็นผู้ที่จะดำเนินทิศทาง ตามความรู้ที่สอนมานี่ เชื่อแน่ แล้วว่าเป็นทางรอด เป็นทางหลุดพ้น เป็นทฤษฎีเอกจริงๆ ที่จริงโดยจริงก็โดย บุญบารมีของ พระพุทธเจ้า จะต้องมีองค์ประกอบพร้อม มีผู้ที่จะมาเป็นสาวก ที่จะต้องดำเนินสภาพอย่างนั้น เกิดเป็นเรื่องราว เกิดเป็นของจริง มีพร้อมพรักแล้ว ท่านก็มีพร้อมหมดแล้ว มีอะไรที่จะเกิด มีอะไร ต่ออะไร ที่จะพร้อมจะพรัก เหมือนคนเรา จะทำอะไรนี่ มีบุญ จะมีพร้อมไปหมด มีทุนรอน มีวัตถุ กับมีผู้ช่วยเหลือ มีองค์ประกอบอุปัฏฐาก มีไอ้โน่น ไอ้นี่ มีสถานที่ มีบุคคล มีอะไรต่ออะไรต่างๆ นานา สมบูรณ์พร้อม ในคุณลักษณะบุญบารมีขนาดพระพุทธเจ้านี่ ต้องมีอะไรพร้อม ที่จะดำเนิน ตัวสภาพขึ้นมา เป็นไปได้ เท่าบุญบารมีของพระพุทธเจ้า ยังงี้ เป็นต้น

อาตมาก็มีบุญบารมีเท่าอาตมา มีบุญบารมีก็เท่าๆของอาตมานี่แหละ ทำได้อีกขลุกๆ ขลุ่ยๆ ไปตามเรื่อง ตามราว ของพระพุทธเจ้านี่พร้อมพรักเลย เพราะฉะนั้น มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันไม่ใช่ เรื่องสมมติ มันเป็นเรื่องจริง มันเป็นเรื่องสัจจะ มีทั้งทรัพย์ที่เป็นอริยทรัพย์ ที่มีองค์ประกอบ ทั้งวัตถุทรัพย์ มีทั้งตัวตน บุคคล เราเขา ที่มีบริวาร มีสาวก มีทั้งมหาสาวก ๘๐ อะไร นี่ มันก็เป็นเรื่อง ของพระพุทธเจ้า ที่ต้องมี ท่านสั่งสมไว้นานับชาติ กว่าจะได้อย่างนั้นครบครัน แล้ว กว่าจะได้ บุญบารมีขนาดนั้น ก็เป็นเรื่องจริง แล้วแต่ละคนๆ ก็พากเพียร โกณฑัญญะก็พากเพียรมา ของโกณฑัญญะ แล้วก็มาประกอบกันมารวมกัน มาเป็นกลไก ที่จะเป็นส่วนแห่งคุณค่า เป็นส่วน เป็นองคาพยพ ของศาสนาพระพุทธเจ้า แล้วก็ได้ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์

พระพุทธเจ้าคือพระพุทธ พระธรรมคือคำสอน คำสอนที่มีทั้งบัญญัติ ภาษา แล้วก็มีทั้งคำสอน ที่พิสูจน์ เนื้อหาทันทีทันใด นอกจากพระพุทธเจ้า ท่านมีคุณธรรมของธรรมะที่เป็นอริยธรรม หรือ พุทธธรรม ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้องค์ที่หนึ่ง พอมาถ่ายทอด เป็นคำสอนภาษา พระโกณฑัญญะ ก็รับไปได้อริยคุณอันแรก เป็นโสดาบัน พอรับ พอเทศน์อีก ก็เป็นอริยคุณพระโสดา สกทาาคา อนาคา อรหันต์ เป็นอรหันต์ เป็นองค์ธรรมะของสงฆ์ มีองค์คุณ ๔ ก็คือ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์นี่ ขึ้นมาทันทีทันใด ขึ้นมาในเวลาสั้นๆ นั่น ในวันเดียวกันนั้น คือวันอาสาฬหบูชา เกิดธรรมะ ที่เป็นสภาวธรรมนะ ฟังธรรมะที่เทศน์เป็นภาษาด้วย เกิดภาษาธรรมะด้วย เกิดธัมมจัก กัปปวัตตนสูตร เกิดอนัตตลักขณสูตร เกิดภาษาธรรมะเกิด และสภาวะของคน ไม่ใช่พระพุทธ เจ้า องค์เดียวแล้ว มีองค์อื่น มีรูปอื่น มีพระโกณฑัญญะ แล้วก็มีอีก ๔ รูป เกิดอริยคุณ เกิดเป็นโสดาบัน อีก ในวันนั้นด้วย เป็นสาวกที่แท้หมดเลย เรียกว่า สาวกสังโฆ เพราะเป็น พระอริยะทั้ง ๕ รูป ในวันนั้น นี่สงฆ์สาวกแท้ เกิดเป็นคณะสงฆ์ขึ้นมา มีโสดาบัน ตั้ง ๔ รูป เป็นตัวตนเลยนะ เป็นตัว บุคคล ทุกวันนี้ถึงเรียกสงฆ์ ถึงต้องมีสี่ไงละ มีอรหันต์หนึ่งรูป มีโสดาอีก สี่รูป ในวันนั้นน่ะ ก็เลย มานับกันว่า ทั้งๆที่หลักสี่นี่ มีโสดา สกทา อนาคา อรหันต์ นี่เป็นคุณธรรม ๔ คือ สงฆ์ของ พระพุทธเจ้า ถ้าสงฆ์ของพระพุทธเจ้านี่นา เป็นโสดา ก็นับว่าสงฆ์ เป็นอริยสาวก หรือ เป็นสงฆ์ สาวกสังโฆ โสดาก็ใช่ ถ้าจะให้ครบคุณธรรมแล้วละก็ ต้อง คุณธรรมสี่องค์ องค์โสดา องค์สกทา องค์อนาคา องค์อรหันต์ นี่แหละสงฆ์ ชื่อว่าสงฆ์ของพระพุทธเจ้า ครบองค์สงฆ์ก็ครบ ๔ องค์ ดังนี้แหละ ครบองค์คุณโสดา ครบองค์คุณสกทา ครบองค์คุณอนาคา ครบองค์คุณอรหันต์ นี่แหละ สงฆ์ของพระพุทธเจ้า

เสร็จแล้ว เขาก็มาฟังเป็นภาษาบุคลาธิษฐาน สงฆ์ของพระพุทธเจ้าก็ คือผู้ที่เป็นสงฆ์ เป็นภิกษุเอา ๔ รูป มาเป็นสงฆ์ มันไม่มี ก็ต้องเอารูปธรรม เอา ๔ รูปมานี่ ครบองค์สงฆ์ จนกระทั่งทุกวันนี้ ก็ว่า ครบองค์สงฆ์ ก็คือสงฆ์ ๔ รูป พระพุทธเจ้าก็ยอมรับด้วยนะ ยอมรับด้วยสภาพที่ว่า ถ้าเราจะใช้เป็น รูปธรรม ก็เอา สงฆ์ ๔ รูป เพราะฉะนั้น จะทำกิจ ทำอะไร ตามวินัย เป็นหลักเกณฑ์ ที่จะใช้ ก็เอา สงฆ์ อย่างนั้น เพราะเราก็จะต้องให้เกียรติผู้ที่ผ่านการบวช ถือว่าเป็นสงฆ์ของพระพุทธเจ้า หรือว่า เป็นสงฆ์สมมติก็ตาม ถ้าจะใช้เป็นวินัย ก็ใช้สงฆ์อย่างนั้น ก็ด้วย เราก็ต้องเข้าใจว่า นี่เป็นสมมติ สัจจะ ที่รับในสภาพอย่างนี้ เราก็เข้าใจ ก็ใช้ ใช้ประโยชน์ในด้านวินัย ส่วนในด้าน ปรมัตถ์นั้น สงฆ์ของ พระพุทธเจ้า ๔ องค์ คือ โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ นี่ต้องเข้าใจให้รอบ เข้าใจ ให้ถ้วนนะ เราต้องรู้อะไรต่ออะไรให้ชัดเจน

ทีนี้ มาเจาะลึกคำสอนพระพุทธเจ้า ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่สอนเรื่อง สุดโต่งนี่ อาตมาจะเจาะลึก ในเรื่อง สุดโต่ง นี่ให้ฟัง มันไม่ใช่โต่งอย่างที่เข้าใจตื้นๆ แต่ก็ใช่ด้วย ที่ว่าโต่งไปจนกระทั่ง คนที่มัวเมา ในกาม หลงผิดในกาม จนกระทั่งเห็นกามเป็นกามสุขัลลิกะ เอายังนั้นถือว่าเป็นคนที่สุดโต่ง หลงกาม เป็นเรื่องสุข แล้วก็พูดไม่รู้เรื่อง เห็นว่าสวรรค์คืออย่างนั้น กว่าจะเข้าใจได้ว่า จะไปตก เป็นเหยื่อ ของกาม และก็หลงว่าเป็นความสุขนั้น มันไม่จริง ไม่ใช่อริยสัจ ความสุขอย่างนั้น ไม่ใช่อริยสัจจริงๆ แล้วกามสุขัลลิกะ ที่บอกว่าสุข มีกามสุขอย่างนั้นน่ะ มันทุกข์น่ะ กว่าเขาจะเข้าใจ ได้ว่า เป็นทุกข์ ทุกข์ที่ไหนล่ะ เสพกามทีไรก็สุขทุกที จะเอากามระดับไหน ก็ตามใจเถอะ เพราะว่า กาม เรื่องคน เรื่องเสพสม สุขสมกะคนนี่ เป็นความสุขนักหนา เสพทีไร เขาก็สุขทุกที มันทุกข์ที่ไหน พูดกันไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้น คนที่เขาเอง เขาไม่มีความเข้าใจจริงๆ ที่จะเข้าใจได้ว่า อย่าไปพยายามเลย มันเป็นความทุกข์

แม้เราจะเห็นว่า มันเป็นรสอร่อย มันก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ เสริมซ้อนซ้ำซ้อน ไปหลงใหลได้ปลื้ม เอร็ดอร่อย อยู่นั่นแหละ ไปบำบัดบำเรอด้วยผัสสะทั้ง ๕ เป็นกามคุณ ๕ ติดยึดอยู่ในรสของ ผัสสะ ทั้ง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสอยู่นั่นแหละ กว่าจะมาเข้าใจ กว่าจะมาพยายามว่า เอ้อ ไม่ดี มันเป็น ภาระ มันเป็นทุกข์ มันเป็นเรื่องเวร เรื่องเวรานุเวร ที่จะต่อ จะติด จะวุ่นจะวายไปอีก นานแสนนาน เป็นเรื่องของการต่อเนื่อง ที่จะเป็นภาระ โอ ติดทั้งความเป็นเวรานุภัย สารพัด เป็นบ่วง อันแสน ยุ่งยาก เพราะฉะนั้น กว่าจะเข้าใจ กว่าจะรู้ว่า สิ่งนี้ไม่ควรแสวงหา สิ่งนี้ควรจะลดละ ควรจะเลิก ควรจะหยุด แล้วก็มาพากเพียรหยุด เราจะรู้ ในพวกเราก็ตาม ที่ปฏิบัติธรรมนี่ จะรู้ว่าอารมณ์กาม อารมณ์ใคร่ อารมณ์ราคะ ในจิตใจนี่ ซึ่งมันเป็นกิเลสอยู่ในใจเรานี่ มันไม่ใช่ว่า มันจะหมดไปได้ง่ายๆ เราพากเพียร ที่จะลดละ เพราะฉะนั้น คนไหนที่จัดจ้าน ไม่ต้องพูดถึงหรอก สุดโต่งแน่ แล้วเขาก็ทน ไม่ได้ เขาก็ยังเป็นอยู่ ยังงั้นแหละ เขาจะไปละออกอะไร

