มนุษย์พุทธบริษัท ตอน ๑
โดย พ่อท่านโพธิรักษ์
เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๓๔
ณ พุทธสถานศาลีอโศก

วันนี้เราก็ได้โอกาส ได้มาฟังเทศน์กัน นอกจากพุทธาภิเษกฯแล้วได้มารวมกันฟังเทศน์ ที่ศาลีอโศก สักที ก็แปลกดี (หัวเราะ) ตื่นเช้า อยู่ๆก็ขึ้นมานั่งฟังธรรมกันที่ศาลีอโศกนี่เอง ก็ดีเหมือนกันนะ แล้วมัน ก็เหมือนบ้านเราอีกแหละ มาก็มาเหมือนบ้านเรานะ มาที่นี่ก็เราเป็นผู้เลี้ยงง่าย เป็น สุภโร เป็นผู้ที่เรา ได้ฝึกปรือ เป็นผู้ไม่ติดไม่ยึดในการเป็นอยู่ ในเรื่องสิ่งแวดล้อม ในอะไรต่างๆนานา แม้แต่ โภชเนมัตตัญญุตา เราฝึกมาจนกระทั่งเรื่อง เครื่องโภคบริโภคอะไร เราก็ปลดปล่อย ไม่ติด ไม่ยึด อะไรมากมาย ไม่ได้ถือเป็นอัสสาทะ ไม่ถือเป็นของอร่อย ไม่ได้ติดในสัมผัส จะสัมผัสทางรูป รส กลิ่น เสียง อะไรต่างๆ สัมผัสข้างนอก ที่เราได้ฝึกปรือมาแล้ว เป็นการปลดปล่อยเป็นการละล้าง

เมื่อเราปลดปล่อย เมื่อเราละล้าง เราก็อาศัยมันโดยไม่ติดยึด ไม่ไปติดสมมุติว่าจะต้อง เย็นเท่านั้น ร้อนเท่านั้น อ่อนเท่านั้น แข็งเท่านั้น รูปสีอย่างนั้น กลิ่นอย่างนั้น รสอย่างนั้น เสียงอย่างนั้น แต่ก่อนนี้ เราไม่รู้ ไม่ได้เรียน ไม่ได้ฝึกหัด เราก็หลงไปตามที่โลกพาเป็น เพราะไม่ได้ศึกษาสัจธรรม เราก็เป็นผู้ที่ เลี้ยงยาก เป็นผู้ที่จะต้องได้ตามใจ ที่จริงตามกิเลส กิเลสมันไปอุปาทาน มันไปฉวยไว้ มันไปยึดไว้ มันไปเกาะไว้ติดไว้ อุปาทานนี่คือสิ่งที่เรายึด ฉวยไว้ เกาะไว้ ติดไว้ แล้วเราก็จะเอาตามที่เราฉวยไว้ ยึดไว้ ติดไว้ สมมุติไว้ จะต้องเอาอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น ตามที่เราแต่ละคนไม่เท่ากัน จะเป็นรูป ก็ตาม รูป สี แบบอะไรก็แล้วแต่ หรือรส เสียง กลิ่น อะไรก็แล้วแต่ ๒ คล้ายกันบ้าง ไม่คล้ายกันบ้าง ต่างกันนิดหน่อย ต่างกันพลิกแพลง อย่างนั้นอย่างนี้อะไร ต่างๆนานาพวกนี้ ซึ่งศาสนาพุทธเรา ได้สอน ละเอียดลออนะ ให้เราได้กำหนดรู้ แล้วก็หัดปล่อยหัดวาง เห็นให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ ไปติดยึด แล้วก็หลงว่า เป็นโลกียสุข ถ้าได้สมใจตามที่เราไปฉวยไว้ ยึดไว้ ไปอุปาทานไว้ แล้วเราก็ต้องอยาก ต้องใคร่ เรียกว่าตัณหา อยากใคร่ตามที่เราเองเราไปฉวย ไปยึดไว้นั่นแหละ แล้วเราก็เป็นทุกข์ เป็นภาระให้แก่ตัวเอง

เมื่อเราได้มาฝึกหัดเรียนรู้แล้วก็ลดปลดปล่อยลงไป ตั้งแต่สิ่งที่เราแน่ชัดว่ามันไร้สาระ มันไม่เป็น คุณค่าประโยชน์อะไรเลย เราก็ไม่ต้องอาศัยเลย ทิ้งมาได้ ไม่ต้องมี ไม่ต้องเอามาเสพ มาอาศัย ก็เหลือแต่สิ่งที่เรา จะต้องได้ใช้อาศัย ปัจจัยสี่ เป็นต้น แล้วก็ไม่ไปหลงในอนุพยัญชนะของมันอีก อนุพยัญชนะก็คือ ว่าสีจะต้องอย่างนี้ รูปจะต้องอย่างนี้ กลิ่นจะต้องอย่างนี้ รสจะต้องอย่างนี้ เสียงจะต้องอย่างนี้ สัมผัสจะต้องได้อย่างนี้ จึงจะเป็นสุข จึงจะพออกพอใจ เราก็เรียนรู้อนุพยัญชนะ เหล่านั้นของมันอีก ลดละปลดปล่อยไปก็เอา ไม่ต้องสี อย่างนั้น ไม่ต้องรูปอย่างนั้น ไม่ต้องรส อย่างนั้น ไม่ต้องกลิ่นอย่างที่มุ่งหมาย ที่ไปอุปาทานเอาไว้หรอก ไม่ต้องไปอยากได้อย่างนั้น ให้มันสมใจ อะไรนัก เราก็สบาย เราก็เบา เป็นแต่เพียงรู้สาระของมันว่า เออ! ขนาดนี้ ปัจจัยสี่ เสื้อผ้า หน้าแพร ก็ขนาดนี้ ใช้พอกันร้อนกันหนาว กันแมลงสัตว์กัดต่อย กันอุจาดอะไรพอ ขนาดนี้ก็พอ อาหารการกินก็ดี ได้ธาตุตามที่ต้องการ ควรจะเอามาใส่ร่างกาย ไปได้สังเคราะห์ร่างกายขนาดนี้ อย่างนี้ก็ดีแล้ว ไม่ต้องดิ้นรน ไม่ต้องอยากใคร่อะไรให้มันมากมาย เป็นภาระ เป็นความวุ่นวาย เดือดร้อน หนักหนาอะไรนัก ก็ดูดี ก็เราก็เบาขึ้น ง่ายขึ้น เป็นผู้เลี้ยงง่ายด้วยประการอย่างนี้

แม้แต่ที่นอนที่นั่ง เรานอนกลางดินกลางทราย รุกขมูล โคนไม้ เราก็นอนได้ พอเป็นไป ไม่ทุเรศ ทุรังการ อะไรเกินการ ไม่เดือดร้อนอะไรนัก วางใจ จะนอนก็คือพักผ่อน ไม่ติดไม่ยึด แต่ก่อนนี้ติดยึด ถึงขนาดเปลี่ยนที่นอน ยังนอนไม่หลับ จะต้องมีฟูกมีหมอน บางคนขาดหมอนข้างก็ไม่ได้ บางคน นุ่มเนียน ที่มันแข็งขนาดนั้นขนาดนี้ ก็นอนไม่หลับ เป็นที่ทรมานตัวเอง นั่นน่ะเกิดจากการติดยึด เมื่อเรา ได้มาฝึกฝนศึกษาเรียนรู้ แล้วลดละปลดปล่อย ก็ง่าย ก็เป็นผู้เลี้ยงง่าย

ผู้เลี้ยงง่าย คำนี้ลึกซึ้ง แต่เขาไปแปลกัน แปลกันอย่างมักง่าย เลี้ยงง่ายคือใครเอาอะไรมาบำเรอ ก็รับหมด อย่างอาหารการกินที่เขามาตู่เรา เป็นต้น ใครเขาเอาอะไรมาให้ ใส่บ่งใส่บาตรให้ ก็ต้องรับ มากินหมดซิ ต้องรับหมด ไปปฏิเสธอย่างนั้นได้อย่างไร เป็นคนเลี้ยงยาก เลือกกิน แน่ะ! ใครมัน เลือกกินกันแน่ ทีตัวเองรับไปแล้วไปถึงวัด ก็จะเอาออกมา มาเลือก ไอ้นี่อร่อย ไอ้นี่ไม่อร่อย ไอ้นี่ เอาไปเหอะ เอ็ง ให้ลูกศิษย์ ไอ้นี่ เออ!อันนี้ ใครเอาของข้าไปนี่ แหม! จำได้นะ เขาใส่บาตรมาน่ะ ใครเอาของข้าไป ไอ้จริงๆ เขาตู่ว่าพวกเรา พวกเราเลี้ยงยาก เพราะว่าต้อง แหม! ต้องเลือกกิน ต้อง กินอาหาร ไม่มีเนื้อสัตว์ นี่มันเลือกกิน ไอ้การเลือกชนิดที่มีเจตนารมณ์ มีความรู้ มีความเข้าใจนี่ มันซ้อนลึกอยู่ มันชัดเจน เพราะฉะนั้น ต้องใช้ปัญญา ให้รู้ดีว่า เจตนาอะไร เจตนาลดละ ปลดปล่อย หรือว่าเจตนาที่จะเข้าไปติดไปยึด เลือกกิน ประเภทเลือกออก หรือเลือกเอา เลือกออก เลือกเอา มันก็ต่างกัน อย่างนี้ เป็นต้นนะ

นี่ก็พูดทบทวนนะ พูดทบทวนที่ได้เคยบรรยาย พูดมามากมามายแล้ว แต่เราก็ทบทวนดูให้เห็นว่า สุภโร สุภระ ผู้เลี้ยงง่าย คนที่เลี้ยงง่ายได้ นี่มันจะมีความหมายไม่ใช่น้อยๆ เราได้ปฏิบัติ แล้วเป็น ผู้เลี้ยงง่ายได้จริงก็เพราะ เป็นผู้ลด ละลดปลดปล่อย ไม่ติดไม่ยึดจริงๆ แต่ก็ไม่ใช่เป็นผู้ที่ ทรมานตน หรือว่า เป็นผู้ที่โง่เง่า โง่เง่า เลี้ยงง่ายประเภทโง่ๆเง่าๆ หรือเลี้ยงง่ายประเภทที่ไม่รู้จัก สารัตถะอะไร เลี้ยงง่าย ประเภทที่เหมือนหมูเหมือนหมา อะไรต่างๆนานา ก็ไม่ใช่ เราเป็นคนเลี้ยงง่ายที่มีปัญญา ที่รู้เหมาะ รู้ควร รู้จักการประมาณ รู้จักการกำหนด รู้อะไรต่างๆนานา อย่างเป็นผู้ที่ทรงปัญญา ไม่ใช่เป็น คนมักง่าย เป็นคนที่โง่เง่า ประเภทงมงายอะไรต่างๆนานา อย่างนั้นไม่ใช่นะ

เพราะความเลี้ยงง่ายของเรานี่เอง เราจึงเป็นผู้เบา ว่าง ง่าย เรียบง่าย แล้วก็ไม่เป็นทุกข์ จะไปไหน มาไหน ก็ไม่ได้ร้อน นี่ ถ้าเผื่อว่าพวกเรานี่เลี้ยงยาก มาอยู่ที่นี่ต้องต้อนรับกัน ต้องหาที่หาทาง ต้องจัด แจงโน่นๆนี่ๆ อะไรมาๆไว้บำเรอ มาคอยสนองความติดยึดของพวกเรา หนัก เป็น ภาระกันยุ่งยาก มากมาย จะไปก็ต้องยาก จะมาก็ต้องยาก นี่ขนาดขึ้นรถ รถมันตายๆเตยๆ ก็เข็นกันมา ก็มาถึงอะไร อย่างนี้ สบายนะ ใครไม่ติดไม่ยึด ก็ไม่มีปัญหา ใครติดยึดก็บอก แหม!อะไรวะ หารถ รถยังมาตาย ต้องมานั่งเข็น ดูซินี่ขึ้นสะพงสะพาน ก็ต้องมานั่งเข็นกันนี่ รถเบ้อเร้อเบ้อร่า ถ้ายิ่งจ่ายสตางค์ด้วยก็ คงติดยึด ยิ่งกว่านี้ ถือสายิ่งกว่านี้ ไปข่ายสตางค์แบบโลกๆเขานี่ โอ้โห! ต้องยึดมั่น ถือมั่นว่าข้า จ่ายเงินนะ นี่พวกเราบางคน อาจจะจ่ายเงินด้วย แต่ก็ยังไม่ยึดเหมือน กันกับจ่ายทางโลก ทางโลกนี่ จ่ายเงินไอ้นี่ให้ค่าทุกอย่าง บริการไว้แล้วนี่ โอ๊!มันจะติดยึดจัดจ้านกว่านี้มากมาย แต่นี่เราไม่ได้ถือสา ขนาดนั้น จะเห็นได้ว่า การติดยึด การเอาเป็นเรา จะต้องได้ตามใจเรา จะต้องยึดให้ได้คุ้ม ให้ได้เกิน ให้ได้เปรียบ มันมีรุนแรง จะเห็นได้ว่า การปลดปล่อยนี่มันคืออะไร

ถ้าเราไม่ติดยึดนี่ เราได้ปลดปล่อยต่างๆนานาพวกนี้ ใครทำได้มากก็สบายมาก เบาว่างมาก ก็ไม่เห็นตาย ไม่เห็นว่ามันอะไรกันนักกันหนา แต่เพราะไปติดยึดกันนี่ถึงเป็นเรื่องเป็นราว เป็นอะไร วุ่นวายกันมากนะ

ความหมายในคำว่าคนเลี้ยงง่าย ผู้เลี้ยงง่าย ที่กำลังขยายความให้ฟัง จะเห็นได้เด่นชัดว่า เราเป็น ผู้เลี้ยงง่ายขึ้นมาได้จริง ตามที่พระพุทธเจ้า ท่านหมาย อาตมาเอามาขยายความให้ฟังนี่ มันมีความหมาย ที่มันสอดคล้องกับความเป็นได้ ลดได้ละได้ ลดความติดความยึดจริงๆได้ จริงหรือไม่ มากน้อยแค่ใด แต่ละคนแต่ละคน ก็เอาไปไตร่ตรองดู แต่ก่อนนี้เราไม่ได้เป็นอย่างนี้ แต่ก่อนเราติด เรายึด เราก็ไม่รู้เรื่อง นับวันแต่จะติดยึดมากมาย ก็ไปเอาตามใจตัว กิเลสนั่นเอง แหละ จะยึดจะสมมุติจะโน่นจะนี่ ยิ่งเป็นเจ้าใหญ่นายโต เป็นผู้ใหญ่ผู้อายุมาก มีลูก มีหลาน ยิ่งมีไอ้โน่น ไอ้นี่อะไรสมใจ ก็จะเอาดังใจ ให้ได้ดังใจขึ้นไปเรื่อยๆๆๆ ยิ่งเป็นคนดูแลยาก เลี้ยงดูยาก เป็นภาระ ให้แก่ครอบครัว เป็นภาระให้แก่สังคม เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น พวกเรานี่ได้ละ หัดฝึกลดละ ปลดปล่อยเข้าไปอย่างนี้ ถึงแม้จะมีตัวกิเลสอย่างที่ว่านี่ แก่เฒ่ามา มันก็ไม่เหมือนกัน ทีเดียว ไม่ใช่เป็นคนที่จะต้องเอาแต่อกแต่ใจเหมือนอย่าง ตั้งแต่ที่ไม่เคยปฏิบัติธรรม เพราะฉะนั้น คนเฒ่าคนแก่พวกเรา ก็ได้ลดได้ละลงมา ก็จะเป็นผู้เลี้ยงง่าย ไม่งอแงขี้อ้อน ขี้เอาแต่ใจตัว อะไรต่างๆ นานา เหมือนอย่างกับคนโลกๆ ที่ไม่ได้เรียนรู้ จะเป็นคนลดละ ปลดปล่อย เกรงใจ เห็นใจ แล้วก็ไม่ติด ไม่ยึดไม่ถือ เป็นคนเลี้ยงง่าย อายุมากต้องดูแลมากหน่อย เป็นธรรมดา แต่กิเลส ไม่มากขึ้น มันก็ค่อยยังชั่ว