ขนาดพระพุทธเจ้านี่ อนุโลมปฏิโลมบ้าง เอาละ ในขนาดหนึ่ง คุณมีผัวมีเมีย ผัวเดียวเมียเดียว อย่าไปมี สองผัวสองเมีย เมื่อมีเมียมีผัว ก็จะต้องมีการบำเรอกามอยู่พอสมควรใช่ไหม ขนาดนั้นน่ะ ท่านยังจัดว่า โสดาบันเป็นอริยบุคคลนี่น่ะ มีผัวมีเมียได้ ยังมีรสอร่อย ยังเสพกามขนาดนี้ ท่านอนุโลม ขนาดนี้ แต่มันก็ยังสุดโต่งอยู่ สุดโต่งเกินไปกว่านั้น นี่ คิดดูซิ คนที่พยายามฟังดีๆ นะ มันจะกลับหลังหัน มันจะกลับขั้วกัน ที่อาตมาพูดนี่ ฟังดีๆ ตั้งใจฟังชัดๆ คนที่มีความเข้าใจ มีความรู้สึกว่า เออ เรามีกิเลสเท่านี้นี่นะ แล้วเราก็เชื่อแล้วละว่า มันไม่ค่อยดี เรายอมรับ เสร็จแล้ว เราก็พากเพียรออกมา แม้สุดโต่งประเภทที่เป็น กามสุขขัลลิกะที่หยาบๆ เราก็ไม่เป็น ไม่มีผัวเดียว เมียเดียว มีจิตใจไม่ได้หื่นกระหายอะไรมากกว่านี้ ไม่นอกใจ ไม่นอกกายผัวเดียวเมียเดียว มีกามกิเลส แค่นี้ก็ เอาละ พระพุทธเจ้าก็อนุโลมขีดขอบถึงขนาดนี้ นี่ก็ถือว่า พระโสดาบันได้เข้าข่าย พระสาวก ของพระพุทธเจ้าได้ และต้องมีตัวรู้ มีญาณรู้จริงๆ นะ สักกายทิฏฐิรู้ว่า ขอบเขตนี้น่ะ มีอัตตา เป็นตัวตน เป็นกิเลสในระดับหนึ่ง มีสักกายทิฏฐิจริงๆ รู้ พ้น สักกายทิฏฐิ มีความเห็นแจ้ง พ้นใน ความเข้าใจ อย่างที่คนโลกๆ เขายังไม่รู้จักหลุด จักหย่อน ไม่รู้จักพอ ยังไปเที่ยวได้เลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ไม่สังวรระวัง นอกจาก รู้แล้ว ยังจะต้องมีเงื่อนไขว่า วิจิกิจฉา รู้อย่างชัดแจ้ง ไม่สงสัย ไม่วิจิกิจฉา รู้ขอบเขตขอบข่าย นี่ อาตมาอธิบายถึงกามก่อนนะ เดี๋ยวจะอธิบายถึงอัตตา นี่แหละ ทุกวันนี้ อัตตามันหนักกว่ากาม อัตตานี่โต่งอัตตานี่กว่ากาม ที่เข้ามาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าไม่ได้นี่ เพราะอัตตา ไม่ใช่เพราะกามเยอะ เดี๋ยวจะพูดถึงอัตตา ตอนนี้พูดกามก่อน

ผู้ที่เข้าใจ ไม่มีวิจิกิจฉานี่ จะต้องรู้ตัวเองว่า เรามีกิเลสขนาดนี้ ผัวเดียวเมียเดียวนี่ ผู้นี้ไม่นอกใจ ไม่นอกกาย ไม่คิดที่จะไป... สังวรระวัง ถ้าใจเราจะไปเห็นสาวอื่นสวย หรือว่าไปเห็นหนุ่มอื่น น่าใคร่ น่ารักอะไร นี่ จะสังวรระวังตัวเอง เพราะผู้ที่เดินทาง หรือมีตัวปฏิบัติธรรม มีจักรกลของการ ปฏิบัติธรรม นี่จะต้องสังวร ต้องมีสัมมัปปธาน ๔ มีสติปัฏฐาน ๔ และมีอิทธิบาท ๔ มี ความเพียรอยู่ มีความยินดี ที่จะปฏิบัติ มีวิริยะ เพียรจริงๆนะ ตั้งใจ ต้องรู้ตัวทั่วพร้อม ถ้าไปจีบ ไปเกิดเรื่องนอกใจ นอกกาย กับคู่ของเรา ในเรื่องของกาม เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วละก็ มันไม่ใช่โสดา ไม่ใช่หรอก มันจะรู้ขอบเขต มันจะรู้เลยว่า อารมณ์กามขนาดนี้ ว่ามันจะมีความไม่จัดจ้าน ความไม่โต่ง ความไม่ร้ายกาจ ความไม่ร้ายแรงไปถึงขนาดนั้น มันจะสังวรระวัง เพราะฉะนั้น คนวิตถาร นี่พูดทำไมมี คนวิตถารจะไปพูดทำไม มันนอกเขตเทศบาลพุทธไปหมดแล้ว ขนาดไม่วิตถารนี่ ก็ยังไม่นอก หญิงหนึ่งชายหนึ่ง เป็นแต่เพียงไว้ พอบำเรอ กามของตัวเอง ที่ตัวเอง มีฐานยังไม่สูงจัดจ้านอยู่พอสมควร ก็มีผัวเดียวเมียเดียว ใจจะวอกแวกไป ไม่ต้องไปพูดกายเลย นอกใจนะ ท่านไม่ได้บอกนอกกายน่ะ ผู้ที่นอกใจ ผัวเมีย ไม่ใช่นอกกายผัวเมีย ไปละเมิดสิทธิ ทางกายแล้ว มันจะไปใช้ได้ที่ไหน มันนอกไม่ได้ เป็นโสดาโสแดอะไรหรอก มันยังงั้นน่ะ แค่นอกใจนี่ ก็มีสังวรแล้ว มีโพธิปักขิยธรรม ไม่เช่นนั้น จะหมายความว่าเป็นคนที่จะเที่ยงต่อพระนิพพาน ได้ยังไง ยังประมาท ออกนอกลู่นอกทางงั้น เสร็จแล้ว ก็ประมาทไป ก็เละเทะ มันวอบแวบ ได้ๆ เสร็จแล้ว เราก็ต้องรู้ตัว มีสติสัมโพชฌงค์ๆนี่คือ องค์แห่งการตรัสรู้ มีสติสัมโพชฌงค์ สังวรกาย วาจา สังวร องค์ประชุม องค์ประชุมของจิตของเรา นี่ รู้ ควบคุมองค์ประชุม คือจิตของเรา นี่มีการภาวะ ฟุ้งซ่าน มีภาวะกระจาย มีภาวะ เข้าไปสัมผัสแตะต้องอะไรแค่ไหนนี่ เราจะควบคุมสภาพของ อาการของจิต ของเรา ในความรู้สึก ความรับสัมผัส มันจะคิดมากไปนี้รู้ตัวแล้ว นี่มันจะไปเที่ยว ได้ระลึก ยังโน้น อย่างนี้ มันมีแวบๆวาบๆ แต่ก็สังวรตัวเอง เข้ามาลดละๆๆ ฝึกปรือ สังวรปหาน มีสังวรปธาน มีปหานปธาน

ไม่ใช่ปล่อยปละละเลย เองจะไปไปก็ไป หนักเข้าๆ ก็ฉุดเราไป มาบวชแล้ว ยังต้องสึกไปแต่งงานเลย อะไรงี้ ปัดโถ โซดา ไม่ใช่ โสดาหรอก ถ้าเป็นโสดาจริงๆแล้ว ก็บวชแล้วไม่สึกหรอก ที่จะต้องสึก ก็มีเหมือนกัน โสดาก็ต้องสึกก็มี ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดแล้ว มันมี Exception มันมีที่ยกเว้น มันมีข้อ ยกเว้น ในวิบากอะไรของเขาบ้าง แต่โดยค่าเฉลี่ยแล้ว บวชแล้ว เขาจะไม่สึกหรอก โสดานี่อยู่ในสังวร ระวัง อย่าว่าแต่ไปเป็นพระอริยะชั้นสูงเลย เพราะฉะนั้น จะต้อง สังวรระวัง นอกจากมีเรื่องอื่น เป็นเรื่องของ Exception ที่มันลึกซึ้งซับซ้อน หลายชั้น พูดไปแล้วนี่นะ จะหาว่าอาตมาพูดไปแล้ว ทำไมละ โสดาสึกไปก็ได้ ในสมัยพระพุทธเจ้าสึกก็มี แต่เป็นเรื่องพิเศษ และกรณีพิเศษ มีเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในสูตรค่าเฉลี่ย หรือค่ารวมที่เป็นสูตรกว้างๆ สูตรใหญ่ๆ หลักใหญ่ๆ เพราะหลักใหญ่ๆแล้ว มีผู้พ้นสังโยชน์ ๓ รู้จักสักกายะในกาม ในอัตตา เพราะฉะนั้น ในกาม ในอัตตา ในระดับสูงน่ะ อัตตาในระดับสูงนี่ อาจจะพาให้สึกได้ แต่กามในระดับโสดา จะไม่พาโสดาบันสึก แต่อัตตา จะพาโสดาบันสึก นั่นก็เป็นสภาพเชิงซ้อนซ้ำซ้อน แต่ในอัตตาตัวหยาบ จะเข้ามาบวชไม่ได้เลย อย่าว่าแต่บวชเลย ฟังธรรมก็ไม่ได้ เดี๋ยวอาตมาจะพูด อัตตา ตอนนี้จะพูดกามก่อน ประเดี๋ยว มันจะมาปนกันอีกๆ พูดๆไปมันก็จะต้อง คือมันสัมพันธ์กันน่ะ กามกับอัตตา มันก็สัมพันธ์กัน เหมือนกัน

ต่อๆๆ ที่เมื่อกี้นี้ว่า เมื่อกามของผู้ที่เป็นโสดาบัน นี่ ไม่มีวิจิกิจฉา พ้นวิจิกิจฉา คือจะต้องรู้สภาพของ ตนเอง อย่างแท้จริงน่ะว่า ในขณะนี้ของเรา เราไม่มีความเป็นไปที่จะเลอะ ที่จะตกต่ำไปกว่านี้ เป็นอันขาด รู้ตัวชัดเจน ไม่นอกใจเมื่อไร หรือว่าใจมันจะวอกแวกอะไรเมื่อไร พั๊บ ก็สังวรระวัง มันมีอาการ ที่วอกแวกได้ แต่จะมีสติ สติปัฏฐาน ๔ มีสติรู้องค์ประชุมของความนึกคิด รู้ เวทนา ความรู้สึกว่า นี่จะไปอารมณ์ทางหลงใหลได้ปลื้มกับกามสุขัลลิกะนะ ก็จะสังวรตน ประหารกิเลส อยู่เรื่อยๆ มันมี มันไม่ออกไปไหนหรอก แล้วก็มันไม่โต ไม่ใหญ่หรอก มันจึงจะเที่ยงต่อ พระนิพพาน ถ้ามันโตใหญ่ขึ้นๆ มันจะไปเที่ยงต่อพระนิพพานได้ยังไง ตัวเองไม่รู้แม้กระทั่งกระแสของ การปฏิบัติ เมื่อไม่รู้ กระแสของการปฏิบัติ ไมรู้กระแสของปรมัตถ์ ไม่รู้กระแสของกิเลส ควบคุมสังวรไม่ได้ มันก็โตขึ้นๆ มันจะไปเที่ยงต่อนิพพานได้ยังไง ฟังให้ดี

จะต้องมีปัญญาญาณรู้ตัว สังวรปธาน และได้มีปหานปธาน มีการได้ปฏิบัติปหานลดลงๆ แม้มัน จะไม่ลดลง เร็วๆไวๆ ก็ตาม บางคนนี้ต้อง แหม... ตลอดทั้งกะปี ลดลงได้นิดหนึ่ง สองปีลดลง ได้อีกหน่อยหนึ่ง แต่ก็ต้องลดลง ปฏิบัติจะต้องรู้ว่า ของเรานี่เจริญขึ้น จึงจะเที่ยงต่อพระนิพพาน เสื่อมลง แล้วมันจะไปเที่ยงต่อพระนิพพานได้ยังไง เอ้า...วิจิกิจฉาเรายังมีสีลัพพตปรามาส พ้น สีลัพพตปรามาส พ้นศีลพรต มีศีลอยู่ในตัวเองจริงๆ ว่าศีล ๕ ไม่ผิด, ศีล ๕ ไม่ละเมิด, กายไม่ต้อง พูดเลย โดยเฉพาะ นี่เราพูดถึงเรื่องกาม กามหยาบในระดับผัวเมีย ในระดับผู้หญิงผู้ชายด้วย ไม่ไปละเมิด ไม่ไปทำวัฒนธรรมเสื่อมทรามๆ เพราะฉะนั้น ผัวเดียวเมียเดียว จริงๆ รู้ตัววอบแวบ ในเรื่องของ อารมณ์ในเรื่องของจิต เจตสิก ในเรื่องของกิเลส แล้วก็ต้องสังวรระวัง แล้ว ก็สังวร ระวังจริงๆ มีศีล มีพรต ก็คือมีแบบปฏิบัติ พรต หรือตบะ อะไรอย่างนี้ เราจะเรียกอะไรก็ได้ วิธีการปฏิบัติของเรา ที่จะตั้งให้แก่ตนเอง มีพรต ตัวบำเพ็ญ ตัวหลักเกณฑ์ของการบำเพ็ญ มีศีล มีหลักเกณฑ์ ของตัวเองใหญ่ๆอยู่แล้ว มีการประพฤติปฏิบัติ พรตก็คือ การประพฤติปฏิบัติจริง มีหลักเกณณ์ แห่งการปฏิบัติ แล้วก็มีพรต มีการปฏิบัติบำเพ็ญพรต บำเพ็ญพต การประพฤติ ปฏิบัติจริงอยู่นี่ พ้น สีลลัพพตปรามาส ก็หมายความว่า มีหลักเกณฑ์ แล้วก็มีการบำเพ็ญประพฤติ ที่ไม่ใช่สักแต่ว่า ทำตามๆ หลักเกณฑ์เฉยๆ โดยไม่เจริญ โดยไม่พัฒนา ไม่ใช่

อย่างทุกวันนี้ ที่บอกว่า ทำตามจารีตประเพณี นั่นก็คือ เขาทำอะไรก็ทำไป แต่ไม่รู้เรื่อง ไม่เกิดการ บรรลุ ไม่เกิดการเจริญ ไม่เกิดการพัฒนา สักแต่ว่ามีศีล มีพรต บางคนเคร่งน่าดูเลยน่ะ แต่ไม่เข้าร่อง เข้ารอยเลย ไม่รู้ ไม่มีญาณปัญญา ทำเคร่งไปยังงั้นแหละ ทำตามพิธีการ ทำตามจารีต ทำตาม คำบอกเล่าของอาจารย์อะไรไป แต่ไม่มีญาณปัญญา และก็ไม่รู้ว่า เราประพฤติได้หรือไม่ได้ ถูกทาง หรือไม่ถูกทาง ไม่รู้เรื่อง อย่างนั้นเรียกว่า สีลลัพพตปรามาส สักแต่ว่าทำกัน บางคนเคร่ง น่าดูเลยน่ะ ทำไปตั้งไม่รู้เลยน่ะ ปีเดียว สิบปี ยี่สิบปี ก็ทำอยู่นั่นแหละ แต่ไม่พ้นสีลลัพพตปรามาส ไม่พ้น การกระทำอย่างนั้นเปล่าๆ โดยไม่มีการเจริญ ไม่มีการบรรลุ จึงเรียกว่าไม่พ้น สีลลัพพตปรามาส มีศีลเปล่าๆ มีพรต มีการบำเพ็ญ ประพฤติเปล่าๆ แต่ก็ลูบๆคลำๆ ขยำขยี้เล่น อยู่ยังงั้นแหละ ไม่เกิดการเจริญ ไม่เกิดการอุบัติ ไม่มีอุบัติเทพ ไม่เกิดจิตเจริญเป็นเทวดาแท้ กดข่มได้ สะกด นึกว่าตัวเอง หลงว่าตัวเองได้ มี อย่าง ประเภทอย่างฤาษี โอ๊ย ศีลพรตเคร่ง กดข่ม เรื่องอย่าว่าแต่ ผัวเมียเลย ไม่แต่งงาน ไม่มีกาม ไม่มีอารมณ์กามไปกะเขา ถึงขนาดนั้น หลงทิศ หลงทาง มันไม่เป็น สัมมาทิฏฐิ ไม่เดินตามร่องตามรอยที่แท้จริง ไม่เป็นลักษณะที่ญาณชัด สัจจะก็ไม่รู้แท้ กิจทำไม่ถูก กิจญาณ กิจญาณ แห่งการปฏิบัติ ประพฤติ มีญาณปัญญารู้ว่า เอ้อ สัมมัปปธาน เป็นไง สติปัฏฐาน ๔ เป็นไง มีอิทธิบาท มีความยินดีปรีดาไปกับการปฏิบัติ เสร็จแล้ว ปฏิบัติไป ความเพียร ก็เจริญขึ้นด้วย ความเอาใจใส่ก็เจริญขึ้นด้วย ไม่ใช่เฉื่อยเนือย ไม่ใช่กดข่ม ลำบาก ลำบน อดทน ซ้อนเชิงเป็นอัตตกิลมถะ ทรมานทรกรรมตัวเองอยู่ ไม่ใช่นา ไม่ใช่ยังงั้นเลย ได้โล่ง ว่าง เบา โปร่ง ไปตามลำดับๆ ลืมตานี่แหละ ปฏิบัติทั้งคิดทั้งพูด ทั้งการกระทำการงาน อะไรอยู่ แม้มีอาชีพนี่แหละ ตามหลักมรรคองค์ ๘ ของพระพุทธเจ้า สั่งสมสัมมาสมาธิ เป็นญาณ เป็นวิมุติ นี่แหละ

มันจะเห็นชัดเจนหมดเลย ในการพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นวิจิกิจฉา พ้นสีลัพพตปรามาส มันจะรู้ราคะ โทสะ โมหะ โดยเฉพาะราคะที่เรากำลังพูดถึงราคะหรือกามที่เรากำลังพูดถึงนี่ จะรู้อาการ ของมัน จะลดจะหย่อนลงมาอย่างไรๆ อ่านอาการออกชัด ในปัจจุบันธรรม วิปัสสนานี่ต้องเป็น ปัจจุบันธรรม วิปัสสนาไม่ใช่ว่า ไปนั่งคิดนึกเอา ไตร่ตรองเอา หรือว่ามาระลึก เออ เมื่อตอนนั้น เราเคยมีกิเลสกาม น่ะ กิเลสราคะน่ะ มาระลึกเอา ตอนนี้ ไม่จริงหรอก มันเกิดผ่านมาแล้ว แล้วก็มาระลึกตอนนี้นี่ ไม่ใช่วิปัสสนา ยังงี้ นี่วิปัสสนึก นึกทบทวนบุพเพนิวาสานุสติ เป็นการใช้สติระลึกของเก่า แล้วระลึกไป แล้วเราก็เกิดความรู้ว่า เออ ตัวเองบกพร่องอย่างโน้น ตัวเองผิดพลาดอย่างนี้ หรือว่า ตัวเองปฏิบัติได้มา ก็เกิดญาณรู้ว่า ปฏิบัติถูก หรือปฏิบัติผิด เป็นการตรวจสอบ บุพเพนิวาสานุสติญาณ หรือเตวิชโช นี่ เป็นสิ่งที่เราจะต้องตรวจสอบ เราจะต้องรู้ว่า อะไรเกิด อะไรดับ มีจุตูปปาตญาณ รู้ว่าอะไรเกิด กิเลสเกิด หรือว่า เราเกิดทางโอปปาติกะแล้วนะ จิตวิญญาณ เราเกิดแล้วนะ นี่เราฆ่ากิเลสตายน่ะนี่ เราได้ทำไป ตายชั่วคราว ฆ่าไปครั้งหนึ่ง ฆ่าไปสองครั้ง นี่ปหานปธาน เราทำยังงี้ ปหานนี่มีการฆ่า มีการปหานปธาน มีองค์แห่งการปธาน เราได้สังวร เราได้ปหานปธาน นี่เราได้สังวรนะ แหม ปหานมันไม่ลงนะ เราจะรู้ความจริงของเราเอง นี่เราปหานได้เร็วขึ้น เป็นปฏิปัสสัทธิปหาน เป็นนิสสรณปหาน ปฏิปัสสัทธิก็คือ ได้ฝึกซ้อม ทำมาบ่อยๆ ทวนทำมาดีขึ้นๆ จนกระทั่งถึงขั้น นิสสรณปหาน ปุ๊บเลย เร็ว ไว สลัดได้ หรือว่าไม่ต้อง ยืดๆ หนืดๆๆ ชักช้า คล่อง ยังงี้ นิสสรณปหานน่ะ เราก็จะรู้ของเรา อ่านตัวเราเองออก ว่าเรามีการ ปฏิบัตินี่ มันมีเรื่องราว มันมีรูปรอย มันมีอะไรต่ออะไร เพราะฉะนั้น เวลาเอามานึกก็นึก ทบทวน บุพเพนิวาสานุสติญาณ รู้การเกิดการดับ มีจุติ มีอุบัติ รู้จักจุติ รู้จักอุบัติ เคลื่อนแล้วนะนี่ เราเคลื่อน มาได้แล้ว แต่ก่อนมันแย่อยู่ที่เดิมนี่ มันเป็นกิเลสอยู่นี่ เดี๋ยวนี้ มันเคลื่อนสูงขึ้นมาแล้วนะ

จุติ หมายความว่า เคลื่อน แต่ก่อนนี่อยู่ที่นี่ เคลื่อนเหมือนกันเคลื่อนลงนรก เคลื่อนหนักกว่าเก่า เป็นสัตว์นรก ที่หนักขึ้นไปอีก หนักในกาม หนักในอัตตาก็ตาม ก็จะต้องรู้ แต่การเจริญของ พระพุทธเจ้า นี่เจริญขึ้น ไม่ใช่ลงไปนรกอีก ไม่ใช่ลงไปที่ต่ำ จุตินี่เคลื่อน เกิด จนกระทั่ง เกิดจากจุติ หมายความว่า เคลื่อนจากเก่ามา เคลื่อนมาอุบัติ เกิดจนกระทั่งเกิด อุบัติหมายความว่า เคลื่อนมา จนกระทั่งได้ที่แล้ว เคลื่อนมาจนถึงรอบ เคลื่อนมาจนถึงขีดถึงเขต จุติอุบัติ ตายนั่นเอง ตายจาก ความเป็นกิเลส ตายๆๆๆ กิเลส ตายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งเคลื่อนมาถึงรอบ มาถึงขีดถึงเขต อุบัติเป็น อุบัติเทพ ในระดับไหนๆ รู้น้ำหนัก รู้ฤทธิ์แรง รู้ความสะอาด รู้ความบริสุทธิ์บริบูรณ์ รู้ความลด ความละ อะไรลงมาได้จริงๆ มีญาณน่ะ