นี่เป็นคนแก่ลงแก่ลง เลี้ยงยากขึ้นยากขึ้น เพราะว่าแก่ลง ต้องช่วยเหลือ มากขึ้น แล้ว แถมกิเลส ก็ยังติดยึดมากขึ้นอีกนี่ โอ้โฮ!ยิ่งคนแก่ยิ่งน่ารำคาญมาก เพราะฉะนั้น ตะวันตก เขาถึงไม่มีเวลา กันเลย ไปเลย คนแก่นี่ ลูกเต้าเหล่าหลานหนีหมด ทิ้งไม่เลี้ยงไม่ดู เพราะเขาไม่รู้วิธีการปลดปล่อย ไม่รู้วิธีการที่จะปล่อยวาง แล้วก็เป็น คนเลี้ยงง่ายอย่างที่กล่าวนี้ ตามธรรมดา อย่างอาตมาพูดแล้ว อย่างเป็นธรรม... ตามธรรมดาคนแก่ลงแก่ลงไปนี่ มันจะต้อง เลี้ยงดูมากขึ้น เหมือนเด็ก เด็กต้อง ดูแลมาก เพราะแกช่วยตัวเองไม่ได้ ยังไม่รู้เรื่อง ก็ต้อง ช่วยเหลือแก มากหน่อย พอช่วยเหลือตัวเอง ได้มากขึ้น ก็ให้แกช่วยเหลือตัวเอง และช่วยผู้อื่นต่อ พอแก่ลงทีนี้ ช่วยตัวเองได้น้อยลง ผู้อื่นต้อง ช่วยมากขึ้น เพราะสังขารร่างกาย หูตา ฝ้าฟาง กล้ามเนื้อ กระดูก เอ็น อะไรต่างๆนานา มันก็ชัก แย่เข้า ไม่คล่องแคล่ว ไม่ปราดเปรียว ไม่แข็งแรง แต่ถ้าจิตใจไม่งอแง ไม่เห็นแก่ตัว ไม่บำเรอตัว ไม่ติด ไม่ยึด ไม่ถืออะไรมากเกินไปนัก มันก็ยังเลี้ยงง่าย แต่ก็ต้องรู้สภาพว่า ก็ต้องช่วยมากขึ้น เพราะสังขารสิ่งนี้ห้ามไม่ได้ จะให้มันแข็งแรง ฟิตปั๋ง เหมือนกับยังหนุ่มๆสาวๆ แข็งแรงปราดเปรียว คล่องแคล่วอยู่เหมือนกัน ไม่ได้หรอก อันนี้เราพูดขึ้น ก็เข้าใจ ก็รู้ เพราะฉะนั้น เราต้องรู้กาลเวลา รู้บุคคล รู้ฐานะ ว่าเราจะต้องเกื้อกูลกัน ช่วยเหลือดูแลกัน อะไรต่ออะไรกัน ให้ได้ขนาดไหนอย่างไร

เรื่องนี้นี่ อาตมาเอง อาตมายังเห็นพวกเรายังรู้สึกว่า ยังไม่ขมีขมัน มีวัฒนธรรมที่ยังไม่น่าชื่นใจนะ เรื่องคอยดูแล คนแก่คนเฒ่า คนที่อายุมากขึ้นแล้ว คนที่เราต้องดูสังขารเหมือนกัน บางคนคนแก่ แต่แข็งแรง คล่องแคล่วอยู่ ความช่วยเหลือก็ไม่ต้องไปช่วยเหลืออะไรมากนัก ตามสภาพจริง คนนี้คนแก่ดู เออ!กระง้องกระแง้ง ลงไปแล้วนะ นั่งโอย ลุกโอย ไอ้โน่นไอ้นี่ที่จะต้องคอยช่วย คอยเหลือ ต้องดูแล จะทำอะไรแม้แต่จะไปจะมา จะกินจะอยู่ จะนอน ซักผ้าซักผ่อน ยกนั่นถือนี่ อะไรต่างๆนานานี่ เราควรจะมีปฏิภาณ มีความไหวรู้กันนะว่า เออ!นี่อยู่รวมกัน อยู่ในหมู่บ้านเดียวกัน ก็ดี อยู่ใกล้ชิดกันก็ดี หรือแม้อยู่ไกลก็พึงระลึกว่า เออ!เราไปดูไปแลซิ ระลึกถึง ไปดูว่า จะมีอะไร ขาดแคลน มีอะไรน่าช่วยเหลือ อะไรบ้าง

ถ้ามีวัฒนธรรมอย่างนี้นะ ชาวอโศกเรานี่จะอบอุ่น จะน่าเอ็นดูขึ้นอีกเท่า ไหร่ น่าเอ็นดูขึ้นมาก น่าปลาบปลื้ม น่าประทับใจ เป็นความเกื้อกูลช่วยเหลือที่มันเป็นไปตามธรรมดาเลยนะว่า มนุษย์ ที่ควรได้รับความช่วยเหลือนี่ อย่างใดๆ แล้วเราก็มีการช่วยเหลือกัน อย่างเป็นผู้ที่มีสำนึก มีปฏิภาณ ความรู้ แล้วช่วยเหลือกัน ไม่ถือสาว่านี่พ่อเราแม่เรา ปู่เราย่าเราเท่านั้น ไม่เราละ คนที่มีอายุมาก ควรช่วยเหลือ อย่างนี้แหละ เรารู้จักมักจี่ สนิทสนม หรือว่าไม่รู้จัก ถ้ามีครั้งมีคราวมี โอกาสที่เรา จะช่วย เราก็ช่วยตามความเป็นจริงที่ควรช่วย แล้วเราได้เรียนรู้ ฝึกปรือจริงๆนะ คนเรานี่แม้แต่รู้เฉยๆ แล้วไม่ได้ฝึกปรือ มันทำช้า หรือมันทำยาก ทำไม่ค่อยออกนะ แต่ถ้าเผื่อว่า ผู้ใดได้เรียนรู้แล้ว แล้วก็ ฝึกปรือ อบรมจนแคล่วคล่อง แล้วจะทำง่าย แคล่วคล่อง ไว ไม่ลำบาก ไม่ฝืน แต่ไม่ค่อยได้ทำนี่ฝืน ฝืดนะ เหมือนเสือปืนฝืดนี่ ปืนไม่ค่อยชักนี่ฝืดนะ ชักบ่อยๆนี่ปืนคล่องแคล่วนะ เสือปืนฝืดก็ว่า สำนวน เสือปืนฝืด ไม่ค่อยฝึกฝน ไม่คอยอบรม ไม่คอยทำบ่อยๆ ฝืด ลำบาก ไม่แคล่วคล่อง ไม่ถนัด ไม่ชำนาญ พูดไปอย่างนี้พวกคุณก็คงพอเข้าใจ พอรู้จริง เพราะฉะนั้น เอาแต่รู้ เอาแต่รู้ แต่รู้ แต่เรา ไม่เคยฝึกอบรมนี่ อืดอาด ไม่คล่องแคล่ว ไม่ชำนาญ ไม่ชำนาญ ไม่มีความสามารถด้วยนะ ทำเก้ๆ กังๆ ทำผิดๆ ถูกๆ จะผิดมากกว่าถูกเสียด้วย เพราะว่า ไม่ค่อยได้ซ้อม ไม่ค่อยได้ซักใช่ไหม

ถ้า ได้ซ้อมแล้วมันจะรู้ มันจะเข้าใจ จะเกิดทักษะ จะมีความชำนาญ มีศิลปะ มีความรอบรู้ ทำอะไร ก็คล่องแคล่ว ได้สัดได้ส่วน ได้ความเหมาะความสม ทำได้ง่ายด้วย เบาด้วยนะ ถ้าแคล่วคล่องแล้ว ชำนาญแล้วนี่ เบาด้วย คล่องด้วย ไอ้ทำไม่เป็นนี่ แม้มันไม่หนักไม่หนาอะไรก็ดูมันยาก ยาก ดูมันหนัก หนัก ดูมันลำบาก ลำบาก มันเป็นธรรมดานะ แม้แต่แค่นี้แหละ จะช่วยกันนะ จะแสดง กิริยา กายวาจาใจ เข้าไปโอบอุ้มเกื้อกูลแค่นี้แหละ มันไม่ใช่ง่ายนะ มันประดักประเดิด มันเก้อๆ เขินๆ มันดู หนืดๆ หนาดๆ อืดๆ อาดๆ ไม่คล่องแคล่ว ไม่ปราดเปรียว ไม่แววไว ไม่สนิทเนียน นี่ เราจะต้อง อบรมฝึกฝนกันจริงๆ

อาตมาก็แนะนะ แนะในสิ่งที่ควรจะเป็นจะไป เราได้มาขนาดนี้เป็นหมู่กลุ่ม เป็นชุมชน เป็นมนุษยชาติ ที่เป็นมิตรดีสหายดี เป็นสังคมสิ่งแวดล้อมดี ในนามของมนุษย์พุทธบริษัท พวกเรานี่ เป็นมนุษย์พุทธบริษัท เป็นมนุษย์ที่เล่าเรียนตามทฤษฎี หลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า บริษัทก็คือ เป็นคณะ เป็นกลุ่ม เป็นคน คนที่เป็นกลุ่มตามที่พระพุทธเจ้าท่านได้พาให้ฝึกฝน เล่าเรียน แล้วก็ กลายเป็น คนเลี้ยงง่าย กลายเป็นคน ที่มีวัฒนธรรม มีจารีตประเพณี มีนิสัยอย่างที่เราเป็นกันนี่ ก็จะได้เกิดการเอ็นดู ช่วยเหลือเกื้อกูล อุ้มชู พึ่งพาอาศัยกันอย่างเป็นสุข เกิดจากความรู้ เกิดจาก ความ ฝึกอบรม รู้แล้วก็ฝึกอบรม ฝึกพยายามกระทำ เป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์อันดี เป็นคนมี น้ำใจ เป็นคนมีความโอบอ้อมอารี เกื้อกูลเมตตา เป็นคนไม่ดูดาย แต่ละคนๆ มีอย่างนี้ไปเลย เป็นวัฒนธรรม จริงๆ เมื่อนั่นเมื่อนี่เมื่อใด เราก็เป็นคนอย่างนี้ ง่ายดาย มีสังวรระวัง มีสำเหนียก มีปฏิภาณ ไหวรู้ได้เร็ว ปั๊บๆๆ แล้วก็ช่วยเลย ไม่เป็นเสือปืนฝืด แต่เป็นเสือปืนคล่อง ชักปืนไว เร็ว ช่วยเหลือเกื้อกูล ในความหมาย ของเสือปืนฝืดนี่คือว่า เราจะมีกิริยาท่าทีที่เราแคล่วคล่อง ในการที่ โอบอ้อมอารี เมตตาเกื้อกูลช่วยเหลือสิ่งที่ควรช่วยเหลือ ควรเกื้อกูลได้เร็ว ได้พอเหมาะพอดีนะ อย่างนี้นี่ เราจะต้องฝึก ต้องอบรม นับวันพวกเราจะมีคนแก่มากขึ้น แล้วแก่ก็ตามวัยน่ะ ถึงแม้ว่า มันจะแข็งแรงน่ะนะ มันก็ต้องลำบากลำบนขึ้นแหละน่า อายุ มากขึ้นๆนี่ ยังไงๆ ก็จะแข็งแรง เป็นเหมือนกับหนุ่ม ยี่สิบสามสิบอยู่ ไม่ได้ แน่นอนเลย อันนี้เป็นเรื่องสามัญ ใครก็ต้องรู้ ใครต้อง เข้าใจ มันต้องได้เกื้อกูลช่วยเหลือกันแน่ จะอายุยืนก็ดี อายุยืนไปก็ดี ถึงจะอายุยืนไป ยังไงๆ มันก็จะต้อง อ่อนแอ ลงไป มันต้องได้ช่วยได้เหลือกัน อย่างนั้นจริงๆนะ

อาตมาเชื่อ พวกเรานี่จริงๆนะ ในความเชื่อของอาตมานี่เชื่อจริงๆเลย ว่า พวกเรานี่ได้เรียนรู้แล้วก็ ฝึกฝน อบรม แล้วก็สร้างสิ่งแวดล้อม สร้างสิ่งที่มาอาศัย แม้แต่อาหารการกิน เครืองใช้ไม้สอย มลพิษ อะไรต่างๆ ทุกวันนี้นี่ มันทำให้ชีวิต ร่างกายสรีระอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันต่ำ แข็งแรงน้อย ลดลงๆนี่ เราก็พยายามที่จะตัด เหตุปัจจัยตามพระพุทธเจ้าท่านสอนเรานะว่า อะไรเป็นเหตุ เหตุพาเสื่อม เราก็ลด สิ่งที่พาเสื่อม เหตุใดพาเจริญ เราก็เพิ่มเหตุที่พาเจริญ รู้ ตามหลักวิทยาศาสตร์ ตามหลัก สามัญ และลึกซึ้งอะไรขึ้นไป อย่างไรๆ เราก็พยายามเรียนรู้กัน พยายามกระทำ สิ่งที่มันจะมาอาศัย สิ่งที่จะเป็นสิ่งแวดล้อม ที่จะไม่เป็นมลพิษ อะไร ต่างๆนานา เราดีขึ้นนะ ดีขึ้นเรื่อยๆ รู้ขึ้นเรื่อยๆ จัดแจงปลูกฝัง แล้วก็ทำสิ่งแวดล้อม มีเครื่องอาศัยอะไรต่ออะไรต่างๆนานาดีขึ้นนะ นี่เรื่องของสุภโร

เรามีจารีตประเพณีวัฒนธรรม เรามีความรู้ แล้วเราก็มีอุปนิสัยใจคอ กิริยากายวาจาของเรา ได้อบรม อบรมจริงๆ เข้าจนกระทั่งเราได้ดี อยู่รวมกันเป็นผู้เลี้ยงง่ายก็เพราะว่า เราเองเราเป็นผู้ที่ได้ บำรุงง่ายมา บำรุงง่ายก็ขยายขึ้นไปอีก สุโปสะ บำรุงง่ายก็คือว่า สอนอย่างไรก็อบรมตนได้ง่าย สอนอย่างไร ก็รู้ได้ชัด รู้ได้ลึก แทงทะลุ เข้าใจลึกซึ้ง โยนิโสมนสิการได้ ปรับตัวเองได้ไว ได้เร็ว เรียกว่า บำรุงง่าย เป็นคนที่เรียนรู้ ก็รู้ไว เป็นคนว่านอนสอนง่าย ปรับตัวก็ได้เร็ว ศึกษาได้ลึกซึ้ง แม้จะยาก

วิชาพุทธศาสนานี่ยากนะ ลึกซึ้ง ไม่ใช่ง่าย เรียนรู้ได้แล้วกว่าจะปฏิบัติ ได้ไปถึงมรรค ถึงผล ไปถึงความเป็นไปได้ ถึงด้านจิตเกิด จิตเกิดนี่คือโอปปาติกโยนิ ระดับที่ฝึกฝนไปจนกระทั่งถึง จิตเกิด กายวาจานี่ ก็อบรมไปเรื่อยๆก็เพราะเอาจิตมา อบรมกาย อบรมวาจา และอบรมจิตเอง การอบรม ทั้งกาย กายไปบังคับมันให้มันทำตามที่เราตั้งใจให้มันเป็นอย่างนี้ วาจาก็ตามกำหนดให้มันทำ อย่างที่เราตั้งใจ มันจะเป็นองค์ประกอบห้อมล้อม หรือเป็นพิมพ์เป็นแบบ เป็นแม่เป็นพ่อ ในความหมาย ของมีแม่มีพ่อ มีตามสัมมาทิฏฐิ และแม่พ่อเหล่านั้นแหละ จะเป็นองค์ประกอบ ที่ทำให้ เกิดสัตตาโอปปาติกา เกิดสัตว์เกิดตามโอปปาติกโยนิ เป็นสัตว์ทาง จิตวิญญาณ เป็นสัตว์เจริญ เป็นอุบัติเทพ เป็นเทวดา เทวดานี่ก็ คือสัตว์ สัตว์เทวดา หรือพรหมสัตว์ ถึงระดับ ขั้นพรหม ก็เรียกว่าสัตว์ สัตวโลก สัตว์อีกชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นสัตว์ที่เกิดทางจิตวิญญาณ ทางโอปปาติกโยนิ ที่เคยอธิบายแล้วว่าไม่ใช่สัตว์ที่เกิดแต่แค่จากมดลูก เป็นชลาพุชโยนิ หรือสัตว์ ที่เกิดจากไข่แล้ว ค่อยๆมาเป็นตัวอีกทีหนึ่งอย่างอัณฑชพุชโยนิ ก็ไม่ใช่ หรือสัตว์ที่เกิดจากน้ำครำ น้ำเน่า เกิดจากการแตกตัวที่เรียกว่า สังเสทชโยนิ ก็ไม่ใช่ นี่เป็นสัตว์ทางวิญญาณ โอปปาติกสัตว์ สัตว์ทางวิญญาณ แล้วก็เกิดทางวิญญาณ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ

โยนิก็แปลว่าการเกิด เกิดทางนั้น ศึกษาให้ดีๆ ว่านี่เป็นเครื่องพิสูจน์กันได้ ไม่ใช่ไปนั่งท่อง พระอภิธรรม เขาเรียนกันนะ โอ๊ย!กำเนิดสี่นี่ไปเรียน ไปถามเขาสิพวกเรียนอภิธรรม ไม่ต้องชั้นสูง หรอก เขาเรียนรู้กันหมดแล้ว การเกิดมีสี่ชนิด เขาท่องเปรี๊ยะเลยนะ รู้หมด แต่เขาไม่รู้หรอกว่า แล้วมันอะไรล่ะ เกิดอย่างไรล่ะ คุณได้เกิดอย่างไร คุณเป็นสัตว์ชนิดไหนกันแน่ ในตัวเรานี่ เป็นสัตว์ ชลาพุชโยนิ และเป็นโอปปาติกโยนิในตัว ชลาพุชโยนิคือเราเป็นสัตว์ที่เกิดจากมดลูก พ่อแม่ เกิดจาก มดลูก หรือช้างม้าวัวควายพวกนี้เกิดจากมดลูก อย่างนก อย่างจิ้งจก ตุ๊กแก จระเข้ อะไรพวกนี้ งู พวกนี้มันเกิดจากไข่ เป็นพวกอัณฑชโยนิ หรือพวกสัตว์ในน้ำเน่าน้ำครำ สัตว์แตกตัว สัตว์อะไร พวกนั้นน่ะ พวกอะมีบา พวกแบคทีเรีย พวกอะไร พวกนั้นมันเกิดจากน้ำเน่าน้ำครำ จากเหงื่อ จากไคล จากการแตกตัว นั่นก็สังเสทชโยนิ แต่เราเป็นพวกชลาพุชโยนิ แล้วก็ โอปปาติกโยนิ ยังมีวิญญาณในตัวเรา แล้ววิญญาณมันเกิดซ้อนอยู่ในตัวเรานี่แหละ เรียกว่า โอปปาติกโยนิ ท่านเรียกว่า ผุดเกิด มันผุดเกิดในตัวของมันเอง มันไม่ต้องเปลี่ยนแปลงอะไรในร่างนอก มันผุดเกิด ซ้อนอยู่ในตัว

นี่พระพุทธเจ้าท่านศึกษาท่านเรียนรู้ ท่านเข้าใจสิ่งเหล่านี้มาหมดแล้ว แล้วก็บอกให้เรา แล้วเราก็จะ ได้เห็นความจริงว่า อ้อ! เรารู้หมดเลย ชัดแจ้ง บอกว่าสัตว์ชนิดไหนล่ะ ชลาพุชโยนิเราก็รู้แล้ว พวกนี้ เกิดจากมดลูก อัณฑชโยนิชนิดไหน เออ!...ชัด ตัวนี้ เรารู้นี่ นก หนู ปู ปีก ใช่ เราเห็นหมดเลย เห็นแจ้ง ชัดเจน เพราะฉะนั้น แม้แต่สัตว์โอปปาติกโยนิ เราก็ต้องเห็นชัดแจ้งชัดเจน เหมือนเราเห็น เรารู้แจ้ง ไม่มีสงสัยเลย อ๋อ!สัตว์ประเภท ชลาพุชโยนิคือสัตว์ที่เกิดจากมดลูกนี่ อย่างคน อย่างม้า อย่างวัว อย่างควาย อะไร นี่ เอ๊อ!ชัด เสร็จแล้วก็คลอดออกมาเป็นตัวเลยนี่ เราเข้าใจ เราไม่สงสัย นี่ เป็นความรู้ชัดเจน หรือแม้แต่สังเสทชโยนิ สัตว์ที่เกิดจากน้ำครำน้ำเน่า เกิดจากเหงื่อจากไคล เกิดจาก การแตกตัว เป็นแบคทีเรีย เป็นตัวจุลินทรีย์ เป็นสัตว์อะไรพวกนี้ เราก็เข้าใจชัดเจน ยิ่งศึกษา ทางวิทยาศาสตร์มา ชีววิทยามา ก็ยิ่งไม่สงสัยไอ้สัตว์ประเภทที่สามนี่แน่นอน คนไม่ได้ศึกษา ทางวิทยาศาสตร์ ทางชีววิทยามาบ้าง อาจจะไม่ค่อยชัดนัก แต่ศึกษามาบ้าง พื้นฐานก็พอรู้แล้ว สัตว์ตัวเล็ก ตัวน้อยนี่มันไม่ได้เกิดจากมดลูกแบบมดลูก มันแตกตัวเอาก็ได้ มันเกิดจากการหมัก การอะไร จากน้ำครำน้ำเน่าอะไรมาได้ พวกเรียนชีววิทยามาก็จะรู้ดี หรือไม่เรียน ชีวะก็พอรู้อยู่บ้าง อย่างชัด

ที่นี้สัตว์โอปปาติกโยนิจะต้องชัดจริงๆด้วย มันจะชัดมากก็ตัวเรานี่แหละ เราจะรู้ว่านี่มันเกิดแล้วนะ แต่ก่อนนี้จิตวิญญาณของเรานี่มันเลว จิตวิญญาณเป็นสัตว์ชั้นต่ำ เป็นสัตว์นรก เป็นสัตว์อสุรกาย สัตว์ขี้กลัว ไม่กล้า ไม่กล้าที่จะตาย ไม่กล้าที่จะให้จิตวิญญาณตาย จิตวิญญาณคือกิเลสนี่แหละ กิเลสอยู่ที่จิตวิญญาณ ไม่กล้าให้มันตาย รักมัน โอ๋มันอยู่นั่นแหละ จนกระทั่ง ฆ่ามันได้ กล้าที่จะใ ห้มัน ไม่มีฤทธิ์ไม่มีแรง ไม่มีชีวิตไม่มีชีวา ไม่มีบทบาท จนมันตายสนิท มันไม่ออกบทบาท ไม่ออก ฤทธิ์แรง อะไรเลย เพราะเราได้อบรมลดละมัน ฆ่ามัน ทำให้มันอ่อนแรง ๆ จนกระทั่งมันตาย มันไม่กวน แม้จะถูกเหตุปัจจัยที่เคยกระทบสัมผัสแล้วมันจะทำให้เรา เกิดอาการอย่างนี้ อารมณ์ อย่างนี้ ก็ไม่มี รู้ว่ามันตายคืออะไร จิตวิญญาณเรานี่ เราต้องอ่านตัวเราเอง เออ! กิเลสที่ จิตวิญญาณเรานี่ กิเลสชนิดนี้ แต่ก่อนมันอยู่ที่จิตวิญญาณเรานะ มันมีฤทธิ์มีเดช พอได้เหตุได้ปัจจัย มันจะต้องออกอาการ มันจะต้องมีบทบาท มีแรงมีฤทธิ์เอากับเราเลยนะ ต้องบำเรอมัน ต้องเป็น ภาระให้มัน ต้องยอมมันนะ มันจะต้องบังคับ มันจะต้องทำให้เรา ต้องทำตามมันนะ แต่มัน ไม่มีฤทธิ์แล้ว เพราะเราได้อบรมฝึกฝน เราก็จะรู้ว่า เออ! ไอ้นั่นตาย ตายอย่างไร ตายจนสนิท อาการอย่างนั้น ตายสนิทในเรานี่ อาการที่มันจะต้องการให้แก่ตน นั่นแหละ สมโลภ สมโกรธ ด้วยความหลงงมงาย ด้วยความไม่เรียนรู้แต่ก่อนนี้ เดี๋ยวนี้เรียนรู้แล้ว ไม่หลงแล้ว ไม่เลอะแล้ว เข้าใจชัดเจน แล้วเราก็ได้ฝึกหัด ลดละ ฆ่ากิเลสนั้น ฆ่าฤทธิ์แรงที่มันอาศัย จิตวิญญาณนั่นแหละ

กิเลสนี่อาศัยจิตวิญญาณ เหมือนหนึ่งจิตวิญญาณ แต่มันไม่ใช่ พระพุทธเจ้าได้พิสูจน์แล้ว มันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา นอกจากไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวเรา แล้ว ก็ไม่ใช่ตัวตนที่ควรจะเอามันไว้ด้วย ควรฆ่ามันก่อนเลย แม้จิตวิญญาณมันก็ไม่ใช่ตัวเรา หรือตัวตนที่จะต้องรักมัน จนถาวรนิรันดรอะไร แต่เราก็ต้อง อาศัยจิตวิญญาณ ที่บริสุทธิ์สะอาด หรือจิตวิญญาณที่เป็นจิตวิญญาณดี เป็นจิตวิญญาณ ที่เป็นสิ่งอาศัยที่ประเสริฐมีคุณค่า เราก็ได้อาศัย ผู้อื่นก็ได้ประโยชน์คุณค่า ได้อาศัยด้วย อันนั้นเราอาศัย เป็นจิตวิญญาณอาศัย จิตวิญญาณนี้ไม่น่าอาศัย ไม่ต้องอาศัย เป็นบาป เป็นภัย เป็นเรื่องเลวร้าย ไม่เกิดคุณค่าอะไร

นี่เราเรียนรู้แล้วลดละปลดปล่อย ฆ่ามัน พิสูจน์ เราจึงจะมีดวงตา มีญาณ มีตาทิพย์ เห็นชัดเจนว่า อ้อ! สัตว์โอปปาติกะเป็นอย่างนี้ เราจะเกิดสัมมาทิฏฐิ ผู้ที่ไม่รู้สัตตาโอปปาติกา ไม่รู้จักสัตว์ โอปปาติกะ ไม่รู้ว่าสัตว์โอปปาติกะนี่มี ไม่รู้ว่ามันมี รู้เหมือนกันแหละอย่างโลกๆ บอกว่าผีมีนะ เทวดามีนะ เออ!มี มี มี แต่เป็นอย่างไรไม่รู้จริง อย่างนั้นไม่ใช่ญาณ รู้ตามเขาว่า แล้วก็งมงาย ไอ้ นี่เรารู้จริงเลย สัตว์โอปปาติกะเป็นเช่นนี้เองนะ เป็นผีก็เป็นอย่างนี้อยู่ในตัวเรานี่ เราก็รู้ว่าผี สัตว์โอปปาติกะ เป็นอย่างนี้นะ เราจับต้องมันได้ชัดเจนเลย จับสัมผัสมันน่ะ ไม่ใช่จับต้องด้วยมือ สัมผัสมันได้เลยว่า เออ!นี่เป็นวิญญาณอย่างนี้แหละ เราเรียกว่าโอปปาติกะผี วิญญาณผี อย่างนี้แหละ ทำให้มันตาย ผีตายเทวดาเกิด ลักษณะของกิเลสนี่เรียกว่าผี ลักษณะของความติดยึด เห็นแก่ตัว ในลักษณะไหน ที่มันเลว มันไม่ดีอย่างไรก็แล้วแต่ มันตาย เพราะมันตาย จิตวิญญาณ สะอาดขึ้น ยิ่งสะอาดบริสุทธิ์เลยเป็นวิสุทธิเทพ เป็นเทวดาบริสุทธิ์ วิสุทธินี่บริสุทธิ์ ยิ่งเห็นชัดเจนว่า อ้อ! อาการของมันวิสุทธิ์แล้ว สะอาดแล้ว อาการของที่มันเป็นทุกข์หรือมันเลวร้าย มันตายไป มันหมด มันไม่เกิด มันไม่มีบทบาท ไม่มีฤทธิ์แรง เราก็จะเห็นแจ้งของจริง ด้วยญาณทัสสนะ คนใด สัมผัสอ่านรู้ของตน ได้อย่างชัดแจ้ง นั่นแหละญาณ นั่นแหละคือตาทิพย์ ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตา สะกดจิตเอา แล้วก็ปั้นตัวปั้นตน เป็นมโนมยอัตตา เป็นรูปอะไรร่องๆแร่งๆ โอ้!เป็นวิมาน เป็นสัตว์ เทวดา ตามที่อุปาทาน ปั้นรูปปั้นร่าง ไปเห็นโดยในภพอย่างนั้น ไม่ใช่ นี่แหละอ่านให้ดี รู้รูปนามด้วยอาการ ลิงค นิมิตร

อุเทศคือข้อที่อาตมาหยิบนี่ อาตมาหยิบแต่แค่สุภร สุโปสะ แล้วก็เอามา อธิบายไปจนกระทั่งว่า เราเกิด เราเลี้ยงง่ายเพราะเราบำรุงง่าย ที่บำรุงง่าย เพราะเราได้ศึกษาได้ไว บำรุงง่ายก็คือ ได้พยายามสอน พยายามแนะนำ พยายามให้ฝึกฝนนี่บำรุง บำรุงให้เจริญ เจริญได้ง่ายก็เพราะว่า เราตั้งใจเรียนรู้ ตั้งใจฝึกฝน ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ เข้าใจได้ง่าย เข้าใจได้ดี เข้าใจได้ดีก็เพราะ อาตมา อธิบายได้ดีด้วย แล้วคุณก็ฉลาดขึ้นด้วย มีของจริงรองรับด้วย มันอุปการะกัน อาตมาก็อธิบายดีขึ้น ขยายได้ลึกขึ้น คุณก็รู้ได้ชัดขึ้น จับได้มั่น คั้นได้ตายมากขึ้น ทั้งๆที่มันเป็นนามธรรม เป็นอรูปธรรม คุณก็ชัด คุณก็สัมผัสได้ แตะต้องได้ เกิดตาทิพย์ได้จริงๆ เรียนรู้นามธรรมนี้ จับนามธรรมนี้ได้จริง และก็รู้วิธี การลดละปลดปล่อย ทำให้ตาย สิ่งที่ควรทำให้หมด ไม่ให้เกิดกิจ ไม่ให้เกิดบทบาท ไม่ให้เกิดมี ชีวิตชีวาอีกเลยได้ คุณก็ทำได้จริง คุณก็จะชัดเจนยืนยันเชื่อมั่นว่า โอ!อย่างนี้เอง

พระพุทธเจ้าท่านสอนว่าแม่มี อัตถิ มาตา แม่มี ถ้าใครเห็นว่าแม่ไม่มี นัตถิ มาตา หรือพ่อมี อัตถิ ปิตา พ่อมีแม่มี นัตถิ สัตตาโอปปาติกา สัตว์โอปปาติกะไม่มี อัตถิ สัตตาโอปปาติกา สัตว์โอปปาติกะมี คุณเชื่อว่ามีเพราะคุณเห็น คุณได้สัมผัสสัตว์นั้น แม่พ่อคือผู้ให้กำเนิด กำเนิดทางวิญญาณ บอกแล้วว่า แม่พ่ออันนี้ไม่ได้หมายถึงแม่พ่อที่ให้การกำเนิดทางชลาพุชะ เกิดจากมดลูก ไม่ใช่ เพราะฉะนั้น การเกิดอันนี้อยู่ในหมวดของสัตตาโอปปาติกา มิจฉาทิฏฐิ ๑๐ ข้อที่ อาตมากำลัง พูดถึงนี่ มันคือข้อที่ ๗,๘,๙ มิจฉาทิฏฐิสิบข้อนะ ก็พูดมาแล้วมากมาย ชาวอโศกก็ต้องเรียน นี่เป็นหลักสำคัญนะ เป็นหลักวิชาของศาสนาพุทธ แล้วเราก็ต้องรู้ แม้ภาษาจะจำไม่แม่นนัก แต่อาตมาพูดถึงนี่นะ คุณก็นึกพอออกนะ อาตมาพูดถึงภาษาบาลีว่า อัตถิ มาตา อัตถิ ปิตา อัตถิ สัตตาโอปปาติกา หรือ นัตถิแปลว่าไม่มี ผู้เห็นว่าไม่มีนี่เป็นมิจฉา ผู้เห็นไม่มีหรือผู้ไม่เห็นนั่นเอง ไม่เข้าใจนั่นเอง แล้วไปเข้าใจผิดด้วยนะ แม่มีพ่อมีก็ไปเข้าใจแต่แค่อย่างชลาพุชะ อย่างนั้นไม่ใช่อันนี้ ไม่ใช่หมายเอาอันนี้ ชลาพุชโยนิ แม่พ่อแบบคลอดมาทางมดลูก แม่พ่ออย่างเป็นร่าง เป็นกายอย่างนี้ เออ!อย่างนี้ มันไม่ต้องไปเอาพระพุทธเจ้ามาสอนหรอก ใครมันก็ มีสัมมาทิฏฐิ ถ้าอย่างนั้นน่ะ ใช่มั้ย ใครมันก็รู้ ใช่มั้ย ไอ้พ่อแม่แบบนั้นน่ะ พ่อแม่ที่ เกิดมาทางสมสู่แล้วก็เป็นเนื้อเป็นตัวออกมา ทางมดลูกนี่ ใครมันก็รู้ว่าแม่มีแน่ๆ พ่อมี แน่ๆ ไม่มีได้อย่างไร ก็เกิดมาจากพ่อจากแม่อย่างนั้น ทั้งนั้น อย่างนี้ไม่ต้องสอน พระพุทธเจ้าไม่ต้องมาพูดให้เสียเวลา เป็นแต่เพียงบอกแค่นั้นก็พอแล้วว่า แบ่งสัตวโลก เอาไว้เป็น ๔ แบบ ที่มันเกิดได้ ๔ แบบนี่เท่านั้น และก็แบบที่สี่นี่แหละเรียก ว่าปรมัตถ์ แบบสัตว์โอปปาติกโยนิ หรือ สัตตาโอปปาติกา