เราปฏิบัติธรรม นี่ต้องเกิดญาณ ไม่ใช่ปฏิบัติธรรมไปแล้ว ก็ฟังอยู่แต่อาตมาพูด แล้วก็รู้แต่ภาษา บางคนดีน่ะ ฟังภาษารู้เรื่องหมด แต่อ่านจิต เจตสิกอะไรไม่ออก อ่านจิตเจตสิกไม่ออก เราก็ได้แต่สมมติ สมมติธรรม หรือสมมติสัจจะ รู้แต่สมมติธรรม ภาษา อ่านจิตเจตสิก อ่านกิเลส ไม่ออก ที่อาตมาพูดๆ ให้ฟังนี่ จับสภาพไม่ได้จริงๆ อาการกาม อาการราคะเป็นอย่างไร ก็ไม่รู้เรื่อง แม้มันได้มากแค่ไหน มันเกิดปัจจุบันธรรม วิปัสสนาบอกแล้ว วิปัสสนานี่มันต้อง เกิดเป็นปัจจุบัน ปัจจุบันใดเกิด ไม่เคยรู้ตัวเท่าทันเลย เกิดจนกระทั่งปล่อยไปตามกาม ตามกิเลส ไปจนกระทั่ง ได้เอากิเลส เป็นเนื้อทำกิเลสใส่กระป๋องออมสินไปเสีย ตั้งบานเบอะ แล้วค่อยๆมานึกได้ เสร็จไปแล้ว ถ้าถูกกามเทพ ยิงด้วยลูกศร ก็ตายไปแล้ว ลูกศรเสียบอก เลือดจากหัวใจ ทะลุไหลนองไปแล้ว แล้วค่อยมาระลึกได้ว่า โอ๋ย เมื่อกี้นี้ กามเทพยิงลูกศรปักอกเลือดไหลแดงแล้วนี่ ค่อยมารู้ตัว ก็ตาย ไปแล้ว ถูกศรยิง ศรยาพิษ ยาพิษกามนี่ ไม่ใช่ยาพิษธรรมดานะ ยาพิษกามนี่ โอ้โฮ ถ้าไม่ใช่ จอมยุทธ จริงๆแล้ว ก็หายาแก้ไม่ได้เลยนะ ยาแก้พิษนี่ ต้องจอมยุทธจริงๆ เลย ที่จะปรุงยาแก้ พิษกามได้นะ ไม่ใช่ของง่ายๆนะ กามบางขนานของกามเทพบางตัวนี่ จอมยุทธนี่ยังหายาแก้ ไม่ได้เลย ขนาด อาตมายังหายาแก้ให้ยากๆเลย บางคนนี่ต้องปล่อยให้ กามเทพคาบไปกิน ไม่สามารถ ช่วยได้ ต้องปล่อยไปให้เป็นบริวารกามเทพ เพราะอาตมาไม่สามารถที่จะปรุงยาแก้พิษ นี้ได้ ขนาดมา พยายามให้ช่วย ยังช่วยไม่ได้เลย มันแรง กามเทพมันเล่นเอาแรง นี่ ใช้ภาษาพวกนี้ ฟังภาษาแล้ว ก็ไปเข้าใจถึง สภาวะให้ดี ประมาทไม่ได้ เพราะฉะนั้น เรื่องกาม อาตมาก็ขอพักเรื่องกามไว้หน่อย จะพูดถึงอัตตกิลมถานุโยค

ซึ่งตัวนี้แหละ ในพวกเราก็ยังเยอะ เอาพูดตอนต้นก่อน อัตตาหรือ อัตตกิลมถานุโยค คือทรมานตน คนในโลกนี้ ที่หลงโลก หลงโลกียะในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข เป็นผู้ที่โต่งอยู่ใน อัตตาทั้งนั้น โลกธรรม โต่งอยู่ในอัตตาทั้งนั้น สร้างภพ สร้างภูมิ ฉันจะต้องร่ำรวย ฉันจะต้อง เป็นใหญ่ ฉันจะ ต้องมียศสูง ฉันจะต้องมีอำนาจ พวกนี้อัตตาทั้งนั้นแหละ อัตตามานะทั้งนั้น ไม่ใช่กาม หรอกนะ ฉันจะต้องใหญ่ ฉันจะต้องเป็นเจ้าปฐพี ฉันจะต้องเหนือชั้น ฉันจะต้องเป็น เจ้าพ่อ ฉันจะต้องชนะ อันนี้ ฉันจะต้องได้อันนี้ เป็นภพภูมิทั้งนั้น เป็นภวตัณหา ภวตัณหานี่ ท่านสอนหลัง กามตัณหา ก็จริงอยู่ ที่จริงมันนำหน้ากามด้วยซ้ำไป เพราะฉะนั้น ถ้าลดกายะ ตัวภวนี้ไม่ได้ อย่ามาพูดถึงกาม ก่อนเลย ที่จริง มันจะต้องได้ทั้งกาม ทั้งภวตัณหานี่แหละ แต่ภวตัณหา นี่ไม่เรียนกัน ทุกวันนี้ ไม่ค่อยเรียน คนที่เป็นใหญ่เป็นโตในทางธรรมก็ตาม เป็นนักรู้ โอ้โฮ เต็มไปด้วยหู ด้วยหัวนี่ เป็นปราชญ์ เขานับถือเป็นปราชญ์ทางศาสนาด้วยซ้ำไป นั่น ละอัตตา เรียนมาก ตามที่ตัวเอง เรียนมา แล้วก็ไม่ใช่สัมมาทิฏฐินักหรอก จนกระทั่งไม่เห็นพระอริย มิจฉาทิฏฐิ ๑๐ ไม่มีดวงตา ที่จะมีปฏิภาณรู้ว่า นี่เขาเป็น อริยะ เมื่อไม่เห็นพระอริยะ ไม่รู้จักศาสนาพระพุทธเจ้า ว่าอริยะของ พระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร คุณคิดดูซิ

ถ้าสมมติว่า อาตมาเป็นอริยะเล็กๆ เป็นโสดาบัน คนที่มีปัญญาญาณที่จะรู้จักทิศทาง รู้จักความเป็น เนื้อหาแก่นสารของพุทธ อริยะของพระพุทธเจ้า เป็นอย่างไร ทิศทางที่จะไปนิพพานเป็นอย่างไร คนที่มีภูมิธรรม จะต้องรู้อย่างนั้นนี่นะ ก็จะต้องเห็นเลยว่า เออ คนนี้นี่ เป็นพระอริยะ พระพุทธเจ้า บอกแล้วว่า ใครไปตำหนิ พระอริยะนี่ นรก ๑๑ ขุมนะ ตำหนิพระอริยะนี่นรก ๑๑ ขุม เพราะฉะนั้น คนที่มาตำหนิพระอริยะ ไม่มีญาณปัญญารู้นี่ มันจะเป็นโสดาได้ยังไงเล่า ก็ในเมื่อ ทิศทางที่เรา จะเอานี่ เรายังไม่รู้ จะไปแสวงหาสิ่งนี้ เห็นสิ่งนี้ แล้วบอกไอ้นี่ไม่ใช่ เอ้า...แล้วเมื่อไหร่ คุณได้ล่ะ จะยอดมัน ใบมัน กิ่งมัน รากมัน ลูกมัน เมล็ดมันอะไรก็ตามใจเถอะ ไม่รู้จักนี่ มันก็ต้องรู้ จะไปเอาต้น อะไร จะต้องรู้ราก รู้ใบ รู้กิ่ง รู้ก้าน รู้ผล รู้เมล็ด ใช่ไหม รู้สี รู้สันอะไรมันบ้างซี นี่ไม่รู้ เพราะฉะนั้น คนเหล่านี้ ศึกษาแต่สมมติสัจจะ ศึกษาแต่บัญญัติ ปริยัติอะไรต่างๆ แล้วก็กะๆ นึกคิด ผกผัน มานะใหญ่ อัตตาใหญ่ พวกนี้สุดโต่งในอัตตา มานะ ยากที่จะเข้ากระแส ยังยากที่จะได้ รับธรรมะ ยังยาก แล้วเชื่อหัวอ้ายเรือง นี่แหละคืออัตตามานะ เชื่อหัวตัวเองนี่แหละ ไอ้เชื่อหัวตัวเอง ก็ไม่ว่า อะไร แล้ว แถมไม่เชื่อพระอริยะด้วยนี่สิ ไม่ใช่ มันใม่ถูกน่ะ มันผิดๆ มันมาทำลายศาสนาพุทธ ด้วย มาทำธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าให้วิปริตด้วย ไอ้ย่า นี่แหละ คือ สุดโต่งไปในอัตตกิลมถานุโยค ทรมานตนเอง ลำบากลำบน มาตรงที่ เรียนศึกษาอาจจะบำเพ็ญประพฤติด้วยซ้ำ อาจจะบำเพ็ญ ประพฤติด้วยซ้ำ แต่ไม่ถูกทาง หรือทำเล่นๆ ย่อยๆ เล่นๆ หัวๆ

เหมือนอย่างฆราวาสบางคน อยู่ในค่าย ที่เขาคิดว่า เป็นปราชญ์ อยู่ในท่าทีเป็นปราชญ์นะ กินมังสวิรัติ ก็ลอง แต่งตัวมอซอก็ทำ อะไรก็พยายามปฏิบัติน่ะ ลองหมดแล้ว รู้แล้วๆ ลองแล้วๆ ลองมาแล้ว ปฏิบัติธรรมมาแล้ว ลองๆ ๆ รู้แล้ว ไอ้การลองนี่เป็นกลเม็ดอันหนึ่งทั้งนั้น เพื่อที่จะมา ยืนยันว่าฉันรู้ ฉันได้ปฏิบัตินะ นอกจากรู้แล้ว ไม่ใช่รู้เปล่า ฉันปฏิบัตินะ ทำมาแล้ว ปฏิบัติยังงั้นนะ ฉันทำมาแล้ว ลองมาทั้งนั้นน่ะ ปฏิบัติมา ทั้งนั้นน่ะ แต่ไม่ได้ลองหรือปฏิบัติอย่างมีปัญญาญาณ ถูกทิศถูกทาง จนได้มรรค ได้ผล ได้เหตุปัจจัย หรือว่า ได้สิ่งที่เกิดนั่นน่ะ มีปริมาณ หรือมีคุณภาพพอ พอที่จะเรียกได้ว่าเกิด ไม่ถึงหรอก ทำไป ยังงั้นแหละ สักแต่ว่าทำ สีลลัพพตปรามาสไปยังงั้นแหละ ยังไม่เกิดผลอะไรหรอก แต่เอาพฤติกรรม ที่ตัวเองได้ลอง ได้ปฏิบัติดูบ้างนี่ มาอ้างอิง เป็นองค์ประกอบ นี่ก็เป็นกลวิธี เคล็ดวิชาอันหนึ่ง ของผู้ที่ จะทำให้ตนเองใหญ่เบ้ง ฉันเป็นผู้ผ่านภพ ฉันเป็นผู้รู้ ฉันเป็นผู้ที่ใครมาเถียงไม่ได้ มีอ้าง หลักฐานอ้างอิงด้วย แต่เสร็จแล้ว ตัวเองก็ไม่ได้ บรรลุจริง แล้วตัวก็หลงตัว เป็นอัตตามานะ สุดโต่ง อยู่ใน อัตตามานะ ถือดีถือตัว ไม่เชื่อฟังใคร ตัวเองนี่แหละแน่ กูนี่แหละแน่ๆ ใครจะ มาแน่กว่ากู พวกนี้แหละ สุดโต่งอยู่นี่ สักกายะตัวนี้แหละ นี่แหละ จะต้องบรรลุ สักกายะตัวนี้ซะก่อน ตัวตนบรรลุตัวตน บรรลุตัวกิเลส ตัวที่กูนี่แหละใหญ่ กูนี่แหละรู้ กูนี่แหละเบ้ง กูนี่แหละถูกต้อง กูนี่แหละมีภูมิ มีคนมาเล่ามาเรียน มาศึกษา มีลูกศิษย์ ลูกหา บานเบิกเลย กูนี่แหละใหญ่ เหมือนชฎิล พระพุทธเจ้มาก็ บอกโอ้ย ไอ้นี่ยังไม่เป็นอรหันต์หรอก อรหันต์ก็ไม่ใหญ่เท่าข้าหรอก ข้าอรหันต์ใหญ่กว่า เหมือนชฎิลที่พระพุทธเจ้าไปโปรด ชฎิลเขาก็มี ความรู้สึกยังงี้ๆ มีความรู้สึกว่าเอ้อ อย่ามาช่างพูดหน่อยเลย ไม่เชื่อ แต่พระพุทธเจ้าท่านเก่งแล้ว นอกจากพระพุทธเจ้า เก่งแล้ว มันก็มีอะไรซับซ้อนอยู่ข้างในว่าคนเหล่านี้ ไม่ได้ดื้อด้านอะไรจนเกินไป หรอก แต่ก็มีภาวะต่อต้าน ภาวะต่อสู้บ้าง แต่สุดท้ายก็แพ้พระพุทธเจ้า