นี่แหละปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน เกิดทางจิต เกิดทางเจตสิก เห็นการเกิดอย่างนี้ รู้จักการเกิด โยนิ รู้จักการเกิดอันนี้ รู้อย่าง มีดวงตาทิพย์เห็นการเกิดจริง เออ! เราเกิดนี่ แต่ก่อนนี้เราเป็น สัตว์นรกจริงๆ เดี๋ยวนี้เราเกิดเป็นเทวดาจริงๆ เห็นสัตว์นรก เห็นเทวดา ไม่ใช่เห็นอย่างงมงาย เห็นจริงๆ นี่พอมั่นใจตัวเองบ้างมั้ยนี่ว่า เอ๊!เราก็เป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งนะ เสร็จแล้วก็ไปติด ความเป็นเทวดา องค์ใดองค์หนึ่ง ระวัง เมถุนสังโยค ๗ เมถุนสังโยค ๗ ได้เคยอธิบาย ข้อสุดท้าย ติดเป็นเทวดา องค์ใดองค์หนึ่ง แล้วก็ไม่ได้เป็นเทวดาองค์ใหญ่อะไรหรอกนะ เป็นเทวดาองค์จิ๊ดเดียว

อาตมากำลังอธิบายคำว่าจิ๊ดนี่มันตรงกันข้ามกับคำว่าบิ๊ก สมัยนี้นี่บิ๊กนี่ตัวเบ้อเร่อ จิ๊ดนี่ตัวติ๊ดหนึ่ง นี่นะ ไอ้บิ๊กใหญ่ขนาดไหน ไอ้จิ๊ดก็เล็กขนาดตรงกันข้ามกัน สุดโต่งไปคนละขั้วก็แล้วกัน ได้นิดเดียว เป็นเทวดาจิ๊ดๆหนึ่งก็ แหม!ติดมันอยู่ตรงนั้นแหละ ไม่ได้จำเริญอะไรมากมายกว่านั้นแหละ แช่มัน อยู่ตรงนั้นแหละ โอ๊ย!สบาย ของฉันแค่นี้ หยิ่งผยองมีมานะอยู่นั่น ระวังเถอะ เป็นเทวดาองค์ใด องค์หนึ่ง อยู่อย่างนั้นไม่ได้ หลงความเป็นเทวดาองค์ใดองค์หนึ่งอยู่อย่างนั้นไม่ได้ ต้องเจริญ ขึ้นๆ ให้รู้เความเป็นเทวดาที่แท้ อย่าไปงมงายเหมือนอย่างโลกเขาที่เขาไม่ค่อยเข้าใจ เดี๋ยวนี้เขาพูดกัน เต็มบ้านเต็มเมืองแล้ว เทวดาก็อย่างนั้น ผีก็อย่างนั้น สัตว์นรกผีอะไรเขาก็ว่ากันไปเป็นนิยงนิยาย อะไรกันไป มันเป็นเรื่องเป็นราว เอามาอธิบายๆได้ที่จริง อธิบายเป็นแบบโลกๆ ก็อธิบาย... เอามาอธิบาย ถึงเนื้อหาสาระ พวกนี้ก็อธิบายได้นะ

ผู้ใดมีตาทิพย์ มีปัญญาญาณที่รู้อย่างนี้จริงๆ แล้วก็ปฏิบัติตน อย่างจับมั่นคั้นตาย แม่น ถูกสภาวะ อย่างนี้แหละคือ อาการนิมิตของจิตวิญญาณที่เป็น ลักษณะของสัตว์นรก ลักษณะ ของกิเลส หรือ ลักษณะของโอปปาติกสัตว์ชนิดต่ำ ชนิดที่จะต้องไม่เอา ต้องฆ่าให้มันตายหมด อย่างนี้ จึงเรียกว่า สัตว์โอปปาติกะชนิด เจริญเป็นอุบัติเทพ จนกระทั่ง เจริญถึงขั้น วิสุทธิเทพ เทวดาชนิดวิสุทธิ ถ้าผู้ใดได้ เรียนรู้บำรุงง่ายอย่างนี้ เป็นผู้ที่เลี้ยงง่าย บำรุงง่ายอย่างนี้จริง ก็จะเข้าใจว่า เออ! เราบำรุงง่าย อย่างนี้จริง เป็นการเรียนรู้ แล้วก็ทำให้เจริญ บำรุงง่าย ทำให้เจริญ เจริญได้ เป็นอริยบุคคล หรือเป็นอารยชน เป็นชนผู้เจริญ เป็นอารยชน หรือ จะเรียกว่า เป็นภาษา พระพุทธเจ้า ท่านเรียกคนพุทธบริษัทนี่เรียกว่า อาวุโส

อาวุโสแปลว่าท่านผู้เจริญ ผู้ที่เจริญกว่าผู้เจริญอีก เรียกว่าภันเต เพราะฉะนั้น อาวุโสนี่เป็นผู้ที่ได้ เลื่อนชั้น เลื่อนฐานะ เสร็จแล้วทุกวันนี้เอาไปเรียกต่ำ เอาไปเรียกเทียบไอ้เลื่อนชั้นได้แค่เป็น ผู้ที่เจริญ ผู้เจริญแบบโลกๆนะ ผู้นี้อาวุโสกว่าผู้นี้ เจริญแบบโลกๆนะ ก็เลยแค่นั้นน่ะ ในระดับอาวุโสของเขา เจริญจริงๆเหมือนกัน ได้แค่นั้น เจริญขั้นภันเตไม่มี ของเรานี่มีทั้งอาวุโสและภันเต ในคำว่าอาวุโส เจริญมาจากโลกเขาแล้ว อาวุโสนี่ท่านผู้เจริญ เจริญมาจากโลกเขาแล้ว เจริญมาจากโลกเขาแล้ว แต่จะต้องเจริญต่อไปอีก เป็นภันเตที่แท้ขึ้นไปอีก

นี่เรียกว่าผู้เจริญ ท่านผู้เจริญ เป็นอารยชนหรืออริยชนที่แท้จริง สังคมของพวกเรานี่ อาตมาไม่ขยาย ผู้เจริญผู้มีวรรณะ ๙ อาตมาพูดแต่แค่สุภโร สุโปสะ ระดับที่หนึ่ง ที่สองที่มีความหมาย นอกจากนั้น ไปอีกนะ ไล่ไปให้ฟังนิดหน่อย แล้วอาตมาจะผ่าน มักน้อย เป็นผู้มักน้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้ขัดเกลา แล้วก็เป็นผู้ที่มีศีลเคร่งได้ เป็นผู้ที่มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นผู้ไม่สะสม เป็นผู้ที่ ปรารภความเพียร หรือ ยอดขยัน นี่อีก ๗ ตัวนี่ เป็นผู้มักน้อย เป็นผู้สันโดษ เป็นผู้ที่ขัดเกลา สัลเลขะ เป็นผู้ที่มีศีลเคร่งได้ เป็นผู้ที่มีอาการที่น่าเลื่อมใส เป็นผู้ที่ไม่สะสม และเป็นผู้ที่ ยอดขยัน อีกเจ็ดนี่ อาตมาพูดผ่าน วรรณะ ๙ ก็ขยายซ้อนลงไปใน เป็นผู้ที่เลี้ยงง่ายและบำรุงง่ายนั่นเอง สุดท้ายจริงๆ ก็คือ คนเลี้ยงง่ายนั่นแหละสุดยอด เพราะฉะนั้น พระอริยะคือผู้ที่เลี้ยงง่ายที่สุด สุภระ สุภโร

เลี้ยงง่ายไม่ใช่เลี้ยงง่ายอย่างประเภทตื้นๆเขินๆประเภทโมเม เลี้ยงง่ายอย่างอธิบายกันอย่าง มักง่าย ไม่ใช่เลยนะ เป็นผู้ที่อยู่ที่ไหนก็เบาภาระ เพราะได้บำรุงง่ายมา ได้ฝึกปรือ ได้ศึกษา ได้อบรม ขัดเกลามา จนเป็นคนมักน้อยได้จริง เป็นคนสันโดษได้จริง เป็นคนขัดเกลา มาจนกิเลสเกลี้ยง โน่นแหละ เป็นคนมีศีลเคร่งได้จริงๆเลย ศีลอย่างใดๆก็ไม่ยาก ปฏิบัติได้ เพราะฉะนั้น พระอริยเจ้า ในระดับอรหันต์ อาตมาถึงเคยยืนยันว่า ถ้าจะเป็นอรหันต์ ต้องเป็นผู้ที่พิสูจน์ธรรมและวินัย ของ พระพุทธเจ้าสมบูรณ์ เป็นผู้ที่ไม่มีปัญหา ไม่ลำบากลำบน ไม่ทุกข์ แม้จะมีวินัยอย่างใด ก็ไม่ฝืนใจ ไม่ฝืดฝืน ไม่ลำบาก ง่าย สบาย คล่อง จะละเอียดลอออย่างไร วินัยจะธูต จะเคร่ง จะละเอียด จะยุบยิบขนาดไหนก็ทำได้ เพราะฉะนั้น เพื่อพิสูจน์ธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ได้สมบูรณ์ จริงๆ ไม่ติดไม่ยึด ได้ อย่างแท้จริง จริงๆเลย พิสูจน์ได้อย่างรู้จิตของตัวเองเลยว่า จิตของตัวเองนี่ ปลอดโปร่ง จิตตัวเองว่าง จิตของตัวเองมีกำลัง แล้วไม่ทุกข์ ไม่อึดอัด ขัดเคือง ไม่กังวล ไม่ลำบากใจ จริงๆ ได้พิสูจน์ธูตะ และเป็นผู้มีอาการที่น่าเลื่อมใส กว่าอาการกาย วาจา ใจ อาการกิริยา พฤติกรรม ที่ไม่มีโลภ มีโกรธ มีหลง นั่นแหละ อาการของคนที่สมบูรณ์ ที่น่าเลื่อมใส ไม่ใช่มารยาด้วย ไม่ใช่มารยาท เท่านั้นด้วย เป็นเรื่องอาการที่จริงใจ อาการที่สมบูรณ์ เป็นผู้ไม่สะสม ไม่สะสม ทั้งวัตถุทรัพย์ และไม่สะสมทั้งกองกิเลส

คำว่าไม่สะสม ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารอะไรต่ออะไร มีอาศัย แม้แต่คนอื่นจะเอาไป จะให้ใคร ก็ไม่ใช่ของเรา ก็ไม่เป็นทุกข์จริงๆ ไม่สะสม และไม่สะสม ทั้งรูปที่ชัดเจน อย่างในฐานะเป็นสมณะนี่ อย่าไปสะสมสมบัติพัสถานอะไร มีบริขารนี่ก็เหลือมากแล้ว อย่าไปสะสมอะไรต่ออะไรมากมาย ยิ่งเป็น ชาตรูปรชตะ เป็นสิ่งที่มนุษย์เขาถือเป็นของสมมุติที่มีราคา ราคาสูงราคารอง เช่น ชาตรูปะ อาตมาหมายถึงทองคำ รชตะหมายถึงเงิน อย่างนี้เป็นต้น เป็นโลหะที่อันนี้ เขาถือเป็นราคาแพงนะ นี่เป็นราคารอง ชาตรูปะหมายถึงเพชร รัชตะหมายถึง พลอยที่ราคารองลงมาจากเพชร อย่างนี้ เป็นต้น หรือว่าสิ่งที่สูง พระสมเด็จ ถือเป็นชาตรูปะ เพราะว่าองค์หนึ่งเป็นล้าน พระเครื่องบางชนิด ถือเป็นราคารอง นี่ก็เป็น สมเด็จถือว่าชาตรูปะ พระเครื่องที่ราคาไม่สูงเท่าพระสมเด็จ เป็นราคารอง ถือว่ารชตะ อย่างนี้เป็นต้น ต้องเข้าใจให้ดี อย่าไปเข้าใจตื้นๆเขินๆ แต่ว่าแต่ ทองและเงิน อยู่เท่านั้น ก็ถูก ไม่ผิดนะ ทองและเงินก็ไม่ผิด ทองและเงิน ชาตรูปะ ทอง รัชตะ เงิน ไม่ผิด มีค่าสูงค่ารอง ที่โลกเขาติดยึด เขาสมมุติกัน แล้ว เราก็อย่าไปหลงใหลกับเขา เขาไปสมมุติของแพงๆอย่างโน้น ที่โลกเขาหลงใหลติดยึด เราไม่ต้องไปหลงใหลกับเขา อย่าเอามาสะสม มีแต่สิ่งอาศัยที่ ไม่ต้องมี ของราคาแพงอย่างโลกที่เขาติดยึด ยิ่งอันไหนที่ไม่มีความจำเป็น อาตมา บอกแล้วว่า เราไม่มี เพชรเลย ตลอดชีวิตไม่ต้องมีเพชร ไม่เห็นจะตกต่ำตรงไหน ไม่เห็นจะตายตรงไหนเลย เมื่อใครเขา จะไปหลงใหล เพชรพลอยแก้วแหวนเงินทอง เงินทองแบบโลกๆ ไปเลย แม้แต่เงินสมัยนี้ ก็คือ ธนบัตร คือสิ่งที่เป็นตัวกลางที่ใช้ สำหรับแทนค่าแลกเปลี่ยนนี่ถือว่ายอดราคา ยอดแก้ว สารพัดนึก เขาสมมุติติดยึดกัน ยังกับอะไรดี สมณะทั้งหลายอย่าไปหลงแม้แต่สตางค์แดงเดียว อย่าไปมี อย่าไปสะสมมา ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ดูซิ แล้วมันมีฤทธิ์ มันมีผลสูง มันมีคุณค่า มันมีคุณธรรม อะไรต่ออะไร สอดซ้อนขึ้นมาอย่างดี นี่เราพิสูจน์กันไปนะ เพราะฉะนั้น ไม่สะสมนี่ ไม่ใช่เรื่องเล่น นี่ไม่สะสมเรื่องวัตถุ จริงๆแล้วก็ไม่สะสมกองกิเลสทั้งหมดเลย ไม่สะสมแม้แต่ กองกิเลส ทั้งหมดเลย ไม่สะสมแม้แต่กองกิเลสนั่นแหละ ต้องเอาออกให้หมด เฉลี่ยออกให้หมด ไม่สะสมกองกิเลสจริงๆ อปจยะ หมด ล้างเกลี้ยง ให้มันสอดคล้องกัน ให้มันสมบูรณ์นะ เป็นผู้ ไม่สะสม แต่เป็นคนขยัน หมั่นเพียร ไม่ใช่เป็นคนขี้เกียจ ไม่ใช่เป็นคนนั่งแต่อยู่เฉยๆ เหมือนอย่าง พวกฤาษีที่เราเคยพูดกัน นักหนา เป็นผู้ที่สอดคล้องอย่างนี้ มีวรรณะ ๙ อย่างนี้จริงๆ อบรมฝึกฝน จริงๆ แล้ว เราเป็นคน ที่จะอยู่กัน อย่างสังคมนี้

ทุกวันนี้นี่อาตมาพูดพร่ำพูดซ้ำซาก อย่าฟังแล้วก็กลายเป็นชาด้าน ฟังแล้วกลายเป็นชาด้าน ฟังพูด เอ๊อ! ไอ้นี่รู้แล้ว ท่องได้แล้ว พูดสอนคนอื่นแทนอาตมายังได้เลย แต่จะปฏิบัติไม่ได้หรอกนะ นอกจาก ปฏิบัติไม่ได้ แล้วยังปฏิบัติตรงกันข้าม กับไอ้ที่สอนนี้ด้วย ไอ้แบบนี้นี่กบฎ กบฎประเภทต้องพิพากษา ประหารชีวิตเสียมั้ง กบฏ เป็นผู้กบฎ ศาสนาเสื่อมเพราะอย่างนี้ เอาแต่รู้แล้วตัวเองไม่ได้เป็นจริง ทุกวันนี้นี่การศึกษาก็ตาม โลกก็ตามมันเสื่อม เพราะรู้ดีแต่ไม่ได้ทำดี ทำชั่วด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามกับ ที่รู้ดีนั้น พูด เสนอ แสดงออกนี่ดีทั้งนั้นเลย เก่งชาญฉลาดนะ แต่พฤติกรรมการกระทำความเป็นอยู่ ที่จริง ไม่ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงนั้น เรียนรู้มากรู้ได้เยอะแยะ รู้ได้สูงส่ง แต่การประพฤติ ไม่สูงตาม การประพฤติไม่ได้ดีตาม ไม่ได้มากตามนั้น นี่โลกมันหลอกลวงกันอย่างนี้ เป็นมารยา อยู่ในโลก มันกลายเป็นคนชนิดหนึ่ง ชนิดรู้มากนะ แต่ทำอีกอันหนึ่ง คนที่รู้น้อยเขาก็ ทำตามที่เขารู้ ตรง เขาว่าดี รู้อย่างนี้ รู้น้อยว่าดี เขาก็ทำดีอันนี้ หรือเขารู้บ้าง ว่าดี แล้วเขาก็ทำดีอันนี้ ก็เป็นคนตรง สอดคล้อง ทั้งความรู้และความจริง ก็เป็นคนชนิดหนึ่ง คนที่ไม่รู้และเขาก็ไม่ได้ทำตาม ก็เขาไม่รู้ เขาก็ทำตาม เขานึกว่าเขาเป็นอย่างนั้นดี เขาก็ทำอย่างนั้น เอ้า! คนนี้ก็เรียกว่า มันไม่เป็นความจริง และก็ ไม่รู้ความจริง คนไม่มีความจริงที่ดีน่ะ ที่บอกแล้วว่าสัจธรรม หรือความจริงนี่ มันจะต้อง มีดีด้วย ต้องถูกต้องด้วย ก็เขาไม่รู้ เขาก็เป็นอย่างนั้น เอ้า! นี่คนนี้คนไม่รู้ แล้วก็ไม่จริง เพราะไม่มี ความจริง ไม่รู้ แต่คนที่รู้แต่ไม่จริงนี่ คนอีกชนิดหนึ่ง คนที่รู้แล้วก็จริง นี่อีกชนิดหนึ่ง รู้ถูกต้องด้วย แล้วก็จริงด้วย เป็นด้วย คนได้รู้แต่ไม่จริงนี่ คนชนิดหนึ่ง คนที่ไม่รู้แล้วไม่จริงนี่อีกชนิดหนึ่ง ๓ ชนิด คนชนิดรู้ และไม่จริงนี่มีมากขึ้น และการศึกษาทุกวันนี้ สร้างคนรู้แต่ไม่จริงนี่มาก แล้วราคาแพง โลภโมโทสัน พยายามตั้งกฎเกณฑ์ ตั้งอัตราค่าตัวราคาแพงให้แก่ตัวเอง คนที่รู้แต่ไม่จริงนี่ ส่วนคนที่รู้ และจริงน่ะน้อย น้อยกว่าเพื่อน คนไม่รู้และไม่จริงก็มีอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน มาก คนไม่รู้ แล้วก็ไม่จริง ก็มากนะ

ทีนี้พวกเรานี่ได้มาฝึกฝนดังที่ว่า อาตมาเอาหลักของวรรณะ ๙ ของ พระพุทธเจ้ามาอธิบาย มาเป็น หลักยืนยัน แล้วก็ขยายความให้ลึกลงไปอีก วันนี้ พยายามขยายคำว่า สุภระ สุโปสะ โดยเอา คุณธรรม ที่สอดซ้อนอยู่ในคนเลี้ยงง่าย คนบำรุงง่ายนี่แหละ ต้องเป็นคนมักน้อยจริงๆ ลงมา ค่อยๆลดลงมา มักน้อยลงมา แต่ไม่ได้ทรมานตน มักน้อยคือผู้ที่สร้างสรรมากด้วย ยอดขยัน มีวิริยารัมภะ ข้อที่ ๙ นั้นด้วย องค์คุณข้อที่ ๙ ด้วย ขยันหมั่นเพียร แต่ไม่สะสมนี่ กล้าจน กล้าแจกจ่าย เกื้อกูล แตก็ต้องมีระบบ มีระดับ จะหน้าใหญ่ใจโต ไฟแรง ไม่สะสมเอาเลยทีเดียว พรวดพราดเลย ไม่มีที่รองรับขั้นตอน เราตายพอดี เพราะฉะนั้นต้องมี ค่อยๆ สละออก จนกระทั่ง เราเองสละได้ จนกระทั่งมักน้อยสันโดษลงมาได้อย่างสวย รู้จักพอ แล้วก็ค่อยๆพอ ค่อยๆรองรับ ค่อยๆฝึกฝนตน จนอยู่ได้ในชนิดที่เป็นฐานะ มันมีฐานานุฐานะของกันและกัน อยู่ในสังคมพวกเรา รองรับกัน เชื่อถือกัน จนกระทั่ง กลายเป็นฐานะอย่างพวกเรานี่ อยู่กันอย่างประเภท คนเจริญแล้ว ได้บำรุงง่าย จนเจริญมา ไม่ต้องมีเงินไม่ต้องมีทอง ไม่ต้องมีทรัพย์ศฤงคาร ไม่ต้องมีอะไรเป็นของตน ของตัวมากมาย

แต่เป็นคนขยันหมั่นเพียร ไม่สะสมได้จริง แล้วก็มีอาการดี อาการกายวาจาใจ น่าเลื่อมใส สอดคล้อง คนอยู่กับหมู่เรานี่ มีผู้ยอมรับนับถือ เป็นผู้ที่อยู่กับหมู่เขายอมรับ นับถือ จริงๆนะ บูชาเคารพได้ด้วยซ้ำ ก็อยู่กับหมู่ได้ สบาย มีอาการน่าเลื่อมใส ไม่ต้องสะสมอะไรจริงๆ ขัดเกลากิเลสตนเองได้ แล้วก็ยัง ช่วยขัดเกลากิเลสผู้อื่นได้อีกด้วย มีศีลได้เคร่งเท่าตามฐานะ ศีลส่วนตัวได้ เคร่งมากเท่าไรก็ยิ่งดี ไม่เป็นไร แต่ทีเวลาอยู่กับหมู่ ก็ต้องรู้ฐานะสมมุติว่า เราไม่ได้ไป สมมุติมาเป็นสมณะ มาเป็นนาค เป็นเณร เป็นโน่นเป็นนี่นะ เราไม่ได้สมมุติในฐานะนั้น เราก็ได้ สมมุติ ในฐานะคนวัด ก็ศีลแปด เท่านั้น เป็นตัวกำหนด แต่เราจะมีศีลส่วนตัวของเราถึงสิบ ไม่เอา ไม่ใช้เงิน ไม่ใช้ทอง ก็คือเรา แต่จะ อนุโลมกับคนอื่น ทำเพื่อผู้อื่นก็ต้องรู้ว่า อันนี้ผู้อื่นนะ ใจเราไม่ได้เป็นหรอก ทำเพื่อผู้อื่น เราจะไปแอ๊ค ว่าเราไม่ได้ ศีลสิบ ฉันถือศีลสิบ เอ๊ะ!นี่มันค่าสมมุติของศีลสิบ หรือ คุณฆราวาสน่ะ ศีลแปด แค่นั้นเอง ทำเป็นแอ๊ค ไปตลาดหน่อยซิ นี่เอาเงิน เอาทองไปซื้อ ซื้อไม่ได้ ขายไม่ได้นะ ฉันศีลสิบ เดี๋ยวเอากระบองตีกบาลเข้าให้ ไม่รู้จักฐานะ

เราฐานะฆราวาส ก็คือฆราวาส ผู้ถือศีลแปดก็คือ ศีลแปด ไม่ต้องไปแอ๊คถึงศีลสิบ ส่วนตัวเรา เราไม่ทำเพื่อส่วนตัวเรา เราไม่ซื้อไม่ขาย ให้แก่ส่วนตัวเรา เราไม่มีเงินมีทอง เพื่อส่วนตัวเรา ตกลง แต่ถ้าจะมีเงินมีทอง จะจับเงิน จับทอง จะถือเงินถือทอง ก็ซื้อบ้างอะไรบ้าง เพื่อผู้อื่น รับใช้เขา ไม่ได้เพื่อตัว ต้องอ่านจิตใจตัวเราเอง นี่ไม่ใช่เพื่อเรานะ เพื่อผู้อื่นเขา แล้วเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะ ต้องแอ๊ค เอาศีลนี้มาอ้างได้ไม่ คุณยังอยู่ในศีลแปดเท่านั้น ไม่ใช่ศีลสิบ เพราะฉะนั้น บางทีจะมีเงิน มีทองในมือนี่ ใส่กระป๋งกระเป๋าบ้างก็ได้ แต่ใจเราผูกพัน ใจเราติดยึดจริงๆมั้ย ว่านี่เป็นเรา หวงแหน เราจะได้ทดสอบ ด้วยว่า โอ้โห! พกเงินนี่มันเป็นทุกข์นะ ยิ่งพกเป็นแสนนี่ แหม! ทุกข์นะ คุณพก ไปดูซิ เงินแสนนี่ พกไปไหนมาไหนด้วย ยิ่งทุกวันนี้ โอ้โฮ! ระวัง เดี๋ยวมันหาย นะนี่ เดี๋ยวคนมันเห็น มันรู้ เดี๋ยวมันมาจี้มันปล้น มันเอาง่ายๆนะ ไม่ปลอดภัยกับชีวิตด้วยนะ ยิ่งเป็นเรือนล้านพกไปสิ ไปไหน ก็ถือเงินล้านไปด้วยนะ ใบม่วงๆแดงๆ เบอะไปเลยนี่นะ โอ้โห! อาตมาว่าแบกก้อนหินไปด้วย เสียยังดีกว่า เออ! มันไม่ปล้นง่ายๆ มันหนักกว่าก็ช่างมันเถอะ แบกหินไปสักก้อนยังดีกว่า พกเงิน เป็นใบ ละปึก...เป็นใบม่วงใบแดงเป็นล้านนี่ไปนี่ โอ๊! มันไม่หนักเท่าหินหรอกนะ แต่ แบกหินดีกว่า อาตมาว่า สบายใจกว่า เมื่อยที่ไหนก็วางทิ้งมันตรงนั้นน่ะ เดินไปขี้ ไปเยี่ยวที่ไหนก็ได้ ไอ้นี่เรากองๆ วางทิ้งตรงไหนดูซิ เดินไปขี้ไปเยี่ยว ไม่ดูไม่แลมันซินั่นน่ะ ตาย! หาย ดีไม่ดี มันไม่ทันหายหรอก มันมาจี้เอาก่อนแล้ว ไอ้นี่เงิน นี่หว่า แทงตายเลย มันจะเอาเงิน มันไม่เอาชีวิตเรา มันไม่เอาไปทำ ต้มยำทำแกง ไม่ไปทำปลาร้าอะไรหรอก มันจะเอาเงิน มันฆ่าทิ้งด้วย มันเอาเงินโน่น เพราะฉะนั้น แบกหินก้อนโตๆหนักๆ เสียยังดีกว่า จริงๆนะ ถ้าเราเองเราไม่ต้องไปใช้ไปสอยมัน ไม่ต้องไป อะไรค่ามัน อย่างนี้เป็นต้น นะ

ในสิ่งเหล่านี้นี่ อธิบายผสมประกอบ เอาอธิบายผสมขยาย อธิบายประกอบ ทำให้พวกเราเข้าใจขึ้น คุณก็ต้องไปพิสูจน์ ที่อาตมาพูดนี่เหมือนความรู้สึกที่อาตมาเป็น อาตมาก็เอามาพูดให้คุณฟัง คุณก็ไปดูซิว่า เอ๊อ!มันเป็นอย่างนี้ จริงๆ ถึงครั้งถึงคราวที่เราได้เกิดประสบการณ์ของเราบ้าง เราก็จะ รู้ว่า อื้อ!มันจริงนะ แล้วก็เราหลงใหลกันมาอย่างไหนขนาดไหน คนในโลกไม่ได้ฟังธรรมอย่างนี้ และ ไม่เคยอบรมฝึกฝนอย่างนี้ ไม่เคยได้พิสูจน์ความจริงที่จะเกิดทางอาการทางจิตใจ มันมีความรู้สึก มีอารมณ์อย่างไร ทางจิตใจ เขาไม่ได้อบรม ไม่ได้ฝึกฝน ไม่ได้ทดสอบ ไม่ได้เรียนรู้ความจริง ตามความเป็นจริง ไม่เชื่อหรอก เชื่อก็อย่างนั้นน่ะ ฟัง อาจจะมีปฏิภาณฟังรู้ แต่จะเชื่อมั่นจริงๆ เห็นจริง เห็นจัง จนกระทั่งมาเป็นอย่างนี้จริงๆได้เลยนี่ ไม่เอา ถ้าคนที่เห็นอันนี้ดีจริงๆ เขาก็เอาอันนี้ อาตมาก็ย้ำตัวเองนะ บอก อู๊! ทุกวันนี้อาตมาไม่ต้องมีเงินของตัวเองสักบาทเลยจริงๆนี่นะ มันสบาย จริง ๆ เลย สบายจริงๆ จะทำงานก็ตามบุญบารมี ใครจะเอามาให้ เอามาให้ก็ไม่ใช่มาให้ ส่วนตัว หรอก เอามาให้เพื่อที่ จะรังสรรค์สร้างสรร ใช่มั้ย เอามาให้ส่วนตัวเพื่อตัวเองจะได้ ไปซื้อทอฟฟี่กิน ไปซื้ออะไรที่ติดที่ยึดกิน เอ๊อ! ไม่หรอก ไปซื้อเสื้อสวยมาใส่ แหม! ผ้าผืนนี้มันไม่สวยแล้ว เราจะได้ เปลี่ยนเสียนะ แว่นตานี่มันไม่งามแล้ว ต้องใช้ประเภทสมัยใหม่ ต้องอย่างไรล่ะ ยี่ห้อดีๆ ราคาแพงๆ ใส่แล้วเท่ พอใส่เข้าไปที่ตา ใครเห็นล่ะ อื้อฮือ! แหม นี่พวกไฮโซไซตี้น่ะ ใส่แว่นมีระดับ อะไรอย่างนี้ ไม่ต้อง