แม้ไม่อย่างนั้นก็ตาม ลำบากลำบนในการแสวงหา ลำบากลำบนในการบำเพ็ญประพฤติ บางคน บำเพ็ญประพฤติมามาก สายที่เขามาบำเพ็ญประพฤตินี่ ก็เยอะ เล่าเรียนทั้งปริยัติ ปฏิบัติด้วย หนักหนา สากรรจ์ แต่มันไม่เข้าทาง มันไม่ถูกทาง มันไม่เกิดสัจจะตัวแท้ แล้วเขาก็แน่ใจว่า เขานี่แหละ ได้ศึกษามามาก และได้ปฏิบัติมามาก เป็นอัตตามานะ อยู่ที่ตัวเขา นี่เบื้องต้นเลย อัตตามานะ ตัวต้นเลย ก่อนกามด้วย คนเหล่านี้ อาจจะมีกามไม่ค่อยมากเท่าไหร่ แต่อัตตามานะ พาโต่ง มันนำหน้ากามด้วย อัตตามานะนำหน้ากาม ไม่ละอัตตาตัวตน ตัวนี้แหละ สักกายะที่แปลว่า อัตตาตัวตน ตัวนี้แหละ ที่พูดกันต้นๆ แล้วเขาก็บอกว่า อาตมาไม่หมดอัตตา แล้วเขาก็ไปมองอัตตา ตัวปลาย ดูมันยังมีอัตตาอยู่เลยนี่ มันก็ดูได้เหมือนกันน่ะ เพราะเขาก็ถือว่า เขานั่นแหละเป็นตัวถูก ดูซิ มันยังไม่ฟังกู กูเป็นอริยะนะ แล้วไม่เห็นอริยะนี่เห็นไหม ดูถูกดูแคลน ด่าทอ นี่ว่าอาตมาด่าเขา เห็นไหม มันมองมุมนี่ มันเหมือนกันหมดเลย เราว่าเขา เขาก็ว่าเรา ถูกเหมือนกันเลย เป็นอยู่ที่ว่า จริงๆ มันคือใครเท่านั้นเอง ใครแน่เป็นอริยะเท่านั้นเอง ถ้าใครเป็นอริยะ อีกคนก็เป็นผี มันเท่านั้นเองแหละ นี่ลักษณะอัตตาตัวต้น หยาบตื้น สุดโต่งกันอยู่ กั้นทางไม่ให้เจริญได้

อาตมาเตือนพวกเรา ศึกษาคนอื่นที่พวกเราบอกว่า เราเองเราไม่ชอบใจนี้ด้วย ใครมาด่าอาตมา ใครมา วิจารณ์วิจัยอาตมาอะไร ต่างๆนานา ศึกษาเขาด้วย เขามีดีอยู่ในตัวบ้างหรือไม่ ผิดจริง หรือไม่ผิดจริง ไม่ใช่จะมางมงายหลงแต่อาตมา แน่ใจเราไม่เอา ไม่ศึกษาอื่นแล้ว ไม่เอา อื่นไม่เอา นี่แน่ๆๆๆ อย่าประมาทอย่างนั้น ศึกษาด้วย มันไม่ขาดทุนหรอกๆดี ได้อะไรต่ออะไร เพิ่มเติมด้วย และ อาตมาต้องการทำให้ แต่ถ้าคุณไม่ศึกษา คุณไม่มีญาณปัญญา เปรียบเทียบเห็นชัดเจนเลย อะไรต่ออะไร ในสภาวะ แล้วพิสูจน์อย่างชัดเจนปฏิบัติ ประพฤติตามสายอื่นบ้าง คนอื่นบ้าง ที่เขาว่า แน่ๆๆๆ อะไรนี่ หรือยิ่งเป็นคู่... แต่ที่จริงแล้ว นี่ผู้ที่มีญาณปัญญานี่ จะไม่ตีทิ้งตีขว้างอะไรง่ายๆ นักหรอก จะไม่ตีทิ้ง ตีขว้างอะไรง่ายๆนักหรอก ในลักษณะของเมตตา ในลักษณะของการไม่ข่มขี่ ดูถูก นี่ มันจะมีกระแสที่เอ็นดู หรือกระแสที่ว่าอนุโลมปฏิโลมอะไรอยู่บ้าง ไม่ใช่ดิ่งๆๆ ที่อย่างไม่ มีกระแสเลย ดิ่งตีทิ้งๆๆ อย่างไม่มีกระแสเลย ถ้าคนนั้นเขาก็มีส่วนดีอยู่บ้าง

อย่างพระโสภณฯนี่ ตีอาตมาทิ้ง อย่างไม่เคยมีดีเลยนา ยิ่งทุกวันนี้ก็ยังหนักหนาสากรรจ์อยู่ ... ถ้ายิ่ง สังเวียนด้วยแล้ว เลิกเลย ไม่ใช่ตีธรรมดา ตีแล้วกระทืบด้วย สังเวียน ภูมิไม่มี เมตตาแล้วก็ไม่มี ลบหลู่ดูถูก ข่มขี่ดูถูก ในลักษณะย่ำยี เป็นลักษณะที่จริง คือจริงๆแล้ว อาตมามีดี อยู่บ้าง ใช่ไหม เพราะคนที่มีดีอยู่บ้าง คนเรานี่ โดยปฏิภาณแล้ว จะไม่กล้าย่ำยีกันไป ทีเดียวหรอก

ยกตัวอย่างง่ายๆ เรารู้ว่า อย่างสมมติว่า ท่านพุทธทาสนี่มีดีใช่ไหมๆ เราจะไม่กล้าไปย่ำยี ทีเดียว หรอก อะไรงี้เป็นต้น ยังไม่กล้าไปย่ำยี เพราะท่านมีหลักฐานยืนยันว่า ท่านมีดีของท่าน... หรือแม้แต่ พระโสภณฯก็ตาม ก็แสดงภูมิพอสมควร อย่างน้อยก็อยู่ในฐานะ อยู่ในรูปแบบของพระ เราจะไป เที่ยวได้ดูถูก ดูแคลนย่ำยีกัน อย่างเรียกว่าย่ำยี แล้วก็ตีทิ้งด้วยเลย เหยียบย่ำ เหมือนลักษณะ ของ สังเวียน เขาเป็นคนทำ ลักษณะสังเวียนนี่ หยาบคาย ทำกระหน่ำย่ำยีเกินการ เราก็พวก เราเอง ก็ไม่ไปทำถึงขนาดนั้นหรอก คนที่มีปฏิภาณ มีภูมิธรรม จะไม่ย่ำยี หรือดูถูก จริงบางครั้ง บางคราว อาจจะว่าบ้าง อาจจะดูถูกดูแคลนบ้าง แต่ก็มี บางกาล บางขณะ ที่สำนึก ที่เห็นว่า เออ เขาก็มีส่วนดี อะไรงี้เป็นต้น เราจะไม่ไปย่ำยีอะไร ทีเดียว ในนัยละเอียด ที่ซ้อนที่ซ้อนๆ ภูมิธรรม เป็นค่าอะไร ต่ออะไร ของคนนี่ มันไม่ใช่ว่า มันจะดู ได้ง่ายๆ ตรวจสอบได้ง่ายๆ มันยากนา มันยาก มันลำบากโข ทีเดียว เพราะฉะนั้น เราจะต้องอย่าประมาท ถ้าศึกษาได้ก็ศึกษา

พวกเรานี่ ไม่ค่อยศึกษาผู้อื่น มันถึงไม่กว้าง ไม่มีปรโตโฆสะ เพราะงั้น ศึกษาผู้อื่นบ้าง ศึกษาอันโน้น อันนี้บ้าง ของคนอื่น ถ้ามีเวล่ำเวลา เราก็ศึกษาทั้งปริยัติบ้าง ปฏิบัติประพฤติ อาจจะไม่ปฏิบัติ ประพฤติก็ดูว่า เออ ปริยัตินี่มันก็มีเหตุผลนะ มีโน้นมีนี้ ถึงแม้ว่าดูปริยัติแล้ว เข้าท่าแฮะ เอามาลองดู บ้างก็ได้ ก็ลองก็ได้อย่างพวกเรานี่ ลองๆ อะไรของคนอื่นเขาบ้าง เข้าท่าเข้าที บางอย่างอาจจะมี อุปการะบ้าง แต่มันไม่ใช่แกนนะ มันก็จะรู้ มันมีความเสริมสอดซ้อนเสริมบ้าง อ้า ก็ดีอะไรอย่างนี้ เป็นต้น เราจะได้

ทีนี้ อัตตกิลมถานุโยค ในระดับที่อาตมาจะพูดกะพวกเรา ซ้อนลงไปอีก อัตตกิลมถานุโยค อันแรก ที่พูดไปเมื่อกี้นี้ว่า อันนั้นไม่ได้เข้าสาย ไม่ได้เข้ากระแสเลย เพราะว่า ไม่พ้นสักกายทิฏฐิตัวต้น อ้าทีนี้ พวกเรานี่ พ้นสักกายทิฏฐิมาแล้ว แล้วมีอัตตาไหมทีนี้ มีอัตตกิลมะถานุโยคไหม มี แล้วก็มาละกาม ตั้งแต่ความใคร่อยาก ในเรื่องของ.. เอาละหยาบๆ ผู้หญิงผู้ชายอะไรมาจนกระทั่ง กามคุณ ๕ มีรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ความอยากความใคร่ ความอยากได้ในลาภ ความอยากในยศ ความอยากได้ ในสรรเสริญ ก็มีซ้อนอยู่ทั้งนั้น ที่มันมีเนื้อหาของมัน มีฤทธิ์มีแรงของมัน มันมีฤทธิ์ เรายังอยาก ยังใคร่ในลาภมาก เราลดก็ลด ลงมาๆ ไม่เห็นแก่ตัวมา ไม่อยากได้ลาภ มาบำเรออะไร ไม่อยากร่ำ อยากรวย อะไรเกินการนัก ไม่อยากได้ยศศักดิ์อะไร ก็ไม่ติดใจนักหนา ก็ลดลงมา ไม่แย่ง ไม่ชิง ยศศักดิ์ อำนาจแบบโลกๆ ไม่หลงใหล ได้ปลื้มกับสรรเสริญอะไรเกินการ โลกียสุข ทางรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสต่างๆ นี้ก็เป็นกามคุณทั้ง ๕ ขึ้นมาชัดๆ