อาตมาว่าแม้ข้าวของเครื่องใช้ อุปโภคบริโภคก็พออาศัย ก็เอาละ จำเป็นก็ใช้ไป คิดว่าอาตมา เข้าใจชัด แล้วก็จริงใจ แล้วก็รู้สึกสบาย เขาซื้อให้แพงนี่ กรอบแว่นตาอันนี้นี่นะ แว่นตาอันนี้นี่ พยายามกันจริงๆ ทยอยให้อาตมาใช้ เดี๋ยวนี้มันคงขึ้นไปหลายตังค์แล้วละ แต่ก่อนนี้มัน สามพันกว่า ใครจะมาปล้นก็ปล้นเถอะ เก่าแล้ว (คนฟังหัวเราะ) บอกราคาเลย เฉพาะกรอบนะ มันสามพันกว่า แหม! ไม่กี่ร้อยมันก็กรอบแว่นตานะ มันก็ใช้ได้ แหม! จะได้เบาๆ พ่อท่านจะได้ใส่ สบายๆ เอ้า! ก็จำเป็นนะ ก็ยัดเยียดมา เอา จนกระทั่งใช้ หลายปีแล้วล่ะ ก็เยอะแล้ว มันก็ทนนะ เบา ทน ใส่ ก็เอา ก็รู้แล้วว่า มันราคาแพง มันเป็น ชาตรูปะพอสมควร แต่เราก็เอา พอสมควรก็เอา แต่ก่อนนี้ใช้ ซื้อ ประเภท คริสเตียนดิออร์ กรอบ มีนะ อาตมาได้ใช้ ประเภทคริสเตียนดิออร์ เพลย์บอย มีนะ กรอบแว่นตา เพลย์บอย ราคาพวกนี้ในระดับเขาแล้ว แพง เอ้า! มี สุดท้ายมันหัก อันนั้น ดูเหมือนจะ คริสเตียนดิออร์ ซิ อันที่หัก ไปที่โรงพยาบาลเปาโลา เลนส์นี่มันหลุดง่ายๆ บอกไปขันให้หน่อยสิ ทำไมมันหลุดออกง่ายจังเลย ช่วยๆ ดัดอย่างไร เขาไปดัดอย่างไรไม่รู้ หัก หัก เอ๊!หักแกก็ไม่บอกนะ แกก็ไปหากรอบใหม่มาใส่ ใส่เสร็จ แล้วก็ล้างเสร็จ เช็ดเอามาให้ บอก เอ๊ะ! ทำไมมันไม่เหมือน กรอบเก่าล่ะ แก ก็งุ๊มงิ๊มๆ งุ๊มงิ๊ม เพราะว่า ไปทำ แกก็รู้นี่ เพราะว่าแกขายแว่น รู้นี่ว่าราคากรอบ มันเท่าไหร่ แกจะไปเอากรอบอย่าง ดิออร์ มาให้เลยก็ไม่ได้ มันแพงน่ะมันหลายพัน ก็แกก็เป็น คนงานน่ะ แกก็เอากรอบในราคา อันนั้นดูเหมือน จะหกร้อยกว่า ราคากรอบอันนั้น กรอบที่แกเอามา ใส่แทนให้ใหม่ แกทำหัก แกก็ถือว่า เป็นความผิดพลาดของแก ก็ต้อง แกก็แฮะ!แฮะ!แฮะ! แกก็ไม่พูดนะ แกก็หยิบอันที่มันหักมาให้ดู ทำแหยๆ เราก็บอก อ้าว ทำอย่างไรล่ะ มันถึงหัก ไม่เป็นไรหรอกค่ะ เอาอันนั้นไปก็แล้วกันว่างั้น ไอ้เราก็ เอาก็เอา แล้วคุณก็ต้องไปเสียสตางค์สิ ไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ เราก็เลยถามว่า ไอ้แล้วมันเสีย มันเท่าไหร่ล่ะ ถ้ามันแพงเราก็จะต้องจ่ายเงินให้แก ที่จริงเราก็จ่าย สุดท้ายเราก็จ่ายให้แก ราคากรอบ อันนั้นน่ะ มันหกร้อยกว่า เราก็จ่ายให้แก เพราะแก เป็นคนงานน่ะ เราก็จ่ายให้แก ไม่งั้นแกก็ต้อง ไปจ่ายค่ากรอบนี่ ให้แก่ร้านใช่มั้ย เราก็จ่ายคืนให้แกไป ก็ต้องถามจนได้ว่า มันราคาเท่าไหร่ ตรงๆ ปรากฏว่ากรอบนั้น มันไม่ใช่หลายพันเหมือนกับ ดิออร์หรอก มันเป็นแค่หกร้อยห้าสิบ ก็เลยให้แกไป เดี๋ยวนี้ยังอยู่ กรอบนั้นก็ยังอยู่ อาตมายังใช้อยู่ กรอบอันนั้น ยังอยู่ มันมีอยู่สองอัน อันนั้นก็ใช้แทน แต่อันนั้น มันไม่เหมือนอันนี้ มันคนละอย่างกัน

นี่ก็เป็นเครื่องใช้ที่บางทีมันดูแพงน่ะนะ แต่ก็เอาเถอะ มันก็ไม่กระไรนัก ใหม่ๆก็เออ! ไอ้คนมันคง ขโมย ได้เหมือนกันนะ บางทีขโมยไปของแพงๆนี่ ประเดี๋ยว เราใช้แล้วเราก็ไม่รักษาดูแล ให้คน ขโมยไป ก็จะไม่ดี ก็ต้องดูแลรักษามันพอสมควร อย่างนี้ ของยิ่งแพงก็ยิ่งมาคอยดูแลรักษา ต้องติดเนื้อ ติดตัวดีๆนะ ทำหายทำเหยขึ้นมา มันก็ไม่ดี คนเขาก็ว่าเอา อุตส่าห์ซื้อให้แพงๆ แล้วไป ทำหาย แหม! ช่างไม่ดูไม่แล เป็นคนหยาบ อะไรอย่างนี้ มันก็เป็นไปได้ นะ นี่ก็อธิบายอะไร ประกอบ ไปบ้าง ให้เข้าใจ เพราะฉะนั้น มาปฏิบัติธรรมะของพระพุทธเจ้านี่ จะเป็นคนประณีต เป็นคนเข้าใจ อะไรต่ออะไร ต่างๆนานา เห็นใจเขาเห็นใจเรา แม้เราเองนี่ จะเป็นคนที่ทำคุณค่า ประโยชน์ให้แก่ คนอื่นๆได้มาก อย่างพวกคุณมาอุปัฏฐากอุปถัมภ์อาตมาไว้ อยากจะให้ใช้ของดี อยากจะให้กินดีๆ อยากจะให้มีเครื่องอุปโภคบริโภคดีๆ ก็เพราะเห็นว่าคุ้ม คุ้มที่จะให้อาตมา ราคาแพงๆดีๆ เพราะอาตมา ทำประโยชน์ไปให้พวกคุณพวกใครๆคนอื่นๆ คุ้ม คุณเข้าใจอย่างนั้น ใช่มั้ย ถึงอย่างไร ก็ให้ใช้ดีๆก็คุ้ม ไม่เป็นไรหรอก อย่างนี้น่ะ จะถวายจะให้นั่นให้นี่ ให้ใช้ขนาดนั้น ขนาดนี้ก็คุ้ม คุณ จ้างให้ แต่ถ้าอาตมาบอก เอ๊ย! คนนี้ให้แค่นี้ก็พอแล้ว ไม่ต้องไปให้แพง ไม่ต้อง ให้ดีอะไรเล่า แค่นี้ก็พอแล้ว สมควรแก่ฐานะมีประโยชน์คุณค่าแก่สังคมแก่ผู้อื่นก็ เท่านี้เอง

เมื่อคุณดูว่ามันเหมาะมันสม คุณก็อุปัฏฐากอุปถัมภ์ตามที่คุณเห็นสมควร ให้ เท่านี้ก็คุ้มแล้ว ก็ไปตามจริง ของสัจจะนะ เพราะฉะนั้น ใครจะมีบุญมีบารมี มีอะไรต่ออะไรต่างๆนานานี่ ผู้ที่ให้เรานี่ ไม่ใช่เขาไม่มีตัวประมาณ ไม่ใช่เขาไม่มีตัวที่จะคิด ส่วนคนงมงายนั้น จะอุปัฏฐาก อุปถัมภ์ ก็งมงาย ไปเถอะ คุณค่าประโยชน์ อะไรต่ออะไร จะมันควรหรือไม่ควร มากไม่มาก ก็ซ้อนเชิงอีก เขานึกว่า เขาได้ เพราะคนนี้ บอกหวยได้เก่ง บอกตัวเลขหวยเจ๋งเลยนี่ โอ๊ย! คนนี้อุปัฏฐากอุปถัมภ์ ไว้เยอะๆได้ เพราะว่า ท่านบอกเราทีนี่ เรารวยเป็นล้านแน่ะ มาให้แสนสองแสนนี่มันเรื่องเล็ก คุ้ม เพราะฉะนั้น เราก็จะ ให้ไปได้เรื่อยๆ ก็แบบนั้น ก็ได้ผลประโยชน์แล้วก็เห็นว่าคุ้มอย่างนั้น เพราะฉะนั้น จะคุ้ม อย่างไร คนที่มอง คนที่มีดวงตา มีความเข้าใจว่า ควรจะอุปัฏฐากอุปถัมภ์อย่างไร สนับสนุน ส่งเสริมกัน อย่างไรๆ เอาเงินเอาทองมาให้อาตมา ไม่ใช่ว่าของใช้ เท่านั้น เอามาให้ อาตมาแล้ว อาตมาเอาไปทำอะไรล่ะ อย่างที่ว่าเมื่อกี้นี้ เอาไปซื้อของมาบำเรอตน ไปเอามาใช้ส่วนตัว ในส่วนนั้น ส่วนนี้ ที่เราอยากได้ โน่นนี่อยากจะทำไอ้โน่นนี่ตามใจ ก็เอามาไว้ใช้ส่วนตัว ถ้าอย่างนี้ อาตมาว่า อย่าเอามาให้เลย หรือใครก็ตามอย่าไปให้เลย ให้ไปแล้วคนนี้ก็เอาไปบำเรอส่วนตัว ไปใช้ส่วนตัว ไปใช้ส่วนที่ตนเองอยากจะใช้ให้มันสมใจ ไม่ได้เป็นไปเพื่อประโยชน์ สร้างสรร เกื้อกูล หรือว่า ทำเศรษฐกิจที่ดี เพื่อส่วนรวมที่ดี ถัาอย่างนี้แล้วจะให้มามากทำไม แต่ถ้าเผื่อว่า ท่านเอาไปทำ ในเศรษฐกิจที่ดี ส่วนรวมที่ดี ไปรังสรรค์ที่ดี ให้มามากๆ ยิ่งต้องการทุนมากๆ ในสิ่งบางอย่าง เพราะในระดับสูงขึ้นไป จะต้อง รังสรรค์สร้างสรรสิ่งที่เป็นทุนรอนมากๆ นี่ก็คงเข้าใจ ในเรื่อง การรังสรรค์ อะไรต่ออะไรต่างๆนานา เราเข้าใจ เราก็จะทำบุญช่วยเหลือ หรือแม้ไม่มีมาก รวมกัน ก็จะเข้าใจ

นี่อย่างอาตมาพยายามทำวัฒนธรรมนี่รวมทุน ซึ่งระบบโลกเขาก็รวมทุน เล่นหุ้น รวมทุนอะไรกัน มีธนาคาร มีอะไร ประเภทลักษณะรวมทุนทั้งนั้นน่ะ รวมทุนไปเพื่อที่จะเอาไปใช้สอย สุดท้าย ก็เป็น การหากิน อยู่ในการรวมทุนนี่ มีวิธีการ ธนาคาร มีวิธีการของหุ้น ซ้อน ก็เรื่องผลได้ผลประโยชน์ ปันผลดอกเบี้ย แล้วแต่จะเรียกอะไรกันเข้าไปก็แล้วแต่ เป็นสิ่งทดแทน นี่ก็เป็นเรื่องของการหากิน เรื่อง ของการซ้อนแฝง เพื่อที่จะเอาผลประโยชน์ในนั้น ของเราก็รวมทุนรวมหุ้น หุ้นเราก็มี แต่เรา ไม่จำเป็น ที่จะต้องไปได้ดอกเบี้ย ไปได้ปันผล ไปได้ส่วนแบ่งที่จะได้เป็น กำรี้กำไร เป็นการได้เปรียบ อะไรอยู่ในนั้น เราไม่เอา และเราเสียสละอันนี้ ได้มั้ย เอ้า! มีพอซื้อหุ้นได้ ซื้อ พอมารวมทุนนี่ กองบุญ สวัสดิการก็ดี หรือจะบริจาคเลย ในส่วนนั้นส่วนนี้อะไรก็ดี เราคิดว่า เราบริจาคได้ คุณก็มา รวมหุ้น รวมทุนรวมแรง รวมสิ่งที่มันจะต้องใช้ และเรายิ่งเป็นคนไม่สะสม สอนไม่สะสม เพราะฉะนั้น จึงมีความจำเป็นยิ่งกว่าทางโลกอีก มีความจำเป็นยิ่งกว่าทางโลก จริงๆเลย ที่จะต้อง รวมทุนเพื่อมา รังสรรค์ และเราก็โตขึ้น จะต้องมีสถานที่มาก จะทำงานในระดับ สร้างสรร ในระดับ อุตสาหกรรม ในระดับที่จะต้องเกื้อกูลกันกว้าง เกื้อกูลกันใหญ่

แม้แต่จะเป็นกองบุญคุ้มครองภัย ก็จะต้องมีกองบุญ มีเงิน เพื่อที่จะเกื้อกูลกันได้ทั่วถึงกันนะ หลายระดับ ถ้าเรามีพอก็เอามารวมกันไว้ เสียสละ บอกแล้วกองบุญคุ้มครองภัยนี่จะไม่เป็นอื่นเลย เป็นได้ของการสาธารณสุข เพื่อที่ จะช่วยเหลือ เฟือฟายกันในชุมชนพวกเรานะ เหมือนโลกเขาน่ะ เขาทำสังคมสงเคราะห์ หรือพวกที่ ทำการสงเคราะห์ต่างๆ ตั้งแต่พวกร่วมกตัญญู พวกปอเต็กตึ้ง ไปจนกระทั่ง กองการสงเคราะห์ อะไรอื่นๆ ที่เป็นหน่วย องค์กรสงเคราะห์ ที่จริงจัง ช่วยเหลือ เฟือฟายอยู่ เป็นหน่วยสงเคราะห์ ไปตามหน่วย ตามแหล่ง ตามแห่ง จนกระทั่งถึงคุณหญิงคุณนาย ที่ตั้งขึ้นมาสงเคราะห์กัน ก็ตาม ก็นัยอย่างนี้ เขาก็ต้องทำอยู่ เราก็ทำ แต่เราไม่เอาหน้าเอาตา ไม่เหมือน ข้างโลก เขาต้องเอาหน้าเอาตา และเอาไปเสนอขอเหรียญตราด้วย ของเราไม่ คุณมา ทำบุญที่นี่รับรอง ไม่เสนอขึ้นไป ขอเหรียญตรา ไม่ จงอย่าได้หวังเป็นอันขาด ...

อาตมาก็สร้าง พยายามสร้าง แล้วเป็นการรวมทุนจริงมั้ย รวมหุ้น มาทำบริษัทพลังบุญ ไม่มีปันผลละ ทุกวันนี้ ก็ตั้งมาสี่ห้าปีแล้ว พวกที่รวมหุ้นมานี่บางทีเดือดร้อนก็ โอ๊ย! อยากจะถอนคืน ก็ทั้งยาก เพราะพลังบุญ ก็ยังไม่ร่ำรวย ยังไม่มีฐานะแข็งแรงสักที ทุกวันนี้ยังกู้หนี้ กู้หนี้กองบุญสวัสดิการ ไปทำงาน ขยายงานต่อ เสียอีกแน่ะ ขยายงานต่ออีก อย่างนี้เป็นต้น เราจะต้องมีอุตสาหกรรม จะต้องมี ระดับการงานที่จะต้องใช้ทุนรอนเพิ่มขึ้น เพื่อรังสรรค์เพื่อประโยชน์สังคม บริษัท พลังบุญ ขยายการงานขึ้นมา เพื่อสังคมเพิ่มขึ้น หรือว่าเขาเอาไปเพื่อที่จะเอาไปดูดทรัพย์ เอาเงินรายได้ ขึ้นมาเป็นประโยชน์ส่วนตัว ได้กำรี้กำไรใส่กระเป๋าคนนั้นคนนี้ มีใครมั้ย ไปตามดูซิ ในบริษัทพลังบุญ ตั้งแต่ผู้จัดการ ประธานบริษัท ผู้จัดการ หรือกรรมการ หรือว่า ส่วนไหนใครที่ดูแลเรื่องการเงิน แล้วกระมิดกระเมี้ยน คอรัปชั่นบ้าง แอบแฝงเอา ไปกินไปใช้บ้าง ตรงไหน ไปดูซิ ทำงานเพื่ออะไร แต่ถ้าบริสุทธิ์ แล้วเราก็รู้กัน เออ! เราก็ส่งเสริมกัน เพื่อที่จะมีบทบาทลีลา จะมีขยายงานบริการ ด้านนั้น ด้านนี้ บริการทางเครื่องอุปโภคบริโภค พลังบุญตอนนี้มีแต่บริการเรื่องอุปโภคบริโภค ต่อไป เราจะขยายงาน แม้พลังบุญก็ขยายเป็นร้าน จะมีร้านขายยานะ จะบริการมีร้านขายยา เพิ่มขึ้น อย่างนี้เป็นต้น ก็เป็นเรื่องอยู่ในข่ายของพลังบุญ ในปฐมอโศก ก็จะมี ขายยา สร้างยา สร้างอาหาร สร้างวัตถุ ผลิตเป็นพืชผักอะไรต่างๆนานา สร้างข้าว ทำข้าว ทำอะไรขึ้นมาก็แล้วแต่ จนกระทั่ง มันจะต้อง มีโรงงาน มีเครื่องกล มีอะไรต่ออะไรที่จะต้องสร้างรังสรรค์ อย่างนี้เป็นต้น นี่ขยายความ ขึ้นมา ให้พวกคุณฟัง

เราก็จะเป็นระบบสังคมที่จะทำงานที่มีแรงงานสูง มีผลผลิตสูงตามหลัก เศรษฐกิจ เพื่อที่จะได้ เป็นประโยชน์ สะพัดกระจายไปให้คนได้อาศัยใช้สอยถูกลง เรามีหลักการของบุญนิยมแน่นอน ทำได้มากขึ้น ถูกลง แล้วบริสุทธิ์สะอาด ปราศจากมลพิษ สารพิษ อะไรก็แล้วแต่ จะทำขึ้นมา ในรัฐบาลก็ดี แก้ปัญหาสังคม เศรษฐกิจ ก็แก้อย่างนี้แหละ แต่เขาไม่ได้แก้อย่างนี้ แก้ต้องการให้ ประชาชน ได้รับกันอย่างสุขสบาย ถูก กระจายถึงมือกัน มีลาภธัมมิกา เฉลี่ยลาภถึงกันและกัน ด้วยเมตตมา แต่เขาทำไม่ได้ กิเลสมันไปบังคับให้คนไปเอาเปรียบเอารัด คอร์รัปชั่น หาทาง เอาเปรียบ ฉ้อฉล แม้แต่ออกกฎระเบียบ ออกอะไรก็ถกเถียงกัน ดูซินี่ ร่างรัฐธรรมนูญ ก็ถกกันไป เถียงกันไป มันมีมุมมีเหลี่ยมที่จะต้องได้เปรียบ ทั้งอำนาจและส่วนได้ในผลประโยชน์อะไร ก็แล้วแต่ มันจะมีเชิงอยู่อย่างนี้ โดยที่ไม่เรียนรู้สัจธรรมของกิเลส กิเลสก็เป็นตัวที่บงการอยู่ในตัวมนุษย์ จะทำอะไรกันก็ ออกมาในรูปลักษณะอย่างนี้ทั้งนั้น

การแก้ปัญหาสังคม ถ้าไม่เรียนรู้ ไม่เอาสัจธรรม ไม่เอาศาสนาหรือธรรมะพวกนี้เข้าไปใส่บุคคล ให้บุคคลมีธรรมะ มีศาสนา มีความลดละ กิเลสเห็นแก่ตัว ที่ท่านพุทธทาสพูดทุกวันนี้ ย้ำแต่คำว่า เห็นแก่ตัว แต่ว่าวิธีการ ท่านไม่ขยายมาก ไม่เป็นไร ก็ขอบคุณท่าน ที่ตีเป้านี้ ตีเข้าไป ท่านคงจะต้องตี จนกระทั่ง ท่านสิ้นชีวิต นี่ล่ะ เห็นแก่ตัว ประเดี๋ยวพูด คำสองคำก็ มันไม่ล้างความเห็นแก่ตัว อะไร ๆ มันก็เกิดมา ที่มันทุกข์ มันร้อน ก็เพราะความเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตัว ถูกที่สุด ถูกที่สุด ท่านแปลคำว่า ตัวกูของกู มาเป็นคำว่า เห็นแก่ตัว แต่ก่อนนี้ท่านมีแต่ ตัวกูของกู มันอะไรก็ทำแต่เพื่อตัวกูของกู เดี๋ยวนี้ความเห็นแก่ตัว แปลภาษาจาก เพื่อตัวกูของกู มันก็ไอ้เห็นแก่ตัวนั่นแหละ มาเป็นคำว่า เห็นแก่ตัว ท่านแปลภาษา จาก เพื่อตัวกูของกู มาเป็นเห็นแก่ตัว ต่อไปท่านจะไป แปลเป็นภาษาไทย อะไรอีก ก็แล้วแต่ มันก็จะอันเดียวกันนี่ ท่านพูดถูกอยู่อย่างเดิม แต่ภาษาเปลี่ยนไปหน่อยเท่านั้นเอง พูดถูกอยู่อย่างเดิม แต่วิธีการจะให้ลด ตัวกูของกู จะให้ลดความเห็นแก่ตัวจริงๆ มันวิธีอย่างไร แล้วพากันทำ ให้เป็นโล้ เป็นพาย ให้เป็นกลุ่มเป็นหมู่เป็นคณะ มันจะต้องมีสังคมสิ่งแวดล้อมดี มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี มีสภา มีบริษัท ถ้าไม่มีถึงขั้นมีสภา มีบริษัท มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี แล้วจริง มันไม่มีทั้งสิ้นของพรหมจรรย์ มันไม่มีพรหมจรรย์สมบูรณ์ มันไม่มีศาสนาสมบูรณ์ มันไม่มีกลุ่มชนสมบูรณ์

มันมีกลุ่มชนสมบูรณ์ มีพรหมจรรย์สมบูรณ์ได้ก็เพราะ มันจะต้อง เป็นตามที่ พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ต้องมีมิตรดี สหายดี มีสังคมสิ่งแวดล้อมดี ต้องมีบริษัทที่ดี มีคณะที่ดี มีกลุ่มหมู่ที่ดี มีระบบ มีจารีตประเพณี มีวัฒนธรรมที่ดี โดยเฉพาะมีพฤติกรรม มีกิจกรรม มีพิธีกรรม นี่อาตมา ขยายความ ออกมาเป็นภาษาสมัยใหม่ คนเราอยู่ด้วยมีกิจกรรม และก็มีพิธีกรรมผสม อันเกิดจาก พฤติกรรมของเรา พิธีกรรมทางกาย วาจา ใจ นั่นแหละ ดำเนินบทบาท ดำเนินไปอยู่ ถ้าดีก็เรียกว่า สุคโต หรือสุคติ ไปดี ดำเนินไปดี ถ้ามันทุกข์มันร้อน มันลำบาก ก็เรียกว่า ทุคติ ๒ ต้องเห็นนรก เห็นสวรรค์ อยู่บนบก บนดิน บนพื้น บนนี้ ด้วยตาทิพย์ เพราะฉะนั้น อาตมามองเห็นคนที่เขาอยู่นี่ ปุถุชนทั้งหลายแหล่ ดิ้นรนเดือดร้อน วุ่นวาย มีสวรรค์ลวง บำเรอใจ มันทุกข์มันเครียด มันลำบาก ก็ดูดยา กินเหล้า ฉีดผง กินเล่นกินหัว เอามาบำรุงทางตา มาบำรุงทางหู บำรุงทางจมูก บางทีก็ ดมยาดมไป ดมกลิ่นโน่นกลิ่นนี่ไป บำเรอไปชั่วคราว มันบรรเทาจิต บรรเทาใจ นิดๆหน่อยๆ เสร็จแล้ว ก็หนักหนาสากรรจ์ วุ่นวายไม่รู้แล้วไม่รู้รอด อยู่นั่นเอง เขาก็ทำอยู่ แย่งชิง เอารัดเอาเปรียบ ข่มขี่ เบียดเบียน ไม่ได้เกื้อกูลกันจริง มีการเกื้อกูลกัน ก็เป็นวิธีมารยา หรือเรียกว่า มารยาท เรียกกันสวยๆ หน่อยว่า มารยาท เขาทำกันอยู่ในสังคม มันเป็น เมืองนรก เป็นเมืองที่เดือดร้อนวุ่นวาย แล้วไม่จริงใจ ไม่บริสุทธิ์สะอาด ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ตรง ลำบาก

พวกเราก็มาดัด มาปรับ มาดัด มาปรับ มาศึกษา แล้วก็มามีระบบ มา มีความจริงใจ มามีกาย วาจา ใจ มามีพฤติกรรมจนกลายเป็นจารีตประเพณี วัฒน ธรรม จนกลายเป็นอาชีพ มีการงาน มีกิจการ มีกิจกรรมเป็นอาชีพ แล้วก็อยู่ในสังคมอย่างพุทธบริษัทที่เราเป็น เรามีกิจอะไรก็ช่วยเหลือเฟือฟายกัน เสียแรงงาน เสียเวลา เสียสละ เสียสละได้ เสียสละแรงงาน เสียสละเวลา เสียสละเงินทอง ทุนรอน ด้วยซ้ำ เสียในสิ่งที่ควรเสีย เราก็เสียกันอุดหนุนกัน มีคนไม่มาก แต่รวมกัน เป็นพลังรวม ไม่แน่หรอก ในอนาคตนี่ ถ้าเผื่อว่าพวก เราเจริญรุ่งเรืองเป็นคนไม่รวยนี่แหละ ต่างคนต่างไม่รวยนี่ แล้วก็พวกเรา ก็แคล่วคล่อง อาตมาบอกว่า เอ้า!มารวมทุนกันหน่อย ต้องการเงินสักประมาณหมื่น ล้าน ว่างั้นนะ ชาวอโศก ต้องการเงินนี่ ต้องการตอนนี้สักหมื่นล้าน โอ๊ย! ไม่ต้องไปออกใบหุ้น ให้ยากเลย ผุบๆผับๆ ผุบๆผับๆมารวมหมื่นล้าน เชื่อใจอาตมาว่า จะเอาไปทำอะไร อาตมาก็เอาไปทำ กิจอะไรที่สำคัญ ในสังคมขึ้นมาบ้าง พรึบ เป็นได้เลยนะ ให้เกิดการรังสรรค์ในสังคมนี่ ไม่ใช่อะไรหรอก อาจจะ... ประเทศไทย เขาอาจจะล่มจม หรือบอกว่า ตอนนี้ต้องเซ้งแล้ว เซ้ง มันแย่แล้ว ย่ำแย่ แล้วนี่นะ ประเทศไทยนี่ ต้องเซ้ง อาตมาก็ว่า เอ้า!ชาวอโศกนี่เขาจะเซ้งแล้ว ประเทศไทย เอามา รวมกันเถอะ หมื่นล้าน ให้มาหมื่นล้าน อาตมาก็เอาหมื่นล้าน มาเซ้ง ประเทศไทยไว้ เอาละ เอ้า! ยกหมื่นล้านนี้ ให้ประเทศไทยอย่างเดิม คุณไม่ต้องไปไหนหรอก เซ้งแล้วก็ไม่ต้องให้ใครเขา มาไล่ ออกหรอก อาตมาเซ้งไว้ ให้แล้ว ว่าพวกเราชาวอโศกเซ้งไว้ให้แล้ว ก็อยู่ไปเถอะ ไม่ต้องไป เขาก็คง ยอมให้เรา ดูแลประเทศละนะ เพราะเราเซ้งแล้ว ทีนี้ละเราก็ได้ดูแลประเทศ พวกที่อยู่นั่น ก็เป็น ประชาชน ชั้นสอง ที่เราต้องคอยปกป้องดูแล แล้วก็จัดแจงได้ เมื่อนั้นก็คงสำเร็จ (คนฟังหัวเราะ)

อ๊ะ! ทำเป็นเล่นไปนา ที่อาตมาพูดนี่มีนัยลึกซึ้งซ้อนอยู่นะ ฟังดีๆ และ จริงนะ จริงนะ พวกเราเข้าใจ จริงนี่ เราฝึกซ้อมกันตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อาตมาต้องการสักสามพัน ได้...เดี๋ยวนี้ เอ้า! สามพันรับรองนี่ ไม่ต้องไปเอามาจากคนเดียวหรอก ปึ๊บ เดี๋ยวได้ ไม่ต้องเอามาจากคนเดียว สามพันได้ ต้องการ สักหมื่น ก็ยังพอได้นะ สักแสนอืดหน่อย (คนฟังหัวเราะ) อ้า! อืดนิดหน่อย พอได้ สักล้าน (คนฟัง หัวเราะ) ตอนนี้ต้องอืดและอาด (คนฟังหัวเราะ) อืดและอาดหน่อยแล้ว ตอนนี้ หลายล้านขึ้นไปนี่ แหมตอนนี้ล่ะ ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า นี่ก็มันไปตามธรรม และพวกเรา จะอุดมสมบูรณ์ พวกเรา จะเป็นไปได้ มันมากคนแล้วก็ มากอาชีพ แล้วก็อยู่กันกระจาย แล้วทุกคนมีจิตอย่างนี้ เข้าใจชัด แล้วก็มี ศรัทธาเลื่อมใส มีปัญญารู้แน่ว่า ไม่ได้ทำอะไรเลวร้ายอะไร มั่นใจ มั่นใจในผู้ที่ควร มั่นใจ แต่ละฐานะ คุณอาจจะมั่นใจท่านจิตตสันโต มากกว่าอาตมา ถ้าท่าน จิตตสันโต ออกปาก บอกว่า เอ้า! อันนี้ต้องการบอกบุญนะ นี้...ต้องใช้ทุนรอนสัก เท่านี้นะ จะต้องไปทำกิจการนั้น ก็บอกให้เข้าใจ บอก อ้อ!ท่านจิตตสันโต บอกปั๊บ บอกบุญ อาจจะเชื่อมากกว่าอาตมา มาทำพรึบเลย หรือ อาตมา บอก อาจจะเชื่ออาตมามากกว่า เชื่ออาตมามากกว่า พวกคุณก็มาทำ พรึบมากกว่า อย่างนี้เป็นต้น ใช่มั้ย

มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องสัจจะ เป็นเรื่องสัจจะ เพราะฉะนั้น เรื่องศรัทธาเลื่อมใส ก็ต้องมี ปัญญาประกอบ ศรัทธาแล้วก็ เชื่อมั่น คุณมีญาณปัญญาเท่าไหร่ คุณก็ใช้ตัวตัดสิน ตัวพิจารณา ของคุณเองจริงๆ ๓ แล้วก็คุณมีใจกล้าแค่ไหน ที่จะสละอีก ที่จะเห็นด้วย ที่จะร่วมแรง ร่วมใจ ที่จะกล้าสละ ร่วมแรงร่วมใจ กำลังสิ่งเหล่านี้แบ่งกันไว้ ไม่จำเป็นจะต้องมารวมไว้ที่เดียว ทุกวันนี้นี่ คนเขารู้ ในโลกทางปุถุชน เขาก็จะพยายามรวมอำนาจกำลังทั้งทรัพย์สินนี่ เอาไว้ให้แก่ตัวเอง หรือ มีเครือข่าย มีสาขา มีเครือข่ายบริวาร เพราะฉะนั้น เมื่อเขามีอำนาจ เขาก็บอกบริวาร บางทีเขาก็ใช้ อำนาจขู่เอา เอ็งต้องจ่ายมาเท่านี้ ถ้าไม่จ่ายมาเท่านี้ เอ็งอยู่ไม่รอดนะ ทั้งๆที่มันไม่อยากให้ มันก็ต้องให้ นี่ลักษณะลัทธิทางโลกเขา แต่ลัทธิทางธรรมของเราไม่มาถึงขั้นบอกว่า ต้องเอามานะ ต้องเอามานะ ไม่ต้อง ไม่ต้องบังคับอย่างนี้ บอกบุญไปแค่นี้ ใครมีมากแต่ยังขี้เหนียวอยู่ ให้น้อย ก็ยังต้องเอาอย่างนั้น ใครมีไม่มากนัก แต่ให้มากได้พอสมควร กล้าที่จะเสียสละ เพราะเห็นดี เห็นชอบ เออ! อันนี้ให้เถอะ ก็อยู่ที่เขา เป็นอิสรเสรีภาพของเขา อย่างนี้เป็นต้น เราจะต้องทำให้ได้ อย่างนั้น