พวกเราหลายคนบอกว่า เอ้อ เราก็ไม่มีความหยาบถึงขนาดว่า เรา เข้าใจนะ ไปแต่งงานนี่ มันทุกข์ มันวุ่นวาย เรื่องผู้หญิงผู้ชาย มันวุ่นวาย แม้มันจะมีอารมณ์กาม อารมณ์ที่เป็นรสอร่อยอะไร ยังสงสัย ยังคลางแคลง ยังมีความหลงว่า มันเป็นความสุข มันก็รู้สึกว่ามันเป็นความสุขอยู่น่ะ อะไร ยังโน้น อย่างนี้อยู่บ้างก็ตาม แต่อำนาจที่เหนือกว่านั้นในตัวเรา นี่ก็มีแรงกว่ามากกว่า เราไม่เสี่ยงละ เราไม่เอา ยังโน้นน่ะ ยังจะมีอารมณ์กิเลสที่ยังมีอยู่บ้าง พยายามสังวรปธาน ปหานปธาน เกิดภาวนาปธาน อนุรักขนาปธาน ให้มันได้สังวร ทำจริงๆอยู่ ลดได้ เราก็เอื้อ ดีชื่นใจ ลดได้ เราก็ยิ่งเห็น เป็นธรรมรส จะเป็นของการประพฤติปฏิบัติที่เจริญขึ้น ดีน่ะดีขึ้นๆๆ มันจะไม่มีการวิปริต ตรงที่ว่า เอ๊ มันไม่ดีน่ะ ยิ่งลดอารมณ์กามได้ยิ่งไม่ดี กลับไปเอากามก่อนเถอะ มันจะไม่วิปริต ยิ่งลดได้ มันจะเห็นเป็นธรรมรส แม้ยังไม่ถึงวิมุติรสก็ตาม เอ้อ... มันเบา มันว่าง มันง่าย มันไม่ต้อง เดือดร้อนดิ้นรน มันพ้นทุกข์พ้นร้อน จะเห็นชัดเจนขึ้น เข้าใจมากขึ้นๆ จนวิมุติรสนี่ โอ้โฮ รสวิมุตินี่ ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ โอ้ ว่าง เบา ไม่เกิดอาการเลยนี่ อื้อ มันว่างงี้เองหนอ เออ มันแต่ก่อนนี้ อารมณ์นี้ มันเร่าๆ ร้อนๆ มันวุ่นๆ วายๆ นี่มันสงบระงับ เอ๊ มันสบายๆ นะ แล้วเราก็ไม่ต้องไปกังวล ไม่ต้องไป ห่วงหาอาวรณ์ ไม่ต้องไปเป็นภาระอะไรไปอีกเลย อ๋อ มันว่างอย่างนี้ อะไร แม้ในเรื่องของ ผู้หญิง ผู้ชาย มาไม่ง่ายน่ะ ในเรื่องผู้หญิงผู้ชาย มันเป็นรากเหง้า ของการเกิดสัตวโลก ตั้งแต่ สัตว์เดรัจฉาน จนกระทั่งมนุษย์ สั่งสมสัญชาตญาณอันนี้มานับกัปกาล เกิดมาคนละไม่รู้ กี่ล้านชาติ แล้วนี่นา แหม มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่จะล้างละให้มันสะเด็ด นอกจากคุณมีบุญบารมี ที่ได้ล้าง มาแต่ปางบรรพ์ ได้สั่งสมบุญบารมีมาเก่าๆ ก็คงจะง่ายๆ จะรู้ จะมี จะเห็น จะแจ้งของตนเอง แต่ถ้ายังทำ มาได้ ไม่มาก มันก็มีอยู่ตามที่คุณมีบุญ บารมีแต่ละคนๆ ใครได้มากๆ เราจะเห็นว่า โอ้... ไม่ยากเท่าไหร่ มันเหลือน้อย แต่น้อยๆนี่ มองไปในบางมุม มองไปในบางแง่ ไอ้น้อยๆนี่ ทำไมมันออก ยากจริงเลย มันจับไม่ค่อยติดเลย ยาก ไอ้ที่มากๆ โอ๋ย ยาก มันแรง มันสู้ มันไม่ไหวเลย ไม่รู้จะทำยังไง ยาก ไม่ไหว ทำไม่ค่อยได้ น้อยก็จับมันไม่ค่อยติด ทำไม่ค่อยได้ เลยจะไม่ทำ ไม่ได้น่ะ มันยากยังไง ก็ต้องตั้งตนอยู่บนความลำบากนั่นแหละ ต้องไปพยายามลดละ ล้างมันจริงๆ

ทีนี้พวกเรา มาได้ขั้นตอนที่ผ่าน อัตตกิลมถะ หรือว่า มันผ่านอัตตา มานะในเรื่องที่ว่า เอ้อ... เมื่อยอมรับ ครูบาอาจารย์ มายอมรับทิศทาง เข้าใจดี มีสาวกภูมิ เป็นสาวกภูมิแท้ มี เห็น เอ้อ... นี่เป็นอริยะ ของเรา ผู้นี้สอนโลกนี้ โลกหน้า ผู้นี้สอนเปิดโลกุตระโลกียะได้ชัดเจน แล้วเราก็มา บำเพ็ญประพฤติ จนเราพอได้มีพ้น พ้นสีลลัพพตปรามาส บางคนปุ๊บปั๊บ ปฏิบัติ เออ ... มาลอง ละลด อันนี้ได้ แต่มันยังไม่มีญาณอ่านละเอียด อย่างที่อาตมาอธิบายให้คุณฟัง คุณฟังที่ อาตมาบรรยาย เป็นภาษานี่ อาตมามาอธิบายมันละเอียดน่ะ มันมีมุม มันมีแง่ สภาวะอย่างนั้น อย่างนี้ บอกให้คุณฟังถูก แต่คุณเเอง คุณไม่ได้เข้าใจละเอียด เหมือนอย่างที่อาตมาพูดหรอก แหม พอพูดออกไปนี่ เราทำไมหยิบมาพูดยังงี้ไม่ได้ เราว่าเราละตรงนี้แล้วนะ เราละเรื่องราคะ เรื่องกาม ขนาดนั้น ขนาดนี้ ตอนนี้ไม่ใช่เรื่องอัตตาแล้วน่ะ ไม่ใช่เรื่องอัตตาหยาบที่ต้นๆ ที่ว่ามันเชื่อแต่ หัวอ้ายเรืองแล้ว เข้ามาแล้ว มาละลดกาม มาละกามตัณหา นี้สอนเป็นเบื้องต้น พอใครพ้น อัตตกิลมถะ พ้นมานะอัตตา ในตัวที่ว่าสักกายะตัวใหญ่ ที่ว่าเราจะไม่ถือภูมิรู้ของเราเป็น ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมอะไร ต่ออะไรมา เรายอมรับเป็นครูบาอาจารย์ เห็นอริยะ เห็นผู้ที่ เออ ยังงี้ถูกทาง ยังงี้เข้าท่า เห็นจริงๆ น่ะ แล้วเราก็ลดอัตตกิลมถะ อัตตามานะลดแล้ว แล้วก็มารับปฏิบัติขั้นกามสุขัลลิกะ

อาตมาก็สอน ลด ให้รู้จักโทษของกาม ให้รู้จักกาม ลดละกาม อย่างน้อย คุณมาปฏิบัติไม่กิน เนื้อสัตว์นี่ ก็ลดกาม ติดเนื้อสัตว์ นี่ก็เป็นการติด เนื้อ ติดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสของเนื้อสัตว์ เพราะฉะนั้น ลองดูซิ ไม่กินเนื้อสัตว์ดูซิ ไอ้นี่เต้นเร่าๆๆๆๆ นี่มันอร่อย มันยังติดอยู่ ปัดโถ จะให้เลิก ยังไง ให้เลิกไก่ย่าง นี้มันโอ้ มันเลิกยังไงเล่า ให้เลิกน้ำตก ให้เลิกลาบเลิกก้อย ให้เลิกหมูแฮม ให้เลิกอะไร ก็แล้วแต่เหอะ ไอ้ผัดแกง ต้มยำ ทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ เยอะแยะ ที่ปรุงไปด้วยเนื้อสัตว์นี่ แล้วมันเลิกยาก ให้มาเลิกยังไง เลิกเมื่อไร ก็ ยังโห... อยู่แหนะ โอย บอกว่า มีบุญมีคุณค่า ความดี ขนาดไหน ก็ยังนั้นแหละ เขาก็พยายามสะกด ปฏิบัติอย่างสีลลัพพตปรามาสด้วย มันก็ยิ่ง ไม่เลิกใหญ่ ทีนี้ คุณมา ปฏิบัติไม่สีลัพพตปรามาส ศีลพรต เรียน ฟังความฟังคำรู้ว่า เลิกกิเลส เลิกแค่ตั้งศีล ว่าไม่กินเนื้อสัตว์ แล้วก็มาบำเพ็ญเป็นพรต บำเพ็ญแล้วก็เกิดญาณ พ้นสีลลัพพต ปรามาส รู้ว่าตัวเราเอง เลิกไม่กินเนื้อสัตว์นี่ อะไรมันเป็นตัวกาม อะไรมันเป็นตัวติดยึด แล้วเราลด ลงได้ อ่านเห็น เชื่อว่าดีน่ะ ไม่กินเนื้อสัตว์นี่เชื่อว่าดี ไม่วิจิกิจฉา แล้วลด มาลดได้จริงๆ เห็นเกิดญาณ จริงๆ ว่าเออ เราลดได้สบาย เบา ง่าย เห็นทั้งในด้านจิตวิญญาณ เห็นทั้งในด้าน ของสรีระ เห็นทั้ง ในด้านของคุณค่า ว่า เอ้อ... มันจริงนาดี โน้นดีนี้ จนคนบางคน นี่บรรยายมีแง่เชิง ที่เอามา ประกอบ การบรรยายว่า ลดไม่กินเนื้อสัตว์นี่ มีคุณค่าอะไรนี้ มีประโยชน์อะไร มาช่วยกัน เสริม เหตุผลได้ แล้วเราก็จริงเลยนะ ใจของเราก็จริงว่า เออ...ก็ลดได้จริงๆ นี่มันดี แล้วจะรู้กิเลส ของเราเลยว่า เราลดได้จริงๆ เราวางเฉย ตัดเนื้อสัตว์ ก็มีวิถีทางที่จะเป็นอยู่ มันก็ลดกาม นั่นแหละ ลดกาม

แม้แต่ในเรื่องพาคุณมาลด การแต่งเนื้อแต่งตัว ก็ลดกาม รูปสวย รูปงาม กลิ่นหอม อะไรต่างๆ นานา ก็ลดกาม แม้แต่มาถอดรองเท้า ก็พากันมาลดกาม หนักเข้านี่ อาบน้ำไม่กี่ขัน ไม่ถูสบู่ นี่ก็ลดกาม ทั้งนั้นแหละ ลดกามทั้งนั้นแหละ นานาสารพัดต่างๆนานา แม้แต่พาคุณมา ขัดส้วม ก็ลดกาม มีอัตตามานะ อยู่ด้วยการถือศักดิ์ศรี ถือตัวเราเป็นคนสูง จะมาทำงานต่ำ มันไม่ได้ ก็มีอยู่ด้วยกัน มันซ้อนกัน บอกแล้วมันสัมผัสกัน อัตตาก็ด้วย แต่ก็รังเกียจนั่นแหละ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส นั้นแหละ โอย สกปรกเหม็น รูปสกปรก น่าเกลียด กลิ่นสกปรก น่าเกลียด สัมผัสเข้า ก็น่าเกลียด อะไรก็ติดยึดอยู่ ยังงั้นแหละ ให้มาขัดส้วม ให้มาทำความสะอาด ให้แบกขน จับนั่น ของหยาบ ของหนัก อะไรต่างๆนานา ก็แล้วแต่เถอะ สัมผัสที่เราไม่ชอบ เย็น ร้อน อ่อน แข็งอะไร ต่างๆ นานา เราก็มาลดกาม เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย โดยตรงนี่ไม่ต้องพูดหรอก แล้วก็พูดกันอยู่ เท่าไหร่แล้ว มาแนะนำ ให้พยายามลดออก ละเว้นออก แม้มาอยู่ด้วยกัน นี่ก็เป็นข้อปฏิบัติ เป็นตัวอย่าง เป็นแบบฝึกหัด ให้พิสูจน์ทั้งนั้นแหละนะนี่ ว่าก็ว่าเถอะ อยู่กันอย่าง สหศึกษา พวกเรานี่ อยู่กันอย่าง สหศึกษา คลุกคลี คนข้างนอก เขานี่โอ้โห ไอ้พวกนี้ เละเลย มันขนาดนี้ มันไม่เละ ยังไงไหว เขาเข้าใจอย่างนั้น ก็เขาวัดของเขาดู ประมาณของเขาดู เขาคงนึกว่าโอ้โฮ... นี่มันคลุกคลี ปนเปกัน โอ้โฮ นี่หนุ่มๆสาวๆ เยอะด้วยน่ะ พวกเรานี่

จับไปอาบน้ำนมแล้วก็ แหม เปลี่ยนทรงผม ใครตาชั้นเดียว ก็ไปทำตาสองชั้น ใครจมูกไม่โด่ง ก็ไป ตบแต่งหน่อย ปากคอมุมนั้นมุมนี้ ทำเล็กทำน้อย นี่ ส่งเข้าประกวดนางงามก็ได้บางคนน่ะ หา หลายคน อยู่นะ ส่งเข้าประกวดนางงามนี่ ดูท่าที ให้เดินโชว์เชฟก็ได้ แล้วก็อยู่กันยังงี้พวกเรา อยู่ไปยังงี้ ล่อแหลมนะ แต่ก็เป็นแบบฝึกหัด ที่เราได้มีสัมมัปปธาน ได้สังวรปหานกันไปพอสมควร หลายคน จะรู้ตัวว่า ต่อสู้ เราต่อสู้ เราได้ปฏิบัติ มีแบบฝึกหัดจริง มีของจริง ไม่ใช่มานั่งคิดนั่งนึก นั่งสะกดจิต อยู่อย่างเดียวไม่ใช่ นี่เป็นตัวปฏิบัติสัมผัสแตะต้องโดยธรรมชาติๆ เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย นี่แล้วก็อยู่ได้ กันขนาดนี้นี่ สิบกว่าปีแล้วนี่ มีเรื่องมีราวบ้าง เรื่องราวมันต้องมีบ้าง เรื่องราวขนาดนี้ อาตมาถือว่า ไม่เลวนัก ไม่เลวทีเดียว สิบกว่าปีแล้วนี่ มีเรื่องราวไม่ทุเรศทุลังการอะไร มากมาย ก็มีเหตุการณ์บ้าง เป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าอยู่ทั้งองค์ยังเกิดเลย นี่ไม่ได้หมายความว่า อ้างพระพุทธเจ้า มาเพื่อแก้ตัวหรอกนะ แต่ว่า มันก็ได้ขนาดนี้ ในยุคกาลปลุกเร้ากันขนาดนี้ ได้ ขนาดนี้ ก็พอสมควร

ทีนี้ พวกเรามาได้ลดละ จางคลายแล้วก็ยังมีอัตตาที่ซ้อนอยู่ในตัว อัตตานี่แหละ อัตตามานะนี่ มันถือดี อยู่ในนี้ ข้าได้จริงๆน่ะ ข้าก็ได้ ข้าก็พอรู้ ก็ถือดี ไอ้ประเภทที่แค่ไม่กินเนื้อสัตว์ ได้ทั้งๆที่ ยังไม่ค่อยมีญาณ ไม่ค่อยรู้อะไรเท่าไรหรอก ก็เป็นแค่รูปก็มีอัตตามานะแล้ว แล้วก็ได้แล้วนี่ ได้แค่ ไม่กิน เนื้อสัตว์อย่างเดียวอะไรยังงี้ เป็นต้น เสื้อผ้าหน้าแพร ก็ยังพริ้งอยู่หรอก บางคนน่ะเยอะ นี่ชาวอโศกเราก็ว่า เป็นชาวอโศกน่ะ ฉันไม่กินเนื้อสัตว์เหมือนชาวอโศก ทั้งๆที่ยังไม่เกิดญาณอะไร เท่าไหร่หรอก ก็เป็นอัตตามานะก็กั้น ยังไม่ได้เป็นโสดาโสเดอ อะไรหรอก ไอ้แค่ไม่กินเนื้อสัตว์ หรือแม้แต่ บางคนอย่างพวกเรานี่ อย่าว่าแต่ไม่กินเนื้อสัตว์เลย มาอยู่วัดด้วย นี่ ฉันไม่แต่งเนื้อ แต่งตัว แล้วนะ แต่เกิดญาณ เกิดความจริงที่รู้แจ้งเห็นจริงบ้างไหมว่า จิตใจของเราที่เป็น อัสสาทะ ทางกามก็ดี มีมานะอัตตาก็ดี มันลดละจริงไหม เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ลดละจริงๆ มาในนี้ก็โอ้โฮ ซัดกันอยู่ในนี้ ข้าใหญ่ ข้าเก่งอะไรไม่รู้ แหม รู้มาก บรรยายยังโน้นยังนี้ นะ ไปหลงในกาม โดยที่ตัวเอง นึกว่าตัวเอง มาแต่งตัวมอซอแล้ว รูปนอกแต่งตัวมอซอนะ แต่เรื่องกาม เรื่องสัมผัส เสียดสี เรื่องผู้หญิงผู้ชาย หนักเข้าๆ ก็ถึงขั้นจะต้องไปมี ปฏิบัติการทางด้านนี้ โดยพรางตัวเอง โดยไม่บอก ไม่รู้ตัวพรางตัวเองไปโน่นไปนี่ แต่แท้จริง ลึกๆ จิตสำนึกนี่มันไม่บอกเราน่ะ ถ้าเราไม่มี ญาณพอ เราจะไม่รู้จักจิตใต้สำนึกของเรา แล้วมันทำงานๆกิเลสนี่อยู่ใต้สำนึก เป็นอนุสัย เป็นอาสวะ นี่ มันทำงาน แล้วมันไม่บอกเราหรอก มันหลอกเรา

ถ้ามันไม่หลอกเรา ก็เราก็ทำชั่ว ไม่ได้หรอก ถ้าเราทำชั่วได้ ก็เพราะกิเลสมันหลอกเรา แล้วเราก็นึกว่า เราพาซื่อ ก็คือโง่นั่นเอง เราก็พาซื่อ นึกว่า ไอ้โน่นไอ้นี่ แก้ตงแก้ตัวเสร็จ แล้วก็ไปปฏิบัติ สภาพที่มัน ตกต่ำ เป็นสภาพที่ไม่ควรจะกระทำ ก็ไปกระทำขึ้นโดยไม่รู้ อย่างนี้แหละ ก็เป็นอัตตามานะ นึกว่า ตัวเองรู้ นึกว่าตัวเองเก่ง แต่เข้าใจผิด เสร็จแล้ว ก็ซ้อนเชิง ไปจนกระทั่งตกต่ำ ซ้อนไปหากามอีก รูปนอกนึกว่า เป็นคนวัดแล้วนะ เหมือนกะเราไม่แต่งเนื้อแต่งตัว ไม่รักสวยรักงามอะไร แต่มันเป็น กาม ที่หยาบอยู่ ยังงี้เป็นต้น เรื่องผู้หญิง ผู้ชาย เรื่องอะไรต่ออะไรไปยังงี้เป็นต้น ก็ไปเลอะเทอะ อย่างเก่า อะไรงี้เป็นต้น นี่มันซ้อน เพราะฉะนั้น จะต้องอ่าน จะต้องตรวจตรา จะต้องพิจารณาเห็น ให้จริงเลยว่า เราเองนี่ แล้วมันหลอกล่อเรา นี่ ช่วยเขายังโน้น ไปช่วยเขายังงี้ ใน เรื่องผู้หญิง ผู้ชายนี่ พระพุทธเจ้า ท่านสอนว่า ตัดสะพานเชียวนะ อย่าไปนั่งเป็นอวดดี เรานึกว่าเราเก่ง เราตาย นึกว่าเราเก่ง ตาย เสร็จแล้วเราก็ตาย หนักเข้า ก็เสียเนื้อเสียตัวแล้วยัง ไม่มีอะไร เรื่องสุญตา เรื่องจิต ว่างๆ บ้าๆบอๆ ต่ออะไร เสร็จแล้ว เราก็ไปนึกว่าเราเองนี่เราแน่ กิเลสมันซับซ้อน ถ้ากิเลสมันไม่เก่งน่ะ มันไม่ทำให้ศาสนาพุทธนี่ หมดศาสนาพุทธไปได้หรอก เพราะฉะนั้น ศาสนาพุทธ ก็จะเกิดมาช่วย ยุคสมัย เกิดมาช่วยมนุษยชาติในช่วงหนึ่ง ยุคหนึ่ง อย่างพระพุทธเจ้าเราก็พระสมณโคดม นี่ก็คิดกัน ว่าก็รู้กันอยู่ ก็ประมาณ ๒,๐๐๐ ปี แล้วก็ต้องเสื่อมต้องหมด กิเลสมันชนะ ห้าพันปีเศษ กิเลสก็ครอง ศาสนาพุทธก็หมด ต้องรอพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ มาสถาปนาศาสนาพุทธขึ้นใหม่ กิเลสชนะ

นี่ทุกวันนี้ ใกล้เข้าไปเรื่อยๆแล้วกลียุคใกล้เข้าไป เพราะฉะนั้นยาก แล้วความเฉลียวฉลาดทางโลกียะ มันเยอะๆ พูดก็พูดก่อนจะจบรายการนี้ อาตมาได้อธิบายทั้งกาม และอัตตาพอสมควรแล้วนะ ในเรื่องวันนี้ แล้วสุดโต่งสองด้าน มันไม่ใช่น้อยๆ และเหลือเศษเหลือน้อยก็พูดแล้ว ก่อนสรุป เศษเล็กเศษน้อย ยังไม่หมดกาม ยังไม่หมดอัตตา นั่นก็ยังเป็นโต่งอยู่เหลือนิดหนึ่งเป็นธุลีละออง แค่อโสกะ วิรัชชะ ก็ตาม ก็ยังถือว่า ยังโต่งไปด้านใดด้านหนึ่งอยู่ ศูนย์กลางนิวตรอนไม่มีเลย นี้ถึงจะ สุดโต่งสองฝั่ง ไม่มีโต่งไปในที่สุดทางไหน ก็ไม่สุดทางไหนไปทางไหน ก็ไป ทางไหน สุดสิ้นโต่ง สุดสิ้นทั้งกาม ทั้งอัตตา หมดเลย จึงจะเรียกว่า พระอรหันต์ จึงจะเรียกว่า หมดสิ้นในสองขั้ว สองด้าน ของกาม และอัตตา จะต้องเข้าใจอย่างนี้ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร สอนสุดโต่งนี่ ไม่ใช่ท่านสอน แล้วก็พูดกันหยาบๆ แต่แค่โต่งงั้น ถูก แต่ก็อยู่ฐานเดียวละฐานมิติที่หนึ่ง เบื้องต้น หยาบๆแค่นั้น แล้วเมื่อไร มันจะได้เรื่องได้ราว ก็ประมาทอยู่ว่า เรารู้แล้ว เออ...เอ็งรู้แล้ว แต่เอ็ง ก็ยังไม่ออก ด้วยซ้ำไป เอาเถอะ เอ็งออกแค่นั้นได้ ก็ยังไม่ได้เข้ากระแสด้วยซ้ำ สุดโต่งแค่ไม่ทรมานตน แบบฤาษีแค่นั้น จะไปได้เรื่องอะไรเล่า ยังไม่เข้าเลย อัตตาตัวเอง มีกามขนาดไหน ยังไม่รู้ตัว กามคือ ความใคร่ ความอยากในอบายมุข ยังไม่รู้ตัวเลย ก็ยังเสพอบายมุขอยู่นั่นแหละ ยังงี้มันก็ไปไม่รอด

ว่าก็ว่าเถอะ อาตมาเองนี่นะ เมื่อกี้ว่าจะพูดก่อนที่จะจบ อาตมามาทำงานทุกวันนี้นะ บอกแล้ว มันใกล้กลียุค ความร้อนแรงของกิเลสอัตตาก็ดี กามก็ดี มันมากแสนมาก เปรียบประดุจกะอาตมานี่ กำลังจะเข้าไปเป็นแชมป์ จะชิงแชมป์ๆ นี่ ก็จะต้องเจอแชมป์ที่เผ็ดร้อน เจอแชมป์ที่หนักหนา ก็เหมือน กับโลกียะ ที่จัดจ้าน นี่จะต้องนับวันที่จะสู้กับกิเลสของโลกโลกียะนี่ หนักขึ้นถึงจะพิสูจน์ ฝีมือแชมป์ใช่ไหม ฟังดีๆ มันต้องเป็นแชมป์ชั้นสูงขึ้นๆๆ ก็ต้องต่อสู้กับอ้ายตัวจิตร้ายแรง ร้ายกาจขึ้น เรื่อยๆ

ถ้าเราจะอยู่ในยุคกาลหนึ่ง เป็นโพธิสัตว์อยู่ในยุคกาลหนึ่ง อยู่ในยุคกาลของพระพุทธเจ้า ที่มีศาสนา ตั้งล้านปีค่อยสูญ โอ๊ย มันแสนจะมีคนดีมาก แล้วก็ว่า ไอ้เรื่องร้ายๆๆ เลวๆ นี่เป็นแชมป์ก็แชมป์ ดูใหญ่ เชิงหนึ่งน่ะ ดูใหญ่เชิงหนึ่ง แต่โดยโพธิสัตว์แล้วเล็ก ใหญ่พระพุทธเจ้าใหญ๋ๆ ที่ท่านเอง สอนศาสนา โอ้โฮ ศาสนาของท่านอยู่ได้นานกว้างไกล ช่วยคนได้มาก ดูมุมนี้เหมือนใหญ่ แต่โพธิสัตว์ เกิดในยุคนั้นน่ะ โพธิสัตว์เล็ก