มาถึงวันนี้สิบกว่าปีแล้ว เราพยายามรังสรรค์ พยายามฝึกฝนให้คน เป็นคนพัฒนา ๙ ขั้นนี่แหละ เป็นคนพัฒนา ๙ ระดับนี่แหละ และก็ไม่ต้องสะสม มากมายหรอก ไม่ต้องสะสม ไม่ต้อง เฮ้ย! เราไม่มี สตางค์เลยนี่ ไม่ได้สะสมเลย ถ้าเผื่อว่าท่านบอกบุญมามั่งนี่ เราก็ไม่ได้ทำบุญน่ะซิ บอก ไม่ต้องห่วงหรอก คนทำบุญด้วยแรงงานนี่ ราคาแพงกว่าทำบุญด้วยวัตถุเงินทอง เพราะวัตถุเงินทอง น่ะ มันก็ยังเป็นส่วนที่กักตุนไว้ หรือเป็นส่วนที่ยังบริสุทธิ์ หรือสะอาดไม่เท่า เงินทอง หรือวัตถุนี่ ยังบริสุทธิ์สะอาดไม่เท่าแรงงาน แรงงานนี่ของแท้ของสดเลย ถ้าราคา ค่าแรงงานของเราเท่านี้ จ่ายไปสด เท่านี้เลย ไม่ต้องไปแปดเปื้อนกับของใคร ให้ไปก็ให้แรงงานเต็ม ถ้าความสามารถ และ คุณค่า ราคาของเราเท่าไหร่ เรามีความรู้และความสามารถ ควรมีราคาเท่าไหร่ ก็เป็นอัตรา ของมนุษย์ จริงๆนะ อัตราของมนุษย์ก็ไม่เท่ากัน คนมีความสามารถโลกเขายังตีราคา แต่มันฉ้อฉล โลก ทางโลกนี่ เขาก็ตีราคา ตั้งราคา แต่อาตมาว่าฉ้อฉล มันไม่ได้จริงทีเดียวหรอก มันเอาเปรียบ เอารัด คนที่มีราคาควรได้ราคามากๆ สร้างสิ่งที่สำคัญ สร้างสิ่งที่จำเป็น ทั้งๆที่บางที สิ่งที่สำคัญ จำเป็นในเศรษฐกิจนี้ เป็นอุปสงค์ เป็นดีมานด์ที่ควรสร้าง คนสร้างมันไม่ได้สร้างจริงหรอก มันไปใช้ กรรมกรสร้าง แล้วกรรมกรมันควรได้ราคาแพง เปล่า ไอ้คนฉลาดมันก็ไปจ้างราคาถูกๆ ซับซ้อนใช่มั้ย คนมัน ฉลาด มันบอกไอ้นี่ต้องรีบสร้าง หาคนงานมา เร็ว ทำ แล้วก็จ้างราคาถูก รีบคว้า เลย ได้ส่วนเกิน ได้เปรียบเขามาก ร่ำรวย วิธีการอย่างนี้ฉวยโอกาส อะไรเป็น ดีมานด์ของสังคม รีบสร้าง รีบทำขึ้นมานะ ดีไม่ดีสร้างที่มันไม่ใช่ดีมานด์ด้วยซ้ำไป หลอกด้วยทางจิตวิทยาว่าสิ่งนี้นี่ ต้องเห่อนะ ต้องควรได้นะ ใครไม่ได้นี่ไม่ทันสมัยนะ แน่! หลอก โฆษณาโปรปะกันด้า (propaganda) สร้างไอ้นี่ ขึ้นมา ทั้งๆที่ไม่ใช่อุปสงค์ ของสังคมเลย ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นสำคัญของสังคมเลย มันหลอกว่า มันสำคัญ เดี๋ยวนี้เกิดโรคเอดส์ มียารักษาโรคเอดส์ได้แล้ว หลอกลวงอย่างนี้เป็นต้นนะ สร้างขึ้นมา ได้เงินไป คุณหลงซื้อ ช่างคุณปะไร ได้เงินมาแล้วหลอกคุณได้ ถ้าคุณ ไปหลอกลวงจนกระทั่ง กฎหมาย เขามีเหมือนกัน จับได้ คุณก็ถูกเข้าคุก แต่ถ้าเผื่อ ว่าไม่หลอกลวง จริงแล้วทำเป็นอย่างโน้น อย่างนี้ไป งุบงิบ งุบงิบ ได้ไปเยอะ

นี่ยกตัวอย่างง่ายๆ มีซับซ้อนอยู่ในนี้ ไม่ต้องอะไรหรอก เรื่องแค่เห่อ หลอก นี่เสื้อผ้าชนิดนี้นี่ นิยม นะนี่ โอ้โห! นี่แฟชั่นนี่ส่งมาจากฝรั่งเศสเชียวนะ ไปบ้าอะไร ให้ฝรั่งเศสมากำหนด ว่าเป็นตัวแฟชั่น ที่มันจะต้องยิ่ง ต้องใหญ่ อย่างนี้เป็นต้น ทาสทางวัฒนธรรม ทาสทางการกิน การใช้ การอยู่ อะไร ต่างๆ นานา นี่คือสังคมที่เขาอยู่กัน อย่างไม่รู้เท่าทัน

ทีนี้เรารู้เท่าทันแล้ว เราก็เอาสาระ โดยเฉพาะปัจจัยสี่นี่เราจะต้อง พึ่งตนเองกันให้ได้ อย่างสมบูรณ์ ทีนี้บริขารต่างๆ เราก็จะต้องพยายามกระทำ สร้างหัตถกรรม สร้างอะไรต่ออะไร ทำใช้ เรารู้ โลกเขาสร้าง หัตถกรรมอะไร ต่ออะไร เครื่องใช้นี่ง่ายๆ อย่างสิ่งทอนี่ เขา โอ๊ย! เครื่องไม้เครื่องมือ เขาทำ ปุ๊บๆๆๆๆๆ แต่มันเกิดมลพิษนะ เกิดมลพิษมากเลย เครื่องทอนี่ก็มีมลพิษเท่าเครื่อง ทอ อันอื่นยิ่งยาก ยิ่งมลพิษมากกว่านี้แน่ะ แต่นี่เราเอาเรื่องปัจจัยสี่ก่อน เพราะเรามาทอผ้าเองนี่นะ มลพิษ น้อยกว่า จริง ช้ากว่า แต่เราไม่ได้ฟุ่มเฟือย แล้ว เราก็พอนี่ ทางโลกมันไม่พอหรอก เพราะว่า คนมันเอาไปตัดกัน ยับเยินเลย อย่างพวกที่ชั้นสูงหน่อยนี่ ตัดทุกวัน วันละตัว ใส่ซ้ำถือว่าชั้นต่ำ นั่น มันยุกัน ถึงขนาดนั้น พวกเรานี่ซ้ำก็ซ้ำไปเถอะ อย่าเหม็นก็แล้วกัน รู้จักซัก ถ้ามันเหม็นก็ซักให้ สะอาด สะอ้าน จะซ้ำก็เป็นไรไปล่ะ นี่อาตมาวิเคราะห์วิจัยให้ฟัง ก็มียาวเหยียด เยอะแยะละ ที่จะวิเคราะห์ ให้ฟัง ก็เรื่องเก่า แต่มันมีมุมเหลี่ยม ฟังดีๆว่ามีมุมเหลี่ยม ที่ทำให้เราเข้าใจลึก ทำให้เราเข้าใจถึงที่ ทำให้เราวางใจ ทำให้เราปลงเราปลด เราละเราปล่อย เราหน่ายเราคลายได้ เราก็หมดยึดหมดถือ เออ! แต่ก่อนนี้ เราติดยึดจริงๆ เดี๋ยวนี้เราคลายใจ กินอยู่หลับนอน โภชเนมัตตัญญุตา ได้ประมาณ เครื่องบริโภคของเราว่า เออ! เป็นคนไม่ติดไม่ยึด มากขึ้นได้ สังคมเราก็มีแต่ใช้น้อย กินน้อยใช้น้อย แต่พออาศัย ไม่ทรมานตน ไม่ สุขภาพร่างกายเสีย สังคมก็ไม่เสีย มีเวลา มีแรงงาน มีอะไรสร้างสรร ได้มาก ก็กลายเป็นคนสมบูรณ์ ตอนนี้มีประโยชน์สูงประหยัดสุดน่ะ เป็นคนมีประโยชน์สูง ประหยัดสุด ก็เจริญงอกงาม แล้วเราก็เกื้อกูลอาศัยกันเป็นระดับ อาศัยก็ต้องรู้ เมตตา อย่าเมตตา ไม่มีประมาณ เมตตาก็รู้ขั้นตอนว่า ควรเมตตากันในระดับไหน บางทีไม่มีประมาณ ไปเที่ยวได้รับ เละเลย ใครต่อใครข้างนอกก็จะไปสงสารเขา หมด ไปรับมา พวกจิตพิการก็เอามา พวกคน ไร้คุณธรรม ไร้คุณภาพอะไรก็เอามา เดี๋ยวคุณจะลำบากในวงนี้ ไม่ใช่ว่าเรารังเกียจนะ แต่ว่าเรา ยังไม่มีองค์กร ที่จะสงเคราะห์กันได้ถึงขั้นนั้น

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้นี่เราก็เป็นองค์การองค์กรที่ยังไม่มีประสิทธิภาพสูง เท่าได เราก็สงเคราะห์ ในส่วนที่เนียนใน ให้มันดีงามว่าพวกเรานี่มีการเอื้อเฟื้อ มีตัวจิตเอื้อเฟื้อ ตัวจิตเกื้อกูล ตัวจิตที่มัน จะช่วยเหลือ เฟือฟายนี่ ให้ทั่วถึงกันได้ที่ สมควรก่อนเถอะ ในพวกเรานี่ คนที่ควรสงเคราะห์ดูแล ช่วยเหลือ เกื้อกูลกันเป็น ลำดับขั้น อย่างคนที่อาตมาบอกไว้ คนที่ควรช่วยเหลือมี เด็ก คนแก่ คนป่วย นี่จะ หาคนไปช่วยดูแลคนป่วย โยมออนป่วยอยู่ที่อะไร ที่พิจิตรเหรอ? (พ่อท่านถาม คนฟัง) ที่พิจิตร หาคนจะไปดูแล ไปช่วยเหลืออยู่นี่ ก็ตั้งแต่อยู่ปฐมอโศก ก็หากันอยู่ ยังจะไม่ได้เลย คนไปดูแล อยู่สองคน อยากจะกลับมา ก็จะหาคนอื่นไปทดแทน เพิ่งได้คนเดียว นี่พวกเรามันยังไม่สมบูรณ์แค่นี้ คนในหมู่เราแ ล้วยอมรับว่าเป็น หมู่เป็นคนเป็นสมาชิกของพวกเราแล้ว ก็ยังเกื้อกูลกันยังไม่ทั่วถึง แล้วจะไปหอบ ไอ้ที่นอกเขตเทศบาลมา ไปลากขยะมาจากไหนอีก เราจะไปทำยังไง ฟังเข้าใจขึ้นมั้ย

เมตตาต้องมีประมาณ แล้วต้องทำความเนียนในนี่ให้มัน เกื้อกูล เอื้อเฟื้อช่วยเหลือกันได้ อย่างเป็น ระบบ ที่สมบูรณ์ทันใจ ทั่วถึง นี่มันยังไม่ทั่วถึง ยังไม่รอบถ้วนดีเลย เพราะฉะนั้น เราอย่าเพิ่ง นะ คนเด็ก คนแก่ คนเจ็บ คนป่วย คนพิการ ในพวกเราก็จะมีพิการเพิ่มขึ้น อย่างตอนนี้ ก็มีคนพิการ ประเภทอัมพาต หรือประเภทแก่ไปแล้วก็ถือว่าพิการนะ อย่าง บางทีก็แขนก็ช่วยตัวเองไม่ได้มากแล้ว ขาก็ยังช่วยตัวเองไม่ได้มาก จะลุกก็ต้องประคอง ต้องช่วยกัน อุ้มขึ้น ดึงขึ้น อะไรกันละ เดินก็ต้อง ช่วยหิ้ว ช่วยจับ ช่วยประคองอะไร แล้วแต่ เราก็ต้องเสียแรงงาน เราก็ต้องเสียคนไปช่วย อย่างนี้ เป็นต้น

นี่แหละเป็นเรื่องวัฒนธรรม ให้เครื่องมือช่วยน่ะ มันไม่โก้เท่าให้คนช่วยกันหรอก ให้เครื่องมือไป เอ้า! เอาเครื่องมือไปเลย นี่ไม่ต้องเอาคนไปช่วย มันก็กระด้าง วิญญาณมันก็ไม่เป็น แต่ถ้าคน ไปช่วยกัน นี่นะ โอ้โห! มันมีพฤติกรรมที่น่าเอ็นดู ประทับใจนะ คนช่วยกัน เด็กช่วยผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ช่วยเด็ก โดยเฉพาะเด็กก็มีปัญญา มีญาณมีปฏิภาณ อู๊ย! กุลีกุจอช่วยเหลือผู้ใหญ่ ช่วยเหลือคนแก่ น่าเอ็นดู นะ หนุ่มๆสาวๆช่วยคนแก่ ให้แต่คนแก่ช่วยคนแก่ โถ! ดูแล้วก็สมเพชเวทนา เอ้า! สองแก่ ช่วยกัน เข้าไป งกๆเงิ่นๆ มันก็น่าเวทนา สมเพชตาย แต่นี่เด็กๆ ผู้ใหญ่เข้าไป หนุ่มๆสาวๆ ก็ไปช่วยคนแก่ ไปประคอง ไปช่วยเหลือ ตรงนั้นตรงนี้ มันน่าเอ็นดู มันประทับใจ สิ่งเหล่านี้น่ะเป็นเรื่องของ จิตวิญญาณ ต้องมีในสังคม เป็นวัฒนธรรม เป็นความเจริญของอารยชน เพราะฉะนั้น อารยชน เอาแต่วัตถุ ไอ้นี่เหรอ...บกพร่อง เดินไม่ไหวเหรอ เดี๋ยวสร้างเครื่องมือให้ เอ้า! ไปเดินเอง ติดเครื่อง กดปุ่ม ไปเลย ได้ ทุกวันนี้เขาก็พยายามทำ แต่มันแข็ง มันไม่ใช่เรื่องของวิญญาณ ฟังให้ออก มันไม่ใช่ เรื่องของวิญญาณ มันเป็นเรื่องของวัตถุ จริง คุณเจริญวัตถุจริง แต่ตัดทางวิญญาณ หนักเข้า คนก็ต้องไปหาเงินมาซื้อเครื่องซิตานี้ จะช่วยเหรอ ไม่เป็นไร ซื้อเครื่อง ซื้อเครื่อง ก็หาเงินไว้ มากๆ ก็ไปเอาเปรียบเอารัด แย่งชิงเงินกันแหละ แต่ถ้าเผื่อว่า คนช่วยกัน ไม่ต้องแย่งชิงเงิน เห็นมั้ย มันซ้อนเชิงอยู่อย่างนี้ ซ้อนเชิงอย่างนี้

นี่อาตมาพยายามขยายความ ก็มีเวลามีโอกาสใดๆ ที่อาตมาได้บรรยาย อะไรออกมา ใครฟัง ได้ฟัง ธรรมอาตมาบ่อยๆ มากๆก็มีมุม แต่มันก็ไม่ขาดแคลนนัก เราก็อัดเท็บ ไปเปิดสู่กันฟัง แต่อาตมา เห็นแล้ว ฟังเท็ปนี่มันไม่เท่ากับ นั่งฟังตรงหรอก นั่งฟังตรงนี่ฟังดี ฟังรับได้มาก ฟังเท็ปน่ะ ฟังทิ้ง ฟังขว้าง แล้วพอ ยิ่งฟังกันจนกระทั่ง หูเปียกหูแฉะ ทุกวันนี้น่ะ เอ๊อ! ฟังมั่งไม่ฟังมั่งก็ได้ แล้วมันจะ ไปได้ครบ อย่างไรล่ะ ไอ้ตอนสำคัญๆ มันก็ไม่รู้เรื่อง แต่ที่นั่งฟังไปนี่ มันมีนะ ไอ้ ตอนสำคัญ อาตมาก็บอกไม่ได้ว่า ตอนนี้สำคัญนะ ตอนนี้ละเอียด ตอนนี้แถมเติมแล้ว นะ ต้องแถม ต้องเติม ตรงนี้แล้ว นี่มีอะไรวิจิตรพิสดารเพิ่มเติม มันก็ไม่ค่อยได้เรื่อง เพราะฉะนั้น ขาดการฟังธรรม มันก็หลุดก็ร่วง ไม่ทันเขา ถ้าเผื่อว่าเรา ขมีขมัน เราเอาใจใส่ เราก็ได้ประโยชน์นะ ส่วนนั้นส่วนนี้

เอาละ อาตมาได้เทศน์มา ได้ขยายความอะไรที่ ถึงโอกาสถึงเวลา ก็มันมีเรื่องมีราวอะไรขึ้นมา พอจะขยาย พอได้พูด ก็พูดกันไป เรามางานนี้ ได้ฟังเทศน์ ไปงานไหน ถ้าเผื่ออาตมามีเวลา ที่จะต้อง ได้ทำโน่น ทำนี่อยู่ก็ได้ทำ ถ้าอยู่ที่โน่นไม่ได้เทศน์หรอก นี่อาตมามีงาน ที่จริงงานจะต้องเร่งมือ อยู่หลายอัน ก็ไม่ค่อยได้เทศน์ แต่มาเทศน์ตรงนี้ พอดีตรงนี้ไม่ได้หอบงานโน่นมา ก็ต้องมา เทศน์อันนี้ ก็ดีแล้วนะ เอ้า! ได้เวลาที่เราจะต้องพอ แล้วจะได้ไปทำกิจอื่นนะ เพราะฉะนั้น วันนี้การเทศน์ ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้

สาธุ


ถอดโดย ศิริวัฒนา เสรีรัชต์ ๒๕ ก.ย.๒๕๓๔
ตรวจ ๑ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๗ ต.ค.๒๕๓๔
พิมพ์โดย อนงค์ศรี ๑๓ พ.ย.๒๕๓๔
ตรวจ ๒ โดย อุทัยวรรณ ตั้งมั่นสกุล ๑๔ พ.ย.๒๕๓๔


มนุษย์พุทธบริษัท ตอน 1 / FILE:1921B.TAP