โพธิสัตว์ใหญ่ ไปเกิดในยุคที่ยิ่งอายุศาสนาพุทธน้อย เพราะโลกีย์มันเก่ง โลกีย์มันจัดจ้าน ต้องต่อสู้ มันจัด สู้มันหนัก โลกโลกีย์นี่หนัก ฟังออกไหม ฟังเข้าใจใช่ไหม เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หรอก พวกคุณมาได้ขนาดนี้ ท่ามกลางโลกียะจัดจ้านขนาดนี้นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ มาได้ขนาดนี้ ก็พอสมควร แต่อย่าลืม เรื่องกามก็ดี เรื่องอัตตาก็ดี จะต้องเกิดญาณปัญญา จริงๆ โดยเฉพาะเรื่องอัตตานี่ ทำให้เราเฉื่อย เราได้มาบ้างแล้วละ กามในเรื่องโลกธรรม เอาละ เราเข้ามานี่ เราก็พ้น อัตตกิลมถานุโยค ในเรื่องสักกายะเรื่องหยาบๆมาได้ แต่มาแล้วก็มาละกามได้ เล็กๆน้อยๆ เพราะมัน ยังมี อัตตาซ้อนถือดีอยู่ในตัวในนี้กัน ถือดีถือตัวในกันและกัน ข้าก็รู้ ข้าก็เก่ง ข้าก็มาก่อน ข้าบารมี มากกว่าแก อะไรนี่ อยู่ยังงี้ มันเป็นสงครามอัตตากันเยอะ แม้จะเป็นแบบฝึกหัด ในด้านกาม เราก็ศึกษากันดู

แบบฝึกหัดอัตตานี่ด้วย พวกเรานี่แหละ เป็นตัวต่อสู้กันเอง แบบฝึกหัด อัตตาด้วยแล้ว มันเนียนใน มันลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ผู้ยิ่งลดตัวลดตน ผู้ยิ่งเข้าใจ รู้จักถ่อมตน รู้จักมี คารโว นิวาโต เป็นผู้ที่ยอม เป็นผู้ที่ ละอัตตา จริงๆตั้งแต่เป็น สมณะ สิกขมาตุ ไปโน่นแหละ อย่าว่าแต่เป็นฆราวาสเลย ยิ่งได้เครื่องแบบล่ะ เหมือนกะเราใหญ่ เราเบ่ง นี่ ระวัง มันไปกันใหญ่เลย แล้วมันไม่รู้ตัวนี่อัตตา ไม่รู้ ตัวนี่มานะ ไม่ยอม ไม่ยั้ง ไม่นึกว่าตัวรู้ นึกว่าตัวถูกต้อง เอาชนะคะคาน ต้องข่ม ต้องเบ่ง ต้องอะไ รต่ออะไรต่างๆ ได้อิทธิพลของรูปแบบ ได้อิทธิพลของอะไรนี่บ้าง บางคนก็มาเป็นคนเก่า นี่ฉันเป็น อารามิกแล้วนะ ฉันเป็นอารามิกาแล้ว อะไรต่ออะไร ยังงี้เป็นต้น ต่างๆนานา ก็ตาม ขอเตือน ขอให้มอง ในแง่ของการถือตัวถือตน แล้วเราลดลดยังไง ลดยอมให้ได้ซิ มันจะตายไหม ประสาน สัมพันธ์ เป็นผู้น้อย อ่อนน้อมถ่อมตนคารวะ ยินยอม พวกเรายังมีเรื่องพวกนี้ยังคา ยังค้าง ยังขัด กันอยู่ มันยังไม่ประสมประสานกันดี อาตมาละเหนื่อยๆ อาตมาเคยพูดเคยบ่นขนาด มีสิกขมาตุ ๒๐ กว่ารูป นี่นะ แหม อาตมาละมันน่าจะอบอุ่นที่สุด มันน้อยคนน่ะนา มันน่าจะ ประสานกันนี่ เป็นพี่น้อง ๒๐ พี่น้องที่สมานกันดี อาตมาก็พูดแล้ว ก็ไม่อยากพูด ถ้าเป็นคนประเภท ที่เป็น นางเอกหนัง ก็คงจะช้ำใจ ร้องไห้ตาบวมจริงๆ มัน แหม เป็นยังไง เราไม่เก่งนะ ได้แต่โทษตัวเอง ว่า เราไม่เก่ง เราสอนยังไง ที่ทำให้ เขาเข้าใจไม่ได้ แล้วเขาก็ลดละอัตตาไม่ได้อะไรนี้ มีอยู่ ๒๐ คน มันน่าจะเป็นกลุ่ม ก้อน พี่น้องที่พวกคุณมาเห็นก็โอ้โฮ ศรัทธาเลื่อมใสเหลือเกิน พี่น้องมาจากเหนือ จากใต้ ก็เป็นพี่น้องกัน สมานกันดี นี่ไม่ บางคนหลายคนไม่พูดกันเลย พูดกันก็คือกัดกัน เจ็บแสบ จริงๆ อาตมาเจ็บแสบนะ อาตมา จริงมันไม่ใช่ความผิดของเขาหรอก เป็นความผิดของอาตมา ที่อาตมา สอนกันไม่ได้ บอกกันไม่ได้ ไม่มีความสามารถที่จะสอน ที่จะทำให้แจ้ง ทำให้อุตสาหะ วิริยะ ลดละกิเลสของตัวของตน อาตมาไม่สามารถที่จะเปิดของลึกให้ตื้น ให้เขาสามารถเห็นจริง เห็นจัง จนกระทั่งมีกำลัง มี วิริยินทรีย์สูง พากเพียรปฏิบัติตนเพื่อให้ลดอันนั้นๆๆ ได้

อาตมาไม่สามารถกว่านั้น แต่ภูมิหนึ่ง ได้ดีขนาดหนึ่งก็ได้ดี ไม่ใช่ว่าอาตมาพูดแล้ว ก็ไปข่มขี่ ดูถูก กันทั้งหมด ก็ดีขนาดหนึ่ง สามารถอดทน สามารถอยู่ได้ขนาดนี้ ก็ได้ดีขนาดหนึ่ง อัตตามานะ ส่วนย่อย ส่วนกามก็มาได้ขนาดนี้ ก็พอใช้ได้ แต่อัตตาในเรื่องต่อๆๆ อาตมาตีไม่แตก อาตมา ช่วยไม่ได้ อาตมามันรู้สึกว่าตัวเองยังไม่มีฝีมือ ยังไม่สามารถเลย จะทำยังไงก็ยังหาวิธีอยู่เหมือนกัน แหม งานมันก็เยอะนะ งานเพื่อหลายคน หลายผู้อะไรเลย ทางนี้ก็เลยไม่ค่อยได้ ก็เคี่ยวน่ะ ที่จริง อาตมาก็ว่า แต่ไม่ค่อยใส่ใจเท่าไหร่ มันเป็นอัตตามานะ มันถือดีน่ะ อาตมาจะเทศน์เมื่อนั่น เมื่อนี่ ไม่ใส่ใจ ศึกษาเท่าไร มันก็ได้เท่าเก่า อาตมาแทรกอยู่นะ คนปฏิภาณดี ก็เก็บได้ตลอด นี่ตัวนั้นตัวนี้ เมื่อนั่นเมื่อนี่ ก็เก็บได้ แล้วก็ไปสังวรระวัง ไปสำนึกสำเหนียกตัวเอง ละอายตัวเอง ไอ้ญาณนี่บางที มันก็บังคับกันไม่ได้ ไม่ใช่บางทีหรอก บังคับเมื่อไหร่ มันก็บังคับไม่ได้หรอกญาณนี่ เขาไม่รู้ตัวจริงๆ ถือดีถือตัว มีอัตตา มีมานะ มีโน่นมีนี่ ไม่ใช่เรื่องของกาม แต่เป็นสงครามอัตตา ไม่ใช่สงครามกาม เท่าไหร่หรอก อย่าว่า เป็นสิกขมาตุนี่ ก็ทุกวันนี้ ก็สงครามเรื่องกาม เรื่องผู้หญิงผู้ชาย ก็ไม่ค่อยเท่าไหร่ หรอกนะ สิกขมาต ๒๐ รูปนี่ ดูสงครามทางกาม เรื่องผู้หญิงผู้ชายไม่เท่าไหร่หรอก แต่ก่อนนี้มีบ้าง เดี๋ยวนี้ ก็ไม่เรียกว่า ดีพอได้เทียว แต่กาม เรื่องรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยังมีอยู่นะ เป็นเรื่องที่ ละเอียด ลึกซึ้งขึ้น แต่ในเรื่องอัตตานี่ซิ มันซ้อนกันได้ ถ้าลดอัตตาไม่ได้ กามจะเจริญไปกว่านั้นอีก ก็ไม่ได้ มันมีขั้นตอน มันกลับไปกลับมา อัตตากามๆๆๆๆ มันมีสองขั้วเท่านั้นแหละ โต่งสองขั้ว เท่านั้นแหละ กามสุขัลลิกะ กับอัตตกิลมถานุโยค ไม่มีขั้วอื่นน่ะ มันแล้ว มันจะเนื่องกัน หนุนกัน ช่วยกัน

ถ้าไม่ลดอัตตา กามที่ละเอียดก็ไม่ได้
ถ้าไม่ลดกาม อัตตาละเอียดก็ไม่ได้
ถ้าไม่ลดอัตตาละเอียด กามละเอียดอีกก็ไม่ได้
ถ้าไม่ลดกามละเอียดไปอีก อัตตาที่ละเอียดนี่ก็จะขึ้นมาอีกไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ทั้งสองด้าน นี่สรุปให้ฟังชัดๆ

ที่อาตมาพูดยกตัวอย่างสิกขมาตุนี้ ไม่ใช่ว่า อาตมาไปลบหลู่สิกขมาตุ พวกเราฟังแล้ว ก็อย่าไป นั่งมอง โดยเฉพาะต้องรู้จักสมมติรู้จักฐานะส่วนดีมี ได้ดีมาไม่ใช่น้อย แต่อาตมาช่วยมากกว่านี้ไม่ได้ มันก็เลยได้แค่นี้นะ อาตมาก็ยังต้องโทษตัวเอง อาตมาบอกแล้วว่า อาตมาสอนสูงกว่านี้ยังไม่ไหว สอนสูงกว่านี้ไม่ได้ รับไม่ได้ แล้วอาตมาก็มีงานเยอะ ทั้งสมณะเองด้วย ก็ต้องสู้เหมือนกัน ต้อง พยายามช่วยสมณะพวกเราเอง อีกเหมือนกันแหละ จะว่าไปแล้ว ไม่ใช่ว่ายกสมณะ เท่านั้น ไม่ใช่ว่า สมณะก็ดีนักหนา จนกระทั่งเลิศลอยก็ไม่หรอก ก็มีส่วนบกพร่อง แต่ก็ดี สมณะของเรานี่ก็ภาคภูมิ น่าดูนะ ดีไม่ใช่เล่น มีคนมาพบมาเห็น มารู้ มารับรู้มา อะไรต่ออะไรขึ้นมาเรื่อยๆ แหละ ก็ค่อยพากเพียรไป

ส่วนติ อาตมาก็ติ ก็เตือน ก็ติงมา เทศน์วันนี้ ส่วนชมไม่ได้มากนัก ส่วนติ ส่วนเตือน นี่แหละมากกว่า ส่วนดีก็มีอยู่ อย่าเป็นคนเผินๆ อาตมาพูดยังงี้ แล้วก็เลยกลายเป็นมองต่ำ มองหมิ่น และลบหลู่ดูถูก อะไรกัน ไม่ได้นะ ต้องพยายามศึกษา และพยายามพิจารณาให้ดีๆ

เอาเลยเวลาไปมากแล้ว วันนี้ขอจบ


ถอดโดย จอม ศรีสวัสดิ์ ๑๖ ก.ย.๒๕๓๔
ตรวจทาน ๑. โดย สม.ปราณี ๑๗ ก.ย. ๒๕๓๔
พิมพ์โดย สม.นัยนา
ตรวจทาน ๒. โดย ปาณิยา
เข้าปกโดย สุริยา รุ่งเรือง
เขียนปกโดย พุทธศิลป์

ความสุดโต่งสองทางอย่างเจาะลึก / FILE:1839B.TAP